[MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.894366/[/MUSIC]
เกล็ดธรรม หลวงปู่พุธ ฐานิโย .....
พุทโธก็คือความคิด
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิษณุ12, 13 มีนาคม 2010.
หน้า 1 ของ 2
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
คุณ ปราบเทวดา
ถ้าคุณถอดเทปปมาได้ แล้วมาให้คนอ่านด้วย ก็จะดีมาก -
เดี๋ยว จะมี เพื่อนๆถอดมาให้ครับ ใจเย็นๆ
-
หลวงพ่อท่านสอนได้เข้าใจจริงๆ เราทำสมาธิได้ถึงไหนท่านก็อธิบายให้เข้าใจตามนั้นได้ เราก็เข้าใจ ส่วนที่สูงกว่านี้ยังทำไม่ได้ก็รู้ไว้ก่อนเฉยๆ
-
ใจเย็นๆ นะคะท่าน เดี๋ยวนู๋ จัดให้ค่ะ...หุหุ
-
ทำดีแล้วครับ
อนุโมทนาครับ -
พี่ปราบ ขี้เกียจแปลถอดเทป แสดงว่าไม่รักหลวงพ่อพุทธมากๆ กิ้ว กิ้ว
-
bubububububu -
......มาแล้วค่ะ ช้านิดนึงไม่ว่ากันนะคะ....
เรื่อง...พุทโธ...ก็คือความคิด
จาก...เกล็ดธรรม หลวงปู่พุธ ฐานิโย .....<!-- google_ad_section_end -->
(ของพี่ปราบเทวดา..ไม่รู้เมื่อไหร่จะปราบมารซะที..กิ้ว กิ้ว)
พุทโธ..ที่เรานึกบริกรรมภาวนาอยู่ มันก็เป็นความคิด แต่เมื่อจิตมันทิ้งพุทโธที่เราตั้งใจคิดนั่น
แล้วมันไปคิดเอง แต่มันไปคิดอย่างอื่น มันก็เป็นความคิดเหมือนกันนั่นแหล่ะ <o>
</o>
เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่จำเป็นจะต้องดึงมันกลับมาหาพุทโธอีก ปล่อยให้มันคิดไป ตามเรื่องตามราวของมัน
แต่เราต้องมีสติกำหนดตามรู้มันไป ยิ่ง..คิดเร็วเท่าไหร่ ก็ปล่อยให้มันคิดไป แล้วมีสติตามรู้..รู้..รู้..รู้..มันไป
<o></o>
ธรรมชาติของจิต ถ้ามีอารมณ์สิ่งรู้..คือความคิด สติ..มีสิ่งระลึก จิตมันจะได้พลังงานทางสติ
เมื่อมันรู้ทันกันเมื่อไหร่ มันจะเกิดความสงบ แล้วก็มี..วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ขึ้นมาได้ดังที่กล่าวแล้ว
<o></o>
นี่...วันนี้ขอแนะวิธีการทำสมาถะภาวนาในขั้นต้น นึกซะว่า ขั้นต้นเป็นขั้นสุดยอด ก็แล้วแต่จะเข้าใจ
แต่ความจริงการภาวนานี่ มันไม่มีต้น...ไม่มีปลายหรอก
อย่าไปกำหนดหมายมันว่า เราได้ญานขั้นไหน ได้ฌานขั้นไหน
ขอให้มันมีอันเป็น มีสงบ มีความรู้ มีสติรู้ทันอยู่เท่านั้น ก็เป็นพอ
<o></o> -
ขอนุโมทนาด้วยมากๆเลยครับ บุญก็ย่อมจะเป็นบุญ กุศลก็ย่อมเป็นกุศลครับ
-
อนุโมทนา สาธุ ครับ
แต่ถ้านั่งสมาธิ แบบไม่ภาวนาจะเกิดผลใดๆ
เหมือนกับการนั่งสมาธิแบบภาวนาใหมครับ?
