เรื่องเด่น มนุษย์ต่างดาวติดต่อเราหรือยัง-ควรบอกว่า เมื่อไหร่จะไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chandayot, 18 เมษายน 2012.

  1. MoonLignt

    MoonLignt สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +8
    หลากหลายเนื้อหาดีค่ะ หลายรสชาติ ถ้าทำเป็นหนังสือน่าจะขายดี ใครชอบเรื่องไหนไม่ว่ากันอ่านแล้วได้ความรู้ดี ชอบเรื่องวิทยาศาตร์ หรือไสยศาสตร์ เรื่องเทพ อะไรอีกมากมาย อย่างนี้ท่านเจ้าของกระทู้น่าจะมี FAN CLUB เยอะน่าดู เอาใจช่วยค่ะ
     
  2. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    สรุปที่กล่าวมาแล้ว คือผมได้จวกระบบการศึกษาของไทย และระบบการเมืองไทยไปพอสมควรแล้ว จุดอ่อนของระบบการศึกษาของไทย ก็คือการตัดเกรด และการสอบซ่อม นานๆไป ก็ให้ผ่านเฉย เลื่อนชั้นไป ทั้งๆที่เด็กตกทุกวิชา -ฝึกความมักง่ายไปทั่วประเทศ--เพราะผู้บริหารกระทรวงไดโนเสาร์นี้-- นั่งแต่บนหอคอยงาช้าง คิดว่าเด็กตก เป็นการสูญเสีย --แล้วครูมีเวลาว่างนักหรือที่จะมาสอนซ่อมเด็ก --เอ๋อ แล้วเรื่องมัี่วเพศ ยาเสพติดในสถานศึกษา จะแก้ยังไง ยังไม่มีใครคิดหันเลย
    --ถ้าเด็กผ่านเกรดหนึ่ง จะมีความรู้เพียง25เปอร์เซนต์เท่านั้น คือเด็กของเราจะมีมาตรฐานลดลงเรื่อยๆ
    --เทียบกับเพื่อนบ้าน พม่า เขมรและลาว-- ไทยก็เปรียบเหมือนลูกเศรษฐีที่เคยรวย โดนมัดติดล็อคด้วยกุญแจมือ ใกล้ๆตัวมีจักรยานเก่าๆให้คันนึง ในขณะที่ชาติอื่นมีรถสปอร์ตระดับลัมบอร์กินี่ให้ทุกคน แถมติดเทอร์โบ มีสาวสวยคอยรินน้ำส้มเย็นๆ ว้าว..ยกตัวอย่างทำไมฟะเนี่ย
    --เพราะเราไม่เคยคิด และไม่อยากที่จะได้คนดีของสังคมอย่างจริงจังมั้ง--อืม โครงการของฟ้าหญิงท่าน- ให้เด็กมีจุดเด่น ก็ดีเหมือนกันครับ
    --มีตัวอย่างนึงถ้าคิดดีๆแล้ว ช็อคโลกครับ ทำไมคนที่ถือุดมการ์ของคอมมิวนิสต์ จึงมุ่งมั่น ยึดมั่นในอุดมการณื เรียกว่าเกือบจะยึดประเทศไทยได้ด้วยซ้ำ พอดีว่าเรารีบมอมเมาพวกเค้าด้วยวัตถุนิยม และความฟุ้งเฟ้อได้สำเร็จ ถ้ามองแบบกลางๆ สองอย่างนี้ก็เป็นสิ่งชั่วพอๆกัน คอมมิวนิสต์ และวัตถุนิยม
    --รัฐบาลจัดการสอน เพื่อผลิตหุ่นยนต์ที่รองรับอำนาจรัฐ แต่คอมมิวนิสต์พาเข้าหลักสูตรเดือนเดียว กลายเป็นฝ่ายซ้ายไปชั่วชีวิต หรือเขามีการสอนที่ดีกว่าเรา เขาฝึกความอดทน เดินทางไกล สอนให้สงสารคนจน เกลียดคนรวย-มองถึงข้าราชการที่มาเอาเปรียบ เคยมีการมอบตัวของพวกนี้สามคน มีชายและหญิง ทุกคนนั่งฌฉยในหอประชุม ซึ่งมีแต่คนซุบซิบ และขึ้นเวที ด่าว่า ถากถาง เยาะเย้ย
    แต่ทั้งสามคนมีสีหน้าเรียบเฉย เราจะผลิตคนที่มีอุดมการณ์และความอดทนอย่างนี้ได้ไหม--หรือไม่มีทางเลย--แล้วการศึกษษ คืออะไรกัน มีนิยามว่าอย่างไร เรียนกันไปทำไม--จุดมุ่งหมายของการศักษาคืออะไร อะไรคือเป้าหมายที่เที่ยงแท้ของมนุษย์
    --สำหรับผู้รักการศึกษาและศีลธรรม ประโยคเหล่านี้ยิ่งกว่ามีดโกนที่เชือดเฉือนใจ และหลายๆสิ่งที่ผมกล่าวมา นั้นก็คิดว่าเ๙ือดเฉือนใจทุกท่าน แต่เราจะอยู่กับสัจจะคือความจริงแท้ ที่เห็นและเป็นอยู่ หรือจะอยู่กับคำพูดหรูๆ เข้าข้างตัวเองไปวันๆ ปัญหาจะแก้ได้ เราต้องเห็นตัวปัญหาก่อน ต้องรู้ความทุกข์ก่อน จึงจะดับทุกข์เพื่อพบสุขได้ สรรพสิ่งก็เป็นแบบนี้แหละครับ--แต่สรรพสิ่งนั้นมันไม่จีรังยั่งยืน-Everything is Impermanent- และไม่ได้นำความสุขมาให้เลย ความสุขที่แท้จริงในโลกนี้มันไม่มีหรอก อย่าเสียเวลาค้นหามันเลย มีแต่สิ่งที่เรียกว่า "ความสะดวกสบาย"(แบบชั่วคราว) เรามาในโลกนี้ก็เปรียบเหมือนมาเช่าบ้านเค้าอยู่ "มันไม่ใช่บ้านที่แท้จริงของเรา"

    -แต่ถ้าตามความคิดของผมนะ จัดประกวดการนั่งสมาธิทุกจังหวัด มีทุกระดับการศึกษา ให้พระวัดป่านั่งดู"มโนภาพ"เด็กอีกทีนึง แล้วก็ประกวดระดับภาค ระดับประเทศ--เด็กจะคิดว่า นั่งหลับตาแค่10นาทีก็จะสามรถเอาชนะคนอื่นได้ แข่งขันต่อสู้กันไปในทางที่ถูก--ก็ยิ่งคึกคัก ใช้กิเลสสู้กิเลส แต่เป็นกิเลสทางธรรม ซึ่งยิ่งมีมากยิ่งดี--นั่งสมาธิไป ไม่ต้องมีจุดหมาย พออิ่มตัว นิสัยของเด็กจะเปลี่ยนเอง พี่สาวผมบอกว่า "สมาธิของพุทธศานา ดียิ่งกว่าตะวันตก คือ อยู่ๆก็รู้คำตอบของปีญหา และสิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยรู้ ก็จะรู้ขึ้นมาเอง"
    --ผมนึกในใจว่าพี่ผมเนี่ย "มาทีหลังแต่ดังกว่า"ผมสอนสมาธิเค้ามากะมือแท้ๆ และเจ้าความรู้ที่เกิดได้เองนี่ เกินกว่านิยามคำว่า "การศึกษา"ของตะวันตกไม่รู้กี่หมื่นเท่า
    จุดอ่อนของการเมืองไทย ก็คือ ถ้าได้เป็น รมต.ต้องหาเงินเข้าพรรค ซึ่งพรรคจ่ายมากมายไปกับการหาเสียง หัวคะแนน ซื้อเสียง ถ้าไม่ใช้เงินตรงนี้มาก ก็ไม่ต้องถอนทุนมาก ประเทศชาติเสียหาย บ่อน้ำเสียคลองด่าน เสาโฮปเวล สารพัดโครงการ หมดเงินเป็นหมื่นล้าน แต่ได้ความเจ็บปวดกลับคืนมา
    --อาจเป็นเพราะเบื้องบนท่านเห็นว่า ถ้าเมืองไทยเจริญเร็วเกินไป เราก็จะเหลิง-หลงระเริงมากเกินไปกระมัง--จึงให้คนชั่วเหล่านี้มาช่วยแทะประเทศไทย

    --เบื้องบนท่านมีความเห็นอย่างไร--ท่านบอกว่า อดีตนายกที่ลี้ภัยนะ ว่เขาเลว ชั่วนะ แต่ทอดตามองไป ในบรรดานักการเมืองด้วยกัน เขาก็ชั่วน้อยที่สุดแล้วครับ

    --สรุปคือ ชั่วที่สุด ก็นักการเมือง ดีที่สุดก็นักการเมือง เพราะมีโอกาสที่จะทำดีได้มากมายครับ

    --สิ่งเลวๆที่เกิดก็เพราะคนทั่วไป และนักการเมือง ไม่รู้จักธรรมมะและพุทธศาสนาที่แท้จริงแม้แต่นิดเดียว--คิดว่าธรรมมะเป็นของพระ อยู่ในวัดเท่านั้น --ธรรมะนั้นคือสิ่งจำเป็นต่อทุกๆคน-ทุกชีวิต--เหมือนการหายใจรับอากาศเข้ามา "มองไม่เห็น แต่ก็จำเป็นยิ่ง" ธรรมเพียงแค่ข้อสองข้อ หากนำมาใช้จริงก็จะมีประโยชน์อย่างมากนะครับ ธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2012
  3. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ---ยินดีครับที่มาแจมกัน ถ้าทำจิตว่างๆ สบายๆก็อาจจะได้สัมผัสพลังจิตรูปแบบนึง จะเป็นของผมเอง หรือเทพ ก็ไม่รู้ครับ บางท่านอาจจะับได้ครับ "เครื่องรับไว"
    --ต่อไปผมจะเขียนแบบนี้ครับ
    --1. มีหัวข้อ 2. มีคำเกริ่นนำ 3. เนื้อหา 4. สรุป
    แต่ยกเว้น ข้อความที่ตัดมา หรือก็อปมาจากบล็อคของผมเองนะครับ
    -------------------------------------
    -------ส่วนนำของ "เซ็นสยาม"
    ------อี-เมล์ที่พี่สาวส่งมา-----------------------
    เจดดา

    ตอนนี้พี่หันมาฝึกแนวเซ็นประกอบไปกับการเจริญสติแนวพุทธ ได้ความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก
    จึงส่งหนังสือของอาจารย์ที่สอน เป็นฆราวาส อยู่สระบุรี มาให้อ่าน ตอนนี้ท่านชรามากแล้ว อายุ 80 ปี แต่ท่านมีเมตตาสูงมาก เมื่อไปพบท่านจะได้รับแต่พลังแห่งความเมตตาและความว่าง

    ฝากโพสต์ในอินเตอร์เน็ตด้วยนะ
    pc
    ----------------------

    พุ่งตรงสู่จิต ทางลัดสู่ความหลุดพ้น(ทุกข์)

    <!-- Main -->

    ---(ตอนนี้พี่สาวเราเข้าไปเป็นสตาฟของพุทธสมาคมแล้วนะ จากคนไม่รู้ไม่เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม นรก--สวรรค์ เพราะเรียนมาทางวิทยศาสตร์อย่างเดียว ตอนนี้เป็นอาจารย์เรื่องอัญญมณีศาสตร์ สอนทำสมาธิ และกำลังทำเอกสารเรื่องของคุณแม่บุญเรือน ฆราวาสผู้มีพลังจิตเหนือธรรมชาติอีก น่าอนุโมทนาแท้เทียว--กระทู้ชมกันเองครับ อิอิ)

    ---ช่วงนี้ดอกอะไรที่เหมือนปากแตรสีเหลือง และดอกฝ้ายคำสีเหลืองทอง บานเต็มต้น หลายร้อยดอก -ดอกใหญ่กลีบหนา สวยงามมาก ไว้คงจะได้ถ่ายรูปมาให้ดู อยู่แถวนี้มีต้นไม้ และป่าเยอะครับ นกกระปูดตาแดงก็ร้องวุ๊ดๆ ตอนดีสองก็ร้อง มันมีรูปร่างส่วนสัดที่สวยงามมาก บางตัวโตจะเท่าแม่ไก่อยู่แล้ว ไม่มีใครยิงมันหรอกครับ เพราะนี่เป็นป่าส่วนตัวของเอ้อ..คนรวย.. ไม่ใช่ของผมก็ละกันครับ


    -------------เข้าสู่เนื้อหากันเลยครับ--------------------------------

    คำนำ
    หนังสือเล่มนี้ไม่มีรูปแบบ คืออยากจะสื่อตรงไปถึงจิตท่านผู้อ่านเสียด้วยซ้ำไปว่า จิตหนึ่งนั้น คือความว่างนั่นเอง ถ้าพูดว่าจิต คนก็เข้าใจว่าจิตคือที่ทุกคนมีอยู่ เข้าใจว่าจิตมีอยู่จริง รูปธรรมนามธรรมก็ถูกสร้างขึ้นให้มี ถ้าผู้ใดปฏิบัติจนไม่ยึดสิ่งใดๆเลย นั้นนั่นแหละจึงเข้าใจ ความว่างเป็นจิตหนึ่ง หรือสิ่งทุกสิ่งคือหนึ่งเดียว เพราะธาตุสี่ไม่ใช่ตน และไม่มีอยู่จริงอีกด้วย จิตก็ไม่ใช่ตนและไม่มีอยู่จริงอีกด้วย จึงว่างจากตนคนสัตว์ อ่านไป อ่านไป แล้วจะเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นเอง ถ้าท่านผู้อ่านไม่เข้าใจ ก็อ่านซ้ำๆไปจนเข้าใจ แล้วจะถึงความว่างโดยไม่ต้องปฏิบัติอะไรเลยสักนิดเดียว

    อาจารย์ กตฺธุโร

    สารบัญ
    ภาคที่ ๑ หลักคำสอนเซ็น
    ภาคที่ ๒ เรื่องเล่าจากประสบการณ์จริง
    และนิทานเซ็น
    ภาคที่ ๓ ธรรมะรายวัน
    ภาคที่ ๔ หัวข้อธรรมในคำกลอน
    บรรณานุกรม

    ภาคที่ ๑ หลักคำสอนเซ็น
    กฎการปฏิบัติเซ็น
    ผู้ใจเที่ยงธรรม การรักษาศีลไม่เป็นของจำเป็น ผู้ประพฤติตรงแน่ว ฌานมันจะมีเอง ความเป็นธรรมนั้น ผู้ยิ่งใหญ่กับผู้ต่ำต้อย ยืนเคียงข้างกัน อาศัยกันและกัน เราไม่ควรทะเลาะเบาะแว้ง แม้จะตกอยู่ท่ามกลางของหมู่อมิตรอันกักขฬะ เพียรรอคอยจนได้ไฟอันเกิดจากการเอาไม้มาสีกัน เมื่อนั้นบัวสีแดง (พุทธภาวะ) ก็จะโผล่ออกมาจากตมสีดำ (ก่อนตรัสรู้) รสขมใช้เป็นยาที่ดี สิ่งที่ฟังแล้วไม่ไพเราะหู นั่นคือคำเตือนอันจริงใจที่แท้จริง การแก้ไขความผิดให้ถูกนั้นจะเกิดปัญญา เพื่อรักษาความผิดของตัวไว้จึงแสดงจิตที่ผิดปกติออกมา ในวันหนึ่งๆล่วงไปเราควรปฏิบัติไม่เห็นแก่ตัวตลอดเวลา โพธิปัญญานั้นหาพบได้เฉพาะจากภายในใจของเราเอง
    และไม่มีความจำเป็นที่จะแสวงหาความจริงอันเด็ดขาดของพระศาสนาจากภายนอก เพื่อท่านจะได้เห็นแจ้งจิตเดิมแท้


    ผู้ที่เป็นอาจารย์เซ็น
    ต้องรอบรู้ ผู้ที่มาขอฟังธรรมะ แล้วจ่ายตามวาระของจิตผู้รับ แล้วแต่จะมากหรือน้อย จะใช้ปริศนาธรรมชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ หรือไม่ควรจ่ายให้เลย ก็ต้องใช้ ปัญญา (ฌาน) ของอาจารย์เองเป็นสำคัญ ช้าเร็วไม่เป็นเรื่องสำคัญ สำคัญแต่ต้องตรงแน่วไปสู่จิตเดิมแท้นั่นเอง จะใช้อะไรก็ได้เป็นอุปกรณ์สอน ทั้งง่ายและยาก ขึ้นอยู่กับอาจารย์เป็นส่วนใหญ่ (ไม่มีรูปแบบ)


    เซ็นกับการปฏิบัติฌาน
    การเรียนเซ็นมีอยู่ ๓ อย่างคือ
    ๑) ขบปริศนาธรรมให้แตก เกิดปัญญารู้แจ้งจ้าเห็นภาวะดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสของตนเอง
    ๒) กำราบกิเลสให้อยู่นิ่ง เป็นตะกอนน้ำนอนก้น(เถรวาท)
    ๓) การทำลายกิเลสที่เป็นตะกอนนอนก้นถังนั้นให้หมดสิ้นไป
    ความประสงค์ของนิกายเซ็นมีอยู่เช่นนี้

    เห็นจิตเดิมแท้
    น้ำไม่ใช่คลื่น คลื่นไม่ใช่น้ำ เหตุที่มีคลื่นเพราะมีลม ยามใดไม่มีลม น้ำก็หยุดนิ่ง คลื่นก็หายไป จิตของคนก็เป็นเช่นนี้ เมื่อยามใดหยุดปรุง จิตก็นิ่ง เมื่อจิตนิ่งฌานก็เกิด เห็นจิตเดิมแท้ออกมา คือจิตหนึ่งนั่นเอง นี้ก็เห็นแจ้งได้
    คนธรรมดาทั่วๆไปชอบมองสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขา ส่วนผู้ปฏิบัติก็ชอบมองแต่จิต แต่ธรรมที่แท้จริงนั้นคือไม่ใส่ใจมันเลยทั้งสองอย่าง อย่างแรกง่าย อย่างหลัง ยากมากคนทั้งหลายไม่กล้าที่จะทำความรู้สึกว่าตนไม่มีจิตของตน กลัวว่าจะตกลงไปสู่ความว่างโดยไม่มีที่จะเกาะยึดในการตกนั้น เพราะเขาไม่รู้ว่า ความว่างนั้นไม่ใช่ความว่างอย่างที่เขาเข้าใจกันเลย มีโดยไม่ต้องมี"ความมี"ก็ได้

    ความผิดย่อมมีอยู่
    พฤติกรรมทางจิตไม่ว่าชนิดไหนย่อมนำเราไปสู่ความผิดพลาดทั้งนั้น มีสิ่งที่ต้องทำอยู่ก็แต่เพียงการถ่ายทอดจิตด้วยจิตเท่านั้นที่ต้องถือไว้
    จงระวังอย่าให้เพ่งเล็งไปทางภายนอก “ไปยังสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทางวัตถุว่ามีอยู่เพื่อจิตนั้น” ประเดี๋ยวเข้าใจผิดว่าโจรเป็นลูกของเราเข้าจะยุ่งกันใหญ่ ทุกคนต้องตรงแน่วไปสู่จิตเดิมเท่านั้น จะไม่หลงไปตู่โจรว่าเป็นลูกของเรา


    เปิดของคว่ำให้หงาย
    ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้นเหมือนกับความว่าง เราจะสร้างบุญกุศลสักเท่าใด มีปัญญาสักเท่าใดก็เข้ากับธรรมชาติเดิมไม่ได้อยู่นั่นเอง ดีไม่ดียังบังธรรมชาติเดิมเสียอีก เราอย่าผูกพันตัวเองไว้กับสิ่งใด นอกจากธรรมชาติแห่งพุทธะเท่านั้นซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวง สมมติว่าเราเอาสิ่งที่มีค่าทั้งหลายไปติดประดับไว้กับความว่าง มันจะติดอยู่หรือ ไม่เลย ความว่างก็ต้องว่างอยู่เช่นนั้น จึงควรเข้าให้ถึงความว่าง และเป็นว่างเสียเอง

    ธรรมะไม่เห็นด้วยตา
    ธรรมะที่กล่าวนี้ไม่อาจบรรยายด้วยคำพูดและพุทธะนั้นก็เป็นพุทธะไม่เห็นได้ด้วยตาหรือคลำได้ด้วยมือ โดยที่จริงนั้น สิ่งทั้งสองสิ่งนั้นก็คือจิตล้วน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวงนั้นเอง นี่แหละคือสัจจะ ซึ่งมีอยู่อย่างเดียว นอกจากนั้นเป็นสัจจะเทียมทั้งนั้น

    การถ่ายทอดความว่าง
    การถ่ายทอดความว่างให้กันและกันนั้นไม่สามารถทำได้ทางคำพูด การถ่ายทอดตามความหมายทางฝ่ายวัตถุนั้น ไม่สามารถใช้กับธรรมะ เมื่อเป็นดังนั้น จิตเป็นสิ่งที่ถูกถ่ายทอดด้วยจิต และจิตเหล่านั้นไม่แตกต่างกันเลย การถ่ายทอดทั้งสองอย่างนี้ เป็นความเข้าใจอันเร้นลับที่เข้าใจได้ยากที่สุด จนถึงกับมีไม่กี่คนที่เข้าใจจริงๆ ถึงอย่างไรก็ตาม ตามความเป็นจริงนั้น จิตก็ยังมิใช่จิต การถ่ายทอดนั้นก็มิใช่การถ่ายทอดที่เป็นจริงเป็นจังอะไรเลย

    เห็นแจ้งจ้า
    เมื่อใดกายและจิตมีการโพล่งออกไปเองถึงธรรมชาติเดิมของมัน ได้เข้าใจอย่างซึมซาบแล้วได้นามว่าสมณะก็บรรลุถึงโพธิ คือความว่าง
    ผู้ใดอ้อนวอนขอพรพระเจ้าอยู่ ผู้นั้นเวียนตายเวียนเกิดอยู่หลายภพหลายชาติเสียเวลาเปล่าๆมิน่าต้องทำเช่นนั้น

    เมื่อลงจิตเดิมไม่ได้
    เพียงแต่จงทำจิตปัจจุบันของเราให้ว่าง ไม่คิดปรุงแต่งสิ่งใดๆ เลย แล้วสิ่งทุกๆ สิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเราก็จะว่างไปด้วยจริงๆ แล้วสิ่งทุกสิ่งเขาว่างอยู่แล้วทุกๆ ขณะแต่จิตเราไม่เห็น เพราะมัวปรุงเรื่องทุกเรื่องที่เข้ามาตามเหตุที่มีนั่นเอง เข้าใจผิดจึงยุ่งไปหมด เพราะไปใช้จิตอุตริแผลงๆนั่นเอง
    เรียกว่าไม่จับปลาด้วยเครื่องมือที่เขาทำเอาไว้ ดันไปจับด้วยลูกน้ำเต้ากลมๆ ลื่นๆ โดยเฉพาะปลาดุกด้วย

    ทำไมจึงไม่ว่าง
    ความจริง ความว่างเขามีอยู่ก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปทำให้มันว่างอีก ถ้าทำมันก็จะบังความว่างเดิม เขาเพียงแต่รู้อยู่ว่ามันว่างอยู่แล้วเท่านั้นก็พอ ทั้งกายและใจก่อนที่จะประกอบมันขึ้นมานั้น มันก็มาจากความว่างเดิมนั้นเอง และพอมันเปลี่ยนไป มันก็ว่างไปตลอด หรือมันยังอยู่ มันก็ยังว่างของมันตลอดกาลนั่นแหละ สรุปว่า จงเป็นว่างเสียเองแล้วจะรู้ว่ามันเป็นว่างจริงๆ

    ผู้ที่เข้าใจผิด
    ๑) เข้าใจว่ากายใจเป็นคนเป็นตัวตนของตนจึงหลงในสมมติ คำว่าสมมตินั้นเป็นของสร้างขึ้นด้วย จิตกับกาย ที่มีชีวิตประกอบกันจึงมีรู้รับรู้ จึงตั้งว่ารู้คือจิตวิญญาณ แท้ที่จริงเป็นของสร้างขึ้นทั้งหมดจึงยึดไม่ได้เลยสักสิ่งเดียว
    ๒) ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จนเข้าใจจิตว่าจิตก็มิได้มีอยู่จริง กายก็มิได้มีอยู่จริง จึงหมดยึดสิ่งใดๆ บนโลกนี้เสีย แต่ก็อยู่ด้วยกันกับสิ่งทุกสิ่ง เหมือนน้ำกับน้ำมัน เช่นนั้น
    โพล่งออกมา
    ท่านอย่าเป็นผู้นึกคิดเสียเอง เป็นแต่เพียงผู้ดูก็พอแล้ว ดอกบัวจะบานกลางกองไฟ

