พุทธศาสนากับจักรวาล คำตอบจากนักวิทยาศาสตร์?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 24 สิงหาคม 2019.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,319
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,274
    ค่าพลัง:
    +9,590


    คนข้างวัด / อุทัย บุญเย็น

    ทางวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า โลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ มีอายุ (ตั้งแต่เริ่มก่อตัว) มาถึงปัจจุบัน นับได้ประมาณ 4,500 ล้านปี ชีวิตมนุษย์ปรากฏบนโลกประมาณ 50,000 ปี (ห้าหมื่นปี)

    พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานเมื่อประมาณ 2,500 ปีเศษ

    การค้นหาความจริงเกี่ยวกับโลก ทางหนึ่ง ค้นหาโลกในทางกายภาพ หรือทางฟิสิกส์ โดยนักวิทยาศาสตร์ อีกทางหนึ่ง โดยสมาธิหรือฌาน

    พระพุทธเจ้า รู้จักโลกด้วย “พุทธญาณ”

    พุทธญาณ เกิดจากสมาธิหรือฌาน

    คำว่า “โลกกลม” และคำว่า “ขอบจักรวาล” มีกล่าวถึงในพระไตรปิฎก (ซึ่งกล่าวโดยพระพุทธเจ้า)

    วิทยาศาสตร์รู้จักโลกโดยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่น ตัวเลข (ทางคณิตศาสตร์) เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่น กล้องจุลทรรศน์

    ส่วนพระพุทธเจ้ารู้จักโลกด้วยกำลังแห่งฌาน

    พระพุทธเจ้า กล่าวถึงโลกและจักรวาล มิใช่เพื่อบอกว่า โลกและจักรวาลมีสภาพเป็นอย่างไร แต่บอกเพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) คือ ความไม่เที่ยง ความไม่คงทนอยู่ในสภาพเดิม และความไม่มีตัวตนเป็นแก่นสาร

    พระพุทธเจ้าเปิดเผยว่า โลกมีอายุอันจำกัด ในที่สุดโลกจัดอันตธานหายไป กำหนดอายุเป็น “มหากัปป์” แต่ละมหากัปป์ นับเป็นแสนๆ ปี

    ทรงเปิดเผยว่า มีจักวาลในอวกาศอันเวิ้งว้างนับไม่ถ้วนและจักรวาลทั้งหลายก็มีอายุอันจำกัด แต่ละจักรวาลมีดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน บางจักรวาลมีดวงอาทิตย์ 1 ดวง บางจักรวาลมีดวงอาทิตย์มากกว่า 1 ดวง

    วิทยาศาสตร์พยายามเดินทางไปยังโลก (ดาว) ต่างๆ เพื่อค้นหาชีวิต เช่น เดินทางไปดาวอังคาร แต่ก็ยังไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆ ทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์ก็ยังขวนขวายที่จะค้นพบชีวิตในโลก อื่นๆ อยู่

    เฉพาะดาวพลูโต ที่กำลังเป็นที่จังหวัดนครสวรรค์ เป็นดาวที่อยู่ห่างไกลดวงอาทิตย์มากที่สุด วิทยาศาสตร์ก็ผลิตยานอวกาศเดินทางไปถึง ก็ได้แต่ไปถ่ายภาพอยู่ห่างๆ เท่านั้น

    ยังไม่พบวี่แววว่าจะมี “มนุษย์” หรือ “สิ่งมีชีวิต” ในต่างดาวแต่อย่างใด

    ที่จังหวัดนครสวรรค์เกิดข่าวร่ำลือว่า จะมี “จานบิน” (UFO) (และมนุษย์ต่างดาว) เดินทางมาจากดาวพลูโต ข่าวนี้ผ่านมาทาง “ร่างทรง”

    แต่ชาวพุทธมี “กาลามสูตร” เตือนใจเรื่องความเชื่อเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่เชื่อข่าวลือหรือมงคลตื่นข่าวใดๆ

    ในที่สุด ข่าวจะหยิบและมนุษย์ต่างดาวก็จะห่างหายไปเอง

    แต่พระพุทธเจ้าเคยกล่าวว่า มีจักรวาลอีกมากมายที่ยังสิ่งมีชีวิตมีอยู่ จักรวาลเหล่านั้น ยังไม่เคยมีข่าวยานอวกาศเดินทางไปสำรวจ

    พระพุทธเจ้าไม่กล่าวถึงจุดสิ้นสุดของจักรวาล และไม่กล่าวว่า มี “ผู้สร้าง” โลกและชีวิต แต่กล่าวถึงการก่อเกิดชีวิตว่ามาจาก “ตัวแสง” (เรียกว่า “อาภัสสรพรหม”)

