มาดูสมเด็จกัน

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย wasabi san, 25 พฤศจิกายน 2009.

  1. Rasbora เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    359
    ค่าพลัง:
    +779
    สรุป คุณ Rasbora คงต้องใช้วิจารณญาณในการรับชมเองแล้วหละครับ...หุหุ

    ขอบคุณท่านXlmnครับ ก็เพราะข่าวหลายกระแสในเวปฯที่ท่านxlmnอ้างถึงนั่นแหละครับผมถึงอยากรบกวน ผู้มีประสพการณ์พระเนื้อกรุเนื้อเก่าช่วยวินิฉัยถึงเนื้อพระว่ามีอายุหรือไม่ ผมไปรับมาจากวัดในปัจจัยศัทธาที่ไม่ต้องคิดมากเลยครับ แต่โชคไม่ดีได้พิมพ์นี้และเนื้อนี้มาองค์เดียวซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าทุกพิมพ์ที่มีอยู่ในตู้เลยครับ ถ้าโดนก็ถือว่าทำบุญกับวัดไปสบายใจครับ พอดีวันที่ไปเจ้าอาวาสไม่อยู่ เลยไม่ทราบว่ายังมีเก็บไว้อีกหรือไม่ สิ้นเดือนนี้จะขึ้นไปอีกคงต้องแวะไปดูข้อมูลให้แน่ๆอีกที.....
     
  2. Kawinpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,154
    ค่าพลัง:
    +991
    พี่ XL ยังไม่ได้วิจารณ์องค์นี้ให้ผมเลยครับ (ขอทวงหน่อยนะครับ เพราะตกไปหลายหน้าแล้ว)

    อยากฟังคำวิจารณ์ของพี่ครับ ขอบคุณมากครับ
     
  3. xlmen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,428
    ค่าพลัง:
    +3,291


    <SCRIPT id=id_predict_include_script type=text/javascript src="http://cdn1.predictad.com/scripts/publishers/sweetim/predictadme.js"></SCRIPT> พระแก้วกรุฮอดองค์นี้ดูสวยดีครับคุณยา.....เสียดายที่ผมเองก็ดูกรุนี้ไม่เป็นซะด้วยสิครับ.....
    บอกได้แค่ว่าฝีมือทางศิลป์ของช่างในการแกะดีมากๆ ครับ ผิวเรียบ (ความเรียบบนความขรุขระแตกต่างจากผิวแก้วหล่อ) ไม่เป็นเหลี่ยมคมช่างที่แกะหินได้งามขนาดนี้ต้องไม่ธรรมดาทีเดียวครับ....

    ขนาดพระหยกวัดธรรมมงคลช่างฝรั่งแกะฝีมือพระหยกองค์เล็กยังไม่ปราณีตเท่านี้เลยครับ...
    โดยส่วนตัวผมชอบคราบกรุที่จับตามผิวพระนะครับ...โดยเฉพาะแก้วจุยเจียด้วยแล้วถ้าเป็นแก้วจุยเจียแกะใหม่ๆ เนื้อจะขาวใส แต่เท่าที่ผมเคยเห็นพระของเพื่อนมาผิวแก้วจะขุ่นเป็นหย่อมๆ อาจจะด้วยกรวดทรายภายในกรุทำให้ขุ่นหรืออย่างไรนี่แหละครับ...หุหุ

    ส่วนกรณีที่อาจจะทำให้ดูไม่ดีน่าจะมาจากทองคำเปลวที่สว่างใสก็เป็นได้ครับ...
    ปกติกรุฮอดนั้นถ้าจะมีทองคำเปลวก็ต้องเป็นทองเก่า....เท่าที่ผมดูก็คิดว่าการเกาะตัวของทองติดแน่นกับองค์พระดีจริงๆ บางทีอาจจะเป็นไปได้ว่ามีการใช้น้ำยาเคมีกัดผิดพระทำให้ทองสว่างในบัดดลครับ...หุหุหุ

    เอ...ดูไปดูมาจะใช่จุยเจียหรือครับ ?
    ผมว่าน่าจะเป็นแก้วมุกดาหารรึเปล่าเอ่ย....สีหมอกมัว น่าฉงฉัยเจงๆ อิอิ
     
  4. xlmen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,428
    ค่าพลัง:
    +3,291
    เนื่องจากเป็นพระที่ทางวัดออกให้บูชาเอง....การวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ดูจะไม่เหมาะนะครับ...
    เพราะจะเป็นดาบสองคมอาจทำให้ผมซวยในปรโลกได้ครับ หุหุ

    เอาเป็นว่าเท่าที่ผมดูจากเนื้อดินแล้วคิดว่าอายุการสร้างไม่น่าจะเก่าถึงยุคสุโขทัยนะครับ....
    อาจจะเป็นพระที่สร้างขึ้นในภายหลังยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายก็เป็นได้ครับ....

    ส่วนจะจริงหรือเท็จนั้นกฎแห่งกรรมจะเป็นตัวตัดสินชี้ขาดอีกทีครับ...
     
  5. xlmen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,428
    ค่าพลัง:
    +3,291


    ขออภัยที่ตอบข้ามไปนะครับคุณกวินพันธ์....เท่าที่ดูผมว่าภาพไม่ชัดนะครับ
    เวลาขยายใหญ่แล้วเบลอมาก....ถ่ายรูปใหม่ดีกว่าไหมครับ คราวนี้ใช้กล้องส่องพระจ่อหน้าเลนส์เลยก็ได้ครับ...

