มูลเหตุที่ทําให้ศาสนาพุทธหายไปจากอินเดีย

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 23 กันยายน 2007.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    [​IMG]
    ที่มาen.wikipedia.org/wiki/India

    ก่อนอื่นต้องให้ข้อมูลก่อนว่า
    ผลการสํารวจประชากร (พ.ศ.2548)
    ประเทศอินเดียมีประชากร 1,103,371,000 คน
    (หนึ่งพันหนึ่งร้อยสามล้านสามแสนเจ็ดหมื่นหนึ่งพัน คน)
    ส่วนเปอร์เซนต์ในการนับถือศาสนาต่างๆ
    ร้อยละ 83 ของประชากรนับถือศาสนาฮินดู
    ร้อยละ 11 นับถือ ศาสนาอิสลาม
    ที่เหลือร้อยละ 2.5 นับถือศาสนาคริสต์

    เอ๋... แล้วพุทธหายไปไหนหน้อ ???

    cave-26-reclining-buddha2-cc-Marc-Shandro.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2007
  2. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    [​IMG]

    ว่ากันตามคัมภีร์พระไตรปิฏก
    พระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุที่ศาสนาพระองค์จะเสื่อมดังนี้

    1 . พวกภิกษุเล่าเรียนสูตรอันถือกันมาผิด ด้วยบทพยัญชนะและความหมายอันคลาดเคลื่อน

    2. พวกภิกษุเป็นคนว่ายาก ไม่อดทน ไม่ยอมรับคำตักเตือน โดนความเคารพหนักแน่น

    3. พวกภิกษุที่เป็นพหูสูต คล่องแคล่วในหลักพระพุทธวัจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท) แต่ภิกษุเหล่านี้ไม่ได้เอาใจใส่บอกสอนใจความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่นๆ เมื่อท่านเหล่านี้ล่วงลับดับไป สูตรทั้งหลายก็เลยขาดผู้เป็นมูลราก(อาจารย์)ไม่มีที่อาศัยสืบไป

    4. พวกภิกษุชั้นเถระทำการสะสมบริขาร ประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขาเป็นผู้นำในทางทราม ไม่เหลียวแลในกิจแห่งวิเวก ไม่ปรารถนาความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุในสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งในสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้งผู้บวชภายหลังได้เห็นเถระเหล่านั้น ทำแบบแผนเช่นนั้นไว้ก็ถือเอาเป็นแบบอย่าง

    และยังทรงย้ำเสมอๆว่า พระพุทธศาสนาจะเสื่อมสูญจนหายไปนั้นมีเหตุที่สำคัญที่สุดเกิดจากพุทธบริษัท 4 ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา

    พูดง่ายๆ คือ พระองค์บอกว่าศาสนาจะเสื่อมเพราะภัยภายใน นั่นเอง
     
  3. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    พระราชวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวัณโณ)
    ได้เรียบเรียงเรื่องว่า "ทำไมพระพุทธศาสนา จึงเสื่อมไปจากอินเดีย"
    พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นและเจริญรุ่งเรืองในประเทศอินเดีย เป็นเวลานานถึง 1500 ปี จากนั้นก็เสื่อมลงเรื่อยๆ จมมาถึงพุทธศตวรรษที่ 17 พระพุทธศาสนาส่วนใหญ่ก็สูญหายไปจากประเทศอินเดีย เหลืออยู่แต่ในเฉพาะใน ลาดัก หิมจัล อัสสัม เบงกอล และโอริสสา เท่านั้น
    ปัจจุบันเหลือไว้แต่ปูชนียสถานและวัตถุโบราณ ที่เป็นภาพสะท้อนความเจริญรุ่งเรื่องในอดีตสมัยเท่านั้น
    นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 3 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นต้นมา พระพุทธศาสนาได้เผยแพร่ออกจากประเทศอินเดีย ไปสู่ประเทศต่าง ๆ เกือบทั่วทวีปเอเซีย
    แต่แล้วต่อมาก็เกิดภัยคุกคามขึ้นทั้งภายในและภายนอก จนทำให้พระพุทธศาสนาต้องเสื่อมไปจากประเทศต่างๆ เช่น เปอร์เซีย อาฟกานีสถาน เตอรกีสถานของรัสเซีย อินเดีย ปากีสถาน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จนเกือบจะหมด
    ครั้งหนึ่งที่พระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา และญี่ปุ่น ก็เกือบจะสูญสิ้นไป ดีแต่ว่าพุทธศาสนิกที่สำคัญหลายท่านได้ช่วยกันกอบกู้ ต่อสู้กับการรุกรานของศาสนาอื่นๆเอาไว้ได้
    ในขณะนี้พระพุทธศาสนาก็กำลังจะเสื่อมไปจากมองโกเลีย ธิเบต จีนแผ่นดินใหญ่ เวียดนามเหนือ และเกาหลีเหนือ ส่วนในเวียดนามใต้ เขมรและลาว ก็กำลังถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก


