มหาภารตะยุทธ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย satan, 3 กรกฎาคม 2007.

  1. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    มหาภารตะ

    ยิ่งศึกษาลึกลงไปในตำนานของชนชาติต่างๆแล้ว หลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีนักบินอวกาศยุคโบราณยิ่งเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ นิยายปรำปราของชาวเอสกิโมแห่งดินแดนหิมะกล่าวว่า พวกเขาเมื่อก่อนไม่ได้ตั้งรกรากอยู่แถบนี้ หากแต่เดินทางขึ้นเหนือมาครั้งแรกโดยพระเจ้าเป็นผู้พามา เดินทางบนวิหคโลหะที่มีปีกเป็นทองเหลือง ตำนานของชาวอินเดียนแดงแห่งทวีปอเมริกาเล่าว่า วิหคสายฟ้า(Thunder Bird) เป็นผู้สนวิธีการใช้ไฟและปลูกพืชให้กับพวกเขา ส่วนชนชาวมายานั้นเล่าครับ พวกกล่าวถึงพระเจ้าผู้หยั่งรู้ทุกสิ่ง มีความรู้ครอบคลุมห้วงจักรวาล หลักฐานก็คือ พวกเขารู้จักเข็มทิศและสันฐานของโลกซึ่งเป็นทรงกลม!!

    เรื่องเหล่านี้เป็นความบังเอิญหรือครับ? สมควรมองข้ามหรือครับ?

    ทราบกันดีอยู่แล้วว่าชาวมายาเป็นชนโบราณที่ฉลาด มีอารยธรรมสูงแต่มีความลึกลับที่แม้ปัจจุบันเรายังไม่สามารถคลี่คลายให้กระจ่าง วัฒนธรรมของชาวมายามีความขัดแย้งในตัวค่อนข้างมาก เป็นต้นว่า เมื่อเราพิศดูปฏิทินของพวกเขา จะเห็นว่าชาวมายามีความรู้ทางดาราศาสตร์ดีอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขารู้ว่าปีหนึ่งของดาวศุกร์เท่ากับ 584 วัน และคำนวณระยะเวลาหนึ่งปีของโลกได้เท่ากับ 365.2420 วัน (ตัวเลขปัจจุบัน 365.2422)

    ปีดาวศุกร์เท่ากับ 584 วัน หารด้วย 73 ได้ 8

    ปีของโลกเท่ากับ 365 วัน หารด้วย 73 ได้ 5

    ปีของดวงจันทร์เท่ากับ 260 วัน

    ซึ่งการคำนวณปีในที่นี้คิดจากการโคจรรอบโลกโดยใช้โลกเป็นศูนย์กลาง และปีที่พวกเราใช้กันในปัจจุบันนั้น ชาวมายาเรียกว่าปีของดวงอาทิตย์ ไม่ได้คำนวณแบบลอยๆด้วยครับ ชาวมายามีความสามารถในการถอดตัวเลขที่น่าทึ่งมากทีเดียว

    ดวงจันทร์ 20 x 13 x 2 x 73 = 37,960

    ดวงอาทิตย์ 8 x 13 x5 x 73 = 37,960

    ดาวศุกร์ 5 x 13 x 8 x 73 = 37,960

    เนื่องจากจำนวนปีทั้งสามเป็นชนิดของตัวประกอบของ 37,960 ซึ่งชาวมายาถือว่า พระเจ้าจะเสด็จกลับลงมาเยือนโลก...

    ส่วนชาวอินคา ลูกหลานของสุริยเทพนั้นเล่าครับ พวกเขาเชื่อว่าดวงดาวทั้งหลายในห้วงจักรวาลนั้นมีผู้คนอาศัยอยู่ และพระเจ้าของพวกเขาเสด็จมาจากกลุ่มดาวลูกไก่ ซึ่งตรงกับความเชื่อของ ชาวสุเมเรียน อัสซีเรียน บาบิโลเนียน หรือแม้กระทั่งชาวอียิปต์โบราณ ซึ่งล้วนบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าของพวกเขาเสด็จลงมาจากดาวดวงอื่น สร้างอารยธรรมของพวกเขา และเดินทางกลับห้วงฟ้าอันยาวไกลด้วยเรือไฟที่มีอาวุธน่ากลัว พร้อมคำสัญญาที่ว่า สักวันพระเจ้าจะกลับมาพร้อมนำเอาความอมตะกลับมาให้
    ------------------------------------------------------------------
    โอเคครับ สำหรับผู้ไม่เชื่ออะไรง่ายๆบางท่านอาจมองว่านี่เป็นเพียงจินตนาการน่ะนะครับ แต่จินตนาการส่วนหนึ่งนั้น น่าจะมาจากสิ่งที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวันใช่หรือไม่ ถ้าท่านลองจินตนาการถึงอะไรซักอย่าง ก็แน่นอนว่า ท่านคงอดดึงสิ่งที่คุ้นเคยเข้ามาพัวพันไม่ได้ ตัวอย่างเช่น มหาภารตยุทธ หรือ มหากาพย์มหาภารตะอันเป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่มากของอินเดียโบราณ เก่ากว่าไบเบิลเสียอีก ได้บรรยายถึงสิ่งแปลกประหลาดและไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดจากจินตนาการของมนุษย์เพียวๆ เป็นต้นว่า อาวุธที่ทำให้ทั้งประเทศแห้งแล้งไปถึง 12 ปี และยังสามารถฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กที่อยู่ในท้องแม่...

