ดีใจด้วยนะครับท่านเขยเชียงใหม่ แถมยังได้ชมบารมีครูบาอีก หุหุหุ แถมยังมีรุ่นแรกอีก สวดยอดเลยยยยย อิอิอิอ
พูดคุย แนะนำ ครูบาอาจารย์สายล้านนา...
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย kang_som, 25 มกราคม 2012.
หน้า 5 ของ 11
-
-
สวัสดีพี่ kang som เปิดกระทู้ใหม่ มีเเจกพระไหมครับ ฮ่าๆๆๆ
บ้านเกิดผมพะเยา ครูบาอ่อน วัดสันต้นหวีดครับ ที่ผมใช้เป็นรูปส่วนตัวผมเลยครับ
ท่านเด่นเรื่อง ค้าขาย โชคลาภ ครับ -
ทักทายครับ ผมเรียนลำปาง ไปหาท่านมาเเล้วครับ ไกลมาก หลงทางตอนไปหลายชั่วโมง ขากลับยังหลงทางออกอีก
ตอนนี้ท่านไม่ค่อยสบายครับ ทางวัดไม่อยากให้ญาติโยมไปรบกวนท่าน ท่านเหนื่อยง่า่ยครับ ท่านเป็นโรคหืดหอบ
ตอนนั้นผมไป ผมก็ยังไม่รู้เเต่คนที่วัดเห็นใจเลยให้พบท่านครับถวายยารักษาโรคให้วัด เเล้วท่านก็ให้พร สักพักท่านก็ขอตัวนอนท่านเหนื่อยครับ วัตถุมงคลที่ขึ้นชื่อของท่าน กะลาราหูครับ เเละควายธนู สร้างตามครูบานันตาอาจารย์ของท่าน
ครับ ขณะนี้ทางวัดเหลือ ควายธนู เหรียญครูบานันตา ที่เหลือเเจกครับ
ที่เห็นวัตถุมงคลท่านมีมากมาย บางอย่าง มีคนสร้า้งให้ครับ รายได้เข้าวัดนิดเดียว ท่านสร้างไม่เยอะครับ(ข้อมูลจากทางวัด) -
ขอเพิ่มอีกนิดที่ไปมาครับ ครูบาเดช ป่าช้ารัตนโกสินทร์ อำเภอเเม่เมาะ จังหวัดลำปาง ขี่มอเตอร์ไซต์ไปกับเพื่อน ห่างจากตัวเมืองเกือบห้าสิบกว่ากิโล ไกลมาก ขี่จนก้นชา ท่านเด่นทางสายเสน่ห์ครับ เมตตาครับ ^______^
-
สวัสดีพ่อหนุ่ม ไม่ค่อยเจอหน้าเจอตาเลยนะ
กระมู้ตั้งมานานแล้วแต่ไม่ค่อยได้มีใครเข้ามาโพส ก็เลยตกไปหลายหน้าเลย ถ้ามีครูบาอาจารย์ท่านไหน ประวัติมงลงด้วยก็ได้นะสุดหล่อ.....ครูบาอ่อนก็ได้หรือแนะนำ -
นำ้มันงา ครูบาสุรินทณวัดศรีเตี้ย เป็นไง?
-
น้ำมันมนต์
ครูบาสุรินทร์ วัดหลวงศรีเตี้ย
ใช้ได้สารพัดครอบจักรวาล รักษาโรค แคล้วคลาด
แก้สัตว์มีพิษกัดต่อย เสน่ห์เมตตามหานิยม ข่ามคง
แก้เด็กร้องไห้ยามค่ำคืน
ขนาดขวด สูง 4 ซม.(ก้นขวดถึงฝาขวด)
เส้นผ่านศูนย์กลางขวด 1.9 ซม.
ประวัติและวิธีใช้น้ำมันมนต์
น้ำมันนี้เรียกว่า "น้ำมันมนต์" เพราะท่านทำพิธีปลุกเสกด้วย
คาถาอาคม และเวทย์มนต์ต่าง ๆ ซึ่งท่านสาธุเจ้าถาวรเถร เจ้าอาวาส
ผู้ริเริ่มสร้างวัดหลวงศรีเตี้ยเป็นองค์แรก ได้คิดค้นตำหรับในการสร้าง
น้ำมันมนต์ ซึ่งสกัดจาก "งาดำบริสุทธ์" โดยไม่มีน้ำมนอย่างอื่นเจือปนเลย
ทำกันครั้งนั้นนับได้เกือบสองร้อยปีมาแล้ว และได้ทำพิธีการอันนั้น
สร้างสืบสานต่อกันมา จนสืบมาถึงหลวงปู่ครูบาเจ้าสุรินทร์ สุรินโท
ซึ่งปรากฎมีสรรพคุณเป็นที่นิยมรู้จักแพร่หลาย กระทั่งบัดนี้ นับว่าได้
หลายชั่วเจ้าอาวาสแล้ว ซึ่งนิยมทำพิธีปลุกเสกกันในวันเดือนดีปีใหม่
เมืองเหนือ
วิธีอธิษบานใช้น้ำมันมนต์ โดยย่อดังต่อไปนี้
1. ใช้ในทางอยู่ยงคงกะพัน(ข่ามคง) สมัยก่อนคนเฒ่าแก่เอาใส่ขวดเล็ก ๆ
มัดแขวนติดกับฝักดาบ เมื่อจะเกิดเภทภัยต่าง ๆ แก่เจ้าของ น้ำมันนี้จะ
แสดงอภินิหาร คือ จะเดือดเป็นฟองขึ้น เมื่อเป็นอย่างนี้ให้เจ้าของได้
ตั้งสัจจะอธิษฐานกินเสียเท่าเม็ดในพุทธา(บะตัน) แล้วทาที่กระหม่(หัว)
ท้ายทอย(ง่อน) ทาที่ลำคอ ทาที่ลิ้นปี่(ลิ้นอก) ทาที่สะดือ ก็จะปลอดภัย
จากอันตรายทั้งปวง
2. ใช้ในทางเสน่ห์มหานิยมเวลาเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ หรือ ติดต่อธุรกิจ
การงานกับปวงชนทั้งปวงทั่วไป ให้สัจจะอธิษฐานแล้วนำน้ำมันทาที่
หน้าผาก ทาที่ริมฝีปาก ก็จะเป็นเสน่ห์มหานิยม เป็นที่ชื่นชอบเคารพรัก
ของคนทั้งหลายนักแลฯ
3. ใช้ในทางแก้สัตว์มีพิษต่าง ๆ กัดต่อย(ขบเดียด) ไฟไหม้น้ำร้อนลวก
มีดบาด งู ตะขาบ(จักเข็บ) แมลงป่อง ผึ้ง กัดต่อย ให้อธิษฐานแล้วนำ
