ช่วง2วันมานี้มีอาการหนักๆหน่วงๆที่หน้าผากตลอดเลยค่ะ บางทีก็จะรู้สึก
หน่วงๆวาบๆเหมือนมีอะไรมากดบนศีรษะ ไล่ลงมาแถวๆกลางศีรษะด้านหลัง
ให้ความรู้สึกวืดๆชาๆยังไงพูดไม่ถูก เลยไม่ทราบว่าเป็นอาการป่วยหรือเป็น
อาการที่เกี่ยวกับการปฏิบัติค่ะ แล้วถ้าเป็นอาการที่เกี่ยวกับการปฏิบัติ เราจะ
ต่อยอดควรปฏิบัติอย่างไรต่อดีคะ รบกวนขอคำแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
รบกวนสอบถามอาการหน่วงๆที่หน้าผากค่ะ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Raibliss, 27 ธันวาคม 2014.
-
ได้ไปทำอะไรมาหรือไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลอื่นๆที่แนวทางปฎิบัติเค้า
โน้มน้าวหรือเน้นทางด้านมีความสามารถพิเศษแบบทางลัดหรือไม่ครับ.
ถ้าไม่ใช่ก็ดีครับ. อาการอย่างนี้คล้ายๆกำลังโดนพวกพลังแอบแฝงภายนอกพยามเจาะ
เข้ามาควบคุมจิตเราโดยทำให้เรามีสัมผัสดีพิเศษทางตา โดยเจาะผ่านท้ายท้อยออกไป
ตรงต่ำแต่งตาที่ ๓ แต่กะแสไม่เชื่อมข้างบนผ่านกะโหลกส่วนหน้าคับ
พวกนี้ต้องแก้ด้วยการเจริญสติให้ต่อเนื่องจริงๆคับถึงจะพอมีกำลัง
สมาธิสะสมและมีกำลังเพียงพอที่จะต้านตรงนี้ครับ
ปล.เป็นเพียงข้อสังเกตุคับ -
-
ไม่ได้ข้องเกี่ยวถือว่าดีมากครับ. อาการกดจากข้างบนคือ
ครูบาร์อาจารย์ข้างบนท่านช่วยครับ. ฟังหูไว้นะคับ.
ต่อไปเจริญสติให้ต่อเนื่องให้รู้ตัวตั้งแต่ตื่น
ยันหลับ จะภาวนาในเวลาว่าง
หรือนับร่างกายขณะเคลื่อนไหวก็ได้
เวลาทำงานก็ตั้งใจให้เต็มที่ ระลึกพระรัตนตรัยให้หมั่น ห้ามแบ่งแยก
เวลานั่งสมาธิแบบทางการ หายใจให้ลึกขึ้นถึงท้องและพัฒนามาเป็นในเวลาปกติ
เด่วอาการหน่วงๆที่หลังด้านบนกับระหว่างเหนือคิ้วที่โยงมาศีรษะด้านหลังแล้ววน
ไปมาในกะโหลก และอาการหน่วงบริเวนหน้าอก มันจะเรียบขึ้นเนื่องจากกระแส
จะรวมเป็นแนวเดียวกัน เราก็จะไม่รู้สึกอะไร ถ้าจะให้เร็วสวดคาถาสายบารมี
โดยกำหนดตัวคาถาไว้ที่กระโหลกส่านหน้าคับ
ปล.ต่อไปอาการคันหยุบยิบบริเวนกะโหลกศรีษส่วนหน้าด้านบน และตรงกลาง
ถือว่าปกติและดี ไม่มีอะไรคับ -
ขอบพระคุณคุณnopphakanมากค่ะ
-
-
-
แนะนำว่า ให้เปลี่ยน วางกำลังใจไว้ที่ส่วนอื่นแทน ที่ไม่ใช่หัว ครับ อาการจะน้อยลง
