การที่ผู้เขียนให้ทุกคนควรหลบภัยอยู่ในถ้ำ ที่ใกล้ ๆ กับ
ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ, พระธาตุก็ดี เพื่อให้
ทุกคนได้อยู่ในกระแสบุญบารมีที่พระองค์ท่านได้
แผ่เมตตาบารมีมาปกป้องคุ้มครองไว้ และบวกรวมกับพลังบารมี
ของเราทุกคนเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงแนะนำให้ทุกคน
หันหน้ามาปฏิบัติธรรม รักษาศีล นั่งสมาธิ เริ่มต้นเสียแต่
วันนี้เลยนะค่ะ สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยคิดจะปฏิบัติธรรม
พื้นที่ปลอดภัยยามเกิดอภิมหันตภัย ในจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย truethailove, 27 พฤศจิกายน 2011.
หน้า 19 ของ 43
-
-
สมาชิกท่านใดที่สนใจประวัติศาสตร์เงาญี่ปุ่นในสยาม แนะนำลองหาอ่านหนังสือเล่มนี้เพิ่มเติมครับ เป็นเกร็ดประวัติศาสตร์บางส่วนและตราบาปของทหารแดนอาทิตย์อุทัยบนแผ่นดินไทย
เพิ่งตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วนี่เอง
" ทางรถไฟสายใต้ในเงาอาทิตย์อุทัย (THE SOUTHERN RAILWAYS IN THE SHADOW OF THE RISING SUN) "
ท้ายเล่มมีการนำเสนอหลักฐานการลงลายลักษณ์อักษรในสัญญาการจัดหา comfort women ระหว่างทางการไทยและญี่ปุ่น (มีทั้งจัดหาจากสถานบริการและจากหญิงสาวชาวบ้าน) สำหรับประจำตู้รถไฟญี่ปุ่น
รถไฟขบวนนี้จะบรรทุก comfort women ไปตามสถานีต่างๆเพื่อใช้บำเรอกามแก่เหล่าทหารญี่ปุ่น นอกจากนี้รู้สึกว่าจะมีคดีทหารญี่ปุ่นสังหารพระภิกษุ-สามเณรไทย ด้วยนะครับ
ส่วนตัวเชื่อว่า ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เครื่องมือสร้างความเกลียดชัง
แต่เป็นเครื่องมือที่นำมาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบัน
แต่มนุษย์เองก็มักเผลอเล่นประวัติศาสตร์ซ้ำไปซ้ำมาอยู่เรื่อยไฟล์ที่แนบมา:
-
-
สะสมปัจจัย 4 แบบชนบทโบราณ
ภัยพิบัติที่คาดไม่ได้ว่าจะเกิดในปีนี้เป็นลักษณะใด แต่ทั้งน้ำท่วม คลื่นยักษ์หรือสงคราม ก็ต้องสะสมเครื่องอุปโภคบริโภคไว้ใช้ได้นานที่สุดและเพียงพอสำหรับทุกคน ถ้าสมาชิกเว็บนี้สะสมสิ่งเหล่านี้ไว้ให้มากๆและทุกๆคน ก็จะสามารถนำไปแบ่งปันเพื่อนสมาชิกที่อบยพมาจากที่อื่นๆ กรณีถิ่นที่อยู่ของสมาชิกอยู่ในบริเวณสงคราม ระเบิดนิวเคลียร์ตก สงครามเชื้อโรคชีวภาพ สารเคมี แก๊สพิษหรือเป็นทางผ่านของกองทัพฝ่ายตรงข้าม ถ้ารอดชีวิตไปได้จะไม่เสียชีวิตเนื่องจากการขาดน้ำขาดอาหาร ทุกๆบ้านควรมีไซโลต้นทางหรือยุ้งฉางเก็บข้าวเปลือกหรือใส่กระสอบเก็บไว้เพราะเก็บได้นานถึง3 ปี ข้าวสารเก็บได้สั้นมากเพราะมีมอดขึ้น ถ้าจะเก็บด้วยถังสุญญากาศก็เสียค่าใช้สูงซึ่งนิยมทำกันเมื่อสงครามโลก น่าเสียดายที่ยุ้งฉางไม่ค่อยมีเหลือเพราะถูกระบบการค้าข้าวปัจจุบันทำลายไป