    ธรรมชาติแท้แห่งจิต
    เพียงแต่เธอรู้จักธรรมชาติแท้แห่งจิตของเธอเองเท่านั้น ซึ่งในธรรมชาตินั้นไม่มีตนเอง และผู้อื่น แล้วเธอก็จะเป็นพุทธะองค์หนึ่งจริงๆ
    เธอหยุดการปรุงเร้าความคิด และการคิดค้นในเรื่องอันว่าด้วย ความมีอยู่และความไม่มีอยู่ ยาวสั้น คนอื่นหรือตัวเอง ผู้กระทำ ผู้ถูกกระทำ เสียให้จบสิ้นเท่านั้น เธอจะพบว่าจิตของเธอเป็นพุทธะโดยแท้จริง จิตเป็นสิ่งที่คล้ายกับความว่าง พุทธะจึงว่างนั่นเอง

    เซ็นว่าอย่างนี้
    การตรัสรู้ ย่อมโพล่งออกมาจากจิตโดยตรงไม่มีอะไรเกี่ยวกับการปฏิบัติใดๆ ทั้งสิ้น วิธีที่ฉลาดเพื่อบรรลุถึงสิ่งๆ นี้ก็คือการเพาะให้พุทธะจิตนั้นผลิออกมาให้เห็นเท่านั้นเอง เพียงแต่เธอทำให้มันว่างจากความคิดปรุงแต่งต่างๆ ซึ่งล้วนแต่นำไปสู่การเกิดและการดับอยู่ตลอดเวลาตลอดกาล
    ไม่มีอะไรเลยสักสิ่งเดียวที่มีอยู่ ดังนั้นฝุ่นสกปรกจะจับได้ที่ตรงไหน ถ้าใครเข้าความจริงถึงหัวใจของความจริงเรื่องนี้ คงไม่ต้องพร่ำถึงความสุขชั้นเลิศอีกต่อไป


    ไม่รู้ตัวว่าเมา
    การเมาสารพัดเมา เหล้ากัญชายาบ้า ความกลัว-กล้า ความรัก อาหารการกิน เงินทอง ชื่อเสียง ความรู้และไม่รู้ แม้หลงธรรมก็เมา แต่พิจารณาแล้วไม่สำคัญเท่ากับ ไม่รู้จักตัวเองกำลังเมาตัวตนว่าตนเป็นคนอยู่นี่สิ เมาอย่างช่วยไม่ได้ ต้องไหลไปตายเกิดอีกนาน ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเมาความเมาอยู่

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2012
  4. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    -----ผมจะถ่ายทอดภาค1 ก่อนนะครับ แล้วจะเขียนอะไรๆต่อ ข้อสำคัญสำหรับผู้ต้องการเรียนลัด ให้อ่านบทความเหล่านี้ทุกวัน ในเวลาไม่เกินสองปี ท่านก็จะบรรลุธรรมแบบหนึ่ง ซึ่งอาจเรียกว่า มินิ-เอ็นไลท์เท่น--บรรลุธรรมมะน้อยๆ--ซึ่งน้อยๆนะจะน่ารักมากครับ
    --สำหรับผู้เขียนเป็นพวกปีศาจคาบคัมภีร์ คืออาจจะไม่รู้อะไรเลย หรือรู้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าตัวเองรู้อะไรบ้าง รู้ว่าทำใจว่างๆ ก็จะทำตัวหนังสือให้ไหลมาแบบที่เห็นนั่นหละครับ
    --พี่สาวผม เริ่มจากแนว พุทโธ แล้วมาสาย ยุบหนอ-พองหนอ (รู้สติ) แล้วมาประยุกต์ทางจิตว่าง (บ่อซิม--ไร้ใจ)

    --ปณิธาณตั้งจิตมั่น สรรพสิ่งอุบัติเพื่อดับสูญ
    ดับสูญแล้วก็เกิดขึ้นใหม่ แล้วใยต้องยึดถือ
    ไม่ยึดถือตั้งจิตมั่น แล้วนั่งสมาธิวิปัสสนา
    ในใจไร้จิต ใต้จิตไร้ใจ ไร้ใจไร้จิตไร้คิด จิตทิพย์ทะลวงสามสิบหกจุด พลังสุริยันมุ่งสู่จันทรา เอนกายาพิงดาวเหนือ.
    .
    -- ผู้ที่เขียนคำแบบนี้ไม่ใช่พระเซ็น หรือผู้บรรลุธรรมหรอกครับ แต่เป็นอาจาย์สอนกังฟู--และวูซู(ลีลายุทธ)ครับ -ท่านเก่งมากจนเมืองจีนเชิญให้ไปตัดสินกังฟูทุกปี ลูกศิษย์ท่านรำกระบอง เดินบนปากแก้วน้ำได้ (เอาผ้าปิดตาไว้ด้วย)
    ---------------------------ต่อครับ-------------------

    ผู้ที่ถึงธรรมแล้ว
    ท่านผู้รู้แจ้งแห่งพระนิพพานนั้น จะวางตนไว้ในลักษณะที่เข้าพัวพันก็ไม่ใช่ เฉยเมยก็มิใช่ทั้งสองอย่าง ท่านเหล่านั้นย่อมรู้ว่า ขันธ์ทั้งห้าและสิ่งที่เรียกว่า “ตัวตน” อันเกิดจากการประชุมพร้อมของขันธ์ทั้งห้านั้น รวมทั้งรูปธรรมและวัตถุภายนอกทุกชนิด และทั้งปรากฏการณ์ต่างๆ ของศัพท์สำเนียง ล้วนแต่เป็นของเทียม ดังเช่น ความฝันและภาพมายาเสมอกันหมด ท่านเหล่านั้นไม่เห็นอะไรแตกต่างกันระหว่างมุนีกับคนธรรมดา หรือจะมีความคิดในเรื่องนิพพานก็หาไม่ ท่านเหล่านี้ย่อมอยู่เหนือการรับและปฏิเสธ และท่านเหล่านี้ ทำลายเครื่องกีดขวางทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผู้รู้เหล่านี้ ย่อมใช้อวัยวะเครื่องทำความรู้สึกของท่านในเมื่อต้องใช้ แต่ว่าความรู้สึกยึดถือในการใช้นั้นมิได้เกิดขึ้นเลย ท่านเหล่านั้นอาจระบุเจาะจงสิ่งต่างๆ ได้ทุกชนิดแต่ว่าความรู้สึกยึดถือในการระบุเจาะจงนั้นมิได้เกิดขึ้นเลย แม้ขณะที่ไฟประลัยกัลป์ล้างโลก สันติสุขอันแท้จริงและยั่งยืนของความหยุดได้โดยสมบูรณ์และความสุดสิ้นของความเปลี่ยนแปลงแห่งนิพพานย่อมยังคงเดิมอยู่ในสภาพเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย นี้คือคำสอนของอาจารย์ใหญ่แห่งเซ็น “เว่ยหล่าง”

    เซ็นสอนอย่างนี้
    การทำตัวเองให้ลืมตาโดยฉับพลันต่อความจริงที่ว่า จิตของเธอนั่นแหละคือพุทธะ และว่าไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุ หรือไม่มีอะไรเลยสักสิ่งเดียวที่จะต้องปฏิบัติ นี้คือวิธีชั้นยอดสุด แล้วเธอจะเป็นพุทธะโดยแท้จริง

    การสลัดสิ่งทุกสิ่งออกไปเสีย นั่นแหละคือตัวธรรม การสลัดสิ่งที่เป็นมายาทุกสิ่งออกไปเสียนั้นต้องไม่เหลือธรรมะอะไรๆไว้ให้ยึดถือกันอีกจริงๆ

    เถรวาทสอนอย่างนี้

    นิพพานไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่นิพพาน ผู้ใดเข้าถึงซึ่งนิพพานได้ จิตที่ทำหน้าที่การงานทางใจก็ยังคงทำหน้าที่ไปตามปกติ จิตที่ติดดีชั่ว จะหมดไปเหลือแต่จิตรู้สึกว่ารู้อารมณ์ทางใจ มีสภาพหมดภาระ โปร่งโล่งไร้ขอบเขต มองเห็นความว่างจากตัวตนจากทุกข์ที่อยู่ในสิ่ง เป็นหนึ่งสงบเบิกบาน แล้วไม่ส่งไปส่ายมา จิตนี้มันก็เกิดดับไป แต่ไม่มีทุกข์ด้วย มันเกาะอยู่กับกายใจแล้วมันหลุดออกจากเปลือกกายใจ และไม่เกาะแม้แต่ความว่างด้วย กายใจก็ปล่อยให้เป็นของๆ โลกไปตามเหตุแต่ละเหตุ แต่จิตนี้ก็ยังต้องรักษากายใจไว้เหมือนกับไปยืมผู้อื่นเอามาใช้ จึงไม่ต้องทำอะไรอีกเลย

    สอนแบบเถรวาท ( เนิ่นช้า ) หลุดออกพ้นเหมือนเซ็นอย่างเดียวกัน (ใครชอบแบบไหนได้ทั้งนั้น)

    หาเพชร
    จงหาเพชรในกองขยะให้พบ แล้วเธอจะเป็นมหาเศรษฐีทันที
    ถอดใจเสีย
    ยามใดเธอทุกข์ใจจนถึงที่สุด สุดจะทนได้แล้ว เธอจงถอดใจของเธอทิ้งไปเสีย แล้วเธอจะได้ใจใหม่ที่ไม่ใช่ใจสุขทุกข์จะเข้าไปอยู่ในนั้นไม่ได้อีกเลย ทั้งๆ ที่ยืนเดินนั่งนอนอย่างเก่านี่แหละ

    มองไม่ทันจิตละเอียด
    อยากจะบอกไว้ว่าจิตปัจจุบันของขันธ์ห้านั้นยังมีตัวตนอยู่ มันยังยึดวัตถุสิ่งทุกๆ สิ่งนั้น อย่างหยาบๆนั้นไม่มีเหลือแล้ว แต่ที่ยังมองไม่เห็น เช่นของสิ่งหนึ่งราคาแพงมากๆ ใครจะหยิบเอาไปใช้ เอาไปกินให้หมดไปสิ้นไป เห็นว่าของแพง จิตกูยังหวงหรือเสียดาย จึงเกิดอาการทางใจขึ้นกระทบเบาๆ ผู้เป็นเจ้าของกายและใจแทบไม่รู้สึกเลยแต่อาการมันออกบอกตัวเขาให้รู้ขึ้น จึงสะดุ้งขึ้นว่า อ้าว ก็มันเรื่องอะไรกันนี่ นิดเดียวแท้ แป๊บเดียวจริงๆ แล้วหายไปเลย นักปฏิบัติทั้งรู้ทั้งเห็นจึงฆ่าเสีย ฆ่าอย่างไร เห็นลงไป ถ้าไม่มีอะไรๆ เลย โลกทั้งโลกว่าง ใครจะมี ใครจะได้ ใครจะหมดเปลือง ของไม่มีจะไปยุ่งอะไรกับสิ่งที่มันมีไม่จริง
    ปฏิปทาของอาจารย์ กตฺธุโร
    ไม่ต้องการสิ่งใดๆ บนโลกนี้เลย
    ไม่มีอารมณ์โกรธเคืองใครๆ เลย
    ไม่หลงอะไรๆ ให้ติดข้องผูกพัน
    ดำริออกจากกามตลอดทุกๆ เวลา
    ไม่ปะปนระคนอยู่กับหมู่คณะ
    มุ่งหวังเเต่พระนิพพาน(ว่าง)อยู่เป็นประจำทุกขณะ

    ภาคที่ ๒ เรื่องเล่าจาก
    ประสบการณ์จริงและนิทานเซ็น


    อาการของจิตเดิมแท้
    ลูกศิษย์ถาม: เราจะพิสูจน์ได้อย่างไร เมื่อถึงจิตเดิมแท้มันมีอาการหรือพฤติกรรมเช่นไร
    ตอบ: พิสูจน์ไม่ได้ มีแต่อาการรู้จนหมดรู้นิ่งสนิทเงียบเฉียบ เหมือนคนตายสนิท ชืดแบบขี้เถ้าที่กองอยู่หลายๆ ปี แล้วสู่ธาตุเดิม พูดด้วยคำพูดไม่ได้จริงๆ แท้ที่จริงไม่ได้ทำอะไรเลยจนนิดเดียว เขาเป็นเองมีเองอยู่แต่ก่อนเราเกิดเสียอีก...ว่าง


    เปียกฝน
    ถามอาจารย์ : ระหว่างเดินทางฝนกำลังตกทำอย่างไรจะไม่เปียกฝน หรือฝนไม่เปียกเรา
    ตอบ : (ตัว)เราไม่มี ฝนจะเปียกตรงไหนเล่า

    ไม่เห็นหน้าเดิม
    ลูกศิษย์ : อาจารย์ครับ ผมมองอย่างไรๆ มันก็เห็นหน้าเดิมลงสู่จิตเดิมไม่ได้เลยครับ ช่วยชี้แนะให้ผมหน่อยครับ
    อาจารย์ : ชี้ก็ติด แนะก็บัง ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องทำอะไรๆ เลย หน้าเดิมมันก็ไม่มี
    ลูกศิษย์ : เมื่อไม่มีแล้วอาจารย์เอาอะไรมาบอกเล่า
    อาจารย์ : ที่ชี้แนะที่บอกเล่ามันก็ไม่มีทั้งนั้น ที่ไม่มีทั้งหมดนี้นั่นแหละคือจิตเดิมหน้าเดิมเขาล่ะ

    อยากทราบเรื่องจิต
    อาจารย์ขา หนูอยากทราบเรื่องจิตค่ะ ว่ามันมีกี่ดวงกันแน่ หรือมีกี่มากน้อย เห็นอาจารย์ว่าจิตหนึ่งเดิมแท้ สงสัยอยู่ค่ะ”
    อาจารย์ตอบว่า
    “ก็เธอพูดออกมาคิดปรุงออกมานั่นแหละจิตของเธอเองล่ะ ถ้าเธอหยุดคิดหยุดปรุง อยู่เฉยๆ นิ่งๆ เงียบเฉียบ
    โดยสนิทได้เด็ดขาดละก็มันจะเห็นความว่าง นี้แหละคือพุทธะ หรือจิตหนึ่งเดิมเขาล่ะ ทั้งจิตปัจจุบัน จิตเดิม จิตหนึ่ง หาใช่จิตไม่ ปฏิเสธก็ไม่ได้ ยอมรับก็ไม่ใช่ มันเป็นเช่นนั้นเอง ว่างเกิดก่อนใครๆเสียอีก เซ็นต้องการตรงนี้โดยส่วนเดียว”


    เซ็นของอาจารย์ไม่ได้ผล
    กริ๊งๆๆๆๆ
    “ฮัลโหล สวัสดีครับ อาจารย์กตฺธุโรใช่ไหมครับ”
    “ใช่แล้วตัวจริงเสียงจริงด้วย มีอะไรหรือ
    อาจารย์สอนธรรมะแบบเซ็นใช่ไหม เซ็นของอาจารย์ไม่ได้ผลแน่”
    “เพราะอะไรหรือ” อาจารย์ถาม
    “ที่นี่เมืองไทยนะครับ ไม่ใช่ญี่ปุ่นหรือจีน จะได้รู้แบบเซ็นที่อาจารย์สอน”
    อาจารย์ตอบ
    “ก็ใช่ ถ้าไม่มีใครรู้ ก็เธอนั่นแหละหนึ่งคนที่รู้เรื่องเซ็นไงล่ะ”
    “ผมก็ยังไม่เข้าถึงจิตเดิมเลยอาจารย์”
    “ก็จิตเดิมหรือจิตปัจจุบันมันก็ไม่มี เธอจะให้ถึงก็ไม่มีอีก เปล่าๆ ว่างๆ ที่ไม่ได้ผลๆ ก็ว่างไม่มีใครได้อะไรจริงๆเลย”
    “โอ! ผมเพิ่งเข้าใจจิตเดิมเดี๋ยวนี้เองอาจารย์ มันว่างหมดเลยครับ”
    ไม่ต้องทำอะไร
    “อาจารย์ครับ ผมมีปัญหาคาใจอยู่ ไม่แจ่มแจ้ง จากใจเลย คำว่าไม่ต้องทำอะไรกับการเรียนธรรมะของอาจารย์นั้นช่วยขยายให้กระจ่างหน่อยเถอะอาจารย์”
    อาจารย์ว่า
    ถ้าขยายมันก็ไม่ใช่เซ็นนะซิ อาจารย์สอนเซ็นให้ตรงแน่วไปสู่จิตหนึ่งเท่านั้น”
    “เถอะน่า ไม่ต้องเซ็นสักครั้งไม่ได้เลยหรือครับอาจารย์”
    “เป็นพิเศษก็แล้วกันนะ” อาจารย์ตอบ
    “ครับๆ ดีครับ”
    ตัวจิตปัจจุบันประจำขันธ์ห้านี้จริงๆ มันว่างอยู่ รู้อยู่ พอปรุงเป็นความคิดขึ้นมันก็เกิด-ตายขึ้นเป็นกรรมทันที ดีหรือชั่ว ชอบไม่ชอบ มันเลยบังจิตเดิมเราเสีย เลยไม่เห็นหน้าเดิม เพราะหน้าเดิมเขาว่างอยู่ประจำอยู่แล้ว ยามใดไม่คิดไม่ปรุงอะไรมันไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะจิตปัจจุบันมันว่างเลยเป็นว่างพร้อมกับว่างเดิม เขาจึงไม่ต้องไปทำอะไรเลยไงล่ะ แต่ถ้าขยับขึ้นนิดเดียวก็บังทันที จึงต้องแบมือทั้งสองข้างเสีย ไม่ต้องยึดอะไรๆ ไงล่ะ”
    “ครับอาจารย์ เที่ยวนี้แจ่มจริงๆ ขอบพระคุณอาจารย์มากๆ เลยครับ”


    ฝนไม่มีสักเม็ดเดียว
    วันนี้มีลูกศิษย์เก่ามากับหลานสาว อยากมากราบอาจารย์ ไม่ได้มาตั้งหลายปีแล้ว มาถึงก็คุยกัน ลูกศิษย์ทางบ้านขึ้นไปซ่อมหลังคากระเบื้องที่แตกไป ๒ แผ่น ไปซื้อร้านเล็กก็ไม่มีขาย พอดีลูกศิษย์เขาซ่อมบ้านเขากระเบื้องมันเหลือ เขาให้มาพอดี ฝนตกติดต่อกันมาสามสี่วันแล้ว วันนี้ทำท่าจะตกอีก ลูกศิษย์ก็ขึ้นไปทำกัน ก็เลยขอเวลาไว้ว่าอย่าเพิ่งตกเลยสัก ๒๐ นาทีให้ซ่อมเสียก่อน พอแล้วเสร็จ ๒๐ นาทีพอดี ตกหนักมากกว่าทุกวันเลย ศิษย์จุมปีบอกอาจารย์วันนี้ฝนตกหนักมากเลย แต่โชคดีนะ พอซ่อมเสร็จก็ตกเลย ชุดที่เก็บของบนหลังคาบอกฝนตกไม่หนักเลย ลงมาก็เถียงกันแล้วถามอาจารย์ว่าหนักไหม ชุดลงมาก็ถามว่าดูมันไม่หนักสักหน่อย อาจารย์ว่าเออ ไม่มีฝนสักเม็ดเดียว มันเป็นแต่สิ่งหนึ่งเท่านั้น และสิ่งหนึ่งนี้ยังว่างเสียอีก ลูกศิษย์ทั้งสองคณะก็ตาสว่างขึ้น เห็นตามอาจารย์

    ชอบทำเรื่องง่ายให้ยาก
    วันนี้เป็นวันแรกของบัณฑิตหนุ่มที่ได้มาพักผ่อนชายทะเล ได้ปูเสื่อลงนอนอย่างสบายอารมณ์ รำพึงขึ้นในใจว่า ชีวิตทั้งชีวิตได้ทุ่มเทลงไปเพื่อความสำเร็จจนสมประสงค์ ก็หยุดความคิดลง เพราะมีชายสูงวัยเดินผ่านมา ในมือถือปลามา ๔ ตัว ก็ถามว่า
    “คุณลุงไปทำอย่างไรจึงได้ปลามา ตกเบ็ดใช้เวลานานไหม”
    “ไม่นานเท่าใด แล้วแต่ปลามันจะหิว”
    “แล้วปลา ๔ ตัวนี้จะเอาไปทำอย่างไร”
    “เอาไปทำกับข้าวกิน ๒ ตัว อีกหนึ่งตัวแจกให้เพื่อนบ้าน อีกหนึ่งตัวไปขาย”
    บัณฑิตถามต่อ “ทำไมไม่หามากๆ เล่า”
    “ถ้าได้มากๆ แล้วเอาไปทำไง” ชายสูงวัยถาม
    “เอาไปขายน่ะซิ”
    “แล้วไง”
    “ได้มากก็ซื้อเรือหลายๆ ลำ”
    “แล้วไง”
    “ก็ออกหาปลาให้มากขึ้น”
    “แล้วไง”
    “ซื้อเรือลากอวน”
    “แล้วไง” คุณลุงถามต่อ
    “พอได้ปลามากๆ ก็ตั้งโรงงานทำปลากระป๋อง ส่งนอกร่ำรวยมาก ได้เงินมาก”
    “แล้วไง”
    “อ้าวก็ได้มาพักผ่อนอย่างผมนี่ไงล่ะ ไม่ต้องมาหาเช้ากินค่ำอีก” คุณลุงได้ฟังคำสุดท้ายแล้วถามว่า
    “คุณเพิ่งมาได้พักวันนี้ใช่ไหม”
    “เป็นวันแรกของชีวิต” บัณฑิตตอบ
    ชายสูงวัยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะฮึๆๆ แล้วเดินหันหลังให้ไม่กลับมามองบัณฑิตอีกเลย
    “ชอบทำเรื่องง่ายๆ ให้ยากจริงๆ คนนี่”

    ธรรมมะรักษาโรค
    มีชายผู้หนึ่งเป็นโรคมะเร็งในกายมีหลายจุดไปให้หมอตรวจดูแล้ว คำของหมอบอกว่าเป็นมะเร็ง อาจารย์ก็แนะวิธีการรักษาทางยาโสมเกาหลีตังกุยจับ ซื้อเอาไปแต่ไม่กินทางการแพทย์ก็ไม่เอา แบบว่าตายก็ตาย จะไม่รักษาแบบกินยา อาจารย์บอกกับคนไข้ว่า มะเร็งมันก็เป็นชีวิต ในร่างกายนี้มีแต่สัตว์ที่มีชีวิตทั้งนั้น จึงไม่ใช่ของคน ของใครๆ ได้ มันประกอบขึ้นโดยเป็นชีวิต ในชีวิตก็เป็นแต่ธาตุทั้งสี่ ไม่ใช่คน ชีวิตนั้นๆ ทุกๆ ตัวมันก็รักชีวิตของมันทั้งนั้น ฉะนั้นอย่าคิดฆ่ามันเป็นอันขาด ฉายแสงให้คีโมหรือยาใดๆ จะไปฆ่าชีวิตของมะเร็งหรือสัตว์ในกายนี้ไม่ได้ พอส่งยาไปฆ่ามัน มันจะแยกตัวแตกตัวจากหนึ่งเป็นล้านๆ ทันที กระจายไปในกายเต็มไปหมด มันก็กลัวลูกหลานของมันจะสูญพันธุ์ จึงสู้สุดกำลังของชีวิต เหมือนคนทุกคน รักชีวิตตัวกูอย่างไงอย่างนั้นแหละ อาจารย์จึงใช้วิธีให้อาหารพวกที่มีชีวิตในกายนี้มันกินจนอิ่ม และสอนมันคุยกับมันทุกเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน สอนให้มะเร็งหรือโรคอื่นๆ ก็เช่นกัน ให้เขารู้จักกิน รักษาชีวิตของเขาให้เป็นสุขทุกๆ ชีวิต เมื่อเชื้อโรคอยู่กันสบายเขาก็ไม่แตกลูกแตกหลาน เพราะมันขี้เกียจ กินแล้วนอนหลับ หิวก็ลุกขึ้นมากินใหม่ แล้วนอนต่อ อายุพวกมันจะสั้นไม่ก่อกวนสัตว์ทั้งหลายในร่างกายกันเลย หดตัวป่วยตายลงไปเรื่อยๆ จนหมดไปเอง กายอันนี้ก็จะมีแต่เซลล์ที่ดีบริสุทธิ์กันทั้งหมด ตับไตม้ามหัวใจและอื่นๆ แข็งแรง เชื่อฟังคำสั่งสอนของเจ้าของกายและใจทั้งที่มันใกล้จะหมดอายุขัย มันก็จะพากันตายโดยสวัสดี จึงไม่ต้องไปทำอะไรกับกายและใจอันนี้ มันรักษาของมันกันเองจริงๆ