    ในรามายณะหรือรามเกียรติ์มีตอนที่กล่าวถึงวิมานะ อันเป็นยานที่บินได้ สามารถบินไปในห้วงอวกาศด้วยปรอทและลมขับดัน (เครื่องแบบไอพ่น?) วิมานะบินได้เป็นระยะทางไกลๆ สามารถเคลื่อนไปข้างหน้า ข้างบนและข้างล่างได้ ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะของยานอวกาศประเภทหนึ่ง ด้านล่างนี้เป็นบทความตัดตอนมาจากหนังสือรามายณะที่แปลโดย เอ็น ดัตต์ ครับ

    "ครั้นพระรามมีบัญชา วิมานะก็เคลื่อนขึ้นไปบนยอดเขาพร้อมเสียงกัมปนาทประหนึ่งฟ้าถล่มดินทะลาย"

    แปลกใจจังครับ ว่าทำไม๊ทำไมรถศึกสมัยโบรารชอบเคลื่อนที่ด้วยเสียงดังกันจัง นี่เป็นอีกตอนในมหาภารตะครับ กล่าวถึงรถศึกของภีมะ

    "ภีมะเหาะขึ้นฟ้าด้วยวิมานะอันมีแสงแรงกล้าประหนึ่งดวงอาทิตย์ และมีเสียงดังราวท้องฟ้าขณะบังเกิดฝนฟ้าคะนอง"

    จินตนาการเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความคิดก็จริงครับ แต่มันก็ควรมีจุดเริ่มต้นหรือแบบอย่าง แล้วสมัยมหาภารตะนั้น เอาแบบอย่างของจรวดที่มีแสงและเสียงมาจากไหน แล้วทำไมเป็นจินตนาการที่ตรงตามหลักวิชาการสมัยใหม่ได้ขนาดนี้ ไม่สงสัยกันบ้างหรือครับ?
    ---------------------------------------------------------------------
    เรื่องของวิมานะ, วฤกษี, อังคหัสฤ์, คัมภีร์วิมานิกะศาสตรา หรือ โทรณะปารวะ ผมและน้องโอเคยเล่าไปแล้วใน อากาศยานแห่งภารตะยุค และ Vimana Revisited สนใจใคร่ทราบก็คลิกอ่านรายละเอียดกันเองนะครับ หรือถ้าต้องการอ่านเรื่องของมหาภารตะยุทธฉบับอ่านสนุก ลองซื้อต่วย'ตูนพิเศษมาอ่านกันเล่นๆ รู้สึกสองสามเดือนนี้มีคอลัมน์ที่ว่าด้วยมหาภารตะยุทธโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับมือใหม่ครับ ส่วนที่จะเอามาเล่าซ้ำก็คือ สภาค้นคว้าทางภาษาสันสกฤตที่ไมซอร์ ประเทศอินเดีย ได้แปลข้อความในหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนไว้เป็นภาษาสันสกฤตที่กล่าวถึง

    ความลับในการสร้างวิมานะให้แข็งแกร่ง ไม่ไหม้ไฟ และไม่ให้โดนทำลายโดยง่ายจากข้าศึก

    กรรมวิธีขับเคลื่อนวิมานะ การหยุดกลางอากาศ การชะลอความเร็ว

    วิธีการทำให้วิมานะ สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายศัตรู

    การดักฟังคำสนทนาและเสียงอื่นๆในวิมานะฝ่ายตรงข้าม

    การตรวจจับและอ่านทิศทางการเคลื่อนไหวของวิมานะฝ่ายศัตรู

    กรรมวิธีทำให้ผู้ขับวิมานะของศัตรูหมดสติหรือสับสน

    การทำลายวิมานะข้าศึกด้วยวิธีต่างๆ

    โดยตำราโบราณเล่มนี้มีทั้งหมด 31 บท อธิบายเรื่องราวและการสร้างยานบินชนิดนี้อย่างละเอียด รวมทั้งกล่าวถึงโลหะที่ใช้ในการสร้างทั้ง 16 ชนิด เป็นโลหะที่เรารู้จักกันเพียงสามชนิด ที่เหลือยังไม่รู้จักหรือแปลกันไม่ได้ครับ

    นอกจากนั้นวิมานะในมหาภารตะยังถูกแบ่งออกเป็นประเภทที่บินได้กับบินไม่ได้ ในตอนต้นของมหากาพย์กล่าวถึงนางพรหมจารีย์กุนตี ซึ่งได้เสียกับพระอาทิตย์และให้กำเนิดบุตรชายที่เปล่งรัศมีได้เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ นางกุนตีกลัวจึงนำเด็กไปใส่ตะกร้าหน้าเซเว่น.. เอ๊ย..ลอยตามแม่น้ำไป อธิรตาอันเป็นคหบดีแห่งเมืองสุตามาพบเข้าจึงนำมาชุบเลี้ยง

