ฟังเทศน์ของท่านผู้ทรงธรรม (หลวงตามหาบัว)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หลบภัย, 3 กันยายน 2013.

  1. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,209
    ค่าพลัง:
    +3,129
    หลวงปู่มั่นเรา เทศน์ท่านเป็นเทศน์แท้ ธรรมะในตำราก็มี ธรรมะในหัวใจก็มี ธรรมะในสมัยปัจจุบันไม่ได้ธรรมะในหัวใจก็เอาธรรมะในตำรามาอ่านสู่กันฟัง ธรรมะในตำราก็เป็นตำรานอกๆ ผิวๆ เผินๆ เราไม่ได้ประมาท พูดตามความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ธรรมะภายในใจนี้เข้มข้น เพราะจิตใจของท่านทรงไว้ซึ่งธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย ออกมาคำไหนเป็นเนื้อธรรมล้วนๆๆ มีรสมีชาติเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกขั้นทุกภูมิของธรรม เวลาฟังแล้วเหมือนว่ากล่อมลงไปเลย เวลาฟังเทศน์ของท่านผู้ทรงธรรมจะอย่างนั้น

    สมัยปัจจุบันนี้คือหลวงปู่มั่นเทศน์ เวลาท่านเทศน์นี้มันกล่อมเข้าในหัวใจ เพราะธรรมออกจากใจของท่านซึ่งทรงมรรคทรงผลไว้โดยสมบูรณ์แล้ว เวลาออกมาหนักเบามากน้อยจะเป็นรสของธรรมล้วนๆๆ ผู้ฟังรู้สึกว่าซาบซึ้งๆ ท่านเทศน์ในระยะแรกที่เราไปอยู่กับท่านท่านเทศน์ตอนนั้นถึง ๔ ชั่วโมง ตั้งแต่เริ่มเทศน์ถึง ๔ ชั่วโมงถึงจะจบ ครั้นนานเข้ามาก็ลดลงมา ๓ ชั่วโมง เทศน์ไหลไปเลย เพราะธรรมะออกจากใจล้วนๆ ครั้งสุดท้ายนี้ได้ ๒ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมงเป็นขั้นสุดท้ายแห่งการเทศน์ของท่าน จากนั้นมาท่านก็ไม่ได้เทศน์อีกเลย

    ตั้งแต่ ๔ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมงท่านเทศน์ ธรรมะนี้ไหลออกเลยเชียว ไม่มีคำว่าอัดว่าอั้น เพราะหัวใจท่านทรงธรรมทรงมรรคผลนิพพานเต็มเม็ดเต็มหน่วย เวลาเทศน์ออกมามีรสมีชาติตลอดทุกขั้นทุกภูมิของธรรมที่ท่านแสดงออกมา ผู้ฟังเพลิน เพลินตลอดเลย เทศน์ ๓-๔ ชั่วโมงผู้นั่งนี้เหมือนหัวตอ ไม่ได้มีคำว่าพลิกว่าเปลี่ยนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า นั่งฟังนี้พระเต็มศาลาเลย เหมือนไม่มีพระ เงียบหมดเลย มีแต่เสียงท่านเทศน์องค์เดียว

    เสียงธรรมออกจากใจท่านเป็นธรรมล้วนๆ ผู้ฟังก็มาด้วยความมุ่งมั่นต่อธรรมอย่างแรงกล้า เวลาฟังแล้วมันเพลินไปเลย ท่านเทศน์ถึง ๔ ชั่วโมงนี้ยังไม่รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในอวัยวะส่วนใดเลย เพราะเพลินในธรรมของท่านที่แสดงออกมา เพราะท่านเทศน์เป็นธรรมล้วนๆ ออกมา ธรรมล้วนๆ ออกมาเข้าถึงใจผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรมล้วนๆ ด้วยกันมันก็ซึมซาบถึงกันได้ง่าย

    เทศน์ทีแรก ๔ ชั่วโมง ครั้นต่อมาก็ลดลงมา ๓ ชั่วโมง ต่อมาสุดท้ายนี้ ๒ ชั่วโมงหยุด จากนั้นท่านไม่เทศน์อีกเลย เทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงๆ นะท่านเทศน์ ฟังนี้เพลินตลอด ที่จะว่าท่านเทศน์นานอะไรไม่มีในหัวใจของผู้มุ่งมาฟังต่อธรรมของท่านจริงๆ แล้วไม่มี มีแต่เพลินเรื่อย เพราะท่านเทศน์นี้มีแต่ธรรมล้วนๆ ไหลออกมาๆ จากใจของท่าน ผู้ฟังก็สนุกดื่มด้วยความเพลิดเพลิน

    บางรายจิตใจรวมลงในขณะที่ท่านเทศน์ก็มี คือเทศน์ธรรมะนี้กล่อมใจ ใจมันเคยเพลิดเคยเพลินเป็นธรรมดา พอธรรมกล่อมใจเข้าไปใจจะหดย่นเข้ามา หดเข้ามา เหมือนเขาดึงจอมแหที่ตากไว้นั้นแหละ พอจับจอมแหดึงตีนแหก็หดเข้ามาๆ กระแสของจิตมันออกกว้างขวางมากมาย ธรรมเทศนาของท่านเหมือนหนึ่งว่าจับจอมแหดึงเข้ามาๆ จิตสงบเข้ามาๆ แน่วเลยเชียว ทีนี้พอจิตลงเต็มที่แล้วเสียงธรรมท่านจะอยู่ผิวเผิน จะไม่เข้าถึง แว้วๆๆ อยู่สูงๆ ปรากฏอย่างนั้น

