เรื่องเด่น มนุษย์ต่างดาวติดต่อเราหรือยัง-ควรบอกว่า เมื่อไหร่จะไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย chandayot, 18 เมษายน 2012.

  1. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
    [​IMG]
     
  2. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
  3. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
  4. ho-ji-min

    ho-ji-min สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +15
    ขอเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ เจอจังๆเมื่อคืนที่ผ่านมา จากที่เคยเชื่อเรื่องufoไม่ถึง100% ตอนนี้เชื่อหมดใจเลยค่ะ ช่วงค่ำๆประมาณ1ทุ่มกว่าๆ กำลังกลับถึงบ้าน เงยหน้ามองขึ้นท้องฟ้า เห็นดาวดวงหนึ่งสว่างมาก ดูดีๆมันทำไมขยับตัวได้นะ มันค่อยๆเลื่อนตัวไปมาๆๆแบบซิกแซ็กแล้วก็หายวับไปเลย เห็นกับแฟน2คน เถียงกันเรื่องนี้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เค้าบอกว่าเป็นเครื่องบินแต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะเครื่องบินต้องบินตรงๆ ไม่สามารถจะซิกแซ็กได้หรอก อีกอย่างถ้าเป็นเครื่องบินจะต้องมีไฟวับๆๆ แต่นี้มันดูเหมือนเป็นดาวมากกว่า คนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ ขนาดเห็นกับตาก็ยังไม่เชื่ออีกอยู่ดีเนอะ (ครั้งแรกในชีวิตที่เห็นแบบจะๆ ตื่นเต้นมั้กๆค่ะพี่เจษ)
     
  5. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
    หญ้าไผ่น้ำ รักษาโรคไำตดี

    <table width="100%"><tbody><tr width="100%"><td colspan="2">รรพคุณ.....

    สรรพคุณ ใช้ในการรักษาโรคไต ขับปัสสาวะ ยังสามารถลดการอับเสบของทางเดินปัสสาวะ บำบัดอาการต่อมลูกหมากโต บรรเทาอาการบวม แก้พิษร้อนใน แก้พิษงูกัด ชาวบ้านทั่วไปใช้ในการรักษาต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ลำคออักเสบ ท้องเดิน
    ใช้เป็นยาทั้งต้นใช้สด หรือ ตากแห้งเก็บไว้ก็ได้ รสชาดเย็นจืด ...

    วิธีต้มหญ้าไผ่น้ำ
    นำ หญ้าไผ่น้ำประมาณ 100-150 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อต้ม (ควรเป็นหม้อเคลือบ) เติมน้ำสะอาด 2 ลิตร ต้มให้เดือดแล้วหรี่ไฟอ่อน ต้มอีกประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วตักเอาหญ้าไผ่น้ำออก จะเห็นน้ำใส ๆ เป็นสีบานเย็นอ่อน ไม่ควรใส่น้ำตาลหรืออย่างอื่น วางทิ้งไว้ให้เย็น แล้วบรรจุขวดเข้าตู้เย็นทานได้ทุกเวลา วันละ 3-4 แก้ว อีกวิธี หนึ่งคือ ใช้หญ้าไผ่น้ำ 500 กรัม (ครึ่ง กก.) ล้างน้ำให้สะอาด ใส่น้ำลงไป 6 ลิตร ต้มเดือดแล้วเคี่ยวไป 2 ชม.ครึ่ง แล้วตักเอาหญ้าออก แล้วนำบรรจุขวดเข้าตู้เย็น ทานวันละ 1 แก้วใหญ่ สำหรับผู้ป่วยโรคไตหลังจากทานหญ้าไผ่น้ำแล้ว ประมาณ 3 เดือน ควรไปเจาะเลือดตรวจค่า ของ BUN และ CREATNINE ด้วย
    </td></tr><tr width="100%"><td width="90%">
    </td><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="lift">
    </td></tr></tbody></table>

    ˭
     
  6. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
  7. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2014
  8. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
    ฮวานง็อก - วิกิพีเดีย

    ฮวานง็อก

    เป็นพืชที่รู้จักกันดีว่าเป็นสมุนไพรที่รับประทานใบสด ๆ หรือต้มน้ำดื่ม รักษาอาการช้ำใน โดยใบประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิดเช่น โปรตีน กรดอะมิโน และเกลือแร่ เช่น แมกนีเซียม แคลเซี่ยม เหล็กและทองแดง มีองค์ประกอบทางเคมี เป็นสารฟลาโวนอยด์ และอื่น ๆ อีกหลายตัว มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และต้านแบคทีเรีย และต้านเชื้อรา

    สรรพคุณอื่น ๆ ใช้แก้โรคท้องเสีย กระเพาะอาหารอักเสบ ลำไส้อักเสบ ไขข้ออักเสบ คออักเสบ ตกเลือด รักษาแผล ป้องกันโรคต่าง ๆ

    ฮวานง็อกถูกนำเข้าประเทศไทยครั้งแรก หลังสงครามเวียดนามโดยทหารไทยที่ไปรบที่นั่น และนำกลับมาเผยแพร่หลังจากนั้น
     