    จะว่าไปก็คล้ายกับประวัติของศาสดาพยากรณ์โมเสสนะครับ นอกจากนี้มหากาพย์เรื่องนี้ยังมีครึ่งเทพ-ครึ่งมนุษย์อันเกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ทำนองเดียวกับมหากาพย์กิลกาเมชเต็มไปหมด เช่น อรชุน ผู้ต้องเดินทางไปไกลแสนไกลเพื่อพบกับพระเจ้าและขอให้พระเจ้าประทานอาวุธในการทำศึกให้ ระหว่างการเดินทางอรชุนพบกับพระเจ้ามากหน้าหลายตา นอกจากนั้นอินทราเทพยังพาเขาท่องเที่ยวบนท้องฟ้า ในทำนองเดียวกับการเดินทางของเอ็นกิดูในมหากาพย์กิลกาเมชอีกด้วย

    นอกจากนั้นยังมีข้อความอีกหลายตอนที่กล่าวถึงสงครามที่รบกันด้วยเทคโนโลยีใกล้เคียงกับปัจจุบัน เช่นอาวุธที่คอยติดตามฆ่าผู้ที่มีโลหะติดอยู่กับตัว เป็นอาวุธที่ทำให้ผมร่วงและเล็บหลุด มันจะปนเปื้อนจนสิ่งมีชีวิตทุกอย่างซีดขาว อ่อนกำลัง อืมห์... ลักษณะเหมือนคนถูกกัมมันตภาพรังสีเลยว่าไหมครับ

    ในมหาภารตะบทที่แปดยังกล่าวถึงการทิ้งระเบิดลงจากวิมานะขนาดใหญ่ โดยกุรคาทำการบอมบ์เมืองของข้าศึก มีวิมานะที่บรรทุกอาวุธ มีวิมานะคุ้มครอง ลักษระเหมือนเครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินขับไล่คอยคุ้มครอง มหากาพย์กล่าวถึงเหตุการณ์นี้อย่างน่ากลัวว่า อาวุธนั้นก่อให้เกิดควันสีขาวที่ร้อนจัด มีแสงสว่างกว่าดวงอาทิตย์นับพันเท่า จนเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเศษขี้เถ้าในพริบตา เมื่อกุรคานำวิมานะลงเคลียร์พื้นที่ วิมานะของเขาร้อนจัดจนมีสีคล้ายแร่พลวง...

    "ราวกับว่าธาตุทั้งหลายถูกปลดปล่อยออกมา ดวงอาทิตย์ลอยคว้างท่ามกลางแสงแห่งความร้อนของอาวุธนั้น โลกทั้งโลกราวกับตกอยู่ในกองเพลิง ช้างศึกร้องแปร๋แปร๋นลำตัวลุกเป็นไฟ วิ่งไปมาเพื่อให้พ้นจากความร้อนนั้น น้ำทะเลเดือดพล่าน ทหารฝ่ายข้าศึก ผู้คน สัตว์ต่างๆล้มตายกันเกลื่อนกลาด ซากศพกองพะเนินจนแยกเค้าร่างเดิมไม่ออก เราไม่เคยเห็นอาวุธเช่นนี้มาก่อน กระทั่งได้ยินยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน" : โทรณะปารวะ ฉบับพิมพ์ปี 1889

    ขอบคุณ คุณโซนิคนักวิ่งสายฟ้า แห่งเว็บไซต์
    http://members.thai.net/enlil/pakal/pakal_27.html -->
     
  2. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    กิลกาเมช เป็นกษัตริย์ในตำนาน แห่งนครอุรุค ในอาณาจักรบาบิโลน หรือบาบีโลเนีย ซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส ในประเทศอิรักปัจจุบัน เชื่อว่าเคยมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 2,700 ปีก่อนคริสตกาล

    มีเรื่องเล่าและปกรณัมมากมายที่เขียนเกี่ยวกับกิลกาเมช บางเรื่องเขียนไว้ตั้งแต่เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยจารึกบนแผ่นดินเหนียวเป็นภาษาของพวกซูเมอร์ เรียกว่าภาษาซูเมเรียน ซึ่งยังหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ภาษาดังกล่าวนี้นักโบราณคดีเชื่อว่าไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับภาษาอื่นๆ ที่เราเคยรู้จักเลย[ต้องการแหล่งอ้างอิง]

    เรื่องกิลกาเมชของพวกซูเมอร์นั้น ถูกรวบรวมขึ้นเป็นบทกวีเรื่องยาว เรียกว่า มหากาพย์กิลกาเมช (Epic of Gilgamesh) หลงเหลืออยู่เป็นวรรณกรรมในหลายภาษา เช่น ของชาวอัคคาเดีย (ภาษาตระกูลเซมิติค ซึ่งมีความสัมพันธ์กับภาษาฮีบรู, เป็นภาษาที่พูดกันในอาณาจักรบาบิโลน) นอกจากนี้ยังมีปรากฏบนแผ่นจารึกดินเหนียว เป็นภาษาฮูร์เรียน และภาษาฮิตไตต์ (ภาษาหนึ่งในตระกูลอินโด-ยูโรเปียน ซึ่งพูดกันในเขตรอยต่อยุโรปและเอเชีย นับเป็นหนึ่งในบรรดาภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก) ภาษาทั้งหมดที่พูดมานี้ จารด้วยอักษรลิ่ม หรือที่เราคุ้นเคยกันด้วยชื่อ คูเนฟอร์ม

