ในหนังสือ (สองเล่ม) ของศรี อรพินโธ (Sri Aurobindo) ชื่อ
"ว่าด้วยโยคะ" (On Yoga, 1958) อธิบายข้อมูลที่ได้มาเองในสมาธิ
ศรี อรพินโธ ได้พูดถึงภพแห่งจิตวิญญาณเอาไว้อย่างน่าสนใจ
โดยเฉพาะสำหรับผู้เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีและฟิสิกส์ดาราศาสตร์ และกับนักจักรวาลวิทยายุคใหม่บางคน
ที่มักจะเป็นนักปรัชญาไปด้วยในตัว ครับ-ทุกวันนี้เรามีนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ที่มีลักษณะเช่นนี้จริงๆ
คนเหล่านี้-หลายๆ คนเป็นอัจฉริยะและได้รางวัลโนเบล-ต่างก็ได้ให้ข้อมูลใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์
ไม่ว่าจะเป็นจากคณิตศาสตร์ หรือจากห้องทดลองที่มีอุปกรณ์ทันสมัยแบบทุกมหาวิทยาลัย
หรือสถาบันในบ้านเรา ไม่ว่าจะใหญ่ขนาดไหนก็ไม่มีใช้ เช่น บับเบิล แซมเบอร์ ดาวเทียมสำรวจจักรวาล
หรือแม้ซูเปอร์คอนดัคเตอร์ ซูเปอร์คอลไลเดอร์ ฯลฯ หลายคนของนักวิทยาศาสตร์แนวหน้าระดับนี้
เป็นนักเขียนและผลงานเขียนที่มีข้อมูลหลากหลาย ล้วนเป็นข้อมูลเหนือเหตุผลและเหนือสามัญสำนึก
จนต้องอาศัยอภิปรัชญามาต่อยอด และผลของมัน-พิจารณาจากหนังสือที่นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้
เขียน-ไม่ว่าจะมีมาจากประเทศไหนที่ใด-ล้วนให้ข้อมูลที่คล้ายๆ กันโดยหลักการ ทั้งมีส่วนสอดคล้อง
กับข้อมูลของศรี อรพินโธ ที่ได้มาจากสมาธิ-เมื่อสภาพจิตได้เปลี่ยนไปจากปกติ-(เช่นเดียวกับที่ได้
จากปราชญ์ผู้ปฏิบัติสมาธิคนอื่นๆ) ในประเด็นหลักอย่างมาก อย่างน่าสนใจและน่าประหลาดใจยิ่งนัก
ข้อมูลที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้ได้สรุปจากหนังสือวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่หลายเล่ม โดยนักเขียนที่ไม่มีใคร
สามารถปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของเขา แล้วนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ได้จากสมาธิหรือในสภาพจิตที่เปลี่ยนไป
(altered state of mind) ของศรี อรพินโธ หรือของผู้ปฏิบัติจิต ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติศาสนามา
คนอื่นที่ทำสมาธิอย่างยาวนาน
ศรี อรพินโธ เป็นลูกชายของแพทย์ที่มีชื่อเสียง และได้รับการศึกษาจากประเทศอังกฤษ โดยแสดงความเป็นอัจฉริยะ
มาตั้งแต่ต้น หลังจากกลับจากอังกฤษได้เข้าร่วมกับมหาตมะ คานธี ต่อสู้เพื่องเอกราชของอินเดีย ศรี อรพินโธ
สามารถพูดได้ถึงสิบภาษา โดยสามารถพูดเขียนคล่องเหมือนภาษาตนได้ถึง 7 ภาษาคือ ฮินดี อังกฤษ
ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย บาลี และสันสกฤต และสามารถท่องจำหนังสือเล่มหนาๆ ได้ทั้งเล่ม
โดยไม่มีการตกหล่นเลยหลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนั้นเพียงครั้งเดียว
ศรี อรพินโธ เล่าว่า หลังจากการปฏิบัติโยคะทำสมาธิอย่างยาวนาน เขาก็ได้ค้นพบสถานที่หรือ
ภพที่กว้างใหญ่ไพศาล ดังเช่นที่ศาสดาอรหันต์ในศาสนาต่างๆ อธิบายไว้ นั่นคือ ภพแห่งแสงสีที่เกิดจาก
คลื่นความถี่ที่สั่นสะเทือนอันไม่มีที่สิ้นสุด (multicolor infinit vibrations) ที่มีจิตวิญญาณ
ที่ไร้รูปสุดก้าวหน้าเป็นประชากร ศรี อรพินโธ เน้นว่าที่สำคัญที่สุดของสถานที่ที่ว่านั้นก็คือ
คลื่นความถี่อันบริสุทธิ์ที่ละเอียดยิ่ง (pure vibration) ที่น่าสนใจคือ ความถี่ คลื่นที่สั่นอย่างละเอียดนี้
มีลักษณะที่เป็นได้ทั้งคลื่น และเป็นอนุภาคเช่นที่อธิบายในแควนตัมเมคานิกส์ โดยไฮเซ้นเบิร์ก
หลายปีหลังจากหนังสือทั้งสองเล่มของศรี อรพินโธ ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรก
เมื่อศรี อรพินโธ ถูกถามว่า หากว่าพื้นฐานของมิติที่แท้จริงของจักรวาลที่เห็นในสมาธิเป็นสัทธรรมความจริง
(reality) เป็นเรื่องของแสงและความถี่ที่ละเอียดยิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกกันไม่ได้แล้ว
โลกและภาพของสรรพสิ่งรวมทั้งจักรวาลกายภาพที่เห็นแยกส่วนระหว่างกันคือสิ่งใด?
