ภุมเทวดา โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย กุศโลบาย, 26 เมษายน 2014.

  1. กุศโลบาย

    กุศโลบาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    323
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,604
    ภุมเทวดา หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    [​IMG]

    ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้ก็ลองย่องๆ แถวเมืองมนุษย์นี่ก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปไหน แต่ทว่าย่องแหงนขึ้นไปให้สูงนิด คือว่าเรามาดูท่านเทวดาที่อยู่กับเมืองมนุษย์ที่เราสามารถจะมองเห็นในเมืองมนุษย์ได้ เวลานี้เรามาทัศนาจรดูเทวดากันบ้าง แต่ก็ยังไม่ต้องเดินไปถึงเมืองเทวดา เพราะว่าเทวดาอยู่ใกล้ๆ บ้านเรามีเยอะ เขาเรียกว่าเทวดาอะไร บรรดาท่านผู้ฟังหรือท่านผู้ติดตาม?


    มองไปข้างหน้าตามพื้นแผ่นดินเห็นท่านเดินกันออกเกลื่อน หน้าตาสะสวย มีเครื่องแต่งตัวเรียบร้อย ผิวละเอียด แลดูสวยกว่าคนสวยตั้งมาก เท้าไม่ถึงดิน เดินอยู่ใกล้ๆ แผ่นดิน แต่ว่าเท้าไม่ถึงดิน จะว่าสูงขึ้นบนอากาศก็ไม่ใช่ เทวดาประเภทนี้ ท่านเรียกว่า ภุมเทวดา ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทพากันเรียกว่าพระภูมิเจ้าที่ ความจริงก็เป็นยังงั้นภุมเทวดาหรือภูมิเทวดา ภาษาบาลีอ่านว่า ภู-มิ แล้วก็เทวดา ภูมิแปลว่าแผ่นดิน เทวดาแปลว่าผู้ประเสริฐ ถ้าจะแปลกันทุกศัพท์ ก็เรียกว่าคนที่มีความประเสริฐอยู่ในแผ่นดินหรือว่าผู้ที่มีความประเสริฐอยู่ในแผ่นดิน สำหรับภุมเทวดานี้ ท่านพุทธบริษัท นั่งดูให้ดีเดินดูให้ดี จะเห็นว่ามีเกลื่อนกลาดไปหมด แต่ละท่านหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่งตัวสุภาพสวยงาม ลีลาการเดินก็สวย แต่น่าแปลกใจไหม มือขวาตั้งแต่ข้อมือลงไปถึงปลายนิ้วปรากฏว่ามีสีแดง แล้วก็แดงไม่เสมอกัน บางองค์ก็แดงเข็ม บางองค์ก็แดงจางๆ จงจำไว้ให้ดีว่ามือสีแดงเข็ม มีอานุภาพมากกว่าองค์ที่มีสีแดงจางๆ นี่ฤทธิ์ของท่านอยู่ที่มือ เทวดาพวกนี้ เรียกว่าภุมเทวดา มีวิมานเป็นที่อยู่เหมือนกัน แต่วิมานอยู่ใกล้ๆ แผ่นดิน เรียกว่าตั้งอยู่เฉียดๆ แผ่นดิน สูงกว่าแผ่นดินประมาณสักคืบหรือศอก ไม่ได้ตั้งอยู่ในดิน คือไม่ได้ปักเสา นี่เป็นวิมานของเทวดาประเภทนี้ เทวดาประเภทนี้ ทำบุญอะไรไว้ อันนี้อาตมาไม่เคยค้นพบเลย จะกล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่เทศน์ไว้ก็เห็นจะไม่จริง แต่ว่าค้นไม่พบ หรือว่าพบแล้วจำไม่ได้ก็ไม่ทราบ จะย่องๆ เข้าไปถามเทวดาสักองค์ก็เกรงใจท่าน หรือเอาสักนิดเป็นยังไง สงสัยนี่ สงสัยก็ลองถามดู เอาองค์นี้แล้วกัน องค์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่งกายด้วยเครื่องขาว ขาวทั้งชุด หน้าตาอิ่มเอิบ ท่านยิ้มหน้าระรื่น อยากจะถามท่านนะ เอ้า บรรดาท่านพุทธบริษัทที่ติดตาม มายืนล้อมกัน แล้วก็ฟังท่านพูด

    [​IMG]