    -----------------------รอ----ต่อภาค 2นะครับ-----เนื้อหาทั้งหมดมีประมาณ 12เท่าของบทความนี้------------------------------------------------

    <!-- End main-->


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2554 16:09:27 น. </TD><TD></TD><TD align=right>3 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : 201 Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336412195757 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D05-02-2011%26group%3D1%26gblog%3D112&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DnrJeSVIrFAc.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTPTQ5kpWsxt4b3NgYTiGHrZk2qnkg#id=I1_1336412195757&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=478270683&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336412195757 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>

    </TD><TD>Add to [​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- <table width=100% border=0 cellspacing=0> <tr> <td>Counter : <script src='http://fastwebcounter.com/secure.php?s= bloggang2679266 '></script> Pageviews. </td> </tr> </table> --><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%">
    <TBODY><TR><TD id=1><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%"></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- Comment 1-->
    <!-- End Comment 1-->

    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%"></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%">
    <TBODY><TR><TD id=2><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%"></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- Comment 2-->
    <!-- End Comment 2-->

    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%">















    </TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%">
    <TBODY><TR><TD id=3><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%"></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- Comment 3-->ธรรมะที่แม้ตนเองก็ยังเข้าไม่ถึง
    จึงไม่ควรด่วนสรุปเอาตามแต่ทิฐิแห่งตน
    ผรุสวาทวาจาที่เปล่งต่อผู้รู้ เทียบเท่ากับดูหมิ่นพุทธองค์
    ท่านเซ็นสยามได้เปิดเผยความลับแห่งธรรมชาติ
    ที่ซ่อนตัวเงียบเชียบอยู่อย่างโจ่งแจ้งให้ผู้คนได้รับรู้
    จึงชักชวนหมู่เพื่อนร่วมทุกข์เข้ามาร่วมสดับ
    เพื่อความพ้นไปจากวงจรแห่งทุกข์
    และความยึดถือในความเป็นตน
    ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้น มีเพียงแต่ความไม่รู้ ไม่รู้ และไม่รู้
    นอกจากนั้นแล้วไม่มีอะไรเลย
    แต่ความไม่มีอะไรเลยนั้น กลับกลายเป็นที่สุดแห่งทุกข์ทั้งมวล
    เชิญเพื่อนร่วมสดับบทเพลงแห่งความไม่มี
    ที่ขับขานกังวาลโดยท่านเซ็นสยาม
    ในลีลาจังหวะที่กระฉับกระเฉงเร้าใจ
    แฝงไว้ด้วยความคมกริบแห่งดาบพิฆาตตัวตน
    ของท่านเซ็นสยาม

    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%">โดย: ศิษย์เซ็น IP: 180.210.216.131 วันที่: 23 กรกฎาคม 2554 เวลา:15</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    --ขอกุศลจิตจงมีต่อผู้เผยแพร่ธรรมมะอันเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งแห่งพระพุทธองค์ เช่นรูปนามของ--ท่านกตธโร ---ดร.พงษ์จันทร์ -นายไพบูลย์ และนางจินตนา จันทยศ ขอให้ท่านผู้อ่าน-ผู้ศึกษาทุกท่านได้ถึงสู่ภาวะนิพพานโดยฉับพลัน มุ่งลัดตรงสู่จิตเดิมแท้--นิพพานนะปัจจะโย โหตุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2012
  5. ragpon

    ragpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +954
    UFO ไปไหนแล้วอ่าครับมันเบาสมองดีแถมตื่นเต้นอ่ะครับ แหะๆๆถามซื่อๆบื่อๆไม่โกรธนะครับ
     
  6. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ครับ พอดีไม่ค่อยสบายไข้หวัดกำลังจับ แต่พยายามสู้กะมันด้วยจิตว่างนีี่แหละ
    --เป็นอันว่าเป็นกระทู้แนวาไรอะตี้แบบ ตีสิบ นะครนับ ที่ขาดไม่ได้คือช่วง "ดันมันปาย"
    --โอ้ว...มันบังเอิญอะไรเช่นนั้น คุณวิทวัสก็คือรุ่นพี่ รร.พระโขนงพิทยาลัยของผม เดิมที รร.นี้ มีอาคาร เก่าๆ โทรมๆ ปัจจุบันลองไปดูสิ เป็นโรงเรียนใหญ่
    ระดับเยี่ยมที่กระทรวงต้องภาคภูมิใจ
    --คุณอยู่จำพวกไหน พวกสนใจสิ่งลี้ลับ-Occultism นักจานบินวิทยา-UFOlogist หรือว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม หรือกลุ่มนิวเอจ-New Age หรือถูกทุกข้อ ผมเป็นอย่างหลังครับ เข้าได้ทุกวงการ

    --------------------------งั้นก็ต่อต่างดาวนะครับ--------
    ---เนื่องจากชาวต่างดาวกลัวแสงแดด(กลัวสุริยะเทพ)ถ้าถูกแดดจะปวยและตายเหมือนในหนัง อีที น่ะครับ---ฐานที่มั่นต่างๆจะต้องถูกสร้างขึ้นตามสัญญานี้ โดยมีสองฐาน สำหรับทำโครงการร่วมกัน--Jointed Project (จุดเริ่มของแอเรีย51 -Area51 ที่โด่งดัง) ระหว่างชาวเกรย์กับรัฐบาล การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี่จะเกิดในฐานที่มีโปรเจคร่วมเท่านั้น การก่อสร้างฐาน จะเป็นความลับยิ่ง จึงสร้างไว้ใต้ดิน ในที่สงวนไว้เพื่อชาวอินเดียนแดง สี่มุมของรัฐ ยูท่าห์-อริโซน่า-โคโลราโด้ นิวเม็กซีโก(ในหนังดิ เอ๊กกซ์ไฟล์ก็ตรงกัน) และยังมีในทะเลทรายที่ชื่อ โมเจฟ-Mojaveไม่ใช่สิ ต้องอ่าว่า โมฮาวี เป็นภาษาอินเดียนแดงน่ะ ตรงใกล้เมืองยุคค่า-Yuccaที่คาลิฟอร์เนีย งบลับทางทหารถูกทุ่มลงไปอย่างมหาศาล เพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในฐานใต้ดิน 75 แห่งทั่วประเทศ(พม่ายังทำ คิดดู) และข่าวนี้ต้องมีรั่วบ้าง คำแก้ตัวก็คือ "เผื่อไว้ใช้ในกรณีเกิดสงครามนิวเคลียร์"
    --ในปี 1955 ก็เป็นที่เข้าใจอย่างซาบซึ้งว่าชาวต่างดาวได้หลอกไอเซนฮาวร์และได้ฉีกสนธิสัญญาทิ้งซะแล้ว(กรณีนี้มีเพลงประกอบเยอะ--หลอกกันเล่นหรือป่าว หรือ ยึกยัก..และ บลาๆ(เยอะมาก))
    --แต่ที่แน่ๆ รัฐบาลเงา-Secret Government ได้ นำประชาชนอเมริกันไปขายกินซะแล้ว โดยไม่ได้ความยินยอมใดๆจากเจ้าตัว ยิ่งไปกว่านั้น การลักพาตัว ได้พุ่งสูงถึงหลักร้อย เป็นไปตามตัวเลขที่ตกลงกันไว้ การจดบันทึกล่วงหน้าที่ว่าจะทำ ก็ไม่ทำ ส่วนการผ่าพวกสัตว์ต่างๆ (รวมทั้งหมาแมว)มิวติเลชั่น-Mutilation ก็เกิดขึ้นมากมายทั่วประเทศ แม้แต่คนก็โดนแบบนี้ แต่น้อยมาก น่าสงสัยว่า คนที่ถูกลักพาตัวไป ไม่ใช่ทุกคนจะได้กลับมาที่จุดเดิม และสหภาพโซเวียต ก็ถูกสงสัยว่าติดต่อกับชาวต่างดาวพวกนี้ ซึ่งตอนหลังก็พบว่าเป็นเรื่องจริง...
    (จะมาต่อในตอนบ่ายครับ..เปิดเครื่องไว้24 ชม. ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวแต่แข็งใจไว้ เป็นห่วงผู้อ่านทุกคนครับ ขอให้รอดปลอดภัย มีชีวิตเพื่ออ่านกระทุ้ให้จบครับ คิดว่าสักสามพันหน้าก้คงจบครับ) และเป็นกฏของเบื้องบน ผู้ใดทำการอันเป็นกุศลค้างเอาไว้ ผู้นั้นจะตายไม่ได้ครับ 555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2012
  7. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD id=postmessage_720412 class=t_msgfont>[​IMG] -------โปรโมทเชียงราย----ดอยตุง
    [​IMG]

    [​IMG] ดอยผางามมั้งเนี่ย






    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    --เพิ่งนึกอะไรได้ เดี๋ยวเล่าก่อนนะครับ ยุ่งจริงๆ เมื่อคืนลืมกินข้าวหลับไปเพราะฤทธิ์ยาแก้ไข้ ตะกี้นางพันธุรัต เอ๊ยไม่ใช่ ..ธิดาช้าง. เอ๊ย.. สุดที่รักให้พาไปตลาด กลับมานี่เกือบเป็นลม เพราะไม่ได้ไปซื้อก๋วยเตี๋ยว ตอนนี้ก็ซัดมาม่าก่อน
    --เรื่องก็คือ หลายปีแล้ว ผมได้ไปขบวนผ้าป่ากับพี่สมคิด(ตอนนั้นก็ยังไม่ได้เป็นพี่ภรรยาผม) พอขึ้นรถบัส ก็เห็นยายแก่ผอมๆสองคนกำลังยืนหยอกล้อเล่นกันแยู่ อยู่ๆผมคิดไงไม่รู้ พูดออกไปว่า "แหมซนจริงๆ พวกเด็กนี่" ยายแก่ทั้งสองหันมาค้อนผมด้วยกิริยาของเด็กน้อย แล้วพูดว่า "แหม ปู่ก็..คนเค้ากำลังสนุกกัน" (เฮ้ย..ผมอายุประมาณ30 กว่าตอนนั้น ยายทั้งสองราว 70 )จำได้ลางๆ ว่า
    ยายคนนึงน่าจะเป็นแม่ของ(อนาคต)ภรรยาผม และเป็นแม่ของพี่สมคิดด้วย (พี่เค้าก็เคยมีสามีมาหลายคนนะ) ส่วนยายแก่อีกคนก็เรียกว่า "น้าแหล่ม" ทั้งสองคนหน้าตาคล้ายกันราวฝาแผด น้าแหล่มเป็นร่างทรงกุมารมั้ง
    ---วีรกรรมแม่ยายมหาภัยของผม ไม่อยากบอกว่าเธอมีอาชีพแปลกๆ คือเป็นนางโจรครับ รับจ๊อบทั่วไปคืออกปล้น ฆ่า ด้วยครับ มีหลายครั้งที่ตำรวจเชิญไปสอบสวนแบบข้ามวันข้ามคืน เอาไฟส่องหน้า แม่แกพูดเป็นประโยคเดียวคือ "ไม่รู้ ไม่เห็น" ยาย พูดอีกที่ซิ "กรูไม่เห็นและไม่รู้" จนเต้าต้องปล่อยออกมา แม่แกเคยไปรักษาตัวที่รพ.โรคทรวงอก -แยกแคลายมั้ง --ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่ทราบ "ฉีดยาแกไม่ได้ เอ๊กซ์เรย์ไม่ติด" ที่ฉีดยาแกไม่ได้ เพราะเข็มงอ -เข็มหักครับ จนหมอบอกว่า "ยายมีของดีอะไรถอดออกซะนะยาย" "จะบ้าเหรอหมอ กูก็มีแต่ตัวเปล่าในชุดคนไข้นี่ จะให้กูแก้ผ้าอีกเหรอไง" "ปล่าวจ้ะยาย มีของดีอะไรในตัวยายล่ะ" "ก็ยายเป็นร่างทรงพ่อบัวขาว พ่อทองแดง" แล้วยายมาจากไหนครับ" "ยายมาจากวิหารแดง สระบุรี" และที่เอ๊กซเรย์ไม่มีภาพเพราะเทคนิเชี่ยนไปจับหัวแกกดไว้กับฟิล์ม-- เทพ(เจ้า)ที่ในตัวแม่แกก็เกิดอาการของขึ้นนะซี่
    --จะขอกล่าวเรื่องร่างทรงโบราณ มีกฏหมายสมัย ร.5 เรื่องลงโทษร่างทรงปลอม และพวกที่ทำไสยศาสตร์ ทำสเน่ห์ ถึงขั้นประหารชีวิต แต่ร่างทรงสมัยนี้จบปริญญาโทจากอเมริกาก็มี
    -ถึงเวลาแล้วเทพไม่มาตั้งข้อรังเกียจว่า จบชั้นไหนมาหรอกน่ะ สมัย20กว่าปีก่อน ผมเองคำว่า "คนมีองค์ องค์ใน" ผมไม่รู้ความหมายจริงๆ และถามใครๆ เขาก็ไม่สามรถให้คำตอบได้ ไม่นึกว่า วันหนึ่งจะกลายเป็น(เหมือน)ผู้เชี่ยวชาญและเป็นร่างทรง- มีองค์ในซะเอง--คุณผู้อ่านล่ะ มีเทพเป็นของตัวเองละยัง ไม่มีไม่เดิ้ร์น-Modern- นะจะบอกให้
    -ถ้าจะพูดเรื่ององค์ใน จะยาวมาก เป็นตำราได้หนึ่งเล่ม --เทพเป็นกลุ่มพลังงานที่เรียกว่า "ธาตุไฟ" ถ้าไม่แบ่งภาคอวตารออกมา ไปตรงไหนจะมีความร้อนสูงมาก -แห้งแล้งไปเลย เทพไปไหนก็ไร้ร่องรอย เหมือนลมพัดไป เทพจังเรียกตนเองและเทพอื่นๆว่่า"ฝูงลม" ต่อให้เก่งยังไง--เอาจิตนั่ง"แสกน"ค้นหา ถ้ามีใน้ห้องนี้เป็นสิบ แต่ก็หาไม่เจอหรอก แม้เทพด้วยกัน เดินไปจุดหนึ่ง ยังบอกว่า "อ้าว ท่านมาอยู่ตรงนี้หรือนี่" แต่ถ้าเทพมาทัก จะรู้สึกเหมือนมีคลื่นแผ่นดินไหว (เรียกว่าพลังอิทธิฤทธิ์ เป็นวิชาบังคับของเค้า)และตัวเราก็นั่งหมุนโยกศรีษะเป็นลูกข่าง แต่พี่สาวว่าเขาจะรู้สึกเย็นๆ ไม่โลดโผนแบบนี้


    --ผมใช้คำว่า "เทพ" กับเทพระดับสี่กร คำว่า "เจ้า" กับ"เจ้าป่าเจ้าเขา" วิชา สำรับความรู้ทั่วไป "วิชชา" คือความรู้ในพุทธศาสนา เช่นเจโตปริยญาณ-การหยั่งรู้ใจคน (ละเอียดอ่อนเหมือนกันนะนี่)-
    (ผู้เขียนเกิดวันจันทร์ ใจอ่อน ขี้สงสาร ขี้น้อยใจ อ่อนไหวกับคำพูด และเสียงดนตรี ฟังเพลงที่สะเทีอนใจยังม้ำตาคลอเบ้าตา ชอบสิ่งสวยงาม รักคนง่าย-โดยเฉพาะกับสาวๆ(หัวงูมั้ยเนี่ย))
    --กายทิพย์ของเทพสูงประมาณตึก10 ชั้น หรือภูเขาใหญ่ๆ จะให้เท่าคนก็ได้ เท่ามดก็ได้ บางครั้งพวกท่านนั่งประชุมกันบนใบไม้ในหนึ่ง บางครั้งบอกให้เอารถไปรับที่ศูนย์การค้าใหญ่แถวบางนา เพราะว่า-
    เมื่อคืนเทพใช้สถานที่และโต๊ะเก้าอี้ที่นั่นเป็นที่ประชุมใหญ่-(จุได้ 2,500คน) แล้วท่านกลับบ้านไม่ถูก-- งงมะนั่น ระดับเทพสี่กรแล้ว

    --จริงๆแล้วเจ้าป่าเจ้าเขาจะดุมาก สมัยก่อนต้องใช้ลานวัดเป็นที่เข้าทรง เพราะกายทิพย์ใหญ่โตดังกล่าว ร่างทรงใช้สาวพรหมจรรย์ พอเจ้าออกทรง ก็เอาชีวิต เอาวิญญาณร่างไปด้วย ก็ตายตรงนั้นแหละครับ--หลังๆ อาจจะมีเซ็นสัญญากัน--อ้าว ผิดเรื่อง.. หลังๆก็ไม่ดุร้าย คงมีการปรับตัว--เทพ-หรือเจ้า เกรงใจ -ออกจะกลัวร่างครับ มันจาด่ายังงาย เทพก็ไม่โกรธ ทนๆๆกะมัน แต่ถ้าคนอื่น ด่าปุ๊บ หักคอเอาไปเลย..ลองมั้ย ลองนั่งด่าท้าว..ที่อยู่นรกเบื้องล่าง อย่างช้าไม่เกิน3 ประโยค อย่างน้อยของในบ้านท่านก็จะปลิวว่อนเหมือนโดนพายุ ผมเคยนะครับ พูดถึงเฉยๆ ก็มาแล้ว ตาโปนโตยังกะไข่ห่าน แถมยังดุมากๆ ต่อยกรอบประตูที่เป็นเหล็ก จนปูนซีเมนต์ฟุ้งเป็นควันขึ้นมาเลย

    ---วิธีทักทาย-ทดสอบของเจ้าด้วยกัน เอาหอกพุ่งซัดครับ ถ้าไม่ตายก็เป็นเทพจริง อีกอย่างก็ดำน้ำแล้วเอามีดคนละเล่มแทงกัน ถ้าเจ้าจริงจะต้องเหนียว
    -----พี่ชายคนที่เป็นแฝดกับภรรยาผม เป็นไข้ตายในตอนที่ยังเด็ก แม่ยายผมไปบนที่วัดศรีสวรรค์ ขอให้ฟื้น จะเลกดเล่นการพนันตลอดชีวิต แล้วเธอฝันว่าหลวงพ่อมาบอกว่า"ยังงั้นก็ได้ แต่เขาจะฟื้นมาในสภาพพิการนะ และนิสัยก็เปลี่ยนไปด้วย" แม่แกก็ยินยอมตกลง แล้วดช.พรพจน์ อยู่สุข ก็ฟื้นขึ้นมาจริงๆ และตอนอายุ 25 ก็ให้เขาบวชด้วย (แม้ขาจะพิการทั้งสองข้าง-ด้วยโปลิโอ)--แต่แม่สมบุญ ก็รักษาสัญญาไม่ได้ อดเล่นไพ่ไม่ได้ จนเป็นลมล้มในห้องน้ำ พอไปที่ รพ. ก็อาการทรุดลง ในที่สุดก็ตาย ศพของท่านเอาไว้ที่วัดลานนาบุณสองปี ศพไม่เน่าเพราะเทพฝากไว้กับพระแม่ธรณี แต่แกไปเข้าฝันลูกสาวคนโต ให้มาเผาศพแกเสีย ศพก้ไม่อยากจะใหม้เลย ผมก็ไปงานศพนี้ด้วย(วิญญาณท่านตายไป เทพขอไว้ไม่ให้ไปรับกรรมในนรก--เด็กมีเส้น --ทีแม่ผม ยังต้องไปนั่งสมาธิชดใช้การฆ่ากบฆ่าปลาเล็กๆน้อยๆ มาตั้งสี่ปีแล้วนี่--ตามข่าวสารแม่ตลอด)
    --ในตอนที่แม่เค้าตาย เทพหาวิญญาณไม่เจอ เทพสี่กรใช้แว่นวิเศษส่องหาดู จนสรุปได้ว่า "มีผู้นำวิญญาณไปซ่อนไว้ที่วัดนั้นเอง" พวกกุมารยังพาวิญญาณของภรรยาผม ไปรบกับวิญญาณพระ-เณรทั้งหลาย -ซึ่งตายไปแล้ว เพื่อแย่งวิญญาณกลับคืนมา โดยในฝันนั้นภรรยาก็เห็นชัดทุกอย่างเพราะเป็นกุมาร ไปตีกับเค้าด้วย
    ----------------------
    ---คำว่า"ข้าทาส บริวาร " เรามักใช้ผิดๆ และเข้าใจว่า คำว่า"บริวาร" หมายถึงขี้ข้า แต่ไม่ใช่ เทพบอกว่า บริวาร คือคนรักใคร่ ใกล้ชิดเรา เกิดมาชาติใหม่ก็ตามมาอยู่ร่วมกันอีก แบบนั้น
    --สมบัติพัสถาน เทพทุกองค์พูดว่า "สมบัติมาตรฐาน"
    --เทพทุกองค์พูดว่า "ญาณ" หมายถึง "วิญญาณ" และบางโอกาส ก็หมายถึง "ญาณใน" อยากเอาหัวโขกฝาเล่นเลยอะ
    --เทพมักเรียกแทนตัวผมว่า "ชาย" หรือ "ช้างชาย" ส่วนผู้หญิง จะเรียกว่า"ช้างหญิง" คนแก่ท่านจะเรียกว่า"ช้างแก่"บอกละเอียดแบบนี้จะมีใครเชื่อผมมั่งไหมนี่
    ---------------------------
    --แม่ผมตั้งชื่อลูกว่า ลูกพรูน ลูกอิน ลูกพลับ ลูกขวด(กินนมขวด นมแม่หมดสต๊อค) น่าแปลกมาก เพราะอดีตชาติที่อยู่เชิงดอยสุเทพ ผมเป็นคนเชื้อแขก แต่มีชื่อว่า "พลับ" แม่ผมจริงๆแล้ว จะเรียกผมว่า "ดา" หรือ"เจดดา"
    --น่าสังเกตว่า ชาวอีสานจะชื่นชม จะชื่นชอบกับการฟังธรรมเรื่องพระเวสสันดร เทพบอกว่า ปราสาทที่พระอินทร์สร้างให้พระเวสสันดร ก็คือ ปราสาทหินพนมรุ้ง ดังนั้นแม้พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนไทย แต่พระเวสสันดร เป็นคนไทยอย่างแน่นอน(ทฤษฎีของผมเอง) ลูกสาวของท่านในชาตินั้นชื่อ "องค์หญิงจิตต์วดี" วิญญาณนักรบที่นั่น ยังมาล่าเอาวิญญาณคนที่บ้านผม --เทพจึงบอกว่า "พูดขอร้องไม่ได้ ก็ต้องรบกัน" ในที่สุดก็เจรจากันได้ และยอมรับบางคนเป็นลูกสาวไป พวกนี้เก่งระดับเป็นเทพเช่นกัน ก็คอยประคองวิญญาณผู้ที่จะได้ตรัสรู้ตามโองการของสวรรค์
    --พันปีก่อน น้ำทะเลขึ้นมาถึงนครสวรรค์ กรุงเทพยังไม่โผล่จากสันดอนที่ปากแม่น้ำ เช่นเดียวกันกับอยุธยา

