มีใครเคยเจอแบบนี้ม่างครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย happyokay, 21 มีนาคม 2015.

  1. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ตอนที่ 4 หนีกรรมไม่พ้น
    (ต่อเนื่องจากแชร์ประสบการณ์ > สุดขีดความกลัว V.1-5 ตอนที่ 3)

    เมื่อผมแน่ใจ 120% แล้วว่า สิ่งที่ผมเจอนั้น จะเรียกว่า วิญญาณ, ผี, เจ้าที่เจ้าทาง, นางไม้ หรืออะไรก็ได้ตามแต่จะจำกัดความ ผมจึงมานั่งคิดทบทวนดูและได้ตั้งข้อสมมุติฐานไว้ 2 ข้อ คือ

    1.เป็นดวงจิตที่สิงสถิตย์อยู่ในเสาไม้ตกน้ำมันหรือไม่
    2. เป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่

    แต่เมื่อลองย้อนพิจารณาดูแล้ว ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเจอเลยนะ ทำไมถึงเพิ่งจะมาเจอตอนย้ายมาเข้าอยู่บ้านหลังนี้ ผมกับพี่ชายจึงปรึกษากันและลงความเห็นว่าน่าจะเป็นดวงจิตใครสักคนในบ้านหลังนี้ ผมกับพี่ชายจึงตัดสินใจย้ายออกและกลับไปพักรักษาตัวต่อที่บ้านโดยไม่ได้เล่าเรื่องให้เจ้าของบ้านเช่าฟัง

    เมื่อกลับถึงบ้าน ผมจึงเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้กับคุณแม่ของผมฟัง ท่านรับรู้ด้วยท่าทีสงบและอธิบายให้ผมฟังว่า คนเรานั้น เกิด-ตาย นับชาติไม่ถ้วน มีทั้งมิตรและศัตรูประมาณมิได้ อาจจะอยู่ภพภูมิเดียวกันก็มี ต่างภพภูมิ กันก็มี หากวันหนึ่งวันใดได้บังเอิญมาพานพบเจอะเจอกันเข้า จดจำกันได้บ้างก็ดี จดจำกันไม่ได้บ้างก็ดี อโหสิกรรมให้กันแล้วก็ดี ดำเนินตามวิถีของตนแล้วก็ดี ย่อมให้คุณบ้าง ให้โทษบ้าง เป็นกลางบ้าง สลับกันไป ขอเพียงให้เราคิดดี ทำดี พูดดี ให้มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ หมั่นทำบุญ นั่งสมาธิภาวนาและอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้น เพื่อให้เขาเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไปอยู่ในภพภูมิที่ดีขึ้นสูงขึ้น และหากเราเคยล่วงเกินเขา เขาก็จะอโหสิกรรมให้เรา จะได้ไม่ต้องเป็นเวรเป็นกรรมต่อภพต่อชาติกันต่อไป

    ผมตกปากรับคำคุณแม่ แต่ผมก็ไม่ได้ไปวัดทำบุญหรือนั่งสมาธิจริงจังเท่าที่ควรด้วยเพราะยังหมกมุ่นเรื่องทางโลกอยู่
    และก็ไม่รู้ว่าด้วยเหตุนี้หรือไม่ อย่างไร หลังจากตกปากรับคำคุณแม่แล้ว แต่ไม่ได้ทำอย่างที่พูด นับตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าผมจะทำอะไร จะพบแต่อุปสรรคติดขัดไปหมด ซวยซ้ำซวยซ้อนอย่างสม่ำเสมอ จะทำอะไรให้เจริญรุ่งเรืองก็ลำบากลำบนเลือดตาแทบกระเด็น ท้อก็มีถอยก็มีหลายครั้งหลายหน บางทีก็ไม่รู้จะระบายกับใคร เพราะโดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ใครไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือคนในครอบครัว อีกอย่างเรื่องหนักสำหรับเราอาจจะเบาสำหรับคนอื่น ส่วนเรื่องหนักสำหรับคนอื่นอาจจะเบาสำหรับเราก็ได้ เช่น หากมีคนสองคนมาพบกัน คนนึงสุขภาพทรุดโทรมแต่ฐานะดี กับอีกคน สุขภาพดีแต่ฐานะยากจน ทุกข์ของคนนึง ก็คือ เรื่องสุขภาพ ส่วนทุกข์ของอีกคนนึง ก็คืิอ เรื่องปัจจัยทรัพย์สินเงินทอง

    ผมคิดเสมอว่า สุดท้ายตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่จะอย่างไรก็ดี สิ่งที่จะขาดเสียมิได้เลย ก็คือ กำลังใจและสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เช่น ครอบครัว เพื่อนฝูง เป้าหมายชีวิต อุดมการณ์ ศาสนา ฯลฯ เพราะถ้าหากขาดสติ ขาดที่ยึดเหนี่ยวจิตใจจนหลงผิด คิดสั้น ประชดชีวิต ติดพนัน ติดเหล้า ติดยา เหล่านี้ก็จะมีแต่เพิ่มทุกข์ให้กับทั้งตนเองและผู้อื่น

