รวมสูตรยาสมุนไพรทั่วไทย

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 16 พฤษภาคม 2009.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ตำรับยาหอมสมุนไพรรักษาโรคประสาท


    ยาหอมจิตรารมณ์

    วัตถุส่วนประกอบ

    1. ลูกสมอไทย หนัก 2 สลึง
    2. ลูกสมอพิเภก หนัก 2 สลึง
    3. ลูกมะขามป้อม หนัก 2 สลึง
    4. ดอกบุนนาค หนัก 2 สลึง
    5. โกฐพุงปลา หนัก 2 สลึง
    6. ชะลุด หนัก 3 สลึง
    7. ดอกพิกุล หนัก 3 สลึง
    8. เปราะหอม หนัก 6 สลึง
    9. ชะเอมไทย หนัก 6 สลึง
    10. ชะเอมเทศ หนัก 6 สลึง
    11. พิมเสนเกล็ด หนัก 7 บาท
    12. ดอกสารภี หนัก 1 บาท
    13. กระลำพัก หนัก 1 บาท
    14. ขอนดอก หนนัก 1 บาท
    15. อบเชย หนัก 1 บาท
    16. ดอกสารภี หนัก 1 บาท
    17. โกฐสอ หนัก 1 บาท
    18. โกฐหัวบัว หนัก 1 บาท
    19. ชะมดเช็ด (หรือชะมดเชียง) หนัก 1 บาท
    20. การบรูผง หนัก 1 บาท
    21. กระแจะ หนัก 1 บาท
    22. ลูกสะเดาอ่อน หนัก 4 บาท
    23. ผิวเปลือกส้ม 8 ประการ หนักสิ่งละ 1 บาท
    24. ลูกจันทน์ หนัก 1 เฟื้อง
    25. ดอกจันทน์ หนัก 1 เฟื้อง
    26. เทียนทั้ง 5 (ราทั้ง 5 ) หนังสิ่งละ 1 เฟื้อง
    27. จันทน์ขาว หนัก 3 สลึง 1 เฟื้อง
    28. จันทน์แดง หนัก 3 สลึง 1 เฟื้อง
    29. ดอกเก๊กฮวย 1 ห่อ (หนักประมาณ ครึ่งกิโลกรัม)
    30. ดอกมะลิลาแห้ง (ปลอดสารพิษ) หนักเท่ายาทั้งหลาย

    ชั่งตัวยาทั้งหมดรวมกันแล้วมีน้ำหนักเท่าไร ก็ใส่ดอกมะลิลาแห้ง (ที่ไม่ฉีดยาเคมีฆ่าแมลง ยาเคมีฆ่าหญ้า และไม่ใช่ปุ๋ยเคมี)
    น้ำหนักเท่ากับตัวยาอื่นๆ ทั้หมดรวมกัน

    วิธีทำ วิธีใช้ และขนาดรับประทาน

    บดเป็นผง ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา เด็กโตครั้งละ ครึ่งช้อนชา ละลายยาด้วยน้ำดอกไม้
    น้ำส้มซ่า น้ำสุก น้ำร้อน น้ำเย็น น้ำนม หรือน้ำผลไม้อะไรก็ได้
    ถ้าปั้นเป็นลูกกลอน หรือปั๊มเป็นเม็ด ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 3-5 เม็ด เด็กโตครั้งละ 1-2 เม็ด

    ถ้าบรรจุใส่แค็ปซูล ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 3-5 แค็ปซูล เด็กครั้งละ 1-2 แค็ปซูล

    รับประทานวันละ 1-4 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น-ก่อนนอน )ก่อนอาหารครึงชั่วโมง)
    หรือเมื่อมีอาการป่วย ถ้าต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ควรรับประทานเฉพาะก่อนอาหารเย็นหรือก่อนนอนเท่านั้น
    ก่อนขับรถหรือกำลังขับรถ หรือคนที่กำลังทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ไม่ควรรับประทานยาหอมขนานนี้
    เพราะยาหอมนี้รับประทานแล้วทำให้ง่วงนอน อาจจะทำให้เกิดอับัติเหตุได้

    สรรพคุณ

    แก้โรคประสาท แก้ปวดศรีษะ มึนศรีาะ เป็นลมวิงเวียน หน้ามืด หัวใจสั่น สวิงสวาย อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ดวงจิตขุ่นมัว
    ร้อนในอก ในท้อง และในสันหลัง นอนไม่หลับ บำรุงประสาท บำรุงหัวใจ ทำให้นอนหลับสบาย
    หมาย เหตุ ยาหอมตำรับนี้ พระอาจารย์โพธิ จนฺทสโร เจ้าอาวาสวัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฐานี
    ได้เมตตาให้กระผมมา กระผมได้ทำรับประทานแล้วหายจากโรคประสาท ซึ่งมีอาการปวดศรีษะ มึนศรีษะ นอนไม่หลับ หรือหลับยาก

    กระผมได้พยายามไปรักษาตามโรงพยาบางต่างๆ มาแล้วหลายสิบปี แต่ก็ไม่หาย
    จนกระทั้งมาได้ตำรับยาขนานนี้จาก พระอาจารย์โพธิ จนฺทสโร และทำรับประทานจึงหายขาดจนกระทั้งปัจจุบันนี้
    กระผมได้แก้ไขจากตำรับเดิมบ้าง เช่น ตัดเอาพริกไทยออกไป เพราะทดลองรับประทานกันหลายคนแล้ว
    ผลปรากฏว่า หายปวดศรีษะ แต่ปวดเอว เพราะพรกไทยแสลงต่อโรคไต
    กระผมจึงใส่ดอกเก็กฮวยเข้ามาแทนพริกไทย ดอกเก็กฮวย 1 ห่อ น้ำหนักประมาณ 1/2 กิโลกรัม
    และใช้ชะมดเช็ดแทนชะมดเชียง เพราะชะมดเชียงแพงมากเหลือเกิน

    กระผมขอกราบคารวะท่านอาจารย์พุทธทาส ภิกขุ ประธานของสวนโมกขพลาราม ซึ่งท่านได้ปรินิพพานไปแล้ว
    ท่านได้เมตตากรุณาสั่งสอนให้กระผมรู้จักและเข้าใจหลักธรรมคำสั่งสอนของพุทธ ศาสนาที่ถูกต้องแท้จริง ไม่งมงาย
    ช่วยให้ดับทุกข์ทางใจได้มากขึ้นกว่าเดิม และพระอาจารย์โพธิ จนฺทสโร
    ที่ท่านได้เมตตากรุณาช่วยให้กระผมพ้นจากความทุกข์ทรมานทางกายจากโรคร้ายนี้

    (จากหนังสือ สมุนไพรไทย-จีน รักษาโรคประสาท : ตำรายาหอม โดย ไสว สุนทร)
     
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    วาซาบิ (Wasabi) สมุนไพรญี่ปุ่นเพื่อสุขภาพ





    [​IMG]


    ด้วยรสชาติที่เผ็ดร้อนนิด ๆ และมีกลิ่นฉุน พร้อมคุณประโยชน์ดี ๆ สารพัน วาซาบิจึงเป็นเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้ สำหรับอาหารญี่ปุ่น เรียกได้ว่าย้อนหลังไปเป็นเวลานับพันปี เราก็ได้เจอเจ้าเครื่องปรุงสีเขียวนี้อยู่คู่ครัวชาวญี่ปุ่นแล้ว

    วาซาบิ (Wasabi) นำมาจากการบดลำต้นของพืชที่มีชื่อว่า Canola ใบวาซาบิจะคล้ายกับดอกของต้นโฮลีฮอค ลำต้นมีความสูงแค่เข่า ส่วนโคนลำต้นที่ใช้ในการทำอาหารมีลักษณะเป็นหัวเหมือนไชเท้า หรือบอระเพ็ด มีสีเขียวอ่อน

