เนื่องจากผมเองได้มีความคิดอยากจะศึกษาค้นคว้าเรื่อง “อจินไตย” และแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนสมาชิกที่สนใจ หรือมีความรู้ในเรื่องนี้ จึงได้ตั้งกระทู้ “พุทธภูมิ คุยเรื่องอจินไตย” ในห้องพุทธภูมิ
การศึกษาค้นคว้าเรื่องอจินไตยนี้ ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะอจินไตย คือ สิ่งที่ไม่ควรคิด ที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยวิสัยของปุถุชน และไม่เป็นประโยชน์อันใดเลยต่อการแสวงหาความหลุดพ้น หรือการทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง ที่สำคัญอาจทำให้ผู้ศึกษามีสติถึงกับวิปลาส
การเขียนเรื่องอจินไตยนี้เป็นเรื่องไกลตัว และเกินความสามารถของผู้เขียน แต่ผมก็ได้แสดงเจตจำนงที่จะศึกษาค้นคว้า และนำมาเขียนลงในกระทู้นี้ สำหรับผู้ที่มีความสนใจได้เข้ามาอ่านหรือแสดงความคิดเห็น ซึ่งก็อาจจะตรงกับความรู้ความเห็นของท่านผู้อื่นบ้างหรือไม่ตรงบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ผมก็พร้อมยอมรับฟัง
พุทธภูมิ คุยเรื่องอจินไตย
ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Sirius Galaxy, 24 ตุลาคม 2013.
หน้า 1 ของ 7
-
-
อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่
1. พุทธวิสัย คือ วิสัยแห่งความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เช่น การเดินบนดอกบัว 7 ก้าวและเปล่งอาสภิวาจาของพระพุทธเจ้า
2. ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์ และเทวดา
3. กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม และวิบากกรรม คือการให้ผลของกรรมที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ
4. โลกวิสัย วิสัยแห่งโลก คือการมีอยู่ของสวรรค์ นรก และสังสาระวัฏ
ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น -
พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ กล่าวถึงนิพพาน 2 ประเภท คือ
1. สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุยังมีอุปาทิเหลือ ยังเกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ กล่าวคือดับกิเลสแต่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ
2. อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุที่ไม่มีอุปาทิเหลือ หรือนิพพานที่ไม่เกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์ กล่าวคือดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่อีก
ธาตุในที่นี้เป็นคำกลางๆ ไม่ใช่หมายถึงกระดูก เปรียบเทียบให้นึกถึงตารางธาตุที่เคยเรียนในวิชาเคมี เช่น ธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสี ธาตุแคลเซียม ซึ่งธาตุในที่นี้ คือ นิพพานธาตุ