    ตำนานฉบับเต็มเกี่ยวกับกิลกาเมชนั้น ได้มาจากศิลาจารึก 12 แท่ง จารเป็นภาษาอัคคาเดียน พบในซากปรักหักพังของหอพระสมุด พระเจ้าอะชูรบานิปัล แห่งอัสสิเรีย เมื่อราว 669-633 ปีก่อนคริสตกาล ที่เมืองนีนะเวห์(Nineveh) หอสมุดแห่งนี้ถูกพวกเปอร์เซียทำลายเมื่อ 612 ปีก่อนคริสตกาล และจารึกทั้งหมดก็พินาศไปด้วย จารึกนี้ระบุชื่อผู้แต่งไว้ด้วย ซึ่งนับเป็นเรื่องที่แปลกมาก เนื่องจากในสมัยโบราณ แทบจะไม่มีการจารึกชื่อผู้แต่งเรื่องใด ๆ (จารึกไทยในสมัยสุโขทัยหรืออยุธยาก็ไม่มีการจารึกชื่ิอผู้แต่งเช่นกัน) ผู้แต่งจารึกนี้คือ ชิเนฆิอุนนินนิ (Shin-eqi-unninni) อาจกล่าวได้ว่า บุคคลผู้นี้เป็นนักเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกวรรณกรรม ที่เราสามารถระบุชื่อได้

    ตำนานของกิลกาเมชนั้นกล่าวโดยย่อ คงเทียบได้กับเรื่องของโนอาห์ ในคัมภีร์ไบเบิ้ลหรือนูห์ ในคัมภีร์อัลกุรอาน นั่นเอง นับเป็นตำนานน้ำท่วมโลกที่เก่าแก่ที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก

    ดึงข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/กิลกาเมช
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2007
  3. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    กิลกาเมชเป็นผู้ปกครองนคร Uruk เขาเกิดจากบิดาที่เป็นมนุษย์ธรรมดากับมารดาซึ่งมีสายเลือดเทพจึงทำให้วีรบุรุษผู้นี้มีเลือดเทพเจ้าในกาย 2 ส่วน และเลือดของสามัญมนุษย์อีก 1 ส่วน แม้จะมีพละกำลังกับความกล้าเหนือปุถุชนทั่วไป แต่กิลกาเมชก็หนีชะตามกรรมหนึ่งซึ่งมนุษย์ทุกรูปทุกนามต้องเผชิญไม่ได้ นั่นคือชะตากรรมแห่งความตาย
    กิลกาเมชนึกถึงบรรพบุรุษคนหนึ่งของเขาอุทนาปิชทิม (Uthapishtim) โนอาห์ในเวอร์ชั่นสุเมเรียน วีรบุรุษผู้รอดตายจากน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ ตามตำนานกล่าวว่าอุทนาปิชทิมพร้อมภรรยาได้เดินทางสู่สวรรค์หลังน้ำท่วมโลกในคราวกระโน้น กิลกาเมชตัดสินใจตามไปที่นั่นเพื่อขอความลับของชีวิตอมตะจากบรรพบุรุษของเขา

    สวรรค์ไม่มีรถเมล์สายใดวิ่งผ่าน ไม่ใช่ที่ที่ใครนึกจะไปก็ไปได้ ในการเดินทางไกลครั้งนี้กิลกาเมชจำเป็นต้องมีพาหนะในการเดินทาง เขาและเพื่อนร่วมทางชื่อเอนกิดูรอนแรมไปตั้งต้นที่ดินแดนTilmun เพื่อที่จะนำ Shem เดินทางสู่สรวงสวรรค์ของ Anu ด้วยตนเอง ( Shem ในที่นี้หมายถึงพาหนะไม่ได้หมายถึงชื่อ-name อย่างที่นักแปลไบเบิลแปลกันมา)

    รายละเอียดของมหากาพย์เรื่องนี้คุณคงต้องไปหาอ่านเพิ่มเอาเองเพราะเนื้อเรื่องของมันยาวมากครับ กิลกาเมชเป็นบุรุษที่นอกจากจะมีพละกำลังมาแต่กำเนิดแล้วเขายังมีความฉลาดล้ำเกินคน จากดินแดน Tilmun จนถึงที่พำนักของ Anu นั้นกินระยะทางยาวไกลมาก ระหว่างการเดินทางพระเอกของเราต้องเผชิญอุปสรรคมากมายทั้งจากเทพและมาร เอาเป็นว่าจุดที่เราจะกล่าวถึงเป็นตอนที่กิลกาเมชเดินทางมาถึงสวนแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งเต็มไปด้วยพืชพันธุ์แลสิ่งมีชีวิตอันน่าพิศวง อุทนาปิชทิม(หรือ Noah ในเวอร์ชั่นไบเบิล)บรรพบุรุษของกิลกาเมชก็อาศัยอยู่ที่นั่นด้วย

