มารู้จัก เกียรติมุข หน้ากาล กันเถอะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย wicha30, 11 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. wicha30

    wicha30 เพียรภาวนา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +114
    [​IMG]


    *******************
    เกียรติมุข (หน้ากาล)
    เกียรติมุข หรือหน้ากาล ที่แปลว่ากาลเวลา เป็นลวดลายปูนปั้นที่ใช้ประดับซุ้มหน้าบันของโบราณสถาน โดยทั่วไปมักทำคู่กับลายมักร โดยทำลายมักรออกมาทั้งสองข้างของเกียรติมุข ลักษณะของเกียรติมุขจะทำเป็นรูปหน้ายักษ์ปนหน้าสิงห์ หรือใบหน้าของอสูรที่ดุร้าย คิ้วขมวด นัยน์ตากลม และถลน ปากกว้างเห็นฟันและเขี้ยว ไม่มีฟันล่าง ไม่มีลำตัว มีแขนออกมาจากด้านข้างของศีรษะ
    [​IMG]
    คติความเชื่อเกี่ยวกับเกียรติมุข ได้รับความนิยมอย่างมากในอินเดีย กำเนิดขึ้นมาจากศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ซึ่งนับถือพระศิวะหรือพระอิศวรเป็นเทพชั้นสูง ใช้เป็นสิ่งประดับตามเทวสถานและพุทธสถาน เพื่อแสดงความเป็นเกียรติและเป็นมงคล และขจัดสิ่งชั่วร้ายต่างๆ มิให้เข้ามาสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณภายใน
    [​IMG]
    ที่มาของเกียรติมุข เข้าใจว่ากำเนิดในประเทศอินเดียก่อน ตามตำนานเล่าว่าพระศิวะเป็นเทพที่มีดวงตาที่สาม อยู่ที่พระนลาฏ(หน้าผาก)ซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงมากเมื่อพระศิวะโกรธกริ้วแล้วเผลอลืมตานี้ขึ้นมาวันหนึ่งมีอสูรจอมเจ้าชู้ตนหนึ่งนามว่าราหูมาขอเข้าเฝ้าพระศิวะที่เขาไกรลาศ แล้วทูลขอพระนางศรีอุมาเทวี พระชายาของพระศิวะเทพไปเป็นภรรยา ยังความโกรธกริ้วให้แก่พระศิวะยิ่งนัก ด้วยเป็นที่รู้กันว่าทรงทั้งรัก ทั้งหวงพระศรีอุมาเทวีดั่งดวงใจ แต่เจ้าอสูรที่หน้าตาดั่งกเฬวราก(ซากศพ) ดันทะลึ่งมาขอกล่องดวงใจไปดื้อๆ

    ความแค้นเคืองทำให้พระศิวะเผลอลืมตาที่สามขึ้น บังเกิดเป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวและมีท่าทางที่หิวโหยออกมาด้วย ตั้งท่าจะขย้ำอสูรราหูเป็นอาหารเสียให้ได้ อสูรราหูตกใจสุดขีด รีบเข้าไปอ้อนวอนศิวะเทพขอไว้ชีวิตที่ได้ทำล่วงเกิน เพียงแต่ขออย่าให้เจ้าสัตว์ประหลาดนี้กัดกินข้าเลย

    บางท่านกล่าวว่ามีการกำเนิดในประเทศใดประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย อาจจะได้มาจากประเทศธิเบต บางท่านก็ว่ากำเนิดที่ประเทศจีน มีรูปแบบซึ่งเรียกว่า เต้าเจ้ ปรากฏอยู่ ภาชนะสำริดของจีน สมัยช่วง ๘๕๐ - ๘๘๐ ปีก่อนพุทธกาล เป็นทำนองเดียวกับเกียรติมุขของอินเดีย หมายถึงเทพเจ้าผู้ตะกละ จากนั้นได้แพร่ไปทางบกไปยังประเทศอินเดีย ปรากฏอยู่ในศิลปะอินเดียสมัยอมราวดีและคุปตะ
    [​IMG]
    ตำนานอินเดียเล่าถึงกำเนิดของหน้ากาลนี้ว่า ครั้งหนึ่งมีพญายักษ์ชื่อชลันธรบำเพ็ญตบะแก่กล้า จนได้รับพรจากพระศิวะไม่ให้ผู้ใดต่อกรด้วยได้จึงเกิดความลำพองทำร้ายข่มเหงทั้งยักษ์ เทพ และมนุษย์

    ต่อมา ยักษ์ชลันธรได้ให้พระราหูไปบอกพระศิวะให้มารบกับตน หากพระศิวะแพ้จะริบตัวนางปารพตีมเหสีเป็นของตน พระศิวะได้ฟังดังนั้นก็พิโรธเกิดมียักษ์หน้าสิงห์โตกระโดดออกจากหว่างพระขนงจะกินพระราหู พระราหูเห็นดังนั้นก็ตกใจขอให้พระศิวะช่วย พระศิวะทรงห้ามยักษ์ไม่ให้ทำร้ายพระราหู ยักษ์กล่าวว่าถ้าอย่างนั้นขอให้กินสิ่งอื่นแทนพระราหู พระศิวะตรัสให้ยักษ์นั้นกินแขนขาของตัวเอง ด้วยความหิวโหยยักษ์ได้กัดกินแขนขาของตนหมดแล้วยังไม่อิ่ม จึงกัดกินท้องและอกจนหมดสิ้นเหลือเพียงส่วนหัว พระศิวะเห็นเช่นนั้นก็เกิดความสงสาร ตรัสให้พรยักษ์นั้นให้อยู่ที่ประตูวิมานของพระองค์ตลอดไป ผู้ใดไม่เคารพจะไม่ได้รับพรจากพระองค์ หลังจากนั้นพระองค์เสด็จไปปราบยักษ์ชลันธรได้สำเร็จ