ศรี อรพินโธ ตอบว่า "ทั้งนั้นเป็นก้อนแสงที่มีความเสถียรชั่วคราว" สำหรับการดำรงอยู่ของชีวิต
ในมิตินี้และบนโลกนี้เทานั้น
ภพหรือปรโลกที่อธิบายมาข้างต้นไม่เพียงถูกค้นพบโดยศรี อรพินโธ เท่านั้น โยคีที่ชื่อว่า ศรี ยุคเตสวา
ก็เคยอธิบายให้สานุศิษย์รับรู้มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1920 ศรี ยุคเตสวา บอกว่า มิติมิติหนึ่งของปรภพ
จะเป็น "ความถี่คลื่นอันละเอียดยิ่งของแสงและสีหลากหลาย" (various subtle
vibrations of light and color) ประชากรของภพนี้จะมีปัญญาและระดับจิตวิญญาณสูงส่งยิ่ง
ทุกคนแผ่ความรักความเมตตาให้กับทุกคน และจิตของพวกเขาจะทรมานด้วยความเจ็บปวด
หากเกิดกระทำผิด แม้ด้วยการกระทำความผิดนั้นแสนจะน้อยนิด ผู้คนที่นี่อาจดำรงในรูปของแสง
(image of light) แต่ก็อาจมีรูปกายก็ได้ ในกรณีของรูปกาย พวกเขาสามารถเปลี่ยนร่างรูปได้
ดังใจปรารถนา ประชากรเหล่านี้จะสื่อสารกันทางจิตด้วยภาพแห่งแสง (light picture)
ในคำอธิบายในอิสลามิกซูฟิสม์ถึงปรโลกในมิติของผู้ทรงจิตวิญญาณที่รวมอิหม่ามที่เป็นครู
(the land of the spirit or the country of the hidden Imam) ในมิติที่ว่านี้
พวกเขาจะดำรงอยู่ในรูปกายที่ละเอียด หรือเป็นแสง ที่น่าสนใจก็คือ โลกปรภพแห่งนี้ล้วนปรากฏขึ้น
ด้วยอนุภาพที่เล็กและละเอียดยิ่ง (alam almithal) หรือ "ความคิด" ของคนจำนวนมากที่อยู่ในสถานที่นั้น
โดยสร้างขึ้นมาจากความว่างเปล่า แต่เมื่อมีขึ้นมาแล้วก็จะเป็นสถานที่จริง อิสลามิกซูฟิสม์ระบุว่าปรโลก
หรือมิติหลังความตาย ที่เป็นผลของความคิดนี้ จริงๆ แล้วคือพื้นฐานของจักรวาลกายภาพ
หรือจักรวาลปรากฏการณ์ของเรา นั่นคือทุกสรรพสิ่งในโลกในจักรวาลของเราล้วนมาจากพื้นฐาน
ความเป็นหนึ่งเดียวกันทางจิตวิญญาณทั้งสิ้น
นอกจากที่เล่ามาข้างต้น มีนักปฏิบัติจิตและผู้นั่งทางในคนอื่น เช่น สวีเดนบอร์ก ที่ผู้เขียนเคยเอามา
เขียนในคอลัมน์นี้ไปแล้ว รวมทั้งผลงานวิจัยทางการแพทย์มากมายที่ให้ข้อมูลปรภพหรือมิติอื่นๆ
ของจักรวาล เช่น เคนเน็ต ริงก์ หรือไมเคิล ซาโบม เป็นต้น ข้อมูลและผลงานเหล่านี้ชี้บ่งไปในทางเดียวกันว่า
มิติหรือภพภูมิหนึ่งของปรโลกมีลักษณะของคลื่นแห่งความสั่นสะเทือนที่ละเอียดของแสงสีหลากหลาย
ที่ดูจะค่อนข้างเหมือนกันกับที่กล่าวมาแล้วโดยหลักการ
เมื่อก่อนนี้ ผู้เขียนและเพื่อนแพทย์และนักวิทยาศาสตร์สายประยุกต์บางคน ต่างก็คิดหรือเห็นเหมือนๆ
กันว่า นั่นมันก็แน่อยู่แล้วที่ข้อมูลหรือคนที่อยู่ในสภาพเช่นนั้นจะเห็นเหมือนๆ กัน เพราะทั้งหมด
