สวัสดีครับ คือเรื่องมีอยู่ว่า พ่อผมเป็นคนที่ขยันและขี้งกเกินเหตุครับ แกเปิดร้านตั้งแต่แปดโมงปิดสามทุ่ม ไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ทำงานยุ่งและเครียดมาก เรียกว่าไม่มีเวลาแม้แต่จะคุยงานกับผมซักห้านาที จะคุยได้ก็ตอนหลังปิดร้านอะครับ ทั้งที่ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินอะไรเลย พูดได้ว่าเค้าไม่ต้องทำงานก็อยู่ได้สบายๆครับ เพราะพ่อผมเค้าทำเก็บไว้เยอะ แต่ปัญหาคือตอนนี้พ่อผมอายุห้าสิบแล้ว แล้วผมก็เรียนจบตอนนี้มาช่วยงานที่บ้าน แต่ผมยังไม่สามารถทำแทนเค้าได้ 100% นะครับ เพราะที่ร้านขาดคนงานเลยต้องมาช่วยครับ แต่ก็อยากให้เค้าทำงานน้อยลง ให้ปิดร้านเร็วขึ้นและมีวันหยุดร้านด้วย เพราะตอนนี้คนงานที่ร้านก็เหลือน้อยมากแล้วครับ แล้วพวกเค้าก็ควรมีวันหยุดพักผ่อนด้วยครับ ผมควรอธิบายกับพ่อผมอย่างไรให้เค้าลดเวลาทำงานลงครับ ผมเคยพูดกับพ่อผมหลายครั้งแล้วครับจนถึงขั้นมีปากเสียงใหญ่โต แต่พ่อก็ให้เหตุผลว่าเค้าทำงานเพื่อมีเงินเก็บไว้ให้พวกผม แต่ผมก็บอกเค้าไปแล้วว่าผมไม่ต้องการเงินเค้า ผมสามารถทำงานหาเงินมาเลี้ยงตัวเองอย่างสุจริตได้สบายๆเลยครับ แต่เพราะผมอยากให้เค้าได้พักผ่อนและรักษาสุขภาพมากกว่า แกเริ่มต้องกินยาลดความดันและน้ำตาลแล้วครับ พ่อผมเป็นคนขี้งกนะครับแกไม่ค่อยจะใช้เงินเลย ผมเลยไม่กล้าใช้เงินเค้าเหมือนกันเพราะเห็นเค้าทำมาเหนื่อย แต่การที่เค้าทำงานแบบนี้ คนอื่นก็ต้องเหนื่อยไปด้วย รวมทั้งแม่ผม ผมสงสารแม่หนะครับ บอกตรงๆว่าถ้าไม่ติดว่าสงสารผมก็คงออกไปทำงานข้างนอกแล้วครับ เพราะทุกวันนี้ผมมีปัญหาทะเลาะกับพ่อทุกวัน (เฉพาะเรื่องงานนะครับ) เรามีความเห็นไม่ตรงกันหลายเรื่องเลยครับ มีปากเสียงกันบ่อยมากครับ จนพ่อพูดกับผมว่าจะมีวันไหนบ้างไหมที่ไม่ทำให้เค้าทุกข์ใจ ผมไม่อยากมีบาปติดตัวครับ ผมเลยไม่รู้ว่าที่ผมช่วยเค้าทำงานทุกวันนี้นี่กตัญญูหรืออกตัญญูกันแน่ ขอรบกวนทุกท่านช่วยให้คำแนะนำกับผมด้วยนะครับว่าผมควรพูดกับพ่อว่าอย่างไรครับให้เค้าเลิกขยันเกินเหตุ แล้วผมควรช่วยงานที่บ้านต่อหรือออกไปทำงานข้างนอกครับ
รบกวนขอคำปรึกษาครับ
ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย takearest, 25 กรกฎาคม 2012.
-
ขอชื่นชมและอนุโมทนาในเจตนาอันดีงามที่จขกท มีต่อบุพการีทั้ง๒ท่านครับ..
เข้าใจความรู้สึกของพ่อที่คุ้นเคยกับความขยันในงานเพื่อหาเงินแบบหามรุ่งหาค่ำ การจะให้ท่านเปลี่ยนแปลงคงไม่ง่ายนัก แม้ท่านจะเจ็บป่วยในเวลานี้ แต่ยังไม่หนักหนาสาหัสจนล้มหมอนนอนเสื่อ ท่านก็ยังคงคิดว่า"ยังทำได้เหมือนก่อน" ..
เข้าใจท่านจขกท ที่เจตนาจะช่วยลดภาระให้พ่อ เพื่อพ่อจะได้ดูแลสุขภาพให้มากขึ้น เพราะเริ่มส่ออาการแห่งความเสื่อมของร่างกายแล้ว..
พึงเข้าใจว่าพ่อแม่นั้นมักคิดว่าตนทำในสิ่งที่ถูกและควรเสมอ การที่ลูกจะแนะนำบอกกล่าวใดๆกับท่านนั้น บ่อยครั้งที่ท่านจะไม่รับฟังด้วยอำนาจของ"มานะ"ว่าท่านย่อมทราบดีกว่าลูกๆในฐานะที่ท่านเลี้ยงดูลูกๆมาก่อนจนโต..
