ภาพเจ้าเมืองเก่าๆ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย atataya, 12 มกราคม 2008.

  1. atataya

    atataya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +278
    11FA-155.jpg

    68-1.jpg
    ภาพเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุง สองภาพแรกภาพเจ้าก้อนแก้วอินแถลงกับราชบุตร ซึ่งเจ้าฟ้าองค์นี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้พม่าประกาศอิสระภาพจากอังกฤษตามสนธิสัญญาปางหลวง แต่กลับถูกพม่าหักหลังไม่ยอมปล่อยรัฐไทยใหญ่ให้เป็นอิสระ ภายหลังที่พระองค์สิ้นพระชนน์ก็มีเจ้าฟ้าปกครองมาอีกไม่กี่องค์ก็ถูกพม่ากวาดล้าง พวกราชวงศ์เจ้าฟ้าไทยใหญ่ต่างๆอพยพหลี้ภัยไปยังจีนบ้าง ไทยบ้าง อาทิเจ้าเมืองเชียงตุง เจ้าเมืองนาย เป็นต้น ต่อมาได้รับพระราชทานนามสกุล ณ เชียงตุง ณ นาย เป็นต้น
    68-3.jpg

    ID_3105_3.jpg
    ภาพพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าเมืองเชียงใหม่และเจ้าหญิงเมืองเชียงตุง เป็นงานระหว่างเจ้าแก้วนวรัตน์หรือเจ้าอินทรวิชยานนไม่แน่ใจว่าองค์ใดซึ่งต่อมาได้ขึ้นครองราชเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ กับเจ้าสุคันธาพระธิดาของเจ้าก้อนแก้วอินแถลง งานนี้จัดขึ้นที่หอคำหรือพระราชวังเชียงตุงปัจจุบันทหารพม่าได้ทุบหอคำทิ้งแล้วสร้างโรงแรมทับที่เดิมสร้างความเจ็บแค้นให้ชาวเมืองเชียงตุงเป็นอันมาก
    ID_26070.jpg

    ID_26070_10.jpg
    ภาพเจ้าหญิงและเจ้าชายเป็นภาพของราชบุตร ราชธิดาเมืองใดไม่ทราบแน่ชัด
    ID_37706_5.jpg
    ภาพเจ้าเมืองน่าน เจ้าสุริยวงศ์ผริตเดช
    ID_39837_.gif
    ภาพเจ้าหญิงเมืองเชียงตุง
    ID_37706_4.jpg
    ภาพเจ้าหญิงเชียงใหม่ เจ้าอุบลวรรณนา
    ID_37706_18.jpg
    ภาพพิธีอภิเษกสมรสเจ้าเชียงใหม่กับพระธิดาจากเชียงตุง
    ภาพเจ้าเมืองต่างๆทั้งในเขตภาคเหนือปัจจุบันและเจ้าฟ้าไทใหญ่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2008
  2. Nar

    Nar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,154
    ค่าพลัง:
    +37,385
    เป็นภาพถ่ายหรือภาพวาดละครับ การถ่ายภาพในบ้านเราเริ่มแต่สมัย ร.5 หรือเปล่านะถ้าจำไม่ผิด ภาพเหล่านี้ยังมีให้เห็นก็นับว่านานมากแล้วนะครับ
     
  3. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    ดูแล้วคงเป็นภาพถ่ายแหละครับ ขอบคุณที่นำมาให้ดูนะครับ พึ่งเคยเห็น
     
  4. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    ขอบคุณนะคะที่นำมาให้ชม เอามาจากเว็บไหนคะ หรือว่าถ้ามีอีกเอามาลงอีกนะคะ
     
  5. atataya

    atataya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +278
    เพิ่มเติมฮะ

    ID_23793_48.jpg
    ภาพเจ้าชายาดารารัศมีใน ร.5เจ้าหญิงจากเชียงใหม่และพระประยูรวงศ์จากเชียงใหม่ที่ได้เข้ามาศึกษาร่ำเรียนที่กรุงเทพ
    ID_37706_2.jpg
    ภาพเจ้าเมืองลำพูน
    ID_37706_3.jpg
    ภาพเจ้าบุญวาท
    ID_39837_2.gif
    ภาพพระธิดาอีกพระองค์ของเจ้าก้อนแก้วอินแถลง
    prince.gif
    ภาพท้องพระโรงไม่แน่ใจว่าใช่เมืองยองห้วยหรือเชียงตุง
    old2.jpg
    ภาพช่างซอในคุ้มหลวงเชียงใหม่
    old1.jpg
    ภาพเก่าๆของชาวลับแลเมืองอุตรดิต
    00702_9.jpg
    ภาพครูบา ไม่แน่ใจในฉายาท่าน
    เพิ่มเติมฮะ หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2008
  6. FenderMan

    FenderMan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    280
    ค่าพลัง:
    +566
    ขอบคุณมากๆครับ จริงๆกล้องถ่ายรูปก็เริ่มมีสมัยพระเจ้าตากแ้ล้วไม่ใช่หรอครับ แต่เมืองไทยยังไม่ได้มีเพราะแพงมากๆๆๆๆและมาก และ คงอยู่ในระหว่างสงคราม(เอ๊ะหรือยังไม่มีไม่แน่ใจ) ในจึงเริ่มเอาเข้ามาในรัชการที่3 - 4 คุ้นๆว่า เคยมีภาพถ่ายเรือของ ร.1 ด้วย เสียดายจริงๆอยากเห็นบุคคลในประวัติศาสตร์
    จริงๆ ภาพแบบที่จขกท ให้มา ก็มีเยอะนะครับผมยังมีรูปจอมพลคนแรกของไทย ดูแล้วเหมือนภาพนั้น นานมากๆ รู้สึก เจ้าฟ้า เมืองเชียงใหม่ เพิ่งเสียชีวิตไป ไม่กี่ปีนี้เองนี่ครับ โดยสมเด็จพระเทพ ทรงไปรวมงานศพด้วย ใครทราบข้อมูลบ้างครับ เพราะผมไม่แน่ใจว่าใช่เจ้าฟ้าเมืองเชียงใหม่จริงหรือไม่ แต่ฟังข่าวพระราชสำนักบอกว่า เจ้าชายเมืองเชียงใหม่ ผมก็เลย งง

    ผมอยากได้รูป(ภาษาชาวบ้าน)ของ พระมหากษัติรย์ไทยองค์ที่2ในรัชกาลที่4 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวอะครับ มีแต่รูปวาด(ภาษาชาวบ้าน-*-) เพราะพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถมาก เพราะ รู้ภาษาหลายภาษามีความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ชั้นสูง และ รู้จักชื่อประธานาธิปดีสหรัฐทุกคน ซึ่งทรงรอบรู้ผิดไปจากคนในหมู่ชาติตะวันออกมาก
    พระราชประวัติน่าสนใจมากสำหรับพระมหากษัตริย์องค์ที่2ในรัชกาลที่4 หรือ พระมหากษัตริย์รัชกาลที่4องค์ที่2 ซึ่งมีสัญลักษณ์ประจำรัชกาลของพระองค์เองเช่นกัน ซึ่งน้อยคนนักมักไม่ค่อยรู้จักพระองค์ท่าน ผมเองก็อยากทราบพระราชประวัติของพระองค์เหมือนกัน เพราะตีพิมพ์น้อย แต่น่าสนใจมาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2008
  7. atataya

    atataya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +278
    ผมจำได้แต่งานพระศพของเจ้าสุคันธาธิดาเจ้าก้อนแก้วอินแถลงเจ้าฟ้าเมืองเชียงตุงคับ ซึ่งต่อมาได้อภิเษกสมรสกับเจ้าอินทรวิชยานนหรือเจ้าแก้วนวรัตน์องค์ใดองค์หนึ่งนี้แหละผมจำไม่ค่อยได้ต้องขอโทษด้วยนะฮะ รูปท่านดังรูปในข้างตนนั่นแหละ ในงานอภิเษกสมรสจัดที่หอคำเมืองเชียงตุงดังในรูปข้างบนเจ้าสุคันธาท่านเสียไปจะ5-6ปีมานี้เอง แต่พระศพเจ้าชายที่คุณFendermandกล่าวมานั้นผมไม่แน่ใจว่าเป็นองค์ใด ขอโทษด้วยนะฮะจะไปศึกษาเพิ่มเติมมาใหม่
     
  8. siamgirl

    siamgirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,682
    ค่าพลัง:
    +2,742
    ขอคำอธิบายภาพด้วยได้ปล่าวอ่ะค่ะ
     
  9. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ ที่เกิดขึ้นนะ


    ... มะเมี๊ยะ โศกนาฏกรรมความรัก ของ อ.จรัล มโนเพ็ชร

    Posted by วิหคพลัดถิ่น , ผู้อ่าน : 978 , 14:58:57 น. | หมวดหมู่ : ประวัติคนสำคัญ
    [​IMG] พิมพ์หน้านี้


    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>.
    ตำนานรักราชวงศ์ล้านนา กับ สาวพม่า
    .
    มะเมี๊ยะ
    .
    [​IMG]
    เจ้าอุดรการโกศล (เจ้าน้อยศุขเกษม)
     
  10. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    ฟังเสียง มะเมี๊ยะ โศกนาฏกรรมความรัก
    ตำนานรักราชวงศ์ล้านนา กับ สาวพม่า


    มะเมี๊ยะ ตอนที่ ๑ http://www.mcotcm.com/lanna/sound.php?table=doc&id=166

    มะเมี๊ยะ ตอนที่ ๒ http://www.mcotcm.com/lanna/sound.php?table=doc&id=167

    มะเมี๊ยะ ตอนที่ ๓ http://www.mcotcm.com/lanna/sound.php?table=doc&id=168

    ที่มา http://www.mcotcm.com/lanna/lanna.php#



    เพลงมะเมี๊ยะค่ะ http://www.cm77.com/myjukebox/playweb.php?playlist=f41e034c0e020a2401bb6680e35970e0.asx

    มะเมี๊ยะ
    (ร้อง)มะเมี๊ยะ เป๋นสาวแม่ก้า คนพม่า เมืองมะละแมง
    งามล้ำ เหมือนเดือนส่องแสง คนมาแย่ง หลงฮักสาว.
    มะเมี๊ยะ บ่ยอมฮักไผ มอบใจ๋ ฮื้อหนุ่มเจื้อเจ้า.
    เป๋นลูก อุปราชท้าว เจียงใหม่
    แต่เมื่อ เจ้าชาย จบก๋าน ศึก ษา
    จ๋ำต้อง ลาจาก มะเมี๊ยะไป.
    เหมือนโดน มีดสับ ดาบฟัน หัวใจ๋
    ปลอมเป๋น ป้อจาย หนีตามมา
    เจ้าชายเป๋นราชบุตร แต่สุด ตี้ฮักเป๋นพม่า
    ผิดประเพณี สืบมา ต้องร้าง ลา แยกทาง
    วันตี้ต้อง ส่งคืนบ้านนาง เจ้าชาย ก็จัดขบวนช้าง
    ไปส่งนาง คืน ทั้งน้ำตา
    มะเมี๊ยะ ตรอมใจ๋ อาลัย ขื่น ขม
    ถวาย บังคม ทูล ลา.
    สยาย ผมลง เจ๊ดบาท บา ทา
    ขอลา ไปก่อน แล้วจ้าดนี้.
    เจ้าชายก็ตรอม ใจ๋ตาย มะเมี๊ยะเลยไป บวชชี
    ความฮัก มักเป๋นเช่นนี้ แล เฮย