    นั่นละธรรมแท้ปรากฏในใจในขณะที่ฟังธรรมปรากฏอย่างนั้น สงบแน่วๆ แต่ก่อนเราก็เคยฟังเคยดูในตำรับตำราที่ท่านแสดงไว้ว่า พระพุทธเจ้าแสดงธรรมจบลงแต่ละกัณฑ์พุทธบริษัทได้บรรลุมรรคผลนิพพานจำนวนไม่น้อยเลย ก็ฟังไปธรรมดา จะว่าเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็หนาอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าเชื่ออย่างไรไม่เชื่ออย่างไร เมื่อได้ออกปฏิบัติและได้มาฟังธรรมของหลวงปู่มั่นนี้มันถึงชัดเจน ธรรมเป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ ท่านเทศน์เพลินเลยนะ ฟังเสียงเทศน์ท่านนี่เพลินๆ ตลอด เทศน์ไหลออกมาๆ เหมือนหนึ่งว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ จิตใจมันดูดดื่มมากเหมือนนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ เพราะความดูดดื่มของใจ

    เพราะฉะนั้น เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์สอนพุทธบริษัทได้บรรลุมรรคผลนิพพานในขณะที่ฟังจำนวนไม่น้อยเรายอมรับเลย อย่างเราฟังเทศน์หลวงปู่มั่นนี้มันรู้ในตัวของเราเอง เฉพาะเราคนเดียวก็รู้ตัวเอง ในขณะที่ท่านเทศน์พอไปถึงขั้นนั้นเรากำลังติดอยู่จุดนั้นๆ พอท่านเทศน์ไปถึงนั้นท่านผ่านผึงเลย เราติดท่านผ่าน เพราะท่านรู้แล้วเรายังไม่รู้ พอท่านผ่านก็หมายถึงว่าเปิดทางให้เราก้าวได้ๆ ไปเรื่อยๆ อย่างนั้น นั่นละที่ว่าสำเร็จมรรคผลนิพพานสำเร็จเป็นระยะๆ ไม่ใช่สำเร็จหนหนึ่งหนเดียว สำเร็จหมดโดยสิ้นเชิงนั้นมีแต่มีน้อย แต่ผู้ที่ค่อยขยับตัวขึ้นไปจากการฟังธรรมของท่านแต่ละครั้งละคราวนี้มีมากทีเดียว ค่อยขยับขึ้นไปเรื่อยๆ

    อย่างนั้นละธรรมสดๆ ร้อนๆ ผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรมก็ย่อมได้ผลสดๆ ร้อนๆ เช่นเดียวกัน แต่ทุกวันนี้ศาสนาเป็นเหมือนหนึ่งว่าตุ๊กตาเป็นเครื่องเล่นของเด็กไปแล้ว ถ้ามีใครถามก็บอกว่าถือศาสนาพุทธ แต่เวลาถามถึงพุทธ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่จบ เวลาจะหลับจะนอนไม่ได้นึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ อิติปิโส สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน ไม่ระลึกถึงเลย เวลามีคนถามก็ว่าถือศาสนาพุทธ พวกนี้ได้แต่ลมของศาสนา ไม่ได้ตัวจริง ผู้ได้ตัวจริงท่านปฏิบัติจริงๆ

    เวลาปฏิบัติไปธรรมะจะปรากฏขึ้นที่ใจ ครูบาอาจารย์ผู้ท่านเทศนาว่าการเป็นผู้เชี่ยวชาญตลอดถึงมรรคผลนิพพาน เทศน์สอนเราไม่มีที่อัดที่อั้น ตั้งใจตรงไหนเปิดโล่งๆ ผู้ฟังก็โล่งใจๆ เป็นลำดับไป ทีนี้เวลาฟังไปๆ จิตใจก็ยิ่งเบิกกว้างออกไปโดยลำดับลำดา สุดท้ายก็ขยับตามๆ โดยทางปัญญาแล้วผ่านไปได้ ครั้งพุทธกาลกับครั้งนี้ไม่ได้ผิดกันเลย ขอให้ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายนั้นได้ฟังเทศนาว่าการให้ถึงเหตุถึงผลตามทางของศาสดาด้วยการบรรจุธรรมเข้าสู่หัวใจ แล้วเทศน์ออกไปเถิด อย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้นโดยไม่ต้องสงสัย จึงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว

    ผู้ปฏิบัติธรรมจิตใจมีความเอิบอิ่ม เสียงอรรถเสียงธรรมกับเสียงโลกเสียงสงสารนี้ผิดกันมาก ไปที่ไหนมีแต่เสียงฟืนเสียงไฟเผาไหม้กันทั่วโลกดินแดน เพราะฉะนั้นใจดวงใดจึงหาความสงบร่มเย็นไม่ได้ มีแต่ฟืนแต่ไฟ เขาก็ไฟเราก็ไฟ ที่ว่าน้ำดับไฟมันไม่มี มันก็มีแต่ฟืนแต่ไฟอยู่ใจดวงใดเป็นไฟไปด้วยกันหมด เพราะไม่มีน้ำดับไฟ ทีนี้เวลาเราได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมนำไปปฏิบัติ ให้จิตใจของเรามีความสงบร่มเย็นบ้างนะ ใจของเราจะชุ่มเย็นๆ เป็นลำดับลำดา ต่อไปเราก็ทำจิตของเราให้สงบเย็นดังที่ท่านสอนไว้ เช่นนั่งสมาธิภาวนา

    การนั่งสมาธิภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คือจิตนี้มันส่ายแส่เร่ร่อนไม่มีเวลาหยุด ตั้งแต่ตื่นนอนมาเรียกว่าติดเครื่องความคิดปรุงแล้ว จิตคิดเอง ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาจนกระทั่งหลับ ดับเครื่องด้วยการหลับนอน เปิดเครื่องในเวลาตื่นนอน นี่เป็นธรรมดาของจิตทุกดวงไป แต่จิตที่ได้รับการฝึกฝนอบรมแม้จะเปิดเครื่องตามธรรมดาของโลกคิดนั้นปรุงนี้ก็ตาม แต่เวลาได้ฝึกหัดภาวนาเข้ามันปิดเครื่องได้ในขณะที่โลกทั้งหลายคิดปรุงได้ตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับ แต่จิตนั้นระงับตัวได้ทั้งๆ ที่ยังไม่หลับ สงบเย็นใจได้ จิตสว่างไสวมาก เวลาได้รับการอบรมเต็มที่แล้ว นี่คือการอบรม