    เมื่อจะนำวาซาบิไปประกอบอาหารนั้น จะต้องนำวาซาบิไปฝนกับเครื่องฝนพิเศษ ที่ทำมาจากเหงือกปลาฉลาม (Wasabi Oroshi) ซึ่งจะมีปุ่มขนาดเล็ก ๆ ทำให้ผลวาซาบิละเอียด จนมีลักษณะคล้ายครีมสีเขียว และนำไปผสมกับโชยุ (ซีอิ๋วญี่ปุ่น) เพื่อทานเป็นน้ำจิ้มสำหรับปลาดิบหรือชูชิ

    ประโยชน์ของวาซาบิ

    1.วาซาบิสามารถช่วยฆ่าเชื้อโรค และต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด

    2.วาซาบิมีฤทธิ์ต่อต้านสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร

    3.วาซาบิช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน มีฤทธิ์ต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือด

    4.วาซาบิช่วยป้องกันฟันผุ โดยมีสารประกอบทางเคมี ในวาซาบิที่เรียกว่า โอไซยาเนตส์ (lsothiocyanate) ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ตลอดจนการผลิตเอมไซม์ในการ ก่อตัวของหินปูนที่เป็นต้นเหตุให้เกิดฟันผุ

    5.วาซาบิช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในการกำจัดเซลล์ที่เริ่มผิดปกติ




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]
     
  3. mrhengrasmee

    mrhengrasmee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +22
    ยารักษาสะเก็ดเงินมีมั้ยครับ
     
  4. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    สมุนไพรรักษาโรคสะเก็ดเงิน หรือ เรื้อนกวาง



    <!-- Main -->โรคสะเก็ดเงิน หรือเรื้อนกวาง แนะนำสมุนไพรรักษาโรคผิวหนังชนิด หนึ่งซึ่งเป็นทางกรรมพันธุ์

    ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ เพียงแต่ว่าลักษณะการเป็นนั้น

    อาจจะมีลักษณะที่น่ากลัว เพราะอาการจะเป็นผิวหนังลอกๆแดงๆ มีอาการคัน

    คือว่าแม่เราเค้าเป็นมาหลายปีแล้ว ตอนแรกเริ่มเป็นที่หัวก่อน คล้ายๆรังแคแต่ พอหลายปีเข้าก็เริ่มลุกลาม จนมาถึงร่างกาย

    พาไปหาหมอ ก็เลยรู้ว่าเป็นโรคสะเก็ดเงิน ซึ่งทางการแพทย์เค้าว่าไม่มีทางหาย แต่เราว่ามันต้องมีโอกาสหายสิเพราะเป็นเกี่ยวกับผิวหนังอักเสบ

    เราก็ค้นหายาสมุนไพรต่างๆ มารักษาให้แม่ เพราะเราคิดว่า โรคนี้เป็นโรคของผิวหนังอักเสบ

    มันก็ต้องรักษาทางผิวหนังทั้งหมด คือ เราให้แม่เรากินยาล้างพิษก่อน ก็รางจืดนั่นแหละ

    พอสักพักก็ให้เค้าทายารักษาโรคผิวหนังเลย ก็คือ ที่เราหามาได้ก็มี กำมะถัน+น้ำมันมะพร้าว

    คุณสมบัติของสมุนไพร 2 ชนิดนี้คือ

    1. กำมะถัน ช่วยในเรื่องของการรักษาผิวหนังทั้งหมด ช่วยรักษาเล็บ ผม ให้มีสุขภาพดีเป็นเงางาม ผิวเนียนเรียบดูเปล่งปลั่งสดใส

    ยังมีคอลลาเจนสร้างเนื้อเยื่อรอยต่อด้วยและที่สำคัญ กำมะถันเนี่ยจะใช้เป็นส่วนผสมของครีม โลชั่น ยารักษาโรค

    ผิวหนังทั้งหลาย เช่น กลาก เกลื้อน หิด และผิวหนังอักเสบ ดูคุณประโยชน์ได้ที่นี่ค่ะ

    cheap hair extension black wigs at hotlinehair.com

    2. น้ำมันมะพร้าว อ่า ขึ้นชื่อว่าน้ำมันก็ต้องช่วยในการบำรุงให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนังแน่นอน และไม่ใช่แค่นั้น ยังบำรุงผมให้เงางาม บำรุงหนังศรีษะ

    เป็นน้ำมันธรรมชาติไม่เป็นอันตราย มีคุณสมบัติอุ้มน้ำ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยในการดูดซึมวิตามินได้ดีอีกด้วย

    ถ้าอยากรู้คุณประโยชน์ของสมุนไพรชนิดนี้ ดูเพิ่มได้ที่นี่นะคะ

    http://www.be2hand.com/scripts/view.php?prod_id=257527

    ก็ ผสมกันไม่ต้องข้นมากนะเอาบางๆๆก็พอเพราะเวลาล้างออกมามานจาแสบตา สำหรับคนที่เป็นที่หัวอ่ะ

    **ก่อนอื่นเลยต้องก็ต้องงดอาหารที่ทำให้ผิว หนังเสื่อมโทรม เพราะถ้ารักษาไปแล้วยังไม่งดมีหวังไม่หายแถมเป็นหนักกว่าเดิม**

    อาหารที่ เราจะบอกก็คือ

    1. อาหารประเภทเป็ด ไก่ อาหารทะเลทั้งหลาย
    2. ของหมักของดองทุกชนิด
    3. บุหรี่ แอลกอฮอล์ทั้งหลาย
    4. อาหารรสจัด
    5. พวกอาหารอีสาน เนื้อวัว เนื้อควาย
    6. ปลาที่ไม่มีเกล็ด
    7. ถั่วยกเว้นถั่วเหลืองกิงได้

    **สรุป คือกินได้แต่หมูอ่ะ ว่างั้น**

    ที่ เรารู้ก็เพราะเราไปค้นในเวปไซด์มา ต้องขอขอบคุณ คุณภัสสรีนารถด้วยค่ะที่ให้ความรู้ใครอยากเข้าไปดูก็ได้นะ

    BlogGang.com : : Patsareenart

    .. คือแม่เราพอรักษากับกำมะถันแล้วก็น้ำมันมะพร้าว ไปสัก4วันก็เริ่มดีขึ้น ผิวที่เคยแดงๆก็เริ่มลอกออกเหมือนผิวหนังกำพร้าหลุดอ่ะ

    ผิวก็เริ่มจาเนียนๆขาวๆเหมือนผิวหนังปกติ ที่หัวก็ดีขึ้นคือไม่มีสะเก็ดขาวๆเท่าไหร่ หลุดลอกออกไป แต่ก็ยังเป็นแดงๆอยุ่

    ยาสมุนไพรอาจจะเห็นผลช้าสักหน่อยไม่เหมือนยาปัจจุบันที่กิงปุ๊บหายปั๊บ ฐานะที่บ้านเราก็หาเช้ากินค่ำไม่ได้มีเงินมากมายอะไร

    ที่มาแนะนำก็เพราะเหงว่ามีคนเป็นเยอะมากไม่ใช่แค่ในประเทศไทย

    โรคนี้เป็นแล้วทรมานแล้วแต่ว่าเป็นมากหรือน้อย อย่างกรณีของแม่เราเค้าก็ถือว่ากลางๆ

    ก็เลยอยากจะมาบอกต่อๆกันไปอยากให้หายกันทุกคน ไม่อยากให้มีใครเป็นค่ะ

    ที่มา
    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=zezix&date=28-03-2008&group=2&gblog=1

    [SIZE=-1]


    [/SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2010
  5. กระเพาหมูกรอบ

    กระเพาหมูกรอบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +32
    ถ้าอยากได้ ยา ที่ ทาตอน หน้าเป็นสิว หรือ ตอนบีบสิว เป็น แผลเป็น จะทำให้มันดูจางลงใช้อะไรคับ
     
  6. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    สมุนไพรรักษาโรคผิวหนังอักเสบจาก สิว