    คำแปลเพลงค่ะ

    (ร้อง)มะเมี๊ยะ เป็นสาวแม่ค้า คนพม่า เมืองมะละแมง
    สวยงาม เหมือนเดือนส่องแสง คนมาแย่ง หลงรักสาว.
    มะเมี๊ยะ ไม่ยอมรักใคร มอบใจ ให้หนุ่มเชื้อเจ้า.
    เป็นลูก อุปราชท้าว เชียงใหม่
    แต่เมื่อ เจ้าชาย จบการศึกษา
    จำต้อง ลาจาก มะเมี๊ยะไป.
    เหมือนโดน มีดสับ ดาบฟัน หัวใจ
    ปลอมเป็น ผู้ชาย หนีตามมา
    เจ้าชายเป็นราชบุตร แต่สุด ที่รักเป็นพม่า
    ผิดประเพณี สืบมา ต้องร้าง ลา แยกทาง
    วันที่ต้อง ส่งคืนบ้านนาง เจ้าชาย ก็จัดขบวนช้าง
    ไปส่งนาง คืน ทั้งน้ำตา
    มะเมี๊ยะ ตรอมใจ อาลัย ขื่น ขม
    ถวาย บังคม ทูล ลา.
    สยาย ผมลง เช็ดบาท บา ทา
    ขอลา ไปก่อน แล้วชาตินี้
    เจ้าชายก็ตรอม ใจตาย มะเมี๊ยะเลยไป บวชชี
    ความรัก มักเป็นเช่นนี้ แล เอย....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2008
  11. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    อ่านเรื่องมะเมี๊ยะ แล้วสนุกครับ ผมเองชอบเรื่องประวัติศาสตร์ ใครมีรูปเกี่ยวกับเจ้า หรือ รูปเก่าๆ เอามาให้ดูบ้าง
     
  12. FenderMan

    FenderMan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    280
    ค่าพลัง:
    +566
    ครับ แต่ผมเพียงงงว่า เป็นถึงเจ้าชาย แต่ ข่าวการสิ้นพระชนม์ ทำไมถึงไม่ดังเลย แค่ออกในพระราชสำนักแปบเดียว
    และ ท่านที่เป็นเจ้าเมือง และ เจ้าชาย มีพระราชอิสริยยศแบบไหน ต้องใช้คำราชาศัพท์ด้วยหรอครับ หรือ ไม่มีอำนาจ และ พระราชอิสริยยศแล้ว เพียงแต่สืบตำแหน่งเท่านั้น เพราะเชียงใหม่ เป็นเมืองขึ้นสยามแล้ว จึงไม่ได้ พระราชอิสริยยศถึงแม้จะเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ก็ตาม ขอบคุณครับ

    และ ตามที่ผมได้อ่านเรื่อง เจ้าน้อย ความดังนี้
    ต่อจากพระเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ ซึ่งเป็นเจ้าลุง หากเจ้าน้อยฯ เลือกมะเมียะมาเป็นภรรยา ประชาชนย่อมต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน ที่สำคัญในขณะนั้นบ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ เนื่องจากอังกฤษกำลังแผ่อิทธิพลไปทั่วดินแดนในคาบสมุทรเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

    เจ้าเมืองเหนือ มีอิทธิพลมากขนาดนั้นเลยหรอครับ การที่บอกว่า เ้จ้าลุง เป็นพระเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์นั้น คำว่า พระเจ้า เป็นอิสริยยศ ของ กษัตริย์ในกรุงศรีอยุทธยาเชียวนะครับ ยังไงกันเนี่ยครับ - - ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2008
  13. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    [​IMG]

    เผย 'มะเมียะ' มีจริง นักวิชาการล้านนาพบหลักฐานสำคัญ

    นักวิชาการเมืองเหนือเผยหลักฐานสำคัญ ยืนยันตำนานรัก เจ้าชายจากเมืองเชียงใหม่กับ "มะเมียะ" แม่ค้าสาวชาวพม่า เป็นเรื่องจริง ระบุแม่เฒ่าชาวไทยใหญ่หลานของโยมอุปัฏฐากแม่ชีด่อปาระมี ชี้ลักษณะตรงกับตำนาน วอนคนเก่าแก่ที่รู้เรื่องออกมาให้ข้อมูลเพิ่ม
    ตำนานรักต่างชนชั้นระหว่างเจ้าชายจากเมืองเชียงใหม่ กับ มะเมียะ แม่ค้าสาวชาวพม่า ที่จบลงแบบโศกนาฏกรรม กำลังได้รับการยืนยันจากนักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ว่าเป็นเรื่องจริง
    เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา นักวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโดย รศ.จีริจันทร์ ประทีปเสน นายกสมาคมนักศึกษาเก่าคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้จัดเสวนาเรื่อง "ตามรอยมะเมียะ ครั้งที่ 2" ขึ้นที่ห้องประชุมบริษัทเม็งรายกล่องกระดาษ จำกัด อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมีนักวิชาการ นักศึกษา และผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังกว่า 30 คน
    รศ.จีริจันทร์ กล่าวว่า ตนและนักวิชาการกลุ่มนี้ได้ร่วมกันสืบเสาะข้อมูลเพื่อตามรอยมะเมียะ ตัวละครหญิงสาวในวรรณกรรมเหนือ ซึ่งถูกกล่าวขานเป็นเรื่องราวไว้ในบทเพลงอันลือลั่นของจรัล มโนเพ็ชร มาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ถึง 4 มีนาคมปีนี้ ก็ได้ร่วมกันเดินทางไปสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง นอกจากนี้ยังได้ประมวลหลักฐานทางเอกสาร ได้แก่ ข้อมูลจากหนังสือ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 001.jpg
      001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.4 KB
      เปิดดู:
      33,264
  14. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694
    มีคนส่งลิ้งมาให้ มาสำรวจแล้วมันผืฃิดพลาดและคลาดเคลื่อนนะครับ
    ไม่ได้มาหาว่าเรื่องแบบนั้นแบบนี้ น่าจะอธิบายรูปให้ชัดกว่านี้ เดี๋ยวผมไปตั้งกระทู้ใหม่อีกดีกว่า ถ้าไม่มีใครสนใจ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์เมืองเหนือบิดเบือน
    สิบนิ้วยอมือไหว้สา กษัตริย์ของอาณาจักรล้านนากู่ตนกู่องค์