  9. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
  10. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
    ใบย่านาง สมุนไพรลดความอ้วน,แก้โรคเบาหวาน,ความดัน,หัวใจ มะเร็ง,
    ภูมิแพ้,ร้อนใน,ไซนัสจมูกตัน,ไมเกรน,ริดสีดวงทวาร,ปอดร้อนนอนกรน กรดไหลย้อน ฯลฯ
    วิธีทำน้ำย่านาง ใช้ใบย่านาง 30-50ใบ ต่อน้ำ4ลิตรครึ่ง ผสมใบเตย-10ใบ,
    หญ้าม้า10ใบ(ใบคล้ายใบอ้อย มีรสหวาน), ใบอ่อมแซบ(เบ็ญจรงค์)ประมาณ1หยิบมือ(10ยอด)
    (หากมีแต่ใบย่านางกับใบเตย อย่างอื่นหาไม่ได้ 2อย่างก็ใช้ได้ครับ) ขยี้กับน้ำสะอาด
    หรือปั่นด้วยเครื่องมือหมุน หรือใช้เครื่องไฟฟ้าชนิดเกียว (ถ้าใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า ที่ใช้ใบมีดปั่น ให้ใส่น้ำแข็ง5-7ก้อน
    เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนในขณะปั่น ความร้อนจะทำลายเอ็นไซท์)ใส่น้ำเกือบเต็มโถปั่น
    ปั่นประมาณ30วินาที หรือ45วินาที แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง หรือตะแกงตาถี่ (ที่ร่อนแป้งด้ามพาสติก)
    กากนำมาปั่นซ้ำ ได้อีก7-8ครั้ง หรือจนกว่าจะหมดเขียว
    กรองเอาแต่น้ำสีเขียว ดื่มแทนน้ำได้ทั้งวัน เก็บไว้ในตู้เย็นไว้ดื่มได้4-5วัน
    ถ้ารสชาดเปลี่ยนสรรพคุณจะเริ่มเสื่อมแล้ว ถ้าเสียแล้วจะเริ่มมีรสเปรี้ยว
    ถ้าต้องการให้หายเร็ว ดื่มวันละ1.5ลิตรขึ้นไป ผู้ป่วยเบาหวานน้ำตาลจะลดลง เหมือนคนปกติทั่วไป
    คนที่เป็นเบาหวาน ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน เหตุที่ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน เพราะร่างกาย
    เกิดภาวะร้อนเกินไป ระบบการทำงานของร่างกายจึงป้องกันตนเอง ไม่ให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลิน
    เพื่อไม่ให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาล (หากร่างกายเผาผลาญน้ำตาลร่างกาย
    จะยิ่งร้อนมากขึ้นไปอีก) น้ำตาลเมื่อไม่ถูกเผาผลาญก็อยู่ในกระแสเลือด
    แต่ร่างกายนำไปใช้ไม่ได้ เซลล์จึงขาดน้ำตาล มีอาการอ่อนเพลียง่าย
    จึงต้องแก้ด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น ใบย่านางมีฤทธิ์เย็นมาก เมื่อร่างกายได้เย็นลงแล้ว
    ระบบการทำงานของร่างกายจะสั่งตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน มาเผาผลาญน้ำตาลได้ตามปกติ
    และเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงาน เซลล์เมื่อได้รับน้ำตาลและใช้น้ำตาลได้
    อาการอ่อนเพลียจึงหายไปครับ
    เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ ด้วยตัวของผู้ที่เป็นเบาหวานเอง
    ใบย่านาง ชนิดเดียวกัน ที่ชาวอีสานใส่แกงหน่อไม้ครับ
    คนปกติที่ไม่เป็นเบาหวานก็ดื่มได้ครับ ช่วยป้องกันโรคที่ไม่มีเชื้อโรค เช่น โรคอ้วน,
    ความดัน,เบาหวาน,หัวใจ,มะเร็ง,ตับ,ไต,ภูมแพ้, นอนกรน กรดไหลย้อน ฯลฯ
    จากประสบการณ์อาจารย์อาจารย์ของผมท่านหนึ่ง เป็นโรคเบาหวานมานาน30ปี
    ดื่ม1-2สัปดาห์ และกินอาหารธรรมชาติแบบหมอเขียว น้ำตาลในเลือดวัดแล้ว
    ไม่เกินร้อย เวลานี้หยุดกินยาอินซูลินแล้ว หันมาดื่มน้ำใบย่านางเขียวทุกวันครับ
    อาจารย์ของผมได้ความรู้นี้จาก หมอเขียว (ใจเพชร กล้าจน) การแพทย์วิถีพุทธ
    ผู้ที่เป็นมะเร็ง หากดื่มน้ำใบยานางเขียว ก้อนมะเร็งจะฝ่อเล็กลง หรือจากก้อนมะเร็ง
    กลายเป็นแค่ถุงน้ำ
    เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการดื่มน้ำย่านาง
    ผู้ที่เป็นมะเร็ง, เบาหวาน,โรคอ้วน,ไขมันในเลือดสูง ห้ามกินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน
    เช่น พริกไทย,กะเพรา,ขิง,ข่า,ใบมะกูด ฯลฯ และอาหาร รสจัด เช่นหวานจัด,เผ็ดจัด,
    เค็มจัด,มันจัด,อาหารปิ้ง,ย่าง,ทอด,อบด้วยความร้อนสูง เพราะอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน
    จะทำให้โรครุนแรงขึ้น โบราณท่านว่าเป็นของแสลงครับ
    (((พืชผัก, ผลไม้,เนื้อสัตว์ ที่มีสารเคมีตกค้าง มีพิษ ฤทธิ์ร้อนมาก)))
    คนที่ดื่มแล้ว ร่างกายเกิดภาวะเย็นเกินไป ควรเติมน้ำร้อนหรือนำไปต้มก่อน แล้วดื่มตอนอุ่นๆครับ

    ในช่วงที่ต้องการลดความอ้วน ลดพุง ลดไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆของร่างกายมานาน
    ต้องงดอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน กินแต่อาหารที่มีฤทธิ์เย็น เพื่อร่างการจะได้เผาผลาญไขมันเก่า
    ให้เป็นพลังงานได้เต็มที่ครับ
    ใช้ได้ทั้งผู้หญิง ผู้ชายครับ สัปดาห์แรก ลดได้3-4กก.ได้สบายๆ
    ถ้าเน้นอาหารธรรมชาติ ฤทธิ์เย็น พืชผักให้มากๆ(ผักปลอดสารพิษ)
    ปรุงแต่งน้อย และเน้นรสจืด ใส่เกลือน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้
    กินผักสด, ลวก,หรือต้มไฟปานกลาง,นึ่ง ไม่ใช้ผงชูรส, งดการอาหารผัด,
    งดอาหารที่ใส่น้ำมันทุกชนิด งดขนมหวานทุกชนิด ร่างกายจะได้
    นำไขมันที่สะสมมาเผาผลาญให้เป็นพลังงานแทนครับ
    ส่วนข้าว เป็นข้าวขาว หรือข้าวกล้องก็ได้ครับ ถ้าเป็นข้าวกล้องจะเยี่ยมมากครับ
    ถ้ารู้สึกเหนื่อยไม่มีแรง ควรดื่มน้ำผึ้งเล็กน้อย หรือน้ำแตงโม(แตงโมปลอดสารพิษ)
    ***อาหารที่ปรุงด้วยไฟแรงๆ จะเพื่มฤทธิ์ร้อนให้กับอาหารมากยิ่งขึ้น
    จึงต้องปรุงด้วยไฟปานกลางครับ

    ในช่วงปกติ ความจริงร่างกายของคนเรา ต้องการทั้งอาหารฤทธิ์ร้อน และฤทธิ์เย็น
    อย่างสมดุลตามฤดูกาล แต่เนื่องจากเราอยู่ในภูมิประเทศที่ร้อน จึงต้องกินอาหารที่มีฤทธิ์เย็นมากกว่าฤทธิ์ร้อน ร่างกายจึงจะรู้สึกสบาย เบากาย และมีกำลัง
    ถ้าอยู่ในเมืองหนาวจัด ต้องได้อาหารฤทธิ์ร้อน ร่างกายจึงจะรู้สึกสบาย เบากาย
    และมีกำลัง
    อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนเช่น พริกไทย,กะเพรา,ขิง,ข่า,กระเทียม,ใบมะกูด ฯลฯ และอาหารรสจัด
    เช่นหวานจัด,เผ็ดจัด,เค็มจัด,มันจัด,อาหารปิ้ง,ย่าง,ทอด,อบด้วยความร้อนสูง,
    ผงชูรสมีฤทธิ์ร้อนจัดมาก ร้อนหลายสิบเท่าของอาหาร ที่เป็นพืชผักที่กล่าวมา
    จำง่ายๆ อาหารใดมีรสเผ็ด,ร้อน,ซ่า(เช่นข่า) หรือกินแล้วหิวน้ำมาก อาหารนั้นมีฤทธิ์ร้อน
    อาหารใดมีรสจืด,เย็น,ขม,หวานอ่อนๆ หรือตรงกันข้ามกับอาหารฤทธิ์ร้อน
    กินแล้วไม่ค่อยอยากน้ำ หรือ(ดื่มน้ำแล้ว น้ำไม่อร่อยเลยเช่น ดื่มน้ำหลังกินแตงโม)
    แสดงว่า อาหารนั้นมีฤทธิ์เย็น
    ตัวอย่างของอาหารกลุ่มฤทธิ์เย็นมีดังนี้
    กลุ่มคาร์โบไฮเดรต : น้ำตาล เส้นขาว (เส้นหมี่ ก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีน้ำมัน) วุ้นเส้น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง(ยกเว้นข้าวกล้องแดง) ฯลฯ

    กลุ่มโปรตีน : ถั่วขาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู ฯลฯ

    กลุ่มผัก : ผักบุ้ง ตำลึง ผักหวาน บวบ ฟัก แตงต่างๆ สายบัว หยวกกล้วย ยอดฟักแม้ว มะรุม หญ้าปักกิ่ง ว่านหางจระเข้ ถั่งงอก บร็อกโคลี หัวไชเท้า ฯลฯ

    กลุ่มผลไม้ : มังคุด มะยม แตงโม แตงไทย แคนตาลูป สับปะรด ส้มโอ ส้มเช้ง กล้วยน้ำว้า มะขามดิบ น้ำมะนาว น้ำมะพร้าว ลางสาด สตอรว์เบอร์รี่ ฯลฯ

    แม้รสชาติจะต่างกัน แต่อาหารฤทธิ์เย็น อาหารฤทธิ์ร้อน มีหลักการเดียวกัน คือปรับสมดุลร่างกาย
    ดังคำกล่าวที่ว่า "กินแล้วรู้สึกสบาย เบากาย มีกำลัง"