    สำหรับผมนั้น เวลาเกิดวิกฤติครั้งใด “พุทโธ” มักผุดขึ้นในใจของผม แล้วผมก็จะหายใจ เข้ายาว ออกยาว ด้วยความเคยชิน จนสติมีกำลังและค่อยๆ คิดหาทางแก้ไขปัญหาได้ในที่สุด ส่วนปัญหาไหนแก้ไขไม่ได้ก็พยายามปล่อย พยายามวาง เมื่อถึงวาระมันก็จะผ่านไปได้เอง

    เว้นแต่บางครั้งแม้จะพยายามปล่อยวางสักเท่าใดปัญหามันก็ยังวิ่งเข้ามาหาเราตลอด แบบนี้บางทีก็ต้องหนีปัญหาไปตั้งหลักเสียก่อน แต่ต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

    ผมเคยคิดเล่นๆ นะว่า หากตื่นเช้ามาผมเดินออกไปตามท้องถนนแล้วประสบอุบัติเหตุถึงแก่กรรมขึ้นมา ตัวปัญหามันก็ไม่ได้หายไปไหนด้วยสักกะหน่อย มีแต่เรานี่สิ มามืดไปมืด ทั้งไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ใดเลยแม้กระทั่งตัวเอง เสียชาติเกิดแท้หนอ!!! ดังนั้น เมื่อเราเลือกได้ว่าจะไปมืดหรือไปสว่าง ตราบที่มีลมหายใจอยู่ ทำไมไม่ลงมือทำเล่า

    ช่วงนั้นผมจึงคิดวกไปเวียนมาระหว่างทางโลกกับทางธรรม ตีกันให้วุ่นไปหมด แต่ก็ประคับประคองตัวเองให้ผ่านพ้นวิกฤติต่างๆ มาได้ แม้จะไม่บรรเทาเบาใจแต่ผมก็อยู่กับปัจจุบันมากขึ้น สุดท้ายผมจึงตัดสินใจบวชและได้บวชพระสมใจเพื่อมุ่งทางธรรมหนีปัญหาทางโลก

    วันที่ผมบวชนั้น ผมได้จุดธูปกลางแจ้งและตั้งจิตอธิษฐานขออุทิศบุญกุศลทั้งหมด ให้กับบิดามารดา ผู้มีพระคุณ ญาติสนิทมิตรสหาย ครูบาอาจารย์ และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหมดตั้งแต่ต้นภพจนถึงปัจจุบันภพ

    พอเสร็จคำอธิษฐาน ปรากฏว่ามีลมกรรโชกวูบใหญ่วูบเดียวพัดเข้ามาปะทะผมอย่างผิดธรรมชาติแล้วก็หายไป แต่ที่น่าแปลกคือนอกจากสัมผัสภายนอกที่ทำให้ผมขนลุกแล้ว ภายในจิตใจของผม อยู่ๆ ก็สะอื้นปีติจนน้ำตาไหลริน ตอนนั้นผมคิดว่าเจ้ากรรมนายเวรคงอโหสิกรรมให้ผมแล้วแน่ๆ

    ผมคิดแบบนั้นได้เพียงแค่ 2 คืนครับ เพราะเช้าวันที่สองต่อมา โดยไม่ทราบสาเหตุ อยู่ๆ ช่วงเช้ามืดก่อนทำวัตรเช้า ขาทั้งสองข้างของผมก็เจ็บปวดขึ้นมาดื้อๆ และทรมานมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จะขอความช่วยเหลือจากใครก็ทำไม่ได้ เพราะกุฏิพระแต่ละองค์อยู่กันเดี่ยวๆ ห่างกันและต่างออกไปทำวัตรเช้าที่ศาลากันหมด นอกจากนี้ทางวัดก็มีกฎเหล็กห้ามพระพกหรือใช้โทรศัพท์มือถือด้วย สุดท้ายผมจึงต้องนอนทรมานอยู่จนเกือบ 10 โมงเช้า กระทั่งต่อมามีพระรูปหนึ่งเอาอาหารมาให้ผมฉันในกุฏิ บอกว่า ท่านเจ้าอาวาสฝากมาให้ และฝากบอกว่า พระ(ผม) ไม่ต้องกังวล พักผ่อนภาวนาไปนะ ขาหายเจ็บเมื่อไหร่ค่อยทำกิจสงฆ์ตามปกติ

    ตอนนั้น ผมสงสัย!!!!มาก ว่า ท่านรู้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้บอกใครเลย แต่ผมก็เก็บความสงสัยไว้ในใจโดยไม่ได้ซักไซ้ไต่ถามต่อไป

    สิ่งที่ผมสงสัยต่อมา ก็คือ ภายหลังจากที่ผมฉันอาหารที่ท่านเจ้าอาวาสฝากมาให้ได้ไม่นาน อาการเจ็บขาของผมก็ทุเลาลงมาก และสามารถทำวัตรเช้า ออกเดินบิณฑบาตได้ แม้ว่าจะยังคงเจ็บขาอยู่บ้างนิดหน่อยหลังจากที่ไม่สามารลุกเดินได้เลย