    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2007
  4. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    ภัยภายใน
    แบ่งได้ 3 อย่าง คือ

    1. การเสื่อมทางศีลธรรม
    2. การแตกแยกนิกาย
    3. ลัทธิมหายาน
    1. การเสื่อมทางศีลธรรม
    และการเสื่อมจากการได้บรรลุมรรคผลและคุณวิเศษต่าง ๆ ของชาวพุทธ
    การประพฤติย่อหย่อนในเรื่องสิกขาบทวินัย ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ซึ่งไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์พุทธศาสนายุคต้น ๆ เลยแต่ในราวพุทธศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา จึงได้เริ่มปรากฏขึ้น ดังจดหมายเหตุของพระถังซัมจั๋ง ( หลวงจีนเฮียงจัง ) ว่า
    " พระในนิกายสัมมติยะ แห่งแคว้นสินธุ ( ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน) ใช้ชีวิตอย่างชาวโลกและไม่ถูกต้องตามพระวินัยบัญญัติ พระเหล่านั้นจึงเกียจคร้านเป็นคนที่ไร้ค่า และเที่ยวเตร่ ถึงว่าพระเหล่านั้นจะห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ก็ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เลี้ยงปศุสัตว์ และมีลูก มีเมีย ( แม้ในปัจจุบันสถาบันพระมีเมีย ก็ยังมีปรากฏว่านิยมกันในประเทศ เนปาล เกาหลี ธิเบต และญี่ปุ่น)
    นอกจากนี้ท่านยังได้กล่าวว่า " พระพุทธศาสนาจะบริสุทธิ์หรือเศร้าหมอง ก็ขึ้นอยู่กับญาณทัศนะ และความสามารถทางด้านจิตใจของชาวพุทธเอง"
    จดหมายเหตุของหลวงจีนอี้จิงได้รำพันว่า " วัดส่วนมากในอินเดีย ทำไร่ เลี้ยงวัว และมีคนรับใช้ในวัด บางวัดก็ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ยอมแบ่งผลผลิตให้ใคร ๆ วัดบางวัดจะมีทรัพย์สมบัติมากมาย มียุ้งฉางเต็มไปด้วยข้าวเปลือกมากมายที่เสีย ( มีมากเกินไม่ทันแต่ไม่ยอมแจกจ่ายปล่อยทิ้งไว้จนเสีย) มีคนใช้หญิงชาย มีเงินทองและทรัพย์สมบัติที่เก็บเอาไว้เฉย ๆ โดยไม่ใช้ประโยชน์อะไรเลย "
    มีพวกขอทานที่ปลอมตัวเป็นพระ โดยเพียงแต่ยอมลงทุนโกนหัวและครองจีวรเท่านั้น ก็สามารถเข้าไปรับประทานได้อย่างฟรี ๆ


    ท่านเชื่อหรือไม่ว่าภาพนี้ถ่ายได้ในเชียงใหม่
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2007
  5. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    หรือจะเป็นความสามารถพิเศษของผู้ที่จะมาเป็นพระสงฆ์รุ่นใหม่ ?