ดังนั้น ความปรารถนาดีที่ท่านจขกท ปรารภต่อพ่อจึงคงไม่เป็นผลอย่างที่ท่านจขกทประสงค์...ท่านควรพิจารณาดูว่า บัดนี้เมื่อท่านอยู่ช่วยงานที่บ้านแล้ว ท่านต้องมีปากเสียงกับพ่อและเครียดตามไปด้วย หากท่านเครียดต่อไปเรื่อยๆ ท่านเองก็อาจต้องเจ็บป่วยลงอีกคนหนึ่ง เช่นนี้จะมีผลดีอย่างใดเล่า?...ท่านพึงคุยกับพ่อ ถามว่าพ่ออยากให้ท่านอยู่ช่วยงานหรือไม่? บอกพ่อว่าหากท่านอยู่ช่วยแล้วต้องทะเลาะกัน ย่อมไม่เป็นผลดีทั้งแก่ท่านและพ่อเลย หากจะให้ท่านอยู่ช่วยงาน ก็ขอให้พ่อปิดร้านเร็วขึ้น และมีวันหยุดสัก๑วัน หากพ่อไม่ตกลงท่านขอไปทำงานที่อื่น เพื่อจะได้ไม่ต้องทะเลาะทุ่มเถียงกับพ่อซึ่งทำให้ท่านลำบากใจและเป็นทุกข์มาก...(ให้เวลาพ่อตัดสินใจสักระยะหนึ่งเช่น๑-๒เดือน)
อนึ่ง ท่านพึงกล่าวแก่พ่อว่าท่านรักห่วงใยพ่อมาก อยากให้พ่อพักผ่อนให้มากขึ้นเพราะพ่อลำบากมานานแล้ว ท่านไม่ต้องการให้พ่อล้มป่วยลง เพราะอายุของพ่อก็มากขึ้น พละกำลังย่อมถดถอย ใหนเลยจะฟิต แข็งแรงเหมือนคนรุ่นหนุ่ม เวลานี้ท่านอยากเห็นพ่อได้พักบ้างแม้จะเป็นสักวันหนึ่งก็ยังดี ท่านอยากให้พ่อมีสุขภาพดี อายุยืนยาวเพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ท่านเคารพบูชานานๆ ไม่อยากให้พ่อป่วยเลย เมื่อพ่อคิดจะหาเงินไว้ให้ลูก ก็ดีแล้ว แต่หากพ่อเจ็บป่วยเพราะตรากตรำงานหนัก อาจต้องเสียเงินในการรักษา ไปจนหมดหรือไม่พอ แล้วลูกจะได้เงินนั้นได้หรือ ? พ่อไม่ห่วงลูกบ้างหรือถ้าเป็นเช่นนี้?เป็นต้น ...
บางทีพ่ออาจได้คิดก็ได้
เมื่อพยายามโดยทุกวิถีทางแล้ว ไม่อาจช่วยพ่อได้ดังปรารถนา ก็ต้องวางใจเป็นอุเบกขา พยายามดูแลท่านอย่างดีที่สุดในเวลานี้ และไม่กังวลจนตนเองพลอยเครียดไปด้วย ช่วยท่านเท่าที่ทำได้ ทำหน้าที่ลูกใ้ห้ดีที่สุดเท่านั้น...เรื่องอื่นไม่อยู่ในอำนาจจัดการบงการหรือบังคับให้เป็นไปได้ดังใจของใครๆเพราะสภาพธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา เกิดได้เพราะอำนาจเหตุปัจจัยที่ประชุมพร้อม..หากเราคาดคิดหวังว่าอะไรๆต้องเป็นไปดังใจนึกของเราแล้ว เราก็เป็นคนวิปลาสคนหนึ่ง ผลที่จะมีตามมาคือเข้าถึงความทุกข์โทมนัสและเจ็บป่วยทางความคิดเท่านั้น...
ขอให้ประสบความสำเร็จในกุศลเจตนาครับ -
เรื่องแบบนี้คงต้องค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ใจเย็นๆ มีขันติให้มากๆ พยายามมองในมุมมองของคุณพ่อว่า ท่านทำแบบนี้มานานหลายสิบปี จนเคยชิน จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็คงต้องทำทีละขั้นตอน รอดูจังหวะเวลา ตามที่ท่าน ddman แนะนำก็ดีแล้ว
-
น่ารัก....เจ๊ชอบ
เข้าเรื่องนะ
บอกพ่อว่า หากพ่อความดันเพิ่ม เส้นเลือดแตกในสมอง ก็จะไม่ได้ทำงาน เงินก็จะเสียไปกับค่ารักษาพยาบาล เงินออมจะไม่มีเหลือ
แล้วบอกว่า พ่อทำงานลดลงวันละ 2 ชม. โดยผมจะทำแทนวันละ 2 ชม. เป็นการทดลองงานก่อน
แค่นี้แหละ เดี๋ยวพอเข้าที่ พ่อก็ไว้ใจ แต่ห้ามพาเพื่อนมากินเหล้าฟรีล่ะ -
555.. คุณ DevaIsis นี่เหมือนหน่วยแรงเยอร์ ทางธรรมเลยนะครับ
รวดเ็ร็ว ชัดเจน ตรงเป้า เข้าประเด็น :cool: