มีใครเป็นลูกหลานเสด็จปู่พญานาคาธิบดีศรีสุทโธนาคราชบ้างครับ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย วรุณบุตร, 9 ตุลาคม 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. benjamina

    benjamina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +289
    ง่า ตกลงเอาสีดำเหรอ กัวง่ะ
    เรียก อั้มก็นะคับ benjamina ยาวไปนิ๊ด
     
  2. หนูปุยฝ้าย

    หนูปุยฝ้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +881


    ได้ค่ะ คุณ อั้ม :cool:


    ก็โดยปกติฝันถึงพญานาคสีดำบ่อยค่ะ เลยค่อนข้างจะรู้สึกผูกพันธ์กับสีนี้

    แหะๆ



    :boo:
     
  3. benjamina

    benjamina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +289
    ตอนเด็กๆฝันบ่อยคับ เกี่ยวกับพญานาค พอโตขึ้นกิเลสหนาๆๆขึ้นไม่ค่อยจะฝันแล้ว สมาธิก็ไม่ค่อยได้ทำ ทำงานมาอาบน้ำก็หลับเลย -*- ก็เลยคิดว่าหันแลมองอดีตก็เลือนลางมองปัจจุบันมันละกันชัดแจ๋ว เอิ้กๆ(แต่ก็รู้ตัวปัจจุบันก็ยังไม่เอาไหน)
     
  4. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    มาอ่านนิทานอีสานพื้นบ้านครับ
    ผาแดงนางไอ่ วรรณกรรมพื้นบ้านของอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=800 align=center><TBODY><TR><TD height=25 vAlign=center background=../template/image/bgr/com_line.gif></TD><TD background=../template/image/bgr/R_S_yellow.gif width=12></TD></TR><TR><TD background=../template/image/bgr/L_S_yellow.gif width=12></TD><TD class=vsmall_b vAlign=top width=150 align=middle>
    [​IMG]

    </TD><TD background=../template/image/bgr/line_yellow.gif width=3></TD><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=7 width="99%" align=center><TBODY><TR><TD class=nblue align=left>นางไอ่ หรือนางไอ่คำ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ตามเรื่องที่เล่าขานกันมา มูลเหตุที่ทำให้เกิด “หนองหาน” ต้นลำน้ำปาว และวรรณคดีเรื่องนี้ก็เป็นปฐมเหตุของบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นประเพณีที่ขึ้นชื่อลือชาของชาวอีสานพระยาขอมผู้ครองเมืองเอกชะธีตา มีธิดาชื่อ นางไอ่คำ เป็นสตรีที่มีรูปร่างงดงามเป็นที่เลื่องลือจนเป็นที่หมายปองของเจ้าชายเมืองต่างๆ ท้าวผาแดงโอรสเจ้าเมืองผาโพงก็หลงใหลใฝ่ฝันในตัวนางเป็นอันมาก เพราะบุพเพสันนิวาสในชาติปางก่อนของทั้งคู่ ในที่สุดก็ได้ครองรักกัน กล่าวถึงฝ่ายท้าวพังคีโอรสของสุทโธนาคเจ้าผู้ครองเมืองบาดาล เป็นผู้หนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากเห็นสิริโฉมอันงดงามของนางไอ่ ทั้งนี้เพราะอดีตชาติบันดาลให้เป็นไป โดยเรื่องมีอยู่ว่าในอดีตชาติ นางไอ่เป็นภรรยาของท้าวพังคี แต่ท้าวพังคีไม่รักใคร่ภรรยาของตนเลย แต่นางก็ปฏิบัติต่อสามีเยี่ยงภรรยาที่ดีเสมอมา วันหนึ่งท้าวพังคีได้พาภรรยาเดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดโดยให้นางเป็นคนหาบเสบียงทำให้นางลำบากและเหน็ดเหนื่อยมาก จนกระทั่งเสบียงหมดกลางทาง ท้าวพังคีเห็นต้นมะเดื่อมีผลสุกจึงขึ้นไปเก็บกินอิ่มคนเดียวแล้วลงจากต้นเดินหนีไป ฝ่ายนางไอ่จึงขึ้นไปเก็บกินเองเมื่ออิ่มแล้วลงจากต้นมะเดื่อไม่พบสามีเดินตามหาอย่างไรก็ไม่พบ ทำให้นางมีความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก นางจึงตัดสินใจอธิษฐานว่า “ชาติหน้าขอให้สามีนอนตายอยู่บนกิ่งไม้ อย่าได้เป็นสามีภรรยากันอีกเลย” ด้วยแรงอธิษฐานในชาติต่อมาสามีของนางจึงเกิดมาเป็นท้าวพังคี ส่วนนางได้เกิดมาเป็นนางไอ่
    พระยาขอมได้แจ้งข่าวให้หัวเมืองน้อยใหญ่จัดบั้งไฟมาจุดแข่งขันกัน เพื่อจุดขึ้นไปบูชาพระยาแถนอยู่บนฟ้าให้บันดาลฝนตกลงมาตามฤดูกาล และหากบั้งไฟของคนใดขึ้นสูงกว่าเพื่อนจะได้นางไอ่เป็นคู่ครอง โดยกำหนดวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันงาน ทำให้บ้านเมืองน้อยใหญ่ต่างพากันทำบั้งไฟหมื่นบั้งไฟแสนมาแข่งขันกันมากมาย มีการแข่งขันตีกลองหรือภาษอีสานเรียกว่า “เส็งกลอง” กันอย่างครึกครื้น ท้าวผาแดงได้นำบั้งไฟมาร่วมงานด้วย ฝ่ายท้าวพังคีได้แปลงร่างเป็นกระรอกเผือกออกติดตามชมความงามของนางไอ่อย่างหลงใหล การแข่งขันบั้งไฟเป็นไปด้วยความสนุกสนานแต่ก็ไม่มีผู้ใดชนะได้นางไอ่ไปเป็นคู่ครอง เมื่องานเสร็จสิ้นต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมืองของตน ฝ่ายท้าวพังคีทนอยู่ในเมืองบาดาลไม่ได้เพราะหลงใหลความงาม ของนางไอ่ จึงแปลงร่างเป็นกระรอกเผือกกระโดดไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอนของนางไอ่ เมื่อนางไอ่เห็นก็อยากได้จึงสั่งให้นายพรานตามจับกระรอกเผือกให้ได้ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย ในที่สุดผลกรรมเก่าตามมาทันกระรอกเผือกถูกยิงด้วยหน้าไม้ซึ่งมีลูกอาบยาพิษอยู่บนต้นมะเดื่อขณะกัดกินผลมะเดื่อสุก ท้าวพังคีก่อนตายได้อธิษฐานให้เนื้อของตนมีมากมายพอเลี้ยงคนได้ทั้งเมือง นายพรานได้นำเอาไปชำแหละแบ่งให้ผู้คนได้กินกันทั้งเมือง ยกเว้นบ้านดอนแม่หม้ายหรือบ้านดอนแก้วซึ่งเป็นเกาะอยู่กลางทุ่งหนองหาน จึงรอดพ้นจากการถูกถล่มทลายและยังปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
    ความทราบถึงพญานาค โกรธแค้นมากสั่งบ่าวไพร่จัดพลขึ้นไปถล่มเมืองพระยาขอมด้วยความแค้น ใครกินเนื้อลูกของตนอย่าไว้ชีวิตมัน พญานาคพาบริวารออกอาละวาดเสียงดังครืนๆ ทั่วแผ่นดิน เมืองเอกชะธีตาถล่มทลายลงเป็นหนองหานน้อย ซึ่งเป็นต้นลำน้ำปาวในปัจจุบัน ท้าวผาแดงทราบได้ทันทีว่าเป็นการกระทำของพวกพญานาค จึงพานางไอ่ขึ้นหลังม้าควบหนีออกจากเมืองเพื่อให้พ้นภัย แต่เนื่องจากนางไอ่ได้รับประทานเนื้อกระรอกเผือกด้วย หนีไปทางไหนพวกนาคก็ตามไปถล่มทลาย ในที่สุดนางไอ่ถูกหางนาคฟาดตกจากหลังม้าและจมหายไปในพื้นดินไปต่อหน้าต่อตาท้าวผาแดง เมื่อกลับถึงเมืองผาโพงท้าวผาแดงเกิดตรอมใจคิดถึงนางไอ่ตลอดเวลา ในที่สุดก็ตรอมใจตายตามนางไอ่ไป เมื่อท้าวผาแดงตายไปเป็นผีมีความอาฆาตต่อพญานาคอยู่ไม่วาย ได้สั่งไพร่พลกองทัพผีเป็นแสนๆ ไปล้อมเมืองบาดาล ต่างฝ่ายต่างใช้อิทธิฤทธิ์รบกันแต่ไม่มีผู้ใดแพ้ชนะ ฝ่ายสุทโธนาคเจ้าเมืองบาดาลไม่อยากทำบาปกรรมต่อไป จึงขอร้องให้ท้าวเวสสุวัณผู้เป็นใหญ่มาตัดสิน เมื่อท้าวเวสสุวัณทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของกรรมเก่าที่ตามมาให้ผลในชาตินี้ จึงขอให้ทั้งสองฝ่ายเลิกรากันไป ให้มีเมตตาต่อกัน เมื่อทั้งสองได้ฟังคำสั่งสอนของท้าวเวสสุวัณ เข้าใจในเหตุผล ต่างฝ่ายต่างอนุโมทนา สาธุการ และให้อภัยกันในที่สุด​
     
  5. พรหมพร

    พรหมพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +457
    ใกล้จะถึงเวลาของพรแล้ว...เฮ้อ~เหนื่อยล้าทั้งกายใจ ถ้าได้มุมสงบๆสักแห่งก็แจ๋วเลย...

    เมื่อวานปั่นจักรยานใจลอยนิดนึงเพราะมีปัญหาให้ขบคิดหลายอย่าง ก็ขับช้าๆไม่เร่งรีบ
    เห็นงูตัวนึงอยู่ข้างทางกำลังเลื้อยข้ามถนน เราก็ชะลอรถกลัวล้อรถจะไปเหยียบเขาเข้า
    จะว่าเลื้อยก็ไม่ได้แฮะ เพราะพอเห็นเราเขาก็เปลี่ยนจากเลื้อยเป็นกระโดดตัวลอยดึ๋งๆ
    คือขดตัวแล้วดีดออกจึงเหมือนติดสปริงค์ แล้วก็ให้บังเอิญโดดเข้ามาใส่ขาเรา พันข้อเท้าเฉยเลย
    เราไม่ตกใจหรอก แค่แปลกใจ อะไรมันจะบังเอิญกันได้ขนาดนั้น ก็สะบัดเท้าให้เขาหลุดออก

    มีเรื่องให้ต้องคิด ต้องตัดสินใจ มันก็ยากอยู่ แต่ทำไงได้ มันก็สมควรแก่เวลาแล้ว
    มีเรื่องที่จะต้องทำอีกหลายอย่างให้เสร็จสิ้นไปภายในปีนี้ เพียงแต่พรยังลังเลอยู่...
    อธิฐานก่อนนอน ขอให้เบื้องบนช่วยชี้แนะแนวทาง ถ้าท่านต้องการ...ท่านต้องช่วยเหลือพรด้วย
    ฝันเห็นตัวเองแต่งตัวสวย มีหญิงสาวหลายนางเป็นบริวารห้อมล้อม กำลังจะไปเฝ้าท่านปู่
    เข้าไปในศาลขององค์ปู่ พญานาคาธิบดีศรีสุทโธนาคราช มีผู้คนมากมาย เราเป็นผู้นำในการสวดบูชา
    เสียงเรากระหึ่มก้อง เป็นภาษาโบราณ ( ภาษาอะไรก็ไม่รู้ ) ท่านปู่พึงพอใจก็ให้สร้อยทองเส้นนึง
    สร้อยทองเป็นข้อๆไม่ค่อยมีลายแบบที่ผู้ชายนิยมสวมกัน พรรับไว้ในอุ้งมือ มีคนท้วงว่าพรขโมยสร้อย
    เพราะท่านปู่ไม่ได้ปรากฏรูปให้เห็น แต่เรารู้ว่าท่านอยู่ คนเค้าเห็นเรามีสร้อยทองในมือ
    ก็คิดว่าเราแฮ๊บมาจากตู้-โต๊ะเครื่องบูชา ซึ่งมีแก้วแหวนเงินทองที่เขานำมาถวายเป็นจำนวนมาก
    เราก็ถวายคืนท่านไป แล้วบอกว่าถ้าท่านพึงใจจะมอบให้ ก็ขอให้ท่านช่วยสวมให้เราด้วยเถิด
    ท่านเลือกสร้อยเส้นใหม่ให้ เป็นสร้อยทองลวดลายวิจิตรสวยงาม สร้อยก็ลอยออกมาจากตู้
    มาสวมคล้องคอ ติดตะขอให้อีกด้วย ท่านปู่ยอมรับพร เป็นลูก เป็นหลาน เลยให้สร้อยรับขวัญ

    เมื่อออกจากศาลขององค์ปู่ เส้นทางเป็นโคลนตม พรถอดรองเท้าให้นางบริวารช่วยถือ
    แล้วเดินย่ำโคลนด้วยเท้าเปล่า เป็นการพยุงตัวเพื่อไม่ให้ล้ม เพราะถ้าใส่ร้องเท้าคงลื่นล้มแน่
    ( นั่นหมายถึง...เส้นทางข้างหน้า พรต้องยอมแลก ยอมให้เท้าของตัวเองต้องเปื้อนโคลน
    น้ำโคลนสกปรก เป็นของต่ำ นั่นหมายถึงต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน โดนคนติฉินนินทา โดนสาดโคลน )
    แล้วคนกลุ่มนึงที่มาจากศาลองค์ปู่ด้วยกัน เขาเลือกเดินบนทางลาดยาง สะดวก แต่อ้อมมาก
    ส่วนเราพานางบริวารเดินตามเส้นทางที่เราเข้าใจเอาเองในบัดเดี๋ยวนั้นว่าเป็นเส้นทางลัด
    เดินลงบันไดที่ชันมากและวนลงเหมือนก้นหอย ลงมาก็เจอแอ่งน้ำ จู่ๆก็มีน้ำตกแถมให้ด้วย
    สระน้ำและน้ำตกที่เกิดจากฤทธิ์ของท่านปู่ พรก็ลงไปชำระร่างกายในสระ ล้างสิ่งสกปรกออก
    ดำน้ำลงไปจนมิดศีรษะ ล้างจากปลายผมจรดปลายเท้า ลงไปใต้น้ำแล้วสบายใจ เหมือนได้กลับบ้าน
    ก็ตั่งใจว่าจะหลับภายใต้สายน้ำ อยากอยู่ที่นี่ ไม่ต้องกลับไปเจอโลกภายนอกให้ต้องวุ่ยวายอีก
    กำลังจะหลับอยู่แล้วก็มีเสียงพูดดังขึ้นในหัว กระแสเสียงอ่อนโยนมีเมตตา เสียงผู้ชาย แต่เสียงหนุ่มจัง
    ( คือ เราก็คิดเอานะ ถ้าเป็นองค์ปู่ ก็น่าที่จะมีอายุมาก น่าจะเป็นเสียงทรงอำนาจ นี่เสียงนุ่ม ไพเราะ )
    ตื่นเถิด เจ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก ยังไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะกลับคืนมา พรก็เลยลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ
    ตอนนั้นเองมีผู้ชายคนนึงมาคว้าตัวพรไว้แล้วพาว่ายเข้าฝั่ง คือเขาเห็นพรอยู่ในน้ำนานก็คิดว่าพรจมน้ำ
    เลยกระโดดลงมาช่วย กำลังจะประกบปากผายปอดอยู่เชียว พรก็ลืมตาขึ้นมามองหน้าเขา
    อืม~เราไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง ขอบคุณนะ เราไม่เป็นไรแล้วล่ะ จากนั้นพวกนางบริวารก็ลงเล่นน้ำ
    ดูเป็นสวนสวรรค์ของเหล่านางนาคี คือเต็มไปด้วยสาวๆที่แหวกว่าย~หยอกเย้ากันอย่างสำราญใจ
    ( แล้วทำไมมีผู้ชายเข้ามานั่งอยู่ด้วยคนนึง ? โดยที่สาวๆเหล่านั้นก็ไม่กรี๊ด ไม่โวยวายที่ถูกมอง )

    ก็ นะ เป็นความฝันที่เล่าได้เป็นฉากๆทีเดียว สามารถบอกเล่า อธิบายอะไรได้หลายๆอย่าง
    สำคัญที่สุดคือ พรจะต้องเชื่อใจ วางใจ ไม่ดื้อ ยอมรับการช่วยเหลือ การชี้นำของท่าน...






     
  6. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,715
    bubuนานๆทีจะมาเล่าเรื่องความฝันให้ได้ฟัง..เพลินดีครับพี่พร..ว่าแต่เกี่ยวข้าวยังคับ*-*
    ความฝันบางทีก้บอกอะรัยดีๆให้เราได้รับรู้หลายอย่าง..สักวันฝันอาจกลายเป้นจริง
    สู้ๆนะคับ...เบนซ์กับพี่พรก็มีอะรัยคล้ายๆกันอยู่หลายอย่าง..แต่ก็เถอะรู้แล้วจะได้อะรัยไม่รู้จะได้อะรัย..ท้ายสุดก้ต้องลงมือทำเองอยู่ดี..ฮึ่อ! ฤามีทางอื่นไป...ไว้เจอกันระหว่างทางกลับบ้านนะคับพี่พร....อยู่ก้เพระหน้าที่..สิ่งที่ทำก็เพราะหน้าที่...
    พระพักตร์ ดุจจันทรา ยามเพ็ญ
    พระเนตร เช่นสี ดอกบัวสาย
    พระเกศา เขียวคราบ ดุจเมฆกระจาย
    ผิวพระกาย คล้ายดิน สีอรุณcatt10
     
  7. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,715
    ด้วยแรงแห่งสัจจะอธิษฐาน...ฤา! กรรมะบันดาล...ท้ายสุดต้องทำ

    denceeเดชะสัจจัง..คงมั่น
    เดชะสัจจัง..ธิดาสมุทร
    เดชะสัจจัง..แห่งมนุษย์
    โอม! สัจจัง วิมุตติ บังเกิดมีdencee
     
  8. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,715
    คำสอนดีๆ..จากหลวงปู่ขาว...*-*

    หลวงปู่ขาวสอนว่านั่งสมาธิมันเจ็บให้ดูมัน เวทนาต่างหากไม่มีตัวเรา”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แล้วก็ไม่ใช่จริงๆ ผม ขน เล็บ หนัง ฟัน กระดูก ไต หัวใจ ตับ ม้าม พังผืด อาหารใหม่ อาหารเก่า มันไม่ใช่เราทั้งนั้น ถ้าแจกออกไปไม่ต้องไปยึดถือนะ ไม่ใช่นะ พระพุทธเจ้าว่า<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เรายังไม่ยึดถือว่าผมของเรา ขนของเรา เล็บของเรา ฟันของเรา อันนั้นแหละห้าม บางทีจิตของเราใจของเรามันถูกกับจริตอันหนึ่งอันใด ก็เอาอันเดียวเท่านั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านแจกไว้ แต่ว่าจริตของคนนิสัยของคนมันถูกอันใหนก็เอาอันนั้นแหละ จิตมันหยุด จิตมันสงบกับพุทโธ มันก็อยู่กับพุทโธ<O:p</O:p
    อาตมามันถูกกับพุทโธ ตั้งใจเอาไว้ ปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง กำหนดเอาสติรักษาไว้ที่ใจ เอาพุทธโธไม่เผลอสติ ให้เห็นพุทธโธตั้งอยู่กลางใจนี้ อาการไม่สบายเลยหาย อาตมานิสัยถูกกับพุทโธ บริกรรมอัฐิกระดูก บางทีมันก็ถูก ถ้าถูกมันก็ปรากฏเห็นทั้งสกลธ์กาย <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระพุทธเจ้าต้องการให้จิตมันเห็นจิต มันไม่เห็นก็บริกรรมให้มันเห็น ต้องการให้เบื่อหน่าย ให้มันเห็นว่าไม่ใช่ตนสิ่งเหล่านี้ ธาตุทั้ง18 ก็ดี ล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ทั้งนั้น อายตนะก็ดีตกอยู่ในไตรลักษณ์หมดทั้งนั้น เรามาสำคัญ<O:p></O:p>
    ว่าหู ว่าจมูก ว่าตา ว่าลิ้น ว่ากาย ว่าใจเป็นของเรา เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่น นั่งก็ให้มีความเจ็บ เจ็บบั้นเอว ปวดหลัง ปวดเอว ปวดขาอะไรนั้น สมาธิก็ต้องออก ท่านจึงให้สู้มัน ไม่ต้องหลบมัน เราจะสู้ข้าศึกก็ต้องอย่างนั้นหละ ต้องมีความอดทน ทนสู้กับความเจ็บปวดเวทนา ดูมัน จิตมันถูกอันใดอันหนึ่ง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อเราสกัดกั้นไม่ให้มันแส่ส่ายไปตามอารมณ์ภายนอก มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นต้น เรียกว่ากามคุณ๕ ไม่ให้ไปจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านั้นแล้ว มันจะอยู่ที่ มันก็ว่างอารมณ์ ไม่มีอารมณ์เข้ามาคลุกคลีดวงจิตแล้ว จิตตั้งมั่นเรียกว่าจิตว่าง ไม่มีอะไรมาพลุกพล่าน เหมือนกันกับน้ำในขัน หรือน้ำอยู่ที่ไหนก็ตาม เมื่อมันไม่กระเพื่อมแล้วมันนิ่งก็เห็นสิ่งทั้งปวงอยู่ในก้นขัน ต้องเห็น เห็นอันนี้ เห็นแล้วต้องสละปล่อยวาง มันจะเห็นโลภะ โทสะ โมหะ ราคะ <O:p></O:p>
    <O:p</O:p
    เรามี เราจะได้พยายามละถอนสิ่งเหล่านี้ออก ปล่อยจิตว่างแล้วจิตสบาย เพราะจิตเป็นหนึ่ง ไม่ขุ่นมัว เพราะไม่มีอารมณ์มาฉาบทาบดวงจิตแล้ว ดวงจิตใส ดวงจิตขาว จิตก็เย็น มีแต่ความสบาย มีความสุขรู้เท่าสังขาร รู้เท่าสิ่งทั้งปวง รู้เท่าความเป็นจริงแล้ว เกิดอันใดอันหนึ่งก็ดี หรือไม่ก็ครบรอบก็ดี เมื่อพิจารณาอันใดอันหนึ่งแล้ว จิตของเราไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งทั้งปวง ถึงมรณะจะมาถึงก็ตาม ทุกขเวทนาจะมาถึงก็ตาม ไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านั้น<O:p></O:p>
    เมื่อรู้เท่าความเป็นจริงแล้ว ความติฉินนินทาก็ตาม ไม่มีความหวั่นไหวต่อสิ่งเหล่านั้น เสื่อมลาภก็ตาม เสื่อมยศก็ตาม เสื่อมสรรเสริญรักชอบก็ตาม ไม่เอาใจใส่เอามาเป็นอารมณ์ มันก็มีความสุขเท่านั้น จะหาความสุขใส่ตนก็มีแต่ฝึกฝนทรมานตนนั่นแหละ<O:p</O:p