    สิวเป็นโรคเรื้อรัง พบบ่อยมากเป็นอันดับต้นๆ ของปัญหาโรคผิวหนัง มักเป็นในวัยรุ่น แต่บางครั้งเลยวัยรุ่นไปแล้วก็อาจเป็นได้ ลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็นสิวคือ เป็นเม็ดสิวอุดตันที่เรียกกันว่า คอมมิโดน ถ้าเป็นเม็ดนูนเล็กๆ ไม่มีรูเปิดเรียก สิวหัวขาว ถ้ามีรูเปิดที่ผิวหนังมองเห็นเป็นจุดดำอยู่ตรงกลางเรียกสิวหัวดำ นอกจากนี้อาจเกิดเป็นตุ่มนูนเล็กๆ แดงๆ อาจเห็นเป็นตุ่มหนอง ,หรือตุ่มนูนแข็งเม็ดโต หรือตุ่มแดงอักเสบแบบถุงซีสต์ที่เรียกกันว่า สิวหัวช้าง สิวที่สร้างความวิตกมากคือ สิวบริเวณใบหน้า ซึ่งเป็นบริเวณที่พบบ่อย ในบางรายอาจเกิดบริเวณ คอ , หลัง, อก, สาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ฮอร์โมนเพศ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ต่อมไขมันโตเต็มที่ผลิตน้ำมันมากขึ้น ท่อของต่อมไขมันหนาตัวมีการอุดตัน น้ำมันระบายออกไม่ได้คั่งค้างอยู่ภายใน เชื้อแบคทีเรียที่อยู่บริเวณนี้แบ่งตัวเพิ่มขึ้น ย่อยสลายไขมันทำให้เกิดความระคายเคือง และท่อต่อมไขมันแตกออก กรดไขมันออกสู่บริเวณข้างเคียงเกิดเป็นสิวอักเสบขึ้น ความรุนแรงของสิวแต่ละคนแตกต่างกันไป บางรายเป็นมากบางรายเป็นน้อย สิวอักเสบอาจกำเริบได้ในช่วงมีความเครียด เช่น อดนอน หรือในผู้หญิงช่วงใกล้มีประจำเดือน นอกจากนี้การบีบแกะสิว จะกระทบกระเทือนและนำเชื้อโรคเกิดการอักเสบมากขึ้น และมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นเมื่อสิวหายแล้ว
    สิวแบ่งเป็น 2 ชนิด
    1.สิวไม่อักเสบ เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน (COMEDONE) แบ่งเป็น 2 ชนิด
    1.1 สิวหัวปิด เห็นเป็นตุ่มเล็ก ๆ หัวขาว ๆ
    1.2 สิวหัวเปิด หรือสิวหัวดำ
    2.สิวอักเสบ คือสิวที่หัวแดง ๆ หรือ เป็นหนอง พวกนี้ก็คือ (COMEDONE) ที่มีการติดเชื้อ(BACTERIA) แทรกซ้อน
    ดังนั้น ถ้าเป็นสิวอักเสบ การทำความสะอาด ใบหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ และการป้องกันไม่ให้มีการอุดตันที่รูขุมขน
    (COMEDONE) โดยการใช้น้ำเปล่าล้างหน้าในตอนกลางวัน ก็พอจะช่วยให้สิวลดลงหรือป้องกันไม่ให้สิวใหม่เกิดขึ้น
    แต่ถ้าเป็นสิว อักเสบ คงต้องปรึกษาแพทย์ เพราะต้องใช้ปฏิชีวนะ (กินหรือทาแล้วแต่ความรุนแรงของสิว)
    สิวอักเสบควรจะต้องรีบรักษา ถ้าไปแกะหรือบีบหนองออก จะเป็นรอยแผลเป็น บุ๋มตลอดไป รักษายากมาก
    การนอนดึกทำให้สิวเพิ่มขึ้น ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นสิวอักเสบ อาจเป็นเพราะ
    1.ร่างกายอ่อนแอ เชื้อ Becteria ในสิวทำให้มีการอักเสบมากขึ้น
    2.Hormone เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะใน ผู้หญิง ตัวอย่างเช่น บางคนประจำเดือน หรือขณะตั้งครรภ์ จะมีสิวเพิ่มขึ้น


    สมุนไพรที่ ใช้รักษาสิว ได้แก่
    ว่านหางจรเข้ล้าง หน้าเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ใช้วุ้นจากใบสดทาบริเวณที่มีอาการ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ปล่อยให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออก
    ข้อควรระวัง ต้อง ล้างยางสีเหลืองจากขอบใบออกให้หมดก่อนใช้ เนื่องจากมีฤทธิ์ระคายเคืองมาก อาจทำให้เกิดการแพ้ สำหรับผู้ที่ผิวแพ้ง่าย อาจทดลองทาวุ้นบริเวณท้องแขนดูก่อน หากมีผื่นแดงหรือคันไม่ควรใช้ทาหน้า
    [​IMG]

    เปลือก มังคุดบดผง 100%

    "มังคุด"ผลไม้ที่ถูกยกย่องให้เป็น ราชินีของผลไม้ แต่นอกเหนือจากความอร่อยของเนื้อในมังคุดแล้ว เปลือกของมังคุดนั้น คนไทยเรายังได้รู้จักนำเอาเปลือกไปใช้ประโยชน์เป็นยารักษาโรคมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาเปลือกมังคุดมาใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง สรรพคุณที่โดดเด่นของเปลือกมังคุดที่เรารู้จักใช้กันมานานคือการใช้เปลือก มังคุดในการรักษาโรคผิว สิวต่างๆ บรรเทาอาการผดผื่น โดยใช้เปลือกมังคุดแห้งมาต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมังคุดทาบริเวณที่มีอาการ และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวนี้เอง เปลือกมังคุดจึงถูกดึงมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น สบู่ที่ช่วยบรรเทาโรคผิวหนัง สบู่รักษาสิวฝ้า ซึ่งเป็นที่นิยม

    จริงๆ แล้วเปลือกมังคุดได้รับการพิสูจน์และยืนยัน จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ค้นพบว่า รสฝาดในเปลือกมังคุดมีสารที่เรียกว่า แทนนิน(tannin)ซึ่งมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สารแซนโทน(Xanthon)ช่วยยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังได้ และสารที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า แมงโกสติน (Mangostin) มีฤทธืช่วยลดการอักเสบ และต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง

    ผลวิจัยจะ พบว่าเปลือกมังคุด เปลือกทับทิม มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก มีคุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระที่เหมาะสมมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ และพบว่าเปลือกมังคุดประกอบด้วยสารธรรมชาติ GM-1 ซึ่งมี คุณสมบัติเด่น 4 ประการ คือ

    1. ระงับการเจริญของเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุสิว
    2. ต้านการอักเสบ
    3. ต้านอนุมูลอิสระ
    4. ช่วยสมานผิว กระชับรูขุมขน

    วิธี ใช้ ใช้ ผสมน้ำเปล่าเท่านั้นอย่าให้ข้นหรือใสเกินไป พอกหน้าจนแห้งแล้วล้างออก หรือแต้มหัวสิวหนอง ยุบทันใจใน1-2วัน

    -บัว บกบดผง100%


    ผลจากงานวิจัยสกัดสารต้านสิว ในบัวบกมีกลุ่มสารสำคัญจำพวกไตรเทอร์ปีน และกลัยโคไซด์ของไตรเทอร์ปีน ซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีผลการวิจัยรองรับมาก มาย ทั้งการศึกษาในสัตว์ ทดลองและในคน โดยพบว่าสารในบัวบกมีฤทธิ์ในการรักษาแผลกระตุ้น การสร้าง collagen เร่งขบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ จึงช่วยเร่งให้แผลหายเร็วขึ้น และมีประโยชน์ในการรักษาแผลเป็นและ keloid โดยสามารถลดการเกิดfibrosis จึงช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นได้

    สารสกัดบัวบกยังมีฤทธิ์ต้านการ อักเสบและต้านอาการแพ้ จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหรืออักเสบ เนื่องจากแมลงกัดต่อย และลดอาการข้ออักเสบในคนไข้ได้อีกด้วย จากผลการทดลองใช้ครีมบัวบกทาแผลอักเสบหลังผ่าตัด พบว่าช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

    นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ สารสกัดน้ำบัวบกมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ S.aureus และเชื้ออื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดหนองได้ โดยผลต่อการเรียนรู้สารสกัดน้ำของบัวบก ขนาด 200 มก./กก. สามารถทำให้การเรียนรู้และความจำของหนูทดลองดีขึ้น ทั้งยังพบว่าสารสกัดบัวบกช่วยเพิ่มความสามารถ ในการเรียนรู้ของหนูที่มีอาการอัลไซเมอร์ได้

    จากการวิจัยของ รศ.ดร.วันดี กฤษณพันธ์ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าบัวบกชนิดก้านขาว ให้สารสกัดน้อยกว่าบัวบก ชนิดก้านแดง โดยบัวบกทั้งสองชนิด ประกอบด้วยสารสำคัญ asiaticoside และสารอื่นๆ ไม่แตกต่างกัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้ศึกษาวิจัยการ นำสารสกัดบัวบกมาผลิต เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายชนิด

    โดยพบว่าผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสกัด บัวบก ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยในการสมานผิว ป้องกันรอยแผลเป็น ช่วยลดความหยาบกร้านของผิว และลดการสะสมของแบคทีเรียได้อย่างดี บัวบกที่มีฤิทธิ์ฆ่าเชื้อ เมื่อใช้แต้มหัวสิว จากการทดลองในกลุ่มตัวอย่าง พบว่าทำให้สิวแห้งและหายเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

    วิธีใช้ นำมาผสมน้ำสะอาด พอกหน้าแห้งแล้วล้างออก

    ทนาคา100%

    ทนาคา" พาสวยด้วยสมุนไพรสืบตำนานโบราณ... เน้นงามแบบผิวพม่าฯ
    ถ้าเป็นสมุนไพรไทย ที่เกี่ยวกับผิวพรรณละก็ต้องนี่เลย "ขมิ้นชัน" แต่ถ้าเป็นสมุนไพรเคล็ดลับผิวสวยของพม่าก็ต้อง "ทนาคา" หรือ "กระแจะ" ไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่เวลานี้ถูกนำมาเป็นส่วนผสม ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายหลาก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า "ไม้ทนาคา" นั้น พม่าใช้ฝนกับหินผสมกับน้ำ ใช้ประทินผิวมาแต่โบราณ จนมีสำนวนเปรียบเทียบว่า "ผิวพม่านัยน์ตาแขก"ผิวสาวพม่าส่วนใหญ่จึงสวย เนียน และผิวค่อนข้างละเอียด เนื้อไม้ทนาคา ซึ่งเป็นสมุนไพรที่พบได้มาก จากทางฝั่งพม่า เมื่อตากแห้งสนิทและนำมาบดผงแล้วสามารถนำมาผสมทำครีมพอกหน้าได้อย่างวิเศษ สามารถผสม
    *น้ำผึ้ง(สำหรับคนผิวแห้ง)
    *น้ำมะขามเปียก(สำหรับผิวที่ ด่างดำ)
    *ขมิ้นชัน(สำหรับผิวที่มีสิว)
    *นมสดรสจืด(สำหรับผิวที่ต้อง การความนุ่มเนียน)
    *โยเกิร์ต (สำหรับผิวที่ต้องการความนุ่มและใส)
    เมื่อ บดผสมจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็จะได้ครีมสำหรับพอกหน้าที่มีเนื้อสัมผัสไม่ถึงกับละเอียดนัก ทั้งนี้ เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกเผยผิวใหม่ เนื้อครีมอุดมไปด้วยสมุนไพร ที่มีสรรพคุณช่วยประทินผิว มีกลิ่นหอมสมุนไพรธรรมชาติ (ไม่แต่งกลิ่น) และไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อผิว"

    วิธีใช้ เพียงนำครีมผสมให้ข้น(ผสมครั้งต่อครั้ง ห้ามผสมทิ้งไว้) มาพอกทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แห้งแล้วใช้มือขัดออก ทำทุกวันก่อนอาบน้ำ แค่สัปดาห์เดียวจะรู้สึกว่าผิวหน้า ที่แห้งหยาบกร้าน กลับมาชุ่มชื้นมีน้ำมีนวล และดูเนียนขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น ส่วนริ้วรอยจากฝ้า หรือกระ ที่มีอยู่จะค่อยๆ จางลง
    *นี่คือภูมิปัญญาจาก สมุนไพรพื้นบ้าน ที่สามารถแต่งเติม ความงามได้ไม่แพ้ครีมของนอก หรืออีกนัย ถ้าคุณได้ลองอาจจะดีกว่าของนอก ถูกกับผิวชาวเอเชียอย่างเรามากกว่าด้วยซ้ำค่ะ

    ข้อมูล ความมหัศจรรย์ของทนาคา จากไทยรัฐ ฉบับวันที่ 21มค.48 หน้า7
     
  7. zpune

    zpune Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอบคุณมากนะคะ เนื้อหาดีมีประโยชน์มากๆ ค่ะ
     
  8. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ย่านางสมุนไพรหมื่นปีไม่มีแก่<!-- google_ad_section_end -->

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start -->
    [​IMG].

    ทุก วันนี้เราคุ้นเคยกับใบย่านางในรูปของเครื่องปรุงแต่งกลิ่นรสอาหารพื้นบ้าน ไทยๆ จนเข้าใจกันว่าเป็นพืชผักชนิดหนึ่ง ทว่าในความเป็นจริง ย่านางคือสมุนไพรใกล้ตัวคู่บ้านคู่ครัวไทยมาแล้วหลายยุคหลายสมัย


    หมอยาภาคอีสานโบราณจะเรียก ชื่อของย่านางว่า "ย่าหมื่นปีไม่แก่" เพราะด้วยสรรพคุณ มากมาย ตั้งแต่ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ รวมไปถึงรักษาโรคมะเร็ง ที่สำคัญยังเป็นสมุนไพรใกล้ตัวที่เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหารแล้วยังมีรสชาติ อร่อยถูกปากได้หลายเมนู จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมขณะนี้ ย่านาง จึงกลายเป็นสมุนไพรที่ได้รับความสนใจมากที่สุดอีกชนิด
    ลักษณะของต้นย่านาง จะเป็นเถาไม้เลื้อย เถามีรูปร่างกลมขนาดเล็กแต่มีความเหนียว เถาสีเขียวเมื่อเถาแก่จะมีสีเข้มคล้ำ บริเวณเถามีข้อห่างๆ เถาอ่อน มีขนอ่อนปกคลุม เมื่อแก่แล้วผิค่อนข้างเรียบ รากมีหัวใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยวคล้ายใบพริกไทย ออกติดกับลำต้นแบบสลับรูปร่าง ลักษณะคล้ายรูปไข่หรือรูปไข่ขอบขนาน ปลายใบเรียว ฐานใบมน ขนาดใบยาว 5-10 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบย่างนางที่ขึ้นในภาคใต้จะเรียวยาวแหลมกว่า สีเขียวเข้ม หน้าและหลังใบเป็นมัน ดอกออกตามซอกใบ ซอกโคนก้าน ช่อหนึ่งๆ จะมีดอกขนาดเล็กสีเหลือง 3-5 ดอก ออกดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ไม่มีกลีบดอก ขนาดอกโตกว่าเมล็ดงาเล็กน้อย มักออกดอกช่วงเดือนเมษายน ผลมีรูปร่างกลมเล็กขนาดเท่าผลมะแว้งสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมแดงหรือแดงสดเมื่อแก่จัดจนสุกงอมจะกลายเป็น สีดำ


    การ ปลูกย่านางสามารถปลูกได้ในดินทุกชนิดและปลูกได้ทุกฤดู โดยขยายพันธุ์ด้วยการใช้หัวใต้ดินหรือเถาแก่ที่ติดหัว นอกจากนี้ยังสามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งการปักชำยอดและเพาะเมล็ด