    --บางคนไปถามพระ พระบอกว่า จะมีเชื้อโรคจากอวกาศ แก้ไขได้โดยดมฉี่ของตนเอง ผมถามท่านที่สูงกว่าเทพสี่กร ท่าบอกว่าไม่มีแบบนั้น-- โลกจะพินาศด้วยมนุษย์ทำตนเอง อาจจะเหลือคนน้อยนิด หรือไม่มีเลย ผมถามท่านว่า แล้วจะหมดเผ่าพันธุ์มนุษย์เลยเหรอ แล้วเสียดายความรู้ที่มนุษย์เพียรสร้างมา ท่านบอกว่า "เดี๋ยวเค้าก็สร้างกันขึ้นมาใหม่ (ท่านพูดเหมือนของง่ายๆ-- เขา ที่ท่านพูดคือใคร หรือมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิชาพันธุวิศวกรรมของชาวต่างดาวจริงๆ" (ต่างดาวนะครับไม่ใช่ต่างด้าว)
    --พระพุทธเจ้าท่านโกนศรีษะหรือไม่ ผมเถียงกับเพื่อน เพื่อนพูดถูก คือท่านไม่โกน ท่านเกล้าผมมวย แต่สาวกทุกองค์ต้องโกนผม--ท่านเป็นผู้ตั้งกฏ ไม่จำเป็นต้องทำตามกฏ--และทางโยคะ โยคี เชื่อว่า การไว้ผมยาว และหนวดเคราตามหน้าตา จะเป็นเครื่องรับ-ส่งพลังจิตได้ดี แต่พระพุทธองค์ไม่ต้องการให้สาวกรับคลื่นจากที่ใดๆ
    --หลังจากพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว ความรู้ทุกอย่างในจักวาล-Galactic Information Data ได้เห็นผ่านทิพจักษุของท่านถึง 7 วัน 7 คืน(บางคนบอกว่า 49 วัน)โดยไม่ต้องพักผ่อน หรือเสวยอาหาร จริงๆแล้วท่านรู้หมดทุกอย่างทั้งดาราศาสตร์ จักรวาลวิทยา-- จุดเริ่มต้นและสุดท้ายของเอกภพ แต่เพียงแค่วิชาที่สอนให้คนพ้นทุกข์ หรือหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด เป็นเหมือน ทรายหนึ่งกำมือจากท้องทะเล หรือใบไม้หนึ่งกำมือจากใบไม้ทั้งป่า ยังเป็นตำราถึงแปดหมื่นสี่พันเรื่อง แบ่งเป็นสามหมวดหมู่ เป็นสมบัติสำคัญยิ่งของโลก
    --ซึ่งคนรุ่นหลังสามรถค้นคว้าแนวคิด วัฒนธรรม ศาสนาต่างๆ สารพัดเรื่องในยุคนั้นก็ยังได้

    --เทพบอกว่า พระพุทธองค์ได้พยายามกำหนดจิตไปเพื่อการตรัสรู้ ที่ฐานจักราในกาย ในการนี้ต้องใช้ธาตุไฟ แต่ธาตุไฟของมนุษย์ไม่แรงพอ เทพจึงใช้ธาตุไฟทิพย์เข้าเสริม ท่านจึงสามรถบรรลุธรรมได้
    --มีคนๆหนึ่ง เห็นพระพุทธองค์ด้วยตาเปล่า ท่านมาในลักษณะพระพุทธรูป ห้องเล็กๆ กลายเป็นที่โล่งกว้างไกลสุดสายตา เขายังเห็นห่วงแก้วกลมใส ลอยอยู่เหนือเศียรท่านตลอด ผู้รู้บอกว่า นั่นคือ "มงกุฎพระพุทธเจ้า" เกิดจากพลังบารมีของท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2012
  8. ผ่านมาจริงๆ

    ผ่านมาจริงๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    501
    ค่าพลัง:
    +635
    ให้กำลังใจเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ จะติดตามนะคะ
    ขอเป็น แฟนคลับด้วยจ้า
     
  9. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ยินดีครับ--เมื่อคืนจะโพสนิทานเซน แต่หลับคาเม้าส์เลย เพราะกินยาแก้หวัด ตอนนี้ก็เป็นนิดๆ จะลองใช้"จิตว่าง-(วิชาไร้ใจ-ไร้กระบี่)" สู้กับมันครับ การฝึกสติให้แหลมคม ร่างกายว่องไว ในกีฬาหรือการต่อสู้ทุกชนิด อาจจะทำให้บรรลุธรรมก็ได้--สติ-นำไปสูปัญญา ปัญญานำไปสู่การหลุดพ้น (ปัญญาในที่นี้หมายถึงที่เป็นไปในทางธรรมเท่านั้น)

    --สมัยย้อนไป20 ปีก่อน คำว่าองค์ใน ผมก็นานๆจะได้ยินสักที และถามใครๆ ก็ไม่มีใครรู้ว่า องค์ในคืออะไร ในความหมายที่ลึกๆ ชัดเจนก็ไมมีใครที่จะรู้ชัด
    --แต่ตอนนี้ผมกลับกลายเป็นผู้เชียวชาญเรื่องเทพไปได้ ความจริงข้อความเหล่านี้เกี่ยวกับเทพ และภาษากูโบ๊สได้เขียนไปแล้ว แต่เนื่องด้วยความผิดพลาด มันก็หายไปเฉยๆ
    --เทพทุกองค์ เป็นกลุ่มพลังงานชนิดหนึ่ง ที่เราเรียกว่า "ธาตุไฟ"( เทพท่านบอกแบบนี้)เทพไปไหน ไม่มีใครรู้ ไร้สถาพเหมือน "ธาตุลม" และเทพเรียกพวกท่านว่า "ฝูงลม" มนุษย์มีความเหนือกว่าเทพตรงที่มีร่างกายเป็นครูสอนกฏอนิจจัง -กฏแห่งกรรม และกรรมที่ทำ จะได้ผลเต็มร้อย
    --แต่เทพที่ท่านไม่ต้องการจะมาเกิด อยากเพิ่มบารมี หรือช่วยเหลือมนุษย์ จึงมาขอเจรจาใช้ร่าง เพื่อ"แบ่งบุญคนละครึ่ง" แน่นอนว่า ไม่มีใครเค้าอยากจะให้ชาวบ้านนินทาว่า "หากินทางเสแสร้ง หลอกลวงว่าเจ้าทรงลงตัว" จึงมักดื้อดึง-เมินเฉยต่อข้อเสนอแบบนี้
    --แต่จริงๆแล้ว พวกเขาหารู้ไม่ว่า พวกเขาได้หมดอายุที่จะอยู่ในโลกนี้แล้ว ที่ยังอยู่เพราะเทพได้เดินเรื่องขอต่อแดนนรกเบื้องล่างมาเรียบร้อยแล้ว
    --บางคนก็เป็นเหมือนโรคในกายเรื้อรัง ครั้นถามตำหนักทรงๆ ก็บอกว่ามีองค์ใน ต้องรับขันธ์ เสียเงินประมาณหกหมื่นบาท ญาติทางผมก็มีหญิงคนหนึ่งไปรับมา แต่ท่านเทพก็บอกว่า"จะได้คืน" แล้วก็ถูกหวยหลายงวด ได้คืนจริงๆ ก็ยังดี ที่ไม่เจอร่างทรงที่หลอกลวง-(ระบบการเงินของร่างทรง ไม่หนีปีละสองหมื่นล้านบาท--หลวงพ่อองค์หนึ่งไปขอผ้าป่ากับร่างทรง ถึงเวลาร่างทรงมาเพียบ ได้เงินไม่ใช่น้อย และสื่อกันได้ดี เพราะหลวงพ่อก็มีองค์ใน--วัดอยู่เลยรังสิตไปทางหินกอง เคยไปสองครั้งครับ)

    --ผมเองรับขันธ์พร้อมๆภรรยา จ่ายไปพันกับเก้าบาทมั้ง ภรรยาก็จ่าย ทั้งๆที่เป็นน้องสาวของร่างใหญ่(พี่สมคิด)--พิธีไหว้ครูครบรอบ20 ปีจัดใหญ่โต-มีหนังฉายด้วย มีการถ่ายภาพติดสิ่งแปลกๆ ควันธูปรวมตัวกันเป็นช้างตัวหนึ่ง มีลำแสงมาด้านหลังร่างทรงขณะทำพิธี--ตัวข้าพเจ้าเอง กึ่งรู้สึกจัว แขนขวาแกว่งไปมา พาพาดบ่าบ้าง ในลึกษณะของงวงช้าง ที่ไม่อยู่นิ่ง ข้าพเจ้านั่งอยู่ในพิธี มีหญิงสาวคนนึงเข้ามากราบ แล้วเธอก็ตัวสั่น เงยหน้าขึ้นมองข้าพเจ้าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา(ยิ่งสวยจับจิตเลย..ฟันธง) แล้วพูดภาษาที่คล้ายภาษาแขกว่า..อะไรไม่รู้ แต่มีมีความหมายว่า"ยังรักชั้นอยู่มั้ย จำชั้นได้มั้ย"
    --- โห..ท่านพ่อ ทำให้ลูกอยู่ในฐานะลำบากเสียแล้ว (นางฟ้าองค์นี้ชื่อว่า"ฟ้า" เป็นเทพประจำตัวของหญิงคนนี้)..อยู่ๆปากของข้าพเจ้า พูดออกมาว่า "เชอราม" เธอก็ซบหน้าลงที่ตักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ซบลงบนหลังของหญิงสาวคนนี้ โห..โรแมนติกมั่กๆ..(ต้องมากอดกะสาวแปลกหน้า เขินๆแต่รู้สึกดี) และข้าพเจ้ายังพูดคำนี้ออกมาอีกสองครั้ง..(เออ.. ยังสื่อได้ถูก มือใหม่ต้องขออภัย) ตอนที่ข้าพเจ้าไปไหว้ร่างใหญ่ ท่านเอานิ้วมาจี้ที่หัวใจ มันแปล็บเหมือนโดนไฟจี้ หรือไฟฟ้าดูด คิดว่า ร่างกายและจิตบางส่วนไม่ยอมรับพลังเทพเต็มร้อย ท่านจึงแก้ให้

    -ตอนร่างใหญ่จุดเทียน ข้าพเจ้าโดนเทพท่านวิ่งชนจากด้านหลังแรงเหมือนรถสิบล้อชนเต็มๆ(พระคเณศ-Kanesha ท่านเป็นช้าง นะครับ) จากนั่งขัดสมาธิ กระเด็นขึ้นมาคุกเข่าข้างนึง (ท่าอุลตร้าแมนปล่อยแสง) เพราะมือนึงยกขึ้น ส่งพลังไปยังประธานพิธี ทุกคนที่ใส่ชุดขาวก็ทำแบบนี้พร้อมกัน โดยไม่ต่้องนัดให้เมื่อย คนชุดขาวเหล่านี้ มากันเองแบบลึกลับ คือขับรถเก๋งมา เสร็จพิธีแล้วก็กลับ โดยไม่ทักทายเจ้าของบ้าน เพราะไม่รู้จักกันมาก่อน ...ก็เทพพาพวกเค้ามาอะนะ -ที่เห็นมีชายแก่คนนึงทำท่าคล้ายพญาครุฑ

    Ganesha (Sanskrit: गणेश; IAST: Gaṇeśa; [​IMG] listen <SMALL style="CURSOR: help" class="metadata audiolinkinfo">(help·info)</SMALL>), also spelled Ganesa or Ganesh, also known as Ganapati (Sanskrit: गणपति, IAST: gaṇapati), Vinayaka (Sanskrit: विनायक; IAST: Vināyaka), and Pillaiyar (Tamil: பிள்ளையார்), is one of the deities best-known and most widely worshipped in the Hindu pantheon.<SUP id=cite_ref-4 class=reference>[5]</SUP> His image is found throughout India and Nepal.<SUP id=cite_ref-5 class=reference>[6]</SUP> Hindu sects worship him regardless of affiliations.<SUP id=cite_ref-6 class=reference>[7]</SUP> Devotion to Ganesha is widely diffused and extends to Jains, Buddhists, and beyond India.<SUP id=cite_ref-7 class=reference>[8]</SUP>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2012
  10. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ---ในชีวิตของผม ก็ไม่เคยคิดว่าต้องมาแข่งขัน ต่อสู้กับคนที่แปลกๆ เราคิดว่า เรื่องพลังจิตเราก้เก่งพอตัว แต่คนพวกนี้เก่งกว่าเรา ระดับเทพเลยหละ จะว่าไป บางครั้งพวกเขาก้มีสิ่งแปลก ที่จะมาเติมเต็มความรู้ของเราเหมือนเพื่อน หมือนครูเรา และยากที่จะต่อกร เพราะทั้งสองคนนี้ มีเจโตปริยญาณ หยั่งรู้ในใจ ในความคิดของมนุษย์ได้
    --คนแรกชื่อว่า เสี่ยปอ เป็นเจ้านายเก่า ชอบกินเหล้า เจ้าชู้ มั่วไม่เลือก แต่ทางจิตเค้าเก่ง เขาว่าอดีตชาติเขาเป็นพรหมองค์หนึ่ง เท่าที่ดูๆก็น่าจะจริงครับ

    --วันหนึ่งผมนั่งกินอาหารกับเค้าที่บริเวณหน้าแฟลตคลองจั่น ความจริงก็สองทุ่มแล้วหละ ผมบอกว่าจะใช้พลังจิตบังคับหมาตัวหนึ่งให้เลี้ยวซ้าย ผมก็เพ่งจิตอย่างรุนแรงไปที่หมาตัวนั้นแล้วพูดว่า "เลี้ยวซ้าย เลี้ยวซ้าย" แต่เสี่บปอบอกว่า"หยุด" พร้อมกับมีแสงสีขาวจางๆ แผ่ออกมาเป็ฯวงกลมจากตัวเค้า แสงนี้เวลาผ่านร่างผม จะมีแรงกระทบนิดนึง พลังของข้าพเจ้ามันก็มลายหายไปหมดเลย ข้าพเจ้าได้แต่นั่งงง เพียงแค่พ่อค้าคนนึง แต่ตั้งแต่เกิดมา และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ข้าพเจ้ายังไม่พบว่าใครมีพลังจิตมากกว่าคนๆนี้ แต่พลังญาณน่ะภรรยาผมเหนือกว่า หลายครั้งที่สองคนนี้เผชิญหน้ากัน เสี่ยปอจะออกอาการอึดอัด ขัดเขินราวสาวน้อยเจอเนื้อคูอะไรแบบนั้น ส่วนภรรยาผมก็ใช้ปากเป็นอาวุธที่แสนคม กรีดหน้ากาก และร่างกายเค้าอย่างยับเยิน(ที่มาของ--ที่ผมโดนไสยศาสตร์นะแหละ -- แกว่งปากหาเรื่อง)


    --คนที่สองเป็นอาจารย์อยู่ชลบุรี เข้ากับมนุษย์ไม่ค่อยได้-แก้ปัญหาของตนเองแทบไม่ได้-แต่ชอบช่วยเหลือคน ลูกศิษย์มีเยอะ ชักชวนกันสวดมนต์ นั่งสมาธิ อย่างน่าฉงนใจ- แต่ตัวเค้าเอง เป็นกระบี่มือหนึ่งในการแก้กรรม โดยคิดสูตรเอง
    (คือให้นำผ้าไตร กับพระพุทธรูปทองเหลือง ไปขอขมาคนๆนั้น แล้วนำไปถวายต่อพระสงฆ์-ตัวเค้าไม่ได้รับทำ) คนๆนี้เป็นคนหล่อ ชนิดว่ารูปงามมาก แต่ไร้เดียงสา แอ๊บแบ๊วอะไรไม่รู้ ชอบขึ้นไปเบื้องบน ตรงวิมานเค้าจัง--จนเทพบอกว่า "ทำไมชอบขึ้นมาบนนี้ แล้วกรูจะส่งเมิงไปเกิดหาพระแสงอันใดละฟ่ะ"คิดดูมันก็จริงของเทพท่าน
    ----สรุปว่า นักธุรกิจก็มีพลังจิตได้ เคยไปนั่งกินอาหารกัน เสี่ยปอขอคุยกับอืีกโต๊ะ ในที่สุดก็รวมโต๊ะกับอีกสามคน ซึ่งมีพลังจิตทั้งสิ้น ผมให้คนๆหนึ่งดูลายมือ กับเส้นด้ายมัดหนึ่ง ไม่ได้บอกว่าคืออะไร
    เขาบอกว่า "เก็บไว้ให้ดี สิ่งนี้จะคุ้มครองคุณได้" ด้ายกลุ่มนี้คิดว่ามี9 สีนะครับ ทางอินเดียเรีกว่า "ยัญโชปวีต" แต่เวลาเรียก เรียกง่ายๆว่า "ยัตโช"เป็นดั่งเครื่องหมาย เป็นยศ เป็นดั่งชีวิตของผู้มีวรรณะพราหมณ์ เหมือนแสดงว่าเป็นบัณฑิต ปกติทางเค้าจะไม่ให้ใคร เพราะพราหมณ์เป็นโดยสืบเชื้อสาย ข้าพเจ้าเคยขอกับทางเทพกหลายครั้ง บางครั้งนั่งสมาธิกลางแดด ในที่สุดปรีชาก็ส่งใส่ซองจดหมายมาให้ บอกว่า "ถึงเวลาแล้วที่ควรจะได้"คงจะเป็นคนแรกของโลกมั้งครับที่ได้มา-- ปัจจุบันได้สูญหายไปแล้ว

    [​IMG]ยัตโช ก็ใช้สะพาย คล้ายสร้อยเส้นนั้น

    พราหมณ์<!-- /firstHeading --><!-- bodyContent -->
    <!-- tagline -->จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    <!-- /jumpto --><!-- bodycontent -->พราหมณ์ (อักษรเทวนาครี: ब्राह्मण) เป็นวรรณะหนึ่งในแนวคิดศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น วิปฺระ, ทฺวิช, ทฺวิโชตฺตมะ หรือ ภูสร เป็นต้น

    ----พราหมณ์นั้นเป็นวรรณะหนึ่งในสี่วรรณะของสังคมอินเดีย เป็นผู้สืบทอดวิชาความรู้ ในคัมภีร์ ไตรเวท พิธีกรรม จารีต ประเพณี ศิลปะวัฒนะธรรม และคติความเชื่อต่าง ๆ ให้สืบทอดต่อไป หรือไม่สืบทอดก็ได้โดยใช้ชีวิตตามปกติชนคนธรรมดาทั่วไป คงไว้ให้ผู้ใดในตระกูลสืบทอดแทน เป็นผู้มีสิทธิ์เลือก แบ่งแยกเป็นนิกายคือ พวกไศวนิกาย จะถือเพศ นุ่งขาว ห่มขาว ไว้มวยผม ถือศีล จริยาวัตรของพราหมณ์ มีครอบครัวได้ อยู่บ้าน หรือ เทวะสถาน ประจำลัทธิ นิกายแห่งตน อีกนิกายหนึ่งคือ ไวษณวะนิกาย จะไว้ผมเปียหรือมวยผม ถือเพศพรหมจรรย์ กินมังสวิรัติ ไม่ถูกต้องตัวสตรีเพศ นุ่งห่มสีขาว หรือสีต่าง ๆตามวรรณะนิกาย และอาศัยอยูในเทวสถาน

    ----ในการบวชเป็นพราหมณ์หลวง จะต้องได้รับความยินยอมจากที่ประชุมพราหมณ์ ในทำเนียบพราหมณ์หลวง โดยผู้บวชจะนำของมาถวายพราหมณ์ผู้ใหญ่ แล้วพราหมณ์ผู้ใหญ่จะมอบสายสิญจน์รับพราหมณ์ใหม่ หรือทวิชาติ ซึ่งหมายถึงการเกิดครั้งที่ 2 ซึ่งการบวชพราหมณ์ไม่ได้มีกฎปฏิบัติจำนวนมากเหมือนกับการบวชพระ โดยถือศีล 5 เป็นศีลปฏิบัติ สามารถแต่งกายสุภาพเหมือนผู้ชายทั่วไปในเวลาปกติ และสวมเครื่องแบบเป็นเสื้อราชปะแตนและโจงกระเบนสีขาวในยามประกอบพิธีกรรม รวมถึงสามารถมีภรรยาเพื่อมีทายาทสืบตระกูลพราหมณ์ต่อไปได้

    ---กระนั้นก็ยังมีข้อห้ามบางประการที่พราหมณ์ไม่สามารถทำได้ อาทิ ห้ามรับประทานเนื้อวัว ปลาไหล และงูต่างๆ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบริวารของเทพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และห้ามตัดแต่งผม ต้องไว้ผมยาวแล้วมุ่นเป็นมวยไว้ที่ท้ายทอย เพราะตามหลักศาสนาเชื่อว่าบริเวณดังกล่าวเป็นที่อยู่ของเทวดา
    สำหรับกิจประจำวันที่พราหมณ์ต้องทำ คือนมัสการพระอาทิตย์ตามเวลาเช้า กลางวัน เย็น เพื่อเป็นการนำจิตวิญญาณกลับไปสู่พรหม กล่าวคือ การไหว้พระอาทิตย์จะนำแสงสว่างให้เกิดในปัญญานำไปสู่การหลุดพ้น และจะมีการสาธยายพระเวท ซึ่งถือเป็นคัมภีร์หลักในศาสนาพราหมณ์ ประกอบด้วย ฤคเวท ใช้สวดสรรเสริญเทพเจ้า สามเวท ใช้สำหรับสวดในพิธีกรรมถวายน้ำโสมแก่พระอินทร์และขับกล่อมเทพเจ้า ยชุรเวท ว่าด้วยระเบียบวิธีในการประกอบพิธีบูชายันต์และบวงสรวงต่างๆ และ อาถรรพเวท ใช้เป็นที่รวบรวมคาถาอาคมหรือเวทมนตร์