ขอโทษที่ ถาม นะครับ -
ภาวนา แปลว่า การรวมเป็น รสอันเดียว ที่หมายความว่า รสอันเดียวนี้
ที่เรียกว่า รวมรสอันเดียวนี้ ไม่ได้หมายถึง รวมรสเปรี้ยว หวาน มันเค็ม เป็น รสอันเดียว แต่กล่าวคือ จะแยกรวมไปถึง เหตุแห่งให้เกิด ศีล สมาธิ ปัญญา
นัยหนึ่งที่เราจะเข้าใจ คำว่าภาวนานี้ ในกรณีที่ถาม
หากหมายเข้าใจว่า การภาวนา คือ การบริกรรม ก็จัดเรียกด้วยกันได้
คือเป็นเหตุแห่ง การเกิด ศีล สมาธิ ปัญญา เช่นกัน
หาก หมายเข้าใจว่า การภาวนา คือ การรู้ลมหายใจเข้าออก ก็จัดเรียกด้วยกันได้ คือ เป็นเหตุแห่ง การเกิดศีล สมาธิ ปัญญา ก็ได้เช่นกัน
ส่วนด้วยการเรียก คำบริกรรม นั้น เป็นการ หาสิ่งเป็นเครื่องผูกแห่งการกระทำ
จะบริกรรมด้วย พุทโธ ก็ดี สัมมาอะระหังก็ดี ยุบหนอ พองหนอก็ดี ล้วนเป็นเครื่องผูกแห่งจิตเพื่อ ความสงบ ได้ทั้งสิ้น
แต่ ในกรณี ที่เราไม่บริกรรม ก็ สามารถ ยืน เดิน นั่ง นอน เพียงมีสติรู้แต่ ลมเข้า ลมออก ทุกลมหายใจเท่านี้ก็ได้ ก็จะส่งผล ให้จิต สงบ ลงเป็น สมาธิได้ เช่นกัน กรณี นี้จะเหมาะสำหรับ ผู้ มีจริตนิสัย เบาบางครับ ..... -
-
พี่ปราบเทวดาคะ..
พลูโต..บริกรรมว่า "พุงยุบหนอ..พุงยุบหนอ" แทนได้มะคะ..หุหุ
ขำๆ แก้เครียดนะคร๊า.. -
หลวงพ่อพุธท่านสอนธรรมมะได้ดีมากๆ เลยครับ ผมเองก็ชอบอ่านคำเทศน์ของท่านในเรื่องสมาธิ
เท่าที่อ่านมาก็พอจะเข้าใจอย่างนี้...
สติที่ตามรู้คำบริกรรมพุทโธๆๆๆ กับสติที่ตามรู้ความคิดก็คือสติอันเดียวกันนั่นแหละ
หากตามรู้คำบริกรรมพุทโธๆๆๆ อย่างไม่ลดล่ะ จิตก็จะเกิด วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข และเอกัคตารวมลงได้ในที่สุด
เช่นเดียวกัน จิตที่คอยตามรู้ความคิดอย่างไม่ลดล่ะก็จะสามารถทำให้เกิด วิตก วิจารณ์ และ ปีติ สุข รวมลงได้ในที่สุดเช่นเดียวกันไม่มีปัญหาอะไร
ทั้งคำบริกรรมพุทโธ และ ความคิด ล้วนสามารถนำมาใช้เป็นอารมณ์ให้จิตเกาะ
สามารถนำมาใช้เป็นเหยื่อล่อให้จิตรวมลงได้เหมือน ๆ กัน แล้วแต่ใครจะถนัดแบบไหนเลือกใช้ให้ถูกกับจริตนิสัย
หากบริกรรมพุทโธแล้วรู้สึกว่าจิตไม่สงบไม่รวมซักทีมีแต่ความหงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ ก็ลองหันมาตามรู้ความคิดดูก็ได้
สรุปก็คือ...เราสามารถจะใช้อะไรก็ได้ให้เป็นเครื่องรู้ของสติอย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องพุทโธหรือความคิดก็ได้
การยกจิตขึ้นตามรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างต่อเนื่องไม่ลดละก็คือตัววิตก จิตที่รู้อยู่กับสิ่งนั้นๆ ก็คือตัววิจารณ์
เมื่อมีวิตก วิจารณ์ อย่างนี้แล้ว ปิติและสุขก็ย่อมจะเกิดขึั้้้นและจิตจะรวมลงได้ในที่สุด
ผมอ่านคำเทศน์ของท่านมาบ้าง ก็พอจะเข้าใจแนวทางประมาณนี้นะครับในเรื่องการทำสมาธิ
แต่ตัวเองก็ัยังทำได้ไม่ถึงไหนตามที่ท่านสอนหรอก ต้องพยายามกันต่อไปอีกเยอะ ก็ไม่ท้อถอยแต่อย่างใด
