ภาพรวมของนิพพาน คือ อสังขตธาตุ..นั่นเอง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ใครบรรลุธรรม, 5 มีนาคม 2019.

  1. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ว่าจะไม่คุยกับคนโง่ๆ แล้วนะเนี่ย
    โง่กว่าที่คิดเสียอีก...แน่ะ
     
  2. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เรื่องใครเป็นอาจารย์ใครมันคงไร้สาระมาก ถ้ารับว่าพระศาสดาคือบรมครูด็อีกเรื่องนึง
     
  3. ใครบรรลุธรรม

    ใครบรรลุธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2018
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +268
    KENNY..คุณมันคนเก็บกด- แก่แล้วไร้วุฒิภาวะ ..น่าละอายผมไม่อยากสนทนาอะไรกับคุณมาก ป่วยก็ไปกินยาไป.
     
  4. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    666
     
  5. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ทำไมถึงคิดว่าจำเป็นต้องคุยละ ผมหาสนใจไหม บอกไปแล้วไง ไม่คุณผิดผมก็ผิด แต่พูดไปแบบกระตุกและดึงออกจากบางอย่าง เผื่อจะฉุกคิด ทำไมถึงทัก แบบนั้น แต่ถ้าคิดว่าจำเป็นหรือไม่ ในการคุยกันก็ดีแล้ว ผมหาสนใจไม่
     
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,195
    จิตเดิมแล้วบริสุทธิ์ค่ะ ยืนยันได้จากคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามพระสูตร 2 พระสูตรด้านล่างค่ะ

    จิตเดิมไม่ได้มาหลงอวิชชา แต่จิตเดิมแท้บริสุทธิ์ คือ จิตที่เป็นสุญญตาเดิม คือบริสุทธิ์ผ่องใสอยู่ แต่ด้วยมีกิจหน้าที่จึงมาเกิด แรกเดิมจิตบริสุทธิ์ผ่องใส แต่ด้วยการหลงมิติอัตตาตัวตน ไม่รู้ความจริง (อวิชชา) คิดว่าสิ่งที่ตนรับรู้สัมผัสได้เป็นตัวตน เพราะความหลงผิดไม่รู้ (อวิชชา) จึงทำให้เกิดกิเลสตัณหาเพิ่มขึ้นเป็นคุณสมบัติของจิต ที่เป็นตัวทำลายความบริสุทธิ์แต่เดิมของจิตทำไม่บริสุทธิ์เหมือนเดิมเสียแล้ว

    ความไม่บริสุทธิ์ของจิตเดิม ก็คือ จิตวิญญาณที่ว่านี้ ล้วนเกิดการไม่ว่างไปจากอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ ที่จิตใจ หรือ จิตหยาบ หรือ จิตมนุษย์ถ่ายทอดเอาไว้ให้

    นี้ค่ะ จากอักษรสีน้ำเงินที่พระพุทธเจ้ายังตรัสไว้ในพระสูตรที่จิตหลุดพ้นทุกพระสูตรค่ะ

    ก็ปรินิพพานเฉพาะตน ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
    พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทําได้สําเร็จแล้ว
    กิจอื่นที่จะต้องทําเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก ดังนี้.

    .....................


    ในหมู่มนุษย์ ชนผู้ที่ถึงฝั่งมีน้อย ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้ย่อมเลาะไปตามฝั่งทั้งนั้น ก็ชนเหล่าใดแล ประพฤติตามธรรมในธรรมอันพระสุคตเจ้าตรัสแล้วโดยชอบ ชนเหล่านั้นข้ามบ่วงมารที่ข้ามได้โดยยาก แล้วจักถึงฝั่ง บัณฑิตออกจากอาลัยแล้ว อาศัยความไม่มีอาลัยละธรรมดำแล้วพึงเจริญธรรมขาว บัณฑิตพึงปรารถนาความยินดียิ่งในวิเวกที่ยินดีได้โดยยาก ละกามทั้งหลายแล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล พึงชำระตนให้ผ่องแผ้ว จากเครื่องเศร้าหมองจิต ชนเหล่าใดอบรมจิตด้วยดีโดยชอบ ในองค์แห่งธรรมสามัคคีเป็นเครื่องตรัสรู้ ชนเหล่าใดไม่ถือมั่น ยินดีแล้วในการสละคืนความถือมั่น ชนเหล่านั้นมีอาสวะสิ้นแล้วมีความรุ่งเรืองปรินิพพานแล้วในโลก

