ภัยแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 23 พฤศจิกายน 2005.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    <CENTER>
    [SIZE=+2]ภัยแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย[/SIZE]</CENTER><CENTER>
    [​IMG]</CENTER>
    [SIZE=-1] ภัยแห่งพระพุทธศาสนา ความจริงมีมานานแล้ว แต่ถ้าเราไม่ประมาทจริง ๆ ก็ยังพอมีทางที่จะแก้ปัญหาได้ ภัยดังกล่าวมีสองอย่างคือ ภัยจากภายนอกและภัยจากภายใน ภัยภายในเป็นเรื่องใหญ่ ภัยภายนอกแม้จะร้ายแรงอย่างไรก็ตาม ถ้าภายในยังเข้มแข็งอยู่ ก็สามารถดำรงตนรักษาตัวไว้ได้ แต่ถ้าภายในอ่อนแอเสียแล้ว ภัยภายนอกก็เข้ามาซ้ำเติมได้ง่าย แม้แต่ไม่มีภัยก็ยังทำลายตัวเองหมดไปได้[/SIZE]


    <CENTER>
    [SIZE=+2]ภัยภายนอก[/SIZE]</CENTER>[SIZE=-1] ภัยภายนอกที่เรามองดู และพูดถึงว่าเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา ถ้าว่าไปแล้วไม่ใช่เป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะภัยต่อพระพุทธศาสนา ก็หมายถึงภัยต่อประเทศชาติ และสังคมไทยทั้งหมดด้วย นอกจากนั้นภัยจากประเทศ และสังคมนี้ก็เป็นภัยอย่างเดียวกับภัยที่จะเกิดแก่โลก หมายความว่า[/SIZE][SIZE=-1]ถ้าภัยเกิดแก่พระพุทธศาสนาได้ และถ้าประเทศไทยมีปัญหาได้ ก็เป็นปัญหาแก่ทั้งโลกนั่นเอง[/SIZE][SIZE=-1] ฉะนั้น เราจึงมามองดูสภาวะ และสถานการณ์ของโลกทั้งหมด[/SIZE]
    [SIZE=-1] เวลานี้เมื่อเรามองดูไปทั่วโลก จะเห็นว่าอยู่ในภาวะที่ไม่ปลอดภัยในสังคม การรบราฆ่าฟันยังมีกันมากมาย แม้แต่ในประเทศเดียวกันก็เกิดสงคราม มีการฆ่ากันอย่างทารุณโหดร้ายชนิดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ [/SIZE][SIZE=-1]การฆ่าฟันทำสงครามกันนี้ เป็นเรื่องของเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ และลัทธิศาสนา [/SIZE][SIZE=-1]อย่างที่เราได้ยินกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คือการทำสงครามรบกัน ระหว่างยิวกับอาหรับ เป็นสงครามที่มีความหมายทั้งในแง่เผ่าพันธุ์ และในแง่ลัทธิศาสนา คือเรื่องชาวยิวกับชาวอิสลาม ซึ่งเห็นชัดว่าเป็นศัตรูกันมาเป็นพันปีแล้ว มองใกล้เข้ามาอย่างประเทศฟิลิปปินส์ อินโดเนเซีย ก็มีสงคราม การรบการฆ่าฟันกันด้วยเรื่องของลัทธิศาสนา มองไปทางเมืองฝรั่งอย่างไอร์แลนด์เหนือ ก็มีการรบกันระหว่างโปรเตสแตนท์กับคาทอลิก เป็นปัญหากันมาไม่รู้จบสิ้น ถอยหลังไปไม่นานก็ที่บอสเนีย มีการฆ่ากันอย่างโหดร้ายทารุณอย่างยิ่ง[/SIZE]
    [SIZE=-1] เมื่อมองเรื่องที่เป็นมาเป็นไปอย่างนี้แล้ว ก็ทำให้เราต้องมองไปข้างหน้าด้วยว่าสภาพที่เป็นอย่างนี้ มันส่องแนวโน้มว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะความคิด ความเชื่อหรือทิฏฐิของคนนี้เป็นเรื่องสำคัญ เมื่อคนเรามีความเชื่อตั้งจิตตั้งใจมองอะไรอย่างไรก็คิดจะทำอย่างนั้นต่อไป ถ้ามองในแง่ของการที่เกิดสงครามฆ่าฟันกัน ระหว่างคนต่างผิวต่างลัทธิศาสนานี้ เมื่อเราหันมามองประเทศไทยกลับเห็นว่าเป็นประเทศที่ดีที่สุด เป็นประเทศที่ร่มเย็นเป็นสุข[/SIZE]
