มีคนเคยทักว่าพวกท่านบ้ากันบ้างหรือเปล่า

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย pumpkin boy, 27 มกราคม 2013.

  1. thankyes

    thankyes Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2013
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +35
    คนคลาน 2013 เหมาะจะได้เป็นชื่อสร้างหนังฮา แห่งปีทีเดียวนะ
     
  2. ปธ6

    ปธ6 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +292
    ได้ผู้กรรมกับ ได้นักแสดงนำยัง ผมแนะนำดาราได้นะ มีอยู่กลุ่มนึง ฝีมือแสดงขั้นเทพเลยหละ55555
     
  3. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    แค่ไหนถึงเรียกว่า วิกลจริต?

    http://www.cumentalhealth.com/รอบรู้เรื่องสุขภาพจิตผู้ใหญ่/วิกลจริต-Psychosis.html

    [​IMG]

    วิกลจริต (โรคจิต) คือ ภาวะผิดปกติทางจิตที่มีความผิดปกติของความคิด อารมณ์ พฤติกรรมอย่างมากจนไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริง เช่น คนบางคนอาจจะมีอาการของ..

    - ความคิดหลงผิด (ระแวงถูกสะกดรอยตาม, ถูกทำร้าย, ถูกนินทา, ถูกควบคุมโดยอำนาจไสยศาสตร์หรือไมโครชิพ)

    - ประสาทหลอน (ได้ยินหูแว่วเสียงคนพูดถึงตนเอง, ภาพหลอน)

    - พฤติกรรมแปลกผิดประหลาดจากปกติ (วุ่นวายมาก, ทำท่าแปลกๆ)

    - พูดจาผิดปกติ (พูดฟังไม่รู้เรื่อง, ไม่ปะติดปะต่อ, ใช้ภาษาแปลก ๆ)

    - เฉื่อยชา อยู่เฉยๆนิ่งๆ เก็บตัว ไม่สนใจสังคม ไม่ดูแลตนเอง ดูเหมือนคนขี้เกียจ

    ทำไมคนเราถึงวิกลจริตได้?

    มีหลาย ๆ ปัจจัย ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะวิกลจริต ซึ่งยังบอกได้ไม่แน่นอน เชื่อว่า น่าจะมีปัจจัยเกี่ยวข้องจากความผิดปกติของเนื้อสมอง,การทำงานของสมอง และสารสื่อประสาทต่าง ๆ ในสมอง รวมถึงพันธุกรรม ร่วมกับปัจจัยด้านจิตใจ

    เช่น ความขัดแย้งในจิตใจ และกลไกทางจิตที่ใช้ ซึ่งผู้ป่วยมักมีหลายปัจจัยร่วมกันในการเกิดปัญหาดังกล่าว

    นอกจากนี้ ยังอาจเกี่ยวข้องจากปัญหาโรคทางกาย เช่น โรคทางสมองบางชนิด เช่น เนื้องอกในสมอง ลมชัก หรือจากยาหรือสารเสพติดบางชนิด เช่น แอมเฟตามีน จะกระตุ้นให้เกิดอาการวิกลจริตได้

    แต่ภาวะวิกลจริตที่เกิดจากโรคทางกาย หรือยา หรือสารเสพติด มักจะดีขึ้น เมื่อรักษาโรคทางกายต้นเหตุ หรือหยุดการใช้ยา และสารเสพติด

    อาการของวิกลจริตจะเป็นอย่างไร?

    โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะไม่คิดและไม่เชื่อว่าตนเองผิดปกติไป เมื่อผู้ป่วยมีอาการของการหลงผิด ระแวง หรือประสาทหลอน ผู้ป่วยจะเชื่ออย่างจริงจังว่า มีสิ่งนั้นหรือการรับรู้พิเศษนั้น ๆ เกิดขึ้นกับตนเองจริง ๆ

    แม้ว่าคนใกล้ชิด จะพยายามชี้แจงว่าเป็นไปไม่ได้ ผู้ป่วยก็จะไม่เชื่อ ช่วงที่อาการไม่รุนแรงนัก ผู้ป่วยอาจพยายามปกปิดอาการ และความเชื่อ เพราะกลัวถูกหาว่าผิดปกติ

    แต่เมื่อมีอาการหนักขึ้น ผู้ป่วยจะแยกแยะความเป็นจริงไม่ได้ และแสดงอาการผิดปกติชัดเจนขึ้น

    ถ้ามีคนที่น่าสงสัยว่าจะวิกลจริต ควรช่วยอย่างไร?

    1) ภาวะนี้ไม่หายเอง ควรพยายามพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ หรือจิตแพทย์ให้ได้ ถ้าผู้ป่วยปฏิเสธการรักษา ญาติอาจมาปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อรับคำแนะนำล่วงหน้า

    ถ้าผู้ป่วยได้รับการรักษาโดยเร็ว จะส่งผลต่อการหายของโรคในระยะยาว การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา หรือรอสังเกตอาการนานเกินไป จะทำให้รักษายากขึ้น ต้องรักษาอยู่นานกว่าจะสงบ

    หรืออาการอาจรุนแรงจนอาจก่ออันตรายได้ เพราะเมื่อคนไข้วิกลจริตแล้ว เราไม่สามารถคาดเดาความคิด หรือพฤติกรรมคนๆ นั้น ได้เลย

    2. การรักษาด้วยยา มีความจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ป่วยวิกลจริต ยาต้านโรคจิตจะช่วยให้อาการหลงผิด ระแวง และประสาทหลอนของผู้ป่วยดีขึ้น ในผู้ป่วยบางราย อาจมีผลข้างเคียงจากการใช้ยาบ้าง

    เช่น กล้ามเนื้อเกร็ง ตาพร่า ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อปรับขนาดหรือชนิดของยา เพื่อให้การรักษาดำเนินต่อเนื่องได้ ซึ่งจะช่วยผู้ป่วยได้ในระยะยาว

    3. การรักษาทางจิตสังคม : การให้คำปรึกษาแนะนำ และประคับประคองผู้ป่วยและญาติผู้ดูแลซึ่งต้องรับภาระหนัก จะช่วยให้การดูแลผู้ป่วยวิกลจริตประสบความสำเร็จมากขึ้น
    4. รักษาต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่ภาวะวิกลจริต ต้องรักษาต่อเนื่องเป็นเวลานาน ความสม่ำเสมอและความร่วมมือในการรักษาจะทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นในระยะยาว โดยไม่มีอาการกำเริบซ้ำ หรืออาจหยุดยาได้