    ธรรมคือน้ำดับไฟ ธรรมได้ชะล้างสิ่งสกปรกคือกิเลสตัณหาอยู่ภายในใจ เมื่อรับการอบรมจากการได้ยินได้ฟังธรรมและการบำเพ็ญภาวนาจิตใจจะมีความสงบเย็น เย็นลงไปๆ ตลอดเวลา จนกระทั่งจิตใจนี้มีความติดพันกับการภาวนา อยู่ที่ไหนไม่ได้ภาวนาไม่สบาย ต้องได้ภาวนา เวลามีการมีงานมากๆ ยุ่งเหยิงวุ่นวายนี้จิตจะหดตัวเข้ามา ไม่อยากยุ่ง หดตัวเข้ามาๆ คิดเห็นแต่เรื่องภาวนาระงับจิตไม่ให้คิดปรุงเท่านั้น แล้วจิตก็หดเข้ามาแล้วรวมง่ายด้วย

    เมื่ออยู่ในเหตุการณ์ที่ทำให้คิดปรุงมากๆ จนจิตใจวุ่นวายแล้วถอนจิตเข้ามาสู่ภาวนา จะภาวนาบทใดก็ตาม แล้วจิตจะสงบได้ในเวลานั้น นั่นละท่านว่าจิตสงบ พอจิตสงบแล้วไม่มีอะไรกวน เจ้าของก็ไม่คิดไม่ปรุงไปกวนเรื่องอะไรๆ ก็สงบเย็นลงไป นี่เรียกว่าจิตสงบจิตเย็น ท่านพูดไว้หลายขั้น ขั้นจิตสงบเย็นก็มี จิตมีความแน่นหนามั่นคงก็มี คือเวลาสงบเย็นมากๆ เข้าจิตย่อมเป็นสมาธิ คือความแน่นหนามั่นคงในตัวเอง คิดได้ปรุงได้ แต่ดูจิตนั้นแน่นหนามั่นคงเหมือนภูเขาทั้งลูก แน่นปึ๋งๆ ตลอดเวลา

    จากนั้นออกทางด้านปัญญาพิจารณา เบิกกิเลสทั้งหลายที่เป็นเครื่องหุ้มห่อจิตใจให้มืดมิดปิดตาออกโดยลำดับลำดาด้วยทางปัญญา ปัญญาจะค่อยเบิกกว้างออกไปๆ ความรู้ความเห็นของจิตจะค่อยเบิกกว้างออกไป ละเอียดลออเข้าไป สุดท้ายกิเลสที่ฝังใจอยู่มากมายก่ายกองนั้น ปัญญานี้จะสอดส่องมองทะลุเข้าไปถึงกิเลส จนขาดสะบั้นไปโดยลำดับๆ สุดท้ายขาดสะบั้นไปหมด ไม่มีกิเลสตัวใดแฝงอยู่ภายในจิตนั้นเป็นจิตที่ขาดสะบั้นไปเลย ท่านเรียกว่าอรหัตบุคคล คือกิเลสขาดไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่จิตที่เป็นธรรมทั้งแท่ง เรียกว่าธรรมธาตุก็ไม่ผิด

    จิตที่บริสุทธิ์ถ้าผู้ทรงขันธ์อยู่ก็เรียกว่าเป็นพระอรหันต์ ส่วนมากท่านเรียกว่าพระอรหันต์ คือจิตที่บริสุทธิ์ จากนั้นไปจิตก็เป็นธรรมธาตุ ท่านไม่ค่อยเรียกกันเท่านั้นเอง เมื่อจิตบริสุทธิ์เต็มที่แล้วอยู่ในร่างกายอันเป็นสมมุตินี้แล รับผิดชอบกันอยู่นี้ แต่จิตนั้นเป็นจิตธรรมธาตุ เป็นธรรมธาตุอยู่ภายในตัว พอเสร็จแล้วก็เป็นธรรมธาตุล้วนๆ ออกเลยทีเดียว ธาตุสี่ดินน้ำลมไฟคือร่างกายนี้ก็สลายตัวลงไปเป็นธาตุเดิมของเขา แต่จิตที่ได้ซักฟอกให้เต็มภูมิแล้วกลายเป็นธรรมธาตุขึ้นมา

    ธรรมธาตุนี่เลิศเลอสุดยอดของท่านผู้ปฏิบัติธรรมได้ถึงขั้นนี้แล้ว เป็นจิตที่บริสุทธิ์ เรียกว่านิพพานเที่ยง ถึงขั้นนิพพานเที่ยง กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึงเลยจิตดวงนี้ เรียกว่าพ้นสมมุติไปโดยประการทั้งปวงแล้ว ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง จิตที่ชำระตัวจนกระทั่งถึงขั้นธรรมธาตุแล้วก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน จะเรียกว่านิพพานเที่ยงก็ได้ จะเรียกว่าธรรมธาตุก็ได้ อยู่ในร่างกายของเรานี้ แต่ร่างกายก็เป็นธาตุสี่ดินน้ำลมไฟธรรมดา ส่วนจิตนั้นเป็นธรรมธาตุล้วนๆ นั่นท่านเรียกว่าธรรมธาตุ เมื่อได้ชำระสุดขีดแล้วเป็นธรรมธาตุ ธรรมธาตุนี้ไม่มีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาเข้าไปเกี่ยวข้องเลย เป็นธรรมธาตุล้วนๆ จึงว่าไม่มีกฎ อนิจฺจํ กฎสมมุติเข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นกฎของวิมุตติหลุดพ้นจากความแปรปรวนทั้งหลายโดยสมบูรณ์แล้ว นั่นท่านว่าผู้ถึงนิพพานท่านถึงอย่างนั้น นี่การฝึก