    ต่อไปนี้จะเป็นข้อมูลจากหนังสือ ย่านาง ร้อน-เย็น ไม่สมดุลย์ ความลับฟ้า
    การวิเคราะห์อาการ ว่าเกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบใด
    อาการหรือโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน
    1. ตาแดง ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว ขี้ตาข้น เหนียว หรือไม่ค่อยมีขี้ตา หนังตาตก ขนคิ้วร่วง ขอบตาคล้ำ
    2. มีสิว ฝ้า
    3. มีตุ่ม แผล ออกร้อนในช่องปาก เหงือกอักเสบ
    4. นอนกรน ปากคอแห้ง ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย
    5. ผมร่วง ผมหงอกก่อนวัย รูขุมขนขยาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าอก คอ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
    6. ไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว
    7. มีเส้นเลือดขอดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เส้นเลือดฝอยแตกใต้ผิวหนัง พบรอยจ้ำเขียวคล้ำ
    8. ปวดบวมแดงร้อนตามร่างกายหรือตามข้อ
    9. กล้ามเนื้อเกร็งค้าง กดเจ็บ เป็นตะคริวบ่อย ๆ
    10. ผิวหนังผิดปกติ เกิดฝีหนอง น้ำเหลืองเสีย
    11. ตกกระสีน้ำตาล หรือสีดำตามร่างกาย
    12. ท้องผูก อุจจาระแข็งหรือเป็นก้อนเล็ก ๆ คล้ายขี้แพะ บางครั้งมีท้องเสียแทรก
    13. ปัสสาวะมีปริมาณน้อย สีเข้ม ปัสสาวะบ่อย แสบขัด ถ้าเป็นมากๆ จะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ หรือมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะด้วย มักลุกปัสสาวะช่วงเที่ยงคืนถึงตี 2
    14. ออกร้อนท้อง แสบท้อง ปวดท้อง บางครั้งมีท้องอืดร่วมด้วย (ท้องอืดโดยทั่วไปแล้วเป็นภาวะเย็นเกิน)
    15. มีผื่นที่ผิวหนัง ปื้นแดงคัน หรือมีตุ่มใสคัน
    16. เป็นเริม งูสวัด
    17. หายใจร้อน เสมหะเหนียวข้น ขาวขุ่น สีเหลือง หรือเขียว บางทีมีเสมหะพันคอ ไอ
    18. โดยสารรถ มักอ่อนเพลีย และหลับขณะเดินทาง
    19. เลือกกำเดาออก
    20. มักง่วงนอนหลังกินข้าวอิ่มใหม่ๆ
    21. เป็นมากจะยกแขนขึ้นไม่สุด ไหล่ติด
    22. เล็บมือ เล็บเท้า ขวางสั้น ผุ ฉีกง่าย มีสีน้ำตาล หรือดำคล้ำ อักเสบบวมแดงที่โคนเล็บ เล็บขบ
    23. หน้ามืด เป็นลม วิงเวียน บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน มักแสดงอาการเมื่ออยู่ในที่อับหรืออากาศร้อน หรือเปลี่ยนอิริยายถเร็วเกิน หรือทำงานเกินกำลัง
    24. เจ็บเหมือนมีเข็มแทงหรือไฟฟ้าช๊อต หรือร้อนเหมือนไฟเผาตามร่างกาย
    25. อ่อนล้า อ่อนเพลีย แม้นอนพักก็ไม่หาย
    26. รู้สึกร้อนแต่เหงื่อไม่ออก
    27. เจ็บปลายลิ้น แสดงว่าหัวใจร้อนมาก ถ้าเป็นมากๆ
    จะเจ็บแปลบที่หน้าอก และอาจร้าวไปที่แขน
    28. เจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง
    29. หิวมาก หิวบ่อย หูอื้อ ตาลาย ลมออกหู หูตึง
    30. สะอึก
    31. ส้นเท้าแตก ส้นเท้าอักเสบ เจ็บส้นเท้า
    32. เกร็ง ชัก
    33. โรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน ได้แก่ โรคหัวใจ เนื้องอก มะเร็ง โรคเกาต์ เบาหวาน ความดัน-โลหิตสูง ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ปวดมดลูก กระเพาะอาหาร-ลำไส้อักเสบ ตับอักเสบ หอบหืด ไตอักเสบ ไตวาย นิ่วไต นิ่วกระเพาะปัสสาวะ นิ่วถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโต เป็นหวัดร้อน ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ และพิษของแมลงสัตว์กัดต่อย
    โรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน แก้ด้วยอาหาร ผัก-ผลไม้,สมุนไพร ฤทธิ์เย็น
    ภาวะร้อนเกินและเย็นเกินที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
    1. ไข้สูงแต่หนาวสั่นหรือเย็นมือเย็นเท้า
    2. ปวดหัวตัวร้อนร่วมกับท้องอืด
    3. ปวด/บวม/แดง/ร้อนร่วมกับมึนชาตามเนื้อตัวแขนขา
    ภาวะร้อนเกินและเย็นเกินที่เกิดขึ้นพร้อมกันแก้ด้วยสมุนไพรฤทธ์เย็น แต่นำไปต้ม
    หรือเติมน้ำร้อน ดื่มขณะอุ่นๆ หรือสมุนไพรฤทธ์ร้อน-เย็นผสมกัน

    อาการหรือโรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบเย็นเกิน
    1. หน้าซีดผิดปกติจากเดิม
    2. ตุ่มหรือแผลในช่องปากด้านบน
    3. ตาแฉะ ขี้ตามาก ตามัว
    4. เสมหะมาก ไม่เหนียว สีใส
    5. หนักหัว หัวตื้อ
    6. ริมฝีปากซีด
    7. ขอบตา หนังตาบวมตึง
    8. เฉื่อยชา เคลื่อนไหวช้า คิดช้า
    9. ไอ อาการมักทุเลาเมื่อถูกภาวะร้อน
    10. ผิวหน้าบวมตึง แต่ไม่ร้อน
    11. เจ็บหน้าอกด้านขวา
    12. หายใจไม่อิ่ม
    13. ท้องอืดจุกเสียดแน่น
    14. ปัสสาวะสีใส ปริมาณมาก
    15. อุจจาระเหลวสีอ่อน มักท้องเสีย
    16. มือเท้า มึนชา เย็น สีซีดกว่าปกติ หนาวสั่นตามร่างกาย
    17. ตกกระสีขาว
    18. มักมีเชื้อราตามผิวหนังหรือที่เล็บมือ/เล็บเท้า
    19. เล็บยาวแคบกว่าปกติ
    20. เท้าบวมเย็น
    โรคที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบเย็นเกิน แก้ด้วยอาหาร ผัก-ผลไม้,สมุนไพรฤทธิ์ร้อน

    อาหารฤทธิ์ร้อน-อาหารฤทธิ์เย็น

    อาหารฤทธิ์ร้อน

    กลุ่มคาร์โบไฮเดรต
    - ข้าวเหนียว ข้าวแดง ข้าวดำ (ข้าวก่ำ ข้าวนิล) ข้าวอาร์ซี ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์
    - เผือก มัน กลอย อาหารหวานจัด ขนมปัง ขนมกรุบกรอบ บะหมี่ซอง


    กลุ่มโปรตีน
    - เนื้อ นม ไข่
    - ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ถั่วทอดทุกชนิด
    - เห็ดโคน (เห็ดปลวก) เห็ดหอม เห็ดหลินจือ เห็ดก่อ เห็ดไค เห็ดขม เห็ดผึ้ง
    - โปรตีนจากพืชและสัตว์ที่หมักดอง เช่น เต้าเจี้ยว มิโสะ โยเกิร์ต ซีอิ้ว แทมเป้ กะปิ น้ำปลา ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาเค็ม
    - เนื้อเค็ม แหนม ไข่เค็ม ซีอิ้ว เป็นต้น