    อุทนาปิชทิมบอกแก่ลูกหลานของเขาว่าเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งมีชีวิตใดๆจะคงความอมตะไม่ตายไปชั่วกาลนาน ความตายคือชะตากรรมที่มนุษย์ไม่มีทางเลี่ยง ถึงอย่างไรอุทนาปิชทิมก็ไม่ใจร้ายเกินไปนัก เขาเสนอให้กิลกาเมชลองหาวิธีอื่นมาทดแทน แน่ล่ะครับความตายต้องมาเยือนมนุษย์ทุกคนไม่วันใดก็วันหนึ่ง ในเมื่อหนีไม่พ้นก็ไม่ต้องไปวิ่งหนีมันหรอก แค่ชะลอมันลงให้มาถึงช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอแล้ว กิลกาเมชได้รับคำบอกใบ้ถึงที่ตั้งของต้นไม้แห่งความเยาว์วัย (Plant of Youth) ซึ่งมีสรรพคุณทำให้มนุษย์คงความเยาว์วัยได้แม้อายุจะล่วงเลยไปเท่าใดก็ตาม(แต่มิได้หมายความว่าทำให้เป็นอมตะ)

    แต่สุดท้ายแล้วความพยายามของกิลกาเมชก็ต้องมาพบกับสิ่งไม่คาดฝัน แต่จะเกิดอะไรขึ้นนั้นผมก็ยังไม่ทราบแน่ช้ด เพราะผมก็ค้นข้อมูลมาได้ประมาณนี้เหมือนกันครับ แต่ถ้ามีข้อมูลเพิ่ม ผมก็จะนำมาให้อีกนะครับ

    ส่วนภาพล่างนี้คือ หน้าของกิลกาเมช ที่ถูกพบที่เมืองโบราณในแถบเมโสโปเตเมียครับ

    อ้างอิงจาก http://www.cartoon.co.th/webboard/community_read.asp?cid=3380&first=1&page=2&mailid=1
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    มหากาพย์เรื่องนี้เป็นเรื่องของวีรกษัตริย์กิลกาเมช ซึ่งเชื่อกันว่ามีชีวิตอยู่ในช่วง 3,000 ปีก่อนคริสตกาล คร่าวๆ ก็คือกิลกาเมช เป็นกษัตริย์ที่ถูกราษฎรหาว่าปกครองอย่างทารุณ ทำให้เทพีองค์หนึ่งสร้างอมนุษย์ชื่อ เอ็นคิดู (Enkidu) มาเพื่อทำลายกิลกาเมช แต่ไปๆ มาๆ ทั้งสองกลับกลายมาเป็นเพื่อนกัน และออกไปผจญภัยเสี่ยงอันตรายด้วยกัน จนกระทั่งเอ็นคิดูทำเรื่องที่ทำให้ทวยเทพพิโรธ และต้องตายไป กิลกาเมชจึงรู้สึกถึงความรู้สึกของความตายและการสูญเสีย ได้เดินทางไปหาชายหญิงคู่เดียวที่รอดมาจากน้ำท่วมโลกในสมัยโบราณเพื่อสอบถามวิธีการเป็นอมตะ (แต่กิลกาเมชก็สอบตก) จนสุดท้าย กิลกาเมชได้ใช้วิธีทิ้งลูกบอลลงในปรโลกแล้วขอให้เอ็นคิดูช่วยเก็บขึ้นมา พร้อมทั้งใบ้ว่าทำยังไงเขาจึงจะออกจากปรโลกได้ (แต่อะไรที่กิลกาเมชห้ามทำ เอ็นคิดูทำหมด) สุดท้ายกิลกาเมชเลยสวดอ้อนวอนเทพเจ้าจนมีเทพบางส่วนเห็นใจ ให้เอ็นคิดูกลับขึ้นมาบนโลกมนุษย์ แต่ตำนานก็ไม่ได้บอกแน่ชัดว่าคืนชีพขึ้นมา หรือกลับมาเยี่ยมแค่เป็นวิญญาณ

    มหากาพย์เรื่องนี้ดั้งเดิมมาจากตำนานของสุเมเรีย ก่อนจะมีการแปลเป็นกลอนของภาษาอัคคาเดียน (อัสซีเรียโบราณ) และบันทึกโดยชาวบาบิโลเนียนอีกต่อหนึ่ง
    http://www.pocketonline.net/board/view.php?id=19714
     
  5. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    Enki ทำให้หลายคนงุนงงสงสัยว่า เป็นเทพมาจากไหนกัน วันนี้ เทร่าจะมาไขข้อสงสัยจ้า

    ตำนานที่มาของเทพองค์นี้ กำเนิดขึ้นกว่า หกพันปีมาแล้ว ในดินแดนเสี้ยวพระจันทร์อันปัจจุบันคืออิรัก ระหว่างลุ่มน้ำไทกริสและยูเฟรติส มีชนเผ่าเร่ร่อนได้เปลี่ยนมาตั้งรกรากอยู่เป็นหลักแหล่ง ชาวสุเมเรียน ( Sumerians) ที่อพยพมาจากเขตลุ่มน้ำซูเมอร์ ก่อกำเนิดชุมชนเมืองแห่งแรกๆ กลายเป็นนครรัฐที่มีการนับถือศาสนา และมีการเกษตรกรรม