    จบปัณฑิตวรรคที่ ๖

    ......................อีกพระสูตรหนึ่งค่ะ................

    ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้เข้าไปหาเป็นผู้ไม่หลุดพ้น;ผู้ไม่เข้าไปหาเป็นผู้หลุดพ้น.

    ภิกษุทั้งหลาย !วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอารูป ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้

    เป็นวิญญาณที่ มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย

    มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้.

    ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอาเวทนา ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้

    เป็นวิญญาณที่ มีเวทนาเป็นอารมณ์ มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัย

    มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้.

    ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอาสัญญา ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้

    เป็นวิญญาณที่ มีสัญญาเป็นอารมณ์ มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย

    มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้.

    ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอาสังขาร ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้

    เป็นวิญญาณที่ มีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้งอาศัย

    มีนันทิเป็นที่เข้าไปสองเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้.

    ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า :-

    เราจักบัญญัติซึ่งการมา การไป การจุติ(การตาย)การอุบัติ (การเกิด)

    ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ของวิญญาณ

    โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นจากสังขาร

    ดังนี้นั้น นี่ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.



    ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ

    ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นสิ่งที่ภิกษุละได้แล้ว.

    เพราะละราคะได้ อารมณ์สําหรับวิญญาณก็ขาดลง

    ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้น

    ก็ไม่งอกงาม หลุดพ้นไป เพราะไม่ถูกปรุงแต่ง

    เพราะหลุดพ้นไป ก็ตั้งมั่นเพราะตั้งมั่น ก็ยินดีในตนเอง

    เพราะยินดีในตนเอง ก็ไม่หวั่นไหว เมื่อไม่หวั่นไหว




    ก็ปรินิพพานเฉพาะตน ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว

    พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทําได้สําเร็จแล้ว

    กิจอื่นที่จะต้องทําเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก ดังนี้.

    พุทธวจน อินทรียสังวร (ตามดู ! ไม่ตามไป...) หน้า ๑๑๔.

    (ภาษาไทย) ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๓/๑๐๕.: คลิกดูพระสูตร
     
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    นี่ นางหลอดปิ๊ยิ้ม....เวเดอร์...
    พระสูตรที่แก ยกมา เรื่องจิตเดิมบริสุทธ์น่ะ ถูก....
    แต่ท่านพูดเรื่องจิต จึงกล่าวเพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า จิตเดิมที่ไม่มีอวิชชา เพื่อเปรียบเทียบกับจิตไม่เดิมที่เปื้อนอวิชชา ..แต่นัยยะคือ
    จิต มันก็ไม่เที่ยง...ดังนั้น จิตเดิมที่ท่านกล่าวถึง มันหมายถึงจิตที่หมดความยึดมั่นถือมั่น หมายถึง ไม่มีจิต..(สุญญตา อนัตตา นิพพาน ดับ ..ก็ว่าไป)..จิตเป็นนามธรรม

    พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้หมายความเหมือนที่แกเข้าใจหรอก ว่า จิตเป็นตัวอะไรที่ผ่องใสบริสุทธ์....จิตเดิมบ้าบอ .(จิตเป็นรูปธรรม)..อะไรของแก เอามาพูดอยู่ได้ ทั้งที่ไม่รู้ความจริงว่า มันเกืดมีจิตจากอวิชชาได้อย่างไร แกมาเกิดเพราะอวิชชาได้อย่างไร
    จิตเกิดเพราะอวิชชา...ไม่ไช่ เพราะจิตมีอวิชชา..ไม่เข้าใจก็อย่า เอามาพูด
    บอกเตือนไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
    จะเอามาพูดให้คนอื่นหัวเราะเยาะไปทำไม...