    ตอนที่ 5 หนีไม่พ้นแต่ผ่อนหนักเป็นเบาได้
     
  2. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    อนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ที่ได้บวชพระ และได้ศึกษาอยู่กับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พอดีไม่ได้เข้ากระทู้นี้เสียนานกลับมาอ่านอีกครั้งไปไกลโข(ในเรื่องอื่น) กระทู้นี้ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจใครบางคนได้มากขึ้นล่ะนะ จะขออภัยโดยรวมก็แล้วกัน เพราะมันไม่ได้เสียหายอะไร ส่วนตัวข้าพเจ้าก็คิดว่าข้าพเจ้ามาถูกทางล่ะนะ เพราะว่าผู้ที่มีกระแสเมตตาได้ตอบข้อสงสัยข้าพเจ้ามาเยอะแล้ว จริงๆท่านจะไม่ตอบก็ได้ ข้าพเจ้านับถือว่าผู้ที่รู้ดีกว่าข้าพเจ้าเป็นครูทั้งนั้นถ้าท่านเมตตาสอนหรือเตือน จากนั้นก็พิจารณาเอาว่าเป็นเช่นไรน่ะ
     
  3. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ธรรมะจากอาจารย์ยายเช้าวันนี้
    เนื่องจากเช้าวันนี้แฮปปี้ ตื่นขึ้นมาก็เห็นอาจารย์ยายกวาดใบไม้ทำความสะอาดบ้าน ส่วนพี่เปิ้ลกับอาจงก็กำลังรดน้ำต้นไม้ ผมเลยเดินไปขอธรรมะอาจารย์ยายซักข้อ ท่านถามว่าจะเอาเรื่องไหน ผมก็ตอบท่านว่าเรื่องอะไรก็ได้ ท่านเลยบอกว่า "งั้นเอาเรื่องปัจจุบันการกวาดใบไม้ทำความสะอาดบ้านก็แล้วกัน เพราะมองเป็นธรรมะได้เช่นกันเป็นปัจจุบัน ธรรมะข้อนี้ให้ชื่อว่าบ้านสะอาดใจสะอาด บ้านรกใจรก"
    สถานที่กว้างใหญ่แค่ไหน ต้นไม้มากมายเก็บกวาดไม่มีคำว่าจบสิ้น เช้าขึ้นมาก็ต้องเก็บกวาดทุกวัน เเล้วเราเองก็สามารถทำสมาธิได้ขณะที่เรากวาดอยู่ก็สวดมนต์ไปด้วย สมาธิก็ตั้งมั่น บ้านก็สะอาด ใจก็สะอาด อวิชชา รัก โลภ โกรธ หลง ที่ปรุงจิตปรุงใจเรา ไม่รู้กี่กัปกี่กัน มันก็หยุดทำงานชั่วขณะ หรือไม่ก็ถาวร มันอยู่ที่ตัวเราเอง จะระวัง กิเลสเข้ามาปรุงจิตเรา ได้มากน้อยแค่ไหน ทำแบบนี้ มีแต่ความเจริญให้กับตนเอง จิตที่ปราศจากความเร่าร้อน จะนำความร่มเย็นเป็นสุขให้กับตัวเรา และผู้ที่อยู่ร่วมชายคาเสมอ หากทุกคนมีแต่ความเมตตาปารถนาดีต่อกันด้วยความจริงใจ กิเลสทั้งหลายย่อมปรุงจิตปรุงใจไม่ได้ แต่ขจัดไม่ได้เด็ดขาดแต่ก็ดีกว่าปล่อยให้มันเล่นงาน ทำลายความสงบสุขของจิตเรา เพราะเรารู้ไม่ทันกิเลสทั้งหลายที่มันเป็นนายเรามาตลอดไม่รู้กี่ภพกี่ชาติให้เราต้องยึดตามมัน ทำตามมัน แต่ถ้าเราแข็งขืนไม่ยอมปล่อย พร้อมที่จะต่อสู้และเอาชนะมันบ้าง ฟาดฟันกับมันให้แตกดับสลายไปกันข้างหนึ่ง มรรคผลนิพพานย่อมบังเกิดได้ไม่เว้นแม้แต่ผู้ใด เช้านี้เมื่อถามธรรมะก็จะบอกว่า ธรรมะบทนี้คือธรรมของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงตรัสว่า"อุตสาหะ วิริยะ ความเพียร เมื่อเราทำได้ ก็จะเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รูป นาม กาย ใจ เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป " ที่เราปัดกวาดทุกวันนี้ มันก็มีรกมีสะอาดไม่รู้จักจบจักสิ้น ฉันใดก็ฉันนั้น อย่ามองใคร หรือผู้ใด เพ่งโทษคนอื่น ให้กลับหันมามอง ตรวจดูใจตนเอง เพ่งโทษเราเองอยู่เสมอ และคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ตัวเรานี้ไม่ดีเลย ก็จะเห็นโทษ เห็นสิ่งไร้สาระ คือ รูป นาม. กาย ใจ สุดท้าย ก็เป็นเพียง เถ้าธุลีดิน แค่นั้นเอง สาธุ
    สุดท้าย สุขอื่นใด ยิ่งกว่าความสงบไม่มี เหมือนกับวลีพระอรหันต์ท่านหนึ่ง ที่ท่านสอนว่า จิตนั้นจะสงบสุขได้ และอยู่ได้ด้วยตนเอง คือผู้ที่ฝึกจิตได้แล้ว วลีที่ว่านั้นคือ "อยู่คนเดียวเหมือนอยู่หลายคน อยู่หลายคนเหมือนอยู่คนเดียว"
    อนุโมทนาสาธุกับคำสอนของอาจารย์ยายครับ (แฮปปี้)
     