เป็นคนที่มีรูปแบบทางการแพทย์ของสมอง มีจิตรู้มีประสบการณ์ของโลกและจักรวาลเหมือนๆ กันทั้งนั้น
ดังนั้นเมื่อสภาพจิตไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สมองก็เป็นสมอง ความคิดก็เป็นความคิด คนก็เป็นคนที่
ย่อมจะเห็นเหมือนๆ กันอยู่ดี ไม่มีอะไรน่าแปลก
แต่หลังจากที่ฟริตจ๊อฟ แคปรา การี ซูก๊าฟ ในช่วงทศวรรษ 1970 ตามมาด้วยนักฟิสิกส์ระดับนำเป็นทิวแถว
พากันออกมาพูดเรื่องของแควนตัมเมคานิกส์ ที่มีความสอดคล้องต้องกันกับเรื่องของศาสนา
พูดถึงทรรศนะของความจริงแท้ (ที่พิสูจน์ได้ว่าจริงแท้และสมบูรณ์กว่าความจริงตามตาเห็นหรือ
วิทยาศาสตร์กายภาพมากยิ่งนัก) ผู้เขียนก็เริ่มหันมาติดตามวิทยาศาสตร์ใหม่โดยเฉพาะ
แควนตัมเมคานิกส์อย่างจริงจังมาตั้งแต่เวลานั้น ซึ่งยิ่งค้นยิ่งติดตามมายาวนานร่วม 15 ปี ผู้เขียนก็ยิ่งพบ
ความละม้ายคล้ายคลึงกันระหว่างข้อมูลที่เชื่อว่าเป็นความจริงทางศาสนา โดยเฉพาะศาสนา
ที่อุบัติขึ้นมาจากทางตะวันออก รวมทั้งศาสนาพุทธของเรา กับความจริงทางวิทยาศาสตร์ (แห่งยุคใหม่)
มากขึ้นเรื่อยๆ
เดวิด โบห์ม เป็นนักฟิสิกส์ที่ล้ำหน้าที่สุดคนหนึ่งในทางแควนตัมเมคานิกส์ นักวิทยาศาสตร์หลายคน
ตั้งฉายาให้โบห์มว่า เป็นภาพลักษณ์ของไอน์สไตน์คู่กับสตีเฟน ฮอว์กิง ที่มีฉายาว่าทายาทของไอน์สไตน์
งานวิจัยของเดวิด โบห์ม มีมากมายจนทำให้เขาเชื่อว่าจักรวาลทั้งจักรวาลมีลักษณะเป็นคลื่นพัวพัน
(interferent pattern or entanglement of waves or attributes)
ที่ต่อเนื่องอย่างที่แยกจากกันไม่ได้ รูปแบบของความพัวพันกันของคลื่นในรูปของสนามแควนตัมนี้
ให้ข้อมูลหรือภาพสามมิติหรือโฮโลแกรม (hologram) โบห์มจึงสรุปว่า จักรวาลทั้งจักรวาลเป็นโฮโลแกรม
และรูปแบบเช่นนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับสมองของคนเราที่ศัลยแพทย์จากมหาวิทยาลัยเยล-คาร์ล พิแบรม-
ค้นพบ ที่ข้อมูล (ความจำ) ทั้งหมดชั่วชีวิตของแต่ละคน ต่างก็เก็บไว้ในรูปของโฮโลแกรมที่ให้ภาพ
หรือข้อมูลที่เหมือนกันทุกประการไม่ว่าเอามาจากจุดใดของโฮโลแกรมหรือ-ในที่นี้-สมอง
นั่นคือความจำของคนเราไม่ได้ถูกเก็บอยู่ในที่หนึ่งใดของสมอง แต่อยู่ในทุกๆ ส่วน ทุกๆ เซลล์ (neurone)
ทั่วทั้งสมองนั่น-ตามที่ผู้เขียนเข้าใจ-อาจสรุปได้ว่า เดวิด โบห์ม เชื่อว่าจักรวาลเป็นโฮโลแกรมที่เคลื่อนไหว
สรรพสิ่งที่เรามองเห็นหรือรับรู้ล้วนเป็นข้อมูลได้มาจากความพัวพันกันของคลื่นหรือแสงที่มีความถี่คลื่นแตกต่างกัน
คลื่นหรือแสงที่โผล่ออกมาจากสนามแควนตัมอีกที ในขณะเดียวกัน คาร์ล พิแบรม ก็บอกว่า