    [​IMG]
    ภาพไหนก่อนนี้ ภาพนี้ก่อนละกัน เป็นประวัติเจ้านางสุคันธา

    ชีวิตของ " เจ้านางสุคันธา (ณ เชียงตุง) ณ เชียงใหม่ "
    ........ร่างเล็กในชุดเสื้อลูกไม้คอจีนแขนกระบอกสีขาวสะอาด และ ผ้าซิ่นยาวกรอมเท้าสีน้ำตาลเข้ม นั่งสงบนิ่งอยู่บนเก้าอี้ยาวเก่าคร่ำ มือเหี่ยวย่นขยับขึ้นลงตามตัวอักขระภาษาเขิน เป็นชื่อของตนเองก่อนจะส่งกระดาษแผ่นนั้นมาให้คนรุ่นหลังอย่างเราๆได้เห็นเป็นบุญตา จากนั้นจึงขานไขถึงวัยวันเก่าๆลงในเครื่องบันทึกเสียงที่ตั้งรออยู่ตรงหน้า ด้วยน้ำเสียงเนิบช้าจนเป็นจังหวะดเดียวกับการหมุนของแถบบันทึก ที่ค่อยๆผ่านไปทีละคำทีละประโยค หางเสียงที่เล่าพริ้วสั่นนิดๆด้วยกรังสนิมแห่งกาลเวลา หากแต่ดวงตาคู่นั้นเองที่ส่องประกายสุกใสนั้นก็ยิ่งเจิดจ้าควบคู่ไปกับรอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้า
    " ฉันอายุเกือบร้อยแล้ว " คือคำกล่าวที่เจ้านางเชียงตุงมักย้ำเสมอคล้ายจะประกาศถึงหนทางอันยาวนานที่ได้ล่วงผ่านตั้งแต่ครั้งที่นครแห่งนี้ยังทรงศักดิ์และสิทธิ์ เป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งแห่งรัฐฉาน จวบจนกระทั่งมรสุมทางการเมืองที่โหมกระหน่ำเป็นเหตุให้ราชวงศ์เชียงตุงต้องแตกกระสานซ่านเซ็น ทุกวันนี้
    ......สภาพเมืองเชียงตุงสมัยที่ท่านยังเล็กอยู่เป็นอย่างไรค๊ะ..
    สมัยนั้นเชียงตุงมีเมืองบริวารเป็นเมืองเล็กๆประมาณยี่สิบกว่าเมือง เมืองใหญ่ๆอีกสิบเก้าเมือง ชายแดนด้านหนึ่งติดกับแม่น้ำสาละวิน ด้านหนึ่งติดกับแม่สาย ด้านหนึ่งติดกับแม่น้ำโขง
    สมัยที่เจ้าพ่อ (เจ้าแก้วอินแถลง)ยังอยู่ ชีวิตก็สนุกสบายดี ฉันไม่ได้ไปเรียนที่เมืองนอกหรอก เพราะว่าเป็นผู้หญิง เขาเลยไม่ส่งไป ส่วนผู้ชายส่งไปที่อังกฤษ หรือไม่ก็ไปเรียนที่ต่องกี ซึ่งเป็นเมืองที่เจ้าผู้ครองนครไปประชุมกันทุกปี และเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยภูเขาสูง เลยทำให้อากาศหนาวมาก เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของรัฐบาลอังกฤษในสมัยนั้น เจ้าฟ้าของแต่ละเมืองจะทรงสร้างบ้านไว้องค์ละหลัง เพื่อเป็นที่พักเวลาประชุมที่นั่น จำได้ว่าเวลามีประชุมที่นั่น เจ้าพ่อต้องออกงานเลี้ยงแทบทุกคืน เดี๋ยวคนนั้นเลี้ยงเดี๋ยวคนนี้เลี้ยง
    .......แตกต่างจากเชียงใหม่ไหมค๊ะ...
    อากาศที่เชียงตุงไม่ต่างจากเชียงใหม่เท่าไหร่ เนื่องจากมีภูเขามากเหมือนกัน แต่ภ้าเป็นหน้าร้อน บางวันอากาศร้อนเหมือนกรุงเทพก็มี พอย่างเข้าหน้าหนาวอากาศหนาวจนตัวสั่นเลย ตอนนั้นไฟฟ้าก็ยังไม่มี ต้องคีบถ่านแดงๆใส่เตาดินคล้ายๆเตาอั้งโล่มาตั้งไว้กลางห้อง แล้วพวกเราพี่น้องก็นั่งวงล้อมคุยกันบางทีก็ทานขนมเส้นไปด้วย ขหนมเส้นมีอยุ่สองชนิดคือ คือขนมเส้นน้ำจ๋าง และ ขนมเส้นน้ำเจ็ม น้ำเจ็มใส่หมูสับต้มกับมะเขือเทศ ส่วนน้ำจ๋างใส่เครื่องในหมูทอดกรอบ ถ้าไม่ใช่ขนมเส้นก็อาจจะทานข้าวเหนียวกับผักอีกสองสามอย่าง เพื่อเป็นการแก้เบื่อเวลาที่ต้องนั่งนานๆ
    .........แล้วเรื่องภาษาหล่ะค๊ะ.....
    ที่เชียงตุงใช้ภาษาเขินเป็นภาษาพูดและภาษาพม่าเป็นภาษาเขียน ซึ่งลักษณะของภาษาเขินไม่แตกต่างจากภาษาไทยเหนือสักเท่าไหร่ ทั้งคำพูดและตัวอักษร อย่างภาษาไทย ท่อง ก-ฮ ว่า กอ ไก่ ขอ ไข่ แต่เขินจะท่างว่า กะ ขะ ภาษาเขินพูดคำว่ากินข้าวเหมือนกับภาษาเหนือ สุมาแอ่ว แปลว่า มาเที่ยว สู แปลว่า เธอ เฮา แปลว่าฉัน แต่ถ้าเป็นไทยลื้อจะเรียกตัวเองว่าข้อย
    .........ท่านคงจะมีพี่น้องหลายคน.....
    พี่น้องที่เป็นพ่อเดียวแม่เดียวกันมีทั้งหมด ห้าคน แม่ของฉันเป็นลูกข้าราชการในเชียงตุง ส่วนยายฉันเป็นลูกพระยาแขก ก็เพราะว่าท่านจะคอยทำหน้าที่เป็นผู้นำเจ้าฟ้าเมืองต่างๆ เข้าถวายคำนับเจ้าพ่อ
    เจ้าพ่อท่านจ้างครูไทยสองคนมาอยู่ที่คุ้ม ชื่อแม่ครูแจ่ม กับแม่ครุบุญชุบ เป็นครูไทยที่มาจากเชียงใหม่นี่แหละ ให้คอยหัดละครไทยให้ใครก็ได้ที่อยากจะเรียน สมัยนั้นตั้งเป็นวงละครไทยเลยนะ เพราะคนไปหัดกันมากเต็มที ส่วนละครพม่านั้นมีอีกวงหนึ่ง สอนโดยคนพม่าอีกเหมือนกัน แต่ละครพม่านั้นมีในเชียงตุงมานานแล้ว เวลาในคุ้มมีงานอะไรสำคัญจะเล่นละครพม่า
    ตอนที่ฉันอายุได้หกขวบเจ้าพ่อจ้างครูมาสอนพิเศษภาษาเชียงตุงให้พวกพี่ๆด้วยความเป็นเด็ก ฉันเลยเข้าไปนั่งเรียนร่วมกับเขาด้วย ทำให้รู้ภาษาเชียงตุงก่อนเข้าโรงเรียน ทั้งที่สมัยก่อนเด็กอายุหกขวบถือว่ายังเล็กมาก ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ สามขวบก็อ่านหนังสือได้แล้ว พออายุได้เก้าขวบก็เข้าโรงเรียนกินนอนที่โรงเรียนมาแมร์ ซึ่งเป็นโรงเรียนแม่ชี
    ที่สอนโดยมาแมร์จากอิตาลี่เด็กในเชียงตุงทุกคนต้องเรียนสองภาษาคือ ภาษาพม่า และภาษาอังกฤษ นอกไปจากภาษาท้องถิ่น
    สมัยนั้นมีโรงเรียนอยู่สองโรงเรียน โรงเรียนหนึ่งคือ โรงเรียนแม่ชี ซึ่งรับเด็กผู้หญิงชาวเขามาเรียนหนังสือ และสอนปักเสื้อผ้าไปด้วย ส่วนพวกชาวเมืองมาเรียนแบบเช้าไปเย็นกลับโดยแยกห้องเรียนกับพวกเรา ฉันเลยไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ภาษาชาวเขา ส่วนอีกโรงเรียนหนึ่งคือโรงเรียนบาทหลวง โรงเรียนนี้รับเด็กผู้ชายชาวเขามาเรียนด้วยเหมือนกัน ถ้าหากตอนกลางคืนมีขโมย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นที่โรงเรียนแม่ชี มาแมร์จะเป็นคนตีฆ้อง เสียงดัง ง้อง ง้องแล้วพวกเด็กนักเรียนโรงเรียนบาทหลวง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กชาวเขาจะวิ่งมาช่วยที่นี่ฉันต้องไปกินนอนอยู่ที่นั่นตั้งหลายปี จนกระทั่งเรียนจบชั้นหก ถึงได้ออกมาช่วยเจ้าพ่อทำงาน
    ...........สมัยนั้นมีเพื่อนรุ่นเดียวกันที่สนิทๆไหมค๊ะ......
    เพื่อนรุ่นเดียวกันกับฉันสมัยนั้นเป็นลูกสาวเจ้าเมืองย๊อง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเชียงตุงญาติทางเจ้าพ่อชื่อว่า เจ้าเทพธิดา เดี๋ยวนี้เสียชีวิตแล้ว เรากินนอนอยู่โรงเรียนเดียวกัน สมัยนั้นลูกของเจ้าพ่อที่ไปอยู่โรงเรียนเดียวกันมีสามคน คนใช้อีกสองคน และเจ้าเทพธิดาอีกหนึ่งคน นอนห้องเดียวกัน
    สมัยก่อน การคัดเลือกเด็กที่จะเอามาเป็นคนใช้เจ้านายนั้น เขาจะไม่เลือกจากเด็กที่เป็นลูกขุนนาง แต่เลือกจากลูกของคนชั้นธรรมดา พวก " นาง " หรือ " ชาย " ในเชียงตุงมีคำเรียกคนตามชนชั้นต่างๆกันอย่างคำว่า " อุ๊นาง " หมายถึงลูกสาวพระยา "อุ๊ไจ๊" หมายถึงลูกชายพระยา มาตอนหลังถึงไม่เรียก " อุ๊ " กันแล้วเพราะไม่เหลือคนที่มียศตำแหน่งถึงขั้น " อุ๊ " เหลือแต่ นาง กับ ชาย เฉยๆ ขั้นต่ำลงมา จะเป็นไอ้ กับ อี
    ส่วนพระนั้น มีหลายชั้น มีคำเรียกต่างกัน ตั้งแต่ ตุ๊ สิทธิ ครูบา จนถึง อายธรรม (อา-ยะ-ทำ) อายธรรมคือตำแหน่งใหญ่ที่สุดเทียบได้กับสังฆราชของไทย แต่คำว่าพระในภาษาไทยหมายถึงเณรของเชียงตุง
    .........ที่ว่าเรียนจบมาช่วยเจ้าพ่อทำงานนั้น ทำอะไรบ้างค๊ะ.......
    ฉันเรียนจบอายุได้สิบกว่าปี เจ้าพ่อให้เป็นเลขาฯของท่าน คอยรับใช้ท่านสลับกับพี่สาวอีกสองคน เจ้าบัวสวรรค์ และเจ้าทิพเกสร ผลัดกันทำงานคนละวัน สมัยนั้นเจ้าพ่อมีไร่กาแฟด้วย ฉันต้องทำหน้าที่เป็นคนคอยทำบัญชีว่าไร่แห่งนี้มีต้นกาแฟกี่ต้น ให้ผลมาเท่าไหร่
    สมัยชีวิตสาวๆของฉันสนุกมากกลางวันก็เล่นเทนนิส เนื่องจากเจ้าพ่อทรงดำริให้ สร้างสนามขึ้นในคุ้ม บางครั้งก็มีภรรยาหมอฝรั่งและภรรยาข้าหลวงมาร่วมเล่นด้วย ส่วนคนอื่นๆในเวียงที่สามารถมาเล่นเทนนิสได้จะต้องเป็นพวกลูกสาวขุนนาง เพราะเจ้าพ่อไม่อนุญาติให้ผู้ชายเข้ามาภายในคุ้ม แต่ฉันเล่นไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่น้องสาวฉัน เจ้าบุญฟองซิเล่นเก่ง
    ..........นอกจากเล่นเทนนิสแล้วมีกิจกรรมอย่างอื่นอีกไหมค๊ะ....
    ฉันกับน้องๆชอบขับรถยนต์ไปเที่ยวตามในเวียง สมัยนั้นไม่มีใครในเชียงตุงมีรถยนต์ นอกจากเจ้าพ่อ ซึ่งมีอยู่ สองสามคัน รวมทั้งพี่ชายใหญ่และเจ้าพรมลือ เวลาเราไปไหนด้วยรถยนต์จึงสะดวกสบาย แต่เนื่องจากพื้นทีในเวียงเป็นที่ดอน ไม่เสมอกัน มีเนินสูงต่ำอยู่มากมาย เวลาขับรถยนต์จะต้องขับขึ้นลงเนิน บางทีขับไปแล้วเครื่องดับตอนนั้นยังใช้ระบบเก่าอยู่ เป็นแท่งเหล็กหมุนเพื่อสตาร์ทเครื่องอยู่ มีบางครั้งที่เราหมุนไม่ไหวก็จะให้น้องสองคนที่ไปด้วยกันช่วยเข็นรถไปบนยอดเนิน แล้วผลักรถลงมาเพื่อให้สตาร์ได้ง่ายขึ้น แต่บางครั้งแทนนิสก็อยากเล่านขับรถก็อยากขับ ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
    ........คุ้มใหญ่โตขนาดไหนค๊ะ.....
    เนื้อที่ของคุ้มกว้างประมาณสิบกว่าไร่ภายในนั้นนอกจากตำหนักของเจ้าพ่อและตำหนักของเจ้าย่าแล้ว เจ้าพ่อยังสร้างบ้านไว้หลังหนึ่ง สำหรับเจ้านางของเจ้าพ่อคลอดลูกเนื่องจากเมื่อก่อนลูกๆทุกคนของเจ้าพ่อคลอดบนตึงใหญ่หรือตำหนักของเจ้าพ่อ แต่ท่านมีลูกหลายคน ภายหลังจึงสร้างอีกหลังหนึ่งสำหรับเป็นที่คลอดโดยเฉพาะ
    ตำหนักของเจ้าพ่อเป็นตึกสามชั้นแบบแขก ชั้นบนสุดเป็นที่ไว้หิ้งพระ นอกนั้นเป็นที่ว่างเพราะไม่มีใครขึ้นไปอยู่พวกเราเด็กๆเลยชอบขึ้นไปเล่นกันข้างบนนั้น มีอยู่วันหนึ่ง พี่ชายใหญ่ (เจ้าฟ้ากองไตย) กลับจากศาลากลางมาเห็นเข้า เลยโดนพี่ดุเสียยกใหญ่เลย
    บนตำหนักมีห้องถึงเก้าห้อง แต่ละห้องใหญ่โตมากแบ่งออกเป็นสามปีกด้วยกัน ปีกซ้ายเป็นห้องของเจ้าพ่อ ส่วนห้องโถงใหญ่ตรงปีกกลางนั้น เอาไว้สำหรับออกขุนนางเวลามีงานใหญ่งานโต ถัดไปทางด้านหลังอีกห้องหนึ่งเป็นห้องคลัง สำหรับเก็บเงินท้องพระคลัง ฉันยังจำได้ว่า เวลาที่พวกพนักงานเทเงินออกมานับ บางทีเราโชคดีเราเล่นกันอยู่ข้างล่าง จะมีเงินไหลลอดออกมาจากพื้นข้างบนได้มาครั้งละแถบๆ แต่เดี๋ยวนี้เค้าเรียกว่าเงินจ๊าด ตามพม่าแล้ว
    นอกจากนี้ยังมีห้องถัดไปทางหลังตึกอีกหนึ่งห้อง เป็นห้องของมหาเทวี ปีกขวาเป็นห้องของเจ้าจอมอีกสามห้อง และห้องมหาดเล็กอีกหนึ่งห้อง ส่วนชั้นล่าง ที่ส่วนหนึ่งแบ่งไว้สำหรับต้อนรับเวลามีงานปีใหม่ หรือจะจัดงานเลี้ยงพวกเจ้าเมืองที่ขึ้นกับเมืองเชียงตุงเมื่อเข้ามาคารวะเจ้าพ่อในพิธีคารวะ


    พลังของข้า คือพลังล้านนา ในอนาคต ประวัติมะเมี๊ยะและผลวิจัยที่แท้จริงเดี๋ยวตามมา ยังไม่จบนะครับ เดี๋ยวต่อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ID_4108_7.jpg
      ID_4108_7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.2 KB
      เปิดดู:
      22,008
  15. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694
    ขอสูมาอภัยบางรูปโพสบ่าได้เน้อ เพราะมีลิขสิทธิ์ คนเมืองตั๋วแต๊ เรื่องล้านต่อนะครับ ยังไม่หมดนะครับ มีอีกเป็นสิบ ๆ เรื่อง เรื่องราวความสัมพันธ์ของพี่ชาวโยนกนาคบุรี หรือ เมือง 5 เชียงอันรุ่งเรืองนะครับ หลายท่านสงสัยมีส่งข้อความมาถามว่าเมืองแห่งผู้ปูจาฮักแต๊คืออะไร ง่าย ๆ นะครับ เมืองเหนือคือเมืองที่ผู้หญิงศรัทธาในความรักแท้ และยอมตายถวายชีวิต ดังคำสัจในประวัติศาสตร์นาคนครานคร ที่ว่า _"_เลือดนางรินไหลหมดกาย แม้ตัวตายยอมตรมถมแผ่นดิน" และอีกหลายร้อยเรื่องราว เช่น บัวบาน สาวเครือฟ้า มะเมี๊ยะ เจ้านางทุกพระองค์ ซึ่งมีอีกมากนะครับ รูปก็มีเป็นตั้ง ๆๆ