    พระพุทธเจ้าท่านว่า สะจิตตะปะริโยทะปะนัง เอตัง พุทธานะสาสะนัง ให้ทรมานจิตฟอกฝนจิตของเรา ฝนจิตให้มันว่าง ให้มันรู้เท่าทันความจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่น จิตนั่นแหละจะทำประโยชน์มาให้ในชาตินี้ คือนำความสุข คือนิพพานมาให้ หรือจิตเรายังไม่พ้น ก็จะนำสวรรค์มาให้ นำเอาความสุขมาให้ตราบเท่าตลอดเวลา ตราบเท่าชีวิต แล้วมีสติครองโลก สวรรค์เป็นที่ไป<O:p</O:p
     
  9. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,715
    นิมนต์..พญานาคทั้งมาฟังธรรมกันจ้า..!!!! *-*

    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ศีลchearr
    สีลํ สีลา วิย ศีล คือความปกติ อุปมาได้เท่ากับหินซึ่งเป็นของหนักและเป็นแก่นของดิน แม้จะมีวาตธาตุมาเป่าสักเท่าใด ก็ไม่มีการสะเทือนหวั่นไหวเลย แต่ว่าเราจะสำคัญถือแต่เพียงคำว่า ศีล เท่านั้น ก็จะทำให้เรางมงายอีก ต้องให้รู้จักเสียว่าศีลนั้นอยู่ที่ไหน? มีตัวตนเป็นอย่างไร? อะไรเล่าเป็นตัวศีล? ใครเป็นผู้รักษา? ถ้ารู้จักว่าใครเป็นผู้รักษาแล้ว ก็จะรู้จักว่าผู้นั้นเป็นตัวศีล ถาไม่เข้าใจเรื่องศีล ก็จะงมงายไม่ถือศีลเพียงนอกๆ เดี๋ยวก็ไปหาเอาที่นั้นทีนี้
    จึงจะมีศีล ไปขอเอาที่นั่นที่นี่จึงมี เมื่อยังเที่ยวหาเที่ยวขออยู่ไม่ใช่หลงศีลดอกหรือ? ไม่ใช่สีลพัตตปรามาสถือนอกๆ ลูบๆ คลำๆ อยู่หรือ?
    อิทํ สจฺจาภินิเวสทิฏฐิ จะเห็นความงมงายของตนว่าเป็นของจริงเที่ยงแท้ ผู้ไม่หลงย่อมไม่ไปเที่ยวขอเที่ยวหา เพราะเข้าใจแล้วว่า ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ จะรักษาโทษทั้งหลายก็ตนเป็นผู้รักษา ดังที่ว่า "เจตนาหํ ภิกฺขเว สีลํ วทามิ" เจตนา เป็นตัวศีล เจตนา คืออะไร? เจตนานี้ต้องแปลงอีกจึงจะได้ความ ต้องเอาสระ เอ มาเป็น อิ เอา ต สะกดเข้าไป เรียกว่า จิตฺต คือจิตใจ คนเราถ้าจิตใจไม่มี ก็ไม่เรียกว่าคน มีแต่กายจะสำเร็จการทำอะไรได้? ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตใจไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่างๆ จึงกล่าวได้ว่าศีลมีตัวเดียว นอกนั้นเป็นแต่เรื่องโทษที่ควรละเว้น โทษ 5 โทษ 8 โทษ 10 โทษ 227 รักษาไม่ให้มีโทษต่างๆ ก็สำเร็จเป็นศีลตัวเดียว รักษาผู้เดียวนั้นได้แล้วมันก็ไม่มีโทษเท่านั้นเอง ก็จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว
    ไม่มีเรื่องหลงมาหาหลงขอ คนที่หาขอต้องเป็นคนทุกข์ ไม่มีอะไรจึงเที่ยวหาขอ เดี๋ยวก็กล่าวยาจามิๆ ขอแล้วขอเล่าขอเท่าไรยิ่งไม่มียิ่งอดอยากยากเข็ญ เราได้มาแล้วมีอยู่แล้วซึ่งกายกับจิต รูปกายก็เอามาแล้วจากบิดามารดาของเรา จิตก็มีอยู่แล้ว ชื่อว่าของเรามีพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทำให้เป็นศีลก็ทำเสียไม่ต้องกล่าวว่าศีลมีอยู่ที่โน้นที่นี้ กาลนั้นจึงจะมีกาลนี้จึงจะมี ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว อกาลิโก รักษาได้ไม่มีกาลได้ผลก็ไม่มีกาล
    เรื่องนี้ต้องมีหลักฐานพร้อมอีกเมื่อครั้งพุทธกาลนั้นพวกปัญจวัคคีย์ก็ดีพระยสและบิดามารดาภรรยาเก่าของท่านก็ดีภัททวัคคีย์ชฏิลทั้งบริวารก็ดีพระเจ้าพิมพิสารและราชบริพาร12 นหุตก็ดีฯลฯก่อนจะฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ปรากฏว่าได้สมาทานศีลเสียก่อนจึงฟังเทศนาพระองค์เทศนาไปทีเดียวทำไมท่านเหล่านั้นจึงได้สำเร็จมรรคผลศีลสมาธิปัญญาของท่านเหล่านั้นมาแต่ไหนไม่เห็นพระองค์ตรัสบอกให้ท่านเหล่านั้นของเอาศีลสมาธิปัญญาจากพระองค์เมื่อได้ลิ้มรสธรรมเทศนาของพระองค์แล้วศีลสมาธิปัญญาย่อมมีขึ้นในท่านเหล่านั้นเองโดยไม่มีการขอและไม่มีการเอาให้มัคคสามัคคีไม่มีใครหยิบยกให้เข้ากันจิตดวงเดียวเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาฉะนั้นเราไม่หลงศีลจึงจะเป็นวิญญูชนอันแท้จริง;aa20<O:p</O:p
     