    ในวงจรปกิจจสมุปบาท มันมีคำว่า...จิต....ซักตัวมั้ย..หือ.?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2019
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    พึงชำระตนให้ผ่องแผ้ว จากเครื่องเศร้าหมองจิต...

    นี่ก็บอกอยู่โต้ง.ๆ.ว่า ชำระตน คือ..ขำระอัตตาตัวตน ชำระอวิชชา.
    ไม่ไช่ให้ชำระจิต รูปธรรม เหมือนที่แกเข้าใจ

    ชำระจากเครื่องเศร้าหมองจิต...คือ อวิชขาของจิต ก็คือ อัตตาตัวตนที่เป็นจิตนั้นแหล่ะ อย่าเข้าใจว่า จิตมันผ่องใสแล้วมาเปื้อนทีหลัง...เพราะขันธ์5 มันทำงานอยู่แล้ว มันเลยมีตัวรูปธรรมเป็นจิต ขันธ์นี่แหล่ะ คือเครื่องเศร้าหมอง คือ อาสวะกิเลส คือเพราะความไม่รู้ คืออวิชชา
     
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทำไมวิญญาณ ถึงเข้าไปถือ ไปตั้งอยู่ ในรูป...?
    เพราะความไม่รู้...มันไม่รู้อะไร.?
    มันไม่รู้ตัวมันเองตะหาก...มันไม่ไช่ไม่รู้ ความพอใจไม่พอใจ...แต่มันไม่รู้ตัวของมันเอง มันนึกว่ามันมีตัวตน ไง...เลยหา อะไรมาเสพ มาเสวย ก็เสพสัญญญา เสวยสัญญา..เสพกามภพทั้งหลายไง

    เพราะมันหลงยึดมั่นถือมั่นที่ผิด ว่ามันผ่องใส มันมีรูปธรรม มันมีตัวตน ไง
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ดังนั้น นาง หลอดปิ๊ยิ้มเวเดอร์..กรุณา..เลิก อวดความเข้าใจที่ผิดๆ ที่ตนเองยังไม่เข้าใจได้แล้ว..สุดจะเอือมระอา กับแกจริงๆ ไม่รู้แต่อยากอวดรู้..อายคนเป็นมั้ยแก จะด้านหน้า ตอแหล ไปอีกถึงไหน จึงจะพอใจแก...

    หาว่าตรูไม่มีเหตุผล แล้วมึงฟังที่ตรู อธิบายมั้ย
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เราจักบัญญัติว่า วิญญาณมีการไปการมา มีเกิด เพราะ เข้าไปถือไปตั้งอยู่ ในรูป เวทนา สังขาร สัญญา..นี่เป็นฐานะที่มีได้
    วิญญาณจะเจริญงอกงาม โดย ไม่มีรูป เวทนา สังขาร สัญญา...จะเว้นไม่ได้เลย นั่นคือ...ต้องมีรูป เวทนา สังขาร สัญญาครบ คือ ขันธ์5 ครบ เท่านั้น

    แต่ที่ วิญญาณตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่ไช่หมายถึงตัววิญญาณไม่มีอะไรเกาะนะครัย ไม่ไช่หมายถึงไม่มีที่ตั้ง ไม่ไช่หมายถึงไม่มีที่อยู่นะครับ แต่ที่เป็นตัววิญญาณได้นั้นเพราะมันรวมขันธ์5 เบ็ดเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว...ครับ

    อย่าวิปัสสนึกคึกริด สิครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2019
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    คุณ jityim