    ไม่กล่าวว่า อาภัสสรพรหมมาจากจักรวาลไหน บอกแต่ว่าเป็นสิ่งมีชิวิตมายังโลก มาพบโลก (ดาวดวงหนึ่ง) ในสภาพที่มีแต่น้ำและสิ่งหนึ่งบนผิวน้ำที่มีรสหอมและอร่อย แล้วอาภัสสรพรหมก็มากิน ทำให้ร่างที่เป็นแสงกลายสภาพเป็นหยาบและหนัก จนไปไหนไม่ได้

    เท่ากับบอกว่า ชีวิตเริ่มก่อนตัวจากจุดนั้น คือชีวิตเกิดจาก “ตัวแสง” และ “น้ำ”

    แสง ที่ว่านั้น คือวิญญาณหรือ “จิต” นั่นเอง

    นั่นก็คือ วิญญาณหรือจิต มีสภาพเป็นแสงและแสงนั้นก็เปลี่ยนแปลงได้ เช่น เป็นแสงที่เศร้าและหยาบได้

    ในสมาธิหรือในฌาน เมื่อกายกับจิตแยกกัน จิตมีสภาพเป็นแสง ส่วนกายที่หยาบก็เปลี่ยนแปลงได้ ตามเหตุปัจจัยมีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ชื่อ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ชาวเยอรมัน (เกิดเมื่อ พ.ศ. 2422 ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.2498) เคยกล่าวว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งจักรวาล (Cosmic Religion)

    เขากล่าวว่า

    “The religion of the future will be a cosmic religion. The religion which is based on experience, which refuses dogmatism .If there is any religion that would cope with the scientific need it will be Buddhism.”

    ถอดความได้ดังนี้

    “ศาสนาในอนาคตจัดเป็นศานาแห่งจักรวาล เป็นศาสนา อิงประสบการณ์ (ของมนุษย์) ปฏิเสธความเชื่อ (faith) ที่ไม่มีการพิสูจน์ ถ้าจะมีศาสนาที่จะรับมือกับวิทยาศาสตร์ได้ ศาสนานั้นคือ พุทธศาสนา”

    ไอน์สไตน์ เป็นผู้พบ “ความเร็วของแสง” (ซึ่งมีความเร็วสูงสุด)ความเร็วของแสง คือ 300,000 กิโลเมตรต่อ 1 วินาที

    การค้นพบความเร็วของแสง เป็นกุญแจสำคัญช่วยให้ไอน์สไตน์คำนวณระยะทางระหว่างแต่ละจักรวาลได้

    มีผู้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ไอน์สไตน์ศึกษาพุทธศาสนาจากหนังสือเรื่องอะไรจึงเข้าใจคำสอนเรื่องไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้าได้ในประวัติของเขาบอกแต่เพียงว่า เขายืมหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาจากเพื่อนมาอ่าน

    แต่ความรู้จากหนังสือไม่น่าจะเพียงพอให้ไอน์สไตน์เข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าได้

    น่าจะเป็นเพราะนักวิทยาศาสตร์คนนี้ได้ทำสมาธิถึงระดับหนึ่งแล้วพบความมหัศจรรย์ในสมาธินั้น

    สมาธิที่ไอน์สไตน์เข้าถึง น่าจะเป็น “อัปปนาสมาธิ” ซึ่งเป็นฌานระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากชาวตะวันตกรู้แต่วิธีทำสมาธให้จิตนิ่งและมุ่งใช้ประโยชน์ทางวัตถุเท่านั้น ไอน์สไตน์จึงหยุดอยู่เพียงสมาธิขั้นต่ำ หารู้ไม่ว่า ความมหัศจรรย์ในสมาธิที่ละเอียด (ประณีต) กว่านั้น ยังมีอยู่ เขาจึงได้ประโยชน์จากสมาธิเพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์เท่านั้น

    การตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้ น่าคิดว่า นักวิทยาศาสตร์ทำงานในห้องทดลอง อยู่กับความเงียบสงบนานๆ อาจจะเป็นไปได้ว่า พวกเขามีการทำสมาธิในระหว่างทำงานนั่นเอง

    ทุกวันนี้ วงการวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า จิตคือการทำงานของสมองเท่านั้น จึงศึกษาแต่พฤติกรรมของสมอง ยังไม่มีการศึกษาเรื่องวิญญาณหรือจิตแต่อย่างใด

    ส่วนพระพุทธเจ้า ทรงเป็น “โลกวิทู” คือรู้ความเป็นไปของโลก (ชีวิต) ทั้งด้านกายภาพ (รูป) ทั้งด้านวิญญาณหรือจิต (นาม) ทรงเห็นว่า โลกด้านวัตถุไม่มีอะไรอย่างอื่น นอกจาก “ทุกข์” จึงค้นคิดแต่ทางที่จะพ้นไปจากทุกข์เท่านั้น