  4. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    อนุโมทนา สาธุ ครับ
     
  5. happyokay

    happyokay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +447
    ตอนสุดท้าย(5) หนีกรรมไม่พ้นแต่ผ่อนหนักให้เบาลงได้

    (เดิมทีผมตั้งใจไว้ว่าจะถ่ายทอดเรื่องเล่าประสบการณ์บทส่งท้ายให้คุณ lovelyhappy นำลงให้แล้วเสร็จก่อนเทศกาลสงกรานต์ แต่ติดภารกิจต้องเดินทางไปนมัสการอัฐิธาตุหลวงปู่มั่น และพระธาตุสำคัญๆ ในภาคอิสาน ตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่คณะกัลยาณมิตร ดังนั้น ผมจึงต้องขออภัยสำหรับความเนิ่นช้ามา ณ ที่นี้ด้วยครับ)

    “หนีกรรมไม่พ้นแต่ผ่อนหนักให้เบาลงได้” คำๆ นี้ ทุกๆ ท่านต้องเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างอย่างน้อยก็น่าจะมากกว่าหนึ่งครั้ง ผมเองก็เช่นกันครับ ได้ยินได้ฟังผ่านหูบ่อยๆ แต่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าใดว่า หนักอย่างไร และ เบาลงอย่างไร รู้แต่ว่าเมื่อใดที่เราเป็นทุกข์ ทั้งเรื่องปัจจัยสี่ก็ดี สังขารความเจ็บป่วยก็ดี และเรื่องอื่นๆ ที่เข้ามากระทบจิตทำให้ทุกข์หนักทางใจก็ดี ซึ่งเกิดขึ้นโดยมิใช่เป็นเพราะความผิดของเรา หรือเกิดขึ้นโดยกระทันหันไม่คาดคิด หรือเกิดจากการกระทำของบุคคลอื่นส่งผลกระทบถึงเรา หรือเกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุก็ดี

    ซึ่งโดยตรรกะแล้ว “คนทำดีหรือทำชั่วย่อมได้รับผลของการกระทำนั้นๆ” แต่ก็มีหลายกรณีที่คนทำดียึดมั่นในความดีแต่ชีวิตกลับประสบแต่ความทุกข์ทั้งทางกายละทางใจ กลับกันบางคนที่ทำชั่วทำบาปมากมายแต่ชีวิตประสบแต่ความมั่งคั่งร่ำรวยมีชื่อเสียงในสังคมมีแต่คนนับหน้าถือตา

    โดย ส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่า”กรรมในปัจจุบัน” เราสามารถเลือกที่จะกำหนดเองได้ แต่ “วิบากกรรมที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ” นั้น เราไม่สามารถที่จะควบคุมกำหนดได้ แต่อย่างไรก็ดีผมเชื่อมั่นว่าการยึดมั่นในความดีและมีศาสนาเป็นที่ยึด เหนี่ยวจิตใจจะสามารถช่วยให้เราผ่านพ้นวิกฤติและอุปสรรคปัญหาต่างๆ ในชีวิตไปได้อย่างแน่นอน

    พระ พุทธองค์และศาสนาสอนผมในเรื่อง ศีล-สมาธิ-ปัญญา โดยให้ใช้เหตุและผล และการทดลองปฏิบัติเพื่อให้เข้าใจความจริงของชีวิต มิใช่สอนให้เชื่ออย่างงมงายไร้เหตุผล ส่วนความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตหรือช่วยให้ทุกข์ทางโลกเบาบางลงล้วนขึ้นอยู่ กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคล แต่สำหรับผมนั้น หลังจากที่ผมได้ฉันภัตตาหารที่หลวงพ่อท่านฝากพระลูกศิษย์ให้นำมาให้ฉันและ หายจากอาการเจ็บขาโดยไม่ทราบสาเหตุในวันถัดมา ผมก็ไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ ทางกายโดยไม่ทราบสาเหตุอีก แต่ที่ยังคงใคร่รู้ใคร่สงสัยอยู่ คือ หลวงพ่อท่านทราบอย่างกับตาเห็นได้อย่างไร ???