การมีบ้านหลังที่สองก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนอยู่ในเมือง ส่วนผู้ใดคิดจะนำเงินไปทำบุญก็โปรดเก็บไว้ก่อน ควรเอาเงินไปลงทุนสะสมสิ่งที่จำเป็นดีกว่าเช่นสะสมพลังงานไว้ โดยซื้อน้ำมัน แก๊สหุงต้ม โซลาร์เซล เพราะกว่าบุญจะให้ผลก็ต้องรอชาติหน้า(พระบอก) บุญที่ให้ผลในชาตินี้คือทำสมาธิ ภัยพิบัติบางอย่างเราสามารถรู้ล่วงหน้าได้หลายวันเช่น สงคราม จึงสามารถเตรียมตัวได้ทันหนีทัน ท่านที่เกิดทันเห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเขมรราวๆปี 2520 คงนึกภาพเขมรอบยพได้ชัดเจน พลเมืองเสียชีวิตนับล้านคน เคลื่อนที่ผ่านไปที่ดินใครสวนผลไม้ใครก็เก็บกินจนหมดไม่เหลือโดยเฉพาะไส้ของต้นกล้วยน้ำว้าถือเป็นอาหารชั้นดีในยุคนั้น ขณะที่เวียตนามใต้แตกเรือมนุษย์อบยพเข้าประเทศเรามากขึ้นๆทุกวัน วิธีการแก้ปัญหาคือ เขมรที่เดินเท้าเข้ามานับหมื่นๆคนทุกวันทางชายแดน ส่วนหนึ่งทางฝ่ายเราให้อาหารเขาแล้วส่งพวกเขากลับโดยฝ่าดงกับระเบิด พวกที่เดินลงไปกลับประเทศชุดแรกๆก็ถูกระเบิดเสียชีวิตไม่เหลือ เรื่องเรือมนุษย์ที่เวียตนามใต้หนีมาทางทะเลก็ถูกปล้นยึดเรือฆ่าเขาทิ้งศพลอยเกลื่อนทะเลตราด ปลาหมึกและกุ้งเกาะซากศพเต็มไปหมด บางส่วนกรณีที่จับได้ก็หุงหาอาหารให้เขากินแล้วพาไปยิงทิ้งทั้งหมดที่หลังเกาะก็มีหลายครั้ง ส่วนที่มีทองคำติดมาด้วยก็ไปซื้อเขาราคาถูกๆหรือใช้ติดสินบนไปต่างประเทศ ถ้าคนไทยต้องหนีเข้าประเทศอื่นคงถูกเขาใช้วิธีเดียวกันแบบนี้เช่นกัน วัดชนบทปัจจุบันน่าจะเป็นที่สะสมอาหารที่ดี เช่นการบริจาคข้าวเปลือกให้วัดคนเล็กคนละน้อย ได้วัดละ 10-20 เกวียน สีข้าวรับประทานกันในวัดบ้างเพราะวัดมีสมาชิกมากส่วนใหญ่พระไปบิณฑบาตรไม่พอฉันท์ การหาข้าวเปลือกมาเพิ่มเรื่อยๆหมุนเวียนกันไปทำให้ให้ทราบถึงแหล่งที่ซื้อข้าวเปลือกและสามารถหามาสะสมได้ทัน แต่ใจกลับไปคิดถึงเรื่องการใช้อาวุธ HARRP ทำให้เกิดแผ่นดินไหว สงครามนิวเคลียร์ การหนีกัมตภาพรังสี อาวุธชีวภาพ อาวุธเคมีหุ่นยนต์ที่ใช้ในสงครามตามที่พระเกษมวัดป่าสามแยกบอก (คลิป 7 ม.ค.55)เหล่านี้ต้องหาวิธีหนีให้เป็นหาวิธีรอดชีวิตให้ได้ ถ้าปี 55 นี้เมืองไทยขาดแคลนน้ำจืดตามที่พระเกษมบอกไว้ก็ถือว่ามีเวลาเตรียมการไม่มาก ส่วนเรื่องคลื่นยักษ์อาจเป็นผลของสงครามเพราะอ่าวไทยไม่ใช่บริเวณวงแหวนแห่งไฟ ผู้ใดที่ใช้วิธีแบกเป้ใบเดียวขึ้นหลังไปเดินเข้าป่าไปอาจเสียดายทีเตรียมไว้น้อยไป ถ้าหันกลับไปดูเหมือนคนไทยในยุคหลายสิบปีก่อนขณะเกิดสงครามโลกครั้งที่สองผู้ที่อาศัยอยู่ชนบทอยู่ได้สบายมากที่หายากลำบากก็คือไม้ขีดไฟและเสื้อผ้าเท่านั้น ในน้ำมีปลามีในมีข้าวจริงๆ มียุ้งฉางทุกบ้าน