    กลุ่มดวงจิตที่จะพูดได้ว่า
    เพราะมีหน้าที่จึงมาเกิด
    เป็นกลุ่ม "ญานวิถีนะครับ บ้างเรียกวิถีญาน"
    ที่พูดไม่ใช่ข้าพเจ้านะครับ
    แต่ส่วนตัวรู้จักกลุ่มบุคคลเหล่านี้
    พอสมควรครับ

    เอกลักษณ์ปกติบุคคลเหล่านี้คือ

    มีความสามารถใช้งานทางจิต
    ระดับใช้งานได้เลย
    ไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่ง
    โดยที่ ไม่ต้องฝึกอะไร
    เหมือนคนอื่นๆทั่วไปนะครับ
    ย้ำว่า มีความสามารถใช้งานทางจิต
    ได้เลยเป็นปกติ แบบไม่ต้องฝึกอะไร
    และค่อนข้างสูง
    เช่น คนที่เคยรู้จัก เห็นเนื้อหมู
    สามารถย้อนอดีตได้เลยสองพันชาติ
    ในขณะพวกที่ฝึก ย้อนได้ที่ละชาติ
    หรือแค่ ๕ ถึง ๖ ชาติ นี่พูดเปรียบ
    ให้เห็นภาพนะครับ


    กลุ่มนี้ ถ้าความสามารถเกิดก่อน
    จิตจะคลายตัว หรือแยกรูปแยกนามได้
    จะยึดในสิ่งที่รับรู้ทุกเรื่อง
    จนแยกโลกความจริงกับ
    โลกนามธรรมไม่ออก
    จนคนภายนอกมองว่าไม่ปกติ
    เข้าโรงพยาบาลจิตเวชเยอะแยะ
    แต่ไม่ใช่คนบ้าหรือวิกลจริต
    แต่เป็นพวกมากบารมีทั่งนั้น



    ไม่ใช่แบบที่ทางสายพลังงานจักรวาล
    อะไรบ้างกลุ่ม ที่มักหลอก หลวง
    บอกว่าเราเป็นระดับโน้นนี่นั้น
    เป็นบุคคลสำคัญลงมาเกิด

    แล้วหาทางแอบแทรกเรา
    จากเสียงเพลง การรับขันธ์
    หรือบอกว่าจะมีกายทิพย์พิเศษ
    ไม่มีอาวุธใดทำลายได้
    จนเราเกิดมีสัมผัสรับรู้ทางด้านพลังงาน
    แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า
    การรับรู้หรือทำได้ของตนนั้น
    มาจากเหตุอะไรนะครับ
    นี่คือสายอสูรกายบำเพ็ญ
    ที่ชอบเอาพุทธศาสนามาอ้าง
    แต่สร้างพฤติกรรมตรงข้าม
    กับแนวการปฎิบัติทางพุทธฯ
    ที่ให้ลดละคลาย และสังเกตุได้คือ
    จะไม่สนใจเรื่องสติและปัญญา
    เพื่อลดกิเลส จะสนแต่เรื่องภายนอก
    เรื่องเหนือวิสัยครับ


    พวกญานวิถี จะเน้นในทางด้านเป็นผู้โปรด
    สอนธรรมะเป็นหลักไม่ว่ากับคนหรือนามธรรมต่างๆ ดังนั้นจะรู้และมีความสามารถภายในสูงเป็นทุนปกติกันทุกคนครับ


    และเรื่องการกำเนิด หรือเกิดขึ้นมา
    ของสะสารต่างๆ ที่คุณพยายาม
    โยงให้เป็นทางพุทธฯหรือว่าเกิดจากปัญญา
    หรืออ้างอิงอะไรมานั้น
    ปัจจุบันองค์ความรู้ทางวิทยาศาตร์
    ค้นพบจากเครื่องมือ ไปไกลมากกว่า
    การที่คุณพยายามโยงมาทางพุทธศาสนา
    มากกว่านี้มากแล้ว ซึ่งมีในหลายๆฐาน
    ข้อมูล