    ผม จึงเริ่มไต่ถามจากพระรูปอื่นในวัด แต่พระในวัดท่านก็บอกเพียงว่าให้ลองสังเกตดูเอาเอง อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็รู้เดี๋ยวก็เข้าใจเองแหละ ผมจึงคอยหมั่นสังเกตเรื่อยมา กระทั่งคืนหนึ่งหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จและท่านพระอาจารย์นำนั่งสมาธิจนครบ กำหนดเวลาเมื่อมีเสียงกระดิ่งเบาๆ เคาะให้สัญญาณ และก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับกุฏิ ท่านพระอาจารย์ก็จะบรรยายธรรมให้โอวาทศิษยานุศิษย์ทั้งหมดก่อนเสมอ แต่ปรากฏว่าวันนั้นท่านเลือกเจาะจงให้โอวาทพระบวชใหม่รูปหนึ่งและทักห้ามว่า “พรุ่งนี้อย่าเพิ่งสึกเลย ถ้าสึกไปตอนนี้ออกไปจะร้อนจนอยู่ไม่ได้นะ” ปรากฏว่าพระใหม่รูปนั้นนั่งก้มหน้าเหงื่อแตกพลั่กตอบเสียงสั่นว่า “ครับ” แต่ตอนนั้นพระรูปอื่นรวมทั้งผมด้วยไม่ได้นึกเอะใจอะไร คิดว่าพระใหม่คงอยู่ไม่ไหวแล้วไปขอฤกษ์สึกหลังจากท่านพระอาจารย์มั้ง จนสุดท้ายพระใหม่องค์นั้นได้มาสารภาพต่อหน้าพระองค์อื่นๆ ว่า
    “ตอน นั้นตนแอบวางแผนคิดไว้ในใจว่า ตนจะลาสึกกับพระพุทธรูปและจะหนีออกจากวัดไปอยู่กินกับแฟนสาว แต่สุดท้ายตนก็ต้องเปลี่ยนใจ เหตุเพราะพระอาจารย์รู้ความคิดตน และเอ่ยทักท้วงห้ามไว้ ตนจึงทั้งอายและศรัทธา ไม่กล้าคิดออกนอกลู่นอกทางอีก ”

    ซึ่ง นอกจากพระใหม่ที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว พระองค์อื่นๆ หากคิดอะไรแผลงๆ ก็จะถูกพระอาจารย์ว่ากล่าวตักเตือนเช่นกัน ทำให้พระทุกองค์ต้องคอยระแวดระวังความคิดของตนเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมเองก็เคยโดนเหมือนกันแต่เป็นการบอกอ้อมๆ ไม่โดนจังๆ เช่นพระใหม่องค์อื่นๆ

    ครั้น เมื่อบวชจนครบกำหนดเวลาดังอธิษฐานจิตไว้ ผมจึงได้ไปขอฤกษ์ลาสึกกับท่านพระอาจารย์ ต่อมาภายหลังจากผมลาสิกขาเสร็จสิ้นและเตรียมตัวจะเดินทางกลับ กทม. ผมจึงแวะนมัสการกราบลาท่านพระอาจารย์อีกครั้งที่กุฏิของท่าน แต่คราวนี้พอท่านพระอาจารย์เห็นหน้าผมท่านกลับโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผม สีหน้าดูจริงจังกว่าปกติ และจ้องเขม็งมาที่ดวงตาของผม จนผมมองม่านตาของท่านขยายออกอย่าง
    ชัดเจน ตอนนั้นผมคิดว่า เอ๊ะ หรือว่าผมไม่ได้สำรวมจิตคิดแต่เรื่องทางโลกหรือเปล่านะ ท่านเลยดูเคร่งขรึมกว่าทุกๆ ครั้ง แต่ปรากฏว่าท่านไม่เอ่ยคำพูดใดเลย และผมก็ปากหนักไม่ได้เอ่ยถามคิดเพียงแต่ว่าต้องสำรวมจิตให้ดี กระทั่งท่านพระอาจารย์ถอนหายใจแล้วเดินหันหลังจากไปพร้อมเอามือลูบขึ้นลูบลง บริเวณท้ายทอย 2-3 ครั้ง พบจึงก้มลงกราบอีกครั้งแล้วเดินทางกลับ กทม. โดยทางรถยนต์ซึ่งผมเป็นคนขับส่วนคุณแม่ของผมเป็นผู้โดยสาร ทั้งนี้ระหว่างเดินทางกลับผมและคุณแม่ก็แวะวัดอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน จนกระทั่งเมื่อขับรถยนต์มาถึงช่วงบ้านบึงชลบุรีซึ่งผมก็ขับด้วยความเร็วปกติ อยู่ๆ ก็มีรถ 10 ล้อ วิ่งมาด้วยความเร็วสูงพร้อมบีบแตรค้างยาวดังมาแต่ไกล เมื่อผมเหลือบเห็นจากกระจกหลังผมจึงรีบเบี่ยงชิดซ้ายทันที แต่ไม่วายรถ 10 ล้อ คันดังกล่าวยังพาลหาเรื่องปาดหน้าหมายจะให้พ่วงท้ายฟาดกับหน้ารถผม ชั่ววินาทีนั้นผมจึงตัดสินใจเหยียบเบรคจนสุดและหักออกซ้ายส่งผลให้รถหมุน 2-3 รอบ แต่โชคดีมากที่ไม่มีใครได้รับอันตรายและโชคดีมากที่ไม่ชนเข้ากับท้ายรถพ่วง และไม่มีรถคันหลังขับตามมาชน เมื่อตั้งสติได้ผมจึงรับขับรถชิดซ้ายเข้าข้างทางและลงไปดูที่เกิด ตอนนั้นผมมองเห็นรอยไหม้สีดำจากยางรถยนต์ของผมเป็นวงกลมซ้อนล้ำกันประมาณ 2-3 รอย ผมถึงขั้นรำพึงในใจเลยว่าผมและแม่โชคดีมากที่แคล้วคลาดมาได้