สมองทั้งหมดคือโฮโลแกรมที่เก็บข้อมูลความจำเอาไว้ในเซลล์สมองทุกๆ เซลล์ (ในรูปของความถี่คลื่นหรือแสง)
มิชิโอะ กากุ นักฟิสิกส์เลื่องชื่อจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กซิตี ที่เคยอ้างชื่อและเอาบางส่วนของผลงาน
ของเขามาเขียนที่นี่ไปแล้วหลายครั้งได้กล่าวว่า โดยการคำนวณ (ทฤษฎีสตริงกับเม็มเบรน-
String and M-theories) พิสูจน์อย่างชัดแจ้งว่าจักรวาลของเราเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนไม่สิ้นสุด
ที่เกิดๆ ดับๆ และเกิดใหม่ตลอดเวลา จักรวาลของเราจึงซ้อนทับกับจักรวาลอื่นๆ ห่างกันเป็นมิลลิเมตร
หรือน้อยกว่านั้น แต่เราไม่สามารถรับรู้ได้ก็เพราะว่ามันมีมิติที่แตกต่างกัน ทั้งหมดมี 11 มิติ
แต่ละมิติแสดงการดำรงอยู่ของมันโดยอาศัยความถี่คลื่น (เช่นโลกสี่มิติของเราที่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ในช่วงความถี่ดังที่รู้ๆ กัน) หรืออีกนัยหนึ่งเป็นแสงที่มีความละเอียดของคลื่นแตกต่างกัน จักรวาลและ
โลกของเรามีเพียงสี่มิติ มิติยิ่งมากความถี่คลื่นยิ่งละเอียดมาก ดังนั้นมิติที่ 11 ความถี่คลื่นจึงละเอียด
จนแทบว่าจะคงที่ มิชิโอะ กากุ บอกว่า ในความเห็นของเขา มิติ 11 ที่ความถี่คลื่นมีความละเอียด
สูงสุดคือมิติแห่งนิพพาน
หากสิ่งที่นักฟิสิกส์เช่นมิชิโอะ กากุ เล่าเป็นจริงทั้งหมด นั่นก็แสดงว่ามิติที่อยู่เหนือหรือสูงกว่าโลกสี่มิติของเรา
ย่อมประกอบด้วยความถี่คลื่นที่ละเอียดกว่าจักรวาลของเราเป็นพื้นฐาน ที่อาจให้แสงสีแสนมหัศจรรย์
ไม่ต่างไปจากลักษณะของปรภพหรือมิติที่มีชื่อเรียกหาต่างๆ ดังที่ยกมาเล่าข้างบน ที่อาจทำให้คิดไปว่า
มิติที่สูงกว่าเหล่านั้นก็คือสวรรค์ชั้นต่างๆ ไล่ขึ้นไปถึงรูปพรหมและอรูปพรหม จนกระทั่งระดับนิพพาน
อันเป็นมิติที่ 11 ทั้งหมดอาจแสดงการวิวัฒนาการของจิตวิญญาณที่สะสมเป็นบารมีตั้งแต่ดำรงอยู่ในภพนี้
ดังที่มีอธิบายไว้ในศาสนาต่างๆ ก็เป็นได้.
ที่มา : คัดลอกมาจากกระทู้ที่คุณ Kamen rider แห่งเวปพลังจิต
ที่โพสต์ไว้ในในบอร์ดอกาลิโกครับ
http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=6043
ภพแห่งจิตวิญญาณ VS มิติคลื่นความถี่จักรวาล
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 2 มิถุนายน 2009.
-
ขออนุญาตคัดลอกบทความที่คุณ Kamen rider โพสต์เอาไว้นานแล้ว
มาลงให้อ่านต่อนะครับ
จาก : http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=1106
...................................................................................