    เอาละเริ่มถาม อยากจะทราบว่าท่านทำบุญอะไรไว้ จึงได้มาเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ที่เรียกว่าภุมเทวดา? นี่ถามใครรู้ไหม ถามเทวดาที่มีนามว่าอะไร? ขุนสมาหารราชวัตร ที่ถามน่ะความจริงตัวตนไม่มีหรอก พูดมันส่งไปยังงั้นเอง เพราะว่าท่านขุนสมาหารราชวัตรนี่ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ ในตอนปลายที่ท่านออกจากราชการแล้ว เกษียณแล้วท่านปลูกบ้านอยู่ที่โน่น อำเภอธัญญบุรี ในเขตจังหวัดปทุมฯ อาตมาเคยชอบกับท่าน เคยไปพักพาอาศัยท่าน ภรรยาของท่านคนหลังชื่อว่าคุณสมถวิล ท่านผู้นี้เคยเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของท่านคนหนึ่งเวลาก่อนจะตายบอกว่าเคยพบพระภูมิหรือเทวดา เพราะเพื่อนอีกคนหนึ่งตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นภุมเทวดา ท่านไปรักษาอุโบสถอยู่ เพื่อนของท่านขุนสมาหารราชวัตร ปรากฏว่าเพื่อนที่ตายไปแล้วมาพบในเวลาฝัน นอนหลับเช้าฝัน บอกว่าเวลานี้เราไปเกิดเป็นภุมเทวดา มีความสุขมาก แล้วรู้ความลับของคนทุกคน บ้านไหนก็ตาม ถ้าเราจะเข้าไป เราเข้าได้ทุกเวลา จะปิดประตูลงกลอนขนาดไหนก็ตามเราก็เข้าไปได้ ดีไม่ดีเจ้าของบ้านไปทำปู้ยี่ปู้ยำอะไรกันอยู่ ดูเพลิน เจ้าของบ้านไม่รู้ คู่ที่เขากำลังรักกันอยู่เขาไม่รู้ นี่รู้สึกว่าเทวดาองค์นี้ น่ากลัวจะซุกซนมากเหมือนกัน หรือว่าเป็นเทวดาชอบดู ท่านมาเล่าให้เพื่อนท่านฟัง ก็ปรากฏว่าเพื่อนท่านขุนสมาหารราชวัตรก็ติดใจในการเป็นภุมเทวดา แล้วท่านภุมเทวดาท่านนั้นก็บอกว่า เพื่อนเอ๋ย เพื่อนรักษาอุโบสถอย่างนี้ดีแล้ว ถ้ารักษาอุโบสถอย่างนี้ ตั้งใจทรงศีลให้บริสุทธิ์ เวลากลับไปบ้านรักษาศีล ๕ ไห้บริสุทธิ์ ถึงเวลาวันพระรักษาอุโบสถศีลให้บริสุทธิ์ด้วยความเต็มใจ แล้วก็ตั้งใจไว้ว่า เวลาเราตายเราจะมาเป็นภุมเทวดา ความจริงรักษาอุโบสถน่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท หรือว่ารักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เราจะเป็นอากาศเทวดากันได้แบบสบายๆ แต่ว่าคนที่จะเป็นเทวดาชั้นสูงได้ ต้องการเป็นเทวดาชั้นต่ำนี่เขาไม่ห้าม สุดแล้วแต่ใจ แต่คนที่มีบุญบารมีเป็นเทวดาชั้นต่ำ อยากเป็นชั้นสูง เป็นไม่ได้ เขาห้าม จะต้องบำเพ็ญบุญบารมีให้สมควรแก่ฐานะของเทวดานั้นๆ เรื่องนี้ชักยุ่งๆ เหมือนกัน เป็นอันว่าเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง ก็ไม่ใช่เรื่องทำบุญเป็นเทวดาโดยเฉพาะ เป็นการตั้งใจเป็นภุมเทวดา เพราะว่าจะพูดไปยิ่งกว่านี้ก็ไม่รู้จะพูดยังไง หาเรื่องพูดไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจว่าทำบุญอะไรจึงเป็นภุมเทวดา เป็นอันว่าเพื่อนของท่านขุนสมาหารราชวัตรก็เชื่อเพื่อนที่ตายไปแล้วที่บอกว่าเป็นภุมเทวดารักษาอุโบสถทุกวันพระ วันไหนไปวัดไม่ได้ก็ตั้งใจสมาทานที่บ้าน และโดยปกติวันปกติไม่ใช่วันพระก็รักษาศีล ๕ บริบูรณ์ จนกว่าจะตายไปแล้วจริงๆ ก็ปรากฏว่ามาเกิดเป็นภุมเทวดา มาเข้าฝันท่านขุนสมาหารราชวัตรกับอีกคนหนึ่ง บอกว่าเพื่อนเอ๋ย เวลานี้เราเป็นภุมเทวดาจริงๆ เป็นแล้วไม่ต้องห่วง เป็นสมความปรารถนา เป็นสุขจริงๆงานการไม่ต้องทำ มีเครื่องทิพย์เป็นเครื่องบริโภค เวลาใครเขาจะทำอะไรเขาก็ต้องมาเซ่นต้องสรวง ต้องไหว้ต้องบูชา ดีกว่าความเป็นคนเยอะ ไม่มีความหิว ไม่มีความกระหาย ความร้อน ความเหนื่อยกายไม่มี จะไปทางไหนนึกปั๊บเดียวถึงทันที นี่มาชวนท่านขุนสมาหารราชวัตรไปเป็นภุมเทวดาเข้าอีก ต่อมาเมื่ออาตมาไปพบท่านขุนสมาหารราชวัตร ท่านถามว่าการบำเพ็ญกุศลอย่างนี้เป็นภุมเทวดาได้ไหม อาตมาพิจารณาตามพระธรรมคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่าการบำเพ็ญกุศลอย่างนั้นสูงกว่าเป็นภุมเทวดามาก จะไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้สบายๆ แต่ท่านก็เลยบอกว่าผมตั้งใจอยากจะไปอยู่กับเพื่อนเขา เพื่อนเขามาชวน