    ความมหัศจรรย์ต่างๆ ที่เห็นในสมาธิ พระพุทธเจ้าข้ามพ้นมาทุกอย่าง จึงพบว่า “จิต” หรือ วิญญาณ” เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

    ในพุทธประวัติ กล่าวถึงการระลึกชาติของพระองค์ได้ (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) และระลึกการตาย-การเกิด(จุตูปปาตญาณ) ของชีวิตทั้งหลายได้ เท่าที่ต้องการจะรู้ จึงมั่นใจว่า ได้ตรัสรู้ แต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด จนกระทั่งเมื่อพบว่า ไม่มีกิเลสทั้งอย่างหยาบและละเอียด (อนุสัย) ตกค้างอยู่ในจิตเลย จึ งมั่นใจเต็มที่ว่าได้ตรัสรู้แล้ว ไม่มีอะไรต้องทำอีก

    น่าสังเกตว่า พระพุทธเจ้าไม่สนใจเรื่องการเกิด-การดับของโลกภายนอกแต่อย่างใด ปัญหาเรื่องใครสร้างโลก จึงไม่มีในคำสอนของพระองค์ มีแต่วิธีดับทุกข์เท่านั้น

    จึงมีผู้กล่าวว่า น่าเสียดายที่นักวิทยาศาสตร์อย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ไม่ได้พบพระพุทธเจ้า

    ถ้าเขาได้พบพระพุทธเจ้า การผลิตอาวุธทำลายชีวิต-ทำลายโลก อย่างระเบิดปรมาณูและระเบิดนิวเคลียร์ คงจะไม่เกิดขึ้น

    ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์ ไม่ใช่วิธีผลิตอาวุธร้ายก็จริง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดระเบิดมหาประลัยในสงครามโลกที่ผ่านมา

    แต่ในที่สุด สงครามโลกก็จะถึงทางตันจนได้ ไอน์สไตน์กล่าวว่า สงครามโลกครั้งที่ 4 มนุษย์จะต่อสู้กันด้วยก้อนดินและท่อนไม้!

    แสดงว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จะถึงจุดจบในวันหนึ่ง ชีวิตและโลกจะกลับไปเริ่มต้นใหม่

    มานึกดู ก็เห็นภัยของสังสารวัฏฏ์ (การเวียนว่ายตายเกิดหาที่สิ้นสุดมิได้) พระพุทธเจ้าเห็นภัยที่น่ากลัวอย่างยิ่ง จึงไม่คิดอย่างนักวิทยาศาสตร์ในโลกวัตถุนิยม

    นึกถึงพระดำรัสที่ว่า มีเรื่องที่ไม่นำมาพูดถึงอีกมากมาย เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ เปรียบเที่ยบว่า เรื่องที่ไม่พูดถึงมีอีกมากมายเหมือนใบไม้ในป่า ส่วนเรื่องที่นำมาเปิดเผยมีเพียงน้อยนิด เปลี่ยนได้กับใบไม้กำมือเท่านั้นเอง

    ยังนึกไม่ออกว่า จานบินที่จะมาจากดาวพลูโต มายังโลกที่ภูเขาและกะลา นครสวรรค์นั้น จะมาอย่างไร นึกไม่ออกตั้งแต่ว่า ดาวพลูโตอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตยที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ด้วยกันจะมีขึ้นได้อย่างไร?

    ขอขอบคุณที่มา
    https://siamrath.co.th/n/98505
     
  2. เงาเทวดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +314
    ยังนึกไม่ออกว่า จานบินที่จะมาจากดาวพลูโต มายังโลกที่ภูเขาและกะลา นครสวรรค์นั้น จะมาอย่างไร นึกไม่ออกตั้งแต่ว่า ดาวพลูโตอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตยที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ด้วยกันจะมีขึ้นได้อย่างไร?

    วิสัชนาว่า ถ้าข้าพเจ้าฯ สร้างโลกได้ เป็นผู้ลิขิตกรรม(ฟ้าลิขิต) การทำอภิญญาทั้งหลายคงเป็นเรื่องง่าย เล็กน้อย การสร้างรูปมนุษย์ต่างดาว หรือจานบิน แสง สี เสียง ฯลฯ ในที่ต่างๆ คงจะง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แปลว่า............ แล้วเหตุใดต้องทำแบบนี้ ย่อมมีที่มา แต่ขอให้เป็น ? ของคนฉลาดต่อไป ขยายความว่า ลิขิตฟ้า เปิดไปจะนำภัยมาสู่ตน บอกแบบนี้ก็เยอะแล้ว ประมาณนี้แล....
     

แชร์หน้านี้