  10. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,715
    ธรรมะเย็นๆของหลวงปู่ดุลย์..ความเป็นจริงแห่งอริสัจ



    ธรรมโอวาท(good)

    สำหรับหลวงปู่นั้นท่านเล่าว่าได้ตริตรองพิจารณาตามหัวข้อกัมมัฏฐานว่า "สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สพฺเพสญฺญา อนตฺตา" ที่ท่านพระอาจารย์มั่นให้มา ในเวลาต่อมาก็เดิความสว่างไสวในใจชัดว่าเมื่อสังขารขันธ์ดับได้แล้ว ความเป็นตัวตนจักมีไม่ได้เพราะไม่ได้เข้าไปเพื่อปรุงแต่ง ครั้นความปรุงแต่งขาดไป ความทุกข์จะเกิดขึ้นอย่างไรและจับใจความอริยสัจจแห่งจิตได้ว่า
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    จิตที่ส่งออกนอก เพื่อรับสนองอารมณ์ทั้งสิ้น เป็นสมุทัย
    2. ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอกแล้วหวั่นไหว เป็นทุกข์
    3. จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค
    4. ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ<O:p></O:p>
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    คติธรรม ที่ท่านสอนอยู่เสมอคือ
    "อย่าส่งจิตออกนอก"
    "จงหยุดคิดให้ได้"
    "คิดเท่าไหร่ ก็ไม่รู้ต้องหยุดคิดให้ได้จึงรู้ แต่ก็ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้"
    "คนในโลกนี้ต้องมีสิ่งที่มีเพื่ออาศัยสิ่งนั้นเป็นผู้ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติถึงสิ่งที่ไม่มีและอยู่กับสิ่งที่ไม่มี"dencee<O:p</O:p
     
  11. นาคา

    นาคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,377
    ค่าพลัง:
    +12,917
    หวัดดีครับ ;

    งานเข้า (ตามธรรมดา ครับ )
    -พี่ชายในอดีต ไม่ใด้ติดต่อมากว่า 2ปี อยู่ๆโทร ฯ มาให้ร่วม พิธี กระทง เพ็ญ15ค่ำเดือน12 ถวานเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
    -ก่อน ลอยกระทง จิตรับคลื่น ให้สร้างบ้านพัก หลังบ้านคุณพ่อ อ.คุระบุรี พังงา ตั้งใจ ว่า...วันเต็ม เดือนเต็ม ( เพ็ญ15ค่ำเดือน12 ) จะขึ้น เสาเอก
    คุณพ่อ ดูให้ วันดี เป็น เอก จึงใด้ เริ่ม ขึ้นเสาเอก เช้าวันหัส ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 1
    สังเกตุ ลูกแก้ว 3 ดวงบนปูนซีเมนต์ชั้นบนสุด เสาเอกครับ (ลูกแก้ว ทั้งหมด 6 ดวง ชั้นล่าง,ชั้นบน ) และที่ สำคัญ และ เซอร์ไพส มากๆ คือ

    คุณพ่อ ท่านดูวาระ ให้ ระบุ ชื่อพยานาคีนี พร้อม คาถา ใว้ก้น เสาเอก ด้วย ในวาระที่พอดี ครับ


    วันนี้ ท่าน อ.คนเมืองบัว เมตตา กล่าวเรื่อง การขึ้นเสาเอก, ศาลภูมิ....