    ธรรมเหล่านี้ได้มาจากไหน ก็คือพระพุทธเจ้าของเราท่านทรงคุ้ยเขี่ยขุดค้นมาเป็นเวลา ๖ ปี สลบถึง ๓ หนเลยกว่าจะได้ธรรมประเภทนี้มาสอนโลก พอสอนโลกแล้วบรรดาสัตว์ทั้งหลายผู้มีอุปนิสัยปัจจัยที่ควรจะรู้ได้ช้าหรือเร็วก็รู้ขึ้นมาๆ ดังที่ท่านแสดงว่าอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรทมะ ผู้รู้ได้อย่างรวดเร็วและถัดกันลงมา และพอแนะนำสั่งสอนได้ จนกระทั่งถึงขั้นซุงทั้งท่อนมีแต่ความรู้ ไม่รู้บุญรู้บาปรู้ดีรู้ชั่วประการใดเลย เรียกว่าซุงทั้งท่อน นี่ละธรรมท่านสอน

    ประเภทที่ ๑ อุคฆฏิตัญญูรู้ธรรมได้อย่างรวดเร็ว วิปจิตัญญูรู้ธรรมรองกันลงมา เนยยะเป็นผู้ฝึกฝนอบรมหลายครั้งหลายหนไม่หยุดไม่ถอย ก็ค่อยรู้ค่อยหลุดพ้นไปได้เหมือนกัน สามประเภทนี้เป็นผู้ที่จะหลุดพ้นได้โดยไม่ต้องสงสัย ส่วนปทปรมะ นั้นเป็นขอนซุง มีความรู้อยู่เท่านั้นแต่ไม่รู้บุญรู้บาป ถ้าว่าเป็นคนไข้ก็เอาเข้าไปในห้องก็เข้าไปห้องไอซียูเสีย ไม่เข้าไปหายาหาหมอละ ไปหาห้องไอซียู คอยแต่ลมหายใจอย่างเดียว คนประเภทนี้เรียกประเภทที่หนาที่สุด

    เราอย่าให้มีในหัวใจของเรานะพี่น้องชาวพุทธ เราเกิดมาในท่ามกลางแห่งพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาอันเลิศเลอสุดยอด ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีใครที่จะตรัสรู้ธรรมอันเลิศเลอมาสอนโลกได้เหมือนพระพุทธเจ้าเลย นี่ก็เป็นธรรมพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นธรรมอันเลิศเลอสุดยอดแล้วมาสั่งสอนพวกเรา ให้พากันตั้งอกตั้งใจ การฝืนความชั่วเป็นความถูกธรรม ไอ้เรื่องการที่จะทำความดีมันไม่อยากทำ แต่การทำความชั่วนี่เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย นี่คือจิตของคนมีกิเลสหนาแน่น ถ้าจิตของคนผู้มีอุปนิสัยปัจจัยพอที่จะเป็นภาชนะรับมรรคผลนิพพานได้ ก็มีการเสาะแสวงหาบุญหาคุณธรรมความดีงาม อุตส่าห์พยายามขวนขวาย แล้วหนักเข้าไปๆ จิตใจก็พัวพันกับอรรถกับธรรม แน่นหนามั่นคงเข้าไปเรื่อยๆ สุดท้ายหัวใจทั้งดวงรักใคร่ใฝ่ธรรมตลอดเวลาเป็นอันเดียวกัน

    นี่ละการฝึก เมื่อฝึกหนักแน่นเข้าไปๆ ก็ต้องให้พ้น นี่ถึงขั้นสุดยอด เมื่อหนักแน่นเข้าไปก็จะให้พ้นเท่านั้น ที่จะให้ค้างอยู่ในโลกนี้ไม่ยอม ตายที่ไหนก็ตายเถอะขอให้ตายด้วยความหลุดพ้นเป็นที่พอใจ นี่ละจิตของท่านผู้เด็ดเดี่ยวเฉียบขาดในการที่จะสลัดวัฏวนออกจากใจให้ถึงพระนิพพานทั้งเป็น เช่นอย่างท่านเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาให้เราทั้งหลายได้กราบไหว้บูชาอยู่ทุกวันนี้ เป็นมาได้จากความตะเกียกตะกายทั้งนั้น ไม่ได้เป็นมาด้วยอยู่เฉยๆ เป็นขึ้นมาเอง เป็นขึ้นมาด้วยการฝึกฝนอบรมตนให้เป็นคนดี วันนี้มันก็อยากขัดไป ชะไป ล้างไป ก็ค่อยเบาบางลงไปๆ

    ยกตัวอย่างเช่นนายกาละ ลูกชายของอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีเสียด้วยนะ เป็นโยมอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ลูกชายคนนี้ชื่อนายกาละไม่เอาไหนเลย พ่อต้องให้รางวัลทุกวัน ถ้าวันไหนไปวัด พ่อละชักชวนไปวัด พ่อก็แสนใจดีนะ ลูกไม่ไปก็จ้างลูกไป ไปวัด พอเข้าเขตวัดแล้วมันจะไปล้มนอนอยู่ที่ไหนตายที่ไหนไม่สนใจ ขอให้ได้เข้าเขตวัดก็พอ พอกลับมาแล้วก็ให้รางวัล ให้รางวัลลูกชายเจ้าของ พ่อเป็นคนให้รางวัลเอง