    [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]
     
  6. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    2. การแตกแยกนิกาย และการขัดแย้งกันทางนิกาย
    การเข้าใจผิดในหลักธรรมขั้นสำคัญ ๆ ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งทะเลาะโต้เถียงกันอย่างรุนแรงมาก ในระหว่างนิกายต่าง ๆ ของพระพุทธศาสนา จนทำให้ชาวพุทธต่างแยกกันอยู่ และต่างก็มุ่งร้ายต่อกัน จนทำลายซึ่งกันและกัน
    ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 2 พระพุทธศาสนาก็แตกแยกออกไปเป็น 18 นิกาย และแต่ละนิกายต่างก็อ้างว่าตนเหนือกว่าประเสริฐกว่านิกายอื่น ๆ
    - นิกายมหายาน เกิดขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 6 โดยถือว่าตนเองมีจิตใจกว้างกว่ามุ่งพระโพธิญาณ ขนสัตว์ข้ามโอฆสงสารได้มาก
    - นิกายฝ่ายสาวกยาน หรือนิกายหินยาน เพราะญาณนี้ส่วยใหญ่มุ่งอรหัตตผล มุ่งช่วยตัวเองให้พ้นจากทุกข์ก่อน แล้วจึงช่วยคนอื่นที่หลัง จึงเป็นญาณที่แคบและขนสัตว์ได้น้อย ปัจจุบันฝ่ายหินยานเหลือเพียงนิกายเดียวคือ เถรวาท
    การแตกออกเป็นนิกายต่าง ๆ ทำให้พระพุทธศาสนาได้เสื่อมลงมาก เพราะการขัดแย้งกันทางปรัชญา ความเห็นอันแตกแยกกันทางหลักคำสอนของชาวพุทธ ทำให้เกิดการโจมตีซึ่งกันและกัน เช่น
    ท่านปรัชญาคุปตะ อันเป็นคณาจารย์ที่สำคัญที่สุดรูปหนึ่ง ของนิกายสาวกยาน ได้แต่งคำประพันธ์ 700 โศลก โจมตีคัดค้านมหายาน ส่วนท่านถังซัมจั๋ง ( ท่านเฮียงจัง ) เองก็ได้ประพันธ์ 1600 โศลก เพื่อแก้ความเข้าใจผิด
    ส่วนท่านสันติเทวะก็ได้ประพันธ์คาถาเป็นจำนวนมาก ไว้ในหนังสือพุทธิจริยาวตาร เพื่อคัดค้านระบบอภิธรรมและนิกายวิชญาณวาท
    ส่วนท่านจันทรกิรติ ก็โจมตีนิกายอื่น ๆ ที่ไม่ใช่นิกายมัธยมิก อย่างเผ็ดร้อน
    ส่วนท่านสันติรักษิตก็ได้ประพันธ์ในหนังสือตัตตวสังครหะ เพื่อทำลายล้างมติคำสอนของนิกายวาตสิปุตริยะ
    ส่วนท่านสันติรักษิตและท่านกามศีละประกาศว่า " พวกนิกายปุทคลวาทิน ไม่มีสิทธิที่จะอ้างว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า "
    การขัดแย้งและทำลายกันเองในระหว่างต่างนิกาย ในศาสนาพุทธเดียวกันนี้ ทำให้ศาสนาเสื่อมลง ยิ่งเสียกว่าการขัดแย้งของระหว่างศาสนาอื่น ๆ
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  7. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    3. ลัทธิมหายานและ ลัทธิตันตระ
    ความเสื่อมของศาสนาในอินเดีย เกิดจากข้อเสียของนิกายมหายาน มากกว่านิกายหินยาน เพราะการที่นิกายมหายานเจริญแพร่หลายขึ้นในอินเดีย ก่อให้เกิดการเพิ่มปริมาณศาสนิกให้มากขึ้น ในขณะเดียวกันคุณภาพของศาสนิกก็เสื่อมลงตามลำดับด้วย