    ถ้ากำลังรักษาอยู่ ไม่ควรหยุดรักษาหรือหยุดยากะทันหัน เพราะมีโอกาสกำเริบสูงมากและการชักชวนผู้ป่วยที่อาการกำเริบ ให้รักษาใหม่นั้น ทำได้ยาก

    5. ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดอาการกำเริบรุนแรง สามารถพาผู้ป่วยมาพบแพทย์ก่อนนัดได้ หรือพามาห้องฉุกเฉิน นอกเวลาราชการ ซึ่งในโรงพยาบาลใหญ่ หรือโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ จะมีจิตแพทย์คอยดูแลนอกเวลา

    [​IMG]
     
  4. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    พวกที่ดังๆในเว็บนี้ มีร่างอวตารเยอะ แต่ละคนมีหลายสิบไอดี เอาไว้หลอกลวง ชี้นำ ข่มขู่ คนที่ไม่เห็นด้วย ชงเอง ตบเอง ยังกะนักตะกร้อ
     
  5. ฟาสิรี

    ฟาสิรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2011
    โพสต์:
    396
    ค่าพลัง:
    +729

    คิดเหมือนกันเลย แถมมีตัวเอ้ ๆ ในเว็บนี้ ออกมาอวยให้ทุกวัน เป็นตุเป็นตะเชียว พูดอะไร ไม่เคยเกิด พอใครถาม ยกเรื่องปรามาสมาขู่เช้า ขู่เย็น สงสัยเหมือนกันว่าลัทธิอะไร ???
     
  6. พวิน

    พวิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +382
    เราหายบ้าตั้งแต่ 3 มกรา แล้วนะ
    ฮาๆ:cool:ตอนนี้กำลังกินยาธรรมโอสถเพื่อรักษาสติ
    เพื่อควบคุมสตังค์ไม่ให้จ่ายไปเพราะความหลง :'(
     
  7. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    นี่อีกตำรา โพสไปก็สำรวจตัวเองไปด้วย ว่าบ้ากี่ข้อ เข้าข่ายข้อไหนมั่ง :d

    [​IMG]

    บทที่10 เรื่องสุขภาพจิต

    โรคจิต : (Psychosis)

    สาเหตุของโรคจิตนั้น เกิดขึ้นได้หลายประการ ขึ้นอยู่กับโรคจิตนั้นๆ เป็นโรคจิตประเภทใด เช่น คนที่ป่วยเป็นโรคจิตแบบจิตเภท

    อาการของโรคจิตนั้น เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมและชีววิทยา หมายความว่า ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ มีโอกาสถ่ายทอดสู่ลูกหลาน ได้มากกว่าคนปกติทั่วๆ ไป

    ปัจจุบัน มีการค้นคว้าวิจัยพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงทางสารเคมี ในระบบประสาท ที่ทำให้เกิดอาการของโรคจิตต่างๆ

    ยาที่ใช้รักษาโรคจิต จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงระดับของสารเคมีเหล่านี้ ให้กลับคืนมาเป็นปกติ ผู้ป่วยจึงหายจากอาการโรคจิตได้

    โรคจิตบางประเภท เกิดจากการได้รับสารเคมีที่ผิดปกติเข้าไปในร่างกาย เช่น ผู้ที่เสพยาม้า หรือยาเสพติดอื่นๆ อาจเกิดอาการโรคจิตได้

    มีผู้ใช้ยาม้าหลายราย เกิดอาการคุ้มคลั่ง หลงผิดหวาดระแวง คิดว่า มีผู้ตามทำร้าย ทำให้กลัว และมักจะจับเด็กเป็นตัวประกัน มีให้เห็นเป็นข่าวเสมอๆ

    ผู้ที่ดื่มเหล้าบ่อยๆ ก็มีโอกาสเกิดอาการโรคจิต จากฤทธิ์ของเหล้า ที่เข้าไปทำลายระบบประสาท

    โรคจิตหรือวิกลจริต หรือบ้าเสียสติ หมายถึง โรคทางจิตเวช ซึ่งเป็นรุนแรงมาก จนผู้ป่วยไม่ได้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง (Out of Reality)

    เขาจะอยู่ในโลกส่วนตัวของเขา ทำให้คนทั่วไป เข้าใจความคิดและ พฤติกรรมของเขาลำบาก

    ชนิดของโรคจิต

    1. ผู้ป่วยจะต้องไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง (Out of Reality) การจะบอกว่า ใครไม่อยู่ในโลกของ ความเป็นจริง บุคคลนั้น จะต้องมีอย่างน้อย 1 ข้อต่อไปนี้คือ

    การหลงผิด (Delusion) คือ เขาจะมีความเชื่อ ที่ผิดไปจากความเป็นจริง และเขาจะเชื่อความคิดนั้นอย่างมาก จนไม่สามารถอธิบาย หรือแก้ไขด้วยเหตุผล และความเป็นจริง

    การหลงผิดนั้นบางอย่าง เราฟังแล้ว จะรู้ทันทีว่า เป็นการหลงผิด เช่น ผู้ป่วยเชื่อว่า ในสมองเขาถูกคนเอาคอมพิวเตอร์มาใส่ แล้วเจ้าคอมพิวเตอร์นี้ จะเป็นตัวคิดแทนเขา และบังคับเอาเขาทำสิ่งต่าง ๆ ทำให้เขาต้องทำตาม

    หรือผู้ป่วยคนหนึ่ง เชื่อว่าหลวงพ่อโต เข้ามาอยู่ในตัวเขา บังคับให้เขาต้องตีพ่อ เขาจึงตีพ่อเขา

    และก็มีความหลงผิดบางอย่าง ฟังเหมือนจริง แต่ไม่จริง

    ประสาทหลอน (Hallucination) คือ ไม่มีสิ่งเร้า (No Stimuli) แต่ผู้ป่วย มีการรับรู้ (Perception) อันนี้ เป็นได้ทั้งทางหู ตา สัมผัส กลิ่น รส

    เช่น หูแว่ว ภาพหลอน รู้สึกเหมือนมีแมลง มาไต่ตามผิวหนังทั้ง ๆ ที่ไม่มี (Tactile Hallucination)