    กลุ่มไขมัน
    ควรงดหรือลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
    เพราะไขมันมีพลังงานความร้อนมากกว่าอาหารชนิดอื่นๆ เช่น
    - น้ำมันพืช น้ำมันสัตว์
    - กะทิ เนื้อมะพร้าว
    - งา รำข้าว จมูกข้าว
    - เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดอัลมอลล์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดกระบก
    - ลูกก่อ เป็นต้น


    กลุ่มผักฤทธิ์ร้อน ผักที่มีรสเผ็ดทุกชนิด เช่น
    - กระชาย กระเพรา กุ้ยช่าย (ผักแป้น) กระเทียม
    - ขิง ข่า (ข่าแก่จะร้อนมาก) ขมิ้น
    - ผักชี ยี่หร่า โหระพา พริก (พริกไทย ร้อนมาก) แมงลัก
    - ไพล ตะไคร้ ใบมะกรูด เครื่องเทศ
    - ต้นหอม หอมหัวใหญ่ หอมแดง เป็นต้น

    นอกจากนี้ยังมีพืชบางชนิดที่ไม่มีรสเผ็ดแต่มีฤทธิ์ร้อน (มีพลังงานความร้อนหรือแคลอรี่ที่มาก) เช่น
    - กะหล่ำปลี กระเฉด ใบยอดและเมล็ดกระถิน ผักกาดเขียวปลี
    - ผักโขม ผักแขยง
    คะน้า แครอท
    - ชะอม
    - บีทรูท เม็ดบัว ไหลบัว รากบัว แปะตำปึง ใบปอ ใบยอ
    - แพงพวยแดง
    - ถั่วฝักยาว ถั่วพู สะตอ ลูกเนียง
    - ลูกตำลึง ฟักทองแก่
    - โสมจีน โสมเกาหลี (ร้อนเล็กน้อย)
    - ไข่น้ำ (ผำ) สาหร่่ายทะเล สาหร่ายน้ำจืด(เทา) ยอดเสาวรส หน่อไม้
    - พืชที่มีกลิ่นฉุนทุกชนิด เป็นต้น


    กลุ่มผลไม้ฤทธิ์ร้อน
    เป็นกลุ่มผลไม้ที่ให้น้ำตาล วิตามินหรือธาตุอาหารที่นำไปสู่ขบวนการเผาผลาญ
    เป็นพลังงานความร้อน (แคลอรี่) ที่มาก เ่ช่น
    - กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ กระเจี๊ยบแดง กระทกรก (เสาวรส)
    - สำหรับกล้วยหอมทองและกล้วยหอมเขียวมีรสหวานจัดจึงมักออกฤทธิ์ตีกลับเป็นร้อน)
    - ขนุนสุก
    - เงาะ
    - ฝรั่ง
    - ทุเรียน ทับทิมแดง
    - น้อยหน่า
    - มะตูม มะเฟือง มะไฟ มะแงว มะปราง มะม่วงสุก มะขามสุก (ร้อนเล็กน้อย) มะละกอสุก (ร้อนเล็กน้อย)
    - ระกำ (ร้อนเล็กน้อย)
    - ลิ้นจี่ ลำไย ลองกอง ละมุด ลูกยอ ลูกลำดวน ลูกยางม่วง ลูกยางเีขียว ลูกยางเหลือง
    - สละ ส้มเขียวหวาน สมอพิเภก
    - องุ่น
    - ผลไม้ทุกชนิดที่ผ่านความร้อน เช่น การอบ ปึ้ง ย่าง หรือตากแห้ง เป็นต้น


    อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนมาก ถ้ากินมากเกินไป จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก

    - อาหารที่ปรุงเค็มจัด มันจัด หวานจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ฝาดจัดและขมจัด
    - อาหาร กลุ่มไขมัน
    - เนื้อ นม ไข่ที่มีไขมันมาก รวมถึงสารที่มีสารเร่งสารเคมีมาก
    - พืชผักผลไม้ที่มีการสารเคมีมาก
    - อาหารที่ปรุงผ่านความร้อนนาน ๆ ผ่านความร้อนหลายครั้ง ใช้ไฟแรง หรือใช้คลื่นความร้อนแรง ๆ
    - อาหารใส่สารสังเคราะห์ ใส่สารเคมี
    - อาหารใส่ผงชูรส
    - สมุนไพร หรือยาที่กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดหรือบำรุงเลือด
    - วิตามิน แร่ธาตุ และอาหารเสริมที่สกัดเป็นน้ำ ผง หรือเม็ด
    - ยกเว้นอาจกินได้เมื่อมีข้อบ่งชี้ชัดเจนว่าขาดสารดังกล่าว
    - เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หรือน้ำตาลที่มากเกินไป เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์
    - ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น
    - อาหาร ที่มีโซเดียมสูง ได้แก่ อาหารแปรรูปหรือสำเร็จรูปต่าง ๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมอบ
    - ขนมกรุบกรอบ ขนมปัง อาหารกระป๋อง ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง น้ำหมัก ข้าวหมาก ปลาเค็ม เนื้อเค็ม
    - ไข่เค็ม ของหมักดอง อาหารทะเล (จะมีทั้งไขมันและโซเดียมสูง) เป็นต้น
    - น้ำร้อนจัด เย็นจัด และน้ำแข็ง

    โดยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนว่าจะงดหรือลดอะไร แค่ไหนที่ทำให้เกิดสภาพโปร่งโล่งสบาย เบากายและกำลังเต็มที่สุด



    ************

    อาหารฤทธิ์เย็น
    กลุ่มคาร์โบไฮเดรต
    - น้ำตาล ข้าวขาว เส้นขาว (เส้นหมี่. เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีน้ำมัน) วุ้นเส้น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้องเหลือง
    สำหรับ น้ำตาล ข้าวขาว เส้นขาว และวุ้นเส้นกินเพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาที่ร่างกายร้อนมากๆ


    กลุ่มโปรตีน
    - ถั่วขาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา ถั่วโชเล่ย์ขาว ลูกเดือย
    - เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู เห็ดขอนขาว เห็ดลม(เห็ดบด) เห็ดตาโล่ เห็ดตีนตุ๊กแก


    กลุ่มผักฤทธิ์เย็น
    - กระหล่ำดอก ก้านตรง กวางตุ้ง ผักกาดฮ่องเต้ ผักกาดขาว ผักกาดหอม
    - หยวกกล้วย ปลีกล้วย ก้านกล้วย กล้วยดิบ หัวไช้เท้า (ผักกาดหัว) ก้างปลา
    - ข้าวโพด ขนุนดิบ ดอกสลิด (ดอกขจร) ฝัก/ยอด/ดอกแค
    - ใบเตย ผักติ้ว ตังโอ๋ ใบ/ยอดตำลึง
    - ถั่วงอก
    - บัวบก สายบัว ผักบุ้ง บล๊อกเคอรี่ บวบ
    - ปวยเล้ง ผักปลัง
    - พญายอ (เสลดพังพอนตัวเมีย)
    - ฟักทองอ่อน ยอดหรือดอกฟักทอง ยอดฟักข้าว ยอดฟักแม้ว ฟัก แฟง แตงต่างๆ
    - มะละกอดิบ-ห่าม มะเขือเปราะ มะเขือลาย มะเขือยาว มะเขือเทศ มะเดื่อ มะอึก ใบมะยม ใบมะขาม
    - มังกรหยก มะรุม ยอดมะม่วงหิมพานต์
    - ย่านางเขียว-ขาว
    - รางจืด
    - ว่านกาบหอย ว่านหางจระเข้ ว่านมหากาฬ ทูน (ตูน) ว่านง็อก (ใบหูลิง) ผักว่าน
    - โสมไทย ใบส้มป่อย ส้มเสี้ยว ส้มรม ส้มกบ
    - หมอน้อย ผักหวานป่า ผักหวานบ้าน เหงือกปลาหมอ ผักโหบแหบ
    - อ่อมแซบ (เบญจรงค์) ยอดอีสึก (ขุนศึก) อีหล่ำ