หรือจริงๆ อาการพวกนี้ เวลาปฏิบัติ ให้สักแต่ว่า รับรู้ และปล่อยวาง ภาวนาไปตามปรกติ ครับ ไม่ต้องไปสนใจ พอเลิกปฏิบัติ ก็หายไปเองตามปรกติ ถ้ายิ่งเราลืมตัวไปจดจ่ออยู่กับอาการชาๆ พวกนี้ มันก็จะชาๆ อยู่แบบนั้นละ เผลอๆ ชาหนักไปอีกละมั้ง
เว้นแต่ว่า ถ้ามีปัญหาอื่นๆ รบกวน หรือส่งผลต่อสุขภาพ ก็ว่ากันต่อไป -
เป็นเหมือนกันค่ะ สังเกตุ มา หลายปีแล้ว บางช่วงก็หนักปฎิบัติ บางช่วงถ้าไม่มีสมาธิก็สวดมนต์เอา เพื่อกันจิต คิดต่ำ หมายถึงนึกถึงคนโน่นนี่ ยังไม่พัฒนาเพราะ อ.ท่านว่า เราอยากมากไปเลยตาที่สามไม่เห็น ก็ นั่งต่อไปเรื่อยๆไม่ค่อยสนใจแล้ว เดี่ยวมันมาเอง ตามจริต พอดีเราสังเหตุ จริตเราฝันแม่น แต่ไอ้เห็นตาที่สามทันที ยังคงต้องฝึกต่อ
-
ต่อค่ะ เราก็ถามอ.ท่านนึงในเว็บ ท่านว่าให้สวดขอพร พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งสูงสุด และอาราถนาศีลก่อนปฎิบัติเข้าฌาณ ไม่ต้องวิ่งหาครูบาอาจารย์ แล้วทุกอย่างจะพัฒนา ไปเป็นลำดับเอง
-
-
วิธีต่อยอด ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก
ทำแบบเดิมต่อไป
เพียงแต่ หากเกิดการลังเลสงสัย ขึ้นมา ว่าเอ๊ะ นี่อะไร
หรือสิ่งศักสิทธิ์หรือ อะไรก็แล้วแต่ เทพเจ้า สารพัดองค์ มาช่วย มาบรรดาล
จะช่วยให้สมาธิก้าวหน้ามีพลังวิเศษ มาเปิด ตาทิพย์ ตาที่สาม เปิดจักระ
อันนี้ให้ วางลง ไป หากยิ่งไป ตามไป ก็ยิ่งหลงทาง หลงนิมิต แล้วจะแก้ลำบาก
จะกายเป็นผู้วิเศษ เก่งทุกอย่างไป
ฝึกต่อด้วยการหัดมาสังเกตุ ใจที่กระเพื่อม ก็คือความสงสัย
หรือ ความยินดี ยินร้าย เฉยๆ ที่เกิดขึ้นกับอาการเหล่านั้น
ด้วยการ รู้เฉยๆ ที่ใจ ประครอง ตรงนี้ไปเรื่อย
แต่หากกรรมฐาน ที่ทำอยู่นั้นยังดำเนินไป
ก็ให้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
จนถึงขั้น มันพ้นควมตั้งใจ ที่จะทำ -
-
มันจะชาๆท้ายทอย อะไรพวกนี้ ลองหาอ่านดูครับ พวก รากประสาท หรือจากสมองส่วนกลาง
ปวดเหตุประสาทต้นคอ ปวดเส้นประสาทต้นคอ Occipital neuralgia - หาหมอ.com
https://www.google.com/search?q=ชาๆ+ปวดท้ายทอย&ie=utf-8&oe=utf-8 -
ไม่ก็ท่องพุทโธในใจไปเรื่อยๆเวลาลืมตาอยู่ พยายามให้ใจมันไม่ไปคิดวอกแวก
เพราะพอว่างๆแล้วมันชอบคิดไรไปเรื่อยเปื่อย คิดเรื่องไร้สาระ กังวลเรื่องต่างๆในชีวิตประจำวัน