    ในรุ่งอรุณแห่งอารยธรรมนี้เอง การนับถือเทพหลายองค์ของชาวสุเมเรียนได้ก่อให้เกิดตำนานเทพปกรณัมที่ส่งผลต่ออารยธรรมโลกต่อมากว่าหลายพันปี
    โดยชาวอัสซีเรียน(Assyrians) แคลเดียน(Chaldeans)และบาบิโลเนียน(Babylonians)ได้รับเอาเทพเจ้าของสุเมเรียนมานับถือโดยตรง ชาวฮิตไตต์(Hittites)และไซเธียน(Scythians) ดัดแปลงบ้างเล็กน้อย ชาวคานาอัน(canaanites)และฟีนิเชียน(Phoenicians) นำเอาเทพปกรณัมนี้ไปก่อร่างศาสนาใหม่ของตน และชาวกรีกและโรมันก็ได้รับอิทธิพลการนับถือเทพธรรมชาตินี้อีกยาวนาน

    ตำนานเทพของสุเมเรียนอย่างย่อๆ มีดังนี้

    เมื่อจักรวาลยังว่างเปล่า เทพนามมู(Nammu)ได้กำเนิดมาจากสุญญตานั้น แล้วจึงแบ่งภาคออกเป็น อาน(An) เทพแห่งผื้นฟ้าสวรรค์ และ กิ(Ki)หรือนินเฮอร์ซาก(Ninhersag) เทพแห่งผืนพิภพ

    เมื่ออาน และกิ ครองพื้นจักรวาลร่วมกันได้ให้กำเนิดเทพมากมาย หนึ่งในนั้นคือ เอนลิล(Enlil) เทพแห่งสายลมและอากาศ ผู้ถูกยกย่องให้ครองวิหารแห่งเทพ แต่ภายหลังเอนลิลทำบาปหนักคือการข่มขืน นินลิล(Ninlilผู้เป็นภคินี จึงถูกขับไล่ออกจากสวรรค์พร้อมกัน(คล้ายเรื่องอดัมกับอีวาถูกขับไล่ออกจากสวนอีเดน) ลงไปปกครองแดนโลกกับมนุษย์ นินลิลก็ได้ให้กำเนิด ซิน(Sin) จันทรเทพที่ภายหลังมีนามว่า นันนา(Nanna) และนันนาก็สมรสกับนินกัล(Ningal) ให้กำเนิด อินันนา (Inanna)เทวีแห่งความรักและสงคราม(ซึ่งเป็นเทวีที่ส่งอิทธิพลต่อการนับถือเทวีไอซิสของอียิปต์ อิชตาร์ของฮิตไตต์ และวีนัส-อโฟรไดต์ของกรีก-โรมันในกาลต่อมา) และเหล่าเทพทั้งหลายก็ได้ปกครองมนุษย์ในโลกนั้น

    แต่มนุษย์มาจากไหนเล่า?
    เทพนามมูยังได้ให้กำเนิดเทพสำคัญอีกองค์หนึ่ง "เอนกิ" เทพผู้สร้างสรรพสิ่งบนพื้นพิภพให้เหล่าเทพผู้ถูกขับไล่จากสวรรค์เหล่านั้นมาปกครอง

    เทพเอนกิ(Enki) เป็นเทพสำคัญองค์หนึ่งในเทพปกรณัมของชาวสุเมเรียน ซึ่งภายหลัง ชาวแคลเดียน และบาบิโลเนียนก็ยังได้รับเอาเทพและศาสนาเข้าไปนับถือกันต่อมารู้จักกันในนามเดิมว่า เออา(Ea) มีสัญลักษณ์เป็นครึ่งแพะครึ่งปลา ภายหลังกลายเป็นหนึ่งในจักรราศีคือราศีมกร Capricornus โดยความหมายตามตัวอักษรของชื่อ เอนกินี้ "เอน" คือ เทพเจ้า "กิ" คือ พื้นพิภพ หากแต่เอนกิ กลับเป็นเทพผู้เป็นเจ้าแห่ง "อับซู" (Abzu) แดนบาดาลใต้สมุทร เป็นเทพผู้ปกปักษ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งลุ่มแม่น้ำ ไทกริส-ยูเฟรติสและยังเป็นผู้ได้รับการนับถือว่าเป็นผู้สร้างมนุษย์คนแรก "อาดามู"(Adamu)

    ลักษณะของเอนกิ เป็นเทพชาย เทพผู้สร้างและเทพแห่งวารี เป็นเทพผู้ทัดทานสภาแห่งเทพทั้งปวงให้ไว้ชีวิตมนุษย์จากการลงทัณฑ์น้ำท่วมโลก เมื่อการทัดทานนั้นไม่เป็นผลก็ทรงช่วยชีวิตมนุษย์ผู้หนึ่งนาม ไซอุซุดรา(Ziusudra) โดยการสอนให้สร้างนาวาลำยักษ์และบรรทุกสัตว์พืชและครอบครัวของเขา และนำเรือนั้นขึ้นสู่สรวงสวรรค์เพื่อปกป้องจากมหาอุทกภัยตำนานนี้อาจเป็นต้นเรื่องของตำนานน้ำท่วมโลกในมหากาพย์กิลกาเมช และเรื่องของโนอาห์ และแม้แต่ตำนานพระมนูของอินเดีย อย่างไรก็ตามตำนานเรื่องนี้ก็มีเค้าโครงจากเรื่องที่เก่าแก่กว่าเช่นกัน