น้ำมันนี้ทาเหนือปากแผล และบาดแผลนั้นก็จะหาย ตลอดถึงใช้ในการ
ประสบอุบัติเหตุต่าง ๆ บาดแผลนั้นก็จะหายโดยเร็ว แม้เกี่ยวกับกระดูกหัก
เส้งเอ็นตึงมึนชา ปวดเมื่อย บวม อักเสบกล้ามเนื้อ ให้อธิษฐานและนวด
บริเวณที่มีอาการ ก็จะหายแลฯ
4. ใช้ในทางแคล้วคลาดจากอันตรายต่าง ๆ เวลาเดินทางขึ้นรถลงเรือ
ไปเหนือมาใต้ ให้อธิษฐานนำน้ำมันมนต์ติดตัวไปด้วยเสมอ ก็จะทำให้
แคล้วคลาดจากอันตรายที่จะเกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้แลฯ
5. เมื่อมีน้ำมันมนต์เก็บไว้ยังบ้านเรือน ให้เก็บไว้ที่สูง ก็จะเกิดความร่มเย็น
เป็นสุขแก่เจ้าของบ้าน ทั้งยังช่วยปัดเป่าภูตผีปีศาจได้ ถ้าลูกเด็กเล็กแดง
ตกใจร้องไห้ยามค่ำคืน ให้อธิษฐานนำน้ำมันมนต์นี้ทาที่กระหม่อม ทาที่คอ
ทาที่ลิ้นปี่(ลิ้นอก) ทาที่สะดือ ถ้าเกิดจากผีร้ายก็จะหายแลฯ
6. น้ำมันมนต์นี้ใช้สารพัดประโยชน์ครอบจักรวาล หากใช้ในทางไหน
โรคใด ทั้งภายนอกภายใน ให้อธิษฐานจิตก่อนใช้ทุกครั้ง โดยส่งจิตระลึก
ถึงสาธุเจ้าครูบาถาวรเถร(เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดหลวงศรีเตี้ย) เจ้า
ตำหรับน้ำมันมนต์ และส่งจิตระลึกถึงหลวงปู่ครูบาสุรินทร์ สุรินโท
ก็จะสมความปรารถนาทุกประการ
น้ำมันมนต์จะสัมฤทธิ์ผลสมความมุ่งมาดปรารถนา ก็เมื่อผู้ได้รับให้
ความเคารพเชื่อถือ ด้วยความจริงใจ ก็จะสมควาามปรารถนา
ทุกประการ -
หลวงปู่ครูบาสุรินทร์ สุรินฺโท อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ยพระครูวิมลศรีลาภรณ์ (ครูบาสุรินทร์ สุรินโท) เดิมเมื่อยังเป็นฆราวาสมีชื่อว่าเด็กชายสุจา เสมอใจ เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2441 ตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำเดือนเกี๋ยงเมือง ปีเส็ด จุลศักราช 1260 ณ บ้านศรีเตี้ย แขวงป่าซาง เมืองลำพูน มณฑลพายัพ บิดาชื่อ พ่อทิพย์ มารดาชื่อ แม่จันตา มีพี่น้องร่วมครรภ์เดียวกัน 7 คน เด็กชายสุจาเป็นคนที่ 5 มีพี่ชาย 3 คน พี่สาว 1 คน และมีน้องสาว 2 คน
เมื่อยังเป็นเด็กชายสุจา ท่านมีสุขภาพสมบูรณ์ และมีความจำเป็นเลิศ ตอนอายุ 7 – 8 ขวบ ได้ออกเลี้ยงควายตามประสาลูกชาวนา ฝูงควายในท้องทุ่งจำนวนมาก ท่านสามารถแยกแยะออกและบอกได้ว่าควายตัวใดมีใครเป็นเจ้าของ และควายตัวใดเป็นลูกของแม่ควายตัวไหนด้วย ข่าวนี้ทราบถึงครูบาตุ้ย ญาณวิชโย เจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย ท่านครูบาคิดเห็นว่า เด็กน้อยสุจานี้เติบโตขึ้นจะเป็นบุรุษที่จะช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาได้ จึงเรียกหาตัวและชักชวนให้เข้าวัด เป็นเด็กวัดศรีเตี้ยเมื่ออายุได้ 9 ขวบตั้งแต่นั้นมา เด็กชายสุจาได้เล่าเรียนอักขระล้านนา (ตั๋วเมือง) จนสามารถจำและอ่านพระธรรมคัมภีร์ต่างๆ ได้ดี เมื่ออายุครบ 13 ปี ในปี พ.ศ.2453 ก็ได้บรรพชาในสำนักครูบาตุ้ย ญาณวิชโย วัดศรีเตี้ย สามเณรสุจาตั้งใจอุตสาหะพากเพียรท่องจำ และทำความเข้าใจ สามเณรสิกขา เสขิยวัตร และปฏิบัติเคร่งในศีลสามเณร 10 ประการ ทั้งท่องจำสวดมนต์สิบสองตำนานได้ด้วย
ครูบาตุ้ย ญาณวิชโย เจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย มีความคิดเห็นว่าสามเณรสุจาสนใจในการเล่าเรียน และพากเพียรปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐาน จึงส่งเสริมเสริมศิษย์โปรดให้ไปเรียนในสำนักครูบาไชยลังกา วัดศรีชุมผามงัว เมืองลำพูน ซึ่งสามเณรสุจาก็ได้เรียนภาษาสยาม จากครูบาอาจารย์ในสำนักเรียนนี้ และได้ร่ำเรียนมูลกัจจายนะ สัททาสนธิ อันเป็นหลักสูตรภาษาบาลีระบบการศึกษาล้านนาในอดีตด้วย แต่การเรียนภาษาสยาม และบาลีมูลกัจจายนะของสามเณรไม่ก้าวหน้า เพราะท่านสนใจวิชชาวิปัสสนามากกว่า ท่านจึงลาออกจากสำนักครูบาไชยลังกา ไปศึกษาเล่าเรียนวิชชาวิปัสสนากัมมัฏฐาน ในสำนักครูบากันธา คนธวํโส วัดต้นผึ้ง แขวงป่าซาง เมืองลำพูน