    ปฏิบัติต่อเทพด้วยความศรัทธา
    ----ปัจจุบันพราหมณ์หลวงจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับ พระราชพิธีต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ ในการอัญเชิญพระผู้เป็นเจ้าและทวยเทพตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มาเป็นสักขีในการกระทำพิธีนั้นๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแด่องค์พระมหากษัตริย์ ราชบัลลังก์ และบ้านเมือง โดยงานพระราชพิธีจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ งานประจำปี ได้แก่ งานเฉลิมพระชนมพรรษา วันฉัตรมงคล วันพืชมงคล การเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต เป็นต้น และงานตามวาระ อาทิ พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อปีที่แล้ว เป็นต้น
    -----หน้าที่ของพราหมณ์หลวงคือการรักษาวัฒนธรรมในการประกอบพระราชพิธีถวายตามโอกาสต่างๆ แต่ก็สามารถรับประกอบพิธีอื่นๆ ที่นอกเหนือจากงานพระราชพิธีได้ เรียกว่า รัฐพิธี เป็นงานที่ถูกเชิญมาจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น วางศิลาฤกษ์ ยกเสาเอก งานวันเกิด งานตัดจุก ตั้งศาลพระภูมิ ซึ่งจะมีเงินทักษิณามอบให้พราหมณ์ตามศรัทธา
    ----ทั้งนี้ ปัจจุบันมีตระกูลพราหมณ์ที่ปฏิบัติหน้าที่ถวายงานพระราชพิธี หรือที่เรียกกันว่า พราหมณ์หลวง ซึ่งสืบสายมาจากบรรพบุรุษทั้งสิ้น 7 ตระกูล ได้แก่ สยมภพ โกมลเวทิน นาคะเวทิน วุฒิพราหมณ์ ภวังคนันท์ รัตนพราหมณ์ และรังสิพราหมณกุล-
    ------------------------------
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูเป็นศาสนาที่มีแหล่งกำเนิดในเอเชียใต้ คือ อินเดีย มีผู้นับถือที่เรียกว่าศาสนิกชนฮินดู ส่วนมากที่ประเทศอินเดีย นอกนั้นนอกนั้นจะมีบ้างเป็นส่วนน้อยตามประเทศต่างๆ เช่น ลังกา บาหลี อินโดนีเซีย ไทย แอฟริกาใต้ สถิติผู้นับถือประมาณกว่า 475 ล้านคน เนื่องจากศาสนานี้มีวิวัฒนาการอันยาวนานผ่านขั้นตอนทางประวัติศาสตร์หลายขั้นตอนตั้งแต๋โบราณกาลถึงปัจจุบันจึงเป็นการยากใน การศึกษาเรื่องราวต่างๆ ให้แจ่มแจ้งชัดเจนยิ่งกว่าศาสนาอื่นๆ ไม่มีใครกำหนดได้ว่าศาสดาคือใครจนต้องถือว่าไม่มีศาสดา หรือผู้ก่อตั้งศาสนา คิดว่าเกิดจาการได้ยินได้ฟังต่อๆ กันมา หรือเกิดจากประสบการณ์ทางศาสนาของชาวฮินดูร่วมกัน เกิดเป็นคำสอน เป็นคำภีร์ขึ้นจนผู้นับถือศาสนามีความเชื่อและแนวทางปฏิบัติต่างกันมากมาย ทั้งในสมัยเดียวกันและสมัยต่างกัน แม้แต่ชื่อ ของศาสนาเอง ก็ยังเรียกต่างกันไปตามกาลเวลา เช่น 1. สนตนธรรม แปลว่า "ศาสนาสนต" หมายความว่า เป็นศาสนาที่ดำรงอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีวันเสื่อมสูญ
    2. ไวทิกธรรม แปลว่า "ธรรมที่ได้มาจากพระเวท"
    3. อารยธรรม แปลว่า "ธรรมอันดีงาม"
    4. พราหมณธรรม แปลว่า "คำสอนของพราหมณาจารย์"
    5. ฮินทูธรรม หรือฮินดูธรรม แปลว่า "ธรรมที่สอนลัทธิอหิงสาหรือศาสนาฮินดู" ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูก็คือศาสนาเดียวกันนั่นเองการที่มีชื่อเรียกควบคู่กันไป 2 ชื่อ คือ "พราหมณ์-ฮินดู" เพราะผู้ให้กำเนิดศานานี้ ในตอนแรกเริ่มเรียกตัวเองว่า "พราหมณ์" ต่อมาศาสนาเสื่อลงระยะหนึ่งและได้มาฟื้นฟูปรับปรุงเป็นให้เป็นศาสนาฮินดู โดยเพิ่มบางสิ่งบางอย่างเข้าไป มีการปรับปรุงเนื้อหาหลักธรรม คำสอนให้ดีขึ้น คำว่า "ฮินดู" เป็นคำที่ใช้เรียกชาวอารยันที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำสินธุและเป็นคำที่ใช้เรียกลูกผสมของชาวอารยันกับชาวพื้นเมืองในชมพูทวีปและ ชนพื้นเมืองนี้ได้พัฒนาศาสนาพราหมณ์โดยการเพิ่มเติมอะไรใหม่ๆลงไปแลัวเรียกศาสนาของพวกนี้ว่า"ศาสนาฮินดู"เพราะฉะนั้นศานาพราหมณ์ จึงมีอีกชื่อในศาสนาใหม่ว่า"ฮินดู"จนถึงปัจจุบันนี้ศาสนาพราหมณ์ฮินดูเป็นศาสนาเก่าแก่ที่ยากแก่การศึกษาเรื่องราวให้เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน ยิ่งกว่าศาสนาอื่นเพราะ
    1.เนื้อหาอันเป็นแก่นแท้ของลัทธิเกิดจากแนวคิดและมโนคติที่ลึกซึ้งและสูงยิ่ง
    2.มีวิวัฒนาการที่เกิดจากการผสมผสานปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและเกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองหลายซับหลายซ้อนจนยากแก่การจำแนก แจกแจงขั้นตอนให้เห็นเด่นชัด
    3.เอกสาร (คัมภีร์ต่าง ๆ) อันเป็นหลักฐานสำคัญของศาสนานี้ แม้จะมีมากและมีมานานนับเวลาพันปีแต่ก็มิได้รับการเผยแพร่เพราะถูกสงวนไว้เป็นสมบัติส่วนตัวของพราหมณ์แต่ละตระกูล คงมีการถ่ายทอดให้แก่ทายาทผู้สืบเชื้อสายเท่านั้นเอกสารเหล่านั้นเพิ่งจะมีผู้นำมารวบรวมเป็นคัมภีร์เมื่อประมาณพ.ศ.1750แต่ก็เป็นหลักฐาน ที่มิได้มีการตรวจสอบรับรองความถูกต้องมาก่อนเพราะศาสนา นี้ไม่มีศาสดาที่เป็นมนุษย์คำสอนทั้งปวงพราหมณือ้างว่าได้ยินได้ฟังมาจากเสียงสวรรค์จากโอษฐ์ของพระเจ้าโดยตรงเพราะศาสนานี้ไม่มี ศาสดาที่เป็นมนุษย์คำสอนทั้งปวงพราหมณือ้าง ว่าได้ยินได้ฟังมาจากเสียงสวรรค์ จากโอษฐ์ของพระเจ้าโดยตรงอย่างไรก็ตามคำสอนอันเป็นแก่นแท้ของศาสนาพราหมณ์ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวท็เป็นพื้นฐานให้เกิด ศาสนาอื่นที่สำคัญหลายศาสนาเป็นหลักฐานที่สนใจศึกษากัน

    ในหมู่นักปรัชญาทั่ว ไปในสมัยปัจจุบันยิ่งกว่านั้นคำอธิบายเรื่องกำเนิดจักรวาลของศาสนานี้ยังมีความสอดคล้อง และท้าทายข้อพิสูจน์ทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับกำเนิดของสุริยจักรวาล ที่นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันกำลังศึกษาค้นคว้ากันอยู่อีกด้วย สัญลักษณ์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คือ อักษรเทวนาครี อ่านว่า "โอม" ซึ่งย่อมาจากอักษร อ อุ และ ม หมายถึงเทพยิ่งใหญ่ทั้งสาม อักษร"อ" แทนพระวิษณุ อักษร "อุ" แทนพระศิวะ และอักษร "ม" แทนพระพรหม สัญลักษณ์ดังกล่าวนี้บางครั้งเรียกว่า "สวัสติหรือสวัสติกะ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  11. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ---ความจริงจะเขียนเรื่อง ภาษากูโบ๊ส(ภาษาเทพ) เชื่อว่าเป็นภาษาแรกของโลก เบื้องบนเรียกว่า ภาษาเทวนาครี แต่อักษรเทวนาครีของชาวโลก ก็คืออักษรฮินดูธรรมดานี่แหละ จึงเรียนมาเพื่อทราบ
    โดยทั่วกัน(ฟังดูแล้วผมเหมือนผู้รู้มั้ย)

    --ภาษากูโบสแบ่งออกเป็น5 ระดับ ถ้าคิดเป้นแม่ภาษามีถึง300 กว่าภาษา จะนับจริงๆมีหลายพันรูปแบบ--เป็นต้นกำเนิดของวิชา สัก เสก เลข ยันต์
    --เชื่อหรือไม่ว่า อักษรชาวต่างดาวที่เขียนๆไว้ แล้วไม่มีใครอ่านออก นั้น เป็นภาษากูโบ๊สชั้นสูง เป็นแบบ"บุริสคาเป๊ส"
    --ถ้าจะคิดกันว่า เดี๋ยวจะลองไปค้นกูเกิ้ลมาเกทับเจษฎามันดู --ป่วยการครับ ไม่ว่าทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ไม่มีข้อมูลครับ หรือมีข้อมูลน้อยมาก และจะมีเป็นภาษาไทยเท่านั้น--มรดกไทย--กลายเป็น มรดกโลกนะเนี่ย
    --ผมพบข้อมูลนี้ครั้งแรก ในหนังสือ "แว่นส่องจักรวาล"ของ พล.อ. ชลอ อุทกภาษณ์ ซึ่งบังเอิญว่าท่านได้พบกับอาจารย์โยคี ซึ่งเป็นคนไทย แต่ไปเรียนโยคะ..เอ๊ยไม่ใช่สิ..วิชาการทางโยคี Yogi มาจากอินเดียโดยตรง คือฤาษีจะถอดจิตไปอ่านจากบนสวรรค์ แล้วนำมาจารึกบนผนังถ้ำเอาไว้ ถึงเวลาก็นำกระดาษและถ่านไปถูๆ ก็จะเป็นการถ่ายเอกสารมาได้-วิชาที่เรียนก็เป็นราชาโยคะ ไสยศาตร์ดไ และขาว อจ.ท่าลือกเรียสายขาว คือวิธิแก้คุณไสย ไสยศาสตร์ดำ--อืม เขียนซะเพลิน แต่แค่นี้ยังไม่จบนะครับ-- วันนี้กูเกิ้ลต้องพ่ายแพ้แก่เจษฎาครับ

    --เทพบอกว่า นอกจาก "เจ้าเข้าทรง" แล้ว ยังมี "เจ้าเรียน"Learn to be a fake medium- คือ"โรงเรียนร่างทรงเพื่อการหลอกต้มมนุษย์" จะสอนทุกอย่าง ไม่ว่าาวิธีนั่งกระทะที่ดูเหมือนเป็นน้ำมันเดือด เจาะปาก เจาะลิ้น ตลอดจนภาษา เขาสอนภาษายาวีครับ ผมถามว่า ก็ไม่ใช่ภาษาเทพจริงๆนะสิ ท่านบอกว่า "ภาษายาวีก็คือภาษาเทพอีกแบบนึง"

    --ครั้งนึงเทพท่านพูดกับใครไม่รู้ในอากาศ "วาตาชิวะ..เมืองปร็อก.." อะไรแบบนั้น น่าจะเป็นภาษาญี่ปุ่นผสมภาษาขอม-เขมร ซึ่งก็จริงครับ ถามว่าทำไมต้องพูดแบบนั้น ท่านบอกว่า "ก็พระกฤษณะท่านพูดมาแบบนั้น"

    --ครั้งนึงกุมารเทพหายหน้าไป เทพบอกว่า "พ่อเค้าใช้ไปธุระ(สืบราชการลับ)ที่ประเทศญี่ปุ่น"

    --กุมารไปช่วยเตะบอลโลก เพราะลูกชายพี่สมคิดเล่นพนันบอลไว้ แต่กุมารแฝงร่างที่แข็งแรง จึงมันส์มากเกินเหตุไป ..ดันเตะเข้าโกลฝ่ายตนเองเฉยเลย เรื่องของพวกทะโมนเหล่านี้มีมาก วีรกรรมเยอะมั่กๆ บางครั้งก็ต้องหัวเราะกันแทบกลิ้งเลยครับ
    --วิญญาณปีศาจ จะพูดภาษากูต๊าบ
    --ยังมีภาษาโบาราณของชาวไวกิ้ง ที่ใช้ในการบันทึกเวทย์มนตร์ การสาบเช่น เรียกว่า ภาษา รูน Rune นะครับ
    --สรุปว่า ..ชาวต่างดาว จะใช้อักษรแบบเดียวกับภาษากูโบ๊สชั้นสูง และน่าจะออกเสียงเหมือนๆกัน
    --คามสั่นสะเทือนจากเสียงพูด สวดมต์ ระรักษาโรดได้ และยังเป็นการกำจัดเชื้อโรคในอากาส ในน้ำ
    -คำว่า มนตรา หรือ "มันตรา"(ภาษาอังกฤษ) จะหมายถึงการสวด จะเป็นเพลงนะครับ ในพุทธศษสนาห้ามสวดเป็นจังหวะ หรือเป็นเพลง- หรือประกอบดนตรี แต่บทสวดบางอย่างสามรถขับไล่โรคระบาดร้ายแรงได้
    [​IMG]

    http://www.watkositaram.com/forum/index.php?topic=3982.0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  12. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ภาษาเทพ ภาษาพรหม
    เรียน คุณอโณทัย
    ผมขอความกรุณาขอความรู้เรื่องของภาษาเทพ หรือบางทีก็เรียกว่าภาษาคูโบส ว่าคืออะไร เป็นภาษาของใคร มีจริงหรือไม่
    ถ้ามีจะทำความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินนั้นได้อย่างไร
    ที่เรียนถามเรื่องนี้ก็เพราะมีบ่อยครั้งที่ได้เห็นการที่มีพลังงานหรือจิตวิญญาณอื่นมาใช้ร่างของคนที่เรารู้จัก แล้วจะพูดภาษา
    ที่ฟังไม่เข้าใจ ต้องขอให้พยายามพูดในภาษาไทย
    ซึ่งบางครั้งก็พูดได้บ้างแต่ไม่ชัดเจนนัก แล้วก็กลับไปพูดภาษาแบบเดิมอีก
    กรณีที่เรียนถามนี้ยืนยันได้ว่าไม่ใช่เรื่องแกล้งทำ แต่เป็นกรณีที่มักจะเกิดขึ้นเอง โดยคนที่ถูกใช้ร่างก็ไม่ได้รู้ตัวมาก่อน
    ขอความกรุณาคุณอโณทัย ช่วยให้ความสว่างในเรื่องนี้ด้วยจะเป็นพระคุณยิ่งครับ

    ทิวา

    ตอบคุณทิวา
    ผมได้รับคำถามเกี่ยวกับเรื่องภาษาเทพ-ภาษาพรหมจากคนที่รู้จักหลายต่อหลายคนมากมายหลายคำถาม เช่น......
    ภาษาเทพ-ภาษาพรหม มีจริงหรือไม่ ?
    ภาษาเทพ-ภาษาพรหม มีความหมายอย่างไรเวลาที่มีการพูด
    ภาษาเทพ-ภาษาพรหม ใครที่สามารถพูดได้
    ถามกันมากมาย...ทำยังกับว่าผมเป็นเทพเป็นพรหมทื่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้
    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%94-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89.16221/

    เทวดาเขาพูดภาษาอะไร
    --------------------------------------------------------------------------------
    อยากทราบว่า บนสวรรค์พวกเทวดา นางฟ้า
    เขาสื่อสารด้วยภาษาอะไร
    1 ภาษาคนเหมือนตอนเป็นมนุษย์ แบบเทวดาไทยพูดไทย เทวดาจีนก็พูดจีน
    2 ภาษากูโบส เคยอ่านในหนังสือว่า
    เทวดาพูดภาษาเฉพาะของเทวดาเรียกว่า กูโบส
    3 สื่อสารกันทางจิตที่เรียกว่า Telepathy ไม่ได้พูด
    __________________
    ดูดวง ตรวจกรรม ได้ที่ เว็บญาณทิพย์ รวมสุดยอดคนมีญาณ www.yantip.com
    ---------------------------------------------------------------------------------------
    มนุษย์เรา ก็เป็น“ความถี่”หนึ่งในโลกวัตถุ จึงทำให้ไม่สามารถรู้เห็นมิติของโลก วิญญาณได้ขณะเดียวกันจิตวิญญาณ ที่เป็นพวก สัมภเวสีก็จะไม่สามารถรับ รู้หรือเห็น



    ดวงวิญญาณของเทพ ได้เพราะอยู่กันคoละ “ความถี่”นั่นเอง"ใน “การประทับทรง”นั้นถ้า



    เป็นการทรงวิญญาณของมนุษย์หรือดวงจิตที่เพิ่ง เสีย ชีวิต



    ไปได้ไม่นานนัก ผู้เป็นร่างทรงมักจะมีปฏิกิริยาดุจผู้ตายไป



    แล้วคือ มีอากัปกิริยาและพูดจากภาษาเดียวกัน กับคนผู้นั้น



    แต่ ในกรณีที่เป็น “ดวงจิตของเทพ" ร่างทรงแล้วมักมีอากัปกิริยาที่ แปลกออกไป เช่น ร่ายรำบ้างก็พูดออกมาเป็น ภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่องภาษา ดังกล่าวมักเรียก



    กันในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิหรือ บรรดาร่างทรงว่า



    “ภาษากูโบ๊ต”หรือเรียกกันตามทั่วไปว่า “ภาษาเทพ”" เมื่อสืบเสาะถึงเรื่อง

    “ ภาษากูโบ๊ต” จัดว่าเป็นภาษาที่เก่าแก่มาก พอเทียบเคียงได้
    กับ“ ภาษาที่ พวกพราหมณ์โบราณ ” ใช้กัน คือภาษา
    สันสกฤตและบาลีอันเป็นต้น
    เมื่อดวงจิตลงประทับ

    กำเนิดของภาษาต่างๆ ทั่วโลกมีข้อสันนิจฐานจากนักวิชาการที่ศึกษา เรื่อง



    ศาสตร์ทางจิตหลายท่านว่า“ภาษากูโบ๊ต” ไม่น่าที่จะพูดรัวและเร็ว ดังที่ร่าง



    ทรง พูดกันอยู่ทุกวันนี้เพราะการพูดในยุคโบราณที่เริ่มมี อารยธรรมจะมีพูด



    เป็นคำๆ เสียมากกว่าสิ่งหนึ่ง ที่น่าจะนำมากล่าว อ้างได้

    เกี่ยวกับเรื่องภาษาเหล่านี้คือ“ภาษาเช็คเด็นวาตรี”" “ภาษาเช็คเด็นวาตรี” เป็นภาษาเก่าแก่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับ “ภาษาพราหมณ์โบราณ”แต่การพูดสำเนียงคล้ายภาษายาวี คือ พูดพรวดเดียวติดต่อกัน
    คล้ายคนแขกพูดผมเคยสอบถามไปยังผู้รู้ หลายท่านได้ความเกี่ยวกับเรื่อง “ภาษาเทพ” นี้ว่าจริงๆ แล้วเมื่อมนุษย์ สามารถทำสมาธิไปได้ถึงระดับ


    หนึ่ง เข้าสู่ภาวะ“องค์ฌาน” ในขั้น



    และเมื่อเปล่งเสียงออกมาเสียงเหล่านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจาก “ปอด”



    “ การสั่นของลิ้น” “กะบังลม” หรือ “กล่องเสียง” เหมือนมนุษย์แต่



    จะเป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนของ “จักร” ต่างๆที่เป็นศูนย์



    รวมของพลังงานในร่างกายที่ มีด้วยกันถึง ๗ แห่งในร่างกาย "มีนักวิทยา



    ศาสตร์มหาวิทยาลัยนิวยอร์กเทค สหรัฐฯ ที่สนใจเรื่อง จิตวิญญาณได้ทำวิจัย



    เรื่อง“ภาษาที่ผ่านมาจากการ



    ทรง” ว่าสามารถ แบ่งกลุ่มภาษาเหล่านี้ได้ ๒ ประเภท คือ






    ๑.กลุ่มภาษา goastic

    หรือภาษาที่ได้จากการผ่านร่างทรง
    มา โดยที่ ผู้เขียนหรือพูดออกมานั้นกระทำ ไปโดยที่รู้สึกตัว




    แต่ไม่สามารถที่ จะควบคุมตัวเองได้ทั้ง


    นี้ยังรวมไปถึง การทำพิธีกรรมบางอย่างที่ เกี่ยวข้องกับจิต



    วิญญาณหรือพลัง


    งานต่างมิติที่มองไม่เห็นตัว เช่นการเล่นผีถ้วยแก้วการเล่นผี



    เหรียญ ฯลฯ ซึ่งภาษาชนิดนี้บางครั้ง ก็สามารถจับความได้



    บางครั้งก็ไม่สามารถจับความได้



    ๒.กลุ่มภาษา human languageinstinct หรือ



    ภาษาที่เกิดจากจิตใต้ สำนึกที่ฝังอยู่ลึกๆ ในจิตของคนเช่นเคย



    มีการทดลองสะกดจิต ระลึกชาติบำบัดคนไข้รายหนึ่งที่เป็น



    ชาวตะวันตกซึ่งปรากฏว่าเมื่อ ชาติที่ผ่านๆ มาคนไข้รายนี้เคยเกิดในประเทศศรีลังกาเมื่ออยู่ในภาวะ ถูกสะกดจิตขั้นลึกๆ ลง



    ไปคนไข้ผู้นี้สามารถพูดภาษาสิงหลได้ อย่างถูกต้องตาม



    ไวยากรณ์สามารถที่จะจับใจความได้ทั้งๆที่


    คนไข้ผู้นี้ ไม่มีพื้นฐานความรู้เรื่องภาษาสิงหลมาก่อน

    บทความโดย...กุหลาบขาวครับ ชมรมคนรักพ่อแก่

    การเบิกเนตรสามารถใช้ได้หลายสถานเช่น ใช้เบิกเนตรพระพุทธรูปที่สร้างหรือหล่อใหม่หรืออาจเป็นรูปปั้นต่างๆอาจะเป็น รูปปั้นองค์เทพต่างๆ หรือรูปปั้นพระฤษี ก็ได้ค่ะ การเบิกเนตรยังสามารถใช้ได้กับร่างทรง ร่างเทพใหม่ๆ เช่น เบิกเนตร เบิกทวาร เบิกพระโอษฐ์ ให้อาจารย์ เป็นผู้กระทำพิธีให้ก็ได้ค่ะ หรือจะใช้พระคาถาเบิกเนตรด้วยตนเองก็ได้ แต่จะได้ผลเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่า ถึงเวลาหรือยังที่ถูกกำหนดมาว่าจะต้องทำการเบิกเนตรได้
    การเบิกเนตรสำหรับร่างทรงหรือร่างเทพใหม่ๆที่ถึงเวลาอันสมควรแล้วจะมีผลให้ได้รู้ ได้เห็น ได้ยิน ในสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถรู้ ไม่สามารถเห็น ไม่สามารถได้ยินได้ค่ะ ราวกับว่ามีตาทิพย์ หูทิพย์ เลยทีเดียว..

    ***พระคาถาเบิกเนตร***

    สหัสสะเนตรโต เทวินโท ทิพพะจักขุง วิโสทายิ



    http://www.ongtep.com/detail.php?id=101

    ---------------------------------------
    ฉาก 1 ตอนที่ 2

    พี่ผู้หญิงที่มีคาดผมอยู่บนศีรษะ(ตามรูป) ได้หยิบสมุดบันทึก
    และกระดาษเล็กๆ 3 ใบ ขึ้นมายื่นให้ผมดู
    บอกว่าเป็นลายมือเขียนของพราหมณ์น้อยชุดขาว ได้รับสื่อมาจากต่างดาว
    และถามผมว่า มันคืออะไร

    ผมพิจารณาจากข้อความที่เขียนอยู่บนกระดาษทั้ง 3 ใบ
    และในสมุดอีก 2 หน้า
    ปรากฏเป็นอักขระ คล้ายๆภาษาเขียนทางธิเบต ผสมผสานกับกูโบ๊ส
    แต่ทุกตัวอักษร เขียนออกมาได้อย่างเป็นระเบียบ

    แล้วผมจะรู้ไหมเนี่ย (คิดในใจ)
    ภาษาธิเบต หรือกูบงกูโบส ก็ไม่เคยเรียนมาก่อน
    ยิ่งถ้าเป็นภาษากูโบส ล้วน ๆ ก็ทำเอากูใบ้ ไปได้เหมือนกันนะครับ เอิ๊ก เอิ๊ก

    กระดาษแผ่นที่ 2

    สัมผัสถึงความรู้สึกรุนแรงของอะไรบางอย่าง
    แปลความรู้สึกออกมาได้ว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาติ
    ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตกาลไม่ช้าไม่นานนี้
    ผู้ที่จะอยู่รอด คือผู้ฝึกจิตมาดี
    มีความเข้าใจในการปล่อยวาง ไม่ยึดติดในร่างกาย
    และไม่ยึดติดในสิ่งทั้งปวง

    ภัยธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนี้
    แม้น้ำตาสักหยดก็จะไม่ปรากฏให้เห็นในหมู่ผู้ปฏิบัติและเข้าถึงสภาวะธรรมที่แท้จริง
    จึงไม่ควรประมาท

    กระดาษแผ่นที่ 3

    บอกกล่าวถึง "จิตวิญญาณ" ที่อาศัยกายมนุษย์
    จิตวิญญาณ หรือ จิตมนุษย์นั้น มีความมหัศจรรย์เป็นที่สุด
    แต่เมื่อมาเกาะยึดติดกับกาย ความมหัศจรรย์กลับน้อยลงไปกว่าเดิมมาก
    เพราะเกิดความหลงในกาย
    หลงในกายยังไม่พอ ยังไปหลงวัตถุสิ่งของอีก
    จึงทำให้ความบริสุทธิ์ของจิตถูกปิดบัง
    สิ่งที่มาปิดบัง คืออวิชชานั่นเอง
    หากไม่สลายอวิชชาออกไป วิชชา คือความเป็นจิตอันบริสุทธิ์ ก็จะไม่มีวันเกิด
    ตรงนี้ คือความน่าสงสารของมนุษย์


    http://ufokaokala.com/index.php?topic=1995.0






    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ ไปให้ทุกรูปทุกนามทั้ง ๒๐ ชั้นพรหมโลก ๖ ชั้นเทวะโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิทั้ง ๔ มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพ ทั้งที่เป็นมนุษย์อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณ และสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งที่เป็นมิตร และศัตรู ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ขอให้ทุกรูปทุกนามจงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้มีเวรซึ่งกัน และกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกัน และกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนามจงโมทนาในส่วนกุศลนี้พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ.กาลบัดนี้ด้วยเทอญ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2012
  13. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    สื่อพระโอวาทฯครั้งที่ 170 เรื่อง "56วัน 7ราตรี"

    รหัส5วันชำระโลก-โดย อ.ปริญญา จิตจักรวาล โปรดใช้วิจารณญาณ ยิ่งถ้าต่ำกว่า18
    -------------------------------------------------
    -----ทีแรกว่าจะเขียนเรื่องแม่ของแม่ยายผมน่ะครับ พอดีลมพัดพาไปเรื่อยๆ--เปิดหน้าต่างเว็ปไว้เยอะเลยค้างๆ ต้องสลับมาฮาร์ดดิสก์อีกตัวนึงน่ะครับ--(เล่าเลยละกัน ตื้บๆ.. โป๊งเป๊ง..)