    [SIZE=-1] คนไทยไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์คนผิวเผ่าไหน คนลัทธิศาสนาไหนก็อยู่กันได้ด้วยดี เป็นอย่างนี้มาตลอดเวลายาวนานแล้ว เพราะว่าคนไทยไม่รังเกียจใคร ปรับตัวเข้ากับทุกคนได้ ที่เป็นอย่างนี้เราพูดได้เต็มปากว่าเป็นเพราะพระพุทธศาสนา ที่ว่าคนอยู่ร่วมกันได้ดี เพราะพระพุทธศาสนานี้แน่นอน เพราะว่าแนวคำสอนของพระพุทธศาสนานั้นให้มีเมตตา มีกรุณา แล้วเมตตากรุณานั้นก็สากล คือไม่มีการจำกัดหรือแบ่งแยกว่ารักเฉพาะพวกนี้พวกนั้น หรือว่าฆ่าคนพวกนั้นได้ไม่เป็นบาป ฆ่าคนพวกนี้จึงจะเป็นบาป อย่างที่บางลัทธิศาสนาถึงกับบอกว่า คนพวกนั้นกลุ่มนั้นฆ่าแล้ว กลายเป็นว่าได้บุญเสียด้วยก็มี ถ้าไม่เป็นการสนับสนุนให้เกิดการรบราฆ่าฟัน อย่างน้อยก็เป็นข้ออ้างให้ฆ่าฟันทำการรุนแรงได้[/SIZE]
    [SIZE=+1]ฝรั่งแสนแปลกใจ แต่ไหนแต่ไร เมืองไทยใจเสรีไม่มีที่ไหนเทียมเท่า[/SIZE]
    [SIZE=-1] เมืองไทยเรามีความใจกว้างอย่างนี้มานานแล้ว ถอยหลังไปดูประวัติศาสตร์ได้ คนไทยตั้งแต่เป็นพุทธศาสนิกชนสืบมา อยู่ร่วมกับใครก็ได้ ในสมัยที่ฝรั่งเริ่มเข้ามา และเขียนบันทึกเหตุการณ์ไว้ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อฝรั่งเข้ามาพร้อมกับการล่าเมืองขึ้น และทำการค้าขายอะไรต่าง ๆ ศาสนาก็เข้ามาด้วยคือมีการนำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ และนักบวชที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์นั้นเองได้เขียนบันทึกไว้ ถึงสภาพชีวิตจิตใจ และลักษณะนิสัยของคนไทยที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยิ้มแย้มแจ่มใส ยินดีต้อนรับและให้เกียรติคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ลัทธิศาสนาใด บาทหลวงชื่อ ฌ็อง เดอ บูร์ ได้บันทึกไว้ตอนหนึ่ง กรมศิลปากรได้นำมาจัดพิมพ์เป็นหนังสือไว้ เป็นจดหมายเหตุการเดินทางของพระสังฆราชแห่งเบริด เขาบอกไว้ดังนี้[/SIZE]
    [SIZE=-1] ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะมีประเทศใดในโลก ที่มีศาสนาอยู่มากมาย และแต่ละศาสนาสามารถปฏิบัติพิธีการของตน ได้อย่างเสรีเท่ากับประเทศสยาม[/SIZE]
    [SIZE=-1] อีกตอนหนึ่งเขาเขียนบอกว่า ความคิดของชาวสยามที่ว่าทุกศาสนาดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แสดงตนเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาอื่นใด หากศาสนานั้น ๆ สามารถยืนหยัดอยู่ได้ภายใต้กฏหมายของรัฐ นับแต่โบราณกาล ผู้ปกครองของไทยมีเจตนารมย์อันดีงาม ที่จะปล่อยให้แต่ละชาติปฏิบัติพิธีการทางศาสนาของตนได้อย่างเสรี[/SIZE]
    [SIZE=-1] หันไปดูบันทึกของฝรั่งที่เป็นพ่อค้า เป็นนายทหารหรือเป็นนักปกครองบ้างพ่อค้าฝรั่งเศสเขียนว่า[/SIZE]