ถึงปี พ.ศ.2462 สามเณรสุจาอายุได้ 21 ปี ครบปีบวชเป็นพระภิกษุ ท่านก็กลับมาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดศรีเตี้ย ตำบลบ้านโฮ่ง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน (ตำบลบ้านโฮ่งได้ยกฐานะเป็นอำเภอบ้านโฮ่ง เมื่อ พ.ศ.2499) ครูบาตุ้ย ญาณวิชโย เจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย เป็นพระอุปัชฌายะ พระอธิการคำ คมภีโร วัดร้องธาร อำเภอป่าซาง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการกันธา คนธวํโส วัดต้นผึ้ง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้นามฉายาที่พระอุปัชฌาอาจารย์ตั้งให้ว่า พระภิกษุสุรินทร์ สุรินโท เมื่อบวชอยู่ได้ 5 พรรษา ท่านก็ได้นิสสัยมุตตกะ จึงได้พร้อมกับกัลยาณมิตรขอท่าน ได้แก่ พระปันแก้ว รตนปญโญ (ครูบาปันแก้ว วัดปทุมสราราม) พระพรหมมา พรหมจกโก (ครูบาพรหมจักร วักพระบาทตากผ้า) พระจันโต กาวิชโย (ครูบากาวิชัย วัดวังสะแกง) พระคำ คนธิโย (ครูบากันธิยะ วัดดงหลวง) และพระอุ่นเรือน สิริวิชโย (ครูบาอุ่นเรือน วัดสันเจดีย์ริมปิง) เป็นสหธรรมมิกภิกขุปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ธุดงค -วัตร ออกจาริกไปบำเพ็ญเพียร และอนุสาสน์สั่งสอนหลักการปฏิบัติ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแก่พุทธบริษัทในแขวงต่างๆ ของเมืองลำพูน และหัวเมืองใกล้เคียงเป็นเวลา 3 ปี
ถึงปี พ.ศ.2470 เมื่อครูบาตุ้ย ญาณวิชโย เจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย ถึงแก่มรณภาพ ในปีที่พระสุรินทร์ สุรินโท มีอายุได้ 29 ปี 8 พรรษา ท่านก็ทำหน้าที่ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย และได้จัดงานทำบุญถวายเพลิงศพครูบาตุ้ย ญาณวิชโย พระอุปัชฌายะ เสร็จสิ้นในปี พ.ศ.2474 แล้ว เจ้าคณะเมืองลำพูน กับผู้สำเร็จราชการเมืองลำพูน ได้ออกตราตั้งให้พระสุรินทร์ สุรินโท ดำรงสมณศักดิ์ที่ พระอธิการสุรินทร์ สุรินโท ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย ให้มีหน้าที่เจ้าอาวาสตามมาตรา 13 และมีอำนาจปกครองวัดตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองสงฆ์ ร.ศ.121 และท่านก็สืบทอดแบบอย่างขนบธรรมเนียมปกครองวัดตามอย่างครูบาตุ้ย ญาณวิชโย ผู้เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านด้วย ตลอดเวลาที่เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีเตี้ย ก็สั่งสอนพระภิกษุสามเณร เน้นหนักอบรมทางวิปัสสนาธุระ และสั่งสอนอบรมศรัทธาชาวพุทธของวัด ทางสมถกัมมัฏฐานพอเป็นทางสงบใจ ทั้งเป็นผู้อำนวยการทางคันถธุระแผนกปริยัติธรรมนักธรรมและบาลี ส่วนด้านสาธารณูปการท่านเพียงแต่บูรณะปฏิสังขรณ์และก่อสร้างเสนาสนะสงฆ์ สถานพุทธาวาสที่สำคัญและจำเป็นเท่านั้น เพราะอัธยาศัยของท่าน เป็นพระสมณที่ดำรงตนสมถะเรียบง่าย ฉันน้อย ใช้น้อย แต่ทำประโยชน์ใหญ่