    เมื่อ ผมกลับถึง กทม. ผมก็ใช้วิถีชีวิตตามปกติ คือ ทำงาน วันจันทร์-ศุกร์ ส่วนวันหยุดก็ทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวและสังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ้างตามแต่ โอกาส แต่ผมก็ใช้ชีวิตปกติสุขได้ไม่นาน เพราะนับตั้งแต่ผมลาสิกขามา ผมมักจะประสบอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์และมักมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น จากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ จนผมคิดสงสัยว่าผมลาสึกผิดฤกษ์หรือเปล่าเนี่ย!!! หลากเรื่องหลายราวประดังประเดถาโถมเข้าใส่เฉียดไปเฉียดมา หวิดไปหวิดมา ก็หลายครั้งหลายหน ผิดใจกับทั้งเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน เพื่อนฝูง ครูอาจารย์และคนในครอบครัว สุดท้ายก็คิดน้อยอกน้อยใจเสียใจไม่มีใครเข้าใจ ลงท้ายก็ประชดประชันดื่มๆๆ มันเข้าไป พอเมาแล้วก็ขาดสติคิดสั้นเบื่อชีวิต แต่ก็น่าแปลกที่ทุกๆ ครั้งเวลาขาดสติยับยั้งชั่งใจคิดจะฆ่าตัวตายจะด้วยเพราะเหตุบังเอิญหรือไม่ ถึงฆาตก็ดี ทุกๆ ครั้งจะต้องมีอะไรเข้ามาขัดเข้ามาขวางได้ทันท่วงทีเสมอ อย่างเช่นครั้งหนึ่ง ผมไปยืนอยู่หน้าตึกสูงแห่งหนึ่งตั้งแต่หัวค่ำจนดึก คิดกลับไปกลับมาว่า "โดด-ไม่โดด" จนสุดท้ายตัดสินใจแน่วแน่ว่าชีวิตมันน่าเบื่อมีแต่ความทุกข์ตายๆ ไปเสียดีกว่าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว ปรากฏว่าขณะผมลิฟท์เปิดออกและผมกำลังก้าวเข้าไปในลิฟท์ อยู่ๆ ก็มีคนมากระชากแขนผมออกมาจากลิฟท์ เมื่อหันกลับไปมองคนที่กระชากแขนผมออกมานั้น ปรากฏว่าเป็นรุ่นพี่ของผมที่ผมเคยไปฝึกงานด้วยซึ่งห่างหายไปไม่ได้เจอกัน เลยกว่า 3 ปี นับแต่ผมฝึกงานจบ ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิดเดียว คิดแต่ว่ามีเรื่องที่จะต้องทำให้สำเร็จ ผมจึงยกมือไหว้และบอกรุ่นพี่คนนั้นไปว่า ขอโทษนะครับพี่ผมกำลังรีบครับ รุ่นพี่คนนั้นก็ตอบกลับมาว่าจะรีบไปไหนอาคารเขาปิดทำการแล้ว ว่าแล้วก็ฉุดกระชากลากถูผมไปร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ เพราะคำพูดและท่าทางของรุ่นพี่คนนั้นที่แสดงออกให้เห็นชัดเจนว่ารุ่นพี่เขา คิดถึงผมและดีใจมากๆ ที่ได้เจอผมอีกครั้งจนทำให้ผมน้ำตาคลอและสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นยามสิ้นหวัง

    หลัง จากผมติดตามรุ่นพี่ไปนั่งทานข้าวด้วยกัน ผมจึงได้สติและมีเวลาคิดทบทวนไตร่ตรอง เรานี้เกิดมาคนเดียวตายไปคนเดียว อะไรเราก็เอาติดตัวไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินหรือญาติพี่น้อง ความตายเป็นของเที่ยง ไม่ว่าใครก็หนีความตายไปไม่พ้น แต่ในเมื่อจะตายทั้งทีจะมามืดไปมืดให้เสียชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในพุทธ ศาสนาทำไม หากจะตายทั้งทีก็ขอตายภายใต้ร่มเงาพระบวรพระพุทธศาสนาดีกว่า