    เทพเอนกิได้รับการนับถือว่าเป็นเทพแห่งชีวิตและการคืนชีพ รูปบูชาของเอนกิมักจะปรากฏสายน้ำหลั่งไหลออกมาจากหัวไหล่ และมีต้นไม้ประกอบสองข้างและยังเป็นเทพแห่งการผสมผสานสิ่งใหม่ๆ ชาวสุเมเรียนเชื่อว่า เอนกิเป็นผู้รังสรรค์สิ่งมีชีวิตต่างๆบนพื้นพิภพโลกนี้

    เทพเอนกิมีวิหารสำคัญสำหรับบูชา ในนครรัฐเอริดูของสุเมเรียน ซึ่งมีซิกกูรัตเป็นเทวสถานบูชา
    ปัจจุบันอยู่ในเขตทะเลทรายของอิรัก

    สำหรับความสำคัญของเอนกิในเทพปกรณัมก็มีดังกล่าวมาแล้ว ส่วนในซัมมอนเนอร์ล่ะ?การที่เทพเอนกิ มีความสามารถมากมาย สื่อถึงความสำคัญของเทพผู้สร้างได้เป็นอย่างดีถึงแม้รูปลักษณ์จะดูไม่ตรงตามตำนานสักเท่าไร(ดูเหมือนเอนลิลมากกว่า)

    เว็บอ้างอิง

    http://en.wikipedia.org/wiki/Enki

    http://www.santoninogame.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=12046
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2007
  6. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    มหาภารตะยุทธ อาจจะมาจาก พี่ยุทธ เอสเอส+ พี่ยุทธเอสเอส เคยบวชเป็นพระ พอสึกออกมาจึงเรียก มหา + และจากนั้นพี่ ยุทธเอสเอส ได้เดินทางไปรบที่แดน ภารตะ = มหา + ภารตะ + ยุทธ = จึงมาเป็น มหาภารตะยุทธ 555 เขียนมาเล่นๆให้ขำๆครับ ^_^
     
  7. The Third Eyes

    The Third Eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +51,007
    ผมกำลังเขียนกระทู้เรื่อง"แหวน ครองภิภพ" Lords of the Ring
    มาเห็นโลโก้ ของ คุณพ่อมดดลจิ ที่เป็นถาดอัญมณี
    หลากสี ทีแดง ส้ม เขียว..มีทั้งแคล้วคลาด กันคุณไสย กันอาถรรพ์

    โลโก้ที่เห็น นั่นไม่ธรรมดา ครับ
    คุณ พ่อมดโลจิ เอา ขึ้นจอ มาด้วย
    ก็เหมือนเอาเกราะมาป้องกันตัว บนจอ
    เพราะข้อความบนจอ เขียนจากจิตที่ต้องคิดออกมา
    จิตจึงมาอยู่บนจอ เสี่ยงต่อการถูก กระทำ
    จึงต้องมีเกราะ ป้องกัน..ด้วยประการฉะนี้
    ขออวยพรให้ปลอดภัย อยู่คู่ เวปนี้ ตลอดไป
     
  8. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    อิอิอิ...ล้อเล่นวันละนิดจิตแจ่มใส ^O^
     
  9. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    พี่ยุดเล่าต่อดิครับ...
     
  10. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    "ภควัทคีตา" คัมภีร์ในศาสนาฮินดู

    "ภควัทคีตา" คัมภีร์ในศาสนาฮินดู

    "ภควัทคีตา" แปลว่า บทเพลงแห่งพระผู้เป็นเจ้า
    เป็นชื่อคัมภีร์สำคัญหนึ่งของศาสนาฮินดูนิกายไวษณพที่ยกย่องพระวิษณุ (พระนารายณ์) เป็นพระเจ้าสูงสุด เชื่อกันว่าผู้รจนาคัมภีร์นี้คือ "ฤาษีเวทวยาส" หรือเรียกอีกชื่อว่า "กฤษณะ ไทวปายนวยาส" ผู้รจนามหากาพย์ "มหาภารตะ" และคัมภีร์นี้ก็เป็นบรรพหนึ่งของมหากาพย์นั้น เรียกชื่อว่า "ภีษมพรรพ"

    ได้แก่บรรพที่ "ศรี กฤษณะ" (ถือกันว่าเป็นนารายณ์อวตารปางกฤษณาวตาร) ผู้เป็นทั้งพระสหายและสารถีรถศึกของ "เจ้าชายอรชุน" ตอบปัญหาและอธิบายความถวายเจ้าชายอรชุน เจ้าชายฝ่ายปาณฑพแห่งจันทรวงศ์ ขณะทรงหดหู่และท้อถอยพระทัยที่ต้องนำทัพออกทำสงครามชิงเมืองกับเจ้าชายทุรโยชน์ เจ้าชายฝ่ายเการพ แห่งจันทรวงศ์เช่นกัน เพราะทรงเห็นว่าล้วนเป็นพระญาติกันทั้งสิ้น