ก็เลยบอกท่านว่า เมื่อคนมีความพอใจแบบนั้นละก็ เชิญตามสบาย คงเป็นไปได้ตามอัธยาศัยที่ต้องการ ท่านก็ตั้งใจสมาทานศีล ๘ ทุกวันพระ สำหรับวันปกติท่านก็รักษาศีล ๕ ให้ครบถ้วน ในที่สุดท่านก็ตายไป ท่านตายได้ประมาณเดือนหนึ่ง อาตมาก็ไปที่นั่น ความจริงไม่รู้ว่าท่านตาย คุณนายสมถวิลก็มาถามว่าเวลานี้ท่านขุนตายแล้วท่านไปเป็นภุมเวดาหรือเปล่า แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาอยู่ชอบเล่นหวย ๓ ตัว ที่เขาเรียกกันว่าหวยใต้ดินนี่ชอบมาก คุณนายเองก็ชอบ ก็เลยบอกกับท่านว่าเอายังงี้ก็แล้วกันคุณนาย อาตมาเองก็ไม่ใช่คนตาทิพย์ หรือก็ไม่ใช่คนใจทิพย์ จะไปรู้เรื่องราวของเทวดายังงี้มันยาก ลองกันคืนนี้ก่อน ลองนอนสักคืนหนึ่ง ตอนกลางคืนอาตมาจะเชิญท่านขุนมา หากว่าท่านเป็นภุมเทวดาจริงหรือเป็นเทวดาชั้นอื่นจริงๆ ก็จะปรากฏแล้วจะลองขอหวยให้ เป็นอันว่าตอนกลางคืนก่อนนอน อาตมาก็บูชาพระสวดมนต์ทำหน้าที่ของพระ เมื่อสวดมนต์เสร็จก็นึกในใจว่าท่านขุนอยู่ที่ไหน ต่างว่าท่านขุนเป็นเทวดาหรือเป็นอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าสามารถมาได้ ขอได้โปรดมาพบ ปรากฏว่าเวลาใกล้หลับไม่ทันจะหลับ เคลิ้มๆ พอจะหลับท่านขุนมา มาในร่างเดิม ถ้าว่าเวลานี้เป็นอะไร ท่านบอกว่าทานเป็นภุมเทวดา ก็ถามว่าบุญวาสนาบารมีที่รักษาอุโบสถศีลก็ดี รักษาศีล ๕ ก็ดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นเทวดาประเภทอื่นได้ ที่เรียกกันว่าอากาศเทวดา คือจะอยู่ชั้นดาวดึงส์แบบสบายๆ ทำไมโยมจึงได้อยู่ที่นี่ ท่านก็รับรองบอกว่า เป็นความจริงขอรับ แล้วเวลาตายแล้ว ก่อนที่จะตายจิตใจมันปักอยู่เฉพาะภุมเทวดา เมื่อเวลาชีวิตออกจากร่าง ก็ปรากฏว่าเป็นภุมเทวดา มีวิมานเป็นที่อยู่ แล้วอารมณ์จิตก็รู้ในขณะนั้นเองว่า นี่ถ้าเราไม่ได้ตั้งจิตเป็นภุมเทวดาแล้ว เราจะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ได้แบบสบาย ก็เลยถามต่อไปว่า แล้วก็โยมจะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ไหม? ท่านบอกว่าไป ถามว่าเมื่อไรจะไป บอกว่าต้องหมดอายุชั้นนี้เสียก่อน ถามว่าชั้นนี้มีอายุเท่าไร ท่านบอกว่าชั้นนี้เขาเรียกว่าอยู่ในชั้นจาตุมหาราช จะเป็นภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี เทวดาชั้นจาตุมหาราชก็ดี มีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะเปรียบกับมนุษย์ก็ ๕๐ ปีเป็น ๑ วัน เดือนหนึ่งมี ๓๐ วัน ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน จนกว่าจะครบ ๕๐๐ ปีทิพย์ เมื่อครบ ๕๐๐ ปีทิพย์ แล้วไปเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้เพราะหมดระยะที่จะอยู่ในที่นี้ ก็ถามท่านว่า คุณนายต้องการหวย โยมขุนจะสงเคราะห์คุณนายไหม เคยมาบอกไหม ท่านก็เลยบอกว่า แม่หวินนี่ผมห่วงแกมาก ผมมาหาแกหลายครั้ง เคยมาบอกแก แต่แกไม่ได้ยิน มาแกก็ไม่เห็น พูดด้วยแกก็ไม่ฟัง อาจจะฟังแต่ไม่ได้ยิน เวลานี้ท่านมาก็ดีแล้ว ผมขอฝากหวยไว้ด้วย บอกแม่หวินด้วยนะ ว่าหวยคราวนี้มันออก ๘๘๐ ท้ายรางวัลที่ ๑ อาตมาก็จดเข้าไว้ พอตอนเช้าคุณนายสมถวิลถามก็บอกตามนี้ ปรากฏว่าหวยออกตรงจริงๆ นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ภุมเทวดาแท้ๆ บุญบารมีที่ทำให้เกิดเป็นภุมเทวดานี่อาตมาไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าถ้าตั้งใจเป็นภุมเทวดา ก็จะเป็นได้ ถ้าจะเดากันก็จะเดาว่าการให้ทานรักษาศีลแบบธรรมดาๆ แต่ว่ามีจิตใจไม่มั่นคงใครเขาจะไปวัดก็ไปกับเขา เขาสมาทานศีลก็สมาทานกับเขา แต่ไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล กลับออกมาก็ปล่อยให้ศีลตกอยู่หน้าศาลา เวลาเขาใส่บาตรก็ใส่กับเขา บางทีก็ใส่บาตรประเภทสนุก มันเป็นบุญเล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม เรียกว่าสักแต่ว่าเป็นบุญ อันนี้เดาเอานะจะไปยืนยันว่าเป็นความจริงไม่ได้นะ