ฝึกตามรู้มาหลายอย่าง ทั้งพุทโธทั้งความคิดและอื่นๆ อีก โน่นทีนี่ทีจับฉ่ายไปหน่อยเลยเห็นผลบ้างแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ
ไม่ก้าวหน้าไปถึงไหนซักที ตอนนี้ก็เลยตั้งใจแน่วแน่หันมาตามรู้ลมหายใจอย่างเดียวก่อน -
QUOTE=canopus;3439316]
โมทนาครับ มีข้อสังเกตุให้นิดนึงครับ
สรุปก็คือเราสามารถใช้อะไรก็ได้ที่ให้เป็นเครื่องรู้ของสติให้ต่อเนื่องนั่นเอง
การยกจิตขึ้นตามรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างต่อเนื่องไม่ลดละก็คือตัววิตก จิตที่(มีสติ ....อันนี้เพิ่มนิดนึง)รู้อยู่กับสิ่งนั้นๆ ก็คือตัววิจารณ์ เมื่อมีวิตก วิจารณ์ อย่างนี้แล้ว ปิติและสุขก็ย่อมจะเกิดขึั้นได้ในที่สุด
หากหันมารู้ลม ลองสังเกตุ ดูว่า มีไหม บางช่วง ที่มันหันแว๊ปไปคิด ออกจากลม หรือ หันไป รู้ลมเองโดยที่ไม่ตั้งใจที่จะดูลม มันจะสลับไปสลับมา บางที จะมี นิมิตรอยู่ตรงหน้า เอาไว้สังเกตุครับ -
ขอรบกวนถามคุณปราบเทวดาค่ะ
เวลาดิฉันทำสมาธิ จะภาวนาคำพุทโธบ้าง แต่ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยภาวนาคำอะไร แค่ตามรู้ร่างกาย ว่าตอนนี้หายใจเข้า ท้องก็พอง หายใจออก ท้องก็ยุบ เวลาที่มีความคิดฟุ้งซ่าน ก็จะตามความคิดที่ส่งออกนอกอันนั้นไปเฉยๆ ตามรู้เฉยๆ ทีนี้ขณะที่ตามดูความคิดที่ส่งออกนอกอันนั้น ดิฉันก็ยังรู้ลมหายใจตัวเองอยู่ว่าเข้าหรือออก ดิฉันควรพยายามเลือกดึงความสนใจให้มาอยู่แต่ที่ลมหายใจ หรือตามดูความคิดนั้นเพียงอย่างเดียวหรือไม่คะ เพราะดิฉันเป็นแบบนี้บ่อยมาก ขอคำแนะนำด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
-
เวลาดิฉันทำสมาธิ จะภาวนาคำพุทโธบ้าง แต่ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยภาวนาคำอะไร แค่ตามรู้ร่างกาย ว่าตอนนี้หายใจเข้า ท้องก็พอง หายใจออก ท้องก็ยุบ
..ตรง นี้เล่าเพิ่มเติมอีกได้ไหม ว่า เวลาที่รู้ลม แค่เข้าออก มีความคล่องตัวไหม..ความคล่องตัวที่ ว่า คือ พอรู้สึกที่ ลมหายใจเข้าออกแล้ว ซักพัก
ความตั้งใจที่ จะรู้ลม หรือคอยที่จะรู้ลม ความรู้สึก ตรงนี้ ยังมีไหม
หรือสังเกตุ ง่ายๆว่า เราตั้งใจที่จะรู้ลม พอตั้งใจตรงนี้ไปซักพัก ไม่นาน ความตั้งใจตรงนี้หายไป แล้วมันไปมีความคิดอย่างอื่นตามมา ..เป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ
เวลาที่มีความคิดฟุ้งซ่าน ก็จะตามความคิดที่ส่งออกนอกอันนั้นไปเฉยๆ ตามรู้เฉยๆ ทีนี้ขณะที่ตามดูความคิดที่ส่งออกนอกอันนั้น ดิฉันก็ยังรู้ลมหายใจตัวเองอยู่ว่าเข้าหรือออก ดิฉันควรพยายามเลือกดึงความสนใจให้มาอยู่แต่ที่ลมหายใจ หรือตามดูความคิดนั้นเพียงอย่างเดียวหรือไม่คะ เพราะดิฉันเป็นแบบนี้บ่อยมาก ขอคำแนะนำด้วยนะคะ
.. สำหรับตรงนี้ มีข้อให้สังเกตุ ตรงที่ความตั้งใจ
หารเรามีความตั้งใจที่จะรุ้แค่ ลมอย่างเดียว ก้ขอให้รุ้แต่ลมอย่างเดียว เป็นการทำรูปฌานเข้าไปก่อน เพื่อให้เข้า อัปนาสมาธิ