    ได้รสอาหาร ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอาหารนั้นในปาก (Gastatory Hallucination)

    หรือได้กลิ่นเหม็น ทั้ง ๆ ที่คนอื่นที่อยู่ด้วยไม่ได้กลิ่น (Olfactory Hallucination)

    ในผู้ป่วยโรคจิตนั้น ส่วนมาก จะพบอาการหูแว่ว กับภาพหลอน

    แต่สำหรับอาการ Incomplete hallucination ซึ่งอันนี้ พบได้ในคนปกติ ได้แก่ หูแว่วหรือภาพหลอน ที่เกิดในขณะใกล้หลับและใกล้ตื่น (Hypnagorgic และ Hypnapompic Hallucination)

    หรือบางครั้ง ในภาวะที่กำลังสนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาก ๆ เช่น กำลังรอเพื่อนแล้วได้ยินเสียงคล้ายเพื่อนเรียก พอหันไปดูก็ไม่มี

    หรืออาจเห็นภาพคนรัก ที่เรากำลังรออย่างใจจดใจจ่อ แต่พอดูดี ๆ ก็ไม่มี

    ภาวะเหล่านี้ คนปกติก็พบได้ แต่ต้องไม่เกิดบ่อย ถ้าพบบ่อย ก็ถือว่า ผิดปกติ

    ใน Complete True หรือ Hallucination นั้น จะต้องเกิดขึ้น ในขณะที่กำลังตื่นอยู่ (Alertness หรือ Wakening) ต้องเกิดบ่อยครั้ง (More Than Occasionally)

    และถ้าเป็นหูแว่ว ต้องมากกว่าคำสองคำ (Afew Words) คือ เป็นวลีหรือประโยค

    ถ้าพบ Complete หรือ True Hallucination ถึงจะบอกได้ว่า ผู้ป่วยมีประสาทหลอนและ ป่วยเป็นโรคจิต

    ตัวอย่าง หูแว่วที่พบบ่อย ผู้ป่วยได้ยินเสียงคนมาวิจารณ์ พฤติกรรมต่าง ๆ ของเขา มาว่าหรือด่าผู้ป่วย โดยที่ไม่มีคนที่พูดจริง ๆ มีแต่ได้ยินเสียงทางหู

    การแปลสิ่งเร้าผิด (Illusion) คือ มีสิ่งเร้าแต่แปลสิ่งเร้าอันนั้นผิดไป เช่น เห็นเชือกเป็นงู เห็นหน้าภรรยา เป็นหน้าผีที่น่ากลัว..ฯ

    อันนี้ก็เช่นกัน เราต้องพิจารณาให้ชัดเจน การจะบอกว่าผู้ป่วยมี Illusion นั้น ภาวะแวดล้อมขณะที่เกิด ต้องชัดเจน คือมีแสงสว่างเพียงพอ เพราะฉะนั้น ในภาวะที่มืด ๆ หรือมีแสงสลัว ๆ เราอาจแปลกสิ่งเร้าผิดได้

    เช่น เดินผ่านป่าไม้มืด ๆ เห็นกิ่งไม้เป็นผี หรือในห้องมืด ๆ เราอาจเห็นเชือกเป็นงู แต่พอดูดี ๆ ก็รู้ว่าไม่ใช่

    ในข้อ 1 นี้ ถ้าเราพบข้อหนึ่งย่อยเพียงข้อเดียว เราก็สามารถวินิจฉัยได้ว่า ผู้ป่วยเป็นโรคจิตแน่นอน ยกเว้นพบเสมอ การแปลสิ่งเร้าผิดอย่างเดียว

    2. มีพฤติกรรมที่ยุ่งเหยิงอย่างมาก (Grossly Disorganized Behavior) ข้อนี้ถ้าชัดเจน ก็วินิจฉัยไม่ยาก แต่ถ้าไม่ชัดเจน ก็วินิจฉัยยากมาก

    ผมขอยกตัวอย่างที่ชัดเจนก่อน เช่น ผู้ป่วยยืนนิ่ง อยู่ในท่าประหลาด ๆ นานเป็นชั่วโมง หรือบางครั้ งเราจับผู้ป่วยให้อยู่ในท่าใด เขาจะอยู่ในท่านั้น (Catatonia)

    หรือในกรุงเทพฯ ผู้ป่วยไม่ยอมใส่เสื้อผ้า แล้วเดินร้องรำทำเพลง ในที่สาธารณะ เราก็บอกได้เลยว่า เป็นโรคจิต

    [​IMG]

    แต่ก็ต้องระวัง ว่าคนนั้น ไม่ได้ทำตามความเชื่อ เช่น ไปบนศาลว่า ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ จะแก้ผ้ารำวงถวาย ถ้าสอบได้ก็ ต้องทำตามที่บนไว้ อันนี้ แยกไม่ยาก เพราะฉะนั้น หลังจากทำเสร็จ เขาจะทำตัวเป็นปกติ

    แต่ถ้าเป็นโรคจิต ผู้ป่วยจะทำไม่ยอมเลิก จนต้องถูกพาตัว มาเข้าโรงพยาบาลรักษา ถ้าอาการไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในเด็กวัยรุ่น อาจจะทำตัว ประหลาดหรือแต่งตัวประหลาดมาก ๆ หรือพูดภาษาวัยรุ่น ทำให้เราเข้าใจยาก อาจนึกว่าเขาเป็นโรคจิต ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่

    ซึ่งถ้าข้อ 2 ไม่ชัดเจน เราอาจต้องพิจารณาดูว่า มี ข้อ 1 หรือไม่ ถ้ามีก็เป็นโรคจิต ถ้าไม่มี อาจต้องติดตามดูพฤติกรรมต่อไป ว่ามีแนวโน้มไปทางไหน

    3. มีการตัดสินใจ และการรู้จักตัวเองที่ผิดไปจากความจริง(Poor Insight and Judgement)

    คือ ผู้ป่วยโรคจิตเกือบทั้งหมด จะไม่รู้ว่า ตัวเองป่วยจะต้องรักษา เขายังคิดว่า สิ่งที่เขาทำ หรือคิดนั้น เหมาะสมถูกต้อง

    จนกว่า เขาจะได้รับการ รักษาจนอาการดีขึ้น ถึงจะยอมรับว่า ตัวเองไม่สบาย และร่วมมือในการรักษา แต่ก็มีบางส่วน ที่ไม่ยอมรับการรักษา จนต้องป่วย และเข้าโรงพยาบาลหลายครั้ง จนในที่สุด ถึงจะยอมรับได้