    [SIZE=-1] ถ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงชักชวนแล้ว สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็คงจะหันเข้าหาศาสนาโรมันคาทอลิกเป็นแน่ ถ้าการณ์เป็นไปได้เช่นนั้นจริงแล้ว จะเป็นพระเกียรติแก่พระเจ้าหลุยส์เพียงใด เพราะในเวลาพระองค์ได้ทรงจัดการศาสนาในพระราชอาณาเขตของพระองค์ ยังได้ทรงจัดการทำลายศาสนาอันไม่ดีในแผ่นดินฝ่ายตะวันออก ซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่เจริญที่สุดอยู่แล้ว[/SIZE]
    [SIZE=-1] บันทึกตอนนี้หมายความว่าเขามาเห็นสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไม่ได้ทรงรังเกียจเดียดฉันท์ แต่กลับทรงอุปถัมภ์ศาสนาคริสต์ และนักบวชบาทหลวงที่เข้ามาเผยแพร่ เขาก็เลยเข้าใจผิดนึกว่าพระเจ้าแผ่นดินไทยนี้ทรงพร้อมแล้วที่จะนับถือศาสนาคริสต์ จึงกราบทูลให้พระเจ้าหลุยส์ทำพระราชสาส์นมาชวน ที่น่าสังเกตก็คือ เขามีความภูมิใจว่า ถ้าเขาไปไหนเขาได้เอาศาสนาเขาเข้าไป เขาจะต้องทำลายศาสนาที่นั่นด้วย เพราะเขาถือว่าศาสนานั้นไม่ดี แสดงให้เห็นคติของฝรั่งต่อศาสนาอื่นที่เขาว่าไม่ดีไปหมด[/SIZE]
    [SIZE=-1] ต่อมาก็เป็นอย่างที่ว่าจริง ๆ คือพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงมีพระราชสาส์นมาเชิญชวนสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ให้ทรงหันไปนับถือคริสต์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงตอบยาวอยู่ ถ้าเอาข้อความสั้น ๆ ก็คือ ตรัสว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงสร้างแผ่นดิน สร้างสิงสาราสัตว์ ทรงบันดาลได้ทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าหากว่าพระเจ้าต้องการให้พระองค์เป็นคริสต์ พระองค์ก็จะบันดาลเอง ขณะนี้สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยังเป็นพุทธมามกะ ก็แสดงว่าพระผู้เป็นเจ้ายังไม่ทรงต้องการ จึงทรงปล่อยให้พระองค์เป็นชาวพุทธอยู่อย่างนี้[/SIZE]
    [SIZE=-1] สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงมีพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ทรงตอบทีเดียว พระเจ้าหลุยส์ก็เลยไม่รู้จะว่าอย่างไร บัวก็ไม่ช้ำ น้ำก็ไม่ขุ่น[/SIZE]
    [SIZE=+1]ขณะที่ฝรั่งฆ่ากันใหญ่ หนีภัยเพราะศาสนา ฝรั่งมาเมืองไทย คนไทยต้อนรับเอาใจยิ่งกว่าคนไทยด้วยกัน[/SIZE]
    [SIZE=-1] ทีนี้มาถึงนายทหารบ้าง ที่ชื่อนายพลฟอร์บัง นายพลฟอร์บังอยู่ในกรุงศรีอยุธยามานาน ต่อมากลับไปประเทศฝรั่งเศส ก็ไปเล่าให้พระเจ้าแผ่นดิน และบาทหลวงผู้ใหญ่ทางฝรั่งเศสฟัง นายพลฟอร์บังเล่าว่า[/SIZE]
    [SIZE=-1] ที่ทำให้ศาสนาคริสต์แผ่ไพศาลไปได้เร็วนั้น ต้องโทษจรรยาวัตรของพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีความอดทนและเคร่งครัดมาก พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ไม่เสพสุราเมรัย ฉันแต่ของที่คนใจบุญถวายเป็นวัน ๆ ไปเท่านั้น ของที่ได้มากเกินความจำเป็นก็บริจาคแก่คนจน ไม่เก็บไว้สำหรับวันรุ่งขึ้น ตามปกติใจความของพระธรรมเทศนานั้นแนะนำให้คนทำบุญ ทั่วพระราชอาณาจักรนั้นมีคนใจบุญมากมาย เราจะไม่เห็นคนที่จนถึงต้องขออาหารกิน ธรรมจรรยาของเขาเลิศกว่าของเรามาก เขาหานับถือผู้สั่งสอนศาสนาของเราไม่ เพราะผู้สั่งสอนศาสนาของเราไม่เคร่งครัดเท่าภิกษุสงฆ์ เมื่อผู้สั่งสอนศาสนาของเราแสดงคริสตธรรม คนไทยซึ่งเป็นคนว่านอนสอนง่าย นั่งฟังธรรมปริยายนั้น เหมือนฟังคนเล่านิทานให้เด็กฟัง ความพอใจของเขานั้นไม่ว่าจะสอนศาสนาใด ก็ชอบฟังทั้งนั้น พระภิกษุสงฆ์ไม่เถียงเรื่องศาสนากับผู้หนึ่งผู้ใดเลย เมื่อมีคนยกคริสต์ศาสนา หรือศาสนาใด ๆ มาพูดกับท่าน ท่านก็เห็นว่าดีทั้งนั้น ถ้ามีคนมาปรักปรำพระพุทธศาสนา ท่านก็ตอบอย่างใจเย็นว่า เมื่ออาตมาภาพเห็นว่าศาสนาของท่านเป็นศาสนาที่ดี เหตุไรท่านจึงไม่เห็นว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดีเล่า[/SIZE]
    [SIZE=-1] พระของเราตอบพระฝรั่งไปอย่างนี้ เพราะคนไทยมีจิตใจกว้างขวาง ซึ่งฝรั่งต้องพยายามต่อสู้กันมานักหนา ฝรั่งมีแต่รบกันฆ่ากันเรื่องศาสนา จนกระทั่งต้องอยู่กันด้วยกฎหมาย เอากฎหมายเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้คนรุกราน หรือรุกล้ำละเมิดกัน ฝรั่งเป็นอย่างนั้นมาตลอด[/SIZE]
    [SIZE=-1] แม้แต่ใกล้ ๆ ปัจจุบันนี้เอง คนไทยก็ยังมีน้ำใจดีเหมือนเดิม ทางใต้ของเรามีคนนับถือศาสนาอิสลามมีชาวอิสลามมาก เราก็อยู่กันมาด้วยดีไม่มีปัญหา เหมือนพี่เหมือนน้อง พระทางใต้ท่านเล่าให้ฟังว่า ในภาคใต้เราที่เป็นมาแต่ก่อนคนไทยพุทธ และคนไทยอิสลามอยู่ด้วยกัน เวลาคนอิสลามสร้างมัสยิดคนไทยพุทธไปช่วยสร้าง เวลาชาวพุทธสร้างโบสถ์ ชาวอิสลามก็มาช่วยสร้างด้วย นี่เป็นสภาพที่หาได้ยาก ไม่มีที่ไหนในโลก อย่างที่ประเทศอเมริกาที่ว่าเป็นประเทศเสรีภาพ มีความเป็นประชาธิปไตย ก็เป็นด้วยกฎหมายหากมีประสบการณ์ในการบีบคั้นข่มเหงกันมาก หนีความบีบคั้นทางศาสนาในยุโรปก็ยังไปพิฆาตกันใน อเมริกาอีก เวลานี้แม้แต่มีกฎหมายบังคับควบคุมก็ยังมีพวกสมาคมลับ มีพวก Ku KIux Klan เอาไว้สำหรับฆ่าคนผิวดำ แล้วต่อมาก็มีนาซีใหม่อีก นี่เพราะจิตใจยังแก้ไม่ตก แต่ของเรานี่แก้เข้าไปในจิตใจเลย จึงพูดได้ว่าเสรีภาพทางศาสนานี่ อเมริกาอย่ามาคุยเลย เทียบกับเมืองไทยไม่ได้ เรียกว่าอเมริกามีเสรีภาพในทางลบ คือเสรีภาพแบบคอยกั้นคอยกัน คอยระวังไม่ให้รุกรานข่มเหงกัน แต่ของไทยเราเป็นเสรีภาพแบบบวก คือกลายเป็นสามัคคีช่วยเหลือเกื้อกูลกัน[/SIZE]
    [SIZE=-1] ที่ว่ามานี้เป็นสภาพที่เป็นมาในพื้นเพภูมิหลังของเราที่เราจะต้องรู้จักตัวเอง แต่สภาพอย่างนี้เราจะรักษาเอาไว้ได้หรือไม่ นี่แหละคือปัญหาเรื่องภัยแห่งพระพุทธศาสนา[/SIZE]
    [SIZE=+1]ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร ชาวพุทธควรได้ปัญญามองดูความคิดจิตใจคน ที่จะส่งผลอนาคตต่อไป[/SIZE]
    [SIZE=-1] สภาพอย่างที่ว่ามานี้ ที่อยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง ไม่ว่าต่างผิว ต่างเผ่า ต่างศาสนานี้ เราพูดได้เลยว่า มีได้เฉพาะเมื่อชาวพุทธจำนวนมากครอบคลุมเกือบหมดทั้วประเทศ แต่ถ้าเมื่อไรมีชาวพุทธน้อยลงก็จะเริ่มเกิดปัญหา อย่างเมืองไทยนี้ ถ้าเมื่อไรคนพุทธเหลือ ๙๐ % ก็จะเริ่มเดือดร้อน ปัญหาต้องเกิดขึ้น ตอนนี้เหลือ ๙๔ % กว่า ๆ ก็มีเค้าว่าจะเริ่มร้อนแล้ว ย้อนไปแค่ช่วง ๔ - ๕ ปีก่อนนี้ ปัญหาก็เริ่มตั้งเค้าแล้ว เช่นมีพระองค์หนึ่งจากนราธิวาสได้เล่าเรื่องความเป็นไปในจังหวัดของท่านด้วยความเป็นห่วงว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร สมัยท่านเป็นเด็ก จะเป็นเด็กพุทธหรือเด็กอิสลามก็เรียนหนังสือด้วยกันโตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก ตอนเป็นเด็กจะถือศาสนาไหน ๆ ก็ไม่รู้จักแบ่งแยก จึงเป็นเพื่อนสนิทกันเรื่อยมา พอโตแล้วอยู่ด้วยกันมีบรรยากาศที่สบาย ต่อมาตอนหลัง เขาแยกไปเรียนคนละโรงก็เริ่มมีปัญหา กลายเป็นคนละพวกแล้วโน่นพุทธ นั่นอิสลาม ปัญหาก็ได้เริ่มมีขึ้นเรื่อย ๆ ในบางท้องที่ของเมืองใต้นั้น พระไปบิณฑบาตในบางถิ่นที่มีคนอิสลามมาก เดี๋ยวนี้ถูกวัยรุ่นโห่เอาแล้ว บางแห่งไปมีการถ่มน้ำลาย อันเป็นเรื่องที่แสดงว่า สถานการณ์สังคมได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี และนับว่าเป็นภัยชนิดหนึ่ง[/SIZE]
    [SIZE=-1] ที่เป็นอย่างนี้เราพูดได้ว่า [SIZE=-1]ชาวศาสนาอื่นไม่ได้มองอย่างชาวพุทธ [SIZE=-1]ยกตัวอย่างเรื่องที่เป็นข่าวใหญ่ระดับโลกเร็ว ๆ นี้ คือเรื่องกรณี[/SIZE]ทาลีบัน พวกทาลีบันเข้าปกครองประเทศอัฟกานิสถาน ได้ใช้ปืนใหญ่ และลูกระเบิดทำลายพระพุทธรูปที่มีมาเป็นพันปี และถือว่าเป็นสมบัติของโลก
    [SIZE=-1] ในประวัติศาสตร์อัฟกานิสถานเคยเป็นดินแดนพระพุทธศาสนา เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง อยู่แถว ๆ อาณาจักรกุษาณของพระเจ้ากนิษกะที่[/SIZE]บามิยาน มีพระพุทธรูปใหญ่สูง ๕๓ เมตร และ ๓๕ เมตร ซึ่งแกะสลักอยู่ที่ภูเขาเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๘๐๐ มาถึงตอนนี้พระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์ ก็ถูกผู้ปกครองอิสลามพวก ทาลิบัน ทำลายลงไป
    [SIZE=-1] ความจริงในประวัติศาสตร์เขาเคยทำลายมาแล้วหลายครั้ง แต่สมัยก่อนยังไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยอย่างนี้ เขาทำลายโดยได้แต่เอาฆ้อนเหล็กไปต่อยไปทุบ[/SIZE]
    [SIZE=-1] ในอินเดีย จะเห็นพระพุทธรูปในที่ต่าง ๆ ถูกทำลาย ถ้าเป็นศิลาใหญ่หน่อยก็ต่อยที่พระนาสิกให้เสียโฉม เพราะมีพระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก เพราะเขาทำลายไม่ไหวจึงทำได้แต่เพียงนั้นเป็นอย่างนี้ทั่วไปหมด แต่เวลานี้มีเครื่องมือทำลายที่ร้ายแรง มีระเบิดมีปืนใหญ่จึงทำลายได้หมดสิ้น[/SIZE]
    [SIZE=-1] เมื่อเกิดกรณีทาลีบันขึ้นมา ก็ต้องดูว่าชาวพุทธก็ตาม ชาวโลกและโดยเฉพาะชาวอิสลามก็ตาม จะมีความรู้สึกแสดงออกอย่างไร ซึ่งจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ในการที่จะมองสถานการณ์ ซึ่งหมายถึงแนวโน้มต่อไปในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร[/SIZE]