    เมื่อ คิดได้ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะบวชอีกครั้งโดยไม่คิดที่จะสึกอีก จำได้ว่าตอนนั้นทั้งตัวผมมีเงินติดตัวไปไม่ถึง 1 พันบาท แต่ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ อยู่ๆ ก็มีผู้ใจบุญซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเสนอตัวเป็นเจ้าภาพงานบวชให้ทั้งหมด การบวชรอบนี้ผมตั้งใจปฏิบัติมากกว่าการบวชครั้งแรกมากและศึกษาตำราเกี่ยวกับ พระธรรมคำสอนต่างๆ ในหอเก็บควบคู่ไปด้วยจนเข้าใจอะไรๆ และปล่อยวางได้มากขึ้น

    ระหว่าง ที่บวชเป็นพระหนหลังนี้ผมได้เรียนรู้และเข้าใจอะไรมากขึ้นหลายอย่าง ทั้งมุมมองทางโลกและมุมมองทางธรรม แต่สิ่งที่เป็นจุดหักเหในการบวชหนหลังของผมนั้น ก็คือ ผมได้เรียนรู้ว่าการบวชพระซึ่งอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะนั้นแต่ละวันล้วนมี เรื่องวุ่นวายไม่ต่างจากโลกของฆารวาส แต่ต่างกันตรงที่พระจำเป็นจะต้องเคร่งครัดในศีล 227 ข้อ ดังนั้น หากเผลอไผลขาดสติผิดศีลหรือมีจิตคิดอกุศลกรณีย่อมเป็นบาปมากกว่าฆราวาส ต่อมาผมจึงขออนุญาตท่านพระครูเจ้าอาวาสขอออกธุดงค์ไปกับพระผู้ใหญ่ด้วย ทั้งๆ ที่พรรษาของผมยังไม่ถึง แต่ดูคล้ายกับว่าท่านพระครูจะรู้ว่าผมเบื่อหน่ายหมู่คณะ ท่านจึงอนุญาตให้ผมเพียง 3 วัน โดยขอให้พระผู้ใหญ่นำพาผมไปธุดงค์ที่ภูเขากลับ(ถ้าจำไม่ผิด) อ.คลองไผ่ จ.นคราชสีมา