    ดังนั้น อย่าพยายามโยงมาเป็นทางพุทธฯ
    อย่าด่วนสรุปอะไร เพราะคุณเห็นแค่ในภาพกว้างๆ ที่ยังไม่พ้น ความคิดจากการวิเคราะห์เอาเอง ตามสภาวะการปฎิบัติ
    ที่ตนเองเข้าถึง ณ ปัจจุบันนี้เท่านั้น

    ยังมีอีกมากและอีกเยอะครับ
    ถ้าพวกที่รู้เรื่องอะตอม อนุภาคสะสาร
    แม้ไม่เคยปฎิบัติอะไรมา
    มาอ่านที่คุณเขียน คงเป็นอะไร
    ที่ผ่อนคลาย ตลก คลายเครียดดี ^_^
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ไอ้ราคะ (กิเลสตัณหา อาสวะกิเลส ทั้งหลายที่เกิดจากความไม่รู้)..
    ราคะในรูป เวทนา วิญญาณ สังขาร สัญญา ไม่มี...ก็แปลว่า..
    หมดสัญญาให้เสพ...หมดสังขารรองรับ..หมดเวทนาให้ติดใจ หมดรูปให้ยึดมั่นถือมั่น ..แปลว่า วิญญาณเองไม่มีที่ให้เสพ ให้ยึด ให้เข้าไปตั้ง ไม่มีราคะให้เสพ....แปลว่า...วิญญาณเองหมดสภาพ หมดความหมาย หมดความเป็นจริง หมดอัตตา หมดความไม่รู้ตัว...มารู้ความจริงว่า ตัวมันเองก็ไม่จริง ไม่เที่ยง..จึง...ดับไป สิ้นไป อนัตตาไป ...แบบนี้

    เจ้าตัวจึงรู้ตัวเองว่า ตัวเองพ้นแล้วจากความไม่รู้
    (แล้วเมึงอย่าเสือกคิดเอาเอง ต่อล่ะ ตรูละเบื่อ วิปัสสนึกของเมิงจริงๆ)
     
  14. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ย้อนความก่อนค่ะ จากกระทู้ด้านล่างนี้.....

    https://palungjit.org/threads/พุทธว...นเมื่อตัวเราไม่ใช่เรา-จิต-ก็ไม่ใช่เรา.672003/

    ที่จิตยิ้มได้เอาพระสูตรของพระพุทธเจ้านำมาลงว่า จิต มโน วิญญาณ รวมแล้วคือ ร่างกายขันธ์ นั่นเอง ซึ่งอาจแบ่งหน้าที่กัน ตามที่องค์มิกราชาสื่อขยายว่า

    - มโน หรือ จิตใจ มีบทบาทด้านความรู้สึก คือ "เวทนา" และบทบามของการรู้ตัว ระลึกได้ จำได้ คือ "สัญญา"

    - จิตสำนึก หมายถึง จิตส่วนที่มีบทบาทในการคิด คือ "สังขาร"

    - จิตวิญญาณ หมายถึงจิตที่มีบาทในการรับรู้ คือ "วิญญาณ"

    สรุปก็คือ จิต มโน วิญญาณ คือสิ่งเดียวกัน ก็คือ ขันธ์ทั้งห้า รวมเป็นร่างกาย นั่นเองค่ะ

    นี้ค่ะ จิต ที่แยกความหมายหลายนัยออกมา
    owikp1gfyUpNlbQGXbW-o.jpg
    ที่นี้เราจะมากล่าวถึงจิตเดิมแท้บริสุทธิ์คือ สิ่งใด หรือ พูดง่าย ๆ ว่าตัวไหนนะค่ะ

    เมื่อ จิต มโน วิญญาณ ตามพระสูตร คือ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ตกอยู่ในไตรลักษณะ ดังนั้น ก็คือ จิตในลักณะนี้ ก็คือ ต้องรวมเรียกแล้วว่า ขันธ์ห้า นั่นเอง

    จิตเดิมแท้ที่บริสุทธิ์....ที่เป็นจิตหลุดพ้น ตามคำตรัสสอนของพระพุทธองค์ล่ะ เป็นอย่างเดียวกันกับ จิต มโน วิญญาณ หรือ ขันธ์ทั้งห้านั้นไหม?