    การตัดสินใจของผู้ป่วยนั้น ก็เหมือนกัน เขาจะทำและคิด ตามการหลงผิด หรือตามประสาทหลอน เช่น ซ่อนตัวอยู่แต่ในห้อง ปิดไฟ ปิดหน้าต่าง เพราะหลงผิด กลัวคนจะมาฆ่า...ฯ

    การตัดสินใจของเขาก็เช่นกัน จะดีขึ้น เมื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม

    คนที่บกพร่องในข้อ 3 โดยไม่เป็นโรคจิตก็มี เช่น พวกติดยาเสพติด เขาก็รู้ว่า ยาเสพติดเป็นสิ่งไม่ดี เสียเงินเสียสุขภาพ แต่เขาก็ยังเสพ แสดงว่า การตัดสินใจไม่ดี

    และเขาก็ไม่เคยคิดที่จะมารักษาตัว จนกว่าจะไม่มีทางเลือกอีก เช่น ไม่มีเงินซื้อยาเสพติด หรือสุขภาพแย่ลงมาก จนเสพไม่ได้

    หรือพวกผีการพนัน เขาก็รู้ว่า เล่นแล้วจะเสีย แต่ก็เล่น และก็ไม่เคยคิดจะมารักษา

    คนพวกนี้ ไม่จัดว่าเป็นโรคจิต ถึงแม้ว่า การตัดสินใจและการรู้จักตัวเองจะไม่ดี

    ข้อ 3 นี้ เป็นอันที่เราพบได้ ในผู้ป่วยโรคจิตส่วนใหญ่ แต่ข้อ 3 ข้อเดียว ไม่ได้บอกว่าใครเป็นโรคจิต เราต้องพิจารณาจากข้อ 1 และข้อ 2 เป็นสำคัญ

    [​IMG]
     
  8. rayo

    rayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +246
    " โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะไม่คิดและไม่เชื่อว่าตนเองผิดปกติไป เมื่อผู้ป่วยมีอาการของการหลงผิด ระแวง หรือประสาทหลอน ผู้ป่วยจะเชื่ออย่างจริงจังว่า มีสิ่งนั้นหรือการรับรู้พิเศษนั้น ๆ เกิดขึ้นกับตนเองจริง ๆ "

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=uwY3UbcuuWI]ผีบ้าสวนปรุง - YouTube[/ame]
    คงจะประมาณในคลิปนาทีที่ 1:18 และ 2:33 นะท่านนะ
    อาจใกล้เคียงแนว ๆ นี้ ... :)

    จากการสังเกตผู้วิเศษในบอร์ด ที่อ้างตัวว่าติดต่อเบื้องบนได้บ้าง, ยกเมฆส่องทำนายได้บ้าง,เห็นนิมิตบ้าง โดยตั้งตัวเป็นผู้วิเศษแล้วบอกให้คนหลงเชื่อทำนายเรื่องภัยพิบัิติ พาให้คนหลงกลัวหวาดระแวงตามเขาไปด้วย นั้นน่าจะอาการผิดปกติ และอาจที่จะเข้าข่ายมีสิทธิ์เป็นผู้ป่วยได้ ..

    แต่ผู้วิเศษท่านนั้น ๆ จะป่วยอยู่ในขั้นอาการหนัก-เบาระยะปานใดนั้น คงต้องไปพบปรึกษาให้แพทย์วินิจฉัย

    ขอแนะนำสถานที่ ที่ใกล้บ้านผู้วิเศษท่านนั้นๆ ดังนี้ :
    - ภาคเหนือ มี รพ. สวนปรุง เชียงใหม่
    - ภาคกลาง มี รพ.ศรีธัญญา จ.นนทบุรี
    - ภาคใต้ มี รพ. สราญรมณ์ จ.สุราษฏร์ธานี

    ...

    ขอนำรูปที่ รพ. สวนปรุงลงมาแนะนำชมกัน
    เพราะบอร์ดช่วงนี้รู้สึกว่า มีผู้วิเศษทางเหนือที่ออกมามีหลายท่าน

    [​IMG]
    แนะนำข้อมูล - ขอต้อนรับเข้าสู่เว็บเพจของโรงพยาบาลสวนปรุง

    เท่าที่ทราบในบอร์ดมีพระศรีอาน(hot..) ผู้วิเศษเจ้าเก่าท่านนึงก็เข้า-ออกที่นี่ 2-3 หน จากที่เจ้าตัวบอกเล่ามา
    บางทีท่านนี้ก็หนีออกมาก่อน ลืมของทิ้งไว้ ... ตอนนี้ไม่รู้หายดีปกติหรือยัง เพื่อน ๆ อาจคงต้องช่วย ๆ กันดูอาการท่านพระศรีอีกซักระยะนึง
     
  9. webang906

    webang906 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +1,759
    1.บางคนบ้าจริง

    2.บางคนแค่หลงเล็กน้อย แต่เจอพวกอวยเยอะมาเป็นเวลานาน จากหลงนิดหน่อยเลยคิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ คราวนี้เลยฝังใจกลายเป็นบ้าถาวร

    3.บางคนโดนล้างสมองมาเป็นเวลานาน เคสนี้อายุ ความรู้ระดับไหนไม่สำคัญ ลงถ้าหลงไปเข้ากลุ่มโดนล้างสมองซ้ำๆแล้ว รอดยาก กลายเป็นบ้าเรื่องนั้นๆไป

    4.บางคนหลงเชื่อและเริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ยังดันทุรังเพราะไม่อยากให้ใครหัวเราะหรือว่าตัวเองโง่ พวกนี้มักจะเถียงข้างๆคูๆ พวกนี้ไม่ได้บ้าเพราะเริ่มรู้ตัวแล้ว เพียงแต่ทิฐิสูงเท่านั้นเอง

    นอกเหนือจากข้างบนแล้ว ยังมีกลุ่มที่น่าสงสารที่สุดคือ กลุ่มคนที่ขาดความรู้ อาจจะเป็นเพราะเรียนมาน้อยหรืออะไรก็ตามแต่ กลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะโดนล้างสมองตามข้อ3 กลายเป็นบ้าเรื่องนั้นๆอย่างถาวร
     