    แต่ถ้าดูคร่าวๆ คิดว่าพิมพ์ผิดอยู่หลายจุดนะครับ...
    การจัดวางองค์ประกอบขององค์พระเอียงดูไม่เป็นธรรมชาติ...ร่องแขนซ้ายขวาผิดฝีมือไปนิด...เข่าขวาขององค์พระเล็กเกินไปเห็นแล้วตำหนิได้เลย...

    ว่าง่ายๆ ก็คือ สูตรพิมพ์ใหญ่นั้นเข่าซ้ายขององค์พระจะต้องใหญ่กว่าเข่าขวา...
    คนที่แกะพิมพ์ก็พาลซื่อแกะซะใหญ่จนดูน่าเกลียดเชียวครับ...เรียกได้ว่าขาดศิลปะในหัวใจซะจริงๆ เลยครับ หุหุ

    หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ "พิมพ์นี้เจตนาเลียนแบบพิมพ์นิยมของหลวงวิจารครับ...จบข่าว"
     
  6. xlmen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,428
    ค่าพลัง:
    +3,291

    แล้วจะให้ผมดูตรงไหนหละครับ ?????
    แต่ถ้าจะถามว่าคราบดำๆ นั้นคืออะไร...ก็ขอตอบว่าน่าจะเป็นผงดำที่บดละเอียดผสมได้ไม่ทั่วดีนักติดอยู่ในเนื้อพระครับ...
     
  7. Rasbora เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    359
    ค่าพลัง:
    +779
    เอาเป็นว่าเท่าที่ผมดูจากเนื้อดินแล้วคิดว่าอายุการสร้างไม่น่าจะเก่าถึงยุคสุโขทัยนะครับ....
    อาจจะเป็นพระที่สร้างขึ้นในภายหลังยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายก็เป็นได้ครับ....

    โอ้ย...แค่หลังกรุงศรีอยุธยาตอนปลายก็เหลือๆที่จะมีกำลังใจจะเก็บสะสมต่อไปแล้วครับ... ที่กลัวก็คือพิมพ์แล้วเผาเมื่อปีกลายแล้วเปิดกรุปีนี้ต่างหาก...555

    ขอบคุณอีกครั้งครับ
     
  8. xlmen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,428
    ค่าพลัง:
    +3,291
    <SCRIPT id=id_predict_include_script type=text/javascript src="http://cdn1.predictad.com/scripts/publishers/sweetim/predictadme.js"></SCRIPT>
    พระของคุณ keepwork องค์นี้มีลุ้นจริงๆ อย่างที่คุณวาซาบิได้บอกไว้แหละครับ....องค์แรกหมดลุ้นครับ

    เนื้อเป็นปูนเปลือกหอย แต่ใช้น้ำอ้อยเคี่ยว
    ลงผสมในเนื้อมากไปนิดผิวเนื้อจึงแลดูไม่สวยนัก...

    ส่วนผงเกสรมีแต่ดูยากครับ....เอาเป็นว่าพระเนื้อไม่สวยแบบนี้ยกให้ผมดีกว่าครับคุณ Keepwork อิอิ
     
  9. xlmen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,428
    ค่าพลัง:
    +3,291
    เรียนตามตรงครับว่า...เดี๋ยวนี้เขามีการทำพิมพ์เกศไชโยแตกลายงา เนื้อแบบนี้ สีแบบนี้กันได้แล้วนะครับ....

    เมื่อวานผมก็ไปเดินสนามพระมา....ส่องอยู่หลายตลบ
    แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ...เพราะว่าฝีมือเดี๋ยวนี้เขาไปไกลจริงๆ น่ากลัวมาก...

    เท่าที่ดูผมว่ายังไม่ผ่านนะครับคุณ kanja เดี๋ยวรอคุณวาซาบิมาช่วยดูให้อีกแรงดีกว่าครับ...
     
  10. yamie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    1,640
    ค่าพลัง:
    +1,520
    - ขอนอกเนื้อหานิดนึงนะคะ-

    -----------------------------------------------------------------
    พระมีนามว่า "พระแก้วมณีโชติ"
    ตำนานพระแก้วมณีโชติ (ฉบับย่อ)
    พระพุทธศาสนาผ่านไป ๒,๕๐๐ ปี จะเกิดกลียุคมนุษย์รบราฆ่าฟันกันเอง โลกมนุษย์จะพบภัยพิบัติจากโรคระบาดที่ร้ายแรง มาคร่าชีวิตผู้คนและสัตว์ให้ล้มตายจำนวนมาก แต่คนที่แขวนพระแก้วมณีโชติติดตัว จะปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง สมเด็จโตได้นิมิตบอกหลวงปู่ทิพย์พระอรหันต์แห่งถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ปัจจุบันท่านได้ละสังขารไปแล้ว ท่านเป็นอาจารย์ของผู้เขียน และอนุญาตให้เปิดเผยเรื่องราวพระแก้วมณีโชติ พระแก้วกายสิทธิ์ที่เทวดาสร้างถวายบูชาพระพุทธเจ้า ท่านเล่าว่า

    เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ พระพุทธองค์ทรงจาริกประเทศเทศนาธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ ทรงเสด็จจาริกมายังถิ่นต่างๆ ทรงพยากรณ์ที่ต่างๆ ทรงประทานพระเกศาธาตุและรอยพระพุทธบาทอันทรงเห็นสมควร และทรงเล็งด้วยพระพุทธญาณว่าต่อไปที่แห่งนี้จะเป็นที่อุดมในธรรม ทรงพยากรณ์ว่า “ ต่อไปภายหน้าเมื่อตถาคตปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี ณ ที่แห่งนี้จะเกิดนครใหม่ที่มีความรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาอย่างมากมีนามว่า “ ทิพย์มหานคร ”

    เมืองนี้ปรากฏพระเถระองค์หนึ่งนามว่า พระธรรมราช เป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์ศักดามาก เป็นที่เคารพนับถือของเหล่ามนุษย์และพญานาคตลอดจนเทวดาทั้งหลาย พระธรรมราชคิดว่าพระพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองได้ ต้องให้คนทั้งหลายระลึกถึงพระพุทธคุณ จึงคิดจะสร้างพระพุทธรูปองค์เล็กจำลองเป็นรูปของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เป็นที่พึ่งของเหล่ามนุษย์ แต่จะสร้างด้วยทองคำหรือเงินก็จะทำให้มนุษย์เกิดความโลภทำอันตรายต่อรูปจำลองของพระพุทธเจ้า ความคิดนี้รู้ไปถึงมหาพรหมผู้มีนามว่า "ชินนะปัญจะระ" ท่านจึงแปลงร่างเป็นชีปะขาวนำเอาแก้วมณีโชติ ที่ถือเป็นแก้วกายสิทธิ์อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต มาถวายให้พระธรรมราช พระธรรมราชจึงให้ช่างแกะสลักในเมือง ช่วยกันแกะเป็นรูปจำลองของพระพุทธเจ้า ปรากฏว่าช่างแกะสลักไม่สามารถที่จะแกะสลักแก้วมณีโชติได้
    พวกช่างปรึกษากันด้วยจนปัญญา ความนี้ทราบถึงพระอินทร์จึงสั่งให้เทวดาประจำวันทั้ง ๗ องค์ แปลงร่างเป็นมนุษย์ลงมารับอาสา แกะสลักแก้วมณีโชติเป็นรูปจำลองของพระพุทธเจ้า ด้วยการแกะสลักเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กใช้ติดกายและองค์ใหญ่สูงครึ่งคืบไว้ประจำบ้านเมือง เพียงใช้เวลา ๗ วันแกะได้ ๘๔,๐๐๐ องค์ เมื่องสร้างเสร็จแล้วพระธรรมราชจึงประชุมกับเจ้าเมืองและชาวเมืองเพื่อจัดงานทำบุญฉลองสมโภชพระแก้วมณีโชติ

    ท่านมหาพรหมชินนะปัญจะระและพระอินทร์ จึงแปลงร่างเป็นชีปะขาวมาร่วมในงานฉลองด้วย เมื่อถึงเวลาพระธรรมราชเป็นผู้เจริญพระพุทธมนต์ ชีปะขาวทั้งสองเจริญทิพย์มนต์บูชาพระพุทธเจ้า และมีการจุดบ้องไฟเป็นพุทธบูชานับได้ ๑๐๘ กระบอก ชาวเมืองพร้อมใจกันจุดบ้องไฟ เมื่อจุดบ้องไฟติด พวกช่างแกะสลักทั้งเจ็ดและชีปะขาวทั้งสอง ก็กระโดดขึ้นนั่งบนหัวบ้องไฟ บ้องไฟได้พาเอาร่างชีปะขาวและช่างแกะสลัก สูงขึ้น สูงขึ้น จนหายเข้ากลีบเมฆไปในที่สุด

    ชาวเมืองจึงรู้ว่าเทวดาแปลงร่างมาเป็นช่างแกะสลักและชีปะขาว จึงพากันส่งเสียงแซ่ซ้อง สาธุ สาธุ กึกก้องอึงคะนึงไปทั่วทั้งเมือง ท่านมหาพรหมชินนะปัญจะระจึงประพรมน้ำพุทธมนต์ อวยพรอวยชัย โดยบันดาลให้ฝนทิพย์ตกลงมาทั่วเมือง เสร็จงานแล้วชาวเมืองช่วยกันขุดหลุมลึก ๗ ศอก ๕๖ หลุม นำเอาพระทั้งหมดใส่ไห ๕๖ ไห ฝังในหลุมและกลบอย่างดี พระธรรมราชขอให้พญานาคชื่อ พญาศรีเสน เป็นผู้เฝ้ารักษาไม่ให้ผู้ใดมาเหยียบย่ำที่แห่งนี้