    จิตเดิมบริสุทธิ์นี้ เป็นแก่นแท้ เป็นอนัตตา เป็นสุญญตา หากเราจะให้ชื่อตามสมมุติบัญญัติว่า "จิตวิญญาณ"

    ทีนี้ก็คงจะสงสัยว่า "จิตวิญญาณ" กับ "วิญญาณ" นั้นแตกต่างกัน หรือ เหมืนกันอย่างไร?

    ถ้าเหมือนกัน "วิญญาณ" มันไม่เที่ยง แล้วมันจะหลุดพ้นได้อย่างไร? งง! ตรงนี้ใหมค่ะ

    จิตวิญญาณ กับ วิญญาณ (ขันธ์ห้า) คือ สิ่งเดียวกันแต่มีหน้าที่แตกต่างกันค่ะ เพราะ "วิญญาณ" คือ ดวงตาของจิตวิญญาณ เป็นดวงตาที่สาม คือ ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณในการเป็น "ผู้รู้" ค่ะ

    ส่วนอายตนะทั้ง 5 นั้นก็เป็น ดวงตาของจิตวิญญาณ เช่นเดียวกัน แต่เป็นแค่ผู้รับสัมผัส จากสิ่งภายนอก เพื่อถ่ายทอดให้ "วิญญาณ" ซึ่งเป็นตาที่สาม รับรู้ว่าคืออะไร "วิญญาณ" ในขันธ์ 5 จึงเป็น "ผู้รับรู้" เป็นดวงตาของจิตวิญญาณ เท่านั้นค่ะ

    ดังนั้น จิต มโน วิญญาณ คือ ขันธ์ทั้งห้า ที่รวมเป็นร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นดวงตาของจิตวิญญาณ ทำหน้าที่เป็นจิตมนุษย์ หรือ จิตหยาบ ซึ่งทางพุทธศาสนาก็คือ "จิตใจ" นั่นเองค่ะ

    ส่วน.....

    จิตวิญญาณ นั่นคือ แก่นแท้ เป็นผู้หลุดพ้น (เรียกว่าจิตวิญญาณ เพราะนำมาใช้ในสมมุติบัญญัติ) เป็นคุณสมบัติ เดิมสุญญตา เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน นะค่ะ

    จิตมันไม่เที่ยง นั่นคือหมายถึง จิตในขันธ์ห้า

    เมื่อนิพพานหมดความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีจิต.....ตามที่ท่านกล่าวไว้ ก็ใช้นะค่ะ ถ้าความหมายนัยยะนั้น คือ จิตในขันธ์ห้า

    แต่ยังมี .....จิตเดิมบริสุทธิ์นี้แหละค่ะ ที่เป็นผู้นิพพาน หรือ เป็นผู้หลุดพ้น เสวยอารมณ์นิพพาน คือ พูดแบบบ้าน ๆ นะค่ะ มีการหลุดพ้นเพื่อเข้าสภาวะนิพพาน ประมาณนี้นะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2019
  15. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,195
    ค่ะ จิตยิ้มเชื่อค่ะ
    หน้าที่ในการลงมาเกิดการเป็นมนุษย์ทุกคนมีหน้าที่
    และหน้าที่ที่ทุกคนต้องกระทำ ก็คือ "มรรคแปด" ค่ะ
    แต่ถ้ากิจที่ต้องทำ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตร
    ก็ก่อนที่จะมาทำกิจ ทุกดวงจิต พูดแบบง่าย ๆ นะค่ะ
    ต้องมี "สัจจะ" ในการลงมาทำหน้าที่กันทุกดวงค่ะ
    แต่ส่วนใหญ่ล้มเหลวจึงคืนสู่สภาวะนิพพานกันไม่ได้ค่ะ
     