    [SIZE=-1] เราควรพิจารณาในแง่ว่าคนที่มีความคิดอย่างนี้ ที่เขาทำอย่างนี้ได้นั้นจิตใจเขาเป็นอย่างไร เขานึกคิดต่อผู้อื่นอย่างไร ต้องมองไปในอนาคตว่า เมื่อเขายังมีความคิดมีความเชื่อ และมีสภาพจิตใจอย่างนี้ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปนี่เป็นเรื่องสำคัญเท่าที่ดูแล้ว ชาวพุทธก็มีบ้างที่ตื่นตัวแต่ว่ามีน้อย ในฝ่ายชาวอิสลามมีชาวอิสลาม ที่แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างอาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ก็เขียนลงในหนังสือพิมพ์ แสดงความไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ใช่คำแถลง หรือแสดงมติที่ออกจากองค์กรใหญ่ของชาวอิสลาม ซึ่งควรแสดงให้เห็นท่าทีที่ชัดเจน[/SIZE]
    [SIZE=-1] แต่ชาวอิสลามบางคนก็พูดในทางตรงข้าม เป็นข้อเขียนในหนังสือรายสัปดาห์ฉบับหนึ่ง ในหัวข้อเรื่องว่า เวรกรรมของทาลีบัน มีเนื้อความบางส่วนว่า เรื่องการทำลายพระพุทธรูปของพวกทาลีบัน อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องของศาสนิกชนอื่น ที่ไปทำลายศาสนสถานของชาวพุทธ ซึ่งพระพุทธรูปเป็นที่เคารพสัการะสำหรับศาสนาของเขา สิ่งที่เขาทำอาจเป็นสิทธิของเขา เพราะเขาทำในบ้านของเขา ถ้าไทยอิสลามมีรูปเจว็ดในบ้าน เราก็ต้องกำจัด นายวันนอร์ก็เปลี่ยนแปลงห้องรัฐมนตรีโดยการยก พระพุทธรูปออกไป และอดีต รมว.ต่างประเทศ ก็ยกพระพุทธรูปออกจากห้องทำงานเหมือนกัน การที่จะให้อิสลามเป็นสากล ไม่ใช่ว่าจะยืดหยุ่นได้ทุกเรื่อง อิสลามเป็นศาสนาที่สร้างสรรไม่ใช่ทำลาย บางครั้งการทำลายอาจเป็นสาเหตุจากการสร้างสรรค์ ศาสดามูฮำหมัดก็เคยทำสิ่งเดียวกัน บรรดาเทวรูปที่อยู่ในเมกกะถูกทำลาย แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้น ก็ทำให้สังคมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว[/SIZE]
    [SIZE=-1] นี่คือท่าทีที่เป็นตัวอย่าง เขามองประเทศอัฟกานิสสถานเป็นบ้านเฉพาะของชาวอิสลามเท่านั้น คนถือศาสนาอื่น ๆ ทั้งที่เกิดที่นั่นก็ไม่มีบ้าน ไม่มีสิทธิ นอกจากนั้นคำว่าสากลที่ชาวอิสลามคนนี้เขียนก็มิใช่หมายถึง การทำให้คนทั้งหลายทั่วไปทั้งหมด เข้าใจศาสนาอิสลามถูกต้อง แล้วเห็นชอบยอมรับทั่วกันอย่างที่เราเข้าใจ แต่หมายถึงการที่จะต้องให้ทุกคน และทุกอย่างเป็นไปตามที่ศาสนาอิสลามกำหนด[/SIZE]
    [SIZE=+1]คนไทยชอบยกย่องนับถืออเมริกา แต่น้อยคนจะรู้จักอเมริกา[/SIZE]
    [SIZE=-1] ยกตัวอย่าง[/SIZE]ประเทศมาเลเซีย ได้ประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ แล้วก็เริ่มมีปัญหาเรื่องการศึกษาเล่าเรียน มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรต่าง ๆ ในขณะที่มาเลเซียมีศาสนิกอิสลาม ๕๓ % พุทธ ๑๙ % คริสต์ ๑๑ % ฮินดู ๘ % และอื่น ๆ ๙ % แล้วแค่นี้เอาเป็นศาสนาประจำชาติก็แปลกแล้ว จุดที่ควรมองอยู่ที่ว่า ความคิดจิตใจของเขาเป็นอย่างไร จะเห็นว่าคนในประเทศไทย กับประเทศต่าง ๆ ที่ยกมานี้มีความคิดไปคนละแบบ แม้แต่ประเทศอเมริกาที่บอกว่า เป็นประเทศที่มีเสรีภาพทางศาสนา ถึงกับแยกรัฐกับศาสนาแต่เป็นการแยกแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ยกตัวอย่างพิธีปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดี ประธานาธิบดีต้องสาบานตัวกับคัมภีร์ไบเบิล แม่แต่พิธีสาบานธง ซึ่งเป็นการแสดงความภักดีต่อชาติ ก็มีกฎหมายออกมา ซึ่งรัฐสภากำหนดคำสำหรับปฏิญาณตนตอนหนึ่งว่า ประเทศอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งเดียวภายใต้พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น ถ้าถามว่าประเทศอเมริกามีศาสนาประจำชาติไหม ตามหลักฐานนี้ก็บอกได้เลยว่ามี ถ้าถามต่อไปว่าเขาถือศาสนาไหนเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ตอบได้เลยว่าศาสนาคริสต์ การที่ในรัฐธรรมนูญเขาให้รัฐกับศาสนา แยกกันก็เพราะความขัดแย้งของนิกายคาทอลิก กับโปรเตสแตนท์ ที่จริงในตัวรัฐธรรมนูญแท้ ๆ ก็ไม่มีคำที่บอกว่าแยกรัฐกับศาสนา มันเป็นเพียงการแปลความหมายของประธานาธิบดี เจฟเฟอร์สันของสหรัฐอเมริกา
    [SIZE=-1] หลายคนหลงไปตามสหรัฐอเมริกา ที่มองกันไม่ชัดแล้วเข้าใจผิดว่า การแยกรัฐจากศาสนาและการมีเสรีภาพทางศาสนา เป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งที่จริงไม่ใช่ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการเข้าใจผิดต่อไปอีกว่า เรื่องนี้เป็นความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรม แต่ที่จริงไม่ใช่เลย มันเป็นความติดตันทางอารยธรรมต่างหาก[/SIZE]
    [SIZE=-1] ที่กล่าวมาแล้วมุ่งที่จะให้รู้เท่าทันสถานการณ์ว่ามนุษย์หรือชาวโลกยังเป็นกันอยู่อย่างนี้ ซึ่งเราควรจะก้าวให้พ้นเลยต่อไป เพราะศักยภาพของชาวพุทธมีมากกว่านั้น เราสามารถสร้างสันติสุขที่แท้จริงให้แก่โลกได้ แต่ทั้งนี้ต้องปฏิบัติตามหลักที่พูดแล้วว่า ใจดีอยู่กับเขาโดยมีเมตตา แต่ก็ต้องปฏิบัติจัดการด้วยปัญญา และอยู่ด้วยความไม่ประมาท[/SIZE]
    [SIZE=-1] บางที่เราไม่รู้ภูมิหลัง เข้าใจว่าสหรัฐอเมริกามีเสรีภาพทางศาสนา ให้ศาสนากับรัฐไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน แล้วเอาวิธีนี้มาใช้กับประเทศไทย โดยไม่เข้าใจภูมิหลัง กลายเป็นว่าเอาสิ่งที่เป็นโทษมายัดเยียดใส่ประเทศของตัวเอง[/SIZE]
    [SIZE=-1] นายกรัฐมนตรีไทย เวลาเข้ารับตำแหน่ง ถ้าจะเอาอย่างอเมริกาน่าจะมีพิธีทางพระพุทธศาสนาบ้าง อย่างอื่นเอาอย่างอเมริกา แต่อย่างนี้ไม่เอา[/SIZE]
    [SIZE=-1] ตามประเพณีของไทยเรา ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีการประกาศราชธรรมต่าง ๆ คือหลักการปกครองแผ่นดิน ตามคำสอนของพระพุทธศาสนา มีทั้งทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร ราชสังคหวัตถุ และขัตติยพละ เมื่อเรามาเป็นประชาธิปไตย เราไม่ได้นำวัฒนธรรมประเพณีนี้มาสืบต่อ ทำไมเราจึงละเลยเสีย[/SIZE]
    [SIZE=+1]กลมกลืนกันไปมา ฝ่ายที่ไม่รู้ตัวจะหัวหายไปเอง[/SIZE]