อุปาทิ คือ สภาพที่ถือครองในขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ -
สภาวะ ของนิพาน
-
คุยเสร็จแล้วอย่าลืม มารับยาด้วยนะครัช
-
สมัยพุทธกาล เรื่องไฟฟ้า การเกิดฝน เครื่องบิน โทรศัพย์ เป็นเรื่องอจินไตย
แต่ปัจจุบัน อะไรหรือคือเรื่องอจินไตย
ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ เคยไปมั้ย ไม่เคยคืออจินไตย
อจินไตยคือเรื่องที่ไม่มีในตน มีในคนอื่นถือว่าอจินไตย
หรือคุยเรื่องที่ไม่มีในโลก คุยเรื่องนอกโลก นี่คืออจินไตย
หรือสำหรับบางคน คุยเรื่องที่เขาไม่รู้ ไม่ได้เรียนมา นี่ก็อจินไตย
แค่นี้เอง อจินไตย -
พุทธภูมิ ที่ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์ ก็คือ ปุถุชน
Sirius Galaxy ก็คือ ปุถุชน
วิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้
กระทู้นี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการหลงฟุ้งไปในจินตนาการ ที่เพลิดเพลินของตนเอง เพื่อสนองกิเลสความอยากเพลิดเพลินของตนเอง ฆ่าเวลาให้เสียเปล่าไป เท่านั้น
หากมุ่งตรงต่อพระโพธิญาณแล้ว ก็ควรบำเพ็ญเพียร เพื่อประโยชน์ทั้งหลายของสัตว์โลก ในทางโลก หรือ ในทางจิต โดยการศึกษาวิเคราะห์จิต ไม่ใช่โดยการนึกคิดเดาเอา แล้วหลงเพลิดเพลินไปในสิ่งที่คิด -
อย่าไปใส่ใจมากเลย เอาที่รู้ชัดๆดีกว่า อะไรที่ไม่รู้ชัดๆอย่าเอามาใส่ใจมันรกสมอง เสียพลังงานเปล่าๆ
-
เรื่องอจินไตย เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิดถึง มันก็ถูกน่ะ แต่บางเรื่องก็สามารถพิสูจณ์ได้ ต้องอาศัยฤิทธิ์ทางใจ และบารมีที่สะสมมากด้วย ตรงนี้ขึ้นอยู่กับของเดิมที่มีมาและความตั้งใจฝึกฝนเพื่อให้เกิดขึ้น
-
ผมเองก็อยากรู้บางเรื่องเช่น กาล และ เวลา การดำรง อยู่ และ ดับ ของจักรวาล น่ะครับ
บางครั้งก็คิดเหมือนกัน นะ ว่าเราทำเรื่องซ้ำ นี่ ๆ มากี่รอบแล้ว
:cool: -
-
ก็เปิดกว้าง สามารถคุยได้
แต่เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องคาดคะเน เพราะผู้พูดก็ยังไม่เข้าถึง
แม้แต่เรื่องปัจจุบันใกล้ตัว ง่าย ๆ ยังอธิบายยาก
ลองนึกถึง เราอธิบาย เรื่อง ไฟฟ้า ให้คนโบราณเข้าใจ
หรือ คนตาบอดสองคน คุยกันเรื่อง สีขาว
ถ้าไม่ให้เห็นแก่ใจ ด้วยตนเองแล้ว จะอธิบายด้วยคำพูด ก็ไม่รู้อยู่ดี -
การเขียนเรื่อง อจินไตย เป็นการค้นคว้าหาจากที่มีการกล่าวไว้ และบางครั้งอาจสอดแทรกทรรศนะข้อคิดเห็นของผู้เขียน ซึ่งถือเป็นการคาดคะเน เพราะผู้เขียนไม่ใช่ผู้รู้จริง
ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อผิดพลาด หรือเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย
แต่ผู้เขียนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีผู้รู้จริง เข้ามาช่วยแสดงความคิดเห็น ให้ความรู้ความกระจ่าง
กระทู้นี้ หากมีความชอบประการใด ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงรับไว้ ส่วนผู้เขียนขอรับผิดแต่ผู้เดียว -
ผู้เขียน เคยสงสัยว่า ปัจจุบันนี้ บาตรของพระพุทธองค์ ทรงสถิตตั้งอยู่ ณ ที่แห่งหนใด และผู้เขียนได้เคยตั้งกระทู้ถามในเว็บพลังจิต ซึ่งก็ได้คำตอบที่หลากหลาย จึงไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วบาตรของพระพุทธองค์อยู่ที่ไหนกันแน่ สาเหตุอีกประการหนี่ง คือ ไม่มีผู้ใดเดินทางไปพิสูจน์ยังสถานที่เหล่านั้น หรืออาจไปแล้วแต่ไม่ได้นำมาบอกกล่าว
ผู้เขียนมีความเห็นว่า ผู้ที่จะค้นหาบาตรของพระพุทธองค์พบนั้น คือ พระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตตรัย เพราะในสมัยพุทธกาล ท่านได้อธิฐานขอให้บาตรของพระพุทธองค์ตกลงมายังฝ่ามือท่าน ดังนั้น ถ้าท่านใดคิดว่าเป็นพระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตตรัย ก็น่าจะลองเสี่ยงคำอธิฐาน
ผู้เขียนมีความเห็นว่า ถ้าเทน้ำใส่ลงไปในบาตรของพระพุทธองค์แล้วอธิฐาน น้ำนั้นย่อมเป็นน้ำที่มีคุณวิเศษใหญ่หลวง ดังเช่นน้ำอมฤต หรือน้ำที่มีคุณสมบัติเหมือนดังแก้วสารพัดนึก -
คุณ สงสัย ได้ ดีกว่าคนอื่น นะจ๊ะ
เอาอย่างงี้สิ ผมมีทางที่คุณจะได้คำตอบ นะจ๊ะ
คือผมรู้ตอนนี้ ใครคือพระพุทธเจ้า (อาจารย์ผมเอง) ทีนี้ ผมก็ไม่เคยอยากรู้ อยากถามอะไรเลย เรื่องบาตรก็เหมือนกัน แต่ ถ้าคุณอยากพบกับอาจารย์ผม เพื่อถามคำถามนี้ ผมไม่ถามให้นะ แต่คุณต้อง มาผ่านด่านทดสอบจากผมก่อนว่า คุณพร้อมที่จะได้เจอกับท่านหรือไม่ เมื่อคุณพร้อม คุณจะได้เจอจ้า แล้วคุณก็ถามท่านเองนะจีะ
แต่คุณจะผ่านด่าน ที่ผมหรือไม่ ผมตัดสินเอง นะจ๊ะ -
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสก็จริง อจินไตยเป็นสิ่งไม่ควรคิด แต่มันเป็นเฉพาะผู้ที่ต้องการศึกษาธรรมต้องการหลุดพ้น ถ้าปรารถนาอย่างนี้ไม่ควรมาติดคิดเรื่องพวกนี้ ส่วนผู้ที่ไม่ได้ต้องการอยากคิดอะไรเท่าไหร่ก็เชิญตามสบาย เพราะไม่ได้ต้องการศึกษาธรรมหรือหลุดพ้นจากความทุกข์ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย อย่างฝรั่งที่เขาคิดค้นสิ่งต่างๆ ถ้าจะนับกันจริงๆ มันก็เข้าข่ายเหมือนกัน เพราะถ้าจะรู้ครบเรื่องโลกๆ คงต้องเป็นบ้าไปก่อนแน่นอน เอาแค่สิ่งที่เกินกว่าวิสัยของเราจะเข้าใจ อย่างพวกนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ เรารู้ไม่เท่าเขา ถ้าผลงานเขาไม่ได้พิสูจน์ว่าจริงและเป็นที่ยอมรับ ต่อให้เก่งรู้จริง ก็ถูกหาว่าเพี้ยนว่าบ้าได้เสมอ