    พอถึงพุทธศตวรรษที่ 13 มหายานในอินเดียเหลือแต่เพียงการบูชาพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย การสวดอ้อนวอน และการประกอบพิธีกรรมอันโออ่า โดยมหายานได้แต่งเรื่องความเชื่อเก่า ๆ แต่โบราณขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ชาวพุทธมหายานในสมัยนั้น จึงขยับเข้าใกล้ชิดลัทธิฮินดูเข้าไปมากขึ้นทุกที ๆ
    จนในที่สุด ได้ทำลายความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนามหายานและลัทธิอินดูลง ฆราวาสในอินเดียยุคนั้น มองไม่เห็นความแตกต่างในการบูชาพระพุทธเจ้ากับพระวิษณุ และพระอวโลกิเตศวรกับพระศิวะ และนางตารากับนางปารวตี(ชายาพระศิวะ) แล้วลัทธิโพธิสัตว์ยาน ก็ดูเหมือนว่าจะกำเนิดสถาบันพระมีเมียด้วย
    ลัทธิตันตระได้แตกออกมาจากนิกายมหายาน เจริญอยู่ในอินเดียในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-15 แล้วแพร่หลายอยู่ในธิเบต พระในลัทธินี้มีเมียได้เพราะมุ่งบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ในฐานะคฤหัสถ์มุนี นิกายนี้มีหลายชื่อ เช่น พุทธตันตรยาน มันตรยาน คุยหยาน สหัชชยาน วัชรยาน พระนี้ก็ไม่ได้เรียกว่าภิกษุ แต่เรียกว่า " นักสิทธะ" และถือว่า การปฏิบัติตนตามอำนาจของราคะกุลบุตรผู้บำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ย่อมกระทำได้
    การปรากฏของลัทธิตันตระนั้น ได้ทิ้งหลักธรรมแท้ ๆ ของพระพุทธศาสนาดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ไปเกือบหมด มีแต่การยกย่องเวทมนตร์ อาคมขลัง พิธีมหาลาภ พิธีลงเลขเสกเป่าต่าง ๆ เรื่องไสยศาสตร์และเรื่องกามศาสตร์ของลัทธิตันตระกับฮินดูนั้น มีลักษณะที่เหมือนกัน
    หลักจริยธรรมขั้นพื้นฐาน และหลักธรรมที่นำไปสู่การพ้นทุกข์ ในพระพุทธศาสนา ได้ถูกลัทธิวัชรยานเปลี่ยนแปลงไปเสียใหม่โดยสิ้นเชิง จนเป็นสัจธรรมปฏิรูป(พระธรรมปลอม) เช่น
    ตันหาซึ่งถือกันว่าเป็นตัวอกุศลมูล ที่ต้องควบคุมไม่ให้มันเกิดขึ้นนั้นพวกวัชรยาน ถือว่าตันหานั้นคือสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ที่ตัวสื่อกลางให้เกิดความเจริญในจิตใจขึ้นมา
    ส่วนการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ ในเรื่องของพระนิพพานนั้น ซึ่งต้องเข้าถึงโดยศีล สมาธิ ปัญญาด้วย อริยมรรคมีองค์แปดนั้น พวกวัชรยานกลับกล่าวว่าเข้าถึงได้ ด้วยการเสพกามอันศักดิ์สิทธิ์กับโยนิ และวัชรยานถือว่าเมถุนธรรมนั้นแหละเป็นบรมสุข
    สำหรับศีล 5 ก็ไปเปลี่ยนแปลงเป็น ม.5 ตัว ให้นักสิทธะควรได้รับบำรุงจากสิ่งห้า คือ 1.มัทยะ น้ำเมา 2. มางสะ เนื้อ 3. มัศยา ปลา 4. มุทรา การยั่วให้กำหนัด 5. ไมถุนธรรม เมถุนธรรม เป็นต้น
    สัทธรรมปฏิรูปในนิกายวัชรยานนี้ อาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมหายไปได้
     