ที่เดือดร้อนในกรุงเทพฯก็หนีไปอยู่จังหวัดอยุธยาซึ่งเป็นบ้านนอกมากๆ เหตุการณ์สงบก็กลับไปทำมาหากินต่อ ก่อนเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯหลวงปู่ท่านบอกว่า รุกขเทวดาตามบ้านนอกจังหวัดทางภาคตะวันออกได้อบยพขึ้นที่สูงนานแล้วหลายเดือน นี่ก็ยังคอยดูว่าน้ำที่มีปริมาณมหาศาลกว่านี้จะมาอีกเมื่อไรแต่ท่านบอกว่าสงครามมาก่อนน้ำท่วม -
ถ้ามันเกิดขึ้น เราจะกลับไปอยู่ใช้ชีวิตแบบดั้งเดิม จุดตะเกียง กินข้าวหุงจากหม้อเตาถ่าน
เก็บผักผลไม้ หาปูหาปลาแบบชนบท นอนกางมุ้งจุดไฟไล่ยุง เป้นแบบนี้ คนมีอันจะกินทำได้บ่ -
คุณ CopperOxide คุณ 479 คุณ vigo 1843
เขียนมาได้ถูกต้องแล้วค่ะ ประวัติศาสตร์หรือเรื่องราวในอดีต มีขึ้นมาเพื่อไว้
เป็นบรรทัดฐานในการที่จะได้เรียนรู้ทั้งสิ่งดีและสิ่งไม่ดี เพื่อปรับปรุงแก้ไข
ให้ดีขึ้นกว่าเดิม และไม่ให้ผิดพลาดเหมือนครั้งที่ผ่านมา
สำหรับเรื่องการครองชีพในชนบท มนุษย์ทุกคนย่อมปรับเอาตัวรอดได้เสมอ
เมื่อก่อนผู้เขียนทำงานในกรุงเทพฯ เป็นคนเมือง แต่พอมาอยู่ต่างจังหวัด
ตอนแรกก็หงุดหงิดใจนิดหน่อย เรื่องความสะดวกสบาย เพราะยุงเยอะ
น้ำ-ไฟ ก็ดับบ่อย อินเตอร์เน็ตก็ช้ามาก ไม่ทันใจ แต่เรื่องของอากาศที่นี่
อากาศดี รถก็ไม่ติด ผู้คนก็น่ารัก ผู้เขียนมาอยู่ที่นี่ ก็กลับกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ของครอบครัวของผู้ที่มาทำงานให้เสียแล้ว ไม่ว่าพ่อแม่ญาติพี่น้อง
ทุก ๆ คนดู่แลเราเป็นอย่างดี
สำหรับเรื่องการเอาตัวรอดในยามเกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภัยสงคราม
และภัยทางธรรมชาติ ถ้าจับสังเกตุให้ดี ๆ ในหัวข้อเรื่องการเตรียมการรับมือ
ภัยพิบัติทางเศรษ่ฐกิจ ผู้เขียนจะเน้นเรื่องการทำมาหากินของแต่ละครัวเรือน
การทำงานกันเป็นกลุ่มของแต่ละชุมชน โดยใช้หลักการพึ่งพาตนเอง
นั่นคือการเตรียมความพร้อมของคนในชุมชน ที่จะสามารถช่วยเหลือตนเองได้
โดยเฉพาะปัจจัยขึ้นพื้นฐาน และเตรียมการรองรับในการที่จะเผื่อแผ่และช่วยเหลือ
ผู้อื่นและประเทศชาติได้ในยามเกิดวิกฤติ ผู้่เขียนพยายามบอกวิธีแก้ปัญหา
ให้กับทุกคนมาหลายปีแล้ว ตามที่เขียน แต่หาคนปฏิบัติได้น้อยมาก เพราะ
ทำไม่เป็น ดังนั้นปีนี้ที่กลับมาเขียนใหม่อีกครั้ง ก็เพื่อจะบอกแนวทางในการ
ทำงานและลงมือปฏิบัติได้อย่างไร ในเวลาที่เหลืออยู่ไม่นานนี้ ไว้ทุก ๆ คน
คอยติดตามอ่านทั้งสองกระทู้ของผู้เขียนไปพร้อม ๆ กันนะค่ะ -
ผู้เขียนขอขอบคุณทุก ๆ ท่านนะค่ะ ที่ร่วมกันแสดงความคิดเห็น
ยามนี้สิ่งที่ชาติไทยต้องการมากที่สุด คือ เราทุกคนต้องมีความสามัคคี
ระดมพลัง ระดมความคิด ระดมความรู้ ระดมภูมิปัญญา ความรู้