    นักบำบัดสุขภาพทางเลือก หมอเขียว-ใจเพชร กล้าจน นักวิชาการสาธารณสุข กลุ่มงานเวชกรรมสังคม ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของย่านาง รวมถึงได้นำมาทดลองบำบัดโรคแล้วพบว่า ย่านางมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์มากมาย


    "ผมพบความมหัศจรรย์ของย่านาง ครั้งแรก เมื่อคุณแม่ของผมตกเลือดจากมดลูกอย่างรุนแรง จากนั้นผมตัดสินใจใช้ย่านางเป็นสมุนไพรหลักในการบำบัดอาการคุณแม่ ผลปรากฏว่าอาการดังกล่าวทุเลาลงอย่างรวดเร็วภายใน 3 วัน เลือดหยุดไหล และเมื่อใช้ย่านางบำบัด อีกสามเดือนต่อมา มดลูกที่โตถึง 16 ซม. ก็ยุบลงเหลือเท่าขนาดปกติ คือเท่าผลชมพู่ ผิวมดลูกที่ขรุขระเหมือนหนังคางคกก็หายไป อาการตกขาวก็หายไปด้วย ต่อมาผมทดลองใช้ย่านางกับผู้ป่วยมะเร็งตับ ผู้ป่วยก็อาการดีขึ้น เมื่อครบ 3 เดือนไปตรวจอัลตร้าซาวนด์พบว่า มะเร็งฝ่อลง จากนั้นก็ทดลองกับผู้ป่วยโรคเกาต์ให้ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่องสามเดือน อาการปวดข้อก็หายไป พอไปตรวจที่โรงพยาบาลไม่พบโรคเกาต์ ซึ่งทางการแพทย์แผนปัจจุบันได้ทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง พบว่า หลังจากดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง สามารถลดน้ำตาลในเลือดและลดความดันโลหิตได้จริง"
    ส่วนการศึกษาข้อมูลอื่นของย่านาง หมอเขียวได้ให้ความรู้เอาไว้ดังนี้


    *ใบย่านางกับการบำบัดโรค
    เช่น ตาแดง ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดฝีหนอง น้ำเหลืองเสียตามร่างกาย ท้องผูก แสบท้อง มีผื่นที่ผิวหนัง ปื้นแดง มีตุ่มใสคัน เป็นเริม งูสวัด หายใจร้อน เสมหะเหนียวข้น อ่อนเพลีย เจ็บปลายลิ้น หูอื้อ ตาลาย เกร็ง ชัก โรคหัวใจ ไซนัสอักเสบ ตับอักเสบ กระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ปวดมดลูก หอบหืด ไตอักเสบ ไตวาย นิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี ไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโต เบาหวาน เนิ้องอก มะเร็ง และพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นต้น

    *ย่า นาง...ปรุงรสเพื่อปรับสมดุลให้ร่างกาย
    การปรับสมดุลให้ร่างกาย สามารถทำได้โดยใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิลล์ คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกินไป ดังนี้
    1. เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบต่อน้ำ 1-3 แก้ว (200-600 ซีซี)
    2. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอมบาง เล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
    3. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอมบาง เล็ก ทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
    4. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วนถึงตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว โดยใช้ใบย่านางโขลกละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือปั่นในเครื่องปั่น (แต่การปั่นเครื่องปั่นไฟฟ้าจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็นของย่านาง) แล้วกรองผ่านกระชอนเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1/2-1 แก้ว วันละ 2-3 เวลา ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง หรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำเปล่าในอุณหภูมิห้องปกติ ควรดื่มภายใน 4 ชั่วโมงหลังจากทำน้ำย่านาง เพราะถ้าปล่อยเกิน 4 ชั่วโมง มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวไม่เหมาะที่จะดื่ม ส่งผลให้เกิดภาวะร้อนเกิน แต่ถ้าแช่ในน้ำเย็นหรือตู้เย็น ควรใช้ภายใน 3-7 วัน โดยให้สังเกตที่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวเป็นหลัก
    ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

    ขอขอบคุณ : นิตยสาร แม่บ้าน ผู้สนับสนุนเนื้อหา
     
  9. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    9 สมุนไพรเพื่อผู้หญิง<!-- google_ad_section_end -->

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start -->เพราะผู้หญิงกับความสวยความงามเป็นของ คู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ความสวยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความสวยเฉพาะภายนอกนะคะ ต้องสวยทั้งภายในและภายนอกนี่สิ ถึงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบจริง เพราะผู้หญิงไม่เหมือนกับผู้ชาย ไม่มีต่อมลูกหมากให้อักเสบ ไม่ต้องทรมานใจจากศีรษะล้าน แต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงจะไมมีปัญหาอะไรเลย อย่างเรื่องของวัยทองยังไงล่ะคะ ทั้งอาการร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ ฯลฯ แต่โชคดีที่อย่างน้อยเราสามารถเยียวยาอาการดังกล่าวได้ด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งสมุนไพร 9 ชนิด นี้จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

    [​IMG]

    1. Black Cohosh - สำหรับ ผู้หญิงที่มีอาการร้อนวูบวาบ และเหงื่อออกตอนกลางคืน

    จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า สมุนไพรชนิดนี้สามารถช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ และอาการเหงื่อออกตอนกลางคืนของหญิงวัยทองได้ดี เชื่อกันว่าการออกฤทธิ์ของสารใน Black Cohosh คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย

    2. Chaste Tree Berry - สำหรับ อาการปวดประจำเดือน

    ผู้หญิงที่ได้เข้าร่วมทดลองกิน Chaste Tree Berry กว่า 52% ต่างพูด เป็นเสียงเดียวกันว่า อาการระคายเคือง หงุดหงิดง่าย และปวดศีรษะในช่วงก่อนมีประจำเดือนหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้กิน Chaste Tree Berry นอก จากนี้ สมุนไพรดังกล่าวยังช่วยให้รอบเดือนมาเป็นปกติอีกด้วย

    3. Cranberry - สำหรับการ ป้องกันการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ

    หลายคนคงคุ้นชื่อสมุนไพรชนิดนี้ เป็นอย่างดี แครนเบอร์รี่มีผลยับยั้งการยึดเกาะของเชื้อโรคกับผนังทางเดินปัสสาวะและ กระเพาะปัสสาวะ จึงป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ แต่สำหรับผู้ที่เป็นแผลในทางเดินอาหารไม่ควรรับประทานนะคะ เนื่องจากแครนเบอร์รี่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้

    4. Dong Quai - สำหรับ สุขภาพโดยรวม

    อีกหนึ่งสมุนไพรที่ได้รับการกล่าวขาน ว่า เป็นโสมสำหรับผู้หญิง เพราะตังกุยช่วยให้รู้สึกสดชื่น มีรอบเดือนเป็นปกติ และคลายกังวลได้ดี เนื่องจากมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนอ่อนๆ
    ชาวจีนโบราณนิยมใช้ตังกุยในการเพิ่มธาตุ หยินให้ร่างกายอีกด้วย

    5. Flaxseed - สำหรับสุขภาพ ของหัวใจ

    Flaxseed อุดมไปด้วยกรดไขมัน จำเป็นชนิด omega3 ที่ช่วยควบคุม ระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งการลดลงของระดับคอเลสเตอรอลนี้ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดในสมองแตกได้

    6. Feverfew - สำหรับการปวด ศีรษะ

    Feverfew สามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจาก การปวดศีรษะ ลดความถี่ของการปวดศีรษะ และลดอาการอักเสบที่เกี่ยวกับการหดตัวของหลอดเลือดได้ แต่คุณผู้หญิงที่กำลังตังครรภ์และผู้ที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดไม่ ควรกิน Feverfew นะ คะ

    7.Turmeric – ป้องกันการ แบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง

    ขมิ้นมีสาระสำคัญคือ Curcuminoids ซึ่งเป็น สารต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ขมิ้นกำลังเป็นที่นิยมและประสบความสำเร็จในการเป็นยารักษามะเร็ง เนื่องจากสามารถป้องกันการแบ่งตัวของมะเร็งได้