    สมัยโบราณถือว่าหน้ากาลนี้เป็นสัญลักษณ์ของเวลาที่กินทุกสิ่งแม้แต่ตัวเอง รวมทั้งเป็นผู้ที่คอยดูแลฝูงปศุสัตว์เนื่องจากพระศิวะได้รับการยกย่องเป็นปศุบดี ผู้เป็นใหญ่ในฝูงสัตว์ หน้ากาลอันเปรียบเสมือนบุตรของพระองค์คงจะมีฤทธิ์ปกป้องสัตว์เลี้ยงได้ ลายหน้ากาลนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในเทวสถานของฮินดู และนิยมสร้างกันอย่างแพร่หลายในอินโดนีเซีย
    ในประเทศไทย สันนิษฐานว่า เกียรติมุขคงแพร่เข้ามาในสมัยทวารวดีและศรีวิชัย โดยได้พบหลายแห่ง เช่น ที่ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ที่เจดีย์วัดป่าสัก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ทำเป็นรูปประดับลายกาบที่เชิงซุ้มเจดีย์ สำหรับที่สุโขทัย พบที่ทำเป็นลายประดับยอดซุ้มหน้าบัน วัดมหาธาตุ เมืองเก่าสุโขทัย
    (ภาพประกอบจาก วัดมหาธาตุ (เมืองเชลียง) ศรีสัชนาลัย สุโขทัย)
    การที่พระพุทธองค์ให้เร่งเพียรธรรม
    เพื่อการหลุดพ้น โดยไม่ให้คำนึงกาลเวลา สถานที่
    เหตุเพราะ สังขารกายา เวลาวาระไม่คอยใคร
    ด้วย ปัจฉิมโอวาท "ความไม่ประมาท"

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2010
  2. thaiboy74

    thaiboy74 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +207
    ครับ คตินี้มันสอนเราเตือนสติเราได้อยูว่า
    โทสะ กลืนกินทุกสิ่ง ทำลายทุกอย่าง แม้ตัวโทสะเอง
    กาละเวลา กลืนกินทุกสิ่ง

    ผมไม่แน่ใจว่าผู้เขียนเขียนบอกไว้หรือยังถึงเหตุผลในการนำเอาตัวกาล ไว้เป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงหน้าประตู

    สิ่งหนึ่งคือไว้เป็นกุศโลบายเตือนสติผู้เข้าเทวสถาน
    อีกเรื่องคือ เพื่อแสดงไว้ว่า ในการก้าวผ่านบานประตู ผู้เข้าเทวสถานได้ก้าวผ่านภพภูมิ และกาลเวลา สู่ดินแดนที่พ้นด้วยข้อจำกัดของกาลเวลาในเทวสถานนั้น ๆ

    คติเหล่านี้ ถ้าเป็นทางพุทธ ในบ้านเราถ้าเป็นทางภาคเหนือก็พอมีให้เห็นอยู่บ้าง
    แต่ในภาคกลางคงมีแง่คติธรรมในเรื่องของธรณีประตู
    เรื่องของภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งนิยมวาดภาพมารผจญโดยมีพระแม่ธรณีบีบมวยผมไว้ด้านตรงข้ามพระประธาน โดยมีตัวกาล ราหู พระอาทิตย์พระจันทร์เป็นองค์ประกอบ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ในการก้าวข้ามธรณีประตูนั้น ๆ ผู้นั้นได้ผ่านกาลเวลา เข้าสู่โลกุตรภูมิ อันหลุดพ้นจากเงื่อนไขทางกาลเวลา จากอบายถูมิ เอาชนะมารในใจของตัว เข้าสู่สภาวะนิพพาน และการตรัสรู้นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2010
  3. clearlove

    clearlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +644
    หน้ากาล อ่านแล้วขนาดตัวมันเองยังกินกระทั้งตัวมันเองเลย
    เห็นมาแล้วกินกระทั้งเจ้าของกระทู้wicha30เข้าไปเพิ่มอะไรอื่นๆต่อไม่ได้เลย
    wicha30 คงจะเข้าไปแก้ไขรูปไม่ได้แล้วนั้นดูตรงนี้ก็แล้ว หน้ากาลคือ

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2010
  4. วิชา ละ

    วิชา ละ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    338
    ค่าพลัง:
    +2,416
    ขอยินดีกับทุกบุญกุศลด้วย กับเจ้าของข้อมูล ผู้ให้ข้อมูล และผู้บันทึกข้อมูล ขอให้พ้นจากกาลไปได้ด้วยเถิด
     

แชร์หน้านี้

Loading...