    มีโอกาส คงใด้ร่วมสายบุญครับ แผนคร่าวๆ ของยายผีป่า เดือนเมษา ท่อง ศรีษะเกตุ งานผ้าป่านะคะ กะว่าจะจัดกันไปช่วงปลายมีนาคม เพราะวันที่ ๑ เม.ย. นั้น จะได้ขึ้นเขาพนมรุ้ง ชมความหมัศจจรย์ ของเขาพนมรุ้งตอนเช้าตรู่ พระอาทิตย์จะทอแสงทะลุทุกๆ แกล(ประตู) เลยค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. benjamina

    benjamina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +289
    อากาศกลับมาหนาวอีกแล้ว รักษาสุขภาพด้วยนะ ขันธ์ห้าเป็นอะไรไปก็ลำบากเหมือนกันนะคับ อะไรๆมันก็ไม่เที่ยงนะคับ

    พักนี้เงียบๆกันไปนะครับ ซุ่มทำไรกันอยู่หรือ
     
  13. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,715
    (deejai)ก็ว่าอยู่..*-* ขอบคุณนะก้าบสำหรับความห่วงใยคุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->benjamina<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2684554", true); </SCRIPT>
    ว่าแต่ว่าขันธ์ทั้งห้านี้เป็นของหนักเน้อ!!! เอ้าก้ต้องทนแบกกันไป55
    เบนซ์เองก็คิดเหมือนกันว่าช่วงนี้มันเงียบๆเนอะ หายไปไหนกันหมดก็ม่ายรู้
    เฮ้ย..! เฝ้าบ้านอีกตามเคยเรา...ฮื่อๆ(cry)
     
  14. ภัทรอังคาร

    ภัทรอังคาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4,904
    ค่าพลัง:
    +14,100
    ซุ่มทำงานกำลังวางแผนการชีวิตเพื่อเริ่มต้นปีใหม่จ๊ะ น้องเบนซ์เฝ้าบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวว่างๆพี่อุ้มจะมาอยู่เป็นเพื่อนนะ อย่าเกเร อย่าร้องไห้ เดี๋ยวเอาขนมมาฝาก ดูแลบ้านช่องให้เรียบร้อยนะจ๊ะ อิอิอิอิ ก็คนอื่นเขาหนีไปกันหมด มีตัวเองเฝ้ายามอยู่คนเดียว แล้วจะมาบ่นว่าเงียบเหงาได้ไงกัน
     
  15. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    อิอิอิอิอิ
     
  16. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,715
    พระร่วงเจ้ามีเชื้อสายเป็นนาค (พระมารดาเป็นนาคี)

    ตำนานพระร่วง<O:p</O:p

    denceeโครงการร่วมเดินทางไปกับคณะสำรวจเส้นทางถนนพระร่วงกำแพงเพชร สุโขทัยสำรวจตลอดระยะเวลา 5 วัน ( วันที่ 2 – 6 เมษายน ) ในการเดินทางสำรวจเส้นทางนอกจากผู้เขียนจะได้รับทราบเกี่ยวกับแนวเส้นทางของถนนพระร่วงจากการบอกเล่าของชาวบ้านหแล้วได้ทราบตำนานต่างๆของพระร่วงอีกพอสมควร จะได้กล่าวดังต่อไปนี้
    กล่าวกันว่าพระยาอภัยคามณีเจ้าเมืองหริภุญชัย (เมืองลำพูนปัจจุบัน)ได้ไปจำศิลบนเขาหลวงในขณะเดียวกันก็ได้มีนางนาคตนหนึ่งซึ่งจำแลงตัวเป็นมนุษย์ได้มาเที่ยวเล่นบนเขาหลวง (ปัจจุบันมีปล่องนางนาคอยู่) เกิดสมัครรักใคร่ได้อภิรมย์สมรสอยู่ด้วยกันนานถึง 7 วัน จึงได้แยกจากกันนางนาคได้กลับไปเมืองบาดาลและเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา เมื่อจวนจะคลอดลูกเห็นว่าถ้าคลอดลูกในเมืองบาดาลทารกต้องตาย เพราะมีเชื้อมนุษย์ปนอยู่จึงได้ขึ้นมายังเขาหลวงอีกครั้ง แล้วคลอดลูกเป็นชายทิ้งไว้ในถ้ำใหญ่บนเขาหลวงพร้อมด้วยแหวนและผ้าห่มของที่พระยาอภัยคามณีประทานให้นางนาคไว้
    ต่อมามีตายายคู่หนึ่งซึ่งเป็นพรานป่า ได้ไปพบทารกนั้นและได้พามาเลี้ยงไว้โดยตายายได้ตั้งชื่อทารกนั้นว่า พระร่วงเกิดอัศจรรย์ที่ตัวเด็กอย่างมามายโดยเฉพาะในด้านวาจาสิทธิ์ พูดคำไหนจะเป็นดังเช่นคำพูดนั้นตายายกลัวเด็กจะเหงาจึงได้นำเอาไม้ทองหลางมาแกะสลักเป็นตุ๊กตา ตั้งชื่อว่า พระลือให้เล่นเป็นเพื่อนพระร่วง และด้วยวาจาสิทธิ์ของพระร่วง ตุ๊กตาก็เกิดมีชีวิตตายายเลยเลี้ยงไว้ทั้งคู่เป็นเพื่อนเล่นกัน
    จากการที่เกิดอัศจรรย์ต่าง ๆ ปรากฏที่ตัวเด็กชายร่วงอย่างผู้มีบุญความทราบถึงพระยาอภัยคามณี จึงตรัสเรียกไปทอดพระเนตรเมื่อทราบเรื่องจากสองตายายที่ไปพบและทอดพระเนตรเห็นชองที่อยู่กับตัวเด็กก็ทราบว่าเป็นราชบุตรที่เกิดด้วยนางนาค จึงประทานนามว่า อรุณกุมารส่วนกระลือให้ชื่อว่า ฤทธิ์กุมารทั้งสองเติบโตมาด้วยกันและเมื่องเข้าวัยหนุ่มพระยาอภัยคามณีจึงสู่ขอราชธิดาเจ้าเมืองศรีสัชนาลัยให้อภิเษกสมรสกับอรุณกุมารและได้ครองเมืองศรีสัชนาลัยและกรุงสุโขทัยในเวลาต่อมา
    ส่วนพระลือก็ได้สมรสกับราชธิดาพระยาเชียงใหม่และได้ครองเมืองเชียงใหม่เช่นเดียวกันกับพระร่วงทั้งสองอาณาเขตมีเจ้าเมืองเป็นพี่น้องกัน บ้านเมืองก็เป็นพันธมิตรสืบต่อกันมา
    กล่าวกันว่าอรุณกุมารหรือพระร่วงเป็นเชื้อมนุษย์กับพญานาคระคนกันจึงมี อิทธิฤทธิ์กล่าวเป็นตำนานต่าง ๆ มากมาย:z3
     