    8.Green Tea - ต้าน มะเร็ง

    จากวิจัยพบว่า ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านมะเร็งในระยะเริ่มแรกได้ เพราะสาร Epigallocatechin gallate (EGCG) จะ ไปขัดขวางการเจริญเติบโตของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเซลล์ มะเร็ง ทั้งยังจะไปจับกับโปรตีนบางชนิดในเซลล์ปกติเพื่อยับยั้งการเปลี่ยนเป็นเซลล์ มะเร็ง

    9.Ginger - ระงับอาการคลื่น ไส้

    สำหรับผู้หญิงที่มีอาการคลื่นไส้ระหว่าง ตั้งครรภ์ ขิงเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งอาการคลื่นไส้อาเจียนได้เป็น อย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถช่วยระงับอาการคลื่นไส้เนื่องจากเมารถ หรือจากการได้รับยาต้านมะเร็งได้อีกด้วย

    เรื่อง ใบเตย

    ขอขอบคุณ : นิตยสารเปรียว ผู้สนับสนุนเนื้อหา ​
     
  10. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ย่านางสมุนไพรหมื่นปีไม่มีแก่

    [​IMG].

    ทุกวันนี้เราคุ้นเคยกับใบย่านางในรูปของเครื่องปรุง แต่งกลิ่นรสอาหารพื้นบ้านไทยๆ จนเข้าใจกันว่าเป็นพืชผักชนิดหนึ่ง ทว่าในความเป็นจริง ย่านางคือสมุนไพรใกล้ตัวคู่บ้านคู่ครัวไทยมาแล้วหลายยุคหลายสมัย


    หมอยาภาคอีสานโบราณ จะเรียกชื่อของย่านางว่า "ย่าหมื่นปีไม่แก่" เพราะด้วยสรรพคุณมากมาย ตั้งแต่ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ รวมไปถึงรักษาโรคมะเร็ง ที่สำคัญยังเป็นสมุนไพรใกล้ตัวที่เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหารแล้วยังมีรสชาติ อร่อยถูกปากได้หลายเมนู จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมขณะนี้ ย่านาง จึงกลายเป็นสมุนไพรที่ได้รับความสนใจมากที่สุดอีกชนิด
    ลักษณะของต้นย่านาง จะเป็นเถาไม้เลื้อย เถามีรูปร่างกลมขนาดเล็กแต่มีความเหนียว เถาสีเขียวเมื่อเถาแก่จะมีสีเข้มคล้ำ บริเวณเถามีข้อห่างๆ เถาอ่อน มีขนอ่อนปกคลุม เมื่อแก่แล้วผิค่อนข้างเรียบ รากมีหัวใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยวคล้ายใบพริกไทย ออกติดกับลำต้นแบบสลับรูปร่าง ลักษณะคล้ายรูปไข่หรือรูปไข่ขอบขนาน ปลายใบเรียว ฐานใบมน ขนาดใบยาว 5-10 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบย่างนางที่ขึ้นในภาคใต้จะเรียวยาวแหลมกว่า สีเขียวเข้ม หน้าและหลังใบเป็นมัน ดอกออกตามซอกใบ ซอกโคนก้าน ช่อหนึ่งๆ จะมีดอกขนาดเล็กสีเหลือง 3-5 ดอก ออกดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ไม่มีกลีบดอก ขนาดอกโตกว่าเมล็ดงาเล็กน้อย มักออกดอกช่วงเดือนเมษายน ผลมีรูปร่างกลมเล็กขนาดเท่าผลมะแว้งสีเขียว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมแดงหรือแดงสดเมื่อแก่จัดจนสุกงอมจะกลายเป็น สีดำ


    การ ปลูกย่านางสามารถปลูกได้ในดินทุกชนิดและปลูกได้ทุกฤดู โดยขยายพันธุ์ด้วยการใช้หัวใต้ดินหรือเถาแก่ที่ติดหัว นอกจากนี้ยังสามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งการปักชำยอดและเพาะเมล็ด


    นักบำบัดสุขภาพทางเลือก หมอเขียว-ใจเพชร กล้าจน นักวิชาการสาธารณสุข กลุ่มงานเวชกรรมสังคม ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของย่านาง รวมถึงได้นำมาทดลองบำบัดโรคแล้วพบว่า ย่านางมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์มากมาย


    "ผมพบความมหัศจรรย์ ของย่านางครั้งแรก เมื่อคุณแม่ของผมตกเลือดจากมดลูกอย่างรุนแรง จากนั้นผมตัดสินใจใช้ย่านางเป็นสมุนไพรหลักในการบำบัดอาการคุณแม่ ผลปรากฏว่าอาการดังกล่าวทุเลาลงอย่างรวดเร็วภายใน 3 วัน เลือดหยุดไหล และเมื่อใช้ย่านางบำบัด อีกสามเดือนต่อมา มดลูกที่โตถึง 16 ซม. ก็ยุบลงเหลือเท่าขนาดปกติ คือเท่าผลชมพู่ ผิวมดลูกที่ขรุขระเหมือนหนังคางคกก็หายไป อาการตกขาวก็หายไปด้วย ต่อมาผมทดลองใช้ย่านางกับผู้ป่วยมะเร็งตับ ผู้ป่วยก็อาการดีขึ้น เมื่อครบ 3 เดือนไปตรวจอัลตร้าซาวนด์พบว่า มะเร็งฝ่อลง จากนั้นก็ทดลองกับผู้ป่วยโรคเกาต์ให้ดื่มน้ำย่านางต่อเนื่องสามเดือน อาการปวดข้อก็หายไป พอไปตรวจที่โรงพยาบาลไม่พบโรคเกาต์ ซึ่งทางการแพทย์แผนปัจจุบันได้ทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง พบว่า หลังจากดื่มน้ำย่านางต่อเนื่อง สามารถลดน้ำตาลในเลือดและลดความดันโลหิตได้จริง"
    ส่วนการศึกษาข้อมูลอื่นของย่านาง หมอเขียวได้ให้ความรู้เอาไว้ดังนี้


    *ใบย่านางกับการบำบัดโรค
    เช่น ตาแดง ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดฝีหนอง น้ำเหลืองเสียตามร่างกาย ท้องผูก แสบท้อง มีผื่นที่ผิวหนัง ปื้นแดง มีตุ่มใสคัน เป็นเริม งูสวัด หายใจร้อน เสมหะเหนียวข้น อ่อนเพลีย เจ็บปลายลิ้น หูอื้อ ตาลาย เกร็ง ชัก โรคหัวใจ ไซนัสอักเสบ ตับอักเสบ กระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ปวดมดลูก หอบหืด ไตอักเสบ ไตวาย นิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี ไส้เลื่อน ต่อมลูกหมากโต เบาหวาน เนิ้องอก มะเร็ง และพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นต้น

    *ย่า นาง...ปรุงรสเพื่อปรับสมดุลให้ร่างกาย
    การปรับสมดุลให้ร่างกาย สามารถทำได้โดยใช้ใบย่านางในการเพิ่มคลอโรฟิลล์ คุ้มครองเซลล์ ฟื้นฟูเซลล์ ปรับสมดุล บำบัดหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกินไป ดังนี้
    1. เด็ก ใช้ใบย่านาง 1-5 ใบต่อน้ำ 1-3 แก้ว (200-600 ซีซี)
    2. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอมบาง เล็ก ทำงานไม่ทน ใช้ 5-7 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
    3. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างผอมบาง เล็ก ทำงานทน ใช้ 7-10 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว
    4. ผู้ใหญ่ที่รูปร่างสมส่วนถึงตัวโต ใช้ 10-20 ใบ ต่อน้ำ 1-3 แก้ว โดยใช้ใบย่านางโขลกละเอียดแล้วเติมน้ำ หรือขยี้ใบย่านางกับน้ำหรือปั่นในเครื่องปั่น (แต่การปั่นเครื่องปั่นไฟฟ้าจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงบ้าง เนื่องจากความร้อนจะไปทำลายความเย็นของย่านาง) แล้วกรองผ่านกระชอนเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1/2-1 แก้ว วันละ 2-3 เวลา ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง หรือผสมเจือจางดื่มแทนน้ำเปล่าในอุณหภูมิห้องปกติ ควรดื่มภายใน 4 ชั่วโมงหลังจากทำน้ำย่านาง เพราะถ้าปล่อยเกิน 4 ชั่วโมง มักจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวไม่เหมาะที่จะดื่ม ส่งผลให้เกิดภาวะร้อนเกิน แต่ถ้าแช่ในน้ำเย็นหรือตู้เย็น ควรใช้ภายใน 3-7 วัน โดยให้สังเกตที่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวเป็นหลัก
    ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