    [​IMG]
    ต่อ
    .....พิธีคารวะคืออะไรค๊ะ......
    พิธีนี้จัดขึ้นปีละสองครั้ง ปีใหม่และออกพรรษาเป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความจงรักภักดีของเจ้าเมืองต่างๆในอาณัติของเชียงตุง พิธีนี้มีอยู่สองวันด้วยกัน วันแรกเรียกว่าวันกิ่นป๋าง เป็นวันที่เจ้าเมืองทุกคนจะรัปทานอาหารร่วมกับเจ้าพ่อ โดยมีอาหารหลักเป็นพิเศษอยู่ห้าอย่างคือ แกงฮังเล น้ำซุปถั่วลันเตา ผักกุ่มดอง แคบหมูกับน้ำพริกอ่อง และข้าวเหนียว
    เสร็จจากนั้นวันที่สองถือเป็นวันคารวะ ในวันนี้เจ้าพ่องจะประทับบนแท่นแก้วส่วนพวกเจ้าเมืองจากสามสิบกว่าเมืองจะทยอยกันเข้าไปในห้องพร้อมกับดอกไม้ธูปเทียนมาวางไว้ตรงหน้าแท่นที่เจ้าพ่อประทับคนละขัน เชื่อไหมว่าเขาปักเทียนเล่มใหญ่อย่างกับท่อนไม้(ทำมือประกอบ) มาในขันที่ทำจากเงินแท้ ตีเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมบางๆ เจาะรูตรงกลางประดับด้วยดอกบานไม่รู้โรยทั้งข้างบนข้างล่าง เสียบมาโดยรอบเทียนจำนวนห้าดอก หลังจากนั้นเจ้าเมืองจะ " สูมา " หรือไหว้เจ้าพ่อ เจ้าพ่อให้พรตอบแล้วพวกช่างฟ้อนก็มาฟ้อนหางนกยูงให้พวกแขกบ้านแขกเมืองดู เป็นอันเสร็จพิธี
    ........เจ้าพ่อของท่านดุไหมค๊ะ.....
    ไม่ดุเพราะท่านเป็นอุบาสกที่เคร่งครัดมาก ยึดศีลห้าเป็นหลักประจำใจ สมัยนั้นถือเป็นกฏเลยว่า ถ้าใครไม่คือศีลห้า ไม่รับเข้าทำงานราชการ ลูกผู้ชายทุกคนต้องบวชเรียนเมื่อถึงเกณฑ์ จะบวชเณรหรือบวชพระก็ได้ เวลาเด็กคนไหนอายุครบยี่สิบเมื่อไหร่จะต้องจัดงานบวชเณรให้และถ้าเป็นคนธรรมดาสามัญ จะให้เณรนั่งแห่ไปบนม้าส่วนช้างนั้น เจ้าพ่อเท่านั้นจึงจะมีได้ ท่านมีช้างหลายเชือก เวลาปล่อยช้างออกมาเรียกว่าเต็มลานคุ้มเลย เจ้าพ่อท่านเชี่ยวชาญมากสามารถปีนข้ามจากช้างเชือกหนึงไปอีกเชือกหนึ่งได้โดยไม่ต้องลงมาที่พื้อนและท่านจะมี " อาเปี่ยวต่อ" หรือสาวใช้สามสี่คนคอยนั้งเฝ้ารับใช้ผู้ชายอีกสี่คนไว้สำหรับให้เจ้าพ่อเรียกใช้
    เรื่องคดีความอะไรในเชียงตุงเจ้าพ่อเป็นผู้ตัดสินเพียงผู้เดียว ฝรั่งไม่เกี่ยว เพียงแต่มาเป็นที่ปรึกษาเท่านั้น สมัยนั้น ข้าหลวง รองข้าหลวง หมอ และนานทหารอังกฤษจะมาพักกันที่ดอยเหมย พวกอังกฤษชอบที่นี่มาก เป็นสถานที่น่าอยู่ เนื่องจากเป็นดอยสูงที่สุดและสวยที่สุดในเชียงตุง
    .......ท่านปกครองอย่างไรค๊ะ......
    เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ฝรั่งกำลังล่าเมืองขึ้น แคว้นสิบสองปันนาซึ่งเป็นพวกไทยลื้อได้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน และถูกครอบครองโดยคนสามชาติด้วยกัน เมืองย็อง เมืองแฮ่ เมืองขัน เมืองลื้อ เมืองหลุย ขึ้นกับอังกฤษ แต่ยกให้เชียงตุงปกครอง เมืองเชียงรุ่ง เมืองน้า เมืองลา เมืองหัน นั้นขึ้นกับจีน ส่วนเมืองที่เหลือตกเป็นของฝรั่งเศส
    ต่อมาเมืองทั้งห้าเมืองที่เชียงตุงปกครองโดยเชียงตุงเกิดไม่พอใจขึ้นมาต้องการที่จะขึ้นกับอังกฤษโดยตรง ไม่อยากถูกปกครองโดยเชียงตุงอีกต่อไปคิดตั้งตัวเป็นกบฏ เจ้าฟ้ากองไตย พี่ชายของฉัน ซึ่งเป็นอุปราชเมืองเชียงตุงในสมัยนั้น จึงขอประทานอนุญาติจากเจ้าพ่อไปสืบราชการที่เมืองย็อง จากนั้นท่านก็จัดการแต่งตัวเป็นฝรั่ง เดินทางไปกับคณะข้าหลวงของอังกฤษโดยไม่มีใครในเมืองทราบเลยว่าท่านคืออุปราช
    ระหว่างที่พวกเจ้านายและข้าราชการเมืองย็องเข้าหารือกับข้าหลวงอังกฤษเรื่องขอขึ้นตรงกับอังกฤษ วันนั้นเองที่พี่ชายฉันสั่งจับกบฏเมืองย็องได้ทั้งกลุ่ม ภายหลังกบฏกลุ่มนี้ได้ถูกส่งไปติดคุกที่เมืองตองกี จำได้ว่าสมัยก่อนที่เจ้าพ่อปกครองโทษประหารของเชียงตุงคือ การตัดหัวและแขวนคอ แต่เนื่องจากเจ้าพ่อถือศีลเลยลดโทษประหารซึ่งเป็นโทษหนักที่สุดเหลือเพียงติดคุกนานเพียงสิบปี สำหรับคดีฆ่าคนตาย
    .................ท่านมีโอกาสไปเที่ยวไหนไกลๆไหมค๊ะ.....
    ฉันไม่เคยไปเที่ยวไหนไกลๆหรอก แค่เมืองพม่าเท่านั้นเอง สมัยนั้นที่สนุกหน่อยคือการได้มีโอกาสได้ติดตามเจ้าพ่อไปประชุมที่ ต่องกี เพราะเขามักจะมีงานเลี้ยงที่นั้นทุกคืน นอกจากนั้นก็ไปเที่ยวเมืองย่างกุ้ง และมัณฑะเลย์กับเจ้าแม่ ที่มัณฑะเลย์นั้นฉันกับเจ้าแม่ได้ไปนมัสการพระเจ้าละแข่งเป็นภาษาพม่า แปลว่าพระโพธิสัตว์ ยังจำได้ว่าทั่วทั้งองค์เหลืองอร่ามงดงามไปด้วยทองเปลวจกาศรัทธาของบรรดาพุทธศาสนิกชน เขาว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก ถ้าเป็นคนบาปจะมองไม่เห็นองค์ท่านส่วนเจดีย์ชะเวดากองที่อย่างกุ้งนั้นไม่มีตำนานอะไร แต่พอไปถึงที่นั่นจะมีคนตั้งแผงขายทองเปลวเป็นทองคำแท้หนักห้าบาท อยู่ทั้วบริเวณองค์เจดีย์ แต่พอซื้อแล้วคนขายจะเป็นคนนำขึ้นไปปิดองค์เจดีย์ให้เราฉันกำลังจะได้ไปเที่ยวเมืองมะละแหม่งอยู่แล้วพอดีพี่สาวโทรเลขมาเรียกตัวกลับไปเลยยังไม่มีโอกาสได้เห็นสักที
    .........ที่เชียงตุงมีงานเทศกาลบ้างไหมค๊ะ.....
    แต่ละปีจะมีงานอยู่สองครั้ง งานหนึ่งคืองานที่โป่งน้ำร้อน ซึ่งอยู่ไกล้กับเมืองไทยห่างจากเวียงมาก ประมาณสิบกว่ากิโลเมตร ที่นั่นจะมีบ่อน้ำร้อนอยุ่สามบ่อ แต่ละบ่อกว้างเท่าห้องห้องหนึ่ง ขนาดใหญ่กว่าบ่อน้ำร้อนที่เชียงใหม่ เวลาที่น้ำเดือดแต่ละครั้งฟองอากาศจะกระเด็นสูงขึ้นไปเป็นเมตรแล้วไปตกลงในร่องที่เขาทำรองไว้ นอกจากนั้นเขายังทำร่องไว้อีกร่องหนึ่งเป็นร่องน้ำเย็นที่รองมาจากบ่น้ำอีกแห่งหนึ่งต่อลงมายังที่อาบน้ำที่ทำเอาไว้ซึ่งหางจากบ่อน้ำร้อนประมาณกิโลเมตรหนึ่งได้แล้วน้ำร้อนกับน้ำเย็นก็จะมาผสมกันพอดี เจ้าพ่อโปรดให้สร้างห้องอาบน้ำสำหรับข้าราชบริพาร สามห้อง สำหรับเจ้าพ่อหนึ่งห้อง สำหรับพวกเราผู้หญิงหนึ่งห้อง สำหรับราษฎรอีกหนึ่งห้อง
    ห้องอาบน้ำไม่ได้ทำแบบหรูหราอะไรเพียงแต่ใช้ฟากไม้ไผ่มาทำเป็นฝกั้นพลับพลาภายในนั้นทำเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ลึกแค่เอว ใครมีชุดอาบน้ำก็ใส่รวมกันเป็นงานหน้าหนาวที่ใหญ่โต และมีการละเล่นสนุกๆหลายอย่าง พอตกกลางคืนมีหนังมีละครตอนกลางวันมีซอ บางปียาวนานถึงเจ็ดวันบางปีก็ห้าวันแต่ถ้าปรกติไม่มีงานฉันกับน้องๆจะขับรถยนต์ไปที่นั่นด้วยตัวเองบ่อยๆ พอถึงเดือนห้าจะมีงานบอกไฟ เหมือนบ้องไฟอย่างเชียงใหม่ในงานนี้แต่ละหมู่บ้านจะแข่งกันทำบอกไฟแล้วนำมาจุดแข่งกันในวันนั้น บอกไฟของบ้านไหนที่ขึ้นได้สูงสุดจะได้รับเงินรางวัลจากเจ้าพ่อ เป็นเงินแผ่นรูปกังสดาล เจาะรูตรงกลาง ร้อยด้าย ทำเป็นพวงคล้องคอผู้ชนะ
    ..............ทราบว่างานสงกรานต์ที่นั่นคล้ายกับที่เชียงใหม่.......
    จะว่าคล้ายก็ได้ งานปีใหม่สงกรานต์ที่นั่นถือเป็นงานรื่นเริงประจำปีอีกงานหนึ่งของเชียงตุง วันที่ 13 เมษายน เรียกว่าวันสังขารล่อง วันนี้พวกชาวบ้านจะเลือปผู้ชายมาแต่งตัวด้วยผ้าสีแดง เอามะละกอสองลูกผูกเชือกห้อยคอ ทำอะไรก็ได้ให้น่าเกลียด(หัวเราะ) แล้วสมมุติให้เป็นตัวสงกรานต์จากนั้นจะนำตัวสงกรานต์แห่ไปตามถนน เพื่อไปทิ้งในแม่น้ำเขินที่อยู่นอกเมืองเรียกว่าการไล่สงกรานต์ ถือเป็นการขับไล่โชคร้ายออกไปหรือสิ่งไม่ดีออกไป
    วันรุ่งขึ้นเรียกว่าวันเนาชาวบ้านทุกคนจะร่วมกันขนทรายจากแม่น้ำเขินและแม่น้ำลาภ ซึ่งอยู่ไกลเวียงออกไปมาที่วัดเพื่อเตรียมไวสำหรับก่อเป็นเจดีย์ทรายในวันรุ่งขึ้นในระหว่างนี้ในคุ้มจะจัดพิธีคารวะขึ้น วันสุดท้ายเรียกว่า วันปีใหม่หรือวันพญาวัน ทุกคนจะแต่งตัวสวยงามแล้วจึงพากันไปทำบุญและก่อเจดีย์ทรายที่วัด