    [SIZE=-1] อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ตอนนั้นชาวพุทธบางท่านได้ไปพบเอกสารของคริสต์จากองค์กรที่เรียกว่า สำนักราชเลขาธิการเพื่อปฏิบัติต่อคนที่มิใช่ชาวคริสต์ (Secretariat for non - christians) เป็นเอกสารลับ ซึ่งเขาใช้สำหรับสื่อกัน ระหว่างพวกบิชอพคาทอลิกที่ทำงานอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ในเอกสารนี้มีนโยบายใหม่ของคาทอลิก ที่จะปฏิบัติต่อศาสนาอื่น ๆ ทำให้รู้ว่าเวลานี้ทางคาทอลิกได้เปลี่ยนนโยบาย เพราะก่อนหน้านี้พวกบาทหลวงเวลาเผยแพร่ศาสนา จะใช้วิธีพูดจารุนแรง คำว่าโจมตี ก็ได้เปลี่ยนแปลงในทางที่เข้ามาเป็นมิตร[/SIZE]
    [SIZE=-1] เอกสารลับดังกล่าวนี้สืบเนื่องมาจาก การประชุมมหาสมัชชาวาติกัน ครั้งที่ ๒ (Vatican Council 2) ที่ประชุมกันเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๖๒ - ๑๙๖๕ (พ.ศ. ๒๕๐๕ - ๒๕๐๘) แต่เรามาพบหลังจากนั้นนานจึงรู้ว่าเขาเปลี่ยนนโยบาย เข้ามาสัมพันธ์กับชาวพุทธอย่างดี แม่แต่ที่กรมการศาสนา ก็ถึงกับตั้งเป็นหน่วยงาน เรียกว่า ศูนย์ศาสนสัมพันธ์ แปลมาจากคำว่า Dialogue เพื่อให้ทางคริสต์ทางพุทธอะไรต่าง ๆ ได้มาประสาน และมีความกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน[/SIZE]
    [SIZE=-1] ในเมืองไทยศาสนาคริสต์เข้ามาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ราวสามร้อยปีมาแล้ว จนถึงปัจจุบันมีคนไปเป็นคริสต์อยู่เพียง แสนกว่าคนถือว่าไม่ได้ผลเลย จึงต้องหันมาใช้วิธี dialogue ให้มีการวิสาสะกันใช้วิธีผสมกลมกลืน (Assimilalion) ในเอกสารที่เป็น Bulletin มีบอกหมดว่าประเทศไทยเวลานี้มีสถานการณ์อย่างไร องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก พุทธสมาคม ทำงานได้ผลหรือไม่ พระสงฆ์เป็นอย่างไร ชาวไทยเป็นอย่างไร เขาควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะให้ผลดี เริ่มตั้งแต่ในแง่คำสอนทางศาสนา ก็ให้คนเก่าของคริสต์ไปเรียนหลักธรรมของพระพุทธศาสนา แล้วเอามาใช้ในคริสตศาสนา ตลอดจนพิธีกรรมต่าง ๆ ก็นำมาใช้เช่นชาวคริสต์ทอดผ้าป่า พยายามใช้วิธีบวชแบบพุทธ มีการขานนาคมีคู่สวด อันไหนได้ผลก็ทำต่อ อันไหนไม่ได้ผลก็เลิกไป นอกจากนั้นยังนำเอาแบบแผนทางสถาปัตยกรรมไปใช้ โดยออกแบบให้คล้ายแบบไทยและเป็นแบบพุทธ มีการนำเอาโต๊ะหมู่บูชาไปใช้ [/SIZE]
    [SIZE=+1]บาทหลวงคริสต์เอานิพพานเป็นอัตตา เพื่อให้พุทธศาสนากลายเป็นคำบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า[/SIZE]
    [SIZE=-1] นอกจากภาคปฎิบัติแล้ว เราก็พบในแง่คำสอน เขาวางวิธีเอาหลักธรรมของพระพุทธศาสนาไปอธิบายแบบคริสต์ เป็นการครอบคือ เอาพุทธไปไว้ข้างใน แล้วเอาคริสต์เป็นใหญ่คลุมไว้ทั้งหมด ให้พระพุทธเจ้าเป็นคนที่พระเจ้าส่งมา บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นประกาศก ที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมา เพื่อเตรียมชาวตะวันออกไว้ต้อนรับพระเยซู[/SIZE]
    [SIZE=-1] อนัตตาเขาบอกว่าคริสต์ก็มี สรุปได้ความว่า พระพุทธเจ้าสอนไปได้ถึงแค่อนัตตา คือสอนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จบแค่นั้น ต้องอาศัยรอพระเยซูมาสอนอัตตาอีกทีหนึ่ง[/SIZE]
    [/SIZE]
    [/SIZE]
     

แชร์หน้านี้

Loading...