ถ้าจะคุยเรื่องอจินไตยคุยได้ครับ สำคัญจะเก็บมาเป็นสาระหลักหรือเปล่า ถ้าไปมองว่ามันต้องจริงต้องยึดถือสำคัญแบบนี้ก็พลาดจริงๆ แต่ถ้าเห็นมันเป็นแค่ความรู้เสริมก็ช่วยให้เราเห็นความจริงในแง่ต่างๆ ได้ดีมากขึ้น โดยเฉพาะพุทธภูมิจำเป็นต้องฉลาดในการเรียนรู้ ไม่ได้จะเอาแต่รู้มากเฉยๆ แต่การพินิจคิดวิเคราะห์ต้องแตกฉานด้วย ไม่ใช่อะไรนอกตำราก็ค้านก่อนแล้ว นอกจากจะเห็นว่ามันไม่ได้สำคัญอะไร อีกส่วนนึงคือต้องปล่อยให้มันเป็นเรื่องกึ่งจิตนการ ไม่ต้องไปเอาถูกผิดมาวัด เพราะอย่างไรเสียถ้าคู่สนทนาต่างก็ไม่สามารถพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ได้โดยการอ้างอิงอย่างเดียว ถ้าจะคุยให้เกิดปัญญาก็ต้องเปิดใจในเรื่องหลักๆ เหล่านี้ให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะนำไปสู่การถกเถียง
เรื่องโลก จักรวาล เคยคิดมาหมดและได้คำตอบสรุปสำหรับผมคนเดียวหมดแล้ว จึงไม่เห็นว่าเรื่องเหล่านี้เป็นอจินไตย เพียงแต่คนฟังจะรับได้หรือไม่ก็เท่านั้น แล้วก็ไม่ใช่ธุระที่จะต้องมาอธิบายให้คนฟังเข้าใจเพราะถ้าเขาอยากเข้าใจเช่นเดียวกับเราก็ต้องคิดต้องทำแบบเดียวกันถึงจะเข้าใจ ส่วนตัวเรื่องอจินไตย เป็นเหมือนกับหนังสนุกๆ เรื่องนึงเท่านั้น รู้แล้วก็วางจบไป ไม่ทำให้การบำเพ็ญบารมีเสียหายตรงไหน มีแต่ประโยชน์ด้วยซ้ำ -
ยิ่งเขาเห็นว่าอยากเป็นพุทธภูมิ เขาไม่มาเติมเชื้อกิเลส ให้คุณหลงอยู่กับการฝันจินตนาการ เสียเวลาสร้างบารมีพุทธภูมิหรอกครับ -
เคยคุยกับคนที่มีปัญหาทางจิตไหมครับ ไม่ใช่คนที่เสียสติ 100% นะครับ เอาที่มีความคิดเห็นมกมุ่นเรื่องใดเรื่องนึงซ้ำๆ จนไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถามว่าจะสอนหรือชักจูงเขาให้หลุดออกมาจากวังวนเหล่านั้นได้อย่างไร ถ้าพุทธภูมิสอนหรือหาทางสอนเขาไม่ได้ ผมว่าอย่าปรารถนาพุทธภูมิเลยครับ เพราะพุทธภูมิจริงๆ เขาต้องพยายามสอนสัตว์โลกทุกลักษณะทุกอาการ จะเว้นเสียแต่สุดวิสัยจริงๆ
คนสมัยนี้ป่วยทางจิตเยอะมาก และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ผมเชื่อว่าคนรอบๆ ข้างคุณผู้อ่านก็ต้องเคยเจอมาเหมือนกัน ถ้าเขาคนนั้นเป็นญาติเป็นคนในครอบครัว เราจะสงสารจะช่วยเขาไหม ในวิสัยคนดีก็ต้องช่วย และถ้าช่วยจะช่วยอย่างไร
ก็คงต้องเริ่มจากศึกษาความคิดในเรื่องที่เขาติดนั้นๆ รับฟังและรวมแสดงความคิดเห็นร่วมด้วย ให้เขาเกิดความเชื่อใจ อุ่นใจว่ายังมีคนที่เข้าใจเขาอยู่ และค่อยๆ แทรกความคิดเห็นที่ถูกต้องลงในเรื่องที่เขามกมุ่นจนเกินความจริงไป และเรื่องเหล่านี้เกือบทั้งหมดก็เข้าข่ายอจินไตย บางเรื่องก็เป็นแค่จินตนาการด้วยซ้ำ
ที่พูดมาถ้าไม่อาศัยเรื่องโลกๆ บางที่ก็ต้องคิดเห็นร่วมกับเขาในเรื่องที่มันพิสูจน์ไม่ได้ เป็นความเพ้อฝัน ถ้าเราไม่สามารถคิดร่วมกับเขาได้ แล้วจะไปช่วยเขาได้อย่างไร