สุดท้าย - ธรรมชาติก็จะจัดสรรของมันเอง
<HR SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->จริงๆ แล้วเราทุกคนเคยได้ยินคำว่า "ธรรมะจัดสรร" กันมานาน ในความเห็นของผู้เขียน
นั่นเป็นสิ่งเดียวกันกับวลีที่ผู้เขียนใช้มาตลอด "ธรรมชาติจัดสรร"
เพราะผู้เขียนคิดว่าคำว่าธรรมะในความหมายหนึ่งหมายถึงธรรมชาติที่มีสองระดับ หยาบกับละเอียดอย่างยิ่ง
ในที่นี้วลี "ธรรมชาติจัดสรร" หมายถึงการจัดสรรโดยธรรมชาติ ที่มีรูปแบบสองระดับ คือ หยาบ ก็ได้
กับละเอียดอย่างยิ่งก็ได้ โดยมีระดับที่ละเอียดยิ่งหรือระดับพระเจ้า เต๋าและนิพพาน คือเป้าหมายของการสร้างสรรค์นั้น
นั่นเป็นความเชื่อหรือจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมตะวันออกก็ไม่ผิด ความเชื่อที่นานวันกลายเป็นความรู้นั่น
ว่าไปแล้ว ไม่มีทั้งตรรกะและทั้งไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง ธรรมชาติ - ไม่ใช่มนุษย์กับเทคโนโลยีสักหน่อย -
แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาจัดสรรค์? แต่สำหรับชาวตะวันออกเราอยู่มาด้วยความรู้หรือด้วย "ญาณทัสนะ (intuition)"
ที่ไร้เหตุผลเช่นนั้นมากกว่าจะอยู่กับตรรกะกับภาษากับปัญญาความฉลาดมากนัก ที่คิดว่าเรื่องของตรรกะและ
เหตุผลเป็นเรื่องของตะวันตกเขา หรือเป็นเรื่องของความคิดจิตปัญญาหรือความฉลาด (intelligent) ที่ได้จากสมอง
อันเป็นเรื่องของเหตุผลของวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีทั้งหมด และแล้วด้วยกระแสชาวตะวันตก - ที่เชื่อในเหตุผลว่า
นั่นคือความรู้ที่ให้ความจริงแท้ เชื่อว่ามนุษย์ไม่ใช่ธรรมชาติ แต่อยู่เหนือธรรมชาติ - ในที่สุดกระแสแห่งเหตุผล
และกระแสแห่งวิทยาศาสตร์พร้อมด้วยผลพวงของวิทยาศาสตร์กับการไล่ล่าเมืองขึ้น - ตะวันตกก็ครองโลกอย่างเด็ดขาด
ครับ เราที่เป็นชาวตะวันออกบนแผ่นดินใหญ่ ล้วนได้รับการอบรมบ่มเพาะภายใต้วัฒนธรรมหรือปรัชญา
โดยเฉพาะศาสนามายาวนานหลายพันปี ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมก่อนศาสนาไล่ลงมา ถึงศาสนาพราหมณ์ โซโรอัสเตอร์
ศาสนาเต๋า ศาสนาพุทธและศาสนาชิน เราจะพบกับปรัชญาที่มีความเป็นเอกภาพ ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาที่มาของวัฒนธรรม
หรือศาสนาใด นั่นคือปรัชญาหรือวัฒนธรรมที่ชี้บ่งว่าทุกสิ่งในโลกในจักรวาลไม่มีสิ่งใดที่คงและไม่เปลี่ยนแปลง
นั่นคือโดยธรรมชาติแล้วทุกสิ่งเป็น "อนิจจตา" คือไหลเลื่อนเคลื่อนที่แบบ "เชื่อมโยง" กันตลอดเวลา ก่อการเปลี่ยนแปลง
ที่ให้สิ่งใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมเลยตลอดเวลาดังที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ อี้-จิง ว่า
"สภาพความหยุดนิ่งอยู่กับที่ - โดยธรรมชาติ - ไม่มีจริง"
นั่นคือ ปรัชญาของศาสนาเต๋าที่เรียกว่า "หวู-เว่ย" หวู - ที่แปลว่าไม่ใช่หรือไม่มี กับเว่ย ซึ่งในที่นี้หมายถึงการกระทำ (nonaction)
แต่โดยความหมายในภาษาจีนนั้น หวู-เว่ย ไม่ได้แปลกันตามคำแปลอย่างตรงไปตรงมาว่า "ไม่ต้องทำไรเลย"
แต่จะมีความหมายเฉพาะหรืออาจขยายได้ต่อไปว่า "ไม่ทำอะไรที่ผิดไปจากที่ธรรมชาติทำ" หรือไม่ทำอะไร