    ทั้ง นี้ด้วยความที่ผมไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเดินธุดงค์มาก่อนทำให้การ เดินเท้าของผมเพื่อขึ้นไปตามแนวเขาค่อนข้างทุลักทุเลมากถึงมากที่สุด แต่พระผู้ใหญ่ทั้งสองท่านก็มิได้ว่ากล่าวผมเลยแม้แต่น้อย ท่านทั้งสองใจดีมากจนผมรู้สึกเกรงใจและรู้สึกผิดที่ตนเองจะต้องเป็นตัวถ่วง เป็นภาระให้กับท่านทั้งสอง สุดท้ายคืนนั้นท่านทั้งสองจึงพาผมไปพักจำวัดที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งกลางหุบ เขาดังกล่าว มีกุฏิเล็กๆ อยู่ห่างไกลกันและไม่มีไฟฟ้า มีเพียงเทียนพรรษาและเทียนไขเท่านั้น คืนนั้นผมสัมผัสได้เลยว่าสำนักสงฆ์แห่งนี้เงียบสงบวิเวกมาก ที่นี่แหละเหมาะแก่การปฏิบัติ คืนนั้นผมจึงนั่งสมาธิเพ่งลม พุทโธ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มพอโงกง่วง ผมจึงเปลี่ยนอริยาบถตั้งใจว่าจะออกไปเดินจงกรม แต่ยังไม่ทันจะลุกขึ้นยืน จู่ๆ บานหน้าต่างไม้ก็ปิดกระแทกเข้ามาดัง เปรี้ยง!!! ทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัดกรรโชกเลย ตอนนั้นผมตกใจนะแต่ก็ทำใจดีสู้เสือ คิดว่าไม่มีหรอกน่า ลมพัดนะแหละ คราวนี้พอลุกขึ้นยืนเดินไปถึงประตูหน้ากุฏิ บาน หน้าต่างไม้อีกบานก็ปิดกระแทกเข้ามาดัง เปรี้ยง!!! อีก คราวนี้เลยคิดเตลิดเลย จงกรม จงเกริม ผมไม่เดินแล้ว จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปที่หน้าต่างทั้งกลัว เอื้อมมือไปปิดหน้าต่างสับกลอนพลางคิดในใจว่าคราวนี้หมดสิทธิกระแทกดัง เปรี้ยงปร้างละ ว่าแล้วก็มานั่งสมาธิต่อ กำลังพุทโธๆ เสียงร้องโหยหวนร้องดังลากยาวชวนขนลุก ผมได้แต่บ่นกับตัวเองว่า เสียงลม เสียงลม เสียงลม พร้อม พุทโธ พุทโธ พุทโธ ไปด้วย ประเดี๋ยวเดียว เสียงดัง ตู้ม!!! อะไรไม่รู้ตกใส่หลังคา ผมยอมรับเลยครับตอนนั้นกลัวจนสมาธิไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตอนนั้นนั่งไม่ติดแล้วครับได้แต่ตรงปรี่เข้าชิดผนังห้องแล้วนอนห่มผ้าพร้อม ภาวนา พุทโธๆๆ แต่เสียงร้องโหยหวนนั้นก็ยังดังอยู่ทั้งคืนสลับกับเสียง ตู้มๆ!!! เหมือนมีอะไรตกใส่คา จนกระทั่งใกล้รุ่งเสียงจึงเงียบไป คืนนั้นทั้งคืนผมแทบไม่ได้นอนเลย เช้าขึ้นมาสะโหลสะเหลมากและไม่ทันพระผู้ใหญ่ออกไปบิณฑบาต หลังจากพระผู้ใหญ่ท่านกลับจากบิณฑบาต พอเจอหน้าผมท่านถามว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไร หลับสบายดีไหม ผมก็เลยถือโอกาสเล่าซะละเอียดเลย แต่ท่านกลับยิ้มๆ ไม่ว่ากระไร แล้วพระผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่งท่านจึงถามผมว่าคืนนี้จะอยู่ต่ออีกสักคืนไหม ผมนิ่งเงียบสักพักและสารภาพตามตรงว่า ท่านครับผมไม่ไหวจริงๆ ครับ ผมขอลงเขากลับวัดนะครับ ท่านก็มองผมแบบสงสารปนเห็นใจแล้วบอกผมว่าให้ไปรอที่กุฏินะเดี๋ยวจะมีโยม ผู้ชายมารับกลับวัด สรุปผมจึงได้กลับมาอยู่วัดตามเดิมและได้เห็นตัวเองรู้จักตัวเองอย่างแจ่ม แจ้งว่า ทุกอย่างอยู่ที่ใจใช่สถานที่ เมื่อครั้งอยู่วัดเป็นหมู่คณะก็อึดอัดใจ ครั้นให้ออกป่าหาความสงบวิเวกก็ขลาดกลัว การบวชพระไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย บางทีการบวชเพียง 4 เดือน แต่กระทำด้วยความตั้งใจเคร่งครัดในศีลในธรรมจริงๆ กับบวชนานเป็นปีๆ แต่ย่อหย่อนในศีลในธรรม อย่างหลังน่าจะเป็นบาปเป็นโทษมากกว่า แม้นว่าเพศบรรพชิตจะสะดวกในการปฏิบัติธรรมมากกว่าเพศฆราวาส แต่หากจิตใจยังเป็นฆราวาสอยู่ก็ไม่ควรทำให้สมณะเพศด่างพร้อย หลังจากนั้นผมจึงลาสิกขากลับเป็นเพศฆราวาสอีกครั้ง แต่ในการกลับเป็นฆราวาสของผมในครั้งนี้ การใช้ชีวิตของผมต่างไปจากเดิมมาก กล่าวคือ ทุกวันนี้ผมนับถือพระรัตนตรัยจากข้างในภายในหัวใจจริง และหมั่นทำบุญทำทานไม่ละทิ้งการภาวนาเหมือนแต่ก่อน พบปะแต่กัลยาณมิตรและรับผิดชอบในการทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มกำลังความ สามารถในทุกๆ ด้าน เริ่มตั้งแต่การเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่และเป็นคนดีของสังคม ปัจจุบันนี้ความทุกข์ทางกายและทางใจที่ผมไม่อาจจะรับมือได้นั้นได้เบาบางจาง หายไปหมดแล้วครับ ผมจึงเชื่อว่าวิบากกรรมนั้นหนีไม่พ้นครับ ใครทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับกรรมนั้นๆ ดังนั้น การสั่งสมความดีย่อมให้คุณมาก และบรรเทาวิบากกรรมต่างๆ ได้ครับ สาธุ.
     
  6. นักรบธรรม

    นักรบธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    969
    ค่าพลัง:
    +1,174
    เยอะแยะ มากมายแล้วแต่จะเจอของแต่ละคน นั่งเพื่อจิตสงบ จนได้ ฌาณ 4 แล้วไปพิจารณา อนิจจังทุกขัง อนัตตา ให้จิตปล่อยวาง การเห็นเป็นเรื่องปกติ เหมือนคนเรียน ก ไก่ ทำไปเรื่อย เด๋วก็จบ ป.ตรี โท เอก สุดท้ายก็รู้ว่าที่ผ่านมาแค่เล็กน้อย
     
  7. หญ้าคา

    หญ้าคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +138
    สาธุ สาธุ สาธุ ดี
     
  8. ศิริมันตรา

    ศิริมันตรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +602
    สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...