    ทีนี้ฟังไปฟังมามันอยู่ในวัดจะว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าเทศนาว่าการสอน หูมันก็มีเหมือนเรา หูนายกาละนั่น หูก็มีตาก็มี ฟังไปหลายครั้งหลายหนก็เฉียดเข้าไปถึงใจ เข้าไปถึงใจก็ซึมซาบเข้าไปถึงใจ เกิดความดื่มด่ำภายในอรรถในธรรมเข้าเป็นลำดับลำดา ทีนี้ซึ้งทีเดียว ซึ้งในธรรมทั้งหลาย เห็นคุณของพ่อที่อุตส่าห์พยายามจ้างมาวัดมาวา เลี้ยงดูมาแทบเป็นแทบตายจนจะไม่มีอะไรเหลือติดตัวแล้ว เพราะการเลี้ยงลูกแต่ละคนๆ แล้วเวลาไปวัดยังต้องได้จ้างไปนี้มันพิลึกพิลั่น

    นั่นละเวลาแกเห็นโทษ เรานี่มันเลยมนุษย์ไปแล้ว พ่อแม่เลี้ยงจนแทบเป็นแทบตายจนจะไม่มีอะไรเหลือติดตัวเพราะการเลี้ยงลูก ชีวิตจิตใจอยู่กับอาหารการกินทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของดิบของดีต้องมอบให้ลูกหมด พ่อแม่กินแต่ของเศษของเดนทั้งนั้น คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ มิหนำซ้ำยังจ้างเรามาวัดมาวาอีก พอฟังเทศน์ซาบซึ้งในหัวใจแล้วทีนี้กลับไปบ้าน คือกลับไปบ้านพ่อก็ให้รางวัลทุกวันๆ พอกลับไปบ้านวันนั้นหลบหนีเลย อายพ่อ เรียกมารับรางวัล โอ๊ย อย่าให้มารับ ไม่ยอมมาเลย เวลามาสารภาพตัวมาสารภาพอย่างนี้ละ

    สารภาพเห็นคุณของพ่อของแม่ที่เลี้ยงมาแทบล้มแทบตาย จนไม่มีอะไรเหลือติดเนื้อติดตัว มอบให้เป็นชีวิตชีวาของลูกทั้งหมด บรรดาอาหารการบริโภคของดิบของดีไปรวมอยู่ที่ลูกทั้งนั้นแหละ ทีนี้ลูกเกิดขึ้นมาแล้วไปวัดไปวายังต้องได้จ้างไปนี้มันพิลึกกึกกือเกินไปเรา เห็นคุณของพ่อละที่นี่ พอกลับไปถึงบ้านพ่อเรียกมารับรางวัลไม่ยอมมา แล้วสารภาพตนว่าผิดถนัด ยอมรับ ตั้งแต่บัดนั้นมาไม่ต้องบอกไปวัด ไปเองๆ ไปด้วยความพอใจ นี่ละจิตใจเมื่อได้รับการฝึกฝนอบรมหลายครั้งหลายหน ธรรมะก็ย่อมเข้าซึมซาบถึงใจ เมื่อซึมซาบถึงใจแล้วก็กระจายสิ่งที่เป็นภัยออกไปๆ ใจที่เป็นธรรมก็เด่นดวงขึ้นมา พาเจ้าของให้มีความรักใคร่ใกล้ชิดติดพันกับอรรถกับธรรมไปตลอด

    อย่างนายกาละที่ว่านี้ พ่อจ้างไปวัด ครั้นไปฟังเทศน์ฟังธรรมหลายครั้งหลายหนก็เข้าถึงใจ เมื่อเข้าถึงใจแล้วก็ซาบซึ้งในธรรมทั้งหลายแล้วกลับมาพ่อให้รางวัลไม่ยอมรับ แล้วไปสารภาพตนต่อพ่อ เห็นโทษว่าตัวเป็นความผิดมามากมายก่ายกอง พ่อแม่เลี้ยงมาแทบเป็นแทบตายยังไม่แล้ว ยังไม่เห็นคุณ เวลาไปวัดไปวายังต้องได้จ้างไปอีกอย่างนี้มันเกินไป เห็นโทษแล้วก็ไม่รับ

    ตั้งแต่นั้นมาทีนี้ไม่ต้องบอก ไปวัดเองเลย ใครห้ามไม่อยู่ นั่นเห็นไหมล่ะ จิตดวงเดียวกันนี้แหละ จิตดวงที่ไปนอนอยู่ตามวัดตามวาแล้วมาเอารางวัลจากพ่อนี้แหละคือจิตนายกาละ แต่พอจิตเปลี่ยนอย่างนั้นแล้วทีนี้เป็นอันว่าไม่มีใครชวนก็ตามเป็นความสมัครใจๆ ไปจนได้สำเร็จมรรคผล นั่นเห็นไหมล่ะ ตั้งแต่ก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เวลาได้รับการฝึกฝนอบรมหลายครั้งหลายหนก็ได้ดิบได้ดีขึ้นมา ใจนี้ดีได้ด้วยการฝึกฝนอบรม จะฝึกไปทางชั่วเป็นได้ ฝึกไปในทางที่ดีเป็นดีได้

    เพราะฉะนั้นจงพยายามฝึกตนให้ไปในทางที่ถูกที่ดี แล้วมันจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ ดีสุดยอดคือถึงมรรคผลนิพพานจากการฝึกนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครอยู่ๆ เกิดขึ้นมาก็สำเร็จมรรคผลนิพพาน เหมือนว่าสำรับเอามาตั้งไว้ข้างหน้าพอตื่นนอนขึ้นมาก็กินเลยอย่างนั้น มันไม่ใช่สำรับมรรคผลนิพพาน ต้องประพฤติปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถ แล้วก็สำเร็จขึ้นมาภายในใจ เลิศเลอยิ่งกว่าสำรับอาหารเป็นไหนๆ ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ

    การปฏิบัติธรรมนี้เวลากิเลสมันหนามันไม่อยากเข้าวัดเข้าวา ถ้าพาไปหาปูหาปลาไปขับลำทำเพลงลูกกรุงลูกทุ่ง ไปสะเปะสะปะอย่างนั้นมันชอบ คือใจมันเป็นอย่างนั้นด้วยกัน เขาก็ชอบเราก็ชอบ สุดท้ายก็เป็นไปด้วยกันเลยมีแต่ความชั่วช้าลามก ไม่ได้ฝึกตน ถ้าฝึกตนแล้วมันก็เป็นคนดีได้คนเรา ให้พากันฝึกฝนอบรมนะ

    วันนี้ก็เหนื่อยเทศน์มากมายอะไรไม่ค่อยได้ ลม หูอื้อนี่ เทศน์อย่างนี้หูอื้อแล้วไม่เหมือนแต่ก่อน มันไปดังที่หู เพราะวันนี้เหนื่อยมาก ได้เทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ให้พากันอุตส่าห์พยายามตั้งอกตั้งใจในการบำเพ็ญคุณงามความดี อย่าท้ออย่าถอย อย่าลดอย่าละ อย่าเอาความขี้เกียจขี้คร้าน ความไม่ว่าง ความยุ่งเหยิงวุ่นวายเข้าไปกีดกันอรรถธรรม คือการสร้างความดี เป็นเศรษฐีเมื่อไม่พอใจแล้วมันก็ว่ามันเป็นคนจน จะไปทำบุญให้ทานบาทสองบาทมันก็ไม่อยากให้

    นี่อำนาจของความตระหนี่มันเหนียวแน่นมันหนักมาก มีอำนาจมากที่สุด เอาตระหนี่ให้อยู่ในเงื้อมมือ เงินไม่ออกไปทำบุญให้ทานสักบาทสองบาทก็ได้ ความตระหนี่ถี่เหนียวมันมีอำนาจขนาดนั้นนะ เมื่อธรรมตีความตระหนี่ให้แตกกระจายแล้วมีเท่าไรถึงไหนถึงกันๆ สุดท้ายมีเท่าไรถึงไหนถึงกันนี้แหละพาไปสวรรค์นิพพาน ไอ้ตัวตระหนี่ถี่เหนียวนั่นมันไม่ได้ไปไหนละ เจ้าของตายแล้วกองเงินกองทองมันก็อยู่อย่างนั้นแหละ ไปตกนรกหมกไหม้ที่ไหนมันไม่ยอมติดตามช่วยเจ้าของนะ เจ้าของต้องไปตกนรกเพราะความตระหนี่ถี่เหนียวหวงแหนสมบัติเหล่านั้น ส่วนสมบัติเหล่านั้นเขาไม่มีความหมาย เขาไม่สนใจกับเจ้าของ แต่เจ้าของเวลาตายแล้วถ้ากรรมไม่มากนักตายแล้วก็มาเป็นเปรตเป็นผีเฝ้าเงินเฝ้าทอง ถ้ามากกว่านั้นก็จมลงในนรกเลย สมบัติเงินทองไม่มีความหมายอะไรเลย

    เวลานี้เราทำสมบัติเงินทองเราให้มีความหมาย มีมากมีน้อยอย่าตระหนี่ถี่เหนียว มีมากมีน้อยทำบุญให้ทาน ไม่อดอยากขาดแคลน ใครเป็นผู้ทำบุญให้ทานเรียกว่าเป็นผู้เบิกกว้างทางเดินของตนไปสู่สุคติโลกสวรรค์โดยไม่ต้องสงสัย แต่ผู้ตระหนี่ถี่เหนียวได้มาเท่าไรกวาดเอาๆๆ ตายแล้วจมไปเลยนี้มีมากต่อมาก เป็นเปรตเป็นผีมาเฝ้ากองทรัพย์สมบัติก็มี อยากพากันเป็นเปรตไหม ถ้าพากันเป็นเปรตแล้วให้ตระหนี่ถี่เหนียวมากๆ การทำบุญอย่าทำมันหมดห้าหมดสิบไป เราไปเที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร่อน กินเหล้าเมาสุราดีกว่า เมาเหล้าและสุราอันดีกว่านั้นละพาเราให้จม มันดีเหรอพาเราให้จมนั่นน่ะ ให้พากันจำให้ดี

    วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ละ เทศน์มากกว่านี้เหนื่อย ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

    เรื่องภาวนานี้เราก็เป็นผู้สอนท่านทั้งหลายด้วยการภาวนา แต่ไม่เคยได้พูดเรื่องผลอัศจรรย์ของตนให้ท่านทั้งหลายฟังเลย นี้อัศจรรย์ไม่รู้กี่ครั้งนะ อัศจรรย์จนออกอุทาน อัศจรรย์ตัวเองถึงขนาดนั้น นี่ละคุณค่าแห่งการฝึกเป็นอย่างนั้น มันออกอุทานเลย โอ้โห จิตของเราทำไมถึงอัศจรรย์ถึงขนาดนี้ สว่างจ้าครอบไปหมดเลย ร่างกายนี้เหมือนไม่มี มันว่างไปหมด อัศจรรย์ตัวเอง ออกอุทานเลย โอ้โห จิตเรานี้ทำไมมันถึงสว่างไสวอัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวน้า นั่น เป็นหลายครั้ง