แล้วก็จะอบรมตัวเอง คอยจ้องจับผิดตัวเองค่ะ เวลาถูกใครว่าใครด่า บางทีความโกรธมันไปก่อนแล้วเพิ่งมารู้ตัว
ก็จะตำหนิอบรมตัวเองว่า ที่เรามาเป็นทุกข์ มันไม่ใช่เพราะเค้าด่า เพราะเรามันโง่เอง ปรุงแต่งไปตามปัจจัยภายนอก
แล้วเวลามีอะไรมากระทบแบบนี้ก็จะพยายามฝึกให้รู้ทันก่อน ระงับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่อย่างน้อยก็เบาลง
และบอกตัวเองว่าสอบตกนะวันนี้ ใช้วิธีฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะสิ่งแวดล้อมรอบตัวเอื้อมากกับการฝึกแบบนี้
ได้เจอทุกวัน555 แต่ก่อนจะโทษว่าทำไมเราต้องเจอแบบนี้ตลอด เดี๋ยวนี้คิดว่าเป็นข้อดี เป็นบททดสอบ บทฝึกให้เรา
ยิ่งเจอเยอะจะได้คลายความเขลาได้มากขึ้น แล้วเวลาเห็นอะไรก็ตามแต่ในชีวิตประจำวันก็จะน้อมเอามาสอนตัวเอง มาพิจารณา
ส่วนถ้ามีเวลาก็จะนั่งสมาธิโดยใช้วิธีตามลมหายใจเข้าออกพุทโธๆค่ะ แต่ช่วงนี้ไม่ได้นั่งเลย มีภาระวุ่นวายเรื่องกังวลใจเข้ามาตลอด
ก็พยายามฝึกอบรมใจตัวเองไปแทนอ่ะค่ะ กับอุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตา ประมาณนี้ค่ะ -
-
ใช้วิปัสสนาเป็นเบื้องบาทโดยพิจารณาอยู่โดยปกติ ประเด็นนี้ในสายการปฏิบัติทางฌานสมาบัติถือว่าถูกต้อง แต่ระหว่างปฏิบัติจะไม่มีการพิจารรณา
อริยบทบัพพะ รู้เห็นตามอริบทท่าทางและอารมณ์ที่กระทบ
อาปานานัสติ การรู้ลมหายใจ
ภาพรวมทั้งหมดเป็นการรู้กาย หรือทางสติปัฏฐานคือกายานุปัสสนา เมื่อจิตละเอียดขึ้นก็จะรับรู้เวทนาที่เกิดกับกาย เวทนาที่เห็นมันมีอยู่แล้วแต่เราไม่เห็น หากว่ามันไม่มีจะเจ็บไข้ได้ป่วยได้อย่างไร แต่ใช่ว่าที่เห็นจะเป็นความเจ็บป่วยนะครับ เป็นสภาพปกติ ในสิ่่งที่เห็นนั้นก็ไม่ต้องไปแก้อะไร มันเห็นแล้วมันก็จะเห็นไปเรื่อยๆ จากเวทนาทางกายมันจะเดินหน้าสู่เวทนาทางใจ เกิดทุกข์ใจกับสภาพนั้นๆ ตรงนี้เป็นขั้นของจิตตานุปัสสนา การปฏิบัติมันก็เดินหน้าไปโดยหลักสติปัฏฐานสี่
การปฏิบัติควรมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับการพิจารณาเมื่อภาวะปกตินะ อาจหยึดหลักลมหายใจก็เป็นอย่างนั้นอย่างเดียว และการดูลมก็ควรจะต้องดูที่จุดเดียว จุดใดจุดหนึ่ง จิตจึงมีกำลัง และผ่านภาวะต่างๆไปได้เองครับ
อริบทบัพพะก็ทำได้แต่ทำยากหากจะดูที่จุดเดียว