  10. อภิเดช

    อภิเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +910
    555 เจอจนชินแล้วจ้า คนว่าเราบ้าเนี่ย เมื่อก่อนยังทำจายไม่ได้
    แต่เดี๋ยวนี้โดนเค้าว่าบ้า เราคิดในใจมันบ้ากว่าเราอีกแฮะ
    แต่ละคนเค้าก็มีเรื่องบ้าของเค้า ต้องเข้าใจ
    ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือเปล่านะ
    แต่ตอนนี้โดนว่าทีไรต้องแอบยิ้มทุกทีซิ

    จิงๆก็พอๆกันแหละจ้า ทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ
    เจอคนบ้าภัยพิบัติแล้วยังไม่พอนะครับ
    ยังต้องเจอคนบ้าที่ไม่เชื่อเรื่องภัยพิบัติมาคุยโม้กันอีก
    ท่าทางจะอาการหนักกว่าคนบ้าภัยพิบัติอีกนะเนี่ย
    หน้าเดิมๆทั้งนั่น คุยกันน่ารักมากเลย สงสัยจะก๊วนเดี๋ยวกัน
    เพราะถ้าคนละก๊วนคงจะคุยกันไม่ถูกปาก หรือสนุกปากแน่ๆ
    ไม่รู้พยาบาลให้รับประทานยาตรงเวลารึเปล่าหนอ
    สงสัยจะซื้อกินกันเอง เลยซื้อยาผิดสูตรมากิน อิอิ :d
    ไม่กวนแล้วนะครับ เดี๋ยวจะไปขัดความสนุกสนานของพวกท่านๆ
    ขอให้คุยกันให้สนุกนะครับ ถ้ามีอะไรเด็ดๆหรือคิดเรื่องใหม่ๆได้
    ก็บอกกันบ้างเด้อ หุหุ
    555 :d
     
  11. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ล้างสมอง..ที่เห็นในสังคมเดี๋ยวนี้ ก็มี พวกลัทธิความเชื่อ กับพวกขายตรง

    การสอนโดยวิธีการล้างสมอง

    การสอนโดยวิธีการล้างสมอง (Brainwashing) | ThaiGoodView.com Knowledge for Thai Student

    [​IMG]

    ...ผลของการสอนทำให้เกิด “การเรียนรู้” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อันเป็นผลมาจากประสบการณ์ที่จัดให้จากกระบวนการสอน

    “การล้างสมอง” เป็นวิธีการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลเช่นกัน...

    ...การสอนด้วยวิธีการล้างสมอง นิยมใช้กับการปลูกฝังความเชื่อทางศาสนา ลัทธิการเมือง การขายสินค้า การทำสงคราม และการสร้างอำนาจ และความยิ่งใหญ่ให้กับวัตถุ หรือ บุคคล เป็นต้น...

    การล้างสมอง ไม่เหมือนการล้างจาน หรือ การซักผ้า ซึ่งเป็นการทำให้เกิดความสะอาดเอี่ยม ไม่มีสิ่งสกปรกหลงเหลือ

    แต่การล้างสมอง เป็นการปลูกฝังความคิด ความเชื่อ และความศรัทธา จนเกิดเป็นค่านิยม บุคลิกภาพ และนำไปสู่การแสดงพฤติกรรมตามความคิด

    การล้างสมอง เป็นคำที่ทำให้เกิดความรู้สึกเชิงลบ และใช้ในประเทศที่มีระบบการปกครอง ตรงข้ามกับระบบเสรีประชาธิปไตย ในยุคสงครามเย็น

    สำหรับในประเทศฝ่ายเสรีประชาธิปไตย นิยมใช้คำว่า “การควบคุมจิตใจ” หรือ Mind Control

    นอกจากนี้ ยังมีคำที่ใช้มีความหมายใกล้เคียงกัน ได้แก่ Coercive Persuasion และ Thought Control รวมทั้ง Thought Reform เป็นต้น

    การล้างสมอง เป็นเทคนิควิธีทางจิตวิทยา ที่นำมาใช้ เพื่อปรับแนวความคิดของบุคคลเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบหรือแบบแผนที่ได้กำหนดไว้

    การล้างสมองที่ใช้ในประเทศจีน จะดำเนินการโดย ให้มีการสารภาพความผิดเสียก่อนแล้วจากนั้น ก็จะมีการใช้กระบวนการให้การศึกษาใหม่ วิธีการต่าง ๆ ที่นำมาใช้เพื่อให้เกิดผล ในการล้างสมองแก่บุคคลนั้น

    ก็จะมีการใช้วิธีรุนแรงและผ่อนปรนผสานกันไป หรือจากเบาไปหาหนัก และจะมีการสลับ ด้วยการใช้วิธีการ บังคับ ขู่เข็ญ ให้คุณและให้โทษ ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจอีกด้วย

    ทั้งนี้ เพื่อให้ละทิ้งความคิด ความเชื่อแบบเก่านั้นเสียก่อน แล้วจึงสร้างความคิดแบบใหม่ใส่เข้าไปไว้แทน อาจเรียกว่า เป็นการปลูกถ่ายความคิดก็ได้

    การสอนโดยวิธีการล้างสมองนี้ ได้ถูกนำไปใช้สอนมวลชนชาวจีน ในช่วงหลังปี ค.ศ. 1949 ที่คอมมิวนิสต์ได้ชัยชนะ ในสงครามกลางเมืองในประเทศจีนแล้ว

    ในช่วงสงครามเกาหลี คนจีนได้ล้างสมองเชลยศึกอเมริกัน ได้สำเร็จในบางราย มีเชลยศึกอเมริกันบางราย ประกาศเลิกจงรักภักดีต่อสหรัฐอเมริกา ได้สารภาพบาป ที่ได้ก่ออาชญากรรมสงคราม

    และคนกลุ่มนี้ ก็ได้เลือกที่จะขอลี้ภัยอยู่ในประเทศจีน แทนที่จะถูกส่งตัวกลับประเทศสหรัฐอเมริกา

    และในช่วงที่เกิดความขัดแย้งในสงครามเกาหลี โดยเกาหลีเหนือ นำวิธีการนี้ไปสอนเยาวชนของประเทศเกาหลีเหนือ ตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ. 1960 จนถึงปัจจุบัน ก็ยังใช้อยู่แต่ลดระดับความเข้มลงไปบ้าง