  17. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,715
    ต้นตระกูลของคุณสืบเชื้อและสายแห่งความเป้นนาคราชกันหรือเปล่า...!

    qsquตามกฏแห่งทิพยภพแล้วบุตรอันเกิดแต่เชื้อสายแห่งนาคาชแล้ว..ต้องถือชาติกำเนิดตามบิดาเสมอ...ดังนั้นหากฝ่ายแม่เป็นนาคีลูกจะต้องถือเชื้อสายตามพ่อที่เป็นมนุษย์..และจะไม่สามารถนำลูกนั้นกลับเข้าสู่เขตวังบาดาลได้อีกเลย..นางนาคจะต้องนำลูกน้อยของตนไปทิ้ง..นี้เป็นกฏแห้งทิพยภพ..เด้กน้อยจะรอดหรือไม่นั้นสุดแท้แต่กรรมะเป้นตัวกำหนด..เพราะถ้าหากนำเด้กไปเลี้ยงที่วังบาดาลก้อาจจะเป้นภัยแก่ตัวเด้กได้เพราะเด้กถือเชื้อสายตามบิดามีความเป็นมนุษย์มากกว่า..ดังนั้นมิอาจจะต้านทานพิษของนาคราชได้..มิหนำซ้ำเวลาที่นาคราชกลายร่างเด้กน้อยก้อาจจะกลายเป็นตัวประหลาดของเมือง...มิหนำซ้ำนาคราชมักมีอารมณ์โมโหง่ายจึงอาจจะพลั้งเผลอทำร้ายเด้กน้อยให้มอดไหม้..นี่เองจึงเป็นกฎที่ห้ามให้เด้กที่ถือกำเนิดโดยนาคที่มีเชื้อสายตามบิดาที่เป็นมนุษย์นั้นมาเลี้ยงดูที่วัง
    ส่วนนาคราชที่มีพ่อเป้นนาคราชนั้นย่อมได้รับสิทธิ์พิเศษเพราะการถือกำเนิดตามสายเลือดแห่งความเป็นพ่อ...พวกนี้จะมีกำเนิดอยู่สองอย่าง คือการเกิดแบบตั้งท้องแบบปกติกับแบบตกลูกออกมาเป้นไข่...(ขี้เกียจเขียนเป็นแบบบาลีอะก้าบ)*-*
    อะนะในที่นี้ใครมีเชื้อและสายสืบต้นตระกูลแห่งความเป็นนาคราชกันมาบ้าง..ไม่แน่บรรพบุรุษของต้นตระกูลของคุณอาจมีใครคนใดคนหนึ่งเป็นลูกครึ่งก็อาจเป้นได้ (เท่ห์ม่ายหยอก55)...dencee
     
  18. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,715
    ลูกครึ่งนาคราช..แนะนำตัวหน่อยก๊าบ*-*

    :z5เอ้า!! ใครพอจะรู้ว่าต้นตระกูลตัวเองมีใครสืบเชื้อสายแห่งนาครชบ้างมาเล่าสู่กันฟังหน่อยนเร๊ว!!!*-*
    อะนะ..นาคราชอย่างเราก็อินเทรนได้ เฮ้อๆ..ลูกครึ่งนาค+มนุษย์+ไทย+ลาว+จีน....สุดแท้แต่จะได้พานพบกันในสถานที่แห่งไหน ณ เพลาใด ...เอ้าจัดไปอย่าให้เสีย..พวกเราจงอย่าได้แคร์สื่อ...ฮ่าๆ เพราะว่าสื่อม่ายรู้จักเรา*-*:z16
     
  19. benjamina

    benjamina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +289
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2009
  20. หนูปุยฝ้าย

    หนูปุยฝ้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +881
    ว๊าวว เชื้อสายพญานาคก็มีแบบนี้ด้วยหรอค๊ะ

    เป็นความรู้ใหม่เลยค่ะ


    อนุโมทนาค่ะ ^^
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...