    ภควัทคีตา มี 18 อัธยายะ
    หรือบท 1.อรชุนวิษาทโยคะ (ความท้อถอยของอรชุน) 2.สางขยโยคะ (หลักทฤษฎี) 3.กรรมโยคะ (หลักปฏิบัติ) 4.ชญาณกรรมสันยาสโยคะ (หลักจำแนกญาณ) 5.กรรมสันยาสโยคะ (หลักว่าด้วยการสละกรรมและการประกอบกรรม) 6.ธยานโยคะ (หลักการเข้าฌาน) 7.ชญาณโยคะ (หลักญาณ) 8.อักษรพรหมโยคะ (หลักว่าด้วยพรหมไม่เสื่อมเสีย) 9.ราชวิทยาราชคุยหโยคะ (หลักว่าด้วยเจ้าแห่งวิทยาและเจ้าแห่งความลึกลับ) 10.วิภูติโยคะ (หลักทิพยศักดิ์) 11.วิศวรูปทรรศนโยคะ (หลักว่าด้วยการเห็นธรรมกาย)


    12.ภักติโยคะ (หลักความภักดี) 13.เกษตรชญวิภาคโยคะ (หลักจำแนกร่างกายและผู้รู้ร่างกาย) 14.คุณตรัยวิภาคโยคะ (หลักจำแนกคุณ 3) 15.ปุรุโษตตมโยคะ (หลักว่าด้วยบุรุษประเสริฐ) 16.ไทวาสุรสัมปทวิภาคโยคะ (หลักว่าด้วยการจำแนกเทวสมบัติและอสูรสมบัติ) 17.ศรัทธาตรัยวิภาคโยคะ (หลักจำแนกศรัทธา 3) 18.โมกษสันยาสโยคะ (หลักว่าด้วยการสละที่เป็นปฏิปทาแห่งโมกษะ)


    คัมภีร์ภควัทคีตาว่าด้วยหลักธรรม 2 ประการ
    คือ หลักอภิปรัชญา ว่าด้วยเรื่องอาตมันว่ามีสภาพเป็นสัตว์ที่เที่ยงแท้ถาวร ไม่มีใครฆ่าหรือทำลายได้ และหลักจริยศาสตร์ ว่าด้วยธรรมะหรือหน้าที่ของกษัตริย์ คือหน้าที่รบเพื่อทำลายล้างอธรรม และผดุงศีลธรรมโดยไม่หวังผลตอบแทน


    บทสนทนาโต้ตอบระหว่างศรี กฤษณะกับเจ้าชายอรชุน ถ่ายทอดโดย "สญชัย" เสวกามาตย์ของพระเจ้าธฤตราษฎร์ พระราชาพระเนตรบอดแห่งเมืองหัสตินาปุระ โดยมหาฤษีเวทวยาสเป็นผู้ให้ตาทิพย์แก่สญชัย เพื่อแลเห็นเหตุการณ์รบพุ่งในมหาสงครามอย่างแจ่มแจ้งทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในพระราชวัง และคอยกราบทูลพระเจ้าธฤตราษฎร์ให้ทราบการเคลื่อนไหวทุกขณะในสมรภูมิ ถ้อยคำที่สญชัยเรียบเรียงทูลดังกล่าว ให้ชื่อกันภายหลังว่า ภควัทคีตา


    แหล่งที่มา : มติชน

    และ http://variety.teenee.com/foodforbrain/460.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2311.jpg
      2311.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.9 KB
      เปิดดู:
      625
  11. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ป้าปอบ ให้ความหมายของ มหาภารตะยุทธ ไว้อีก 1 ความหมายครับ...มหาภารตะยุทธ อาจจะมาจาก / มหา = ใหญ่ /+ ภารตะ = แขก /+ ยุทธ = ยุทธ SSS และ บวกลบคุณหารกันแล้ว จึงออกมาเป็น = ยุทธแขกใหญ่ / อิอิอิ ^_^
     
  12. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,167
    กระทู้เรื่องเด่น:
    26
    ค่าพลัง:
    +29,754
    อวตารกายมนุษย์
    ครึ่งหนึ่งเหยีบไว้ ในฐานะมนุษย์

    อีกครึ่งหนึ่งเพียงแตะ เบาๆ สบายๆ ไม่ได้ยึดมั่นในสิ่งที่ปรากฏในโลกนี้
    มีสภาวะของท่านเป็นที่มา และที่ไป

    สภาวะธรรมในวัฏฏะ คือ การไหลเวียน เปลี่ยนแปรไป

    และท่านได้แสดงให้เห็นแล้ว
     
  13. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    อืม...ดีๆๆ...ได้ฟามรู้ดีมากครับ อิอิอิ
     
  14. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    มหาภารตะยุทธ อาจะมาจาก มหา คือ ใหญ่ / ภาระ คือ สิ่งที่ต้องรับผิดชอบ / ตะ ย่อมาจาก ตะลึงตึงๆ / ยุทธ คือ ยุทธ SSS / แปลอีกทีได้ว่า พี่ยุทธผู้ตะลึงกับสิ่งที่ต้องรับผิดชอบอันใหญ่ ^_^
     

แชร์หน้านี้

Loading...