    ศาสนาตถาคตผ่านไป ๑,๒๐๐ ปี พระแก้วมณีโชติจะปรากฏขึ้นครั้งแรกโดยพระอรหันต์ผู้มีนามว่า โสนันโท ได้นิมิตพบพระแก้วมณีโชติขณะที่เหาะไปเมืองพญาครุฑ เห็นดวงไฟลอยจากใต้พื้นดินสู่ท้องฟ้านับหมื่นดวง เป็นที่อัศจรรย์ จึงได้เชิญกษัตริย์ละโว้มาสร้างเมือง ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ได้ตั้งชื่อเมืองนี้ว่า พิสดารมหานคร กษัตริย์ผู้ครองเมืองมีความเลื่อมใส พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ได้สร้างวัด ๑๐๘ วัดเป็นพุทธบูชา ท่านจึงแปลงร่างปีชะขาวมาร่วมอนุโมทนากุศลครั้งนี้ พร้อมถวายพระแก้วมณีโชติ ๑ ไหให้ไว้ประจำเมือง และให้เหล่าเทวดาที่ร่วมสร้างพระแก้วมณีโชติช่วยกันคุ้มครองรักษาแผ่นดินธรรมสืบไป

    ศาสนาตถาคตผ่านไป ๒๐๐๐ ปี พระแก้วมณีโชติจะถูกนำขึ้นมาให้มนุษย์สักการบูชากราบไหว้ เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวของคนดีมีศีลธรรม ที่เคารพนับถือพระพุทธเจ้า มนุษย์ที่ได้ครอบครองพระแก้วมณีโชติจะปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง มีความสุขสมบูรณ์ เจริญด้วยโภคทรัพย์ เทวดาปกปักษ์คุ้มครองรักษา เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปจนครบ ๕,๐๐๐ ปี ตามพุทธพยากรณ์

    สมเด็จโตผู้นิมิตพบท่านมหาพรหมชินนะปัญจะระ เมื่อครั้งธุดงค์ไปที่กำแพงเพชร ท่านมหาพรหมชินนะปัญจระได้สอนคัมภีร์ธรรมศาสตร์ และพิธีการปลุกเสกพระเครื่อง ทำให้พระสมเด็จของท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือระบือนามไปทั่วทิศ พร้อมทั้งบอกเล่าตำนานพระแก้วมณีโชติ และบอกให้สมเด็จโตไปเอาพระแก้วมณีโชติมา ๕ ไหเก็บรักษาไว้ ในภายภาคหน้าจะเป็นประโยชน์ในการช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอยู่ครบ ๕,๐๐๐ ปี

    สมเด็จโตพร้อมศิษย์จึงเดินทางมาที่เมืองทิพย์นครและได้พบกับพญานาคผู้รักษาพระแก้วมณีโชติ พญานาคได้พ่นไฟพิษเข้าใส่ สมเด็จโตจึงภาวนานึกถึงท่านมหาพรหมชินนะปัญจะระ ไฟพิษของพญานาคไม่สามารถทำอันตรายได้ สมเด็จโตบอกพญานาคว่าท่านมหาพรหมชินนะปัญจะระใช้มาจริงไม่ได้พูดเท็จ จึงมอบพระแก้วมณีโชติให้สมเด็จโต ๕ ไห สมเด็จโตนำเอามาเก็บไว้ที่กุฏิท่านโดยให้วิญญาณผู้หญิงเป็นผู้เฝ้าดูแล ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ไหของสมเด็จท่าน ด้วยเกรงกลัวอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณของหญิงสาวนั้น ที่ชอบปรากฏตัวให้ผู้คนเห็น

    ก่อนสมเด็จโตจะมรณภาพ ท่านได้นำเอาไหทั้ง ๕ ใบไว้บนเพดานโบสถ์วัดระฆังโดยไม่มีใครรู้ เวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี สมเด็จโตได้นิมิตบอกผ่านหลวงปู่ทิพย์ได้รับรู้ถึงนิมิตตำนานพระแก้วมณีโชติ และก่อนที่ท่านจะละสังขารได้มอบพระแก้วมณีโชติให้ศิษย์ของท่านเป็นผู้ดูแลเก็บรักษาไว้ และอนุญาตให้เปิดเผยเล่าเรื่องราวตำนานพระแก้วมณีโชติให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้รับรู้ เพื่อช่วยกันสืบอายุพระพุทธศาสนาให้ครบ ๕,๐๐๐ ปี