  8. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    สรุป

    ความเห็นของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ
    เหตุที่ทำให้พระพุทธศาสนาในอินเดียเสื่อมไปหมด เพราะ

    1. ในขณะที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองสูงสุด แม้ในสมัยพุทธกาลเองประชาชนชาวอินเดียก็นับถือ ศาสนาพราหมณ์มั่นคงอยู่ ศาสนาพราหมณ์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้เสื่อมไป

    2. ในสมัยหลังพุทธกาล แม้จะมีกษัตริย์ที่เป็นองค์อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา เช่น พระเจ้าอโศกมหาราช แต่ก็ไม่ได้เบียดเบียนศาสนาอื่น ๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการล้มล้างศาสนาพราหมณ์ หรือการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อฝังรากศาสนาลงในใจของประชาชนทั้งหมด

    แตกต่างจากศาสนาคริสเตียน หรือศาสนาอิสลาม แผ่ไปถึงไหนก็ใช้อำนาจครอบงำบังคับให้วัฒนธรรมเดิมถูกถอนรากถอนโคนออก แล้วบังคับให้นับถือศาสนาของตนแทน
    ส่วนพระพุทธศาสนาที่แผ่ไปถึงไหน ก็อะลุ้มอะล่วยปรองดองกับศาสนาถิ่นเดิม เกลือกกลั้วผสมผสานกันได้

    3. หลักการในพระพุทธศาสนาให้เสรีภาพแก่บุคคล มิได้มีการเรียกร้องความภักดีพลีชีวิตเพื่อศาสนา
    ของตน ดังเช่นศาสนาอื่น ๆ ความรู้สึกของชาวพุทธในเรื่องการป้องกันรักษาพระศาสนาของตน จึงมิได้รุนแรง ไม่มากพอเหมือนศาสนาที่รบเร้าเรื่องความภักดีเป็นใหญ่

    4. ความเสื่อมภายในคณะสงฆ์เอง มีการแตกแยกออก เป็นหลายหมู่หลายเหล่า ต่างถือพวกถือหมู่วิวาทกัน

    5. พระสัทธรรมดั้งเดิมได้ถูกบรรดาคณาจารย์ของนิกายต่าง ๆ ทั้งมหายาน และหินยาน
    อรรถาธิบายทำให้เป็นของยากขึ้น ทำให้เป็นอภิปรัชญามากขึ้น สำหรับการโต้เถียงประเทืองปัญญาตีโวหารกัน มากกว่าใช้สำหรับปฏิบัติกันจริง ๆ ในชีวิต
    พุทธศาสนาจึงกลายเป็นของยากสำหรับสามัญชนไป กลายเป็นสมบัติของนักปราชญ์กลุ่มหนึ่งในกำแพงวัดเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปไม่รู้ว่าพุทธศาสนาคืออะไร?

    วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา มีอยู่เฉพาะแต่ภายในวัดทั้งหลายเท่านั้น ไม่ได้มีปฏิบัติการเกี่ยวกับฆราวาสเลย และเมื่อวัดเหล่านี้ถูกรุกรานทำลาย หรือขาดราชูปถัมภ์ ก็ถูกทอดทิ้งให้เสื่อมโทรมไป แล้วพระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมไปด้วย

    6. ในสมัยราชวงศ์คุปตะ พวกพราหมณ์เห็นว่าจะเอาชนะพวกพุทธโดยตรงไม่ได้ ก็ใช้วิธีกลืนพุทธอย่างสุขุม โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตาร ผู้นับถือพุทธก็คือนับถือฮินดูนั่นเอง ส่วนผู้ที่นับถือฮินดูอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ ทำให้ฮินดูมีมากขึ้นในขณะที่พุทธมีน้อยลง

    7. ชาวพุทธเองกลับยอมลดคุณภาพของตน โดยไปเอาลัทธิฮินดูเข้ามาปฏิบัติ เกิดเป็นลัทธิมนตรยาน เป็นต้น เท่ากับเป็นการยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง

    8. เมื่อพ้นสมัยคุปตะแล้ว ฝ่ายฮินดูมีนักปราชญ์เก่ง ๆ เกิดขึ้นหลายคนฝ่ายพุทธไม่สามารถโต้วาทีชนะได้ ฐานะของพุทธจึงตกต่ำลงมาก

    9. ครั้นเมื่อศาสนาอิสลามรุกราน ได้ทำลายล้างทั้งชีวิต และทรัพย์สินอย่างบ้าเลือดป่าเถื่อน จนไม่มีใครต้านทานได้ ต้องหลบหนีออกจากอินเดียไปจนหมด

    10. พวกพราหมณ์มีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต เป็นผู้รับถ่ายทอดความรู้ทางพระเวท จึงสามารถสืบต่อกันไปได้นาน ส่วนพระพุทธศาสนาความรู้ทั้งหมดไปอยู่กับพระภิกษุเท่านั้น เมื่อสถาบันสงฆ์ถูกทำลาย เช่น ถูกห้ามไม่ให้บวช ถูกฆ่าตาย ความรู้ในทางศาสนาจึงไม่มีผู้สืบต่อ และหมดสิ้นลงในระยะเวลาอันรวดเร็วเพียงไม่กี่ชั่วคน

    เหตุผลทั้งหมดนี้จึงทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมไปจากอินเดีย
    พุทธบริษัททั้งหลายคงจะต้องหาทางป้องกันพระพุทธศาสนาไม่ให้เสื่อมสูญไปจากประเทศต่าง ๆ และต้องสืบต่อพระสัจธรรมที่แท้จริง โดยเพียรพยายามทำตนให้ได้รับคุณวิเศษบรรลุมรรคผลนิพพาน ตามครรลองแห่งพระสัทธรรมที่แท้จริงที่สามารถดับทุกข์ได้จริง ตามกฏแห่งอริยสัจสี่ ไม่ต้องเป็นทาสของกิเลส ไม่ต้องเป็นทาสของปัญญาจากผู้ใด เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาไม่มีวันเสื่อมสูญไป จากโลกนี้โดยเด็ดขาด


    ที่มา http://www.nbk.rmutp.ac.th/
     
  9. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    ผมไปซื้อของที่ตลาด เห็นที่ร้านมีรูปบูชาทั้งพระและเทพเจ้าทางศาสนาพราหมณ์ และจตุคามรามเทพ จึงได้สอบถามว่า บูชาแล้วเป็นอย่างไร ?

    "ก็ดี สบายใจดี เป็นเทพมองไม่เห็นตัว แต่ดีกว่าพระที่เป็นคน มีแต่ให้ทำบุญเอาเงิน และหลอกลวง"

    ผมไม่โทษเขาที่ไม่รู้ ไม่ศึกษา แล้วถามต่อว่า สวดมนต์ นั่งสมาธิไหม เขาตอบว่า

    "ว่างก็สวดมนต์ นั่งสมาธิ แต่ให้ไปทำบุญ ไม่เอา"

    พิจารณาเอาเถิดนักบวชทั้งหลาย จะทำอะไรก็ทำเถิด ก่อนหยุดไม่อยู่ เพราะพระนั่งปลุกเสกเทพเจ้ากันทั่วประเทศแล้ว ไม่คิดถึง "อัตตาหิ อัตตโนนาโถ " จะพึ่งพระเจ้าอย่างเดียว เสื่อมไหมพระคุณท่าน ?
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,672
    ค่าพลัง:
    +51,946
    *** สัจจะ...การปฏิบัติตนตาม....หลักสัจจะธรรม ****

    หาก...ช่วยกันปฏิบัติตนด้วย "สัจจะ"
    หาก....ช่วยกัน ค้นหา ศึกษา "หลักสัจจะธรรม"
    สังคม...จะไม่เสื่อม
    ศาสนา....จะรุ่งเรือง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2007
  11. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    ศาสนาจะเสื่อมก็เพราะพวกนี้ละมั้ง
     
  12. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,596
    ค่าพลัง:
    +6,346
    อนิจัง จริง ๆ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมมีความสุขสงบ

    อย่าไปเพ่งโทษกับศาสนาพุทธเลยครับ คนต่างห่างที่ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม ศาสนาพุทธไม่เคยเสื่อมคนส่วนมากบวชมาเพื่อเข้ามาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่ได้บวชเข้ามาเพื่อความศรัทธา ต้องการที่จะตัดกิเลส เพื่อหาความสงบสุข เพื่อเข้าสู่นิพพาน เพียงแค่เอาผ้าเหลืองห่มเท่านั้นแต่จิตใจก็ยังมีกิเลส บาปมาก ๆ พวกนี้ น่าสงสารจริง ๆ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกฏแห่งกรรม.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2007
  13. lasomchai

    lasomchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +2,035
    กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม
    กามตัณหา
    ภาวะตัณหา
    วิภาวะตัณหา
     
  14. อธิมุตโต

    อธิมุตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    4,741
    ค่าพลัง:
    +13,087
    ใครทำอย่างไร ย่อมได้เช่นนั้น

    ร่วม [​IMG] ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ [​IMG] สาธุ
     
  15. สังขารไม่เที่ยง

    สังขารไม่เที่ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,943
    ค่าพลัง:
    +24,697
    ก็เป็นธรรมดานะคะ คนที่จะมาบวชเป็นพระ เณรมีหลายแบบค่ะ..จุดประสงค์ต่างกัน 1.ตั้งใจที่จะศึกษาพระธรรมอย่างแท้จริง 2.บวชเพื่อจะได้เรียนหนังสือ 3.บวชเพื่อแก้บน 4.เณรบางรูปบวชเพราะฐานะยากจน 5.เณรบางรูปถูกบังคับให้บวช 6.พระบางรูปบวชเพราะไม่มีงานทำ 7.พวกมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาเพื่อเข้ามาหลอกลวงชาวพุทธ..สาเหตุของการบวชต่างกรรมต่างวาระกันค่ะ เพราะฉนั้นปัญหาย่อมเกิด..เวลาที่เราจะทำบุญอะไรเราก็ไม่ต้องคิดว่าพระรูปไหนดีไม่ดี เราก็ทำบุญไปด้วยความสบายใจระลึกถึงพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรมคำสอน แล้วจิตใจเราจะแจ่มใสค่ะ
     
  16. montri_p

    montri_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2007
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +467
    ยึดมั่นในหลักธรรม ที่เป็นแก่นแท้ โดยใช้ปัญญาพิจารณา อย่างเป็นกลาง และปฏิบัติอย่างถูกต้องตามสติและปัญญาที่คิดได้อย่างเหมาะสม ไม่ทะเลาะ ไม่โต้แย้ง ไม่เปรียบเทียบ ยึดมั่น และปฏิติบัติ ในสิ่งดีงาม เอื้อเฟื้อ ไม่เห็นแก่ตัว เป็นผู้ให้ถ้าให้ได้ ตามความเหมาะสม คิดดี ทำดี โดยมี ศิล สมาธิ ปัญญา ควบคู่กับการพิจารณา "ทำดีให้ถึงพร้อม ไม่ประมาทในการมีชีวิต"
    สิ่งดีไม่ดี ถูกหรือไม่ถูก จะเห็นก็ต่อเมื่อตัวเรามองเห็นผลกระทบต่อสิ่งอื่นแล้วมองย้อนดูตัวเองโดยไม่เห็นแก่ตัว
     
  17. Master mind

    Master mind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2007
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +429
    สถานการณ์ปัจจุบันในไทยเองกอ้น่าเป็นห่วงอย่างมากครับ คนส่วนมากไหว้พระกันเพราะอะไรบางครั้งคนพวกนั้นยังไม่เข้าใจ ซ้ำยังเห็นวัดเป็นเรื่องไกลตัวอีก นี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของศีลสมาธิและปัญญาเลยครับ คงจะเป็นเรื่องของคนแก่ในสายตาบางคนแน่ๆ