    วัดประจำของเจ้านายมีอยู่สามวัดคือ วัดหัวข่วง วัดพระแก้ว วัดเชียงอินทร์ เป็นธรรมเนียมเลยว่าทางคุ้มจะต้องส่งข้าวไปที่วัดเหล่านี้ทุกวัน
    .............ท่านพบกับเจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่ (สามี)ได้อย่างไรค๊ะ......
    พบกันตอนอายุยี่สิบสองปีเท่ากัน แต่ฉันแก่กว่าเจ้านนท์สิบกว่าวัน เจ้าแว่นแก้ว พี่สาวของฉัน มีคนมาสู่ขอเมื่ออายุสิบหก เลยถูกเจ้าพ่อบังคับให้แต่งงานนั่งร้องไห้ร้องห่มไม่มีโอกาสได้รู้จักกับชายคนอื่นเลยต้องโดนจับคลุมถุงชนตั้งแต่เด็ก ฉันเองไม่เคยรู้จักเจ้านนท์มาก่อน แต่ตอนนั้นจะมีนักสืบหรือแม่สื่อเป็นคนสืบให้ว่าคนที่มาสู่ขอนั้นมีประวัติ นิสัยใจคอเป็นอย่างไร หลังจากหมั้นได้แปดเดือนก็แต่งงาน
    ............วันพิธีแต่งงานเป็นอย่างไรบ้างค๊ะ........
    มีเรียกขวัญ ผูกข้อมือ เจ้าพ่อท่านส่งจดหมายไปเชิญเจ้าเมืองต่างๆมาร่วมงานด้วยแต่การเดินทางสมัยนั้นยังลำบากอยู่ และไม่ใช่งานแต่งของเจ้าฟ้าคนสำคัญอะไรเขาเลยส่งของขวัญมาแทนงานหมั้น ไม่มีพิธีหรอกมีแต่เลี้ยงข้าวและสวมแหวนเท่านั้นเอง ส่วนพิธีแต่งงานมีสองวัน วันแรกเป็นวันผูกข้อมือ จะมีคนออกมาอ่านหนังสือกล่าวขวัญอวยพรให้กับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเสร็จแล้วแขกผู้ใหญ่จะเอาด้ายผูกข้อมือใครที่เตรียมของขวัญมาก็ให้คู่บ่าวสาวในตอนนั้นวันต่อมาเป็นวันดำหัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องยืนบนแท่นสูงเพื่อให้แขกพรมน้ำอวยพร
    ฉันจำได้แม่นว่า วันนั้นเจ้านนท์ใส่เสื้อครุยยาว ที่เรียกกันว่าเสื้อคำ ซึ่งเป็นเสื้อเฉพาะของเจ้าฟ้าเชียงตุงที่ได้รับพระราชทานจากกษัตริย์อังวะ และสวมชฎา ทีแรกท่านสวมชฎา แต่บอกว่าเจ็บ ตอนหลังทนไม่ไหวเลยต้องถอดออกแล้วใช้ผ้าเคียนหัวแบบธรรมดาแทน หลังจากที่คู่สมรสกล่าวเสร็จจึงจะดำหัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว เป็นการพรมน้ำไม่ใช่ดำหัวจริงๆ จากนั้นจะมีการแห่คู่บ่าวสาวหนึ่งรอบก่อนเสร็จพิธี ถ้าเป็นสมัยก่อนนั้นไปอีกคู่บ่าวสาวต้องนั่งแห่ไปบนหลังช้าง แต่พอมาถึงสมัยฉัน เจ้าสาวกลับนั่งแห่ไปบนรถยนต์ประดับประดาด้วยดอกไม้ฉันต้องนั่งรถจากตำหนักเจ้าพรมลือเพื่อไปรับเจ้าบ่าวที่ศาลากลาง แล้วเจ้าบ่าวจะขี่ช้างตามเจ้าสาวไปที่บ้านฉัน ถ้าเป็นงานแต่งระดับเจ้าผู้ครองนคร ต้องกมีการเลี้ยงอาหารฝรั่ง เนื่องจากในเชียงตุงมีฝรั่งมาพักอยู่มากเหมือนกัน
    หลังจากแต่งงานได้สิบกว่าวันก็เดินทางมาเชียงใหม่เลย โดยมีเจ้าฟ้าพรมลือ กับ เจ้านางบุยยงค์ ซึ่งเป็นเจ้าแม่อีกองค์หนึ่งมาส่ง ท่านมาพักอยู่ด้วยสักห้าวันก็กลับไป
    ........ระยะแรกๆที่ท่านมาอยู่เชียงใหม่ต้องปรับตัวมากไหมค๊ะ......
    ไม่ลำบากเลย เพราะภาษาพูดเราคล้ายกัน พอแต่งงานแล้วฉันก็มาอยู่ที่คุ้มใหญ่ของเจ้าหลวง (เจ้าแก้วนวรัตน์) แถวตลาดเจ๊กโอ่ง ท่านทำบ้านไว้หลังหนึ่งให้ลูกสาวคนโตอยู่ ส่วนอีกหลังหนึ่งให้พวกลูกสะใภ้อยู่ อยู่ที่นั้นได้สักพักนึง จนลูกคนที่สามอายุได้สองเดือนกว่า เจ้าหลวงก็สินพระชมน์หลังจากนั้นพี่สาวคนโตของเจ้าหลวงต้องการคุ้มใหญ่คืน ฉันกับเจ้านนท์และลูกๆก็เลยย้ายมาอยู่ที่เจดีย์เวียง อยู่ได้ปีหนึ่งก็มาซื้อบ้านหลังนี้คุ้มนั้นต่อมาก็ได้ถูกขายไป เมื่อก่อนที่ดินยังราคาถูกมากจำได้ว่าซื้อบ้านหลังนี้พร้อมที่ดินอีกห้าไร่ในราคา สองพันบาท
    .........ชีวิตแต่งงานของท่านเป็นอย่างไรค๊ะ.....
    ตอนที่เห็นหน้าเจ้านนท์ครั้งแรกก็รู้สึกเฉยๆ(หัวเราะ) แต่พอแต่งงานไปแล้วก็ถึงได้รู้ว่าท่านเป็นคนดี ไม่เจ้าชู้ ผู้หญิงเรามีเรื่องสบายใจอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือ ถ้าสามีเราไม่เจ้าชู้ก็ดี ฉันว่ามันเป็นกรรมเวร เพราะไม่มีใครได้เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนแต่ต้องมาอยู่ร่วมกัน เจ้านนท์ท่านเคยทำป่าไม้กระยาเลยที่สันป่าตอง มีช้างอยู่สามตัว แต่ทำได้ไม่กี่ปีก็เลิกไป ไม่ได้ทำต่อ แล้วจากนั้นท่านก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ท่านเพิ่งเสียไปได้สองปีที่แล้ว อยุได้แปดสิบเอ็ดปี เรามีลูกด้วยกันห้าคน เป็นชายสามหญิงสองชื่อ รัตนินดนัย วิไลวรรณ สัมภสมพล ไพฑูรย์ศรี วีรยุทธ ที่ชื่อคล้องจองกันก็เพราะเจ้านนท์ไปขอให้เจ้าคุณวัดเทพศิรินทร์ตั้งชื่อให้ลูกทุกคน
    ..............หลังจากแต่งงานไปแล้วเป็นแม่บ้านอย่างเดียวเหรอค๊ะ......
    หลังจากแต่งงานแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรพอดีได้ไปเที่ยวเมืองมัณฑเลย์กับเจ้าแม่ เห็นเขาทำยาเส้นใส่กระเช้าเล็กๆเที่ยวเดินขายริมทาง เป็นยาอมสูตรพม่า ทำจากชะเอมคลุกกับมะขามเปียกกับยาอีกสามสี่อย่างเลยซื้อมาชิมดู เห็นว่าเข้าท่าดี ตอนหลังลองเอามาทำดู พอทำแล้วเห็นว่าไช้ได้เลยทำขายอยู่พักหนึ่ง
    วิธีทำก็ไม่ยากอะไรแต่เป็นเพราะขายดีมา เลยต้องจ้างลูกจ้างมาช่วยจะมีแขกคนหนึ่งมาบดชะเอมเป็นผงเตรียมไว้ก่อนถ้าเป็นมะขาม ต้องใช้มะขามเปียกต้มน้ำแล้วเคี่ยวให้เหลือแต่เนื้อ เสร้จแล้วนำมาคลุกกับยาและชะเอม ปั้นเป็นเม็ดตากแห้งสมัยนั้นฉันทำขายถึงสามรสนอกจากรสมะขามแล้วยังมีรสมะนาวและมะกรูด บางทีมะนาวมีไม่พอ ก็ต้องบดสัมโอใส่เพิ่มลงไป ใส่กระปุกเล็กๆราคาขวดละสิบบาท ไปฝากขายที่ร้านตันตราภันฑ์ ร้านเกษตรสโตร์ ที่ลำพูนก็มีคนรู้จักกันเอาไปขาย ที่กรุงเทพฯก็มีขาย รายได้ดีทีเดียว บางเดือนเคยได้ถึงห้าพันบาท ซึ่งแต่ก่อนเรียกว่ามาก แต่ตอนหลังลุกจ้างขโมยยาไปขาย ประจวบกับทางเทศบาลสั่งปรับตันตราภัณฑ์ โทษฐานขายยาไม่มีใบอนุญาติ เขาเลยบอกเลิกไม่รับ ฉันเลยไม่ทำตั้งแต่นั้นมา
    .............ได้ทำอาหารพื้นเมืองของเชียงตุงให้ลูกๆทานหรือป่าวค๊ะ.....
    ฉันทำกับข้าวไม่ค่อยเก่งเลยไม่เคยทำอาหารเชียงตุงให้เขาลองทาน แต่ที่นั่นอาหารหลักๆประเภทแกงฮังเล แกงแคอย่างเมืองเชียงใหม่ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีงานใหญ่โตต้องมีน้ำซุปถั่วลันเตา
    วันธรรมดานอกจากจะทานอาหารสามมื้อแล้วช่วงบ่ายยังมีมื้อเล็กๆ เป็นพวกน้ำชา กาแฟ และขนมแบบฝรั่ง ส่วนมื้อเย็นจะเสร์ฟอาหารพื้นเมืองและอาหารฝรั่งพร้อมกัน เนื่องจากเรามีคนครัวฝรั่งที่เจ้าพ่อจ้างมาประจำอยู่ที่คุ้ม ส่วนคนครัวพื้นเมืองที่ประจำอยุ่ที่คุ้มมีอยู่ห้าคนจะคอยทำอาหารเลี้ยงคนทั้งคุ้ม จำได้ว่าพอถึงเวลาอาหาร คนรับใช้ของแต่ละคนจะมารับอาหารจากในครัวไปเสริฟให้เจ้านาย
    ............ช่วงที่รัฐบาลไทยส่งคนไปปกครองเชียงตุงท่านก็ไม่ได้อยู่เชียงตุงแล้วใช่มั้ยค๊ะ.....
    ค่ะ ตอนนั้นฉันมีลูกคนที่สามแล้ว พอดีเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ไทยถูกญี่ปุ่นบังคับให้เข้าร่วมสงครามกับฝ่ายอักษะ พอดีช่วงนั้นญุ่ปุ่นได้เข้าครอบครองพม่า ไทยจึงต้องส่งคนไปปกครองเชียงตุงแทนญี่ปุ่น พอสงครามสงบลง ญี่ปุ่นถอยจากพม่าแล้ว ไทยจึงต้องถอยออกจากเชียงตุงด้วยแล้วหลังจากนั้นอีกไม่นานอังกฤษก็ประกาศปลดปล่อยพม่าเป็นเอกราช แต่ก่อนที่จะปลดปล่อยอังกฤษได้ถามความสมัครใจของชาวเชียงตุงว่าต้องการขึ้นอยู่กับไทยหรือขึ้นอยู่กับพม่า เนื่องจากหมู่ข้าราชการเชียงตุงเห็นว่าระหว่างที่ไทยไปปกครองเชียงตุงนั้น ทหารไทยไปรุงรังกับคนเชียงตุง ถ้าบ้านไหนมีเงินก็ขึ้นปล้นเอาทองคำไป คนเชียงตุงเลยเกลียดชังคนไทยหันไปเลือกขึ้นกับพม่าแทน