ครูบาสุรินทร์ สุรินทเถระ ได้อุทิศตนบูชาพระพุทธศาสนา โดยมั่นอบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์และศรัทธาชาวพุทธให้ดำรงตนในศีลธรรมคำสั่ง สอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เป็นศาสนิกชนที่ดีของพระศาสนา เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ ท่านเทศนาสั่งสอนปลูกฝังความรักซึ่งกันและกัน ในยามตกทุกข์ได้ยาก เจ็บไข้ได้ป่วย ยามแก่เฒ่าชรา และให้รักกันแม้จะมีใส่ร้ายยุแหย่ให้แตกสามัคคีก็ไม่มีแหนงหน่ายกัน ความรักอันนี้เป็นรากฐานศิลา แห่งเมตตาของมนุษย์ อันภาระพระพุทธศาสนาทั้งสองประการที่ท่านได้กระทำบำเพ็ญมาถึงขีดจรรโลงพระ พุทธศาสนา เป็นผลให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่สืบต่อจิระฐิติกาล ทราบถึงพระคณาธิการฝ่ายปกครองคณะสงฆ์ระดับแขวง เมือง มณฑล ฉะนั้นในปี พ.ศ.2481 ขณะที่ท่านสุรินทร์อายุได้ 40 ปี 19 พรรษา จึงได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูสมณศักดิ์ชั้นประทวน (จปร.) นามว่า พระครูสุรินทร์ สุรินโท และพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี เจ้าคณะมลฑลพายัพ ได้นำพัดยศประทวน (จปร.) มามอบให้ท่านท่ามกลางสังฆสันนิบาต ณ พระวิหารหลวงวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ซึ่งพร้อมกับนำ พระมหาสำรี (อมร) (พระสุเมธมังคลาจารย์) มาเป็นพระคณาจารย์ประจำสำนักเรียนเมืองลำพูน กาลเวลาล่วงไปอีก 40 ปี ถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จฯพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า รัชกาลที่ 9 แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2521 พระครูสุรินทร์ สุรินโท ก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พระครูสัญญาบัตรพัดยศชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาที่ พระครูวิมลศรีลาภรณ์ ในขณะที่ครูบามีอายุได้ 80 ปี 59 พรรษา
พระครูวิมลศรีลาภรณ์ เป็นพระเถระที่มีความเจริญพร้อมด้วยชนมายุ ด้วยคุณธรรม ความรู้ ความสามารถเป็นเถรัตตัญญู ทรงไว้ซึ่งศีลาธุคุณ สมาธิคุณ และวิปัสสนาคุณ รอบรู้แตกฉานในกิจพระศาสนา แบบแผนประเพณี เปี่ยมด้วยเมตตาพรหมวิหาร จึงมีกิตติศัพท์ปรากฏไกล เป็นครูฐานิยบุคคลที่พึ่งที่เคารพของอเนกศิษย์ศรัทธาสาธุชนทั่วไป ทั้งในจังหวัดลำพูนและต่างจังหวัดทั่วประเทศ
พระครูวิมลศรีลาภรณ์ได้มรณภาพลงตามสภาพหลักธรรมสังขารอันปรุงแต่งด้วย โรคชราเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2532 เวลา 01.40 น. ณ วัดศรีเตี้ย และได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุฌาปนสถานชั่วคราว สนามสุรินโท วัดศรีเตี้ย อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน มีนายสว่าง อินทรนาค ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนเป็นประธานในพิธี
บนเส้นทางชีวิตของท่านครูบาสุรินทร์ สุรินโท นั้น เป็นบัณฑิตในธรรมย่อมกล่าวได้อย่างไม่เคอะเขินว่า เป็นสายสัมมาอริยมรรค คือมัชฌิมปฏิปทา ไม่หละหลวมหย่อนยาน ไม่เคร่งตึงเครียด และคำอุศาสน์สั่งสอนของครูบามีอรรถเหมือนหนึ่งท่านเรียนจนจบพระไตรปิฎก เป็นอนุศาสนีปาริหาริยะโดยแท้ ดียิ่งกว่าของขลังศักดิ์สิทธิ์ เพราะคำสั่งสอนนั้นออกฤิทธิ์ได้จริง สมคารที่ศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนทั่วไป จดจำนำไปศึกษาปฏิบัติตามแนวทาง เป็นพลเมืองดีของชาติ มีความรักสมัครสมานเกื้อกูลกันและกัน เสมือนหนึ่งญาติมิตรครอบครัวใหญ่ของศรัทธาสาธุชนทั่วไป ถึงแม้ท่านครูบาสุรินทร์ สุรินโท จะจากไปตามสัจจธรรมสังขารของร่างกายของท่าน แตกดับสูญ แต่บุญคุณความดีปฏิปทาจริยาวัตรที่ดีงามของท่านยังปรากฏอยู่คู่โลกนี้สืบต่อ ไปตลอดกัลปวสานฯ
น้ำมันมนต์ หรือน้ำมันงาดำเตือนภัย ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในแดนล้านนา
ครูบาสุรินทร์นับได้ว่าเป็นผู้แตกฉานในพระเวทย์วิทยาคุณอย่างเอกอุ เครื่องมงคลที่ท่านสร้างขึ้นนั้นล้วนแต่มีอภินิหารแก่ผู้นำไปบูชาอย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็น...เหรียญ ตะกรุด ผ้ายันต์ แต่ที่ถือเป็นสุดยอดของท่านคือ...