    การล้างสมองที่ใช้ เป็นเทคนิควิธีสำหรับปรับค่านิยมใหม่ ให้แก่บุคคล และเพื่อเปลี่ยนแปลงความจงรักภักดีของบุคคลนี้ ยากที่จะประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพราะเป็นกระบวนการ ที่สร้างให้เกิดขึ้นกับมนุษย์ ซึ่งมีความซับซ้อนในโครงสร้างความคิดอย่างมาก

    แม้ว่า มีผู้เชี่ยวชาญทางสงครามจิตวิทยาบางราย มีความเชื่อว่า การล้างสมองนี้สามารถใช้อย่างมีประสิทธิผล ในการเปลี่ยนแปลงค่านิยม ทางด้านอุดมการณ์ มากยิ่งกว่า ในการเปลี่ยนแปลงความจงรักภักดีต่อชาติ ของบุคคล

    [​IMG]

    วิธีการสอนแบบล้างสมอง

    การสอนโดยวิธีการล้างสมอง นิยมใช้กับการปลูกฝังความเชื่อทางศาสนา ลัทธิการเมือง การขายสินค้า และสร้างอำนาจและความยิ่งใหญ่ ให้กับวัตถุ หรือ บุคคล เป็นต้น

    การสอนโดยวิธีการล้างสมอง มีขั้นตอนในการดำเนินการ ดังนี้

    1. ทำการศึกษาผู้เรียน หรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อหาจุดอ่อนไหวร่วมกัน แล้วทำการให้ข้อมูลใหม่ หรือความคิดใหม่ ที่ขัดแย้งกับข้อมูลเดิม หรือความคิดเดิมที่อ่อนไหว

    ซึ่งผู้เรียนไม่แน่ใจ ในข้อมูลหรือความคิดเดิมมากนัก ถึงแม้ข้อมูล หรือความคิดใหม่ ที่ให้ จะไม่เป็นความจริง หรือถูกต้องทั้งหมดก็ตาม โดยพยายามสร้างความเชื่อถือ ให้เกิดขึ้นกับข้อมูล หรือความคิดใหม่นั้น ให้กับผู้เรียนก่อน เป็นอันดับแรก

    ด้วยกลอุบายต่าง ๆ แม้แต่การแสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ทั้งที่ มีจริง หรือใช้กระบวนการทางจิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ มายากล รวมทั้ง ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่คนส่วนมากไม่รู้จัก จัดกระทำให้เกิดขึ้นก็ตาม

    2. ไม่เปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงในการสอน ให้ใช้การแสดงออกของผู้เรียนบางคน ที่พร้อมรับการตอบสนองกับข้อมูล หรือความคิดใหม่ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว จะมีบุคคลประเภทนี้ ปะปนอยู่ในกลุ่มเสมอ แม้จะไม่ได้มีการจัดกระทำเตรียมไว้ก็ตาม

    โดยใช้คนเหล่านี้ เป็นตัวแทนของข้อมูลใหม่ หรือความคิดใหม่ เพื่อนำเสนอให้กับกลุ่มเป้าหมายโดยรวม หรือผู้เรียนที่เหลือ

    3. ทบทวนวรรณกรรม ที่เกี่ยวข้อง อันเป็นที่มาของเรื่องราว หรือเนื้อหาที่สอน ในมิติที่แตกต่างไป จากที่ผู้เรียนเคยได้รับรู้ หรือเรียนรู้มา เพื่อเสริมการนำเสนอข้อมูล หรือความคิดใหม่ ที่ให้กับผู้เรียน

    ในขั้นนี้ ต้องแสดงความขัดแย้งของข้อมูล และเสนอทางเลือกให้ โดยการโน้มน้าวจากข้อมูลใหม่ ให้เห็นคล้อยตาม แต่จะยังไม่บังคับ ขู่เข็ญ ลงโทษในทันที ให้เริ่มใช้มาตรการขั้นเบาก่อน แล้วจึงเริ่มกดดัน ให้รับความคิดใหม่ หรือความเชื่อใหม่ ด้วยกระบวนการกลุ่ม และอิทธิพลของกลุ่ม ตามขั้นตอน จากเบาไปหาหนัก

    4. สรุปบทเรียน ด้วยการสร้างเป็นหลักการ หรือทฤษฎี ที่ง่ายกับการจดจำ เพื่อสะท้อนให้เห็น ถึงความน่าเชื่อถือ ในข้อมูลหรือความคิดใหม่โดยเน้น ข้อดี ตามที่ต้องการมากกว่า ข้อเสีย ที่ไม่ต้องการ ให้นำไปใช้

    และแสดงให้เห็นว่า การยอมรับความคิดใหม่ เป็นทางเลือกที่ถูกต้อง ถ้าเลือกแตกต่างออกไปจะมีปัญหาในการทำกิจกรรม หรืออยู่ร่วมกับหมู่คณะ ในขั้นนี้ อาจมีผู้เรียนบางคน ที่ต้องออกไป เพราะไม่สามารถยอมรับได้ ถือเป็นสิ่งปกติ และไม่แสดงการขัดขวางอย่างรุนแรง

    5. ทำการเลือกสัญลักษณ์ คำพูด หรือรหัส สำหรับการนำไปใช้ โดยให้สามารถสัมผัสได้ หมายถึง ทำให้นามธรรมจากการสรุปบทเรียนนั้น เป็น “รหัส” ที่มองเห็น ได้ยิน หรือสัมผัสได้ ด้วยผัสสะปกติของมนุษย์

    เพื่อที่จะสามารถถอดรหัสออกมา ใช้ได้ตลอดเวลา และรวมถึง เป็นการสร้างความเป็นพวกเดียวกัน ให้กับผู้อื่น ที่มีความคิดเหมือนกัน เพิ่มความเข้มแข็ง ให้กับพลังของกลุ่ม หรืออิทธิพลของกลุ่ม

    ทำไมต้องใช้วิธีการล้างสมอง

    ผลของการสอนทำให้เกิด “การเรียนรู้” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อันเป็นผลมาจากประสบการณ์ ที่จัดให้จากกระบวนการสอน

    “การล้างสมอง” เป็นวิธีการ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ของบุคคลเช่นกัน

    การใช้วิธีการล้างสมอง ในการสอนนั้น เป็นวิธีการที่เป็นอยู่จริง มีการใช้จริง และมีผลเกิดขึ้นอยู่แล้วจริง จึงถือว่า เป็นวิธีการหนึ่ง ที่ใช้ได้ผล ถึงแม้จะเป็นวิธีการที่มีภาพลบของคำว่า “ล้างสมอง”