    ..........ก่อนหน้านั้นทราบมาว่าเชียงตุงมีเรื่องมากมาย......
    หลังจากที่เจ้าฟ้ากองไตย พี่ชายคนละแม่ของฉัน เป็นโอรสของเจ้าแม่นางฟอง ได้รับการแต่งตั้งจากอังกฤษให้เป็นผู้ครองนครเชียงตุงต่อจากเจ้าพ่อได้เพียงเจ็ดเดือน ก็ถูกลอบปลงพระชมน์ มหาเทวีชาวสีป้อต้องหนีไปสินพระชมน์ที่เมืองตองกี พอไทยเข้าครองเชียงตุงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ได้แต่งตั้งให้เจ้าฟ้าพรมลือ โอรสของมหาเทวี ของเจ้าพ่อเป็นผู้ครองนคร ต่อมาได้แต่งงานกับเจ้าทิพวรรณ หลานเจ้าหลวงลำปาง ที่ลำปาง แต่หลังจากที่เชียงตุงเกิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจ้าพรมลือกับครอบครัวจึงได้โยกย้ายมาอยู่เชียงใหม่
    ..........ช่วงสงครามนั้นลำบากไหมค๊ะ....
    ไม่ลำบากอะไรหรอก เพราะที่บ้านไม่เป็นอะไรเลย แต่เจ้านนท์ท่านกล้ว พวกเราทั้งครอบครัวเลยต้องพากันไปหลบที่ทุ่งเสี้ยว แถวสันป่าตอง ช่วงนั้นสัมพันธมิตรจะทิ้งระเบิดบินข้ามหลังคาบ้านเราไปทิ้งระเบิดที่สถานีรถไฟ พอเสียงหวอดัง เราต้องไปหลบในหลุมหลบภัยเดียวกันถึงห้าหกคน มาหลังๆเครื่องกระป๋องเริ่มหมด แป้ง นม ที่ใช้เลี้ยงเด็กอ่อนก็ไม่มี ต้องเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แทน
    ..........แล้วระหว่างนั้นทางเชียงตุงเป็นอย่างไรบ้างค๊ะ....
    ช่วงเกิดสงครามฉันไม่ได้ข่าวจากทางเชียงตุงเลย มารู้ข่าวว่าเจ้าฉายเมือง กับ เจ้าขุนศึกน้องชายหนีพวกญี่ปุ่นไปอยู่กับพวกสัมพันธ์มิตรแล้ว ทั้งสองก็พูดออกอากาศทางวิทยุว่า เรามาอยู่ที่นี่สบายดีด้วยเหตุที่เขาหายไปโดยไม่มีใครรู้เรื่องแต่เขาต้องออกหนีโดยไม่ให้ญี่ปุ่นรู้ตัวเลยกลัวทุกคนเป็นห่วง ต้องประกาศทางวิทยุแทน พอเราได้ยินเสียงเขาทางวิทยุก็สบายใจ
    ............แต่หลังสงครามยิ่งแย่กว่า......
    ตอนนั้นแต่งงานมาอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว นายพลอูนุ นายกรัฐมนตรีพม่ายุคนั้น รวมทั้งเจ้าฟ้าเมืองต่างๆที่มีอิทธิพลสูงถูกพวกที่ทำการปฏวัติจับเข้าคุก เจ้าฟ้าย็องหุ่ย ซึ่งตอนแรกเป็นประธานาธิบดีของพม่าภายหลังมาสิ้นพระชมน์ในคุก คนที่ไปรับพระศพมาเห็นแต่รอยรองเท้าและรอยช้ำเต็มพระวรกาย เดี๋ยวนี้ที่นั่นเหลือเพียงน้องชายคนหนึ่งกับน้องสาวสองคน เจ้าฟ้าที่เป็นผู้ชายต้องย้ายไปเมืองต่องกีหมดเพราะเกรงว่าพวกข้าบ้าน คนเมืองที่ยังจงรักภักดีอยู่จะก่อกบฎ คุ้มที่ฉันเคยอยู่ เดี๋ยวนี้ก็โดนรื้อทิ้งไปแล้ว เขาเล่าว่ามีคนไปดูเวลาที่เขารื้อแล้วไปพูดคัดค้านว่า รื้อทิ้งทำมัย...เสียดาย เลยโดนจับเข้าคุกแบบขังลืมก็มี
    ..............ท่านได้กลับไปเยี่ยมเชียงตุงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ค๊ะ.....
    เมื่อสาบสิบกว่าปีก่อนตอนที่แม่ตาย แม่ฉันตายเมื่ออายุได้เจ็ดสิบกว่าปี ส่วนเจ้าพ่อสิ้นพระชมน์เมื่อพระชนมายุได้ประมาณหกสิบพรรษา เนื่องจากสุขภาพไม่แข็งแรงมีโรคประจำตัว ทั้งโรคหืดและนิ่ว รวมทั้งได้ยาไม่ดีด้วย
    เมื่อเจ้าฟ้าองค์ใดสิ้นพระชมน์เขาจะไม่เผาศพ แต่ก่อกู่เป็นฐานปูนทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เจาะช่องตรงกลาง สลักเสลาลวดลายสวยงาม จากนั้นจึงนำพระศพบรรจุไว้ในกู่ ปิดให้สนิท แล้วเอาปราสาทที่ทำด้วยกระดาษมาครอบไว้บนกู่ เมื่อเสร็จพิธีแล้วสัปเหล่อจะเป็นคนมาเผาปราสาทนั้น ที่กู่จะจารึกชื่อไว้ว่าทีเจ้าฟ้าองค์ใดบ้าง ถ้าหากว่า มหาเทวีหรือพระโอรสธิดาสิ้นพระชมน์จะแยกศพไว้ต่างหาก เพื่อบรรจุไว้ในกู่อีกแห่งหนึ่ง โดยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากุดสุสาน ในเชียงตุงจึงมีหลายแห่ง สุสานสำหรับเจ้านายแห่งหนึ่ง สำหรับคนธรรมดาแห่งหนึ่ง มีสุสานในเชียงตุงห้าแห่งเท่านั้นเอง
    ..........ลูกๆตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างค๊ะ.......
    เขารักแม่กันหมดทุกคน ตอนที่พวกเขายังเล็ก ไม่ได้ส่งไปเรียนหนังสือที่เมืองนอกหรอก แต่ส่งไปเรียนที่กรุงเทพฯกันหมด ตอนนี้ลูกสาวคนหนึ่งทำงานที่กรุงเทพฯ ลูกชายคนหนึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารกรุงเทพฯ สาขาแม่สาย ลูกชายคนเล็กเป็นผู้จัดการธนาคารที่สันกำแพง ลูกสาวอีกคนก็ทำงานที่เชียงใหม่ เขาก็พอมีพอกิน ส่วนลูกชายคนโตที่เสียไปเขาก็เป็นปู่คนแล้ว
    ...........ถ้าอย่างนั้นท่านก็เป้นทวดแล้วซิค๊ะ..
    ค่ะ (หัวเราะ) แล้วถ้าเหลนแต่งงานไปจะเป็นอะไรอีกหล่ะ
    ...........ทราบมาว่าท่านนั่งกรรมฐานด้วย......
    ค่ะเริ่มนั่งกรรมฐานมาเมื่ออายุสี่สิบกว่าๆ ตอนนั้นใจอยากเข้าวัด เริ่มปล่อยทางโลกแล้ว เนื่องจากฉันสนใจธรรมมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ที่แม่เคยพาไปวัด เลยไปหาเอาเองว่าวัดไหนดี ในเชียงใหม่นี้มีวัดดีๆหลายแห่ง ฉันไปวัดพระศีรเป็นแห่งแรก แล้วเจ้าคุณวัดพระศรี ท่านนิมนต์พระอาจารย์ ทองวัดบางวาน มาเป็นผู้สอนกรรมฐานให้ ฉันเห็นว่าวิธีการกำหนดลมหายใจเข้าออกของท่านนั้นถูกกับนิสัยเรา เลยติดตามท่านนั่งกรรมฐานมาตลอดช่วงนั้นใครจะหาตัวฉันได้ต้องไปที่วัด ให้คนเอากับข้าวไปส่งให้ บางทีไปอยุ่วัดถึงสามเดือน ไปอยุ่วัดสนุกดี เดี๋ยวนี้ฉันก็นั่งกรรมฐานอยู่แต่นั้งอยู่ที่บ้านทุกเช้าหลังจากตื่นนอนแล้วบางทีถึงกับเห็นตัวเราลอยอยู่บนเพดานและยังเห็นตัวเราอีกคนยังนั่งอยู่กับพื้นแต่พระอาจารย์บอกว่าไม่ให้ยึดติดในสิ่งที่เห็น ฉันเลยไม่สนใจว่าว่าเราจะนั่งถึงขั้นไหนแล้ว เพียงแต่นั่งกรรมฐานเพื่อให้จิตใจเราสงบเท่านั้น
    ...............บันทึกชีวิตความยาวเกือบสามชั่วโมงนี้อาจเป็นเพียงประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งในจำนวนหลายล้านหน้า และอาจะเป็นเพียงมุมมองหนึ่งจากสมาชิกราชนิกุลลำดับสุดท้ายของสองราชวงศ์ ทั้งเชียงตุง และ เชียงใหม่
    ........แต่ก็เป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของกาลเวลาที่ไม่น่าผ่านเลย..........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ID_4108_8.jpg
      ID_4108_8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.1 KB
      เปิดดู:
      20,343
  16. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694
    ไม่ต้องเข้าใจผิดหรอก ถามก่อนสิเมื่อก่อนล้านนาเป้นประเทศไทยเหรอครับ เมื่อก่อนล้านนามีราชธานีเป็นอาณาจักรล้านนายังไม่ได้รวบรวมเข้ากับอาณาจักรสยาม เมื่อก่อนไทยกับล้านนา เป็นเพื่อนบ้านกันนี่แหละ มันมีอยู่ห้าเชียง โดนพม่ากินเรียบ 2 เชียง ลาว 1 เชียง มาสมัยรัชกาลที่ 5 นี่เอง ที่อาณาจักรล้านนาสูญสลายไปเพราะ .......................................................................
    และให้เจ้าดารารัศมี ไปเป็นพระชายาที่จุดขอไม่บอกนะครับถ้าคลาดเคลื่อนมาตายแน่ แต่ถึงกระนั้นเจ้าในเชียงใหม่ยังมีอยุ่ถึงปัจจุบัน เดี๋ยวว่างๆๆจะไปไล่ชั้นราชวงศ์ล้านนามาให้นะครับ แต่คงไม่เหมาะในกระทู้นี้
    มาให้ดูนะครับ ล้านนาก็อยู่สงบสุขและเป็นมิตรไมตรีและมีวัฒนธรรมอันแข็งแกร่ง ไม่ได้เดือดร้อนแต่ประการใด