น้ำมันงาดำ
น้ำมันงาดำของหลวงปู่ครูบาสุรินทร์นั้น ท่านได้เล่าเรียนมาจากองค์อาจารย์คือ ท่านครูบาถาวรเถระ ผู้เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงศรีเตี้ย อันน้ำมันงาดำนี้หากสร้างได้ถูกต้องตามตำรา จะมีอิทธิฤทธิ์นานัปการอย่างที่เรียกว่าฝอยท่วมหลังช้างทีเดียว ใช้ได้ทั้งอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ค้าขายดี ทากันและแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ฟกช้ำดำเขียว กระดูกแตกหักก็ทาเพื่อต่อได้ มีบาดแผลแล้วทาก็จะสมานติดกันในเวลาอันรวดเร็ว ผีเข้าเจ้าสิงก็ป้ายเข้าไปผีจะรีบหลีกลี้ในทันใด เป็นโรคกระเพาะให้กลืนกินเข้าไปจะรักษาแผลในกระเพาะและลำไส้ได้อย่างวิเศษ ฯลฯ และเหนืออื่นใด คือ...
เดือดได้ ?!
เดือดได้จริง ๆ เมื่อผู้ครอบครองนำไปเก็บรักษาไว้ ยังที่สูงในตำแหน่งอันสมควร เช่น บนหัวนอน แล้วมีการสวดมนต์ไหว้พระเป็นนิจสิน หากมีภัยถึงตัวหรือจะเกิดอันตรายจาก มนุษย์ อมนุษย์ ภัยธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ร้าย แม้แต่อันตรายจากโรคภัยไข้เจ็บในตัว น้ำมันงามหาวิเศษนี้ก็จะเกิดอาการเดือด เป็นฟองขึ้นในขวดได้เองอย่างมหัศจรรย์ที่สุด เดือดปุด ๆ ให้เห็นก็มี เป็นฟองขึ้นเองอย่างฟองสบู่ก็มี มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่คน หากไม่ว่าจะเป็นอย่างใดนั้นก็คือให้เตรียมรับมือจงหนัก.
คุณทวี เย็นฉ่ำ หรือ เจดีย์ทอง นักเขียนชื่อดังได้เคยเล่าถึงวาระหนึ่งที่เดินทางไปกราบศพครูบาพรหมา พรหมจักโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ตอนขากลับได้แวะไปนมัสการครูบาสุรินทร์ สุรินโท ถึงวัดหลวงศรีเตี้ย ซึ่งขณะนั้นครูบาสุรินทร์กำลังจะประกอบพิธีหุงน้ำมันงาดำอยู่พอดี
ในวันงานนั้นมีพระเถรานุเถระมาร่วมพุทธาภิเษกมิใช่น้อย ที่แน่ ๆ ก็มี ครูบาหล้า จันโทภาโส วัดป่าตึง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ครูบาธรรมชัย ธัมมชโย วัดทุ่งหลวง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน เป็นต้น
โดยพระเถระนั่งปรกอยู่ในวิหารหลวง มีการตั้งราชวัติ ฉัตร ธง โยงสายสิญจน์ลงมาอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ภายนอกวิหารตั้งกระทะใบบัวขนาดใหญ่ถึง 9 ใบ ทุกใบกำลังเคี่ยวน้ำมันงาดำควันโขมง และรอบบริเวณก็ตั้งราชวัติ ฉัตร ธง เช่นเดียวกัน กั้นสายสิญจน์เป็นปริมณฑลห้ามสตรีเพศเข้าโดยเด็ดขาด
เป็นที่น่าสังเกตว่ามีธรรมาสน์หนึ่งปูเบาะและผ้ารองนั่งไว้เป็นอย่างดี มีพานวางสายสิญจน์โยงออกมาอย่างเรียบร้อย และตั้งอยู่ในตำแหน่งประธาน คะเนว่าน่าจะจัดเตรียมไว้ให้พระเถระผู้ใหญ่ หากเริ่มพิธีไปโขแล้วก็ยังไม่เห็นมีใครมา
ไม่นานใครหลายคนก็เริ่มสังเกตโดยเฉพาะพวกมีกล้อง ว่ายกกล้องประทับเล็งไปธรรมาสน์นั้นคราวใด มักได้เห็นเงาคนนั่งอยู่บนนั้นบ่อยครั้ง ต่อมาเมื่อเพ่งหนักเข้าคราวนี้ก็เห็นกันด้วยตาเปล่าหลายคนทีเดียว
เงาดำดังกล่าวมีลักษณะที่ชัดเจนว่าศีรษะโล้น ห่มและพาดผ้าอย่างสังฆาฏิ รูปร่างเป็นคนท่าทางอ้วนใหญ่ไม่น้อย จากลักษณะที่พบเดาได้ว่าน่าจะเป็นพระมากกว่าโยม ทุกคนที่เห็นเก็บความอัศจรรย์ใจไว้ไม่อยู่เล่าขานกันปากต่อปากอย่างรวดเร็ว
ขณะที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้นก็เกิดเหตุประหลาดที่นอกวิหารกระทะน้ำมันงาดำทั้ง 9 ใบ ค่อย ๆ ทยอยระเบิดทีละใบ... ทีละใบ... สร้างความแตกตื่นและฉงนใจให้พระภิกษุและประชาชนที่มาร่วมพิธีเป็นอย่างยิ่ง กระทะระเบิดไปเรื่อยจนเหลือใบสุดท้าย ทุกคนที่ลุ้นตัวโก่งก็โล่งใจเพราะเหตุประหลาดยุติลงแต่เพียงแค่นั้น กระทะใบสุดท้ายยังอยู่ดีและดำเนินการเคี่ยว พร้อมปลุกเสกไปได้ตลอดรอดฝั่งจนจบพิธีโดยสมบูรณ์