    คงได้แต่หวังครับ ทิศทางของพุทธในวันข้างหน้าจะดีขึ้นและมีคนเข้าใจอย่างถูกต้องมากขึ้น และทำตัวเราเองให้เข้าใจในหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามากขึ้น
     
  18. nutnun_k

    nutnun_k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +1,021
    ถ้าเห็นว่าการบวชเป็นพระสมัยนี้เป็นภัยก็ครองฆราวาส ถือศีล 8 ไป ทำตามที่ท่านสอน และอย่าประมาท ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่เสื่อมค่ะ ตราบเท่าที่ทุกคนน้อมนำมาใช้ในจริง การให้ทานประสงค์ก็คือลดความตะหนี่ในจิตใจของคุณนะคะ ไม่ใช่ว่าไปมองว่าเขาจะเอาไปทำอะไรต่อ การให้ทานในสมบัติของตนก็เหมือนเราสะสมทรัพย์ในชาติหน้า ดังที่ท่านบอกว่าเปรียบเหมือนบุรุษขนทรัพย์ของตนออกจากบ้านที่ไฟไหม้ได้ก็ยังเป็นสมบัติของตน การให้อภัยก็เป็นการหยุดการจองเวรได้ประโยชน์ที่ใจเราเบาสบาย ไม่หนักจนดิ่งลงนรก การให้ธรรมทานก็เป็นการชี้แนะให้เขาเห็นโทษของภัยในวัฏสาร ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนเลยค่ะเพราะเทคโนโลยีเราพัฒนาแล้วเผยแพร่ได้จากตามตำราต้นแบบไม่ผิดเพี้ยนใครก็ค้นคว้าอ่านได้ นำมาปฎิบัติได้ ถ้าเห็นว่าสงฆ์บางรูปประพฤติไม่ดีก็เว้นไป เหตุที่สมัยก่อนต้องบวชเพราะเขาอยากหลุดพ้นเลยต้องไปเรียนกับอาจารย์ในสำนักในรูปพรมจรรย์และนำความรู้ที่ได้เรียนและปฏิบัติมาแนะนำแก่ อุบาสก อุบาสิกา คฤหัสต์ เพราะสมัยก่อนพระท่านไม่อนุญาติให้เผยแพร่ความรู้แกบุคคลทั่วไปนอกจากศิษย์ เพราะกลัวผิดเพี้ยน แต่สมัยนี้โลกมันเปลี่ยนความเจริญทางวัตถุเข้า คนยึดวัตถุมาก กอดมันไว้ก็ธรรมดาที่ธรรมชาติจะเสื่อม "ธรรมะก็คือธรรมชาตินะคะ" แต่ไม่ต้องตกใจนะคะ ถ้าเรายังรักศีล รักนิพพาน ก็ปฏิบัติตามคำสอนให้เคร่งครัดค่ะ ยังไงศาสนาก็ยังอยู่ไปอีกนานค่ะ ถ้ามีลูกมีหลานก็บอกกล่าวให้ทำตามดีกว่านะคะ โชคดีค่ะ
     
  19. big_salvation

    big_salvation เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +126
    เมื่อเห็นดังนี้พวกเราควรช่วยกันดูแลพระศาสนา ให้ถึงพร้อมทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเป้นตัวอย่างและขยายความรู้ ความเข้าใจให้ถูกต้อง ถึงแม้จะยากจะลำบาก ก็ต้องทำ เพราะเป้นการแสดงความกตัญญูต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยสงฆ์ ที่มีเมตตาทำให้เราเป็นผู้เป็นคนมาจนทุกวันนี้ ควรระลึกถึงความดีของพระพุทธ พระ ธรรม พระอริยสงฆ์ ตามบทสวด อิติปิโส มาช่วยกันนะครับ ทุกท่านเห็นด้วยไหม บอกกันหน่อยสิ
     
  20. poprock

    poprock เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +812
    ศาสนาไม่เคยเสื่อม จิตใจคนนั้นหละที่เสื่อม..
     

แชร์หน้านี้

Loading...