    แต่สาระสำคัญนั้น อยู่ที่การปลูกฝังสิ่งใหม่ให้กับผู้เรียน ซึ่งการกระทำเพื่อปลูกฝัง เผยแพร่ความคิดใหม่ หรือให้ข้อมูลใหม่ ที่ลบล้างความคิดเดิม หรือข้อมูลเดิม ดังกล่าวนั้น มีการดำเนินการอยู่เป็นปกติวิสัย แต่ในโลกเสรีประชาธิปไตย อาจเลือกใช้ วาทกรรม และใช้คำพูด ที่ให้ความรู้สึกทางบวก มากกว่าเท่านั้น

    มีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า สื่อ โทรทัศน์ เป็นสื่อสำคัญ ที่ใช้สำหรับการล้างสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมการบริโภคของแม่บ้าน ในการเลือกจับจ่ายสินค้า

    การเผยแพร่ศาสนา การโฆษณาชวนเชื่อของลัทธิต่าง ๆ จึงหันมาใช้สื่อโทรทัศน์ในการนำเสนอความคิด หรือข้อมูลให้กับประชาชน มากกว่าดำเนินการสอนศาสนา หรือความเชื่อเฉพาะในสถานที่เท่านั้น

    การสร้างกลุ่มมวลชน ให้มีความคิดเหมือนกัน ยึดมั่นในอุดมการณ์เดียวกัน เข้าใจตรงกัน เป็นพลังที่สำคัญ สำหรับการดำเนินการกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม

    การใช้วิธีการล้างสมอง จะสามารถสร้างมวลชน ให้ยึดมั่นอยู่กับกลุ่มได้คงทน และ ทุ่มเท เสียสละให้กับกิจกรรม ของกลุ่มความคิดได้มากกว่า ยาวนานกว่า วิธีการสอนทั่วไป เพราะสามารถเข้าถึงจิตใจ หรือควบคุมจิตใจมวลชน ได้อย่างสมบูรณ์

    ผู้ที่ผ่านการล้างสมองของลัทธิบางลัทธิ สามารถทำกิจกรรมได้ทุกประการ เพื่อลัทธิของตนอย่างไม่เกรงกลัว

    พลังของสมอง และพลังของความคิดแบบนี้ จึงมีพลังมากและคงทน นักการศึกษาสามารถประยุกต์ และนำข้อดีเหล่านี้ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในการเรียนการสอนได้ และเชื่อว่า วิธีการนี้ จะสามารถสร้างคนที่มีพลังความคิด ความสามารถ ไปในทางดีงาม หรือทางบวกได้เช่นเดียวกัน

    จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ควรปรับนำมาใช้ ถึงแม้จะเป็นเสมือนดาบที่แหลมคม แต่ถ้านำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และควบคุมให้ดี ก็จะมีประโยชน์มากเช่นกัน

    การหลีกเลี่ยงการถูกล้างสมอง

    เมื่อเกิดความรู้สึกว่า ตนเองกำลังถูกล้างสมอง ตามกระบวนการขั้นตอนดังกล่าว ข้างต้น และพิจารณาเห็นว่า ข้อมูลใหม่ หรือความคิดใหม่ ยังไม่ตรงกับความต้องการ ให้ทำการหลีกเลี่ยง โดยพิจารณา และดำเนินการต่อไปนี้

    1. พึงตระหนักว่า การล้างสมอง เป็นวิธีและกระบวนการสอนอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เป็นกระบวนการที่หลอกลวง แต่เป็นกระบวนการ และวิธีการที่มีอยู่จริง และเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถทดลองและพิสูจน์ได้

    ผู้ที่อยู่ในกระบวนการล้างสมอง ไม่ใช่เฉพาะคนที่โง่ สมองไม่ดี หรือถูกหลอกง่ายอย่างที่เข้าใจกัน ถึงแม้คนฉลาด อัจฉริยะ ก็อยู่ในกระบวนการล้างสมอง หรือถูกล้างสมองได้

    ดังนั้น คนดี คนเก่ง และน่านับถือ ในสายตาของคนทั่วไป จึงถูกล้างสมองได้เช่นกัน คนสมองดี เสมือนเป็นดินที่ดี เอาต้นไม้อะไร ไปปลูกก็งอกงามดี

    การล้างสมองเป็นการเอาต้นไม้เดิมออก และปลูกต้นไม้ใหม่ เป็นต้นไม้ความคิด เมื่อไปอยู่กับดินที่ดี หรือคนสมองดี จะมีพลังมาก

    2. เมื่อได้รับการสอนหรือเชิญชวนในลักษณะที่แปลก ๆ อย่าใช้ตรรกศาสตร์ หรือความคิดเชิงเหตุผลมากนัก ใช้ความรู้สึกของตนเองให้มากขึ้น เพราะกระบวนการล้างสมอง ใช้หลักตรรกศาสตร์ที่เหนือกว่า ดีกว่าเสมอ ให้เลือกรับข้อมูลตามความรู้สึก หรือใช้สามัญสำนึกทั่วไปก่อน ในอันดับแรก

    3. อย่าคล้อยตาม หรือชื่นชมในกิจกรรมต่าง ๆ และอย่าทำตัวเป็นฟองน้ำ ที่ซึมซับทุกอย่าง ที่ผู้ต้องการล้างสมองนำเสนอ ให้หลีกเลี่ยง การร่วมกิจกรรม จากกลวิธีต่าง ๆ

    4. แสวงหาข้อเท็จจริงรายรอบ ที่เป็นข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ไม่เฉพาะในสาระ ที่ผู้ต้องการล้างสมอง นำเสนอเท่านั้น ในการแสวงหาข้อเท็จจริง จะพบประเด็นที่ชัดเจน ในมูลเหตุของการจูงใจ ของผู้ต้องการล้างสมอง

    และในขั้นนี้จะพบอีกว่า เป็นการสร้างความรู้สึก ให้ท่านคล้อยตาม มากกว่าการให้ข้อมูลที่แท้จริง หรือการใช้ความคิดเชิงเหตุผล ดังนั้น ความรู้สึกท่านจึงนำมาใช้ต่อสู้กับความรู้สึกของผู้ต้องการล้างสมอง ไม่ใช่การใช้เหตุผลเพียงอย่างเดียว