    ------------------------------------
    ที่มาของพระที่ ยาได้มานะคะ
    มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่ยาเคารพนับถือแนะนำให้รู้จัก วัดแห่งนี้ แต่ว่าก็ยังไม่โด่งดังอะไรมาก เนื่องจากทางวัดเองก็ไม่ได้สร้างกระแส เป็นเพียงสำนักสงฆ์เล็กๆแห่งนึงคะ ยังไม่เป็นวัด ความเจริญก็ยังไม่เหมือนวัดในเมือง เจ้าอาวาสเป็นศิษย์ ของหลวงปู่มั่น ท่านเป็นคนทำพิธี เรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ให้ญาติโยมได้นำไปบูชา โดย การช่วยเหลือเรื่องปัจจัย ช่วยสร้างเปรียญกลางน้ำ แต่นานวันเข้าจนถึงปัจจุบัน ทางวัดก็จะเจอปัญหา คนเห็นแก่ตัว คือ เมื่อท่านเรียกมาให้แล้ว ก็เก็บใส่กระเป๋า แล้วกลับบ้านไปเลย ยาคิดว่า กระทั่งวันนี้ พระอาจารย์คงสะสมทุนทรัพย์สร้างเปรียญกลางน้ำไม่ได้คะ อาจจะเป็นสาเหตุ สิ่งลี้ลับที่ไปพบเจอ เราไม่สามารถ สรุปได้ว่าจริงแท้แค่ไหนนะคะ เพราะ ยาเองก็เจอมากับตัว เห็นด้วยตาตัวเองคะ ตอนแรกก็ไม่เชื่อ เพราะว่า เราคนหัวใหม่ แต่ก็อยากรู้อยากเห็น แต่พอไปก็เตรียมจับิดแบบเต็มที่ ก็หาไม่เจอคะ สัญนิฐานไปต่างๆนานากับญาติโยมคนอื่นๆ แต่ก็หาบทสรุปไม่ได้ ว่า สิ่งที่เราได้มานั้นเป็นของจริงหรือแหกตา เพราะ ไม่รู้ว่า จะพิสูจน์อย่างไร กับสิ่งของ ที่ท่านเรียกมาให้บูชากัน ( ใต้บึงแห่งนั้น จะมีพระนาดูนอยู่คะ ขุดพบ และ คาดว่าเป็นกรุ) และที่สำคัญ ด้วยความมหัศจรรย์ ไม่น่าเชื่อ ปประกอบกับพิธีที่วางศิลาฤกษ์ จะเกิด พระอาทิตย์ทรงกลด นานจนเสร็จพิธี และ มีผู้ใหญ่บางท่านเห็นคนโบรานยืนถือดอกไม้ ใส่ชุดขาว หญิง ชาย ในวันที่ทำพิธีขุดบ่อคะ นั่นคือสาเหตุที่ ยาไม่อาจพูดได้ว่า จริงแท้ แค่ไหนนะคะ เพราะ มันเป็นเรื่องที่แปลก หรือ แหกตา ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้
    อย่างหินวิเศษ ที่ยาจะโพสให้ดูนั้น ยาก็ไม่รู้ว่า คือ เพรชพญานาค หรือไม่เพราะ ไม่รู้จักใครที่เชี่ยวชาญเรื่องการพิสูจน์ หินรัตนชาติคะ
    สรุป คือ อย่างที่กล่าวมา ก็ต้องใช้วิจารณาในการรับฟัง แล้วก็วิเคราะห์ถึงความน่าจะเป็นคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 154636.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.7 KB
      เปิดดู:
      356
    • pagaw 11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      106.8 KB
      เปิดดู:
      494
  11. xlmen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,428
    ค่าพลัง:
    +3,291
    ไม่รู้จะชี้จุดยังงัยเพราะผิดจุดหลายจุดเหลือเกินครับ....ถ้าเทียบกับพระรอดมหาวันก็ผิดเยอะนับไม่ถ้วน...
    จะบอกกรุวัดอุโมงค์ก็ผิดอีกเนื้อไม่ใช่ ศิลป์ห่างกันเยอะ...

    ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะจับท่านลงกรุวัดไหนดีหนะครับคุณยา อิอิ

     
  12. yamie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    1,640
    ค่าพลัง:
    +1,520
    แต่องค์พระ ที่โชร์ให้ดูนั้น หนักมากนะคะ ไม่เบาเหมือนเรซิ่นคะ รวมทั้งน้ำหนักของหินเหล่านี้ด้วยคะ มีน้ำหนัก ไม่เบาเช่นกัน เลยทำให้ยาเอง บอกไม่ได้ว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ ( ยืมภาพเพชรนาคา เพื่อนมาให้ดูคะ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. yamie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    1,640
    ค่าพลัง:
    +1,520
    กรุโยดำ ปากช่องคร้าาาาาาาาาาา ห้าห้าห้าห้า ไปอ่านเจอพอดี ฉายา โยดำ แห่ง ปากช่องpity_pig
     
  14. Kawinpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,154
    ค่าพลัง:
    +991
    รูปสำรองครับ ถ่าย under นิดหน่อยครับพี่ XL ขอบคุณครับ :boo:

    งวดนี้มาแบบสีตรงเลยครับบบ
     
  15. xlmen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,428
    ค่าพลัง:
    +3,291
    เอาเป็นว่าผมยืนยันเหมือนเดิมละกันครับ.....
    ผิดพิมพ์ แตกลายงาสวย มวลสารน้อยไปนิด...ที่แน่ๆ คือ ไม่ใช่กรุโยดำแน่ๆ ครับคุณกวินพันธ์ 555+

    ใครรู้จักกรุโยดำช่วยบอกผมหน่อยเถอะ ??...งง เจงๆ ครับ หุหุหุ
     
  16. yamie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    1,640
    ค่าพลัง:
    +1,520
    กรุโยดำ อันนี้ ยาไปได้มาจากที่นี่คะ จากหัวข้อบอร์ด กฏการถามตอบ พระเครื่อง และ ขอยืมเครดิตคุณ tomnok ถ้าจำไม่ผิดนะคะ มาโพสต่อ ให้คุณ xlmen อ่าน และ พี่ๆในห้องนี้ อ่านด้วยคะ แหม ยาชอบแอ่วหลายๆห้องหาความรู้ไปเรื่อยๆคะ อิอิอิอิแต่เป็นเนื้อหานานแล้วคะ คงเคยผ่านตากันบ้างแล้วก็เป็นได้ ถ้าอย่างไรลงข้อมูลเก่า รอบสองคงไม่ว่าอะไรนะคะ
    ---------------------------------------------------------------
    คอลัมน์ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ "สกู๊ปพิเศษ" ประจำวันที่ 28 มีนาคม 2547