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ไปปฏิบัติสติปัฏฐาน เรื่อง ผัสสะ กายใจ จิต ให้รู้ความจริงก่อนนะ
    ส่วนเรื่องการทำงานของขันธ์ห้า ก็อย่าอ่านแล้วตีความเอา
    เพราะมันเป็นการรู้ที่ผิดๆ สุดท้าย ก็เลย จิตวิญญาณ กับวิญญาณมันคนละตัวกันไปอีก

    ทั้งที่เริ่มต้น จิต มโน วิญญาณ เป็นตัวเดียวกัน..เริ่มมาดี
    แต่แกก็มา ทำให้มันต่างกัน เพราะการตีความหมายของแก
    ว่า ต่างกันที่ หน้าที่การทำงานไปโน่น..
    พอละไม่คุย..ยังโง่เหมือนเดิมนั่นแหล่ะ
     
  17. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,195
    มีคำตอบค่ะ

    เพราะวิญญาณ หรือ จิตหยาบ มีคุณสมบัติหลักเฉพาะตัวอยู่ 4 ประการ คือ

    1.รู้สึกได้
    2.เกิดอารมณ์ได้
    3.รู้จำได้หมายรู้อารมณ์รู้สึกนั่น ๆ ของตนได้
    4.รู้นึกคิดเองได้

    และวิญญาณที่เป็นดวงตาของจิตวิญญาณนี่เอง ที่สามารถนึกเอง คิดเองได้เป็นอัตโนมัติ

    จึงมีเหตุผลว่า "มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา" ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จลงแล้วด้วยใจ. นะค่ะ
     
  18. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,195
    อย่าเพิ่งด่วนจบซิคะ ยังเพิ่งเริ่มเองค่ะ จะไม่ลองฟังบ้างหรือคะ
     
  19. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,423
    ค่าพลัง:
    +3,195
    เห็นไหมค่ะ ในสามคำนี้ยังไม่มีคำว่า "จิตวิญญาณ" เลยค่ะ

    มีแต่ "จิต" คำหนึ่ง "วิญญาณ" คำหนี่ง

    ซึ่งก็แตกหน้าที่มาเป็น

    จิตสังขาร
    วิญญาณขันธ์

    คนละความหมาย กับ จิตวิญญาณ ค่ะ
     
  20. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    1.ธรรมชาติใดที่คิด ย่อมไม่เที่ยง เรียกว่าจิต
    2.ธรรมชาติใดที่ไม่เที่ยงน้อมไปหาอารมณ์(รู้อารมณ์ เสพอารมณ์) เรียกว่าจิต
    3.จิตที่ไม่เที่ยงรวบรวมอารมณ์ไว้เรียกหทัย(คือใจ)
    4.ธรรมชาติที่ไม่เที่ยงที่มีฉันทะ(ความพอใจ)ที่มีในใจเรียกมนัส(มนะ หรือมโน)
    5.จิตเป็นธรรมชาติที่ไม่เที่ยงที่ผ่องใสจึงเรียก ปัณฑระ(....)
    6.มนะเป็นอายตนะเป็นเครื่องต่อ จึงเรียก มนะอายตนะ(มโนอายตนะ ใจอายตนะ)
    7.มนะนั่นแหล่ะที่ครองความเป็นใหญ่จึงเป็นอินทรีย์(เจ้าธาตุรวม)จึงเรียกมนินทรีย์
    8.ธรรมชาติใดที่ไม่เที่ยงที่รู้แจ้งอารมณ์ เรียก วิญญาณ(จิต หรือหทัยหรือจิตใจ หรือมนะหรือมโน)
    9.วิญญาณนั่นแหล่ะเป็นขันธ์ จึงเรียกวิญญาณขันธ์ (ก็อันเดียวกันชัดเจน)
    10.มนะ(มโน ใจ หทัย จิต )เป็นธาตุชนิดนึงจึงเรียกมโนวิญญาณขันธ์
     

แชร์หน้านี้

Loading...