พระอาจารย์ กล่าวว่า "ภูมิปัญญาโบราณที่สั่งสมมานั้น ทำให้การกินการอยู่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศบ้านเรา พอมารุ่นใหม่นี่เห่อบ้านตามแบบฝรั่ง ปลูกบ้านติดพื้นดิน ที่ฝรั่งเขาปลูกบ้านติดดินแล้วอับทึบมาก เพราะว่าหน้าหนาวเขาจะได้เอาไว้หลบความหนาว และหลังคาจะได้ไม่รับน้ำหนักหิมะมากจนถล่มลงมา
แต่คนไทยเราไปเห็นดีเห็นงามสร้างตามแบบเขา พอขาดเครื่องปรับอากาศก็อยู่ไม่ได้ เมื่อฝนมา น้ำท่วม ก็ไม่มีที่ให้หลบ เพราะบางทีหลังคาก็ไม่เหลือ
โบราณสร้างบ้านใต้ถุนสูง มีเรือขึ้นคานรอไว้ หน้าน้ำก็ยาเรือเอาลง ปล่อยให้น้ำท่วมข้างล่างแล้วก็อยู่ชั้นบนตามปกติ พอหน้าแล้งเอาเรือขึ้นคาน ชั้นล่างก็เอาไว้ทำงานทำการสารพัด ดังนั้น..ถ้าใครสร้างบ้านก็เอาแบบโบราณนะ บ้านใต้ถุนสูงจะปลอดภัยและเหมาะกับบ้านเรามากกว่า
คุณหมอประสิทธิ์ สร้างบ้านหมดเงินไป ๗๐ ล้านบาท พอไปเจออาคารเรือนไม้ที่ เกาะพระฤๅษี คุณหมออยากได้มาก ถามว่าราคาเท่าไร อาตมาบอกว่าต่อเติมมา ๒ ครั้งแล้ว อยู่ในงบประมาณ ๒.๔ ล้านบาท คุณหมอคงกลับไปตีอกชกหัวตัวเอง ๒.๔ ล้านบาท กับ ๗๐ ล้านบาทนี่ต่างกันมหาศาล เพราะบ้านที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างเขาคิดราคามักจะสูงเกินจริงไปเยอะ
ภูมิปัญญาโบราณเป็นสิ่งที่สั่งสมกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า อย่างช่วงนี้อากาศเริ่มเปลี่ยน ก็จะมีแกงส้มดอกแค กินแก้ไข้หัวลม ยิ่งถ้าซดร้อนๆ เหงื่อแตกเลยยิ่งดี จะได้เป็นสิวน้อยลงด้วย"
"ฝรั่งเข้ามาทำวิจัยอาหารไทย ว่าประกอบไปด้วยเครื่องสมุนไพรรักษาได้สารพัดโรค แต่ปรากฏว่าคนไทยไปเห่อเคเอฟซี เห่อแฮมเบอร์เกอร์ เป็นอะไรที่กลับข้างกันมาก ถามคนไปเมืองฝรั่งเถอะ อาหารบ้านเขาอร่อยสู้บ้านเราไม่ได้ จะซื้ออาหารไทยที่นั่นก็ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะราคาแพงมาก
ตอนนี้ฝรั่งเขาบอกว่า มัสมั่นไทยอร่อยที่สุดในโลก ต้นตำรับมาจาก อินเดีย ไม่รู้ว่าจำได้หรือเปล่า ? เพราะบ้านเราพอของต่างชาติเข้ามาแล้ว มักจะนำมาดัดแปลงให้เข้ากับลิ้นคนไทย
เรากินอาหารจีนในบ้านเราว่าอร่อย ลองไป ฮ่องกง หรือไม่ก็ จีน ดูสิ ไปสั่งอาหารจีนบ้านเขาดูว่าจะกินลงไหม ? กินไม่ลงหรอก เพราะมีแต่มันๆ เลี่ยนๆ ในไทยเราเอามาปรับให้เข้ากับลิ้นของเรา ก็แปลว่าอร่อยที่บ้านเราไม่ได้แปลว่าจะอร่อยที่บ้านเขา
อาหารหลายต่อหลายอย่างบ้านเราดัดแปลงจนต้นตำรับเขาจำไม่ได้ พวกทองหยิบ ฝอยทองอะไรพวกนั้น คุณหญิงกีมาร์ (Marie Guimar de Pinha) ฟื้นขึ้นมาใหม่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจำหน้าตาได้หรือเปล่าว่าสอนลูกหลานไทยเอาไว้เอง
คุณหญิงกีมาร์เป็นโปรตุเกส แต่งงานกับ ฟอลคอน (Constantine Phaulkon) ที่เป็นกรีก ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเมืองไทย แล้วรับราชการสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นออกญาหรือ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ภรรยาเป็นคุณท้าว คราวนี้ท่านชื่อกีมาร์ คนไทยเลยเรียกว่า "ท้าวทองกีบม้า"
"อาตมาเห็นคนไทยสมัยก่อนอ่านหนังสือแล้วกลุ้มใจ เขาอ่านตามสบายใจฉัน อย่างเช่น "แฮรี่ เบอร์นี่" คนไทยอ่านเป็น “หันแตร บารนี” ชื่อเป็นไทยมาก "เซอร์ เจมส์ บรู๊ก" คนไทยอ่านเป็น “เย สัปบุรุษ” เขาเปลี่ยนเป็นชื่อไทยได้หมด
"หมอบรัดเลย์" กลายเป็น “ปลัดเล” สถานีเขาเรียก “กะเตชั่น” แบ็ดมินตันเขาเรียก “ปั๊กกะตั้น” "เทเลกราฟ" (โทรเลข) เขาเรียกเป็น “ตะแล็บแก๊บ”
ธนาคารแห่งแรกของประเทศไทย ก็คือ สยามกัมมาจล ก่อนหน้านั้นเขากลัวว่าการตั้งธนาคารจะทำให้เป็นที่เพ่งเล็งของต่างชาติ เขาก็เลยตั้งเป็น "บุคคลัภย์" มาจากคำว่า Book Club เขาสามารถแปลงให้กลายเป็นภาษาไทยได้
สังเกตไหมว่าเด็กรุ่นใหม่ออกเสียง “จ” ไม่ได้ ออกเสียงเป็นตัว J หมด ปกติ จ.จานไม่ต้องห่อลิ้นนะ แต่สมัยนี้ออกเสียง จ.จาน แบบห่อลิ้น แก้ไขไม่ได้ด้วย เพราะเสียมาหลายรุ่นแล้ว
นอกจากนี้ เรายังไปออกเสียง “ญ” กับ “ย” เป็นเสียงเดียวกัน ออกเสียง “น” กับ “ณ” เป็นเสียงเดียวกัน ซึ่งแท้จริงเขาแยกเสียงได้ “น” เขาออกเสียงขึ้นจมูก ถ้า “ณ” ถึงจะออกเสียงปกติ
ลองไปฟังเพลงสาวเชียงใหม่ของ สุนทรี เวชานนท์ ดูสิ เขาออกเสียง ย. ยักษ์ชัดมากเลย “เยือกเย็นสดใสเหมือนน้ำแม่ปิง” นั่นแหละเสียง “ย” แท้"
สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๔
ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2938&page=3
.
ภูมิปัญญาสร้างบ้านของไทยเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศในบ้านเรา
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 10 พฤศจิกายน 2011.