    กลุ่มผลไม้ฤทธิ์เย็น
    - กล้วยน้ำว้าห่าม กล้วยหักมุก แก้วมังกร กระท้อน
    - แคนตาลูป
    - ชมพู่ เชอรี่
    - แตงโม แตงไทย
    - ทับทิมขาว ลูกท้อ
    - มังคุด มะยม มะขวิด มะดัน มะม่วงดิบ มะละกอดิบ-ห่าม มะขามดิบ
    - น้ำมะนาว น้ำมะพร้าว
    - ลางสาด
    - สับปะรด สตรอเบอรี่ สาลี่ ส้มโอ ส้มเช้ง ส้มซ่า ส้มเกลี้ยง สมอไทย
    - ลูกหยี หมากเม่า หมากผีผ่วย
    - แอปเปิ้ล

    เรียบเรียงโดยใช้ข้อมูลจาก ถอดรหัสสุขภาพ เล่ม ๒ "ความลับฟ้า: ถ้าสุขภาพพึ่งตนเกิดไม่ได้ หมอและคนไข้จะพากันป่วยตาย" โดย ใจเพชร มีทรัพย์ (หมอเขียว)
    ผมได้ความรู้นี้จาก การไปเข้าอบรมการแพทย์วิถีพุทธ(วิถีธรรม) ที่คุณหมอเขียว(ใจเพชร กล้าจน)
    ที่สวนป่านาบุญ อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร เมื่อ15-21พ.ย.2552 และปี2553 เมษายน10วัน,ตลาคม10วันครับ
    กิจกรรมในค่ายสุขภาพกับหมอเขียว ณ สวนป่านาบุญ ดอนตาล - GotoKnow
    เทคนิคการปรับสมดุลของร่างกาย
    1.สมุนไพรเพื่อปรับสมดุล ฤทธิ์ร้อน-เย็น เช่นน้ำใบย่านาง ฯลฯ
    2.ขูดกวาซา เพื่อขับพิษ,ลมออกจากร่างกาย คนที่เป็นไข้,ปวดหัวหายทันที
    3.สวนล้างลำไส้ใหญ่(ดีทอกซ์)เพื่อขับพิษ ทำแล้วรู้สึกสบาย เบากาย
    4.การแช่มือแช่เท้าด้วยสมุนไพรฤทธ์เย็น และฤทธิ์ร้อน
    5.การพอกทาด้วยถ่าน,สมุนไพรฤทธ์เย็น อาบ,หยอด,ประคบ
    6.การออกกำลังกาย โยคะกดจุดลมปราณ การไล่เส้นลมปราณ เพื่อให้ลมปราณไหลเวียนดี
    หากลมปราณอุดตันจะตึง จะปวดบริเวณนั้น หรือบริเวณที่เกี่ยวเนื่องกัน
    7.เน้นอาหารธรรมชาติ ปรุงแต่งน้อย รสไม่จัด ผัก-ผลไม้ฤทธิ์เย็น ถ้าอกาศหนาวก็ฤทธ์ร้อนเล็กน้อย
    (ถ้าเมืองหนาวที่มีหิมะตกก็เน้นฤทธ์ร้อน)
    8.ใช้หลักธรรมรักษาใจของตน ด้วยการเว้นความชั่วทั้งปวง (รักษาศืล) รักษาใจของตน
    ให้อยู่ในฝ่ายกุศลอยู่เสมอ และฝึกสติ ให้ตัวรู้ รู้ชัดอยู่กับปัจจุบันขณะ (รู้ลมหายใจเข้า-ออก)
    รู้กาย รู้ใจของตน พิจารณากาย, เวทนา, จิต, ธรรม ตามภูมิธรรมของตน
    9.รู้เพียน รู้พักให้พอดี
    ขออนุญาตินำรูป ย่านางเขียว ของคุณDINมาลงไว้ในนี้ด้วยครับ

    ต้นอ่อมแซบ


    การทำน้ำย่านาง นำสมุนไพรฤทธิ์เย็นเท่าที่หาได้ไม่ยากไม่ลำบาก
    ล้างใบย่านางให้สะอาด


    ล้างใบเตย ใบหญ้าม้าให้สะอาด
    ซ้ายใบเตยประมาณ20ใบ ขวาใบหญ้าม้าประมาณ20ใบ
     
  11. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
  12. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279

    มะระขี้นก-+--ชื่อสามัญ : Bitter Cucumber, Bitter Gourd, Carilla Fruit.

    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Momordica charantia Linn.

    วงศ์ : CUCURBITACEAE

    ชื่ออื่น ๆ ผักไห่ มะไห่ มะนอย มะห่วย ผักไซ (เหนือ) สุพะซู สุพะเด (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) มะร้อยรู (กลาง) ผักเหย (สงขลา) ผักไห (นครศรีธรรมราช) ระ (ใต้) ผักสะไล ผักไส่ (อีสาน) โกควยเกี๋ยะ โควกวย (จีน) มะระเล็ก มะระขี้นก (ทั่วไป)



    ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

    ราก เป็นพวก cap root system มีรากแก้วแทงลงไปในดินและมีรากแขนงแตกออกไปจากรากแก้วอีก

    ลำต้น ลักษณะเป็นเถาเลื้อยมีสีเขียวขนาดเล็ก เป็นเหลี่ยม 5 เหลี่ยม มีขนอยู่ทั่วไป มีมือเกาะที่เจริญออกมาจากส่วนของข้อ ใช้สำหรับยึดจับ

    ใบ เป็นใบเดี่ยว รูปฝ่ามือมีสีเขียวอ่อน และมีขนอ่อนนุ่มปกคลุมเล็กน้อย เมื่อแก่จัดจะมีสีเขียวเข้ม ออกเรียงสลับกัน ก้านใบยาว ขอบใบเว้าหยักลึกเข้าไปในตัวใบ 5 – 7 หยัก ปลายใบแหลม ใบกว้าง 4.5 – 11.5 เซนติเมตร ยาว 3.5 – 10 เซนติเมตร เส้นใบแยกออกจากจุดเดียวกัน แล้วแตกออกเป็นร่างแห

    ดอก เป็นดอกเดี่ยว ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียแยกเพศกัน อยู่ในต้นเดียวกัน เจริญมาจากข้อ

    ดอกตัวผู้ เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 – 1.5 นิ้ว กลีบนอก 5 กลีบ สีเขียวปนเหลือง กลีบในมี 5 กลีบ สีเหลืองสด เกสรตัวผู้มี 3 อัน แต่ละอันจะมีเรณูและก้านชูเกสรตัวผู้อย่างละ 3 อัน เจริญออกมาก่อนดอกตัวเมีย

    ดอกตัวเมีย เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 – 1.5 นิ้ว มีรังไข่แบบ infarior ovary ประกอบด้วยกลีบดอก 5 กลีบ สีเขียวปนเหลือง กลีบใน 5 กลีบ สีเหลืองสด เกสรตัวเมียมีรังไข่ 1 อัน stima 3 คู่ ก้านชูเกสรตัวเมีย 3 อัน

    ผล รูปร่างคล้ายกระสวยสั้น ๆ ผิวเปลือกขรุขระและมีปุ่มยื่นออกมา ผลอ่อนมี สีเขียว เมื่อแก่เต็มที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมแดง ปลายผลจะแตกอ้าเป็น 3 แฉก ผลยาว 5 – 7 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางผล 2 – 4 เซนติเมตร

    เมล็ด เมื่อแก่เต็มที่มีเมือกสีแดงสดห่อหุ้มเมล็ดอยู่ เมล็ดมีรูปร่างกลม รี แบน ปลายแหลมสีฟางข้าว