    ขอเถอะขออย่าแรงไม่ได้ว่าใคร จะโพสเรื่องอะไรก็ขอเริ่มจุดประเด็นแบบละเอียดก่อนนะครับ งั้นคนที่ไม่ใช่คนล้านนาจะไม่เข้าใจนะครับ ทุกท่าน
    มันสับสนปุ๊บ เข้าใจคนล้านนาผิดปั๊บ

    พวกคุณเอาประวัติมะเมี๊ยะ ประวัติใครก็ตามมา คุณต้องท้าวความก่อนเดี๋ยวเขาสงสัย เมื่อก่อนนะล้านนามีกษัตริย์ตามสายเจ้าเจ๊ดตน สงสัยอะไรอีกไหมถามนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2008
  17. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694
    กว่าจะหาหนังสือได้ ค้นไปเกือบครึ่งตู้ ต่อ เลยนะครับ เอาแบบเมดเล่ด์ไปเลย

    [​IMG]
    " เจ้านางสุคันธา (ณ เชียงตุง) ณ เชียงใหม่ "
    จากหนังสือ ศิลปวัฒนธรรม ฉบับวันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2546 ปีที่ 24 ฉบับที่ 5

    ----------------------------------------------------------
    เจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ สายใยรักสองราชสำนัก เชียงใหม่-เชียงตุง

    โดย สมโชติ อ๋องสกุล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


    วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๖ เจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ พระธิดาเจ้าหอคำเชียงตุงเจ้าฟ้าก้อนแก้นอินทรแถลง ผู้เป็นชายาของเจ้าอินทนนท์ราชบุตรของเจ้าแก้วนวรัฐเจ้าหลวงเชียงใหม่ ได้สิ้นลมหายใจด้วยวัยชรา ๙๓ ปี ที่นครเชียงใหม่ ตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดเจดีย์หลวง โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธฮ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระราชทานพวงมาลา และได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานผ้าไตร ๕ ชุด พร้อมพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ณ ฌาปนกิจสถานสันกู่เหล็กในวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๖

    ในฐานะนักเรียนประวัติศาสตร์ จึงขอบันทึกเรื่องราวความสัมพันธ์ของเชียงใหม่-เชียงตุง เป็นเครื่องเคารพศพ "เจ้านางคนสุดท้ายแห่งสองราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุง"



    ๑. ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงตุง

    กับเชียงใหม่ในสมัยราชวงศ์มังราย

    เชียงใหม่มีความสัมพันธ์กับเชียงตุงมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์มังราย โดยตำนานเมืองเชียงตุงกล่าวว่า พญามังรายเป็นผู้สร้างเมืองเชียงตุงเมื่อ พ.ศ. ๑๘๑๐ ตำนานระบุว่าเดิมเมืองเชียงตุงเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวลัวะมาก่อน ต่อมาพญามังรายได้ขยายอาณาเขต "ครุบชิงเอาเมืองทัมมิละมาเป็นเมืองขึ้นแห่งตน" ในระยะแรกได้ให้มังคุม และมังเคียนซึ่งเป็นลัวะไปครองเมือง ต่อมาโปรดให้เจ้าน้ำท่วมซึ่งเป็นหลาน (พงศาวดารเชียงตุงว่าเป็นลูก) ครองเชียงตุง

    ในสมัยพญาไชยสงคราม (พ.ศ. ๑๘๕๔-๑๘๖๘) ได้ส่งราชบุตรคือเจ้าน้ำน่านไปครองเมืองเชียงตุง โทษฐาน "บ่ซื่อต่อกูผู้เป็นพ่อ" ครั้นสมัยพญาแสนพู (พ.ศ. ๑๘๖๘-๑๘๗๗) และสมัยพญาคำฟู (พ.ศ. ๑๘๗๗-๑๘๗๙) ได้ส่งขุนนางมาครองเชียงตุง

    ต่อมาในสมัยพญาผายูได้ส่งราชบุตรคือเจ้าเจ็ดพันตูเชี้อสายราชวงศ์มังรายไปปกครองเชียงตุง ในสมัยเจ้าเจ็ดพันตูครองเชียงตุง เชียงตุงเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านอาณาจักรและพุทธจักร โดยในปี พ.ศ. ๑๘๘๒ พญาผายู (พ.ศ. ๑๘๗๙-๑๘๗๗) ได้ส่งพระเถระจากเชียงใหม่ขึ้นไปเชียงตุงเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนาหนยางกวง พระเถระหงษ์ได้สร้างวัดขึ้นในที่ป่าช้านอกเวียง ให้ชื่อว่าวัดราชฐานหลวง ซึ่งต่อมาชาวเชียงตุงได้เรียกว่า วัดยางกวง

    ในสมัยพญากือนา (พ.ศ. ๑๘๙๘-๑๙๒๘) พุทธศาสนาในเชียงใหม่ได้เจริญรุ่งเรืองมากทรงนิมนต์พระมหาสมุนเถรจากสุโขทัยมาเผยแผ่ศาสนาลังกาวงศ์ที่เชียงใหม่ มีศูนย์กลางที่วัดสวนดอก ต่อมาจึงเรียกนิกายสวนดอก พญากือนาทรงสนับสนุนให้พระภิกษุจากเชียงแสนเชียงตุง มาศึกษาพุทธศาสนานิกายสวนดอกที่วัดสวนดอก ทำให้เชียงตุงได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาจากเชียงใหม่ โดยวัดในเชียงตุงรุ่นแรกเช่นวัดยางกวงเป็นนิกายสวนดอกเชียงใหม่

    ต่อมาในสมัยพญาสามฝั่งแกน พระมหาญาณคัมภีร์ได้นำพุทธศาสนาจากลังกามาเชียงใหม่เรียกว่า "ลังกาวงศ์ใหม่" มีศูนย์กลางที่วัดป่าแดง จึงเรียก "นิกายป่าแดง" ต่อมานิกายป่าแดงได้แพร่หลายออกจากเชียงใหม่ไปทั่วล้านนาถึงเชียงตุง ซึ่งใน พ.ศ. ๑๙๘๙ พระยาสิริธัมมจุฬาเจ้าเมืองเชียงตุงได้สร้างวัดป่าแดงถวายเป็นวัดฝ่ายอรัญวาสี

    ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงตุงและเชียงใหม่ได้ดำเนินอย่างดีสืบมา จนกระทั่งล้านนาตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าเป็นระยะเวลา ๒๐๐ ปีเศษ เชียงตุงรัฐชายขอบของล้านนาจึงต้องขึ้นต่อพม่าด้วย จนใน พ.ศ. ๒๓๑๗ พญาจ่าบ้าน (บุญมา) และเจ้ากาวิละได้ร่วมกับกองทัพกรุงธนบุรีขับไล่พม่าออกจากเมืองเชียงใหม่ได้สำเร็จ เชียงใหม่จึงมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชของสยามตั้งแต่นั้นมา ความขัดแย้งระหว่างสยามและพม่าได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเชียงใหม่และเชียงตุงเริ่มเปลี่ยนไป นำไปสู่สงครามเชียงตุงในสมัยรัตนโกสินทร์หลายครั้ง (ดู สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์อมรินทร์ ๒๕๓๙ หน้า ๑๘๘-๑๘๙)



    ๒. การอพยพชุมชนไทเขิน

    จากเชียงตุงมาสู่เชียงใหม่

    ในสมัยพระเจ้ากาวิละครองเชียงใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ นั้น ภารกิจสำคัญคือการขับไล่พม่าที่ยังอยู่เชียงแสนออกจากดินแดนล้านนาและเร่งฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่โดยรวบรวมกำลังคนที่อพยพหนีภัยสงครามไปอยู่ตามป่าเขาและจากเมืองต่างๆ เข้ามาไว้ในเมืองเชียงใหม่ ทรงใช้วิธีการเกลี้ยกล่อมและส่งกองกำลังเข้าตีเมืองต่างๆ หลายครั้ง เช่นในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๓๔๑-๒๓๔๔ มีการ "เทครัว" คนจากแถบแม่น้ำคง (สาละวิน) เช่น เมืองปุ บ้านงัวลาย บ้านสะต๋อย บ้านวังลุง วังกาด สร้อยไร ท่าช้าง บ้านนาฯ มาไว้ที่เชียงใหม่ และใน พ.ศ. ๒๓๔๕ สามารถตีเมืองสาดและเมืองเชียงตุงได้สำเร็จ

    ในปี ๒๓๔๗ กองทัพเชียงใหม่ร่วมกับกองทัพสยามตีเชียงแสนได้สำเร็จ มีการ "เทครัว" คนไทยวนจากเชียงแสนไปไว้ที่ต่างๆ เช่น ๑. บ้านฮ่อมในเชียงใหม่ ๒. อำเภอคูบัว จังหวัดราชบุรี ๓. อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ฯลฯ จากนั้นพระเจ้ากาวิละได้มอบหมายให้ท้าวแก่นคำนำกองกำลังขึ้นไปเชียงตุงเกลี้ยกล่อมให้เจ้าเมืองเชียงตุงขณะนั้นคือเจ้ามหาสิริชัยสารัมพยะยอมสวามิภักดิ์ ซึ่งเจ้าเมืองเชียงตุงยินยอมและพร้อมนำเจ้านาย ขุนนาง และชาวเขินจากเชียงตุงมาอยู่ในเชียงใหม่

    ครั้งนั้นพระเจ้ากาวิละโปรดให้เจ้านายไทเขิน ขุนนางและกลุ่มช่างมีฝีมืออยู่พื้นที่ระหว่างกำแพงชั้นในและชั้นนอกรอบวัดนันทาราม วัดดาวดึงษ์ วัดธาตุคำ วัดเมืองมาง วัดศรีสุพรรณ ส่วนกลุ่มคนที่เป็นเกษตรกรได้อยู่รอบนอกเวียง เช่น ที่วัดป่างิ้ว วัดสันต้นแหน วัดสันข้าวแคบ วัดสันกลาง วัดสันก้างปลา ในเขตอำเภอสันกำแพง และแถบอำเภอดอยสะเก็ดที่วัดป่าป้องเป็นชุมชนไทเขินสืบมาถึงปัจจุบัน



    ๓. สายสัมพันธ์รัก

    เชียงตุง-เชียงใหม่-ลำปาง

    เจ้าฟ้าเชียงตุงที่มาอยู่ในเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๗ เป็นลูกๆ ของเจ้าฟ้าชายสามเจ้าหอคำเชียงตุง (พ.ศ. ๒๒๐๓-๒๓๐๙ และ พ.ศ. ๒๓๑๒-๒๓๒๙) มี ๘ คนคือ ๑. เจ้ากระหม่อมต้นสกุลพรหมศรี ๒. เจ้าแสนเมือง ๓. เจ้าฟ้ามหาศิริชัยสารัมพยะหรือเจ้าฟ้ากองไท ๔. เจ้าเมืองเหล็ก (เจ้าดวงทิพย์) ๕. เจ้ามหาขนาน (เจ้าดวงแสน) ๖. เจ้ามหาพรหม (สมรสกับเจ้าศรีแก้ว ธิดาของเจ้าบุรีรัตน์ (น้อยกาวิละ) อนุชาของเจ้าพุทธวงศ์เจ้าหลวงเชียงใหม่เป็นต้นสกุลสิโรรสและกาวิละเวส ๗. เจ้านางศรีแก้ว ๘. เจ้านางคำแดง (ดู จิตติ เทพรัตน์. จากเจียงตุ๋งมาฮอดเจียงใหม่ บ้านไทยเขินวัดนันทราม ๒๕๔๕ หน้า ๒๖-๒๗)