    เพราะกระบวนการ ของการล้างสมอง มักจะนิยมให้ข้อมูลเท็จ หรือจริง เพียงบางส่วน

    5. หาคำตอบ เหตุผล และเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง สำหรับผู้ที่คล้อยตาม หรือชื่นชม กับการนำเสนอของผู้ล้างสมอง กระบวนการกลุ่ม และอิทธิพลของกลุ่ม ซึ่งอาจจะประกอบไปด้วยบุคคล ที่ท่านนับถือ

    ท่านไม่ต้องทำตามกลุ่มเหล่านั้น เพราะเขาเหล่านั้น ได้ถูกล้างสมองไปแล้ว ท่านจะเป็นผู้ที่ก้าวออกมา และหลุดพ้นจากกระบวนการล้างสมอง ได้อย่างสบายใจ

    ความสำคัญจึงอยู่ที่ ต้องมีความสบายใจ และมั่นใจ กับการก้าวออกมา จากกระบวนการล้างสมอง และสามารถตอบโต้ กับการคุกคามต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้วาทกรรม กระบวนการกลุ่ม รวมทั้ง อิทธิพลของกลุ่มได้อย่างฉลาด องอาจ กล้าหาญ และปลอดภัย

    [​IMG]

    รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์
     
  12. CASIO12

    CASIO12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +1,133
    มีคนเคยทักว่าพวกท่านบ้ากันบ้างหรือเปล่า !!!

    >>> คำถามนี้โดนไปเต็มๆ เพราะพวกผมบ้าจริงๆๆ :boo: แหม....กว่าจะหายบ้า เสียหายไปเยอะเหมือนกัน ยังไม่รวมเสียโอกาสทำมาหากินอีกตะหาก :'(
     
  13. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    มีเรื่องเล่า เกี่ยวกับคนที่ชอบพวกเหล็กไหล ไพลดำ เพื่อจะเอามาทำน้ำมันวิเศษอะไรสักอย่างตามความเชื่อ

    คนนี้ฐานะค่อนข้างดี มีเงินหมุนเวียนไม่ขาด ก็ไม่ค่อยเดือดร้อน ที่จะเอาเงินไปทุ่มเทแสวงหาคนประเภท อาจารย์คง ร่างทรงเจ้าพ่อดำเกิงเดช มาร่วมทีม เดินทางรอนแรมตามหาของวิเศษที่ว่า เรียกว่า ไปมันหมดทุกทิศทั่วไทย

    ขนาดนั้น ก็ยังไม่เจอของจริง มีแต่โดนหลอก เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา
     
  14. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    คนที่เล่ามานี่ เดี๋ยวนี้เลิกหาแล้วของวิเศษ ไม่รู้เพราะอะไร แต่เป็นเรื่องสอนใจได้เหมือนกันว่า " บางคน ต้องโง่ก่อน แล้วถึงจะฉลาด "
     
  15. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ไม่ใช่ไม่เชื่อ ไอ้เรื่องภัยธรรมชาตินี่ เป็นคนบอกเองเลยว่า เสร็จจากภัยน้ำแล้วจะมีภัยดิน เช่น ที่เกิดเรื่อยๆ ช่วงที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ ก็เหตุการณืตลิ่งพัง ดินทรุดเป็นแถบๆ แถวภาคกลาง ตามข่าวนี้

    ตลิ่งริมแม่น้ำป่าสัก ทรุดยาวกว่า 300 เมตร ผวา บ้าน 9 หลัง กุฏิโบราณ กว่า 100 ปี พัง

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 มกราคม 2556

    http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000011154

    นี่ไม่ได้มียานต่องแต่ง ไม่ได้มีเซเว่นอีเลเว่นเซนส์ อย่างอาเจียนทั่นต่างๆ แต่วิเคราะห์เอา จากข้อมูลด้านธรณีวิทยา กะคอยตามอ่าน ตามดู ตามฟัง บรรดานักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมเขาวิเคราะห์ อันนี้ไปขุดคุ้ยกระทู้เก่าๆ ที่เคยโพสมาแฉได้เลย

    เพียงแต่เป็นคนที่เชื่อในระดับตระหนัก แต่ไม่ตระหนกตกตื่น เพราะไม่ชอบเป็นคนประเภทปัสสาวะเหนียว เต้าเจี้ยวเหลือง เอะอะก็ซีเครียดตลอดๆๆๆ

    ยังงั้น มันเสียเวลาชีวิต แทนที่จะยกจิตพิชิตความกลัว ก็มัวหวาดผวา ระแวงนั่น ระวังนี่ เกิดวันไหน เจออุบัติเหตุ ตายกระทันหันขึ้นมาตูม จิตที่ตกห่อเหี่ยวอยู่จนเป็นปกติ ก็จะพาไปเกิดในนรกกันพอดี ถึงชีวิตประจำวันจะทำบุญทำทานอยู่เรื่อยๆ ก็เหอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2013
  16. numphol aryupha

    numphol aryupha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +1,156
    คนบ้าบางคนก็ดีนะ เช่นบ้างาน บ้ากีฬา แต่ขอให้บ้าแต่สิ่งดีๆก็แล้วกัน คือบ้าอะไรแล้วต้องทำให้สุดๆ
     
  17. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    แปลกนะ บางคนบอกไม่เชื่อคำทำนายภัยพิบัติ แต่เข้ามาอ่านได้ทุกวัน :cool:
     
  18. zixma99

    zixma99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +1,175

    เพราะอ่านแล้วมัน ฮาาาาาาาา:cool:
     
  19. bulb

    bulb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +301
    คนเข้ามาอ่านมีหลายจุดประสงค์​แค่เอาตามาเสพย์ข้อมูล ไม่ได้หมายความว่าต้องเชื่อเสมอไป

    ตรรกะแคบจัง ที่ว่าถ้าไม่เชื่อแล้วมาอ่านทุกวันทำไม

    เค้าอาจจะไม่อยากเห็นพวกท่านงมงายหลอกลวงคนอื่นๆ เลยพยามหาทางถ่วงดุลย์
     
  20. chang938

    chang938 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +451
    ต้องแบบนี้ครับ ฝ่ามือเหล็ก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 18256_005.jpg
      18256_005.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.4 KB
      เปิดดู:
      54

แชร์หน้านี้

Loading...