ก็ต้องมั่นศึกษาความรู้ให้รอบด้านด้วย เพราะโลกสมัยนี้มันเปิดกว้างในความรู้เกือบจะทุกระดับ เป็นโอกาสที่ดีที่พุทธภูมิจะหาความรู้เพื่อใช้สั่งสอนสัตว์โลก
ที่สำคัญอยู่ที่ตัวพุทธภูมิเองต่างหากที่จะสามารถดำเนินการกระทำให้เกิดด้วยพรหมวิหารสี่ได้ตลอดเวลา ถ้าขาดตัวนี้ก็จบเพราะเจตนาที่ออกไปก็ผิดเพี้ยนไปจากพุทธภูมิแน่นอน -
ในสมัยที่ผู้เขียนเริ่มปฏิบัติธรรมใหม่ๆ มีบ้างรู้สึกท้อแท้ที่ปฏิบัติไม่ก้าวหน้า มีนิวรณธรรมรบกวนตลอด จึงนึกเปลี่ยนคำบริกรรมจากพุทโธ มาเป็น ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เพราะเคยอ่านพบว่าเป็นธรรมที่ทำให้เกิดความสำเร็จ
หลังจากเปลี่ยนมาบริกรรม ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา จิตตื่นตัวเพราะเห็นว่าเป็นคำบริกรรมใหม่ จิตจึงอยู่กำคำบริกรรม ยิ่งพิจารณาในความหมายของธรรมรู้สึกมีพลัง เกิดสมาธิปราศจากนิวรณ์
ต่อมาได้ศึกษาพบว่า ผู้อบรมอิทธิบาท 4 มาอย่างดีและทำจนแคล่วคล่องแล้วนี้ หากปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ถึง 1 กัปป์ ก็สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้
จึงมาคิดว่า การเจริญอิทธิบาทภาวนา คือ การบริกรรม ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เท่านั้นหรือ คิดว่าไม่น่าจะใช่ เพราะการภาวนาเพียงเท่านี้ไม่น่าจะทำให้มีอายุยืนถึง 1 กัปป์
จึงมาศึกษาพบว่า ผู้ที่เจริญอิทธิบาทภาวนา และปรารถนาจะให้มีชีวิตอยู่ถึง 1 กัปป์นั้น มีได้เฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น และเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา และไม่ใช่เป็นการบริกรรม ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา แต่เป็นการปรารถนาที่มีเหตุแรงจูงใจที่เป็นไปเพื่อการเกื้อกูล เช่น ดำรงรักษาพระพุทธศาสนา และเทศนาโปรดเหล่าพุทธบริษัท ดังนี้
1. มีความยินดี ความพอใจ หรือมีความต้องการที่จะมีอายุยืน 1 กัปป์ เพื่อดำรงรักษาพระพุทธศาสนา และเทศนาโปรดเหล่าพุทธบริษัท
2. มีความพากเพียรพยายามกระทำต่อเนื่องที่จะมีอายุยืน 1 กัปป์ เพื่อดำรงรักษาพระพุทธศาสนา และเทศนาโปรดเหล่าพุทธบริษัท
3. ตั้งจิตที่จะมีอายุยืน 1 กัปป์ เพื่อดำรงรักษาพระพุทธศาสนา และเทศนาโปรดเหล่าพุทธบริษัท อยู่อย่างนั้นสม่ำเสมอ โดยไม่ทอดทิ้งไปจากความรู้สึก และไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอย
4. ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง ใคร่ครวญหาเหตุผล ที่จะมีอายุยืน 1 กัปป์ เพื่อดำรงรักษาพระพุทธศาสนา และเทศนาโปรดเหล่าพุทธบริษัท ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป โดยมีการวางแผน ประเมินผล คิดค้นหาวิธีแก้ไขปรับปรุง