เหตุการณ์ทั้งหมดสร้างความอัศจรรย์และเสียงวิจารณ์อยู่ไม่น้อย ใครหลายคนอดสงสัยไม่ได้จึงกรูเกรียวกันเข้าไป กราบเรียนถามหลวงปู่ครูบาสุรินทร์ว่าเงาดำที่เห็นคืออะไร และทำไมกระทะจึงระเบิดได้
หลวงปู่ท่านตอบขรึม ๆ ว่า เงาดำที่เห็นนั้นคือ...ครูบาถาวรเถระปฐมเจ้าอาวาสวัดหลวงศรีเตี้ย ผู้เป็นเจ้าของวิชาหุงน้ำมันงาดำนี้ และธรรมาสน์อาสนะนั้นท่านก็ได้จัดถวายไว้ให้ครูบาถาวรผู้เป็นบูรพาจารย์ เพราะได้อาราธนาท่านลงมาร่วมพิธีด้วย
ซึ่งท่านก็มาจริง ๆ และที่น้ำมันระเบิดจนเสียหายใช้การไม่ได้นั้น ครูบาถาวรท่านบอกว่า ท่านเป็นผู้ระเบิดทิ้งเอง เพราะหากทำมากก็จะเป็นการช่วยคนมากเกินไป เพราะคนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีศีลมีธรรม ช่วยเขาแล้วเมื่อเขารอดตัวพ้นภัย เขาก็จะไปทำไม่ดีขึ้นอีก ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม ท่านประสงค์ให้น้ำมันวิเศษนี้สงเคราะห์แก่คนดีมีศีลธรรมเท่านั้น
เป็นสุดยอดเหตุผลโดยแท้
เมื่อได้รู้เหตุผลแล้ววัตถุมงคลในพิธีก็ถูกบูชาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะน้ำมันงาดำที่ทำยากเย็นแสนเข็ญที่สุด และถือเป็นเอกลักษณ์ของวัดหลวงศรีเตี้ยกับครูบาสุรินทร์โดยปริยาย
อานุภาพของน้ำมันงาดำนี้คุณทวี เย็นฉ่ำ ได้เคยประสบกับตนเองเมื่อมีพระภิกษุรูปหนึ่งอาพาธอยู่โรงพยาบาล และคุณทวีได้มอบน้ำมันงาดำนี้ให้ไว้บูชาที่หัวเตียง ปรากฏว่าบูชาไประยะหนึ่งน้ำมันก็เดือดเป็นฟองขึ้น ท่านเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะท่านก็อาพาธอยู่แล้ว อยู่มาไม่นานท่านก็ถึงแก่มรณภาพ
ทหารหาญของไทยรายหนึ่งชื่อ สิบเอกเจริญ ทิพย์กาญจนกุล เป็นทหารชุดปฏิบัติการที่สมรภูมิร่มเกล้า พิษณุโลก เมื่อปี พ.ศ. 2532 ก่อนไปรบได้มากราบนมัสการครูบาสุรินทร์ เพื่อขอพรและบูชาวัตถุมงคลไปหลายอย่าง ที่ขาดไม่ได้คือน้ำมันงาดำ
ก่อนออกปฏิบัติการ ส.อ.เจริญจะอาราธนาน้ำมันงาดำขอให้ปกป้องคุ้มครองทุกครั้ง จากนั้นก็จะกินเท่าเมล็ดพุทราและทายังจุดต่าง ๆ ในร่างกายตามที่หลวงปู่สั่ง
วันหนึ่งกองกำลังของ ส.อ.เจริญได้ปะทะกับพวกทหารลาวแดงอย่างจัง พวกมันโจมตีด้วยการปาระเบิดสังหารเข้าใส่ ส.อ.เจริญอยู่ใกล้จุดที่ลูกระเบิดตกที่สุดจึงหลบไม่ทัน โดนผลงานลาวแดงเข้าเต็ม ๆ เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายก็รีบทำการสำรวจตัวเองก่อน ปรากฏว่าไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ทำให้ผู้หมู่มีขวัญและกำลังใจเพิ่มขึ้นเป็นกอง นึกเชื่อมั่นในน้ำมันงาดำและครูบาสุรินทร์อีกเป็นเท่าทวีคูณ ครั้นหันไปดูเพื่อนร่วมชะตากรรมก็พบว่าทหารบางนายเสียชีวิตคาที่ด้วยอานุภาพระเบิด หลายคนบาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้างทั่วกัน มีแต่ ส.อ.เจริญเพียงคนเดียวที่ไม่มีอาการบาดเจ็บเลย
ครั้นเหตุการณ์ศึกร่มเกล้าผ่านไป ส.อ.เจริญก็ตรงแน่วมากราบหลวงปู่ครูบาสุรินทร์ถึงวัดหลวงศรีเตี้ยด้วยความเคารพอย่างที่สุด
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก http://www.teeneelanna.com/moojoomhao/home/space.php?uid=182&do=blog&id=1193 -
ช่วงสงกรานต์กลับไปบ้านแฟนได้ ของที่ไผฝันมาด้วย ครับ ตะกรุดหนังควาย ครุบาชุ่ม วัดวังมุย
-
-
ครูบาศรี สุจิตโต วัดบ้านเป้า ศิษย์ครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ อีกท่านหนึ่งครับ เพิ่งไปกราบมา เลยบูชา พระผง รุ่นแรกของท่านมา ใด้คุยกับท่านนานมาก ไม่ถือตัวครับ น่านับถือมาก ที่แรกตั้งใจว่าจะบูชาพระปิดตา ตามที่เวปต่างๆลงกัน ท่านบอกว่าหมด ศรัทธาแถวๆภาคกลางบูชาไปหมด มีแต่พระผงรุ่นแรก ท่านทำเองกับมือหมด ตั้งแต่ต้นจนจบ (ท่านบอกผมมา)ส่วนรุ่นอื่นไม่ทราบครับ ไม่กล้าถาม เสียดายท่านไม่ให้ถ่ายรูปท่าน...ไม่งั้นคงใด้ลงให้ชม.......