    --ภรรยาผมเล่าว่า แม่ของแม่เธอ ชื่อว่า"แม่ห่าน" เป็นร่างทรงของพ่อยอดเกราะ มีชื่อเรียกขานกันเล่าลือว่า "ทรงเคร่ง ใครจะเหมือน" แม่ห่านตอนเข้าทรง--จะมีการประกาศตน เหมือนตอนโทรดั๊คชั่นเช้าสู่บทเพลง คือท่านจะวิ่งลงมาสู่ชานหน้าบ้านที่ไม่มีระบียง แล้วโดดตูมลงไป-วิ้ว.. ไม่เละครับ จะตกลงมาบนหลังม้าของท่านพอดี สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องมอง คือท่านจะผิวปากเรียกม้าไว้ก่อนแล้ว ด้วยความที่เก่งคำนวณ เลยลงสู่หลังม้าได้ราวกับหนังคาวบอยฮอลลีวู้ด ในมือของแม่ห่านถือก้านธูปอันนึง(ใช้แล้ว. กลับมาใช้ใหม่..รียูส)ท่านกวัดแกว่งฟาดไปทางกอกล้วย ซึ่งมันก็โค่นล้มกันระนาวเหมือนโดนมือมหายักษ์ฟันด้วยดาบ พอชาวบ้านได้เห็นแบบนี้ ก็พากันเทคะแนน เอ๊ยไม่ใช่สิ
    โวตให้ได้คะแนนเต็ม อย่างไม่ต้องเดินหาเสียงกันให้เมื่อย

    ---ร่างทรงบ้านนอกไม่มีอะไรมากเรื่อง อย่าไปนั่งบนเสื่อผืนเดียวกันกับร่างทรงเท่านั้นเป็นพอ สบายๆ สไตล์ลูกทุ่ง
    ---พี่สาวภรรยา พี่สมคิดก็เป็นร่างทรง- โดนดักยิงตอนไปอาบน้ำ เสียงดังแชะๆ เพราะยิงไม่ออก พอด่ามัน มันก็วิ่งหนีไป เพราะเมื่อก่อนพี่เค้าก็ทรงเคร่งปราบผี รดน้ำมนต์สะเดาะห์ ไล่ของไสยศาสตร์ ให้หวยแม่นด้วย(เจ้ามือหวยจ้างมายิง) ช่วงนั้นพี่สมคิดดั่งนางฟ้าหรือ แม่พระ เพราะเธอเลี้ยงดูตั้งสี่ห้าครอบครัว(ญาติพี่น้อง) หมดข้าวสารเดือนละหลายกระสอบ

    -จนเคยมีตำรวจละแวกนั้นอดรนทนไม่ได้ ว่าจะเป็นร่างทรงแบบว่าแหกตาประชาชนหรือเปล่า จึงมากันในแบบนอกเครื่องแบบ พอขึ้นบ้าน เทพท่านก็ทักว่า "เอ้า สวัสดีผู้กอง ...อ้อ คนนั้นนายร้อย นายสิบ ..มากันหมดเลย--แล้วใครเฝ้าโรงพักละเนี่ย" จนพวกนายตำรวจต้องก้มกราบประหลกๆ เพราะมากันนอกเครื่องแบบแท้ๆ

    ------แม่ชีวัดปากน้ำ---
    แม่ชีวัดปากน้ำองค์นี้ ดูเหมือนแม่ชีธรรมดาทั่วไป เดิมทีก็คงจะเป็นผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
    แบบผมนี่แหละ(จนมีคนแต่งคำกลอน บวชเพราะอะไร..หนี(วัฏฏะ)สงสาร ผลาญข้าวสุก สนุกตามเพื่อน) พี่สาวผมก็เคยไปบวช7 วันที่นั่นจึงสนิทกัน และถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก และพี่สาวว่าถ้ามองดูหีบศพหลวงพ่อสด จะเหมือนมีพลังออกมาทักทาย เหมือนว่าจะเคยผูกพันมาแต่อดีตชาติ พี่สาวกับเพื่อนไปที่วัดบ่อยๆ
    ----วันหนึ่งแม่ชีพูดขึ้นมาลอยๆว่า "จะคิดมากทำไม คนที่เคยเป็นพี่ แต่เดิมเป็นน้องสาวเค้า พี่ชายคนนี้รักน้องสาวมาก อธิษฐานให้พบกันทุกชาติไป เวลามีงานในบ้าน จะเป็นงาน ทำความสะอาด ซักผ้า ถูบ้าน พี่ยอมทำเองหมด บอกให้น้องสาวไปที่วัด ไปทำบุญทำทาน นั่งสมาธิ- แต่น้องสาวก็ไม่เคยอธิษฐานแบ่งบุญให้เลย จึงเป็นการโขมยบุญ ปล้นบุญ ชาตินนี้จึงต้องมาช่วยเขาแทน" พี่สาวได้ฟังก็แน่ใจว่า แม่ชีพูดนี่หมายถีงเธอแน่ๆ จึงสบายใจขึ้นมาก พเราะถ้าจะพูดจริงๆ เธอก็เหมือนแม่คนที่สองของผมน่ะครับ ผมยืมเงินคนทางบ้านซื้อรถปิคอัพ ยังไม่พอ ส่งไม่ทันงวด พอจะส่งหมด บิษัทก็ปรับเงินอีกหมื่นห้า เธอบอกว่า ส่งเงินแทนผมก็เครียดพออยู่แล้ว กู้สหกรณ์มาได้สองหมื่น ก็ต้องมาใช้หนี้บัตรเครดิตผมบ้าง ส่งไฟแนนซ์รถบ้าง เด็กนศ.ที่เธออุปการะก็ก่อหนี้แบบนี้ให้เธออีก แต่เธอเฉย ให้พวกเค้าหาส่งกันเอง ซึ่งจริงๆแล้ว หัวอกคนที่รับชดใช้หนี้นั้นมันบอบช้ำกลัดหนองครับ ผมเองก็เสียใจ ไม่คิดว่าจะเป็นตัวสร้างหนี้สิน สร้างความทุกข์ให้กับคนที่เรารักเลย(พี่สาวเกิดวันจันทร์เหมือนกันกับผม ความคิดอะไรต่างๆ แทบจะถอดแบบกันได้เลยครับ นิสัยถูกกันมาก)
    -----ครั้งหนึ่งมีรถหกล้อวิ่งมาด้วยความเร็วสูง คนขับประมาท จนรถพุ่งชนแม่ชีที่อยู่เดินข้างทางเต็มแรง ปัง ร่างแม่ชีกระเด้นไปไกลกว่าสิบเมต นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง คนที่ผ่านมา พ่อค้าแม่ค้าต่างตกตะลึงมองจ้องไปที่ร่างแม่ชีเป็นจุดเดียว สักพักหนึ่งแม่ชีเริ่มกระดุกกระดิกร่างกายได้ ชันกายขึ้น และค่อยเดินจากตรงนั้นไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน--นี่แหละครับสำนักวัดปากน้ำภาษีเจริญ หลวงพ่อสด --หนึ่งไม่มีสองของเมืองไทยครับพี่น้อง
    --ผมเองชอบหลงพ่อสดที่ท่านพูด ตอนที่มีโทรทัศน์ว่า "มาแล้ว มารมันมาแล้ว มาคราวนี้บุกถึงห้องนอนเลย"
    --พ่อของปรีชาเพื่อนผม เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง ท่านอ่านหนังสือโดยกรีดให้มันพลิกหน้าอย่างเร็ว ตาได้เห็นเพียงครึ่งแผ่น จิตเดาส่วนที่เหลือ พอกรีดเสร็จ คือได้อ่านจบแล้ว
    --ท่านบอกว่า "อีกหน่อยนะ หนังที่ฉายตามโรง จะได้ดูในบ้าน และก็มีสีสันเหมือนจริงทุกอย่าง" ซึ่งตอนนั้น โทรทัศน์ขาวดำ ยังไม่มีด้วยซ้ำ
    --ปรีชามีอาจารย์คนหนึ่ง เก่งมากๆ สามรถส่ง สื่อสารพลังจิตได้ ประกอบกับเขาเป็นตระกูลพราหมณ์ ซึ่งมีคาถาของพพระเวทย ร่ายมนตร์ปิดพรหมโลกได้ ทำให้เทพต้องยอมมาเข้าทรง(หลงผิดหรือปล่าว โปรดพิจารณา) ปรีชาสามรถถอดจิตได้ตั้งแต่อายุ 15 สวรรค์เค้าไปมาหมดแล้ว และบอกว่า ชอบดูแกของสาวสวรรค์(ซึ่งเปลือยหมด) เรื่องนี้ไม่ฟันธง ภรรยาผมว่า "เค้าปิดมิดชิดกันหมด ไม่เห็นจะมีโป๊ๆ เพื่อนพี่นี่บ้าหรือปล่าว" ทั้งสองคนดูจะมั่นใจมากๆนะครับ ก็ฝากท่านผู้อ่านถอดจิตไปดูแล้วมาบอกผมด้วย--ที่ผมค้นคว้า อ่านหนังสือจนหมดหมวดศาสนา ก็เพราะอยากเก่ง แข่งกับปรีชานะแหละ และเค้าเป้นคนแขก เราคนไทย ไม่อยากเสียหน้าประเทศชาติ
    --พระพุทธองค์ท่านยังเคยหลอกให้พระหนุ่มขยันนั่งสมาธิวิปัสสนา ท่านบอกว่า"บนสรรค์นะ อย่าให้พูดเลย นางอีปสรสวรรค์แค่มองที่เท้า ยังดูสวยกว่านกพิราบที่ว่าสวยๆ" พระหนุ่มกลุ่มนั้นก็รีบเร่งนั่งสมาธิกัน จนหลุดไปแดนอรหันต์ไปเลย ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องอยากเห็นนางฟ้าอักแล้ว

    ---ผมพบผู้หญิงคนหนึ่ง เดินสวนทางมา น่าจะสวยกว่าดาราหนังประมาณพันเท่า ตาสวยหลุบมาครึ่งหนึ่ง เปลือกตาเหมือนจิตกรแรเงา จะว่าหน้าเหมือน จีน ไทย แขก อียิปต์ ก็ไม่เหมือนสักชาติหนึ่ง
    เดินไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่นกายหรือน้ำหอม ตอนหลังภรรยาบอกว่า ท่านเป็นเทพ ไม่ใช่มนุษย์ มานึกทีหลังว่า คนเราเปลือกตาจะตกมาครึ่งนึงไม่มีหรอกนะครับ เสด็จแม่องค์นี้อยู่บนเขา ริมทะเล เหมือนจะเคยเป็นพี่สาวของภรรยาผมน่ะครับ การมา---จะมาตอนกลางวัน กลางคืนก็ได้ มาเป้นคนให้เห็นๆถูกเนื้อตัวกันได้- หรือมาเป็นสัตว์ก็ได้--ทีแรกคิดว่าสิ่งเหล่านี้มีแต่ในนิทาน--พอเห็นด้วยตาตนเอง และความที่ มีปริญญาทางวิยาศาสตร์ด้วย จึงอยากจะสลบให้รู้แล้วรู้รอด แล้วเล่ามานี่จะมีใครเชื่อมั้ยครับ มีอีกครั้งหนึ่งมาเป็นยายแก่หลังค่อมครับ อีกหลายครั้งมาเป็นงู ค้างคาว เข้ามาในบ้าน พอค้นหาจริงๆหายตัวไปได้..ยิ่่งพูดแล้วยิ่งมึนงงครับ เราเคยพูดถึงเรื่องแบบนี้ว่า "เป็นนิทานหลอกเด็ก" แล้วกรณีแบบนี้จะอธิบายว่าอย่างไรดี "มนุษย์ต่างมิติ" เคยมีฝรั่งเอาข้อมูลไปวิเคราะห์(เรื่องวิญญาณ น่าจะซ้อนมิติกัน) ปรากฏว่าเรื่องพวกนี้มีความสอดคล้องกันและมีแนวโน้มที่จะเป็นจริง
    ----------------------------------
    --มีนักวิทย์หญิงคนหนึ่ง ลองสร้างโลกจำลองที่มีกาลเวลาต่างกัน เกิดขึ้นในอีกมิติที่ต่างกับเรา ปรากฏว่า คอมพิวเตอร์สามรถสร้างภาพ และให้รายละเอียดของโลกนั้นได้ครับ
    -----
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  14. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,081
    ค่าพลัง:
    +10,246
    ขอบคุณครับ
    ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็วด้วยครับ
     
  15. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ดีขึ้นแล้วครับ แดดออกแล้ว--หลังฝนตกลงมา เกือบ 4วัน 4 คืนไม่อยากหยุด จนภัยแล้ง เปลี่ยนเป็นภัยน้ำท่วมโคลนถล่ม ผมเลยกลายเป็นคนขี้หงุดหงิดไปเลย ยังดีที่มองตัวเองได้ทันครับ

    ---------ทางหลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค2-- นักเดินทาง

    <!-- Main -->---เคยคุยกันกับพี่สาวว่า หากใช้สมองคิด จะช้า และไม่ถูกก็มี แต่ถ้าใช้จิตคิดจะเร็วและถูกต้องแม่นยำมาก
    ---ในการขับรถ รถที่พุ่งเข้าสหาเราจะมีพลังพุ่งมาถึงเราก่อนตัวรถเสียอีก บางครั้งเราจับพลังนี้ได้ และทำให้การขับรถนั้นปลอดภัยมากขึ้น

    นักเดินทาง
    โดย รศ. ดร.พงษ์จันทร์ จันทยศ

    ตอนที่ ๑ เริ่มรู้จักศาสนาพุทธที่แท้จริงเพราะทุกข์

    ---ผู้เขียนเริ่มได้เข้าปฏิบัติธรรมเป็นครั้งแรกเมื่อพ.ศ. ๒๕๔๐ ด้วยเหตุแห่งทุกข์ ที่วิชาความรู้ทางโลกที่มีอยู่ไม่สามารถช่วยได้เลย ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเป็นชาวพุทธที่ไม่ค่อยได้เข้าวัด ทำบุญให้ทานตามโอกาสวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น --เห็นคนไปนั่งสมาธิก็คิดว่าช่างเป็นการเสียเวลา ไปนั่งหลับตาอยู่ทำไม ทั้งยังร่ำเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ จึงเห็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยเครื่องมือเป็นเรื่องงมงาย ต้องขอบคุณความทุกข์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ขอบคุณกัลยาณมิตรคือคุณรัชฎา (ฉันทวิริยวิทย์) เหมะศิลปิน ที่กรุณานำไปพบคุณแม่สิริ กรินชัย และได้เข้าปฏิบัติคอร์สพัฒนาจิตเพื่อให้ปัญญาเกิดสันติสุข ๗ วันที่บ้านของคุณสมชาติ-สุชีรา ปิยะบวร บริเวณสะพานใหม่ ดอนเมือง
    --ก่อนไปก็ยังสองจิตสองใจเพราะเป็นช่วงเปิดเทอม ขณะนั้นสอนอยู่ที่ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ห่วงนักศึกษา ห่วงงาน ว่าถ้าเราไม่อยู่ใครจะทำแทน แต่โชคดีที่เกิดความคิดขึ้นว่า หากเราเดินข้ามถนนไปถูกรถชนตายในวันพรุ่งนี้ งานที่เราคิดว่าจะไม่มีใครทำแทนได้ ก็ต้องมีคนมาทำแทนอยู่ดี ทำไมจึงคิดว่าเรามีความสำคัญอะไรขนาดนั้น จึงบอกเพื่อนร่วมงานว่าขอไปตายเจ็ดวัน แล้วพบกันใหม่ เพื่อนก็อวยชัยให้พรว่า"ไอ้นี่มันท่าจะบ้าไปแล้ว"

    ---เจ็ดวันที่เข้าคอร์สของคุณแม่สิริ เป็นเจ็ดวันที่ผู้เขียนได้รู้ประจักษ์ใจเป็นครั้งแรกในชีวิตนี้ว่าศาสนาพุทธที่แท้จริงนั้นอยู่ที่การปฏิบัติภาวนานี้เอง นึกเสียดายว่าทำไมเราจึงไม่รู้ให้เร็วกว่านี้ ความทุกข์ที่มีท่วมท้นหมดไปจากใจ เหลือแต่ความเมตตากรุณา ความปีติ แม้จะไม่ได้บรรลุฌาน ๑๖ อะไรต่างๆแต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับใจก็เพียงพอที่ทำให้เกิดความอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรอีก จึงไปเรียนอภิธรรมที่วัดมหาธาตุ แต่เนื่องจากผู้เขียนเป็นโรคภูมิแพ้การท่องจำในขั้นรุนแรง จึงเรียนไปไม่รอด

    ------ก---สำหรับการภาวนา ผู้เขียนก็ทำได้แค่หาโอกาสเข้าปฏิบัติระยะยาวปีละครั้งต่อมาอีกหลายปี โดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในด้านสภาวะธรรม จนกระทั่งมีความรู้สึกว่าอยากลองปฏิบัติแนวอื่นบ้าง จึงไปเรียนรู้แนวทางของคุณแม่ ก.เขาสวนหลวงที่เขาสวนหลวง จ. ราชบุรี แต่ตอนนั้นยังไม่มีประสบการณ์มากพอ ทำให้ไม่สามารถเข้าใจคำสอนของท่านอาจารย์ และได้ไปที่นั่นแค่ครั้งเดียว ต่อมาได้ไปเรียนรู้แนวทางของอาจารย์แนบ มหานีรานนท์ที่สำนักปฏิบัติธรรมบุญกัญจนาราม พัทยา ได้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นมาบ้างเกี่ยวกับรูปนามและทุกข์ แต่ก็ไม่มีความคืบหน้ามากไปกว่านั้น และไปพบอาจารย์ปราโมทย์ที่ศาลาลุงชิน กทม. ศึกษาการดูจิตจากท่านตั้งแต่สมัยที่ท่านยังเป็นฆราวาส ท่านเมตตาพาเข้าสภาวะ ได้รู้ถึงสภาวะที่ท่านบอกว่าถูกแล้วอยู่แว็บเดียว แล้วก็ไม่เคยทำได้อีก แต่ก็นำหลักการของท่านมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้พอสมควร ล่าสุดก็ไปศึกษาแนวทางของพระอาจารย์มานพ อุปสโม เน้นการเจริญสติด้วยการเดินจงกรม ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ เขาดินหนองแสง จ. จันทบุรี ได้เรียนรู้สิ่งละอันพันละน้อยจากอาจารย์ต่างๆ แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่สามารถมีความก้าวหน้าใดๆในการปฏิบัติ

    ----ประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ผู้เขียนได้เริ่มเข้ากลุ่มปฏิบัติธรรมกับนาวาเอก กฤษณ์ บุญเอี่ยม ทุกวันพุธ เวลา ๑๘๐๐-๒๑๐๐ น. ที่ห้องประชุมกองบัญชาการโรงเรียนชุมพลทหารเรือ อ.สัตหีบ เป็นกลุ่มผู้สนใจในการปฏิบัติชื่อว่ากลุ่มจุดประกายธรรม ซึ่งแนวทางการปฏิบัตินั้น เน้นการเจริญสติที่อาศับองค์ธรรมสามประการ คือสติ สมาธิ และสัมปชัญญะ ทำความรู้ตัวชัดอยู่ที่ใจ (บริเวณกลางอก) พร้อมทั้งใช้การนับ ๐ - ๑ - ๒ - ๓ - ๔ - ๕ - ๖ - ๗ - ๘ - ๙ - ๐, ๐ – ๙ – ๘ – ๗ – ๖ – ๕ – ๔ – ๓ – ๒ – ๑ – ๐ กลับไปกลับมาตลอดทั้งวันในขณะทำงาน เป็นการประยุกต์ใช้การเจริญสติเข้ากับวิถีการดำเนินชีวิตได้อย่างลงตัว

    ตอนที่ ๒ การพัฒนาสติ
    ผู้เขียนประมวลความรู้ที่ได้มาจากคำสอนของครูบาอาจารย์ต่างๆ ว่า เป้าหมายของการภาวนาคือการพัฒนาสติ ความหมายของสติคือความระลึกได้ ในที่นี้คือการระลึกได้ถึงการนับ ๐-๐ แต่สติจะทำงานได้ดี ต้องถึงพร้อมด้วยสัมปชัญญะ หรือความรู้ตัว ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อนับ ๐-๐ ย้อนกลับไปกลับมา เมื่อสติและสัมปชัญญะทำงานร่วมกัน เกิดเป็นสัมมาสติ การมีสติจดจ่ออยู่กับอารมณ์เดียวคือการนับเป็นเวลานานๆ ก่อให้เกิดสมาธิ สมาธิในที่นี้ประกอบอยู่กับสัมปชัญญะ จึงเป็นสัมมาสมาธิ
    เมื่อสติ สมาธิ สัมปชัญญะ ทำงานร่วมกัน จะเกิดเป็นความตั้งมั่นขึ้นที่ฐานใจ มีลักษณะอาการตึงๆ ขึ้นมาตรงกลางอกให้สังเกตรับรู้ได้ หน้าที่ของผู้ปฏิบัติคือรู้อยู่กับฐานใจตลอดเวลา รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ความรู้สึก หรืออื่นๆ เมื่อเราใช้สติเฝ้าดูกาย เราจะเห็นความรู้สึกและความคิดด้วย หรือเมื่อเราใช้สติเฝ้าดูความคิด เราก็จะเห็นกายและความรู้สึกด้วย เมื่อตามดูตามรู้ไปเนืองๆ ใจที่ตั้งมั่นอยู่กับฐาน ไม่ซัดส่ายออกไปรับอารมณ์ภายนอกที่มากระทบเข้ามาปรุงแต่ง ใจก็จะเข้าสู่สภาวะเป็นกลางๆ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น จนเป็นอุเบกขา ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ความจางคลาย ความสลัดคืน ใจเป็นอิสระและปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในธรรมทั้งปวง เข้าสู่ภาวะความว่างที่ถึงพร้อมด้วยสติและปัญญาญาณ อันนำไปสู่วิมุตติและความหลุดพ้นได้ในที่สุด

    ตอนที่ ๓ ยิ้มมาก คิดน้อย

    ช่วงที่ผู้เขียนเริ่มปฏิบัติตามแนวทางของกลุ่มจุดประกายธรรม มีความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งต่ออัจฉริยภาพของท่านนาวาเอกกฤษณ์ ที่สามารถวิจัยรายละเอียดของสภาวะธรรมแล้วนำมาหาวิธีที่ลัดสั้นสำหรับผู้ฝึกใหม่ให้สามารถเข้าถึงสภาวะได้ในเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งมีเทคนิคการเข้าสู่สมาธิด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งการนับ การใช้ปราณ ช่วยให้ผู้ปฏิบัติวางฐานกายเข้าสู่ฐานใจได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังทำให้ผู้เขียนเกิดความเข้าใจว่าที่ผ่านมานั้น การปฏิบัติของผู้เขียนติดอยู่แค่การใช้ความคิดติดตามดูกาย แม้จะดูจิต ก็ดูแบบ คิด ตามอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถเข้าสู่สภาวะ รู้ การเปลี่ยนแปลงของกายและจิตได้

    ----------------สำหรับผู้เริ่มปฏิบัติ ท่านนาวาเอกกฤษณ์จะให้นั่งในท่าที่สบาย ลืมตา มองไปกว้างๆ ในแนวขนานกับพื้นโดยไม่สำคัญมั่นหมายต่อสิ่งที่ได้เห็น แล้วส่งความรู้สึกภายในไปสำรวจร่างกายตั้งแต่ศีรษะลงมา โดยให้คลายความตึงเครียดของร่างกายกายทีละส่วน ผ่อนคลายศีรษะ ลำคอ ไหล่ แขน ลำตัว ขา ลงไปถึงปลายเท้า จนกระทั่งรู้สึกถึงลมหายใจเบาละเอียดที่เคลื่อนตัวอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งเหลือเชื่อจริงๆที่เพียงแค่ผ่อนคลายร่างกายเท่านั้น ผู้ฝึกใหม่สามารถเข้าภาวะลมหายใจเบาละเอียด ร่างกายภายในโปร่งเบา มีสติรู้กายภายนอกคือลมหายใจและภายในคืออารมณ์และความคิดนึกได้ในขณะเดียวกัน เกิดการรู้อย่างเป็นองค์รวมและเป็นกลางๆ สักแต่ว่ารู้ ประคองด้วยสติและสัมปชัญญะ นำเข้าสู่ความสงบ คือสมาธิ โดยใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที ซึ่งสภาวะเช่นนี้ ในอดีต กว่าผู้เขียนจะทำได้ต้องเดินจงกรมสลับกับนั่งสมาธิเป็นเวลาอย่างน้อยสามวัน จึงจะละความคิดฟุ้งซ่านเข้าสู่ความสงบได้