    [​IMG]


    สำหรับภุมเทวดานี่เรายกศาลบูชาท่านเพื่ออะไร? จะไม่ยกศาลได้ไหม? อันนี้เป็นเรื่องเถียงกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท มีนักปราชญ์สมัยนี้โจมตีภุมเทวดากันอย่างหนัก ดีไม่ดีก็หาว่าคนที่ยกศาลพระภูมิเจ้าที่กลายเป็นอะไรต่ออะไรไป ก็รู้สึกว่าจะมากไปสักหน่อย สำหรับความรู้สึกของอาตมา จะเป็นเทวดาชั้นไหนก็ตาม เราควรบูชา ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าท่านที่เป็นเทวดาได้ต้องมีคุณธรรมวิเศษ ๒ ประการ คือ ๑ หิริ ได้แก่ความละอายต่อความชั่ว ๒ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลของความชั่วจะมาถูกต้องตน จะให้ผลเป็นความทุกข์ เป็นอันว่าคนที่จะเป็นเทวดาชั้นสูง หรือชั้นต่ำก็ตาม จะต้องเป็นคนอายบาปแล้วก็กลัวบาป อายชั่ว กลัวชั่ว เป็นอันว่าคนที่ไม่ทำความชั่วชื่อว่าเป็นคนประเสริฐเป็นคนดี แต่ว่าคนธรรมดาเราทั้งๆ ที่ยังมีความชั่วอยู่ โกหกมดเท็จก็ได้ เจ้าชู้เป็นชู้ลูกเขาเมียใครก็ได้ ทำปาณาติบาตก็ได้ กินเหล้าเมายาก็ได้ เราทำไมถึงได้ไหว้ได้ เราไหว้คนเลวได้ ทำไมเราจะไหว้คนดีจริงๆ ไม่ได้รึ อันนี้ ก็ไม่ได้ ไปเถียงกับท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เพราะอาตมาอาจจะมีความรู้น้อยกว่าท่าน แต่ว่าสำหรับความเห็นของอาตมา การยกศาลบูชาภุมเทวดาเป็นของสมควร มาพิจารณาเองว่าสมควรตรงไหน ที่เขากล่าวกันว่าการไหว้บวงสรวงบูชาเทวดานี่ขัดพระรัตนตรัย คือว่าขาดไตรสรณาคมน์ เขาว่าอย่างนั้น เขาบอกว่าไม่เป็นการเคารพพระพุทธเจ้า เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ควรไปเคารพเทวดา อันนี้ไม่จริง บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาขอค้าน เพราะว่าภุมเทวดาหรือว่ารุกขเทวดา อากาศเทวดาชื่อว่าเทวดาเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สาวกของท่านมีเทวตานุสสติกรรมฐาน คือการนึกถึงความดีของเทวดา ตรงนี้ซิท่านพุทธบริษัท อาตมาจะไปขัดคอท่านนักปราชญ์ผู้ใหญ่เข้า หากว่าบังเอิญท่านได้ฟังพูดหรือได้เป็นที่เขาเขียนไว้ละก็ให้อภัยด้วยถ้ากระผมจะพูดไป แต่ถ้าจะผิดก็ผิดเฉพาะกำลังใจของท่านเท่านั้น แต่คงไม่ผิดจากพระพุทธพจน์ ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงให้เจริญเทวตานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดีของเทวดา ถ้าการบวงสรวงไหว้บูชาเทวดาเป็นของไม่ดีพระพุทธเจ้าคงไม่ยืนยันไว้


