มหัศจรรย์…แห่งธรรมะ

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 27 มกราคม 2010.

  1. koymoo

    koymoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    2,067
    ค่าพลัง:
    +7,066
    คุณแม่ของฉันเป็นคนชอบไหว้พระ ทำบุญ และฝักใฝ่ในธรรมะมาก และเป็นคนแรกที่ชักชวนฉันให้เริ่มสวดพระคาถาชินบัญชรและนั่งสมาธิตั้งแต่ฉันอยู่ป.4 หลังจากนั้น ฉันก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่า ฉันรักธรรมะขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ... ตอนนี้มารู้อีกที ก็มีธรรมะเป็นส่วนหนึ่งของสายเลือดในร่างกายของฉันไปแล้ว

    น่าแปลก ที่ทุกครั้ง ที่มีกิเลสมายั่วยุ เพียงแค่ฉันได้อ่านข้อธรรม หรือได้ฟังธรรมะอันเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตใจฉันกลับเย็นอย่างบอกไม่ถูก เย็นแบบที่จิตไม่ถูกบังคับ เหมือนน้ำอมฤตมาชโลมใจ ถึงแม้พระองค์ท่านจะปรินิพพานไปหลายพันปีแล้ว แต่พระธรรมของท่าน ก็ทันสมัยและสะกิดเตือนใจฉันได้ทุกครั้งไป

    บ่อยครั้งที่ฉันเคยตั้งปณิธานและเคยอธิษฐานจิตกับพระองค์ แต่ก็มักจะมีกิเลสที่เรียกว่าอย่างหนัก ในระดับที่แทงเข้าจุดอ่อนของฉัน มาเล่นฉันอยู่ร่ำไป รู้ตัวและตื่นขึ้นอีกที ก็ใช้เวลาหมดไปกับกิเลสที่เกาะกินใจไปทั้งวัน ดีที่วันนี้ก่อนที่ฉันจะหลับไป และจิตใจฟุ้งซ่านมากกว่านี้ ยังได้อ่านพระธรรมคำสอนของท่าน ทำให้ฉันคิดขึ้นมาได้ว่า นี่ฉันอาจเป็นคนที่เลวมาก ที่ไม่ตั้งใจพัฒนาจิตและลดละกิเลสตามที่อธิษฐานจิตไว้กับท่าน ฉันรู้และศึกษาข้อธรรมมาบ้างพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันฉลาดขึ้นเลยสักนิด เพราะฉันไม่เคยทำมันได้จริง ได้แต่รู้ รู้ และรู้ แต่พอให้ทำ กลับไม่กล้าที่จะหักห้ามกิเลสอันน่าเย้ายวนใจ!

    น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน เอาล่ะ วันนี้ฉันก็ได้เรียนรู้จิตตัวเองแล้วว่า เวลาที่มีกิเลส จิตใจเรามันร้อนรุ่มมาก มันอาจดูเหมือนความสุข แต่ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เพราะมันทำให้ความทุกข์เบาบางลงเท่านั้น แต่ความทุกข์ที่แท้จริง ก็ยังไม่ได้หายไปไหน จิตเราเองนั่นแหละที่หลอกตัวเองว่า เรามีความสุข!

    เคล็ด(ไม่)ลับของฉัน ในการพัฒนาจิตคือ หากมีอารมณ์ใดๆก็ตาม ไม่ว่าสุข หรือ ทุกข์ ให้เรายืนมองมันห่างๆ ไม่ต้องไปบังคับให้มันหายทุกข์ หรือให้มันสุข เราทำได้เพียงเป็นผู้เฝ้ามอง นอกจากนี้ ในการดำรงอยู่ในสังคมปัจจุบันที่ต้องพบปะเจอกับคนมากมาย ให้เราประคองจิตเราให้มั่นคงเข้าไว้ และให้เราตั้งปณิธานกับตัวเองว่า เราจะไม่เอาอารมณ์ใดๆมากระทบใจของเรา พยายามทำใจให้ใส ใส ที่สุด เหมือนกับเด็กแรกเกิด ที่ยังไม่รับและไม่ร้อะไร ที่ยังนินทาใครไม่เป็น และยังโกรธใครไม่เป็น บางครั้ง เราเองก็ต้องทำเป็นหูหนวก ตาบอด หรือเป็นใบ้บ้าง ...

    ฉันว่า การเอาชนะที่เอาชนะได้ยากที่สุดในชีวิตคือ “การเอาชนะใจตนเอง” ฉันเคยผ่านอุปสรรคที่ยากที่สุดในชีวิตมาได้ ก็เพราะ ฉันเอาชนะใจตนเองได้ การเอาชนะใจตนเองนั้น เป็นการเอาชนะที่ไม่มีผู้แพ้ และชนะแบบใสสะอาดที่สุด และถือว่า เป็นข้อหนึ่งที่ทำให้เราพัฒนาจิตได้เร็ว

    การพัฒนาจิตหรือพัฒนาตนเอง ต้องอย่าลืมว่า เราต้อง “ไม่ติดดี” หมายถึง ไม่ติดในอารมณ์ว่าเราปฏิบัติแล้ว เราต้องได้ดีกว่าคนอื่น เราต้องได้ของดีหรือบุญดีกว่าคนอื่น หรือคนอื่นต้องมองเราดี ให้ทุกคนพยายามมองแบบ อุเบกขา แบบปล่อยวางและใจที่เป็นกลาง เพราะความติดดี ก็คือกิเลสอย่างหยาบตัวหนึ่งที่ทำให้เรา “ไม่ได้ดีจริง”