    แกะรอยสมเด็จเก๊สี่ดาวแผงแบกะดิน..ไม่มีขาย

    ในจำนวนพระเครื่องมากมาย หลายขนาด หลายพิมพ์ทรงที่วาง เรียงราย ขายริมถนนจนถูกเรียกว่า ตลาดพระแบกะดินนั้น โดยสามัญ สำนึกคนทั่วไป ร้อยทั้งร้อย เป็นพระปลอมและในจำนวนพระปลอมเหล่านั้น สัดส่วนของพระสมเด็จวัดระฆัง วัดบางขุนพรหม ปลอมมีอยู่มากที่สุด ไม่มีแผงแบกะดินแผงใดไม่มีพระสมเด็จ ปลอมขาย น้อยที่สุดก็ห้าองค์ สิบองค์ ไปถึงบางแผงขายสมเด็จปลอมในปริมาณเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
    ยิ่งมีข่าวพระสมเด็จวัดระฆัง บางขุนพรหม องค์แชมป์ ผ่านมือมหาเศรษฐี คนหนึ่งไปสู่เจ้าสัวอีกคนหนึ่ง หรือไปอยู่ในมือนักการเมืองอีกสักคนหนึ่ง ในราคาหลายสิบล้าน ปริมาณพระสมเด็จปลอมก็ยิ่งล้นตลาดแต่ละวันจะมีลูกค้าตั้งแต่หนุ่มกระทงไปถึง รุ่นใหญ่วัยชรา ถือกล้องส่องพระด้อมๆมองๆ ส่องพระสมเด็จ ราคาว่ากันตามเหตุผลแวดล้อม พระปลอมดีมากน้อย คนซื้อมีฟอร์ม กำลังซื้อมากน้อย จากร้อยไปถึงพัน บางองค์เป็นหมื่น นานๆทีจะมีคนกล้าเปิดราคาเป็นแสน หากเกิดมีข้อกังขา...พระสมเด็จปลอมจำนวนมากมหาศาล นับวันจะเพิ่มขึ้น ใครปลอม ปลอมมาจากไหน อาชีพปลอมพระ...เป็นอาชีพปกปิด คงหาคำตอบได้ยาก แต่หากจะถามว่า พระปลอม พอจะแบ่งได้เป็นกี่ระดับ พอจะหาคนตอบได้ว่า มี 4 ระดับ เรียกกันเป็นสัญลักษณ์ด้วยจำนวนของ...ดาว เหมือนร้านอาหารของแม่ช้อยนางรำ

    “ขาวทั้งองค์ ใช้ปูนขาวผสมซีเมนต์แห้งเร็ว ถอดพิมพ์เสร็จ พรมด้วยน้ำหอม โรยแป้งนิดหน่อย ผึ่งลม...ตากแดด 1 อาทิตย์ ก็ส่งขาย นี่คือสภาพ พระสมเด็จปลอมแบบ 1 ดาว”
    ผู้ให้ข้อมูลนี้ นับเป็นผู้สันทัดกรณีพระสมเด็จปลอมตลาดแบกะดิน คนในแวดวงรู้จักกันในชื่อ ของ โยดำ โคราช อายุ 27 บ้านของโยดำอยู่ปทุมธานี แต่ไปมีทีมเพื่อนทำพระปลอมอยู่แถวปากช่อง นครราชสีมา อาชีพหลักของของโยดำก็คือ ลำเลียงพระปลอมจากแหล่งผลิตไปสู่ตลาดแบกะดินมากมาย ในกรุงเทพฯ จำนวนพระที่ลำเลียงมาแต่ละครั้ง ก็แล้วแต่ใบสั่ง ซึ่งเกิดจากความต้องการ ของตลาด บางครั้ง 2 - 3 หมื่นองค์ บางครั้งก็มีใบสั่งถึง 1 แสนองค์ พระสมเด็จปลอม 1 ดาว ราคาเฉลี่ย ร้อยละ 300 บาท หรือองค์ละ 3 บาท ราคานี้เป็นราคายี่ปั๊ว ใครรับไปขายต่อ ก็อาจจะเพิ่มราคาเป็นองค์ละ 5-6 บาท โดยทั่วไป ที่รับกันไปขาย มักจะต้องซื้อในราคาร้อยละ 400-600 บาท ส่วนลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแบกะดิน จะไปขายเท่าไหร่ ก็แล้วแต่ลีลา “อย่างตอนนี้ใกล้สงกรานต์ หน้าตายี่ปั๊วจะสดใสเป็นพิเศษ เพราะใบสั่งพระจะออกมามาก ชนิดที่ต้องเพิ่มยอดกันไม่หยุด” ลูกค้าตัวจริงที่สั่งเพิ่มยอด ความจริงจากปากโยดำ โคราช ไม่ใช่แผงแบกะดิน แต่เป็นใบสั่งจากวัด วัดจะซื้อไปทีละหลายพันองค์ อาจมีการปลุกเสกพอเป็นพิธี บรรจุใส่กล่องให้หรู สมภารมีไว้แจก ญาติโยมที่มาทำบุญ หรือไม่ก็จำหน่ายเอาเงินเข้าวัด ถึงขั้นนี้ พระสมเด็จปลอม ต้นทุนผลิตจริง 3 บาท ก็จะกลายเป็นพระสมเด็จ ปลุกเสกใหม่ ขายกันในราคาองค์ละ 100-200 บาทค่านิยมพระสมเด็จปลอม ไม่เพียงทำให้ยี่ปั๊วโกยเงินในประเทศ ยังโกยเงินจากนอกประเทศ อีกมหาศาล ใบสั่งในระยะหลังมาจากมาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง นี่คือ...เส้นทางพระสมเด็จปลอม ระดับ 1 ดาว
    พระสมเด็จปลอม ระดับ 2 ดาว ไก่ กลางดง วัย 42 หนึ่งในทีมงานผลิต รับหน้าที่อธิบาย
    ปลอม 2 ดาว เนื้อหามีความแกร่งเพิ่มขึ้น ใช้น้ำผึ้งน้ำอ้อยผสม มีการอบ ไล่ความชื้น สีผิวของเนื้อจะมีลีลาใกล้พระแท้มากขึ้น กรรมวิธี ทั้งหมักทั้งแช่ ความเก่าคร่ำ ก็สะดุดตาเซียนน้อยเซียนใหญ่ ทำให้เกิดวงจรการซื้อขายขึ้นได้ไม่น้อย พระสมเด็จปลอม 2 ดาว ไก่ กลางดง ให้ข้อมูล ระยะนี้ใบสั่งน้อย นานๆจะมีคนสั่งสักที แต่ถ้าเป็นเมื่อ 10 ปีก่อน พระสมเด็จปลอม 2 ดาว ท็อปฮิตมาก วางตลาดเท่าไหร่...เปิดราคา หลายร้อยถึงหลักพัน ก็หมด สมัยนี้ลูกค้าคงเอียน แต่ก็พอมีขายแผงแบกะดินทั่วไป องค์ละ 50-100 บาท