หากมีความชำนาญ ในการเข้า อัปนาสมาธิ โดยคล่องตัวแล้ว ขอให้ดูให้มันชัด สังเกตุให้มันชัด ตรงที่ ขณะที่จิตถอยออกจากอัปนาสมาธิ พอรู้สึกว่ามีกายอยู่ มีความคิดเกิดปั๊ป สติจะทำหน้าที่ตามรู้ไปเองโดยอัตโนมัติ สังเกตุตรงนี้ชัดๆ อันนี้จุดนึง แต่ ว่า มันจะเป็นการตามรู้เองโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะแตกต่างจากแต่ก่อนที่เรามีความตั้งใจตามรู้ แต่ก็จะเป็นได้ไม่นาน แล้วแต่ กำลังของจิตที่เราได้จากการพักลงในอัปนาสมาธิ
ข้อสังเกตุอีกอย่าง หากเรามีความชำนาญในการรู้ที่ลมเข้าออกแล้ว
พอเราเริ่มนั่งภาวนาได้ซักพัก ความตั้งใจที่รู้เพียงแต่ลมมันหาย แต่มันกลับไปรู้สึกที่จิตไหลไปคิด คือพอจิตไหลไปกับคิด หรือที่เรียกว่า ส่งออกก้ได้ หากเรารู้สึก ว่ามันไปรู้ตามความคิดนั้น ก้แสดงว่าเริ่มภาวนาเป็นแล้ว สติเริ่มทำหน้าที่เองโดยอัตโนมัติ เป็นขณะๆไป และก้ไม่จำกัด ว่า จะรู้ที่อะไร แต่จะเป็นแต่เพียงว่า มีอะไรมาให้รู้มันก็จะรู้อันนั้น
ในลักษณะที่เล่ามาข้างต้นนี้ ที่ว่า แรกๆ รู้ลม ไปๆมาๆ ไปรู้ความคิด แล้วก็สลับมารู้ที่ลม หากเป็นอย่างนี้บ่อยๆๆไม่ต้อง ทำไรมาก
เพียงแต่ทำสติตามรู้เรื่อยๆไป มันจะรู้ ที่ลมเราก็รู้ที่ลม มันจะไปรู้ที่คิด ก็ รู้ที่คิด
ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆๆ อบรมรู้เฉยๆไปเรื่อยโดยทำทีไปว่า มันไปรู้ที่ลมเข้าออก หรือเรียกว่ารุ้กาย ก็ตามรู้ที่นั้น พอมันหันไปรู้ที่ความคิด ก็ทำสติรู้ที่ความคิดนั้น มันจะสลับไปสลับมาก็ช่างมัน เราทำหน้าที่ตามรู้อย่างเดียวไปเรื่อยๆ
หากทำตรงนี้ชำนาญเข้าไปอีก ค่อยมาเล่าสู่กันฟังอีกทีก้ได้ครับ
เทคนิกในความเข้าใจความคิดมีอย่างนึง ต้องทำความเข้าใจ
ความคิด ที่เกิดมานี้ หากเป็นความคิดที่เราไม่มีความตั้งใจคิด แต่มันมาเอง
จะเป็น คิดดี คิดชั่ว คิดกลางๆ ก็ช่าง อันนี้เป็นวิตกในองค์ปฐมฌาน แล้วเรามีสติตามรู้เหล่านี้เอง อันนี้เป็นวิจาร เมื่อเป็น สองอย่างนี้มา จะรู้สึกมีปีติ ซ่านๆมาเป็นระยะตามร่างกาย ก็ปลอยมันไปเรื่อย ทำหน้าที่รู้อยุ่เรื่อยๆ อะไรมารู้อันนั้น...อบรมตรงนี้ไปเรื่อยอีก มันจะลงอัปนาได้คล่อง และเป็นไปเองของมัน
คำแนะนำอีกนิดนึง.... พอทำไปเรื่อยๆ มันไปสุดช่วงมัน มันจะเริ่มๆถอนออกของมันมาเอง ในขณะที่จะเริ่มถอนนั้นแรกๆอาจจะเริ่มมีอาการ ปวดขา ปวดข้อหลังจาก1ชั่วโมงผ่านไป หรืออาจจะน้อยหรือมากกว่านั้น แนะนำเวลาที่จะออก อย่าด่วนรีบลุกทันที ปล่อยให้มันถอนมาจนสุดช่วงมัน แล้วก็ทำสติตามรู้ไปด้วย สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆยาว ซักสี่ห้ารอบ แล้วค่อยค่อย ลุกออก จะได้ไม่มีอาการปวดหัว ปวดท้ายทอยตามมา
-
http://www.fungdham.com/sound/put.html]<!-- google_ad_section_end -->
จากลิ้งที่ให้มา ลองไปโหลดฟัง
ไฟล์ที่ 131 เรื่องการปฏิบัติภาวนาจิต
กับ 133 เรื่อง ศีลเป็นคุณธรรมของมนุษย์
ลองโหลดไปฟังดูครับ หลวงปู่จะอธิบาย ช่วงรุ้ลมและความคิด ช่วงที่ไปรุ้ความคิดมันจะแว๊ปเข้าอรูปฌานไปในตัว เอาไว้สังเกตุครับ
หน้า 1 ของ 2