    สภาพแวดล้อมในการผลิต

    ดิน สามารถขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด แต่ดินที่ปลูกได้ผลดีที่สุด คือ ดินร่วนปนทราย ซึ่งมีการระบายน้ำดีความเป็นกรดเป็นด่างของดินเป็นกรดเล็กน้อยถึงปานกลางแสงแดด ชอบแสงแดดเต็มที่ตลอดวันความชื้น ในดินสูงสม่ำเสมอเพียงพออุณหภูมิช่วงที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง18 – 25 องศาเซลเซียส สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี

    การเตรียมดิน

    แปลงปลูก มะระขี้นกเป็นผักที่มีระบบรากลึกปานกลาง ควรไถดินลึกประมาณ 20 – 25 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 7 – 10 วันใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วเข้าไปให้มาก เพื่อปรับปรุงสภาพทางกายของดิน แล้วยกร่องเล็ก ๆ ยาวไปตามพื้นที่่ระบบปลูก นิยมระบบแถวคู่ระยะปลูก ระยะที่เหมาะสมคือ ระยะระหว่างต้น 50 – 75 เซนติเมตร และระยะระหว่างแถว 1 เมตร

    วิธีปลูกและการปฏิบัติดูแลรักษา

    หยอดเมล็ดโดยตรงลงในแปลง หลุมละ 3 – 4 เมล็ด ลึกลงไปในดินประมาณ 2.5 – 3.5 เซนติเมตร ลบด้วยปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักที่สลายตัวแล้ว หรือดินผสม รดน้ำให้ชุ่ม คลุมฟางแห้งหรือหญ้าแห้งที่สะอาดให้หนาพอควร เมื่อต้นกล้ามีใบจริง2 ใบ ถอนแยกต้นที่อ่อนแอไม่สมบูรณ์ทิ้ง เหลือไว้หลุมละ 2 ต้นเมื่อมะระเริ่มเลื้อยหรือต้นมีอายุประมาณ 15 วัน

    ควรทำค้างเพื่อให้ต้นเลื้อยเกาะขึ้นไป อาจทำได้ 2 แบบ คือ

    แบบที่ 1 ปักไม้ค้างยาวประมาณ 2 – 2.5 เมตร ทุก ๆ หลุมแล้วเอนปลายเข้าหากัน ผูกมัดปลายไว้ แล้วใช้ไม้ค้างพาดขวางประมาณ 2 – 3 ช่วง

    แบบที่ 2 ปักไม้ค้างยาวประมาณ 2 – 2.5 เมตร ทุก ๆ ระยะ 1.5 – 2 เมตร ขนานกับแถวปลูก ใช้เชือกผูกขวางทุก ๆ ระยะ 30 เซนติเมตร รวมทั้งผูกทะแยงไปมาด้วย (เมืองทอง, 2525)

    การรดน้ำ รดเช้า-เย็น ควรให้อย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ถึงกับเปียกแฉะ ไม่ควรขาดน้ำ โดยเฉพาะช่วงออกดอกติดผล

    การพรวนดิน กำจัดวัชพืช ควรปฏิบัติในระยะแรก เมื่อต้นยังเล็กอยู่ เพื่อไม่ให้วัชพืช ระวังอย่าให้กระทบกระเทือนถึงระบบราก

    การให้ปุ๋ย อายุประมาณ 15 วัน ควรให้ปุ๋ยยูเรีย หรือแอมโมเนียมซัลเฟต ประมาณ 5 ช้อนแกงต่อหลุม พรวนรอบ ๆ ต้นแล้วรดน้ำ

    ปริมาณของปุ๋ยที่ใช้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และปริมาณของปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักที่ใช้

    โรคที่สำคัญ ได้แก่ โรคใบจุด โรคเหี่ยว

    แหล่งที่สำคัญ ได้แก่ แมลงวันทอง เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน หนอนเจาะเถา หนอนเจาะยอด

    การเก็บเกี่ยว อายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 45 วัน เก็บผลที่ยังอ่อนอยู่

    คุณค่าทางอาหาร

    ได้มีการศึกษาคุณค่าทางอาหารของผลมะระขี้นก พบว่า ผลมะระขี้นก 100 กรัม มีส่วนประกอบดังนี้ (สถาบันการแพทย์แผนไทย, 2540 และทศพร, 2531)

    ความชื้น


    83.20


    กรัม

    พลังงาน


    17.00


    กิโลกรัม

    ไขมัน


    1.00


    กรัม

    เส้นใย


    12.00


    กรัม

    คาร์โบไฮเดรท


    9.80


    กรัม

    แคลเซียม


    3.00


    มิลลิกรัม

    โปรตีน


    2.90


    กรัม

    ฟอสฟอรัส


    140.00


    มิลลิกรัม

    เหล็ก


    9.40


    มิลลิกรัม

    วิตามินเอ


    2924.00


    IU

    วิตามินบี 1


    0.09


    มิลลิกรัม

    วิตามินบี 2


    0.05


    มิลลิกรัม

    วิตามินซี


    0.40


    มิลลิกรัม

    ไทอามีน


    0.07


    มิลลิกรัม

    ไนอาซีน


    190.00


    มิลลิกรัม

    การปรุงอาหาร

    คนไทยทุกภาครับประทานมะระขี้นกเป็นผัก ไม่นิยมรับประทานสด เพราะมีรสขม โดยเฉพาะผลจะขมมาก วิธีปรุงเป็นอาหาร

    โดยการนึ่งหรือลวกให้สุกก่อนและรับประทานเป็นผักจิ้ม รวมกับน้ำพริกหรือป่นปลาของชาวอีสาน หรืออาจนำไปผัดหรือแกงร่วมกับผักอื่นได้

    การนำผลมะระขี้นกไปปรุงเป็นอาหารอื่น เช่น ผัดกับไข่ เป็นต้น นิยมต้มน้ำและเทน้ำทิ้ง 1 ครั้งก่อนหรือการใช้วิธีคั้นกับน้ำเกลือ

    เพื่อลดรสขมลงก็ได้

    ราก แก้พิษ รักษาริดสีดวงทวาร ฝาดสมาน แก้พิษดับร้อน แก้บิด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด แผลฝีบวมอักเสบ ปวดฟันที่เกิดจากลมร้อนเถา ยาระบายอ่อน ๆ แก้พิษทั้งปวง เจริญอาหาร แก้โรคลมเข้าข้อและเท้าบวม แก้ปวดตามข้อมือและนิ้วมือนิ้วเท้า แก้โรคม้าม แก้โรคตับ ขับพยาธิในท้อง แก้พิษน้ำดีพิการ ลดเสมหะ บำรุงน้ำดี แก้พิษดับร้อน แก้บิด แก้ฝีอักเสบ แก้ปวดฟัน แก้ไข้

    ใบ แก้ไข้ ดับพิษร้อน แก้ปากเปื่อยเป็นขุย ขับพยาธิ ขับระดู บีบมดลูก ขับลม แก้ธาตุไม่ปกติ ทำให้นอนหลับ แก้ปวดศีรษะ แก้พิษ แก้ไอเรื้อรัง ยาระบายอ่อน ๆ แก้เสียดท้อง บำรุงธาตุ ขับพยาธิเส้นด้าย ดับพิษฝีที่ร้อน รักษาแผล บำรุงน้ำดี แก้ไข้หวัด ไข้ตัวร้อน ยาฟอกเลือด แก้ร้อนใน แก้ม้าม แก้ตับพิการ แก้ฟกบวมอักเสบ แก้ปวดเนื่องจากลมคั่งในข้อ ทำให้อาเจียน แก้โรคกระเพาะ แก้บิด แผลฝีบวมอักเสบ เจริญอาหาร ฟอกโลหิต รัดถานและถอนไส้ฝี