ที่ไม่สอดคล้องกับกระบวนการของจักรวาล นั่นคือ หยิน-หยางที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันอย่างสมดุลพอเพียงพอดี"
ไม่ใช่เป็นอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นหยินหรือหยางยาวนานเกินไป ชวนจื่อถึงได้กล่าวว่า
"หวู-เว่ยไม่ได้มีความหมายว่าไม่ให้ทำอะไร หรือนิ่งเงียบ แต่หมายความว่า - จงปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันดำเนินไป
ตามทางที่มันทำของมัน - ด้วยหยิน-หยางที่ทำงานสมดุลกันของกระบวนการธรรมชาติ"
อย่าลืมว่าโดยธรรมชาติการแยกเป็นปัจเจกหรือการแยกส่วนเป็นชิ้นเป็นอันจากกันและกันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
กระบวนการธรรมชาตินั้น เป็นเรื่องภาพรวมหรือโดยรวมหรือองค์รวมเสมอ ยิ่งกว่านั้นโดยธรรมชาติแล้ว
ทุกสิ่งจะเชื่อมโยงกับทุกสิ่งและกับทั้งหมด นั่นคือสองสภาวะที่ให้ความสอดคล้องต้องกันทั้งทางจิตวิญญาณ
และทางด้านของฟิสิกส์ใหม่อย่างที่เดวิด โบห์ม นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงยิ่งกล่าวขยายต่อว่า
"ความเป็นหนึ่งที่เป็นทั้งหมดนี้จะเชื่อมโยงกันแบบไร้รอยเย็บรอต่อ" (seamless wholeness)
ของความเป็นองค์กรที่คลี่ขยายออกมาจากองค์กรซ่อนเร้นตัวเองกลับไปมา (implicate order-explicate order)
และก็เป็นเดวิด โบห์ม อีกที่บอกว่า ไม่เห็นหรือที่ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับกันในเวลาหนึ่ง อีกไม่นานก็มักมีทฤษฎี
ที่ใหม่กว่ามาหักล้าง แต่นั่นในไม่ช้าไม่นานก็มีทฤษฎีใหม่ที่ใหญ่ยิ่งกว่าและดีกว่านั้นเข้าไปอีกมาแทนที่
เดวิด โบห์ม อธิบายว่า ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์กายภาพที่แยกส่วน
และอธิบายแต่ละส่วนนั้นๆ อย่างเป็นปัจเจกเอกเทศ ที่โดยธรรมชาติไม่มีจริง ดังนั้น ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ (กายภาพ)
จึงไม่สามารถยืนยงความจริงของจักรวาลหรือของธรรมชาติได้ เพราะวิทยาศาสตร์มองทุกสิ่งทุกอย่างแยกจากกัน
โดยเฉพาะชีววิทยา และสังคมศาสตร์ที่มองว่า ชีวิตและสังคมวัฒนธรรมแปลกต่างจากกันซึ่งไม่สอดคล้องกับ
กระบวนการธรรมชาติเลย ธรรมชาติมีแต่ความเป็นองค์รวมที่ทุกสิ่งเชื่อมโยงกับทุกสิ่งอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างบน
และที่กล่าวมานั้นไม่มีใครสามารถไปบังคับหรือไปขัดขวางกระบวนการที่ดำเนินไปของมันเช่นนั้นเองได้เลย
<!-- / message --><!-- sig --> -
ต่อนะครับ...
นักคิดนักศึกษาอินเดียนวิทยาแทบไม่มียกเว้นเชื่อว่าศรี อรพินโธ เป็นอรหันต์ แต่ที่เรารู้ - อย่างน้อยเขาก็เป็นอัจฉริยะ
อรพินโธสามารถอ่านหนังสือหนามากเล่มหนึ่งจบในเวลาหนึ่งคืน และจำข้อความทั้งหมดโดยไม่ตกหล่นเลย
เช่นนั้นเองที่อรพินโธจึงพูดและเขียนภาษาต่างๆ ได้เป็นอย่างดีถึง 11 ภาษา แน่นอนความสามารถที่กล่าวมาทั้งหมด
ไม่เกี่ยวอะไรกับความเป็นอรหันต์ แต่เราลองมาพิจารณาข้อเขียนของเขา (Aurobindo : Life Divine, (1901) 1987) ดู
ส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนั้น พูดถึงจักรวาลแห่งสัจภาวะ หรือความจริงแท้ หรือพระเจ้า กับจักรวาลปรากฏการณ์