    พระสมเด็จปลอม 3 ดาว ราคาอยู่ที่หลักร้อยปลายๆถึงหลักพันต้นๆ ปลอมระดับนี้ ต้องใช้ฝีมือสูง เนื้อพระทุกองค์ต้องใกล้เคียงของจริง รายละเอียดในผิวพื้น รอยยุบ รอยแยก รอยยับ พิมพ์ทรง น้ำหนัก ตื้น-ลึก หนา-บาง ความแกร่ง หน้า-หลัง ขอบล่าง ข้างบน ใกล้เคียงพระแท้ 85 เปอร์เซ็นต์
    พระสมเด็จปลอม 4 ดาว...เหนือขึ้นไปอีกขั้น ใกล้เคียงของจริง ว่ากันว่า ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ แต่ปลอมได้แค่นี้ ยังไม่ได้ ต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเติมลีลา เช่น สร้างบ่อน้ำตา รอยลั่นร้าว รอยยุบรอยแยก คาบกรุ รอยตัด เส้นแซมจากขอบซุ้ม สังฆาฏิ รวมไปถึงความโหนกนูน สูง-ต่ำ เล็ก-ใหญ่ สั้น-ยาว บิดเบี้ยว-ตรง

    เพิ่มแต่ง รัก-ทอง เติมน้ำมันตังอิ้ว มวลสาร รอยหนูกัด รอยบิ่น รอยหัก หรือรอยเก็บ รอยการใช้ มีทั้งสึก...ทั้งบาง รายละเอียดเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องมีครบหมด แต่...ต้องมีบ้าง ไม่มีบ้าง หลักพระปลอมขายได้ ต้องมีเพียงน้อยๆ และห้ามมีมาก

    พระ 4 ดาวองค์เดียว ใช้เวลาหลายสิบวัน คนทำต้องมีความอดทนสูง ต้องดูแล้วดูอีก และผ่านหลายตา กว่าจะวางตลาดได้ เดือนหนึ่งไม่เกิน 2-3 องค์ แต่ละองค์จะต่างพิมพ์กัน

    “สมเด็จปลอม 4 ดาว ไม่มีบนแผงแบกะดิน” ไก่ กลางดงยืนยัน “ส่วนใหญ่จะใส่ตลับทอง วางเป็นสง่ายั่วตาเซียนอยู่ในแผงพระชั้นนำ ทั้งในกรุงเทพฯ หาดใหญ่ เชียงใหม่ อุบลฯ อุดรฯ ราคาว่ากันตั้งแต่ใกล้หลักแสน บางองค์หลายแสน”
    พระสมเด็จที่ซื้อหากันในราคาแพง เจ้าของพระภูมิใจให้สัมภาษณ์ในหนังสือพระเครื่องชั้นดี หลายองค์ ไก่ กลางดง ยืนยันอย่างมั่นใจ เป็นพระสมเด็จฝีมือโคราช “พระ 4 ดาวนี่แหละ เป็นที่มาของข่าวเซียนโค่นเซียน เซียนใหญ่หลายคน โดนมาแล้ว” แต่เซียนระดับที่ถูกโค่นได้ ไก่ กลางดง บอกว่า ไม่ใช่เซียนจริง รู้ไม่จริง แต่เซียนจะรู้จริงมากน้อยแค่ไหน ระดับพระปลอม 4 ดาวนี้ ไก่ กลางดง บอกว่า...หลายองค์เคยชนะการประกวดพระเครื่อง “แต่การขายพระราคาแพงให้ลูกค้าผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าพระสมเด็จปลอม หรือแท้ ในวงการพระเครื่อง เขาเชื่อกันว่า ถ้ามาเฟียไม่มีเอี่ยว ก็ยากจะขายได้” มาเฟียในทรรศนะของ เต่า ทินกร วัย 54 ที่จริงก็น่าจะเป็นเซียนใหญ่ ที่มีข่าวขายพระได้องค์ละสิบล้านยี่สิบล้าน เป็นที่รู้กัน แม้มีพระสมเด็จแท้...แท้แน่ๆ แท้จริงๆ สักองค์ แล้วคิดจะขาย ก็ไม่มีทางขายได้ราคา หากมาเฟียไม่การันตี