    ในบรรดาพี่น้องดังกล่าวมีเจ้ามหาขนาน (เจ้าดวงแสง) คนเดียวที่ไม่ยอมมาเชียงใหม่ ขอต่อสู้กับพม่าโดยมีฐานที่เมืองหลวย เมืองยาง ต่อมาพม่าให้ท้าวคำวังคนของเจ้ามหาขนานเกลี้ยกล่อมสำเร็จ และยกเจ้ามหาขนานเป็นเจ้าเมืองเชียงตุง เรียกว่าเจ้าฟ้าหลวงเขมรัฐมหาสิงหะบวรสุธรรมราชาธิราช ซึ่งผู้สืบสายทายาทในสายนี้คนหนึ่ง คือเจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่

    กล่าวถึงเจ้ามหาขนาน (เจ้าดวงแสง) ผู้เป็นเจ้าหอคำเชียงตุงมีบุตร ๗ คน ลูกคนที่ ๗ ชื่อเจ้าฟ้าโชติกองไท (เกิดจากเทวีเชียงแขงจึงเป็นเจ้าฟ้าเชียงแขง) ได้ครองเชียงตุงสืบต่อจากพี่ชายคนโตคือเจ้าหนานมหาพรหม

    เจ้าฟ้าโชติกองไทมีลูก ๖ คน ลูกคนที่ ๔ คือเจ้าฟ้าก๋องคำฟู ได้เป็นเจ้าหอคำเชียงตุงสมัยอังกฤษเข้ามาปกครองพม่า ครองเชียงตุงได้ ๙ ปีก็พิราลัย ลูกคนที่ ๕ ของเจ้าฟ้าโชติกองไท คือ เจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลง ขึ้นเป็นเจ้าหอคำเชียงตุงสืบแทน

    เจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลงมีชายา ๖ คน มีลูกรวม ๑๙ คน (ดู อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพเจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง ๒๗ มกราคม ๒๕๓๓. หน้า ๑๑๙-๑๒๐) ในจำนวนนี้มี ๓ คนมีสายสัมพันธ์รักกับคนในล้านนา คือ

    ๑. ลูกชายคนหนึ่งที่เกิดจาก "เจ้าแม่เมือง" (อัครมเหสี) แม่เจ้าปทุมมหาเทวี (ธิดาเจ้าเมืองสิง) (คนเชียงตุงเรียกเจ้าแม่เมือง มีอำนาจมาก) คือเจ้าฟ้าพรหมลือ ต่อมาได้มีสายสัมพันธ์รักกับเจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง (พ.ศ. ๒๔๔๖-๒๕๓๒) หลานสาวของเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต เจ้าหลวงลำปางองค์ที่ ๑๓ (มารดาคือเจ้าหญิงฝนห่าแก้วเป็นธิดาเจ้าหลวงลำปาง)

    เจ้าฟ้าพรหมลือเป็นเจ้านายชั้นสูงของเชียงตุงที่สามารถกางสัปทนและนั่งเสลี่ยงได้ซึ่งมีเพียง ๓ พระองค์คือ ๑. เจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลง เจ้าหอคำ ๒. เจ้าฟ้ากองไท (รัชทายาท) ๓. เจ้าฟ้าพรหมลือ (โอรสเจ้าแม่เมือง) เจ้านายคนอื่นใช้ได้แค่ "จ้องคำ" (ร่มทอง) (ดู ความทรงจำที่เมืองเชียงตุงของเจ้านางสุคันธา อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพเจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๖)

    ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลสยามได้เชียงตุงจัดตั้งเป็นสหรัฐไทยเดิม ร.๘ โปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าพรหมลือเป็นเจ้าฟ้าสิริสุวรรณราชยศสรพรหมลือ ครองสหรัฐไทยเดิม แต่เมื่อสิ้นสงครามรัฐบาลสยามต้องมอบเชียงตุงคืนสหประชาชาติ เจ้าฟ้าพรหมลือต้องพาครอบครัวเข้าไทยพำนักที่กลางเวียงเชียงใหม่จนพิราลัยใน พ.ศ. ๒๔๙๘ (ปัจจุบันคือที่ตั้งศาลาธนารักษ์ ของกรมธนารักษ์) (ดู อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพเจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง ๒๗ มกราคม ๒๕๓๓)

    ๒. ลูกชายคนหนึ่งที่เกิดจาก "นางฟ้า" เจ้านางจามฟองคือ เจ้าขุนศึก ต่อมาได้สมรสกับนางสาวธาดา พัฒนถาบุตร ธิดาของแม่บัวจันทร์และนายดาบแดง พัฒนถาบุตร (๒๔๓๐-๒๕๒๓) คหบดีบ้านวัวลาย เชียงใหม่ (ดู ชีวิตเจ้าฟ้า อนุสรณ์งานประชุมเพลิงเจ้าฟ้าขุนศึก เม็งราย ๔ มีนาคม ๒๕๓๘)

    ๓. ธิดาคนหนึ่งที่เกิดจาก "นางฟ้า" เจ้านางทิพย์หลวงหรือเจ้านางบัวทิพย์หลวง คือ เจ้านางสุคันธา ต่อมาได้สมรสกับ เจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่ ราชบุตรของพลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ ๙



    ๔. เจ้านางคนสุดท้าย

    แห่งราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุง

    เจ้านางสุคันธาพระธิดาแห่งเจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลงเจ้าหอคำเชียงตุง กับเจ้านางทิพย์หลวงหรือเจ้านางบัวทิพย์หลวง เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ ในหอหลวงเมืองเชียงตุง เจ้านางเรียกเจ้าพ่อว่า "ฟ้าหม่อม" (ดู ความทรงจำที่เมืองเชียงตุงของเจ้านางสุคันธา อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพเจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๖) มีพี่น้องร่วมมารดา ๕ คนคือ ๑. เจ้านางแว่นแก้ว ๒. เจ้านางสุคันธา ๓. เจ้านางแว่นทิพ ๔. เจ้าสิงห์ไชย ๕. เจ้าแก้วเมืองมา ได้เสกสมรสกับเจ้าชายแห่งราชสำนักเชียงใหม่คือเจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่ ราชบุตรพลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงเชียงใหม่ ณ หอคำเชียงตุง โดยมีเจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทรแถลงเจ้าหอคำ เจ้านางปทุมมหาเทวีเป็นเจ้าภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ มีร้อยเอกโรแบรด์ ข้าหลวงอังกฤษผู้กำกับราชการนครเชียงตุงร่วมเป็นเกียรติในงานมงคลสมรส (ดู อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพเจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง หน้า ๑๑๓)

    เจ้านางสุคันธาและเจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่ จึงเป็นสายใยแห่งความรักของราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุงรุ่นลูก "เจ้าหลวง" สองราชสำนักรุ่นสุดท้าย และบัดนี้เจ้านางคนสุดท้ายแห่งราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุงก็ได้คืนสู่สวรรคาลัย นับเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ล้านนาคนหนึ่งที่ชาวล้านนาเพิ่งรู้จักและให้การเคารพ โดยเฉพาะชาวเขินในล้านา เพิ่งรับรู้ว่าเจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ คือเจ้านางแห่งนครเชียงตุง ขัตติยนารีของชาวเขินที่มีสายสัมพันธ์รักกับเจ้าชายแห่งราชสำนักเชียงใหม่ ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายในนครเชียงใหม่ตราบสิ้นลมหายใจ

    อย่างไรก็ดี ก่อนเจ้านางสุคันธาจะสิ้นลมหายใจ ทายาทคนหนึ่งของเจ้านางสุคันธาและเจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่ คือเจ้าวิไลวรรณ ณ เชียงใหม่ ได้พบกับลูกหลานไทเขินบ้านนันทารามเมื่อ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๕ เพื่อแนะนำการแต่งกายแบบไทเขินและเป็นประธานเปิดนิทรรศการ "กาดคัวฮักคัวหาง คัวเงิน" ที่วัดนันทาราม เมื่อ ๓ มกราคม ๒๕๔๖ ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างลูกหลานไทเขินที่บรรพบุรุษได้มาอยู่ในเชียงใหม่แน่นแฟ้นขึ้นอีกวาระหนึ่ง

    ขอเจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ (พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๕๔๖) สายใยรักแห่งสองราชสำนักเชียงใหม่-เชียงตุงคืนสู่สวรรคาลัยด้วยปีติเทอญ


    หน้า 160
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ID_4108_13.jpg
      ID_4108_13.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.3 KB
      เปิดดู:
      361
  18. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694
    ขออภัยบ้างนะครับ คำพูดถ้ามีแรงไปบ้าง ผมเป็นคนหัวรุนแรง เป็นคนดื้อรันอยู่บ้าง แต่ก็นิสัยแบบคนเหนือเก็บอารมณ์ได้บางโอกาศ บางคนดูเหมือนผมแรง ไปไหม ก็ต้องขออภัยด้วย
    (สูมาอาภัยจ๊าดนักเน้อครับปี้น้องอาวอา ผมเป็นคนแฮงตึงอู้จาบ่าม่วนงันสันเล้าเน้อครับ บางเตื่อก็เอาบ่าอยุ่อย่างแฮง สูมาโต๊ยเน้อ)

    สะหรี๋คิงคำปี้น้องกู่คนตี้มากอย ลูกหลานคนเมืองยินดีมอบสิ่งดี ๆ
    มอบสิ่งอันเป็นวุฒิมังคละ และยังมีความเป็นชาติพันธ์ที่หลากหลาย
    พร้อมที่จะต้อนอับจาวบ้านจาวเมือง ไหว้สาเน้อไหว้สาเจ้าล้านนา
    ไทย บ่ดีอายตี้เป็นคนเมืองสืบสานงานศิลป์ลื่อเลื่อง อู้ภาษากำเมืองเลื่อง
    ล้ำล้านนาไทย

    [​IMG]
    นั่ง...เจ้าฟ้ารัตนก้อนแก้วอินแถลง เจ้าพ่อ
    ยืนซ้าย เจ้าขุนเมือง
    ยืนกลาง เจ้าฟ้ากองไตย
    ยืนขวาสุด เจ้าฟ้าพรมลือ (ชายาคือเจ้าทิพวรรณ (ณ ลำปาง) ณ เชียงตุง




    ปล.กระทู้นี้โพสแต่เรื่องภาพเจ้าเมืองเก่า ๆๆ ก็พอจะโพสได้ ถ้าบอกว่าสถานที่เก่าในเมืองเหนือ ตั้งแต่ไจยดิถีเมืองประตุช้างเผือก ผังเมืองที่เปรียบเหมือนคน ภาพเก่าจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ภาคเหนือตอนบนตั้งแต่เริ่มมีกล้องพอมีเยอะนะครับ สนใจกระซิบได้ครับ ผมนะถนัดด้านนี้เลยเรื่องเมียง ๆ เรื่องทางเหนือผมกล้ารับประกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ID_4108_4.jpg
      ID_4108_4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.2 KB
      เปิดดู:
      21,036
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    มีเมืองแพร่ ไหม อยากรู้ เคยได้ยินว่า เมืองแพร่นี้เป็นกบฎ แต่ไม่ทราบเรื่องราวมาก ลองเล่าให้ฟังหรือ หาประวัติมาให้ดูบ้างสิ
     
  20. โยนกนาคบุรี

    โยนกนาคบุรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +2,694
    เหนื่อยละคะ ไหมละนะคะเอามาฝากให้จบแต่ประวัติเดี๋ยวมาต่อนะคะ


    [​IMG]

    เจ้าวิไลวรรณ ลูกสารเจ้าอินทนนท์และเจ้านางสุคันธา ซึ่งปัจจุบันท่านก็ยังเป้นเจ้าอยู่นะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...