    นี่ละผลแห่งการภาวนา เบื้องต้นก็ล้มลุกคลุกคลาน ดีดดิ้นคือจะให้มันอยู่มันไม่อยู่ เอาพุทโธมามัดมันไม่ยอมอยู่ มันไม่กลัวพุทโธ เอาพุทโธก็ดี ธัมโมก็ดี สังโฆก็ดี วิ่งตามกิเลสไปหมด กิเลสเอาไปได้ เอาหลายครั้งหลายหน พุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ ภาวนาบังคับเข้าหลายครั้งหลายหนมันก็สงบบ้างให้เห็นคุณค่า ต่อจากนั้นหนักเข้าก็สงบๆ สงบจนกระทั่งอัศจรรย์ จากนั้นก็ถึงแดนอัศจรรย์ในขั้นสมมุติก่อน ยังไม่ได้พ้นนะ ถึงแดนอัศจรรย์เป็นขั้นๆ หนึ่ง จนกระทั่งได้อุทานตัวเอง

    ฟังนะท่านทั้งหลาย เรามาสอนท่านทั้งหลายเป็นอย่างไรผลแห่งการปฏิบัติของเราเป็นอย่างไร ฟังให้เป็นคติเครื่องเตือนใจ ไม่ได้มาอวดนะ อวดไปหาอะไร ไม่เกิดประโยชน์ เอาเสียจนกระทั่งสว่างจ้าไปเลย เวลาจิตมันว่างมันว่างจริงๆ นะ ร่างกายอะไรๆ เหล่านี้มันว่างไปหมดเลยถึงขั้นมันว่าง แล้วว่างอย่างอัศจรรย์เสียด้วย ไม่ใช่ว่างเฉยๆ ว่างอย่างอัศจรรย์ ถึงขั้นมันว่างๆ จิตนี่ พิจารณาอสุภะอสุภังจิตขั้นหยาบ ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ขั้นละเอียดเข้าไปๆ พอจิตเข้าถึงขั้นที่สามแล้วเกิดดับๆ จะว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ว่าไม่ทัน พอแย็บปั๊บดับพร้อมๆ นั่นมันจะเข้าถึงจิตจะเข้าถึงแดนอัศจรรย์ มันเป็นขั้นๆ นะภาวนา

    จากนั้นพอเกิดดับๆ คือจะพิจารณาว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มันไม่ทัน มันเหมือนแสงหิ่งห้อย หรือฟ้าแลบ แพล็บดับๆๆ พิจารณาว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่ทัน มันเข้าใกล้ชิดกับจิตแล้วนะนั่น ใกล้เข้าไปๆ เกิดดับที่จิตๆ ต่อไปก็ทะลุเข้าถึงจิต อย่างนั้นละการภาวนา ฝึกเข้าหาต้นตอแห่งวัฏจักรได้แก่จิตดวงนี้ พาสัตว์เกิดตายไม่รู้แล้วรู้รอดคือจิตดวงนี้ พอฟาดอันนี้ขาดสะบั้นลงไปวัฏจักรหายหมด เหลือแต่วิวัฏฏจักรวิวัฏฏธรรม ที่พูดนี้คือพูดผลของการภาวนา เวลาถึงขั้นมันละเอียดๆ จนถึงขั้นอัศจรรย์มีเป็นลำดับลำดา

    ฟังนะ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๑๑,๖๓๗ กิโลครึ่ง หลังจากมอบแล้วได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึมเพิ่มเข้าอีกถึงวันที่ ๑๑ เมษา ๕๑ กิโล ๒๐ บาท ๕๐ สตางค์ รวมทองคำทั้งหมดที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็น ๑๑,๖๘๘ กิโล ๕๓ บาท ๓๙ สตางค์ นี่ละทองคำเรานี้จะเอาเข้าคลังหลวง เคยมีสมัยไหนทองคำได้ไหลเข้าคลังหลวงเรื่อยๆ นี่ตั้งหมื่นกว่าแล้ว ทองคำเข้า ๑๑,๖๘๘ กิโลแล้วนะเข้าคลังหลวงแล้ว จากการที่พี่น้องทั้งหลายช่วยกันนำสมบัติเข้าคลังหลวง เวลานี้ได้จำนวน ๑๑,๖๘๘ กิโล ๕๓ บาท ๓๙ สตางค์แล้ว ได้เยอะ นับว่าได้มาก คราวนี้ได้มาก ขนสมบัติเข้าคลังหลวงได้มากอยู่

    กุฏินี้เราไม่ได้สร้างอะไรนะ เราจะปูพื้นข้างล่างอยู่เท่านั้นเอง ข้างบนขึ้นไม่ได้แล้ว เดี๋ยวนี้ขึ้นไปหอบแล้วนะ เราอยู่มา ๔๕ ปี ไม่เคยปรากฏ ปีนี้ปรากฏแล้ว พอขึ้นไปถึงบันไดไปถึงพื้นเท่านั้นหอบแล้ว เหนื่อย เลยปรารภทีนี้ต่อไปนี้จะได้อยู่พื้นล่างแล้ว ทีนี้เลยเกิดเหตุเลยสร้างกุฏิๆ กุฏิชั้นล่างนั่นแหละ ไม่ใช่ชั้นไหน หลังเก่านั่นแหละ

    เรามานี่ดูเหมือน ๖ ชั่วโมงนะ (๖ ชั่วโมง ๕ นาทีครับ) เออ ๖ ชั่วโมง ๕ นาทีนะ คือเราไม่จอดที่ไหน จอดเติมน้ำมัน เติมน้ำมันก็ ๑๓-๑๔ นาทีในย่านนี้ จากนั้นออกเลย ไม่จอดไหน แต่รถวิ่งเร็วไม่ได้เพราะมันรถพ่วง พอว่าเราจะไปไหนมันแห่ตามเลย แหม เป็นสายยาวเหยียดขนาดนี้ถึงโคราช สายยาวเหยียด รถพ่วง มันขนาดนั้นละ เราก็รำคาญนะ คือนิสัยเรากับที่มันเป็นอยู่เดี๋ยวนี้มันก็เป็นเอง ไม่ใช่มีใครบังคับให้เป็น เราจะไปไหนมาไหน โอ๋ย ไม่ได้ การภาวนาด้วยแล้วพ่อแม่ครูจารย์มั่นยิ่งเสริมเลย เราไปภาวนาไปกี่องค์ ไปองค์เดียว เอ้อขึ้นทันที ท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ส่ายมือ เพราะท่านรู้นิสัยของเราว่าจริงจังมาก เป็นอย่างนั้น