ความสามารถ พละกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด มาช่วยกันทำให้ประเทศชาติ
และคนในชาติรอดพ้นจากวิกฤติทั้งทางเศรษฐกิจและทางธรรมชาติให้ได้
ผู้เขียนนั้นถึงจะเขียนอะไรต่าง ๆ ออกมาก็จริง แต่ก็ไม่ใช่มีความรู้โดยรอบ
ไปเสียทั้งหมด ยินดีจริง ๆ นะค่ะ ที่ทุกคนในวันนี้ จะออกมาช่วยกัน
คนละไม้คนละมือ เพื่อประเทศและเพื่อในหลวงของเราทุก ๆ คน -
ทำไมท่านอาจารย์และผู้รู้ทุก ๆ ท่าน จึงแนะนำว่า
คนดีเท่านั้นถึงจะรอด ก็ด้วยสาเหตุนี่แหละค่ะ
ถ้าคุณประพฤติชั่วมาตลอด แต่โชคดีได้ไปหลบภัย
ในสถานที่ ที่กล่าวมาข้างต้น แต่กรรมของคุณยังมี
ต่อให้หลบภัยในถ้ำ คุณก็อาจโดนหินหล่มทับใส่หัว
ก็เป็นได้ ไม่มีใครช่วยคุณได้รอดปลอดภัย ถ้าคุณ
ไม่สร้างบุญบารมีด้วยตัวของตัวเอง เรื่องเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย
เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แม้แต่
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ยังไม่หลีก
พ้นความตายไปได้เลย -
ปัจฉิมโอวาทที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้
ครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเสด็จปรินิพพานว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราตถาคตจะขอเตือน
เธอทั้งหลายสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไป
สิ้นไป เป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงรีบทำ
ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ให้ถึงพร้อม
ด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ดังนั้น สติก่อนตายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะ
ทำให้เราไปเกิดในภพภูมิใด ดังเช่น -
ในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่งบวชเป็นพระ
ได้ไม่นาน ยังฝึกกรรมฐานไม่มาก ถึงแม้จะอยู่ใกล้
พระพุทธเจ้าก็ตาม อยู่มาวันหนึ่ง มีเศรษฐีมาถวาย
ผ้าไตรจีวร และพระภิกษุรูปนี้ก็ได้รับด้วยความยินดี
เป็นอย่างยิ่ง ทุกวันจะจับต้องลูบคลำเอามาดูอยู่เสมอ
แต่ได้ชื่นชมอยู่ไม่นาน ก็ถึงคราวต้องตาย พอตายแล้ว
วันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าฯ ได้บอกต่อพระอานนท์ว่า
“ผ้าจีวรผืนนี้ อย่าเพิ่งเอาไปใช้ ให้รอครบ ๗ วันก่อน
จึงค่อยนำไปซักล้าง” ฝ่ายพระที่หลงใหลในผ้าจีวร
ผืนใหม่นี้ เมื่อตายไปเกิดเป็นตัวเล็น ซึ่งเป็นแมลงเล็ก
ชนิดหนึ่งแล้วอาศัยอยู่กับผ้าผืนนั้น ตลอดจนอายุขัย
คือ ๗ วัน จึงตายจากผ้าผืนนั้นไป -
การที่พระรูปนี้เมื่อมรณภาพเป็นแล้ว ไปเกิดเป็นแมลงเล็ก ๆ ทันที
แล้วเกิดอยู่เฝ้าอยู่กับผ้าที่ตัวเองเฝ้าหวงรักมันเป็นเพราะว่า
ขณะที่ตายไปนั้นได้มีจิตใจจดจ่อกับผ้านั้นตลอด จนแม้