    ดอก แก้พิษ แก้บิด

    ผล แก้พิษฝี แก้ฟกบวม แก้อักเสบ แก้โรคลมเข้าข้อ บำรุงน้ำดี ขับพยาธิ แก้ปากเปื่อย ปากเป็นขุย บำรุงระดู ดับพิษร้อน ถ่ายท้อง แก้พิษ ขับลม แก้คัน แก้ธาตุไม่ปกติ แก้เสียดท้อง แก้เจ็บปวดอักเสบ ระบายอ่อนๆ แก้บวม แก้โรคผิวหนัง บำบัดโรคเบาหวาน ยาบำรุง ทาหิด ฝาดสมาน แก้โรคเม็ดผดผื่น คันในตัวเด็ก แก้พิษไข้ แก้หัวเข่าบวม แก้ปวดตามข้อ แก้ม้าม แก้ตับพิการ เจริญอาหาร ใช้มากๆ เป็นยาถ่ายอย่างแรง รักษาโรคเรื้อน บำรุงธาตุ แก้ไข้ แก้ปวดเจ็บอักเสบจากพิษต่างๆ ดับร้อน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ทำให้ตาสว่าง แก้บิด ตาบวมแดง แผลบวม เป็นหนอง ต้านมะเร็ง

    เมล็ด แก้พิษ เป็นยากระตุ้นความรู้สึกทางเพศ เพิ่มพูนลมปราณ บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ต้านมะเร็ง

    ทั้งห้า บำรุงน้ำดี ดับพิษทั้งปวง เจริญอาหาร บำรุงน้ำนม แก้ไข้

    วิธีใช้และปริมาณที่ใช้

    ผลสด ตำรับประทานครั้งละ 6-15 กรัม หรือผิงไฟให้แห้งบดเป็นผงรับประทาน ใช้ภายนอก ตำคั้นเอาน้ำทาหรือพอก

    เมล็ดแห้ง 3 กรัม ต้มน้ำดื่มใบสด 30-60 กรัม ต้มน้ำดื่มหรือใบแห้งบดเป็นผงรับประทาน ใช้ภายนอกต้มเอาน้ำชะล้าง

    พอกหรือคั้นเอาน้ำทารากสด 30-60 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก ต้มเอาน้ำชะล้างเถาแห้ง 3-12 กรัม ต้มน้ำดื่ม ใช้ภายนอก

    ต้มเอาน้ำชะล้างหรือตำพอก

    ประโยชน์ทางยา

    ลดน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน หั่นเนื้อมะระตากแห้งชงน้ำดื่ม ถ้าต้องการกลบรสขมให้เติมใบชาลงไปด้วยขณะที่ชง ดื่มต่างน้ำชา นอกจากนี้น้ำต้มผลมะระ สามารถลดการเกิด ต้อกระจก ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงในคนที่เป็นโรคเบาหวานได้
    รักษาโรคเอดส์ต้านเชื้อ HIV (ไมตรี, 2542) ใช้ผลอ่อนทำเป็นน้ำคั้น หรือบดเป็นผงใส่แคปซูล หรือยาลูกกลอน การใช้น้ำคั้นจากผลดื่มได้ผลดีกว่ากินสดหรือต้ม แต่การสวนทวารด้วยน้ำคั้นมะระจะได้ผลดีกว่าการดื่ม เพราะสารสำคัญ MAB 30 เป็นสารโปรตีนที่จะถูกทำลายโดยกรดและน้ำย่อยอาหารในกระเพาะอาหารได้
    ฤทธิ์ต้านมะเร็ง (แสงไทย, 2544) สารสำคัญที่ออกฤทธิ์ต้านมะเร็ง คือ guanylate cyclase inhibitor สกัดได้จากผลสุก MAB 30 สกัดจากเนื้อผลสุกและเมล็ด momorchrin สกัดจากเมล็ด ผลและเมล็ดต้มน้ำดื่ม
    ช่วยเจริญอาหาร ใช้เนื้อของผลที่ยังไม่สุกไม่จำกัดจำนวน ใช้ประกอบเป็นอาหาร ผักจิ้ม ต้ม แกง
    ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ใช้ใบสดมะระขี้นก 20-30 ใบ หั่นใบชงด้วยน้ำร้อนเติมเกลือ เล็กน้อย ช่วยกลบรสขม ดื่มแต่น้ำ ใช้ได้ดีสำหรับถ่ายพยาธิเข็มหมุด นอกจากนี้ยังใช้เมล็ด 2-3 เมล็ด รับประทานขับพยาธิตัวกลม
    ทำให้อาเจียน ใช้เถาสด 1/3 กำมือ หรือ 6-20 กรัม เติมน้ำพอท่วมต้มให้เดือด 5-10 นาที ดื่มแต่น้ำ
    รักษาชันนะตุและศีรษะเป็นเม็ดผื่นคัน ใช้ผลสดที่ยังไม่สุกหั่นเนื้อมะระแล้วตำคั้นเอาแต่น้ำ เติมดินสอพองลงในพอสมควร ใช้ทาบริเวณที่เป็นชันนะตุ (ดารณี, 2544)
    เป็นยาแก้ไข ใช้ผลมะระต้มน้ำแล้วดื่ม อาการตัวร้อนจะหายไป
    แก้ไข้ที่เกิดจากกระทบความร้อน ใช้ผลสด 1 ผล ควักไส้ในออกใส่ใบชาเข้าไปแล้วประกบกันนำไปตากให้แห้งในที่ร่ม รับประทานครั้งละ 6-10 กรัม โดยต้มน้ำดื่มหรือชงน้ำดื่มต่างชา ก็ได้
    แผลสุนัขกัด ใช้ใบสดตำพอก
    แก้ปวดฝี ใช้ใบแห้ง บดเป็นผงชงเหล้าอื่น แก้ฝีบวมอักเสบใช้ใบสดตำคั้นเอาน้ำทาบริเวณที่เป็นหรือใช้รากแห้งบดเป็นผงผสมน้ำพอก
    แก้ปวดฟัน ใช้รากสดตำพอก
    แก้คัน แก้หิด และโรคผิวหนังต่างๆ ใช้ผลแห้งบดเป็นผง ใช้โรยแผลแก้คันหรือทำเป็นขี้ผึ้ง ใช้ทาแก้หิดและโรคผิวหนังต่างๆ

     
  13. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2014
  14. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
    แป๊ะตำปึง ออร์ จินเจียเหมาเยี่ย

    [​IMG]

    แป๊ะตำปึงหรือจินเจียเหมาเยี่ย | บ้านสวนพอเพียง

    สมุนไพร

    หาข้อมูลต้นแป๊ะตำปึงในเน็ต ไปเจอนี่ค่ะ...เป็นข้อคิดเห็นของคุณมะลิ

    แป๊ะตำปึงกับจินเจียเหมาเยี่ยเป็นสมุนไพรคนละต้นกัน วิธีสังเกตุง่ายๆคือ แป๊ะตำปึงจะออกดอกเมื่ออายุประมาณ 4 เดือน ดอกสีเหลืองมีกลิ่นฉุน แต่จินเจียเหมาเยี่ยจะไม่ออกดอก ปลูกนานแค่ไหนก็ไม่ออกดอก อีกข้อหนึ่งคือลักษณะใบแตกต่างกัน ใบของแป๊ะตำปึงจะมีขนใบปกคลุมหนาแน่นจับดูจะนุ่ม ส่วนใบของจินเจียเหมาเยี่ยจับดูจะรู้สึกแข็งกรอบ ใบของจินเจียเหมาเยี่ยมีสารที่เรียกว่าไซยาไนด์ เป็นสารอันตราย หากรับประทานมากจะเกิดการสะสม เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ต้องทานให้ถูกต้น
     
  15. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279


    ตำรับยาสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานหายขาด - สมุนไพรแก้เบาหวาน

    สมุนไพรรักษาเบาหวาน

    เบาหวาน ( Diabetes mellitus) เป็นความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิต ฮอร์โมน อินซูลิน
    ( Insulin) ไม่เพียงพอ อันส่งผลทำให้ระดับ น้ำตาล ใน กระแสเลือด สูงเกิน โรคนี้มีความรุนแรงสืบเนื่องมาจากการที่ร่าง
    กายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่างเหมาะสม โดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของ
    ฮอร์โมนอินซูลินในผู้ชายที่เป็นโรคเบาหวานจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาล
    ในเลือดสูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลในการทำลายหลอดเลือด ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่สภาวะ
    แทรกซ้อนที่รุนแรงได้