    นี้ไปที่ไหนไปองค์เดียว ไปภาวนามีแต่องค์เดียวทั้งนั้น เราไม่ไปกับใคร เป็นน้ำไหลบ่า มันไม่มีกำลัง ความรับผิดชอบกันโดยสัญชาตญาณมันหากมี ถ้าลงมีสององค์ก็ต้องรับผิดชอบ รับผิดชอบองค์นี้ๆ เป็นอยู่ในจิตหากเป็น ถ้าไปคนเดียวป่าช้าอยู่กับเราพอ เป็นอย่างนั้นนะ ไม่อยากฉันเท่าไรกี่วันช่างหัวมันไม่สนใจ มันจะตายจริงๆ ก็ไปบิณฑบาตมาฉันสักวันหนึ่ง จากนั้นก็ภาวนาเรื่อยๆ นี่เรียกว่าป่าช้าอยู่กับเรา

    ทีนี้ไปกับเพื่อนฝูงถ้าเราอดเพื่อนฝูงอดตามก็ต้องคิด เอ๊ นี่ท่านเห็นเราอดท่านจำเป็นต้องอด เราคิดอย่างนั้นไม่สบาย ถ้าไปเจ้าขององค์เดียวแล้วป่าช้าอยู่กับเราไปเลย กี่วันก็ตาม คือมันอยู่กับเราป่าช้า ถึงเวลาจะฉันเมื่อไรก็ฉัน ไม่ฉันหยุดไปเท่าไรช่างมัน จนท้องเสีย เพราะฉะนั้นจึงได้เตือนพวกนักภาวนาทั้งหลาย เราผ่านมาแล้ว การอดอาหารถูกต้องดีตั้งสติได้ง่าย สติดี การอดอาหารอดไปหลายวันเท่าไรสติติดกันเลย

    แต่ทีนี้เราจะอดติดกันไปเรื่อยๆ นี้ท้องเสียนะ มีการอดบ้างอิ่มบ้างสับปนกันไปห่างๆ ไม่ให้ติดกันไปเลยก็เหมาะ ถ้าจะเอาการอดอาหารเป็นพื้นเลยนี้เราทำแล้วท้องเสีย จนกระทั่งจะตายตอนที่จะช่วยชาติบ้านเมือง นี่ก็ยาหมอเติ้ง ไม่อย่างนั้นตาย ไปตรวจโรงพยาบาลใดเขาบอก มะเร็งในลำไส้ๆ วาระสุดท้ายแล้วเขาบอกอย่างนั้นนะ อยู่ๆ ก็ได้ยาหมอเติ้งมาฉันปั๊บพลิกแผ่นดินใหม่ขึ้นเลย ตั้งตัวขึ้นใหม่ช่วยชาติบ้านเมืองมาจนกระทั่งทุกวันนี้

    ถ้าพูดถึงเรื่องมันจะตายนี้หลายครั้งแล้วนะแต่ไม่ตาย ผ่านมาได้ตลอด จึงได้มาสอนบรรดาลูกหลานเรื่องอดอาหารนี้ดี ทางภาวนาสติดี แต่เราจะอดติดๆ กันไปเรื่อยๆ มันย้อนมาหาท้อง ท้องเสีย ถ้าอดไปบ้างพอสมควรแล้วสับปนกันไป อย่าให้มันติดๆ กันไปเรื่อย ไม่ดี สับปนกันไปให้พอเหมาะพอดี นั่นดีอย่างนั้น จำเอานะใครก็ดี เราทำอะไรมาแล้วถูกต้องหรือผิดพลาดประการใดมันเป็นครูสอน เวลาสอนคนอื่นก็สอนได้แม่นยำ

    เรื่องอดอาหารเราเคยแล้วท้องเสียจนจะตาย ได้ยาหม้อเติ้งมาแก้ ยานี่ก็สำคัญมาก ไปโรงพยาบาลโรงไหนเขาบอกจะตายเร็วๆ นี้ว่าอย่างนั้น เป็นเสียงเดียวกันหมด มะเร็งในลำไส้ เพราะอดอาหาร หมุนติ้วๆ การอดอาหารไม่ค่อยฉันนะ จนกระทั่งวาระสุดท้ายมันจะไปจริงๆ แล้วหมอเติ้งเขามาเสนอให้ฉันยา เราก็บอก เอา จะฉันนี้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหายก็หายไม่หายหยุดเลย ตั้งหน้าตายอย่างเดียว พอฉันปั๊บดีดผึงเลยนะ หายตั้งแต่นั้นมา มันแปลกอยู่ เขาแนะก็ดี เวลาเขาแนะหมอเขาบอกว่ายานี้เวลาฉันมันจะถ่ายนะ ถ้าโรคมีมากเท่าไรฉันยาลงไปมากเท่าไรมันยิ่งถ่ายมาก แต่ไม่เพลีย ไม่เหมือนมันถ่ายด้วยโรค ถ่ายด้วยยาไม่เพลีย ถ่ายเท่าไรให้มันถ่ายเถอะ ไม่ต้องวิตกวิจารณ์ แล้วมันก็ถ่ายจริงๆ ซัดลงไปจนกระทั่งมันหมดโรคมันก็หยุดถ่าย หายเลยจนกระทั่งทุกวันนี้ นี่ก็ยาหมอเติ้ง เราไม่ลืมคุณแกนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...