กระทั่งดับจิตอยู่ก็ได้คิดมันอยู่เช่นนี้ เมื่อเกิดใหม่จึงเป็นแมลง
มาเฝ้ารักสมบัติที่ตัวเอง ทั้งห่วงทั้งหวงนั่นเอง พระพุทธเจ้า
ก็มีญาณรู้อยู่ว่า พระรูปนี้เมื่อมรณภาพไปแล้ว จะต้องเกิด
มาเป็นแมลงอยู่ในผ้าจีวร จึงทรงห้ามพระอานนท์ไม่ให้
นำไปซักล้าง ปล่อยให้แมลงตัวนี้ ตายไปก่อน จึงค่อยนำมาใช้ -
[FONT="]ฉะนั้นคนเรา เมื่อจะตาย ควรปล่อยวางทุกอย่าง
อย่ายึดทุกสิ่ง มิฉะนั้นต้องกลับมาอีก และอาจจะ
เกิดเป็นแมลง [FONT="]เป็นจิ้งจก[/FONT] [FONT="]เป็นสุนัขมาเฝ้าสมบัติ
ของตัวเองก็ได้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จึงเฝ้า
อบรมให้ ฝึกสมาธิ ให้หัดนั่งกรรมฐานอยู่เสมอ
เพื่อที่จะได้มีสติ รู้อยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงคราว
ที่จะตาย ก็สามารถกำหนดจิตเข้าญาณได้
จะให้ตายแล้วไปเป็นเทวดา เป็นเทพอยู่
สวรรค์ชั้นไหนก็สามารถทำได้[/FONT][/FONT]
[FONT="]http://www.freewebs.com/prawichai/th[FONT="]1.[/FONT][FONT="]htm[/FONT][/FONT] -
ขอยกเรื่องพระนางมัลลิกา มเหสีแห่งพระเจ้าปเสนทิโกศล
พระนางทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกต่อพระะพุทธศาสนา
เป็นอย่างมาก ทรงบำเพ็ญบุญทุก ๆ บุญที่มีโอกาส
แต่ครั้งหนึ่งเคยกล่าวเท็จต่อพระเจ้าปเสนทิโกศล
ผู้สวามี ก่อนที่พระนางจะละโลกนั้น จิตไปคิดคำนึง
ถึงกรรมที่เคยกล่าวมุสานั้น ทำให้จิตมีความเศร้าหมอง
ไม่ผ่องใส เมื่อละโลกจึงไปเกิดในยมโลก ได้รับ
ทัณฑ์ทรมานเป็นเวลาเจ็ดวัน ผลบุญจึงตามมา
ส่งผล ด้วยผลบุญที่พระนางได้ทำไว้ในพระพุทธ
ศาสนา พระนางจึงละจากยมโลก ไปเกิดยังดาวดึงส์
เทวภูมิ เป็นอยู่ด้วยทิพยวิมานอันอลังการ มีความสุข
สมบูรณ์ด้วยกามคุณทั้งห้าประการ
ทางศาสนาพุทธบอกว่า ตอนตายถ้าจิตเป็นแง่ลบ จะตกนรกหรือไม่ก็ที่ไม่ดี - มีคำตอบ - กูรู -
จากตัวอย่างที่ยกมากล่าวข้างต้น เรื่องพระภิกษุมรณภาพ
แล้วไปเกิดเป็นเล็น เพราะจิตยึดติดกับจีวรเพียงแค่นั้น
ทั้้งที่จริงแล้วพระภิกษุรูปนี้ น่าจะโชคดีเป็นอย่างยิ่ง
ที่ได้บวชและได้อยู่ใกล้ชิดฟังธรรมกับพระพุทธเจ้า แต่
เพราะจิตก่อนตายห่วงใยในสมบัติของตน จึงทำให้ต้อง
มาเกิดเป็นเล็น และจะมีโอกาสได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์
ได้บวชเป็นพระอยู่ในพระพุทธศาสนาหรือไม่ ก็ยากไปเสียแล้ว -
ในครั้งนั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงช้อนฝุ่นเล็กน้อย ไว้ใน
ปลายเล็บของพระองค์ แล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา
ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะคิดเห็น
เป็นไฉน ระหว่างฝุ่นเล็กน้อย ที่เราได้ช้อนขึ้นไว้ใน
ปลายเล็บ กับฝุ่นในแผ่นดินใหญ่ที่เธอเห็นนี้ อันไหน
จะมากกว่ากัน