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ขอบคุณมากครับที่แนะนำครูบาอาจารย์ให้ได้รู้จักเพิ่มขึ้น ถ้ามีโอกาสได้ไปจะได้ไปกราบท่านครับ
-
ประวัติ ครูบาศรี สุจิตโต ( ตามที่หาใด้ ผิดประการใดขออภัยด้วยครับ)
หลวงปู่ครูบาพ่อศรี สุจิตโต วัดบ้านเป้า จ ลำปาง ยอดพระเกจิขลังแห่งแดนล้านนา อัญเชิญเทพดาได้
บอกขุมสมบัติพญานาคได้ รู้อดีต รู้อนาคต ทรงญาณสมาบัติ ได้สร้างพระคะวัมปัตติถรัสสะ (พระปิดตาเข้านิโรธ) ปลุกเสก 1 ปี ออกให้บูชา<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
หลวงปู่ครูบาพ่อศรี พระเถระผู้เฒ่าทรงอภิญญาจิต แดนล้านนา
ศิษย์ครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ ,ครูบาโณ วัดปงสนุกเหนือ เมื่อตอนสุขภาพแข็งแรง ท่านเข้านิโรธสมาบัติแบบเต็มกำลังทุกปี
ครูบาชุ่ม โพธิโก เคยจับพลังพระที่ท่านปลุกเสก บอกว่า “ตุ๊เจ้าองค์นี้ เปิ้ลเป็นคนมีพวก มีเตวดามากมายมาช่วยเปิ้ล” ,
ครูบาอิน (ตาทิพย์) วัดฟ้าหลั่ง แนะนำลูกศิษย์ที่เป็นโรคร้าย ให้มากราบขอน้ำมนต์ , ครูบาข่าย วัดหมูเปิ่ง ยกย่องว่า เป็น “ครูบาผีกลัว”
แม้ทุกวันนี้ ครูบาพ่อศรี แก่ชราแล้ว แต่ท่านยังเล่นฤทธิ์ ใช้พลังจิตชั้นสูงอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น ศิษย์มากราบท่านแล้วจะไปกราบครูบาครอง ซึ่งเป็นสหธรรมสมิกกัน ท่านจะบอกได้ถูกต้องว่า ครูบาครองยังไม่กลับวัด ให้นั่งรออีก 15 นาทีค่อยออกไป
พอถึงเวลาศิษย์ที่ท่านกำหนด ศิษย์ขับรถไปหาครูบาครอง พบว่า รถของครูบาครองมาถึงวัดพร้อมกันพอดี อย่างนี้เป็นต้น ไม่รู้ว่า ท่านรู้ได้อย่างไร<O:p></O:p>
อีกเรื่อง ศิษย์ท่านเป็นคนมีบุญมาเกิด ท่านทักว่าเป็นลูกหลานพญานาค เหล่าบริวารของพระอุปคุตที่จำศีลที่สะดือทะเล
ให้ไปเอาสมบัติเดิม ณ โบราณสถานแห่งหนึ่ง ซึ่งคนเข้าออกทุกวัน นับร้อย นับพันคน
ศิษย์ท่านก็ไปตามท่านบอก พอไปถึงสถานที่ที่ท่านกำหนด ก็เจอแหวนเงิน หัวเป็นหงอนพญานาควางอยู่ คล้ายจะรอให้ศิษย์ท่านไปหยิบมา และบังตาผู้คนที่ผ่านไป ผ่านมาไม่ให้เห็น พอนำกลับมาให้ท่านดู ท่านบอกว่า
“นี่เป็นสมบัติพ่อเก่า แม่เก่าเขาให้ไว้”
และยังบอกอีกว่า “ จะได้สมบัติอีก ” ให้ไปเอาในวันนั้น วันนี้ ตามที่ท่านกำหนด ซึ่งก็ได้จริง ๆ
เรื่องนี้ สงสัย ถามที่สุสานได้ ถามคนมีประสบการณ์ตรง ดีกว่าจะได้หายสงสัย
และเชื่อมั่นในคุณของ พระอภิญญาจารย์ผู้เฒ่าแดนล้านนา องค์นี้อย่างเต็มที่
ครูบาพ่อศรี ท่านเกิด พศ. 2472 อายุปัจจุบัน 84 ปี 64 พรรษา<O:p></O:p>
เรียนวิชาจากโยมพ่อ ซึ่งเป็นศิษย์เอกครูบาโณ วัดปงสนุกเหนือ<O:p></O:p>
จึงเรืองเวทย์ ตั้งแต่เป็นละอ่อนน้อย ถือวิชาขึ้นโยมพ่อเห็นแววว่าจะเรืองรุ่งในเวทย์วิทยาคมสายล้านนา จึงพาไปฝากให้อยู่ในอุปการะของครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ เจ้าตำหรับราหูจับจันทร์ จับตะวัน และม้าเสพนาง ราคาเป็นแสนแห่งล้านนา<O:p></O:p>
เมื่ออายุครบบวช ท่านจึงบวช โดยครูบานันตา เป็นธุระเรื่องงานบวชให้ พระอุปฌาชย์คือ ครูบาโถ วัดบ้านเป้า ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ และเป็นอาจารย์องค์ต่อมาของท่าน<O:p></O:p>
ตอนเป็นตุ๊หนุ่ม ชอบวิชา อาคมมาก ด้วยความที่เป็นคนขยัน ชอบเอาใจ จึงมีหน้าที่นวดถวายครูบานันตาทุกคืน แต่ละคืน ๆ ท่านครูบานันตา ก็จะสอนความรู้ คายวิชาให้เรื่อย ๆ เพราะหมายว่าจะเอาไว้แทนตัวท่าน<O:p></O:p>