    ในแต่ละวันที่เราเกิดจิตที่มีกิเลสขึ้นมา ก็แค่ให้รับรู้ไว้ แต่ไม่ต้องไปว่าหรือด่าตัวเอง เพราะถือว่า กิเลสที่ผ่านเข้ามาแต่ละวัน ก็เป็น “อาจารย์” ทางธรรมะให้เราได้ไตร่ตรองมองจิตของเราเอง ให้เราได้พัฒนาจิตตนเอง หากเราเฝ้ามองจิตไปเรื่อยๆ สักวัน จิตเราจะเป็นกลางขึ้นมาโดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องไปบังคับมันเลย

    ความจริง ฉันเองก็เป็นวัยรุ่นธรรมดาๆคนหนึ่งค่ะ (แต่จะออกแนวโบราณนิ้ดนิด ^-^) ที่ก็ยังมีความคิดแบบวัยรุ่นทั่วๆไป เพียงแต่บางครั้ง ฉันเองก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมเราถึงต้องเลือกทางเดินที่คนอื่นอาจบอกว่า “ป้า” มาก ก็ไม่โกรธนะ เพราะมันก็ดูป้าจริงๆ และฉันเองก็ไม่ได้จะบังคับให้ตัวเองดูดีเด่อะไรกว่าคนอื่นหรอกค่ะ เพราะ “มันเป็นแบบนี้เอง” ถ้าจะให้ฉันทำแบบอื่น ฉันก็ไม่มีความสุข เพราะฉันสุขใจกับธรรมะมาก ธรรมะไม่ใช่ของคนแก่ ไม่ใช่ของน่าเบื่อ ธรรมะ คือ “ธรรมชาติ” มันคือความจริง และเป็นความจริงที่ทุกคนควรเร่งศึกษา เพราะความจริงนี้ ทุกคนหนีไม่พ้น ทุกอย่างในการดำเนินชีวิตตั้งแต่แรกเกิดจนถึงเข้าโลง พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้หมดแล้ว ฉันค่อยๆอ่านและศึกษาพระธรรมมากขึ้นตั้งแต่เป็นนิสิตแพทย์ปีที่หนึ่ง และได้ลองปฏิบัติตาม และได้รู้ว่า แนวทางที่ท่านพูดนั้น ของจริงทั้งหมด ไม่มีหลอกลวง ไม่มีการโฆษณา ... และฉันเอง บางครั้งก็มักได้รับกำลังใจจากพระพุทธองค์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงผลแห่งความดีทั้งปวง ทำให้ฉันเชื่อว่า ทุกสิ่งในนี้ล้วนเป็นของจริง และฉันก็ดีใจมากที่ได้รู้แล้วว่า ฉันเกิดมาทำไม และมีชีวิตเพื่อทำอะไรต่อ ... ฉันไม่เสียชาติเกิดแล้ว...

    นิสัยเสียอีกอย่าง ของฉันคือ บางครั้งฉันก็เป็นคนออกแนว perfectionist (อ.บอก) คือ บางครั้งฉันเห็นคนทำไม่ดี แสดงกิริยาที่ไม่น่าดูเลย ฉันก็คิดตำหนิคนพวกนั้นในใจต่างๆนานา และตัดสินคนพวกนั้นว่าเป็นคนไม่เข้าข่าย ...มาบัดนี้ ไม่ได้มีใครสอนฉันหรอก แต่วันเวลาและธรรมะสอนให้ฉันรู้ว่า สิ่งที่ไม่ดีก็เป็นเพียงแค่อีกด้านหนึ่งของพวกเขา แต่ด้านที่ดีของเขา ใครจะไปรู้ และเราไม่ได้เห็น คนที่พูดจาแย่ๆ พูดหยาบคาย แต่ใครจะรู้ว่า ในจิตใจของเขานั้น อาจงดงามมากกว่าคนที่พูดจาไพเราะหวานหู แต่ลับหลัง กลับเอาเราไปพูดในทางที่ไม่ดี คนที่เรามองว่าไม่ดี ความจริงเขาก็อาจจะกำลังฝึกและพัฒนาจิตเหมือนกับเราอยู่ และสักวันเขาก็อาจไปไกลกว่าเราก็ได้... ฉันเอง ตอนนี้ จึงไม่กล้าตัดสินคนจากการกระทำภายนอกอีก และคิดว่า ตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใครได้ทั้งนั้น เอาเวลามาพัฒนาจิตตนเองดีกว่า...

    ที่ฉันเขียนมาทั้งหมด ก็เพียงเพื่ออยากจะบอกว่า ถึงแม้ฉันไม่ได้เกิดทันสมัยของพระพุทธองค์ แต่การที่ได้เกิดมาในประเทศไทย ภายใต้ร่มพระบารมีของในหลวง และได้นับถือศาสนาพุทธ ด้วยใจที่ต้องการนับถือจริงๆ (ไม่ได้เอาไว้แค่กรอกในบัตรประชาชน) มันทำให้ฉันเป็นสุขยิ่งกว่าสิ่งไหนๆ วันนี้ ฉันคงเดินต่อไปไม่ได้ หากไม่มีธรรมะคอยจรรโลงและคอยฉุดฉันไว้

    และฉันเอง...อยากจะบอกทุกคนว่า ธรรมะคือของจริง พระพุทธองค์มีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง และผลแห่งความดีมีจริง...

    อ้อ ฉันคงบอกกับเพื่อนๆแบบนี้ไม่ได้ หากฉันไม่ได้เจอมากับตนเอง...
    ใครจะเถียงอย่างไรก็เอาเถอะ อย่ามัวสงสัยอยู่เลย รีบปฏิบัติสิ แล้วเดี๋ยวจะรู้เอง...

    โมทนา...
    [​IMG]

    BY: KhUnMoR~koymoo~
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...