และชีวิตและมนุษย์กับสังคมของมนุษย์นั้น ศรี อรพินโธ เขียนเอาไว้ดังนี้
จักรวาลคือพรหมัน (Brahman or Atman) ที่มีสองสภาวะ คือหนึ่งจักรวาลแห่งสัจภาวะหรือความจริงแท้ (พระเจ้าพระนิพพานเต๋า)
ที่แทบว่าจะคงที่และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับสอง จักรวาลแห่งปรากฏการณ์ที่เกิดจากข้อหนึ่ง (ข้างบน)
ที่หมุนสั่นเคลื่อนไหวในเวลาและอากาศ (สถานที่) การหมุนสั่น (vibrations) ที่คลี่ขยายจากเอกภาวะสู่ความหลากหลาย
และให้ความหลากหลายในเอกภาวะ ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล (ปรากฏการณ์หรือกายภาพ) เกิดจากการสั่นสะเทือนเคลื่อนไหว
(พลังงานจิตวิญญาณ) จนชนปะทะกันก่อการสรรค์สร้างเป็นสรรพสิ่งเป็นชีวิต และแล้วพลังงานหรือจิตวิญญาณ
ก็เข้าไปอยู่ในสสารนั้น สิ่งที่อยู่ในสสาร คือมนัสที่ให้นามรูป เวทนาความรู้สึก และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังมนัส ก็คือจิตวิญญาณ
หรืออาตมันที่คงที่ไม่เสื่อมสลาย การดำรงอยู่ของจักรวาลกายภาพคือการรวมเข้าหากันและการคลี่ขยายของเอกภาวะหนึ่งเดียว
ซึ่งก็คือความหลากหลายนั้น ซึ่งสอดคล้องกับฟิสิกส์ใหม่ที่เดวิด โบห์ม กล่าวไว้ดังที่ยกมาเล่าข้างบน
เราที่อยู่ในจักรวาลกายสภาพ - ท่ามกลางสองโฉมหน้าสองสภาวะ - จึงจำเป็นต้องเข้าใจเรียนรู้และเอาชนะอุปสรรค
ที่ขวางกั้นเพื่อเข้าถึงสัมผัสและรับรู้ว่า มันยังมีอีกสภาวะหนึ่งของจักรวาลที่ให้ความจริงแท้ที่ "เราหรือมนุษย์ทุกคน"
จำเป็นอย่างยิ่งที่ไปให้ถึง และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย แม้แต่สำหรับศรี อรพินโธ ก็ยังคงต้องใช้เวลาหลายสิบปี
เพื่อเข้าสู่ภพภูมิหรือมิติที่มีความถี่ของการสั่นสะเทือนละเอียดอย่างยิ่ง มิติที่ศรี อรพินโธ เรียกว่า
"ดินแดนที่อยู่ภายใน...ที่จะเข้าถึงได้ก็ด้วยการเรียนรู้ที่จะละทิ้งดินแดนภายนอกหรือมิติเก่าที่อยู่กับเราลงไปให้ได้"
และนั่นจะสามารถทำได้ด้วยการทำจิตรู้ให้สงบเงียบและให้จิตเดินทางสู่ข้างใน (สมาธิ) และที่นั่น เขา (และเราทุกคนที่มุ่งมั่น)
ก็จะพบกับภพภูมิหรือมิติที่มีความถี่ของการไหวสั่นสะเทือนสูงไล่ละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไป
สุดท้ายไปสู่มิติที่มีความสั่นสะเทือนแทบคงที่ (หรือคงที่) โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลง
นั่นคือมิติที่ไร้กาลเวลาหรือสถานที่ นั่นคือมิติที่มีแต่ความใสกระจ่างสว่างไสว ที่แสงใสที่ว่านั้น
สร้างสรรค์เป็นรูปกายหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างทันทีทันใดดั่งปรารถนา "เป็นเทพฮินดูสำหรับผู้ปฏิบัติที่เป็นคนอินเดีย...
เป็นคริสเตียนเซนต์สำหรับคนคริสเตียน..." ที่ไม่ใช่เป็นการลวงหลอก หากเป็นประเด็นจิตวิญญาณบางประการ
(Miuchael Talbot : Holographic Universe, 1995) ว่าไปแล้วภพภูมิหรือมิติที่ศรี อรพินโธ อธิบายมาข้างบนนั้น
กลับไปสอดคล้องกับฟิสิกส์ใหม่ว่าด้วยจักรวาลขนานของมิชิโอะ กากุ นักฟิสิกส์ดังที่ผู้เขียนเอามาเขียนในคอลัมน์นี้
เมื่อไม่นานมานี้ (Michio Kaku : Parallel Worlds, 2005)
<!-- / message --><!-- sig --> -
มีต่ออีกครับ...