จนถึงกับได้มอบตำราล้านนาโบราณ (บับสา) ที่ท่านเรียนมา ให้ครูบาพ่อศรี 1 ห่อผ้าใหญ่ กลเม็ดเคล็ดลับอะไร ครูบาพ่อศรีท่านรู้หมด เพราะครูบานันตา สอนให้ตัวต่อตัว!!<O:p></O:p>
วิชาหนึ่งของสายครูบานันตา คือตะกรุดมหาสมัน<O:p></O:p>
ตำราบอกชัด ตะกรุด 1 ดอก คุมคนได้ 1 แสนคน เป็นตำราเดียวกับที่แสนตรีเพชรกล้า กับพระเจ้ากรุงกาฬ ใช้แต่งคนยกลงมาตีทัพขุนแผน<O:p></O:p>
ตะกรุดนี้ สมัยครูบานันตา ยังมีชีวิตอยู่ เคยสร้างบ้างไม่มากนัก เพราะสร้างยาก แถมท่านยังเลือกคนให้ ศิษย์ท่านไม่ใช่ว่าจะได้ทุกคน เพราะหากตกไปอยู่กับคนไม่ดี ไปเป็นโจร เป็นเสือ ทางการจะปราบยาก วิชานี้ ลงไว้ให้รู้ว่า ปัจจุบันอยู่กับครูบาพ่อศรี เพื่อจะสร้างต่อไปในภายภายหน้า และกันคนแอบอ้าง หากรู้ไม่จริง ทำได้ไม่จริง ผลเสียย่อมเกิดกับคนใช้ และเสียชื่อเสียงพ่อแม่ครูอาจารย์<O:p></O:p>
พระครูรูปหนึ่ง (สงวนนาม) ศิษย์หลวงปู่หลอด วัดใหม่เสนานิมิตร <O:p></O:p>
พระกรรมฐานกลางกรุง เล่าให้โยมฟังว่า ท่านนิมิตรเห็นครูบาองค์หนึ่ง <O:p></O:p>
มาสอนกรรมฐานข้อที่ติดขัดให้ บอกว่าชื่อศรี อยู่ล้านนา ครั้งแรกท่านเข้าใจว่า เป็นครูบาศรีวิชัย <O:p></O:p>
แต่รู้ว่าไม่ใช่ เพราะเคยเห็นรูปครูบาศรีวิชัย รู้จัก จำได้ว่าหน้าไม่เหมือน <O:p></O:p>
จึงคิดว่า นิมิตรนี้คงเกิดจากธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก <O:p></O:p>
จนมาเจอภาพหลวงปู่ครูบาพ่อศรี ในหนังสือพระ ก็จำได้ว่า เป็นองค์เดียวกับที่เห็นในนิมิตร <O:p></O:p>
จึงเกิดเลื่อมใส ศรัทธา ได้จัดพระธาตุให้ศิษย์นำไปกราบถวายครูบาพ่อศรี <O:p></O:p>
เพื่อแสดงความสักการะแล้ว<O:p></O:p>
นักธุรกิจชาวพม่า จะสร้างโรงแรมระดับ 4 ดาว 5 ดาว ไม่ทราบว่า รู้จักครูบาพ่อศรีได้อย่างไร <O:p></O:p>
ได้ให้เพื่อนนักลงทุนชาวเชียงใหม่ มานิมนต์ครูบาพ่อศรี ไปทำพิธีเหยียบดิน ให้ที่ประเทศพม่า <O:p></O:p>
โดยซื้อตั๋วเครื่องบิน รอท่าไว้แล้ว <O:p></O:p>
แต่ครูบาพ่อศรีปฎิเสธไป เพียรมานิมนต์ ถึง 3 ครั้ง ท่านก็ไม่ไป อ้างว่าแก่แล้ว ไม่อยากเดินทาง ลูกศิษย์ใกล้ชิดเรียนถามสาเหตุที่ไม่ไป ท่านว่า เขาจะสร้างที่ อโคจร เราไปทำให้ไม่ได้ แล้วท่านก็พูดเสียงเบา ๆ ปิดท้ายว่า “บ่อยากฮื้อให้เปิ้น เดี๋ยวฝั่งนั้นเจริญกว่าฝั่งเฮา”<O:p></O:p>
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ขอบคุณมากครับที่นำเรื่องราวดีๆ ของครุบาอาจารยืมาบอกเล่า อย่างนี้ผมชอบครับ ครุบาอจารย์ที่ท่านไม่ค่อยเปิดตัวแบบนี้.....ถ้ามีบุญคงได้ไปกราบท่านครับ สาธุ
-
พี่เเกงส้ม เเบ่งน้ำมันงา ให้หน่อยจิ อยากได้ อิอิ
-
เดี่ยวสอบเสร็จต้องไปกราบท่านสักหน่อยครับ ขอบคุณมากนะครับ -
สี่หูห้าตา ครูบาศรี ตระกรุด 3ดอก ครับ (ขออภับถ่ายรูปไม่เก่ง)
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ท่านใดรู้ประวัติ พระครูบูญมา สุภัทโธ วัดสามัคคีธรรม เล่าสู่กันฟังด้วยนะครับ วั้นนั้นผมถามท่านครูบาศรี ว่ารู้จักมั๊ย ท่านคิดนิดนึง แล้วถามผมว่า คนที่อยู่ในรูปที่แขวนอยู่ข้างผนังใช่ใหม๊ พอหันไปดู ต้องตอบว่าใช่ครับๆๆ ท่านตอบเป็นภาษาเหนือว่า ตุ๊องค์นี้ของแต้ เหน็ดขนาดเลย เลยอยากทราบประวัติท่านครับ
หน้า 5 ของ 11