    ---เมื่อเกิดสภาวะโปร่งเบาภายใน นาวาเอกกฤษณ์ให้ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก เกิดความรู้สึกแช่มชื่น เบิกบาน น้อมความรู้สึกเบิกบานเข้าไปภายในบริเวณทรวงอกที่โปร่งโล่ง เพื่อให้เกิดสภาวะแห่งกุศลรักษาใจ ขับไล่ความคิด ความฟุ้งซ่าน และอารมณ์ที่เป็นอกุศลอื่นๆออกไปจากใจ นี้เป็นอุบายวิธีที่เยี่ยมยอดสำหรับผู้เขียนและผู้ฝึกปฏิบัติทุกคนที่คุ้นชินกับการคิด และมักจะเกิดความคิดฟุ้งซ่านรบกวนเวลาต้องการนั่งสมาธิ การยิ้มน้อยๆ อยู่เสมอ ยังช่วยให้ผู้ปฏิบัติคลายจากอาการเพ่งจ้องในระหว่างปฏิบัติ ซึ่งนำไปสู่อาการตึง เกร็ง ปวดหัว มึนหัว
    ----------ในชีวิตประจำวันที่เราง่วนอยู่กับการทำงานจนวันทั้งวันแทบจะไม่มีเวลาฝึกสมาธิหรือฝึกสติ แต่ถ้าเราฝึกตนให้ใบหน้ายิ้มน้อยๆ อยู่เสมอ ยิ้มภายนอก จะเหนี่ยวนำให้เกิดยิ้มภายในฐานใจ เป็นความแช่มชื่นเบิกบานภายใน เกิดความตื่นตัวหรือใจตื่นรู้ขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ต้องตั้งใจปฏิบัติ

    ----เมื่อใจตื่นรู้จากภายใน การทำงานทุกอย่างของเรา ไม่ว่าคิด พูด ทำ ล้วนออกมาจากใจที่แช่มชื่นเบิกบาน อยู่ในสภาวะที่เป็นกุศล หากทำมากๆและต่อเนื่อง ก็จะนำไปสู่การพัฒนาต่อไปเป็นความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา หรือพรหมวิหาร ๔ ใจก็เข้าสู่ความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เกิดปัสสัทธิหรือความสงบระงับทางกายและใจ เป็นเหตุให้เกิดสมาธิที่ตั้งมั่น เป็นสมาธิที่เป็นไปเพื่ออุเบกขา คือ ปล่อยวาง ละวาง จากอารมณ์ทั้งปวง

    ----------หลังจากฝึกปฏิบัติกับนาวาเอกกฤษณ์ ทำให้ผู้เขียนตระหนักว่า ในการพยายามปฏิบัติภาวนาของผู้เขียน สิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงคือการสลัดตัวเองให้หลุดจากความคิด ทั้งนี้เพราะด้วยหน้าที่การงานซึ่งต้องใช้ความคิดเป็นหลัก ความเคยชินกับการควบคุมตัวเองไม่ให้อารมณ์หรือความรู้สึกอยู่เหนือความคิด เหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการ"รู้ด้วยความรู้สึก" ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เขียน สภาวะนี้เป็นสภาวะที่สำคัญที่สุดต่อความก้าวหน้าในการภาวนา

    ------------------ผลพลอยได้อีกประการหนึ่งของการเข้าฐานใจด้วยการนับ ๐-๐ คือ การรับรู้เรื่องเวลาจะลดลง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยเราเกือบไม่ได้สังเกต ผู้เขียนเอามาใช้ในชีวิตประจำวันเวลาต้องรออะไรนานๆหรือเวลาต้องทำงานที่เราเบื่อ ไม่อยากทำ ก็จะระลึกรู้อยู่ที่ฐานใจ ยิ้ม หายใจสบายๆ นับ แล้วก็ทำงานไป ผู้ฝึกปฏิบัติสามารถเข้าสภาวะนี้ได้ทั้งวัน ในทุกอิริยาบถ ทำให้สามารถเจริญสติได้ตลอดวันโดยไม่ต้องปลีกเวลาไปนั่งสมาธิ
    ---ถ้าเราสามารถคงสภาวะยิ้มอยู่กับฐานใจและนับได้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ผู้เขียนสังเกตว่าใจจะมีความตั้งมั่น รับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างกาย อารมณ์ ความคิดนึก อย่างเป็นกลาง ๆ ดังนั้น เวลาทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ หรือต้องตกอยู่ในสภาวะที่ทำให้เครียด ก็จะยิ้มและนับเข้าไว้ ทำให้มีความสุขในการทำงานมากขึ้น เมื่อเข้าสภาวะนี้บ่อย ๆ ผู้เขียนเริ่มสังเกตว่าเริ่มมีการเกิดสภาวะตนเตือนตนได้โดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น บางครั้งผู้เขียนเกิดความท้อถอยในการภาวนา จิตตก หดหู่ ประมาณครึ่งวัน แล้วอยู่ๆ ก็เกิดเสียงเตือนขึ้นมาจากภายในว่า “จะหดหู่ไปทำไม สิ่งสำคัญที่สุดคือ การรักษาใจให้เป็นกุศลและเบิกบาน อย่างอื่นนั้นไม่สำคัญเลย” ก็เลยหลุดออกมาจากความหดหู่ได้ แล้วก็ยิ้มและนับต่อไป

    ผู้เขียนไม่ได้ปฏิบัติสมถภาวนาอย่างจริงจังมาก่อน ความตั้งมั่นของใจจึงมีน้อย สติไม่มีกำลัง ครั้นมาเน้นการปฏิบัติแบบยิ้มและนับที่ฐานใจ ทำให้สติ สมาธิ สัมปชัญญะ พัฒนาไปพร้อมๆ กันอย่างได้สมดุล ไม่เน้นหนักไปที่อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงนำไปสู่การรู้กายรู้ใจอย่างเป็นกลางๆ อย่างต่อเนื่อง ได้ง่ายมาก

    ----------การนับกลับไปกลับมา ทำให้เกิดตบะซึ่งเป็นกำลังของใจ ใจต้องมีกำลังตั้งมั่นเพื่อพิจารณาสภาวะธรรมที่ปรากฏ และเกิดการปรับสมดุลพละ ๕ และอินทรีย์ ๕ ได้ตลอดวัน เกิดความสมดุลระหว่าง ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิและปัญญา อันจะนำเข้าสู่ขั้นตอน ระลึกรู้ในนามแล้วปล่อยนาม ระลึกรู้ในรู้แล้วปล่อยรู้ รู้และเห็นแล้วปล่อยรู้และเห็น เข้าสู่ภาวะสักแต่รู้สักแต่เห็นในที่สุด

    ---เมื่อผู้เขียนพยายามระลึกรู้อยู่กับฐานใจอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันได้ระยะหนึ่ง ปรากฏว่าใจที่คิดว่าตั้งมั่นดีแล้วนั้น ถูกกระแสความคิดสอดแทรกเข้ามาโดยไม่รู้ตัว อาการก็คือ ยิ่งภาวนาไป ยิ่งเกิดอาการตึง แน่น ที่ฐานใจ บางทีก็เหมือนมีอะไรหมุนๆ อยู่ตรงฐานใจ ก็ได้แต่ดูไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนวันหนึ่ง กำลังนั่งสมาธิอยู่ เกิดอาการตึงขึ้นอีก บังเอิญถามตัวเองขึ้นมาว่า “รู้ไหม” “รู้สึกอะไร” ทันทีก็รับรู้ได้ถึงการหลุดกระเด็นออกไปของกระแสความคิดที่แทรกเข้ามา ความตึงหายไป กลายเป็นความสว่าง โปร่ง เบา สบาย จึงรู้ตัวว่าที่ผ่านมานั้น ผู้เขียน “คิดว่ารู้” มาโดยตลอด ไม่ได้ “รู้ว่ารู้” ตั้งแต่นั้นมา ผู้เขียนต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เรื่อยๆ โดยการถามตัวเองว่า “รู้ไหม” “รู้ไหม” แม้กระนั้นก็ยังเกิดอาการตึงขึ้นมาอีกบ้าง วิธีแก้ก็คือต้องเลิกนั่งสมาธิ แต่เจริญสติด้วยการเคลื่อนไหวแทน ความรู้สึกโปร่ง เบา สบาย ก็จะกลับมาตามเดิม

    ------------------------------ยังมีต่อ---------------

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 20 สิงหาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 1:29:57 น. </TD><TD></TD><TD align=right>0 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : 97 Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336559887493 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D20-08-2011%26group%3D1%26gblog%3D214&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336559887493&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=332608665&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336559887493 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>


    </TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2012
  16. veer

    veer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +356
    .......................
    .......................
    ......................
    เป็นกำลังใจให้ครับ
     
  17. rawinnipar

    rawinnipar สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +4
    แล้วมาต่อนะคะ รออยู่
     
  18. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    ถ้อยแถลงการจัดพิมพ์

    สืบเนื่องจากหนังสือธรรมะที่ชื่อว่า”อะไรๆ ก็ไม่จริง” ซึ่งบรรดาศิษย์และผู้ศรัทธาในการสอนพุทธธรรมของอาจารย์กตธุโร (สมทรง คำนวณศร) ได้รวบรวมประสบการณ์การปฏิบัติตามแนวคิดแนวสอนของอาจารย์ ซึ่งแต่ละท่านได้รับผลเฉพาะตนมากน้อยตามลำดับแห่งภูมิธรรมและสติปัญญาในกาลเวลาที่ต่างกัน พิมพ์ออกมาเผยแพร่ให้พุทธบริษัทและผู้สนใจการปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ได้ทราบ ว่าเป็น วิธีตรงและลัดสั้น อย่างไร เมื่อเดือน พฤศจิกายน ๒๕๒๙ จำนวน ๑,๐๐๐ เล่ม และแจกจ่ายไปทั่วสารทิศตามที่มีผู้สนใจขอมา ปรากฏว่ามีผู้สนใจมากพอสมควร เพราะเป็นแนวแปลก ชื่อเรื่องก็แปลก เมื่อได้ติดตามผลดูก็พบว่า มีหลายท่านอ่านแล้วจดหมายมาบอกว่าสามารถเข้าใจธรรมได้กระจ่างขึ้นมาก หลายท่านได้ตามมาฟังธรรมกับอาจารย์กตธุโรถึงสระบุรี และสามารถเปิดกระแสธรรมได้แบบจิตสู่จิตกันเลย จนถึงกับอุทานว่า “โธ่เรา! ไม่น่าจะหลงอยู่นาน ถึงป่านนี้เลย ท่านช่างสอนไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนจริงๆ” หลายท่านโทรศัพท์ทางไกลมาคุยธรรมกับอาจารย์กตธุโร และสำเร็จประโยชน์เช่นเดียวกัน (ปัจุจุบันท่านเสียชีวิตไปประมาณ2ปีแล้ว โยไม่ได้อ้างตัวว่าเป็นอาจารย์เซ็น)
    -----อนึ่งมีข้อสังเกตที่น่าจะเป็นอนุสติแก่ผู้ที่สามารถเปิดกระแสธรรมในเบื้องต้นได้แล้วว่า เมื่อเห็นว่า ”กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย ไม่มีเราในกาย ไม่มีกายในเรา” จะต้องไม่ประมาท ไม่ชะล่าใจที่จะมีความเพียรและสติปัญญานำทางให้จิตเดินต่อไปจนถึงที่สุด จนถึงปลายทางสูงสุด คือ ”พระนิพพาน” เสียก่อน จึงจะหยุดเดินหยุดปฏิบัติ

    ---- เพราะการเปิดกระแสธรรมเพียงครั้งเดียว ไม่ได้หมายความว่าท่านพ้นผ่านสายธารแห่งวัฏฏสงสาร ไปถึงฝั่งพระนิพพานได้เลย จะต้องผ่านการเห็นแจ้งแทงตลอดในเวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ และจิตเองที่เคยยึดติดว่าเป็นเรา-ของเราให้ได้ด้วยจึงจะหมดปัญหาและพ้นภัย
    ----บัดนี้เมื่อมีผู้ปฏิบัติตามวิธีการสอน และคำสอนของอาจารย์กตธุโร จนเป็นที่ประจักษ์ว่าได้ผลเห็นธรรมตามที่เป็นจริงและดับทุกข์ได้จริงอย่างถูกตรงและลัดสั้น บรรดาศิษย์เก่า-ใหม่ และผู้สนใจตลอดจนผู้มีจิตศรัทธาหลายๆท่านได้ปรารภกันและร่วมใจกันรวบรวมคำสอนของอาจารย์กตธุโรมาจัดพิมพ์เป็นเล่ม สำหรับเป็นธรรม-วิทยาทานแก่ผู้ที่มีความทุกข์เพราะหลงทางอยู่ จะได้ศึกษาเรียนรู้และอาจจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้อีกวิธีหนึ่งซึ่งนับว่าไม่ยากนัก ซึ่งอาจารย์กตธุโรก็ไม่ขัดข้องและอนุโมทนาสาธุให้กับคณะผู้จัดทำทุกๆท่าน


    ----หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า ”เห็นความจริง” ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติธรรมจนเห็นธรรมตามที่เป็นจริงว่า “อะไรๆก็ไม่จริง” นั่นเอง อันจะนำไปสู่หนทางที่ไร้มายา และมีจุดหมายปลายทางสูงสุดคือ “ความว่างอย่างยิ่ง สุขอย่างยิ่ง หรือนิพพาน” ได้อย่างน่าอัศจรรย์
    -----------------------

    ท่านสามรถอ่านธรรม 15 ตอนได้ที่นี่
    http://www.bloggang....oup=1&gblog=212
     
  19. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    [​IMG] <!--BEGIN WEB STAT CODE--><IFRAME height=17 marginHeight=0 src="http://www.bloggang.com/truehitsstat.php?pagename=jesdath" frameBorder=0 width=14 allowTransparency marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME><!-- END WEBSTAT CODE --><TABLE border=0 width="99%" align=center height="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%">
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 20 สิงหาคม 2554 1:48:39 น.-->การหลุดพ้นแบบฉับพลัน ภาค 3 นักเดินทาง--ต่อ




    <!-- Main -->ตอนที่ ๔ การเข้าสู่วงจร “สังเกต-รู้-ปล่อย” ที่ฐานใจ



    ---------------นาวาเอกกฤษณ์ ได้กรุณาให้คำแนะนำเพิ่มเติมแก่ผู้ปฏิบัติว่า เมื่อเกิดตบะความตั้งมั่นขึ้นที่ฐานใจแล้ว จิตผู้รู้จะทำหน้าที่วิ่งออกไปรับการกระทบระหว่างอายตนะภายนอกและอายตนะภายใน คือ รูปกระทบตา รสกระทบลิ้น กลิ่นกระทบจมูก เสียงกระทบหู สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งกระทบกาย ธรรมารมณ์(ความรู้สึกนึกคิด)กระทบใจ จากนั้นก็จะนำกลับมาส่งข่าวให้แก่ใจที่ตั้งมั่น เกิดการรับรู้อย่างเป็นกลางๆ ไม่มีการปรุงแต่ง แล้วก็ปล่อยไป เป็นสภาวะที่ท่านนาวาเอกกฤษณ์ให้ชื่อว่า “สังเกต-รู้-ปล่อย” ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นสภาวะ “สักแต่รู้” ต่อไป ดังนั้นหากเข้าฐานใจได้แล้ว ก็เพียงแค่เพียรพยายามต่อไปด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา จนเป็นอุปนิสัย ฝังลงในจิตใต้สำนึก หากไม่หลุดพ้นในชาตินี้ ก็จะได้ติดตัวข้ามภพข้ามชาติต่อไปได้



    ประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้รับในการปฏิบัติขั้นนี้ เกิดขึ้นเมื่อเข้าร่วมกลุ่มได้ประมาณปีกว่าๆ หลังจากบ่มเพาะการนับที่ฐานใจจนชำนาญ แล้วตั้งมั่นระลึกรู้อยู่ที่กลางใจ ขณะที่สงบนิ่งอยู่กลางใจ จะเริ่มสังเกตเห็นด้วยความรู้สึกว่าบริเวณใกล้ๆ ความตั้งมั่นนั้น มีกระแสความสั่นสะเทือนเหมือนระลอกคลื่นปรากฏขึ้น วูบ วูบ วูบ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ นี้คือกระแสที่เกิดจากการกระทบของอายตนะที่ถูกส่งไปที่ใจ ให้ปรุงเป็นความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ หรือที่เรียกว่าเวทนา แต่ละวูบคือการก่อตัวขึ้นของกระแสธรรม ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วดับลง กระแสอันใหม่ก็ก่อตัวขึ้นตามมา ไม่มีที่สิ้นสุด เรียกว่าเห็นเวทนาในเวทนา เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของเวทนาว่าเป็นอนิจจัง-ไม่เที่ยง ทุกขัง-ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อนัตตา-บังคับบัญชาไม่ได้



    ----------------เมื่อเพ่งมองเข้าไปในกระแสธรรมแต่ละขณะ โดยหน่วงให้มันช้าลงเล็กน้อย จะพบว่ามันเป็นเพียงอาการซึ่งก่อตัวขึ้นในความว่าง และความว่างนั้นเองคือความว่างที่รองรับทุกสรรพสิ่ง เป็นความว่างที่ไร้กระแสธรรมโดยสิ้นเชิง สำหรับผู้เขียน แม้เห็นอย่างนี้แล้วแต่มันก็เป็นเพียงแค่การรู้ ไม่สามารถเห็นแจ้งออกมาจากใจหรือทำให้ใจยอมรับสภาวะความว่างนี้ได้

    ( ความว่างที่ไร้กระแสธรรม--กระแสธรรม หมายถึงธรรมชาติทางจิต เช่น วิญญาณ หรือการรับรู้ เวทนา ความรู้สึก เป้นต้น-เจษฏา)


    หลังจากรู้การเคลื่อนของกระแสเวทนาในเวทนาอยู่หลายเดือน วันหนึ่ง ขณะเข้าสมาธิที่บ้าน ผู้เขียนแค่นิ่งรับรู้กระแสของเวทนาในเวทนาไปเรื่อยๆ อยู่ๆ กระแสการสั่นสะเทือนรอบๆ ความตั้งมั่นที่ฐานใจก็สงบลง แล้วเกิดกระแสสั่นสะเทือนแบบเดิมขึ้นภายในความตั้งมั่นซึ่งเป็นฐานใจ เรียกว่าเห็นเวทนาในจิต รับรู้กระแสของเวทนาในจิตไปเรื่อยๆ เรียนรู้ว่าแม้จิตเองก็ไม่เที่ยง เป็นเพียงสภาวะที่ก่อตัวขึ้นชั่วขณะในความว่าง แล้วก็ต้องดับลง
    เมื่อสังเกตรู้อยู่อย่างเป็นกลางๆ กับกระแสการสั่นสะเทือนในฐานใจอยู่ครู่ใหญ่ กระแสการสั่นสะเทือนในฐานใจก็สงบลง สภาวะการระลึกรู้เคลื่อนออกจากฐานใจขึ้นมาตามแกนกลางลำตัวมาอยู่ที่ระดับตา อาการของความตั้งมั่นก็ขยายตามมาด้วย เมื่อส่งความรู้สึกลงไปด้านล่างที่กลางอก กระแสต่างๆ เงียบไปหมด รับรู้ถึงองค์ประกอบอีกอย่างหนึ่งของขันธ์ห้า คือความว่าง หรืออากาศธาตุ นิ่งรู้อยู่ด้วยใจที่เป็นอุเบกขา สักครู่หนึ่งก็พบว่ามีกระแสการเกิด-ดับ ก่อตัวขึ้นในความว่างนั้น ทำให้รู้ว่า แม้ความว่างเองก็ไม่เที่ยง เป็นไตรลักษณ์ (เป็นความว่างที่คู่กับความไม่ว่าง ซึ่งมีอยู่บนความว่างไร้กระแสธรรมอีกทีหนึ่ง แต่ในขณะนั้นยังไม่เข้าใจถึงตรงนี้ รู้แต่ว่าความว่างก็ไม่เที่ยงเท่านั้นเอง)



    ผู้เขียนรู้-เห็นอยู่กับกระแสความไม่เที่ยงในความว่าง ปล่อยการรับรู้ให้เป็นธรรมชาติและเป็นกลาง รู้อย่างนี้หลายอาทิตย์ จนกระทั่งวันหนึ่ง ประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ระหว่างเข้าสมาธิอยู่กับกลุ่มที่โรงเรียนชุมพล เกิดการโพล่งออกมาจากใจว่า อะไรๆ ก็พึ่งพาอาศัยไม่ได้เลย ความว่างก็พึ่งไม่ได้ มีแต่เกิดและดับ จะย้อนลงมาหาใจที่กลางอก ก็พึ่งไม่ได้ มีแต่เกิดและดับ เกิดสภาวะตกใจขึ้นมา แล้วก็ร้องไห้ด้วยความว้าเหว่ พยายามกลั้นเอาไว้จนกลับมาถึงบ้าน นอนร้องไห้ทั้งคืน ร้องออกมาว่าช่วยด้วย ช่วยด้วย เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้จะพึ่งอะไร นี่คือสภาวะการยอมรับของใจ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการบ่มสภาวะรู้มาระยะหนึ่ง ระยะหนึ่งของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่ เพราะมันต้องเกิดขึ้นเอง บังคับบัญชาไม่ได้เช่นเดียวกัน นี่ไม่ใช่สิ่งตายตัวที่จะต้องเกิดขึ้น ความเข้าใจของบางท่านอาจไม่ได้เป็นไปแบบนี้



    --------------ในการนั่งสมาธิวันหนึ่ง ผู้เขียนอยู่กับสภาวะการสั่นสะเทือนในความว่างซึ่งอยู่ระดับตา แล้วตั้งข้อสังเกตขึ้นมาว่า เมื่อกระแสการสั่นสะเทือนนี้คือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วขณะนี้ผู้รู้อยู่ที่ไหน ก็พบว่าผู้รู้ในขณะนั้นอยู่ประมาณท้ายทอย ก็เลยวางการรู้กระแสความเคลื่อนในความว่าง มองย้อนเข้าไปภายในผู้รู้ที่ท้ายทอย คิดเอาเองว่านี่คงจะเป็นสติซึ่งทำหน้าที่รักษาจิต นิ่งรู้อย่างกลางๆ สักพักหนึ่ง ก็พบกระแสเกิด-ดับเกิดขึ้นภายในผู้รู้หรือสติที่อยู่บริเวณท้ายทอยนั้น ก็เกิดเป็นความเข้าใจขึ้นมาว่า สติเองก็ไม่เที่ยง เป็นไตรลักษณ์เช่นเดียวกัน แล้วจะทำอย่างไรต่อไปเล่า อะไรๆ ก็ไม่เที่ยงไปเสียทั้งนั้น ใจก็เกิดการวางว่า “อย่าไปดูมันเลย ดู-รู้ไปก็เท่านั้น ไม่มีอะไรเที่ยงสักอย่าง” ตั้งแต่นั้นมา ผู้เขียนไม่จดจ้องว่าจะดูอะไร เวลานั่งสมาธิ มีอะไรเกิดขึ้นก็ปล่อยมัน ดูมันไปอย่างนั้นๆ แล้วแต่ว่ามันจะแสดงอะไรให้ดู อันที่จริงสภาวะที่ต่อจากสภาวะเห็นกระแสเกิด-ดับนี้ นาวาเอกกฤษณ์บอกว่าหากใจมีกำลังพอ จะสามารถกระโดดเข้าสู่สภาวะดับไม่เหลือ(นิพพาน)ได้ แต่ผู้เขียนและเพื่อนๆอีกหลายคน ไม่สามารถทำได้ ช่วงเวลานั้นประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๓