ดังนั้นเอง เราจึงอยู่กับความเป็นสอง ที่มองเห็นแต่ภาพมายาลวงตาของจักรวาลแห่งปรากฏการณ์เพียงด้านเดียว
แล้วก็สรุปบนตาเห็นและอหังการมนุษย์ (เท่านั้น) ว่า นั่นคือความจริงแท้ เราจึงมองเห็นแต่ความแตกต่างกันของรูปธรรม
และพฤติกรรมทำให้เราสร้างวัฒนธรรมที่แปลกต่างกันมากขึ้นและมากขึ้น ชาติพันธุ์แปลกต่าง
ภาษาวัฒนธรรมแปลกต่าง โดยเฉพาะศาสนาให้แตกต่างจากกัน เป็นเขาเป็นเรา เป็นมิตรเป็นศัตรูกัน
ทั้งๆ ที่จักรวาลอีกสภาวะหนึ่ง - ที่แทบจะคงที่ - หรือไม่เปลี่ยนแปลง - คือหนึ่งเดียวที่เป็นทั้งหมดที่แยกจากกันไม่ได้
เราที่อยู่กับความเป็นสอง อยู่กับเหตุผล อยู่กับสมองและปัญญาความฉลาด (intelligent) อยู่กับหยางโดยทิ้งหยิน
และทิ้งญาณทัสนะไปแทบทั้งหมดมาร่วม 500 ปี นั่นชี้บ่งอย่างชัดแจ้งว่า เพราะเชื่อในวิทยาศาสตร์เชื่อในเหตุผล
เราได้ทำผิดกระบวนการธรรมชาติจนเข้าป่าดงพงไพรมายาวนานเกินไป
เราจึงต้องกลับไปหาหยิน และนั่นเราจะทำเองโดยมองความจริงข้างนอกหรือมองแต่ด้านของจักรวาลปรากฏการณ์
หรือใช้แต่สมองกับเหตุผลไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะเหตุผลขึ้นกับว่าตนแต่ละคนหรือแต่ละฝ่ายมีจุดยืนอยู่ที่ไหน?
จึงเป็นหน้าที่ของหวู-เว่ย เป็นหน้าที่ของจักรวาลที่จะแก้ไขตัวเอง จัดการกับตนเอง นั่นคือ การจัดองค์กรตนเอง
ที่จะให้สิ่งใหม่ที่วิทยาศาสตร์ใหม่เรียกว่าการโผ่ลปรากฏ (emergent) ซึ่งโดยปรัชญาเต๋า เราอยู่กับหยาง
ที่ทรงเหตุผลสูงมายาวนานเกินไป เราอยู่กับตัวกูของกู อยู่กับความก้าวร้าวและเอาชนะมานานเกินไป
โดยธรรมชาติ - ที่ไม่ว่าเราจะปรารถนามันหรือไม่ - หยินทันก็ต้องเข้ามา หยินคือการยอมรับ การประนีประนอม
และการร่วมมือกันอย่างสันติ
พฤติกรรมของจักรวาลหรือปฏิกิริยาสองประการที่อยู่ตรงกันข้าม แต่พึ่งพากันอย่างสมดุลพอดีนี้ มีสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง
และสิ่งนั้นคือระดับของจิตวิญญาณที่คัมภีร์หยิน-หยางไม่ได้พูดถึง แต่เคน วิลเบอร์ เอามาเป็นหัวใจของความคิด
ทางจิตวิทยาจิตวิญญาณ (spintual Psycholohy) ของเขา นั่นคือองค์ความรู้สองประการที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น - ญาณทัสนะ
กับเหตุผล (intuition and rationa) นั่นคือระดับจิตสองระดับ (transpersonal : and self or egoic rational)
ที่มนุษย์ต้องเรียนรู้โดยอัตโนมัติเพราะมันเป็นเป้าหมายของจักรวาล นั่นคือระดับจิตผ่านพ้นตัวตนแห่งความเป็นองค์รวม
ที่เชื่อมโยงกันดังได้กล่าวมาแล้ว กับระดับจิตที่แปลกต่าง เดินเป็นเส้นตรง (linear) และแยกส่วนที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ไม่ว่าในที่หนึ่งที่ใดหรือภูมิภาคไหน มนุษยชาติกำลังยืนอยู่ที่จุดหักเลี้ยวหรือทางสองแพร่ง
ของการเปลี่ยนแปลง เราอยู่กับหยางที่ก้าวร้าว เห็นแก่ตัวบนหลักการแยกส่วนคือเหตุผลมายาวนานเกิน
ถึงร่วมไป 500 ปี ดังนั้นความขัดแย้ง การชนปะทะกันประหนึ่งไร้ระเบียบโกลาหล (chaos) อันเป็นกลไกธรรมชาติ
จึงหลีกหนีไม่พ้น ไม่ว่าฝ่ายใดก็ต้องสูญเสีย ไม่มีฝ่ายใดชนะหรือฝ่ายใดแพ้ เพราะทั้งหมดคือมนุษย์ คือชีวิต
คือธรรมชาติที่จักรวาลไม่แยกแบ่งและไม่คิดแยกแบ่ง
สุดท้ายแล้ว บางทีไข้หวัดนก หรือสึนามิและพายุร้ายซ้ำซากกระทั่งอุกกาบาตยักษ์คือสิ่งที่ให้ความเป็น "หวู-เว่ย" ที่ว่านั้นก็ได้.
ขอขอบคุณ