    ชนิดและสาเหตุ
    เบาหวาน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
    • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ ซึ่งสร้างอินซูลินในส่วนของ ตับอ่อน ทำให้ร่างกายหยุดสร้างอินซูลิน ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุมน้ำตาลใน
    เลือดระยะยาว
    • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบชัดเจน แต่มีส่วนเกี่ยวกับ พันธุกรรม นอก
    จากนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักตัวมาก และขาดการออกกำลังกาย ทั้งวัยที่เพิ่มขึ้น เซลล์ของผู้ป่วยยังคงมีการสร้าง
    อินซูลินแต่ทำงานไม่เป็นปกติ เนื่องจากมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้เซลล์ที่สร้างอินซูลินค่อยๆถูกทำลายไป บางคนเริ่มมีภาวะ
    แทรกซ้อนโดยไม่รู้ตัว และต้องการยาในการรับประทาน และบางรายต้องใช้อินซูลินชนิดฉีด เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด

    อาการ
    ถ้าหากพบอาการดังต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์
    • ปัสสาวะมากขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น
    • ปัสสาวะกลางคืนบ่อยขึ้น (ระหว่างช่วงเวลาที่เข้านอนแล้วจนถึงเวลาตื่นนอน)
    • หิวน้ำบ่อยและดื่มน้ำในปริมาณที่มากๆ
    • เหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรง
    • น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะถ้าหากน้ำหนักเคยมากมาก่อน
    • ติดเชื้อบ่อยกว่าปกติ เช่น ติดเชื้อทางผิวหนังและกระเพาะอาหาร
    • สายตาพร่ามองเห็นไม่ชัดเจน
    • เป็นแผลหายช้า
    โดย เบาหวานชนิดที่ 2 อาจจะมีอาการเหล่านี้บางอย่าง หรืออาจไม่มีอาการเหล่านี้เลย อาการแทรกซ้อน
    • ภาวะแทรกซ้อนทางสายตา ( Diabetic retinopathy)
    • ภาวะแทรกซ้อนทางไต ( Diabetic nephropathy)
    • ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท ( Diabetic neuropathy)
    • โรคหลอดเลือดหัวใจ ( Coronary vascular disease)
    • โรคหลอดเลือดสมอง ( Cerebrovascular disease)
    • โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย ( Peripheral vascular disease)
    • แผลเรื้อรังจากเบาหวาน ( Diabetic ulcer)

    การดูแลป้องกันโรคเบาหวาน
    • ควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและแก้ไขปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ การรักษาจำเป็นจะต้องทำงานร่วมกันระหว่าง ผู้ป่วย แพทย์ ผู้ให้คำแนะนำเรื่องโรคเบาหวาน โภชนาการ และ ยา การรักษานี้จะช่วยให้เกิดความสมดุลทั้ง
    ในด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย และการใช้ยารักษา
    • ควรเจาะระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ ให้ปรึกษาแพทย์ว่าควรเจาะช่วงใด และบ่อยแค่ไหนถึงจะดีที่สุด
    • ยาบางชนิดหรือยา สมุนไพร อาจมีผลต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือด จะต้องตรวจสอบกับแพทย์และ เภสัชกร ก่อนเลือกผลิตภัณฑ์ยาเหล่านี้
    เคล็ดลับการรักษาด้วยว่านหางจระเข้

    โรคเบาหวานเกิดจากการเผาผลาญอาหารในร่างกายผิดปกติไปและว่านหางจระเข้ก็ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญอาหาร
    ในร่างกายได้ จึงใช้ได้ผลดีมาก
    วิธีรับประทานจะรับประทานว่านสดหรือจะดื่มน้ำคั้นว่านหางจระเข้ก็ได้ ในปริมาณ 15กรัมทุกวันหากเป็นการรับ
    ประทานเพื่อป้องกันโรค ก็อาจรับประทานในปริมาณที่น้อยลง
    ใคร ๆ ก็รู้ว่ามีประโยชน์ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นการออกกำลังกายมีประโยชน์ทั้งในแง่ของ
    การทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง และยังสามารถป้องกันการเกิดเป็นโรคเบาหวานในคนที่มีปัจจัย
    เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ด้วย ก่อนที่จะเริ่มออกกำลังกาย ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะต้องมีการเตรียมตัวและวาง
    แผนมากกว่าคนทั่วไปอีกเล็กน้อย
    การออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรออกกำลังนานเกินกว่า 30 นาที โดยควรมีช่วงของการอุ่นเครื่อง 10
    นาที และช่วงของการเบาเครื่อง 10 นาทีด้วย แต่เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานจะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดบาดแผลที่บริเวณ
    เท้า ดังนั้น การออกกำลังกายจึงควรเลือกประเภทที่ไม่มีผลต่อการบาดเจ็บที่เท้า เช่น โยคะ รำมวยจีน การเดินเร็ว การว่าย
    น้ำ หรือการปั่นจักรยาน
    สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่จำเป็นต้องฉีดอินซูลิน อาจจะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพเบาหวาน ปรับอาหาร
    และปรับปริมาณยาก่อนที่จะออกกำลังกาย ควรจะออกกำลังกายก่อนฉีดยา และตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อนและหลังการ
    ออกกำลังกายในระยะแรก เพื่อให้ทราบการเปลี่ยนแปลงของน้ำตาลในเลือด อย่าฉีดอินซูลินลงในกล้ามเนื้อที่ใช้ออกกำลัง
    เช่น บริเวณหน้าขาเพราะจะทำให้เกิดดูดซึมอินซูลินอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำจนเกิดอันตราย พบว่าตำแหน่ง
    ที่ดีที่สุดในการฉีดยาควรเป็นบริเวณหน้าท้องและที่สำคัญขณะออกกำลังกายควรพกอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตที่ออกฤทธิ์เร็ว
    เช่น น้ำตาลก้อน หรือท็อฟฟี่ติดตัวเพื่อเตรียมไว้แก้ไขปัญหาน้ำตาลในเลือดต่ำฉุกเฉิน เราพบว่าการออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    ทุกวันแบบไม่หักโหมนั้นเป็นวิธีหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้วยังช่วยให้ยืดอายุผู้ป่วยเบาหวานให้ยาวนานอีกด้วย แพทย์
    หญิงเจรียง จันทรกมล นายกสมาคมศิษย์เก่าแพทย์จุฬาลงกรณ์ สนับสนุนข้อมูลโดย แพทย์หญิงศิริกานต์ นิเทศวรวิทย์ อายุร

    แพทย์ต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิสม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2014
  16. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
  17. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
  18. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
    ระย่อมน้อย

    วิธีและปริมาณที่ใช้ :

    เป็นยารักษาหิด
    ใช้รากสด 2-3 ราก นำมาตำให้ละเอียด เติมน้ำมันพืชพอแฉะๆ ใช้ทาบริเวณที่เป็นหิดวันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าจะหาย

    เป็นยาลดความดันโลหิตสูง
    ใช้รากแห้ง 200 มิลลิกรัมต่อวัน รับประทาน 1-3 อาทิตย์ติดต่อกัน โดยป่นเป็นผงคลุกกับน้ำผึ้ง รับประทานเป็นยาเม็ด
    ข้อควรระวัง - การรับประทานต้องสังเกต และระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้ามีอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ใจสั่น หรือมีอาการผิดปกติ ให้หยุดยาทันที โดยเฉพาะระย่อม

    รากระย่อม ปรุงเป็นยารับประทานทำให้ง่วงนอน และอยากอาหาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2014
  19. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
  20. jesdath

    jesdath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    3,209
    ค่าพลัง:
    +1,279
    เบาหวาน อาจใช้ใบฝรั่ง ปอกะบิด ใบมะยม
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...