<!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ฝุ่นในแผ่นดินใหญ่นี้แล มีมากกว่าพระเจ้าข้า
ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงช้อนไว้ในปลาย
พระนขา (เล็บ) มีน้อยมาก เมื่อเทียบกับฝุ่นในแผ่นดินใหญ่แล้ว
ฝุ่นเล็กน้อยที่อยู่บนปลายเล็บของพระพุทธองค์ ย่อมไม่สามารถ
จะเทียบกันได้เลย แม้เพียงส่วนเสี้ยวก็ตาม พระเจ้าค่ะ -
สาธุ เลยเพลมาแระแวะพักก่อนมั๊ยเดี๋ยวกระเพาะถามหานะคุณ ไ
-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เป็นอย่างนั้นนั่นแล สัตว์ที่
ตายแล้วกลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีน้อยมาก ซึ่ง
เทียบเท่ากับฝุ่นที่อยู่บนปลายเล็บของตถาคต
[FONT="]ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย [FONT="]สัตว์ที่ตายจาก[FONT="]โลกมนุษย์[/FONT]แล้ว[/FONT] [FONT="]
กลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีน้อย[/FONT] [FONT="]โดยมากแล้ว[/FONT] [FONT="]
กลับไปเกิดในนรก สัตว์เดรัจฉาน และ
เปรตวิสัย มีมากกว่า[/FONT][/FONT] -
ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ ฉันไปเรียบร้อยแล้ว
ข้าวกับหัวปลาเค็มที่แขวนเอาไว้ คุณ Ajintai
อย่าจ้องนานนะค่ะ เดี๋ยวจืดหมด
-
เพราะสัตว์เหล่านั้น ที่ไม่ได้กลับมาเป็นมนุษย์ และต้องไป
เกิดในอบายภูมิ ก็เพราะว่า สัตว์เหล่านั้น ไม่ได้เห็นอริยสัจ 4
อริยสัจ 4 เป็นไฉน? คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนี้แล เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร
เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้คือทุกข์ นี้คือสมุทัย นี้คือนิโรธ นี้คือมรรค -
สมุทรสงคราม นี่พอจะมีไหมครับ ผมอยู่ทีนี่ เห็นมีภูเขา ก็ แถววัดเขายี่สาร แต่ส่วนใหญ่คือทั้งจังหวัดเป็นพื้นที่ราบ ไม่มีเขาสักลูก ...
-
ขอยกตัวอย่างอีกเรื่อง คือ เรื่องของพระนางมัลลิกา
มเหสีแห่งพระเจ้าปเสนทิโกศล พระนางทรงเป็น
อัครศาสนูปถัมภกต่อพระะพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
ทรงบำเพ็ญบุญทุก ๆ บุญที่มีโอกาส แต่ครั้งหนึ่ง
เคยกล่าวเท็จต่อพระเจ้าปเสนทิโกศลผู้สวามี
ก่อนที่พระนางจะละโลกนั้น จิตไปคิดคำนึงถึงกรรม
ที่เคยกล่าวมุสานั้น ทำให้จิตมีความเศร้าหมองไม่ผ่องใส
เมื่อละโลกจึงไปเกิดในยมโลก ได้รับทัณฑ์ทรมาน
เป็นเวลาเจ็ดวันผลบุญจึงตามมาส่งผล ด้วยผลบุญ
ที่พระนางได้ทำไว้ในพระพุทธศาสนา พระนางจึง
ละจากยมโลก ไปเกิดยังดาวดึงส์เทวภูมิ เป็นอยู่
ด้วยทิพยวิมานอันอลังการ มีความสุขสมบูรณ์ด้วย
กามคุณทั้งห้าประการ
ทางศาสนาพุทธบอกว่า ตอนตายถ้าจิตเป็นแง่ลบ จะตกนรกหรือไม่ก็ที่ไม่ดี - มีคำตอบ - กูรู
หน้า 19 ของ 43