เมื่อเจริญให้มาก ทำให้มาก ก็จะรู้ได้ด้วยตนเองว่าเป็นผู้ที่มีอายุยืน 1 กัปป์ ซึ่งนับจากนั้นมา สังขารร่างกายก็จะไม่เปลี่ยนไปตามวัย คือ คงสภาพอย่างนั้นตลอด หรือที่เรียกว่า “ไม่แก่ไปตามวัย” คือ อยู่เป็นอมตะตลอด 1 กัปป์
สุดท้ายก็จะขอยกตัวอย่าง พระภิกษุมหาเถระอรหันต์อภิญญา ที่เจริญอิทธิบาท 4 ภาวนา จนสามารถมีอายุยืนถึง 1 กัปป์ หรือที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เรียกขานว่า “พระเถระในป่า” ซึ่งก็คือ “หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร” หรือ พระมหาเถระผู้ทรงอภิญญา ที่สามารถเนรมิตรรูปกายหรือจะไปปรากฏกายที่ไหนก็ได้ -
เห็นด้วยครับ ขอเสริมอีกนิดแล้วกัน
การทรงอภิญญาได้ระหว่างฌานโลกีย์กับฌานโลกุตระนั้น ระดับของพลังจิตแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว
แต่ถ้าในกรณีที่ทรงอภิญญาและตั้งจิตแนวแน่จะมีอายุเป็นกัปป์ก็ทำได้เช่นกัน เพียงแต่วิสัยคนที่จะทำอย่างนั้นเกิดได้น้อยมาก เพราะการทรงอภิญญาได้ขนาดนั้นแล้วก็ต้องทราบในวาระอื่นๆ เช่น วาระกรรมของตน ว่าจะเกิดต่อไปหรือเป็นอะไรมาก่อนแล้ว การที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่มีอะไรสำคัญให้ทำ เท่ากับการอยู่แบบสูญเปล่าเช่นกัน จึงแทบจะไม่ปรากฎให้รู้ว่าผู้ทรงอภิญญาฌานโลกีย์ทำได้ โดยมาแล้วถ้าทำได้อภิญญาแล้ว อยู่มานานระยะนึงก็มักจะคิดได้และละร่างกายไปเกิดเป็นพรหมเสียส่วนใหญ่ อย่างเช่น ฤษีต่างๆ ซึ่งการทรงอภิญญาเป็นเรื่องไม่อยากสำหรับท่าน และคงต้องมีอยู่บ้างที่ตั้งใจอยู่มาตั้งแต่หลายพันหลายหมื่นปีก่อน เพียงแต่ท่านอาจจะอยู่ในเขตที่สงบเช่นป่าหิมพานต์ เป็นต้น เพราะถ้าทรงอภิญญาได้ การจะเข้ามารับรู้เรื่องวุ่นวายทางโลกคงจะเกิดได้ยาก เพราะเจตนาก็ยังไม่อยากจะยุ่งจึงไม่จำเป็นต้องมาอยู่ในป่าเขตมนุษย์อาศัยกันให้วุ่นวาย
ขอเสริมอีกหน่อยว่าคนทั่วไปที่รู้เรื่องอภิญญาสมาบัติ ก็เข้าใจคลาดเคลื่อนไปเยอะว่าถ้าได้อภิญญาจะทำอะไรก็ได้ ในความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างอาศัยกฎอาศัยกำลังเป็นเหตุปัจจัย ดังนั้นในเรื่องนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้จะทรงอภิญญาได้จริง แต่กำลังในการแสดงรวมไปถึงกำลังปัญญาในการแสดงก็ต่างกัน ดังนั้นจะเหมารวมว่าคนที่ทรงอภิญญาจะทำอะไรก็ได้นั้นไม่เป็นความจริง เพราะเหตุที่ทำให้เสื่อมอภิญญามีมากมาย ยิ่งกว่าตอนยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
จริงก็ร่ายได้เรื่อยๆ อีกยาวเอาเท่านี้ก็พอก่อนครับ
หน้า 1 ของ 7