    ตอนที่ ๕ ประสบการณ์พิเศษ



    หลังจากการระลึกรู้อยู่ที่ฐานใจเนืองๆ แล้วรับรู้ความคิดและการกระทำจากฐานใจ ผู้เขียนสังเกตตัวเองว่ามีความไวต่อการรับรู้คลื่นจากมิติอื่นมากขึ้น แต่จะรู้เป็นความหน่วงในใจ ไม่สามารถเห็นเป็นภาพ ตัวอย่างเช่น มีอยู่วันหนึ่ง ผู้เขียนทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัย รู้สึกหน่วงในใจทั้งวัน พยายามแผ่เมตตาไป ก็ไม่หาย จนรำคาญ นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันพุธที่จะไปนั่งสมาธิกับกลุ่มที่รร.ชุมพลทหารเรือ พอขับรถไปถึงรร.ชุมพลทหารเรือ กระแสหน่วงในใจยิ่งแรงขึ้น เมื่อไปถึงจึงเรียนนาวาเอกกฤษณ์ว่าขอให้แผ่เมตตาก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติ หลังจากพวกเราแผ่เมตตาแล้ว ความหน่วงนั้นก็หายไปทันที นาวาเอกกฤษณ์บอกว่ากระแสที่ตามมาตอนแรกมีผู้สมทบภายหลังอีกเพียบ เขารู้ว่าจะมีการปฏิบัติธรรมที่มีแรงมากพอที่จะส่งบุญให้เขาได้ การแผ่เมตตาหรือส่วนกุศลบางครั้งถ้ากำลังไม่พอเขาก็ไม่ได้รับ การส่งบุญครั้งนี้บางส่วนก็ได้รับการยกภูมิไปผุดไปเกิดด้วย



    --------------เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อผู้เขียนไปที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งใกล้อ่างเก็บน้ำมาบประชัน พัทยากลาง รู้สึกกระแสหน่วงตั้งแต่อยู่ที่มหาวิทยาลัยเช่นกัน พอขับรถไปถึงที่จอดรถในรีสอร์ต เปิดประตูรถจะก้าวลงมา รับรู้ถึงกระแสความหน่วงที่โถมเข้ามาทุกทิศทางจนเหมือนมวลอากาศในบริเวณนั้นหนาแน่นไปหมด ต้องหดขากลับเข้าไปนั่งตั้งสติอยู่ในรถ แล้วแผ่เมตตาแบบอัปปมัญญา โดยเข้าสภาวะยิ้มและโปร่งเบาภายใน เข้าฐานใจ น้อมบารมีธรรมทั้ง ๔ ประการคือ บารมีแห่งพระรัตนตรัย บารมีแห่งพระโพธิสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระศรีอาริยเมตไตร บารมีแห่งเทพพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งอนันตจักรวาล บารมีแห่งครูอุปัชฌาย์อาจารย์ในทุกภพทุกชาติ ประสานรวมเข้ากับทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมีที่ผู้เขียนได้กระทำมาในทุกภพทุกชาติ แล้วแผ่บุญกุศลออกจากฐานใจ ไปถึงทุกสรรพวิญญาณในที่นั้นและทั่วทั้งอนันตจักรวาล นั่งนิ่งแผ่เมตตาอยู่ครู่หนึ่ง จนรู้สึกว่ากระแสความหน่วงเบาบางลง จึงออกจากรถ เมื่อได้ไปพบผู้อำนวยการของรีสอร์ต เขาบอกว่าเคยมีคนทักเหมือนกันว่าที่นี่วิญญาณเยอะมาก แต่ไม่ได้บอกว่าให้ทำอย่างไร ผู้เขียนจึงแนะนำให้ทำบุญเลี้ยงพระ ซึ่งก็ดีขึ้น ภายหลังเข้าไปที่นั่นอีก กระแสเบาบางลงไปมาก



    ตอนที่ ๖ พบกับท่านอาจารย์กตธุโร
    เมื่อพวกเราหลายคนไม่สามารถข้ามผ่านขีดจำกัดของการดำเนินสภาวะเพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติ แม้จะรู้-เห็นจนหมดแล้วว่าอะไรๆ ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แต่ไม่สามารถดำเนินสภาวะต่อไปจากนี้ได้ เกิดสภาวะเหมือนแมลงวันบินชนกระจก ได้แต่รู้-เห็นอยู่กับสภาวะเดิมๆ ไปไหนต่อก็ไม่ได้ เพราะกำลังของใจไม่พอ เนื่องจากการบ่มเพาะกำลังของใจต้องใช้สมถภาวนาซึ่งทำได้ยากในวิถีชีวิตปัจจุบัน นาวาเอกกฤษณ์จึงเปลี่ยนนโยบายใหม่ ให้พวกเราเดินแนวการปฏิบัติโดยใช้ปัญญาอบรมจิต และแนะนำให้พวกเราอ่านหนังสือชื่อ “เซ็นสยาม” ของท่านอาจารย์กตธุโร ผู้ก่อตั้งสำนักเซ็นสยาม ที่จังหวัดสระบุรี พวกเราได้รับแจกหนังสือมาคนละเล่ม นาวาเอกกฤษณ์บอกว่าให้อ่านทุกวัน เดือนละจบ เป็นเวลาอย่างน้อย ๑ ปี



    ผู้เขียนเริ่มอ่านหนังสือนี้ประมาณเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยมีเทคนิคอยู่ว่า ต้องใช้ใจอ่าน ไม่ใช่ใช้สมองอ่าน วิธีการก็คือ ให้นั่ง ผ่อนคลาย เข้าฐานใจ นับเบาๆจนเกิดความตั้งมั่นขึ้นที่ฐานใจ แล้วอ่านโดยระลึกรู้อยู่ที่ฐานใจตลอดเวลาด้วยความผ่อนคลาย ยิ้มเบิกบาน เมื่ออ่านใหม่ๆ มีคำหลายคำที่งงมาก ไม่เข้าใจ ท่านอาจารย์พูดถึงความไม่มี คนไม่มี สัตว์ไม่มี กูไม่มี การเห็นว่าเราไม่มี เป็นเพียงขันธ์ห้าซึ่งก็มีไม่จริง เป็นการดำรงอยู่ชั่วคราวของธาตุขันธ์ ให้ฟังเสียงระฆังที่ยังไม่ได้ตี เหล่านี้เป็นปริศนาธรรมที่ใจต้องทำงาน นำไปขบคิดอยู่เสมอ โดยไม่รู้ตัว



    -----------ในช่วงที่อ่านเซ็นสยาม พวกเรามีโอกาสได้ไปกราบท่านอาจารย์กตธุโรที่บ้านตำบลนาโฉง จ.สระบุรี โดยการนำของน้องหมวย ภรรยาของนาวาเอกกฤษณ์ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ท่านอาจารย์เพิ่งหายป่วย และได้อธิษฐานจิตไว้ว่า หากใครมีวาสนาเกี่ยวข้องกันมา ก็ขอให้มีโอกาสได้พบและรับฟังธรรมะจากท่าน เพราะท่านเองก็อายุมากแล้ว (เกือบ ๘๐ ปี) พวกเราเป็นกลุ่มแรกที่ได้ไปหาอาจารย์หลังจากการอธิษฐานจิต ท่านมีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตายิ้มแย้มใจดี แต่มีแววตาที่มีพลัง ดูน่าเกรงขามและน่านับถือ ท่านมักนั่งบนเก้าอี้โยกประจำตัว ผู้เข้ามาขอพบก็นั่งกับพื้นเรียงรายกันทั่วไปในบ้านซึ่งกระทัดรัดน่าอยู่และร่มรื่น



    ----------ท่านเป็นฆราวาส และไม่มีรูปแบบพิธีกรรมที่ยุ่งยากใดๆ ในการเรียนการสอน (พวกเราไปใหม่ๆ ก็นั่งพับเพียบฟังท่านอาจารย์อย่างมีระเบียบเรียบร้อย พอหลังๆ มีความคุ้นเคยมากขึ้นก็ลงนอนหนุนหมอนฟังกันเลยทีเดียว) ท่านสอนด้วยภาษาง่ายๆ ใครเรียนมาแค่ไหน ติดอะไร ยึดอะไร ท่านจะพูดให้หายติดหายยึด และไม่วกวน คือให้รู้สึกลงไปและเห็นลงไปว่า ไม่มีเราอยู่ในกองธาตุที่ประกอบเป็นร่างกายนี้ ผู้เขียนประทับใจอย่างยิ่งในการสอนและในความเมตตาของท่านอาจารย์ จึงตกลงกันว่าจะไปพบท่านทุกเดือน โดยนำพาผู้สนใจไปพบท่านให้ได้มากที่สุดในแต่ละครั้ง



    ชื่อเดิมของท่านอาจารย์คือ “สมทรง คำนวณศร” ตอนบวชท่านใช้ฉายาว่า “กตธุโร” เหล่าศิษย์จึงเรียกท่านว่า “อาจารย์กตธุโร” การได้ไปสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ทุกเดือน ทำให้ทราบว่าท่านเรียนแค่ ป. ๔ แต่ท่านมีพรสวรรค์ด้านการแต่งกลอน ท่านได้เรียนรู้การเล่นและการร้องลิเกตั้งแต่เด็กๆ จนเป็นหนุ่ม ได้มีคณะลิเกเป็นของตนเอง มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ท่านแต่งเรื่องที่ใช้เล่นลิเกด้วยตัวเอง เล่นแต่ละวันไม่ซ้ำกัน อยู่มาวันหนึ่ง ท่านไปรับงานที่งานบุญแห่งหนึ่ง ขณะขนของเข้าไปในงาน ท่านได้ยินเทศน์จากเครื่องกระจายเสียงว่า ผู้ที่มีอาชีพศิลปินร้องรำทำเพลงให้คนดูสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่ในแง่หนึ่งถือว่าเป็นอาชีพที่ไม่เหมาะสม เพราะทำให้คนลุ่มหลงอยู่กับกามตัณหา ปิดกั้นทางที่จะบรรลุธรรมของผู้คน ท่านเกิดความสะดุ้งกลัวต่อบาป จึงตัดสินใจเลิกคณะลิเกตั้งแต่นั้น และหันไปประกอบอาชีพค้าขายทั่วไป



    เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน ท่านสามารถตั้งตัวได้ มีธุรกิจโรงแรมเล็กๆอยู่ที่จังหวัดสระบุรี ท่านให้ภรรยาและลูกดูแลธุรกิจ ส่วนตัวท่านไปบวชและเริ่มปฏิบัติธรรม ท่านเล่าว่า วันหนึ่งท่านฝันว่ามีพระภิกษุรูปร่างผอมบาง มาพบท่านและบอกว่า โลกนี้จะต้องไม่ว่างจากพระอรหันต์ อีกสามวันฉันจะตาย อยากให้เธอรับปากว่าจะทำหน้าที่แทนฉัน ท่านตอบไปในฝันว่า เกล้ากระผมมิบังอาจดอก การเป็นพระอรหันต์นั้นเป็นของสูง กระผมรับไม่ได้หรอกขอรับ แต่พระภิกษุรูปนั้นก็ย้ำแล้วย้ำอีก ให้ท่านรับปาก จนท่านจำใจต้องรับปากไป เมื่อตื่นขึ้น ก็บอกเพื่อนพระภิกษุด้วยกันว่าภายในสามวันนี้ หากได้ข่าวว่ามีพระผู้ใหญ่ท่านใดมรณภาพให้บอกกันด้วย ก็ปรากฏว่ามีข่าวการมรณภาพของพระภิกษุท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต วัดเทพศิรินทร์ ซึ่งเมื่อเห็นรูปแล้วก็จำได้ว่าเป็นพระภิกษุที่มาเข้าฝันท่านอาจารย์นั่นเอง




    นับจากวันที่ฝันเป็นต้นมา การพัฒนาจิตของท่านอาจารย์ก็ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จากการเกิดความรู้ความเข้าใจว่ากายไม่ใช่เรา เราไม่เคยมีมาในโลก แล้ววางกายเสียได้ จากนั้นก็เห็นว่าใจก็ไม่ใช่เรา ทั้งกายและใจเป็นของโลก ของธรรมชาติ มีกำเนิดมาจากความว่างที่รองรับสรรพสิ่งในอนันตจักรวาลนี้ การรู้การเห็นของท่านดำเนินไปจนเข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง และแทงตลอดในที่สุด ท่านบอกว่า เมื่อเรามีเงินอยู่ ๑๐๐ บาท ใช้หมดไปเท่าใดก็รู้ด้วยตัวเอง และเมื่อใช้ไปจนหมดสิ้นไม่มีเหลือแล้ว เหมือนกับสภาวะของใจที่ไม่มีเชื้อเหลือที่จะนำมาเกิดอีกแล้ว ก็จะรู้ด้วยตัวเองเช่นเดียวกัน ไม่ต้องให้มีใครมาบอก
    -----ท่านลาสิกขาบทออกมาอยู่กับบ้านเพื่อความสะดวกในการสอนธรรม แรกๆ ท่านสอนแบบเถรวาท มีทั้งปริยัติและปฏิบัติ เป็นเวลานาน ---ไม่สามารถทำให้ใครเข้าใจธรรมจนถึงขั้นที่ท่านเรียกว่า “เปิดธรรม” (คืออาการที่แสดงออกเมื่อใจยอมรับธรรมะในขั้นต้น โดยมากมักเป็นอาการน้ำตาไหล) ได้แม้แต่คนเดียว ต่อมาท่านได้ปรับการสอนให้เป็นกึ่งเถรวาทและกึ่งเซ็น (หลักการของแนวเซ็นคือการใช้ปัญญาพิจารณาจนสามารถรู้เห็นได้จากใจว่าคนไม่มี สัตว์ไม่มี กายไม่มี ใจไม่มี กูไม่มี) แต่ก็มีผู้เปิดธรรมได้ไม่กี่คน มาระยะหลังท่านจึงตัดสินใจใช้การสอนแนวเซ็นเพียงอย่างเดียว ด้วยการใช้คำถามกระตุ้นความสงสัย ใช้การสาธิตด้วยสิ่งของต่างๆ รอบตัว และใช้นิทานคำกลอนที่ท่านแต่งขึ้นเอง ปรากฏว่าท่านสามารถเปิดธรรมให้แก่ศิษย์ได้มากมายหลายสิบคน และบางคนก็ไปถึงจุดที่เงิน ๑๐๐ บาทหมดสิ้นไปได้ นี้ทำให้ท่านมั่นใจในแนวทางของเซ็นมากขึ้น และใช้แนวเซ็นที่ท่านประยุกต์ขึ้นเอง เป็นแนวทางที่ท่านเรียกว่า “เซ็นสยาม”
    ท่านมีโรคหัวใจประจำตัวมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่ท้อถอย คงให้ธรรม สอนธรรมแก่ผู้มาขอฟังหรือมาเรียนอย่างไม่เคยปริปากบ่นเลย ไม่ว่าจะมารับฟังที่บ้านหรือโทรศัพท์มาคุยด้วย ทั้งที่อยู่ในจังหวัดสระบุรีและจังหวัดใกล้ไกล เช่น กรุงเทพฯ ชลบุรี พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ นครราชสีมา เชียงใหม่ เชียงรายก็มี
    ----------สำหรับศิษย์ใหม่ ท่านมักอ่านข้อเขียนของท่านให้ฟังว่า “เราควรจะทำความเข้าใจกันสักเล็กน้อย ตามข้อเท็จจริงแล้ว ก่อนหน้าที่จะมีโลก ไม่มีสิ่งใดๆ เลย เมื่อมีโลกขึ้นมาจึงมีสิ่งทุกสิ่ง…สรรพสัตว์เหล่าใดก็ตาม ถ้ายังมีจิตผูกพันในลักษณะที่เรียกว่ายึดติดใน ธรรม ก็ถือว่าเป็น อุปาทาน ทั้งสิ้น



    --------------สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า”ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เธอทั้งหลายพึงกำหนดรุ้ว่า ธรรมที่เราแสดงนั้นมีอุปมาดั่งพ่วงแพให้อาศัย แม้แต่ธรรมก็ยังต้องละเสีย จักกล่าวไปไยกับอธรรมเล่า...” แสดงว่าแม้ธรรมะพระพุทธองค์ก็ทรงสอนว่าไม่ให้ยึดถือ จึงไม่ควรกล่าวว่าสิ่งใดเป็นธรรมมะและมิใช่ธรรมะ เพราะพระอริยบุคคลทั้งหลายต่างก็อาศัยสังขตธรรมนี้แล้ว จึงมีความแตกต่าง...



    ------------------อะไรเล่าเป็นผู้ดับสรรพกิเลสและบรรลุพระนิพพาน จะเห็นได้ว่าว่างเปล่าทั้งสิ้น ไม่มีสภาวะใดเกิดขึ้นหรือดับไป ฉะนั้น ผู้บรรลุหรือผู้ถึงนิพพานหามีไม่ เปรียบเสมือนมายาบุรุษคนหนึ่ง ประหารมายาบุรุษอีกคนหนึ่ง การประหารของมายาบุรุษทั้งสอง ย่อมเป็นมายาไปด้วย เช่นนี้จะมีอะไรอีกเล่าสำหรับการบรรลุและไม่บรรลุ”



    ตอนที่ ๗ แนวทางของ”เซ็นสยาม
    ในระหว่างการสนทนากับท่านอาจารย์กตธุโร ท่านจะให้พวกเราบอกว่าขณะนี้กำลังปฏิบัติไปถึงตรงไหน มีสภาวะเป็นอย่างไร มีความสงสัยอย่างไร จากนั้นท่านจะชี้ให้เห็นว่า อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก สภาวะธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเกิดทางกายหรือทางใจ ล้วนเป็นของไม่มี เป็นของมีไม่จริง เป็นของที่เกิดขึ้นเพราะมีตัวกูเข้าไปยึดถือ พวกเราก็งงว่าแล้วจะเอาตัวกูออกได้อย่างไร ต้องทำอย่างไร ท่านก็บอกว่าไม่ต้องเอาออก ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องเดินจงกรม ไม่ต้องนั่งสมาธิ ไม่ต้องสวดมนต์ ตัวกูนั้นมันมีไม่จริงอยู่แล้ว ทั้งนี้เพราะเราไม่เคยเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ มีเพียงแค่ขันธ์ห้าที่เป็นของธรรมชาติ ฟังแค่นี้ก็มึนตึ้บแล้ว
    ท่านให้เรียนรู้ ให้ดูเฉยๆ ว่ากายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย กายไม่มีในเรา เราไม่มีในกาย ดูให้เห็นลงไปจริงๆ ว่ามันเป็นมัน มันเป็นของของโลก เกิดจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มาประชุมกัน จึงมีสิ่งต่างๆเกิดขึ้น เหมือนกับมีดินน้ำมันอยู่ก้อนหนึ่ง นำมาปั้นเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ขึ้นมา พวกเราก็งงไปงงมา ดูตัวเองทีไรก็เป็นเราอยู่นั่นแหละ



    ---ผู้เขียนกลับมาจากการพบกับท่าน ก็นำความรู้จากนาวาเอกกฤษณ์มาผสมผสานกับแนวทางของท่านอาจารย์กตธุโร คือ อันดับแรก เข้าฐานใจด้วยความผ่อนคลายแล้วนับ จนเกิดความตั้งมั่นขึ้นมาที่ใจ รู้อยู่ที่ใจ แล้วหยุดนับ หันมาบริกรรมด้วย “ดาบอนัตตา” ของท่านอาจารย์กตธุโรว่า “มันเป็นมัน มันไม่ใช่เรา เราไม่ใช่มัน ไม่มีมันในเรา ไม่มีเราในมัน มันมีไม่จริง เราไม่มี” ด้วยวิธีนี้ เป็นการใช้ใจบริกรรม ไม่ใช่ใช้สมองหรือความคิดในการบริกรรม (นี่คือบทเรียนข้อสำคัญที่สุดที่ผู้เขียนได้เรียนรู้จากความล้มเหลวในช่วงเวลามากกว่าสิบปีของการปฏิบัติก่อนที่จะได้พบนาวาเอกกฤษณ์) พร้อมกับตามดู ตามรู้ ตามสังเกตว่ากายและใจนี้ มันหิวเอง มันกินเอง มันรู้รสเอง มันอิ่มเอง มันปวดท้องขับถ่ายเอง มันง่วงเอง มันหลับเอง มันคิดเอง มันรู้สึกเอง อารมณ์ความรู้สึกทั้งทางกายทางใจ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ด้วยตัวของมันเอง ตามเหตุปัจจัย ไม่มีความเป็นตัวเรา ของเรา อยู่ในกระบวนการธรรมชาตินี้เลย ท่านอาจารย์บอกว่า ถ้ามันยังรู้เห็นไม่ได้ ก็วิปัสสนึกไปก่อน บอกตัวเองไปเนืองๆ จนใจมันยอมรับและเกิดปัญญาขึ้นมา



    ผู้เขียนทำเช่นนี้ตลอดทั้งวันตั้งแต่ลืมตาตื่นจนเข้านอน ยกเว้นเวลาที่ต้องใช้ความคิดทำงานก็จะหยุดบริกรรม ผสมผสานกับความเข้าใจที่เคยประสบมาแล้วว่าทั้งเวทนา จิต (อาการที่ใจเกิดความปรุงแต่งเป็นความคิด เป็นอารมณ์) ความว่าง สติ ล้วนเป็นกระแสไหลเรื่อยที่อยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความรู้สึกว่าก้อนธาตุนี้คือเราก็ค่อยๆ จางคลายไปเรื่อยๆ
    <!-- End main-->​



    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="50%" colSpan=3>Create Date : 20 สิงหาคม 2554</TD></TR><TR><TD width="50%">Last Update : 20 สิงหาคม 2554 1:48:39 น. </TD><TD></TD><TD align=right>2 comments </TD></TR><TR><TD>Counter : 86 Pageviews. </TD><TD></TD><TD align=right><TABLE border=0 align=right><TBODY><TR><TD></TD><TD><IFRAME style="POSITION: static; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; MARGIN: 0px; BORDER-LEFT-STYLE: none; WIDTH: 70px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 15px; VISIBILITY: visible; BORDER-RIGHT-STYLE: none; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=I1_1336561862993 title=+1 tabIndex=0 marginHeight=0 src="https://plusone.google.com/_/+1/fastbutton?bsv=p&url=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com%2Fmainblog.php%3Fid%3Dsecret-world%26date%3D20-08-2011%26group%3D1%26gblog%3D215&size=small&count=true&hl=th&jsh=m%3B%2F_%2Fapps-static%2F_%2Fjs%2Fgapi%2F__features__%2Frt%3Dj%2Fver%3DrN-QFyfhU-E.th.%2Fsv%3D1%2Fam%3D!5VdQ9Ii80V-IH20oNg%2Fd%3D1%2Frs%3DAItRSTP1kIIQDHKVsFotGKCYuw8EvGmdVw#id=I1_1336561862993&parent=http%3A%2F%2Fwww.bloggang.com&rpctoken=717810933&_methods=onPlusOne%2C_ready%2C_close%2C_open%2C_resizeMe%2C_renderstart" frameBorder=0 width="100%" allowTransparency name=I1_1336561862993 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>


    </TD><TD>Add to [​IMG][​IMG][​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- <table width=100% border=0 cellspacing=0> <tr> <td>Counter : <script src='http://fastwebcounter.com/secure.php?s= bloggang3030211 '></script> Pageviews. </td> </tr> </table> -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%">

    <TBODY><TR><TD id=1><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%"></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- Comment 1-->โมทนาสาธุครับ ท่านควรพิมพ์แล้วแจกเป็นธรรมทาน เพื่อให้ มนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้ประจักษ์ ความสุขที่แท้จริงครับ ขอบพระคุณในธรรมทานครับ [​IMG]

    <!-- End Comment 1-->​



    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%">โดย: shadee829 [​IMG] วันที่: 20 สิงหาคม 2554 เวลา:9:02:34 น. </TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY>

    </TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%">

    <TBODY><TR><TD id=2><TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%"></TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- Comment 2-->เดี๋ยวจะเอาไฟล์ไปให้พ่อ พ่อผมมีเครื่องปริ๊นท์และเครื่องถ่ายเอกสาร ว่าจะเอาไปแจกพวกหมอ พยาบาล แถวๆนี้ก่อนครับ

    <!-- End Comment 2-->​



    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD width="100%">โดย: jesdath [​IMG] วันที่: 21 สิงหาคม 2554 เวลา:13:21:47 น. </TD><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY>

    </TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><FORM method=post name=reply action=http://www.bloggang.com/reply.php?id=secret-world>
    </FORM>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2012
  20. n_juniorkid

    n_juniorkid Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +76
    มาทักทายค่ะ หลังจากหายไปหลายวัน ^^"
    ช่วงนี้เชียงรายอากาศหลายฤดู รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...