    เมื่อพระแท้จะขายได้เมื่อมาเฟียการันตี ประเด็นอยู่ที่มาเฟียจะได้ส่วนแบ่งไปเท่าใด ถ้าขายขาดก็ตัดสินใจขาย แต่ถ้าไม่ขายขาด ก็พูดกันเป็นเปอร์เซ็นต์ ตามกติกา 20-25 เปอร์เซ็นต์ และบางองค์อาจหารด้วยจำนวนเซียนการันตีจำนวนกี่เซียน ผู้รู้จริงในวงการพระสมเด็จ บอกว่า พระสมเด็จวัดระฆัง องค์ที่เป็นข่าวซื้อขายกันสิบล้านขึ้นนั้น ราคามือแรกที่เจ้าของขาย ถ้าได้ 1 ล้านก็ถือว่ามากเกินไปแล้ว ส่วนต่าง 9 ล้านที่หายไป ว่ากันด้วยสำนวนคนในวงการ เป็นราคาค่าความเชื่อ ของเซียน เป็นที่รู้กัน การซื้อพระสมเด็จหนึ่งองค์ ต้องแถมซื้อความสัตย์ซื่อ ของเซียนหลายเซียน พูดง่ายๆ ซื้อพระหนึ่งองค์ แถมซื้อคนอีกอย่างน้อย สี่ห้าคน

    (k)ประโยชน์ดีๆๆมีไว้ให้กันเสมอ (k) dannce_dannce_
     
  17. wasabi san เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    2,009
    ค่าพลัง:
    +5,915
    ข้อมูลนี้เคยอ่านมานานแล้ว ขอบคุณที่เอามาลงในกระทู้่นี้ คนส่วนใหญ่จะได้รู้ว่า พระสมเด็จดูยากขนาดไหน อีกหน่อยคนดูเป็นจะเหลือน้อยลงทุกวัน พระเก๊จะมาแทนพระแท้ คนเลวจะเป็นที่ยอมรับ คนดีจะหาที่ยืนไม่ได้ เพราะคนพวกนี้เค้าเล่นเป็นฝูง ล่าเนื้อเป็นทีม แต่สุดท้ายไม่พ้นวิบากกรรมแน่นอน

    กรรมให้ผลไม่ผิดตัว ไม่ผิดกาล เมื่อวันนั้นมาถึง กรรมไม่มีใครหนี้ได้ ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว
     
  18. wasabi san เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    2,009
    ค่าพลัง:
    +5,915


    คราบที่เห็นไม่ใช่คราบของกรุฮอด คราบของกรุฮอดจะเป็นหินปูนขาวๆ เหมือนหินในถ้ำ ที่เห็นเป็นคราบน้ำ ผมเอาน้ำหล่อที่หินศิวะลึงค์ คราบที่เห็นเป็นคราบเดียวกันกับองค์นี้เลย มาดูคราบของจริงกันครับ



    เป็นอย่างไรบ้าง หนังคนละเรื่องกันเลย คราบลักษณะันี้ ยังมีในคราบของพระนาดูนด้วย พระนาดูนที่เห็นในตลาดค้าพระ ปลอมเป็นส่วนมาก ผมมีองค์พระลีลานาดูนอยู่ พระลีลานั้นขึ้นจากกรุเพียง 15 องค์เท่านั้นในประวัติ ผิวของหินปูนพระนาดูนจะละเอียดเหมือนพระกรุฮอดไม่มีผิด เพราะอายุใกล้เคียงกัน ราว 1300 ปี เห็นจะได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. wasabi san เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    2,009
    ค่าพลัง:
    +5,915


    ไม่ผ่านครับ ผิดเนื้อ ผิดพิมพ์มากครับ

    จุดสี หรือผิวเปลี่ยนสี มักเกิดจากความร้อนในร่างกายเรา ซึ่งมีผลต่อวัตถุธาตุทุกชนิด จึงมีผลทำให้เกิดความเก่าขึ้นมาได้ ธรรมดาโลกครับ
    โลกไม่เที่ยง ตามสัจจะธรรม
     
  20. chaiyaput เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    904
    ค่าพลัง:
    +1,146
    ขอบพระคุณพี่wasabi san มากครับ
     

แชร์หน้านี้