    ตานี้ มาว่ากันถึงการยกศาลพระภูมิ ดีตรงไหน นี่อาตมาขอสนับสนุนว่าดีจริงๆ แต่ท่านยกแล้วท่านต้องทำให้ถูกดีนะมันถึงจะได้ดี ถ้าหากว่าท่านทำไปแล้วไม่ชนดี มันก็ไม่พบดีเหมือนกัน ต้องตั้งใจทำให้ถึงดีให้ชนดี แล้วก็พบดีด้วย การจะชนดี จะพบดี จะถึงดี เอากันยังไง? ว่ากันตอนนี้ เมื่อยกศาลพระภูมิขึ้นมาแล้ว ควรบูชาทุกวัน ถ้าจะมีกล้วย อ้อย น้ำท่าบ้างก็ตามอัธยาศัย ขนมนมเนยอะไรก็ตาม ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของท่าน เวลาบูชาเทวดาจุดธูปกี่ดอก พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนไว้ ที่เขามาโมเมกันในตอนหลัง ว่าจุดบูชาผีเท่านั้นดอก บูชาพระเท่านั้นดอก บูชาครูบาอาจารย์เท่านี้ดอก นี่มันเรื่องของคนที่คิดขึ้นทีหลัง จะจุดธูปจุดเทียนกี่ดอกตามใจท่าน ท่านจะจุดเท่าไรก็ตามไม่เป็นไร ทีนี้ ตอนบูชา บูชาแบบไหน ถ้าเราไปนั่งบูชาบอกขอภุมเทวดาเจ้าคะเจ้าขากรุณาฉันเถิด เวลานี้ที่บ้านฉันเกิดไม่ดีขึ้นแล้ว ผัวออกนอกบ้าน เมียนอกใจ คนใช้ว่าไม่นอนสอนไม่ได้ ขอให้เทวดาช่วยกำจัดให้ด้วย ไปตามผัวให้ที ไปตามเมียให้ที หรือว่าเวลานี้ฉันอยากจะถูกหวยรวยโป อยากจะค้าขายให้มันรวย ถ้าบูชาแบบนี้ไม่เป็นเรื่องแล้ว ไม่ใช่บูชากลายเป็นเอาเทวดาเป็นคนรับใช้ไป ไม่ถูก แบบนี้ไม่ถูก การบูชาเขาต้องบูชาแบบนี้ คำว่าบูชาแปลว่ายอมรับนับถือ ก็หมายความว่าเรายอมรับนับถือความดีของท่านภุมเทวดา คิดว่านี่ท่านจะเป็นเทวดาขึ้นมาได้มีเรื่องทิพย์บริโภคมีร่างกายทิพย์ มีวิมานเป็นที่อยู่ เป็นทิพย์ เวลานี้เรายกศาลขึ้น ความจริงท่านไม่ได้มาอยู่ที่ศาลของเรา ศาลนี่ เดิมทีสมัยโบราณเขาไม่ได้มีศาล เขามีไม้กระบอกปักไว้กลางแจ้ง เวลาจะบูชาก็เอาธูปเทียนไปปักที่กระบอก ต่อมาเห็นว่า ถ้าจะมีอะไรให้บ้างก็ไม่มีที่จะวาง ก็ทำศาลเพียงตา ทำเป็นศาล ๒ ชั้น คิดว่าเทวดาท่านนั่งชั้นบน แล้วเอาของวางชั้นล่าง ท่านก็เอื้อมมาหยิบกิน ต่อมา เมื่อฝนตกแดดออก นึกสงสารเทวดาขึ้นมาก็เลยเอาร่มไปกางให้ ทีหลังเห็นว่าท่านั้นไม่เหมาะ ก็เลยเอาใหม่ ทำบ้านให้มีหลังคา มีฝารอบคอบ นี่เป็นเรื่องของเราเอง มาสมัยนี้เลยมีตึกมีปราสาท รู้สึกว่าเทวดามีวาสนาบารมีมากขึ้นหน่อย อย่างนี้ จะทำแบบไหนก็ตาม เทวดาท่านไม่ได้ขึ้นอยู่ วิมานของท่านมี แต่การทำแบบนี้เป็นการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน เป็นการบูชาความดี อย่ามานึกว่าท่านมาอยู่บนศาลนะ ไม่ใช่ยังงั้น ศาลเล็กจุ๋นจู๋แค่นั้นท่านต้องขดตัวเข้าไปนอนเห็นจะไม่ไหว ภุมเทวดามีร่างกายโตกว่าคนมาก เป็นอันว่าการบูชา ถ้าจะบูชาให้ถูกเขาบูชากันแบบนี้ จำได้แล้วใช่ไหม คำว่าบูชาแปลว่ายอมรับนับถือ ตานี้ เรามานับถือท่านตรงไหนล่ะ ยอมรับนับถือตอนที่ท่านมีความดี คือว่าก่อนที่ท่านจะเห็นเทวดาท่านมีหิริและโอตตัปปะ หมายความว่ามีความอายความชั่ว กลัวผลของความชั่วจะให็โทษเป็นทุกข์ก็เลยไม่ทำความชั่วเสียเลยทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง เมื่อท่านไม่ทำความชั่วก็เลยไปเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ เป็นเหตุให้พวกเราบูชากัน แม้แต่หน่วยราชการเขาก็ยกศาล วัดที่มีความรู้เขาก็ยกศาลเหมือนกัน วัดนะ ที่พระได้ฌานสมาบัติ บางท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านก็ยกศาลเหมือนกัน แต่ยกเป็นศาลใหญ่ ไม่ใช่ศาลเล็กๆ ท่านยกทำไม? ท่านยกเป็นการประกาศความดีของเทวดา สำหรับท่านที่ได้ฌานสมาบัติได้ทิพย์จักขุญาณทำมากเพราะอะไร? เพราะท่านพวกนี้ท่านเห็นจริงๆ เห็นผลความดีของท่านพวกนี้ เมื่อยกศาลขึ้นแล้ว พอมองเห็นศาลก็นึกว่าท่านพวกนี้ท่านทำความดีไว้ก่อน ตายแล้วจึงได้เป็นเทวดา ท่านก็เลยตั้งมโนปณิธานปรารถนาทำใจให้สบาย คิดว่าเราเองเราก็จะเป็นเทวดาอย่างท่านบ้าง อย่างน้อยที่สุดเราก็เป็นผู้มีหิริและโอตตัปปะ เอาเทวดาท่านพวกนี้เป็นครูสอน ที่ยกศาลขึ้นมาบางทีไม่เห็นตัวท่านจะได้นึกได้ว่า นี่เป็นสถานที่ที่เราบูชาเทวดา เวลานึกขึ้นได้แล้วก็นึกขึ้นมาว่าท่านเป็นเทวดาเพราะอะไร เพราะ ๑ อายความชั่ว ๒ เกรงกลัวผลของความชั่ว ท่านก็เลยเตือนตัวท่านว่าเราจงเป็นผู้อายความชั่ว เกรงกลัวผลของความชั่วเหมือนท่านเทวดาอย่างนี้แล้วก็ปฏิบัติตามนั้น นี่อย่างนี้เรียกกันว่าบูชา คือเป็นปฏิบัติบูชา หากว่าเราจะบูชาเพียงอามิสบูชาเฉยๆ เอาข้าวเอาน้ำไปให้ท่าน จุดธูปจุดเทียนไปให้ท่านแล้วเราก็สร้างความชั่ว อย่างนี้ไม่มีผลนะ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องบูชาตามแบบฉบับที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติ คือปฏิบัติบูชา ถ้าหากว่าท่านบูชาภุมเทวดาแบบนี้จำไว้ว่าภุมเทวดาทุกท่านมีเครื่องทิพย์เป็นเครื่องบริโภค มีร่างกายเป็นทิพย์ มีความสุข ไม่หนาวไม่ร้อน ไม่หิวไม่กระหาย ไม่ป่วยไข้ไม่สบาย ไม่แก่เฒ่า หนุ่มเท่าไรก็เท่านั้น เกิดปุ๊บก็หนุ่มเลย แล้วไม่มีการแก่


    เทวดามีความดีอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะมีความดี คือไม่ทำความชั่วในที่ลับและที่แจ้ง เราก็เลยตั้งใจว่าขอให้เทวดาคนนี้เป็นครู จะเอาปฏิปทาของท่านนี้มาเป็นครูของเรา เราจะขอเอาเทวดาองค์นี้เป็นสักขีพยานในการปฏิบัติความดีของเรา อย่างน้อยที่สุด เราตายไปขอให้ได้เป็นเทวดาอย่างท่าน นี่เป็นอย่างน้อยนะ แล้วก็ตั้งใจบูชาด้วยความเคารพ กราบก็ได้ไหว้ก็ได้ ไม่เสียหายแล้วก็นึกถึงความดีของท่าน ตั้งใจอายบาป ตั้งใจเกรงกลัวบาป เรียกว่าอายชั่ว กลัวชั่ว อย่างนี้ ชื่อว่าท่านทำตัวเหมาะสมกับการบูชาภุมเทวดาแล้ว

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องราวภุมเทวดานี่ จะพูดกันจริงๆ พูดกันทุกวัน เดือนหนึ่งไม่จบ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอาตมาเองก็เคยประสบเรื่องราวของภุมเทวดามามาก แต่ว่าอาศัยการพูดนี้ เป็นการพูดเพียงเพื่อให้เป็นตัวอย่างเท่านั้น เพื่อไห้ผู้ว่าเขาเป็นเทวดาได้เพราะอะไร แล้วก็ภุมเทวดา เป็นเทวดาที่เขาบูชากันมาก ตั้งศาลกันมาก แล้วก็มีนักปราชญ์หลายท่านคัดค้านกันมาก ก็เลยเอาสิ่งที่ควรบูชา และบูชาแบบไหนมันถึงจะถูกมาพูดไห้ฟัง พูดแล้วมองดูนาฬิกา บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านรู้รับฟังแล้วก็ท่านที่ติดตามทัศนาจร เวลามันหมดเสียแล้วสำหรับวันนี้ ก็ขอพักเพียงเท่านี้ บรรดาท่านที่ติดตามมาจงนั่งอยู่ในกลางมวลหมู่ของเทวดาประเภทภุมเทวดาไปสัก ๗ วัน วันพุธหน้ามาพบกันใหม่


    เอาละ วันนี้ขอลาไปกลับก่อน ขอความสุขสวัสดี จงมีแด่ท่านผู้รับฟังและท่านผู้ติดตามทุกท่าน สวัสดี. . .
     

แชร์หน้านี้

Loading...