    ขอขอบคุณ : นิตยสาร แม่บ้าน ผู้สนับสนุนเนื้อหา
     
  11. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    แพทย์แผนพุทธ 0 บาทรักษาทุกโรค [หมอที่ดีที่สุด คือ ตัวคุณเอง]

    วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

    แพทย์แผน พุทธ 0 บาทรักษาทุกโรค

    ศูนย์บาท รักษาทุกโรค "หมอเขียว" ใจเพชร กล้าจน
    ณ สวนป่านาบุญ อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร

    [​IMG]การที่ ชายคนหนึ่งเปลี่ยนชื่อตนเองจาก "สำเริง มีทรัพย์" เป็น "ใจเพชร กล้าจน" ในทางหนึ่งเป็นความพยายามบอกกับทุกคนถึงสิ่งที่เขายึดเหนี่ยว

    จุด หมายชีวิตแท้จริงที่ชายผู้นี้ยึดถือ คือ ความพยายามช่วยเหลือให้เพื่อนมนุษย์ได้หายจากโรคภัย โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท... ด้วยการรักษาแบบ "แพทย์วิถีพุทธ"

    "หมอเขียว" หรือ ใจเพชร กล้าจน จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เขาพยายามรักษาผู้ป่วยตามวิชาแพทย์ที่ได้ร่ำเรียนมาอย่างเต็มที่ แต่พอทำไปได้ชั่วระยะ คนเป็นหมอก็ต้องผจญกับคำถามในใจที่ไหนคำตอบกับตัวเองไม่ได้เสียที

    "ทำไมทุกคนยังป่วย ทั้งที่เครื่องมือแพทย์ทันสมัยขึ้น ทำไมรักษาไปแล้วแพงขึ้นทุกวัน ที่สำคัญเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลับป่วยแซงหน้าชาวบ้านอีก"

    ยิ่งคิด ก็ยิ่งงง เขาว่า ไม่เพียงเท่านั้น ตัวหมอเองที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดและปวดข้อ ใช้ยาที่ดีที่สุดของโรงยาบาลรักษาแล้วแต่ก็ไม่หายความสงสัยนี้ทำให้หันกลับ มาศึกษาแพทย์ ทางเลือกและนำมาใช้ร่วมกับแผนปัจจุบันผลปรากฏว่าคนไข้หายเพิ่มขึ้นเกือบเท่า ตัว แต่นับแล้วก็ยังได้แค่ 40 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ทั้งหมด ซึ่งทำให้หมอเขียวยังคาใจต่ออีกว่า ทำไมอีก 60 เปอร์เซ็นต์ รักษาไม่ได้ คนที่รักษาได้ก็กลับมาเป็นใหม่ หรือการแพทย์ที่ทำอยู่จะมาผิดทาง หมอเขียวเครียดกับเรื่องนี้มากจนต้องไปปฏิบัติธรรม แต่พอได้อ่านพระไตรปิฎกก็พบว่า คำตอบทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว

    หนึ่ง ในคำสอนที่นำมาพิจารณา คือ เรื่องสังคีติสูตร หมอเขียวคิดไปถึงเรื่องสมดุลของร่างกาย เรื่องปรับร้อน-ปรับเย็น ซึ่งมีในศาสตร์แพทย์แผนไทยอยู่แล้ว เพียงแต่ยังใช้ไม่ได้ผลดี เพราะมัวแต่ปฏิบัติตามตำราซึ่งเขียนในสมัยโบราณ ในขณะที่โลกปัจจุบันร้อนขึ้น การปรับร้อน-เย็นจึงต้องเปลี่ยนตามโลก เพื่อให้เกิดสมดุลที่แท้จริง

    หมอเขียวลองรักษาโดยวิเคราะห์ ธาตุร้อน - เย็น ด้วยตนเอง ให้ยาฤทธิ์เย็นมากขึ้นตามโลกที่ร้อนขึ้น เริ่มจากรักษาแม่ที่ปวดมดลูกให้หายได้ ทั้งที่แพทย์ปัจจุบันหาสาเหตุไม่พบ จากนั้นก็ใช้แนวทางดังกล่าวไปรักษาโรคมะเร็ง โรคไต โรคความดัน และบันทึกการรักษาทุกครั้ง ผลปรากฏว่าคนไข้ร้อยละ 90 อาการทุเลา รู้สึกสบายขึ้น เมื่อค้นพบว่าการรักษาที่ได้ผลจริงนั้น พระพุทธเจ้าได้สอนไว้หมดแล้ว หมอจึงประมวลความรู้ทั้งหมด และเรียกชื่อว่า "การแพทย์วิถีพุทธ"

    ใจความของการแพทย์แผนนี้ คือ ใช้คำสอนของพระพุทธเจ่าเป็นแก่นแกน นำจุดดีของการแพทย์ต่าง ๆ มารวมกัน โดยมีธรรมะเป็นตัวเชื่อมประสานบูรณาการ โดยมีหลักการ 3 ข้อ คือ ใช้สิ่งที่ประหยัดและเรียบง่าย มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา เพราะแก้ที่ต้นเหตุ และแต่ละคนทำเองได้ ไม่ต้องให้หมอรักษา แต่รักษาตัวเอง

    ยา 9 เม็ดที่หมอเขียวใช้รักษาก็ไม่มีราคาค่างวด เพราะเป็นหลักปฏิบัติ 9 ประการที่ทำได้เอง ได้แก่ รับประทานสมุนไพรปรับสมดุล แช่มือเท้าในน้ำสมุนไพร รับประทานอาหารปรับสมดุล ใช้ธรรมะคลายเครียด ออกกำลังกายกดจุดลมปราณรู้จักเพียรและพักให้พอดี ทำกัวซา ดีทอกซ์ และพอก ทา หยอด ประคบ อบ อาบ ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน เมื่อไม่ต้องเสียค่ายาแพง ๆ หรือเสียค่าหมอ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า "ศูนย์บาท รักษาทุกโรค"

    นอก จากเหนือจากมิติทางสุขภาพ หมอเขียวยังให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตแบบพุทธอย่างครบวงจร ดังที่ได้สละพื้นที่กว่า 40 ไร่ เพื่อตั้ง "สวนป่านาบุญ" ซึ่งเป็นศูนย์เศรษฐกิจพอเพียง ใช้ปลูกข้าว ผัก พืชสมุนไพร เพื่อเตรียมความพร้อมในการพึ่งพาตนเองก่อนที่ต่อมาจะเปิดเป็นศูนย์สุขภาพให้ ผู้คนเข้ามาเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องการใช้ชีวิตตามแนววิถีพุทธอีกด้วย

    ความตั้งใจทั้งหมดของหมอเขียว ไม่เพียงทำให้หลาย ๆ คนได้เห็นว่า ชีวิตที่ดี ไม่มีโรคภัย ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากๆ ไปแลกหาจากการแพทย์สมัยใหม่ หากแต่ยังมีนัยไปถึงวิถีพุทธ วิถีไทย ในแบบที่เราเป็นนั่นเอง ที่เพียงพอแล้วสำหรับความสุข



    คนค้นฅน หมอเขียว 0 บาทรักษาทุกโรค ช่วงที่ 1 ( วันที่ 01 มิถุนายน 2553 )


    <object width="480" height="385">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/hKWqyYOm1rA&hl=en_US&fs=1&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></object>

    คนค้นฅน หมอเขียว 0 บาทรักษาทุกโรค ช่วงที่ 2 (วัน ที่ 01 มิถุนายน 2553

    <object width="480" height="385">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/v_Ejy8vVzIo&hl=en_US&fs=1&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></object>



    คนค้นฅน หมอเขียว 0 บาทรักษาทุกโรค ช่วงที่ 3 (วันที่ 01 มิถุนายน 2553)


    <object width="480" height="385">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/AD7Ua9NFwbs&hl=en_US&fs=1&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></object>


    คนค้นฅน หมอเขียว 0 บาทรักษาทุกโรค ช่วงที่ 4 (วันที่ 01 มิถุนายน 2553)

    <object width="480" height="385">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/I5qIVE7evQA&hl=en_US&fs=1&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></object>


    อาหาร อากาศ อารมณ์ บ่อเกิดแห่งโรคภัยไข้เจ็บ หากเรียนรู้ที่จะปรับให้เป็นประัโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย นั่นหมาย ถึงว่าสุขภาพร่างกายของเราย่อมแข็งแรงและต่อสู้เอาชนะโรคภัยไข้เจ็บได้เอง

    " อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา
    อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ. "

    ตนแลเป็นที่พึ่งของตน, บุคคลอื่นใครเล่า พึงเป็นที่พึ่งได้ เพราะบุคคล มีตนฝึกฝน ดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่ง อันบุคคลได้โดยยาก.

    ที่มา: My Inspiration For Life: แพทย์แผนพุทธ 0 บาทรักษาทุกโรค
     
  12. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

    แพทย์ แผน พุทธ 0 บาทรักษาทุกโรค ตอน 2


    มาแล้วครับ หมอเขียว ใจเพชร กล้าจน แพทย์แผนพุทธ 0 บาทรักษาทุกโรคตอนที่ 2 จากรายการ" ค้น ค้นคน " ว่าด้วยวิธีการ รักษาโรคด้วยตัวเอง ตอนนี้พิเศษนะครับ สำหรับท่านที่สนใจสูตรหน้าเด้ง ด้วยตัวยาธรรมชาติ 0 บาทจริงๆ ครับ อีกทั้งยังมี วิธีถอนพิษต่างๆ ที่เป็นบ่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บในร่างกายของเราด้วยวิธีการแพทย์แผนดั้งเดิมแบบ ต่างๆ น่าสนใจมากครับ ^ ^

    <object width="480" height="385">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/WeJ-ElQEOKY&hl=en_US&fs=1&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></object>

    <object width="480" height="385">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/-Mj0ERhcNVw&hl=en_US&fs=1&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></object>

    <object width="480" height="385">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/Jpu5qT1D94s&hl=en_US&fs=1&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></object>

    <object width="480" height="385">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/js42RMTQ378&hl=en_US&fs=1&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></object>

    http://myinspiration4life.blogspot.com/2010/06/0-2.html

    <a class="timestamp-link" href="http://myinspiration4life.blogspot.com/2010/06/0-2.html" rel="bookmark" title="permanent link"><abbr class="published" title="2010-06-15T08:26:00-07:00"></abbr>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2010
  13. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    10 สมุนไพรคลายเครียด

    10 สมุนไพรคลายเครียด

    ความเครียดดูจะเป็นของคู่กันสำหรับคนวัยทำงาน
    เพื่อนบางคนอาจหาทางออกให้กับความเครียด
    ด้วยการพึ่งยาชนิดต่างๆเพื่อช่วยคลายเครียด
    ซึ่งเป็นยาที่ทำจากสารเคมี และอาจมีผลข้างเคียง
    แถมต้องกินยาอยู่เรื่อยๆ จนเกิดผลเสียตามมา คือ ติดยา ดื้อยา
    และในที่สุดเกิดการสะสมพิษซึ่งส่งผลในระยะยาวต่อร่างกายของเราได้

    แต่ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งของคนไทยที่ทั้งปลอดภัย
    และเหมาะสมกับยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ นั่นคือสมุนไพร
    ซึ่งมีสรรพคุณในการรักษาและบรรเทาอาการเจ็บไข้ในเบื้องต้นได้จริง

    เริ่มต้นจากสมุนไพรใกล้ตัวเราดังนี้


    [​IMG]
    1.ขี้เหล็ก
    หลายคนคงเคยกินแกงขี้เหล็ก
    เมนูเด็ดที่มีรสชาติกลมกล่อมหวานมันซ่อนขมเล็กน้อย
    ซึ่งรสขมๆของขี้เหล็กนั้นช่วยทำให้เจริญอาหาร
    มีการศึกษาพบว่า ใบอ่อนและดอกตูมของขี้เหล็ก
    มีสารที่ชื่อว่า แอนไฮโดรบาราคอล (Anhydrobarakol)
    ซึ่งมีสรรพคุณช่วยคลายเครียด และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อนๆอีกด้วย

    เรามีวิธีนำขี้เหล็ก มาปรุงเป็น ยาสมุนไพรคลายเครียด 2 สูตร ดังนี้
    • นำใบอ่อนและดอกตูมแห้ง 30 กรัม (หากเป็นชนิดสดใช้ 50 กรัม )
    ใส่โหลแก้ว เทเหล้าขาวใส่พอท่วมยา แช่ไว้ 7 วัน
    หมั่นคนบ่อยๆทุกวัน เมื่อครบ 7 วัน
    ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำยา จิบครั้งละ 1-2 ช้อนชาก่อนนอน

    • ใช้ใบอ่อนแห้งประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร
    กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ ดื่มก่อนนอนครั้งละ 1 แก้ว
    ข้อควรระวัง คือ ห้ามดื่มมากเกินไป เพราะอาจทำให้ท้องเสียได้


    [​IMG]
    2.ชุมเห็ดไทย
    เป็นสมุนไพรไทยอีกชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณกล่อมประสาท
    คลายเครียดและทำให้นอนหลับได้ดี

    วิธีทำ นำเม็ดชุมเห็ดไทยประมาณ1-3ช้อนโต๊ะ (5-15 กรัม)
    มาคั่วจนเกรียมต้มกับน้ำ 1 ลิตร เคี่ยวจนเหลือ 600 มิลลิลิตร
    รับประทานเช้า-กลางวัน-เย็น หลังอาหาร

    หรือชงแทนน้ำชาได้ โดยใส่เมล็ดที่คั่วแล้ว 1 หยิบมือ
    ลงในกาน้ำชาขนาดประมาณครึ่งลิตร เติมน้ำร้อนให้เต็ม
    ดื่มวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร


    [​IMG]
    3.ดอกบัวหลวง
    ใช้ดอกบัวหลวงสีขาวใกล้จะบาน 5 ดอก ต้มกับน้ำ 1 ลิตร
    ให้เดือดนาน 10 นาที ดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้ง หรือดื่มได้ทั้งวัน
    ชาดอกบัวหลวงจะมีรสฝาดๆหอมๆ ดื่มแล้วชุ่มชื่นหัวใจ
    ทำให้หายอ่อนเพลีย สดชื่นขึ้น แถมช่วยให้นอนหลับสบาย


    [​IMG]
    4.พริกไทย
    นำต้นพริกไทยแห้งที่หั่นแล้วประมาณ 1 หยิบมือมาคั่ว
    แล้วใส่ในกาชา เติมน้ำร้อนจนเต็ม ชาต้นพริกไทยดื่มได้ทั้งวัน
    หรือวันละ 3-4 ครั้ง ทำให้สมองปลอดโปร่งและช่วยลดความเครียดได้ดีมาก


    [​IMG]
    5.พลู
    นำใบหรือเถาพลูมาคั่วหรืออบให้แห้ง ชงดื่มแทนน้ำชาได้
    โดยใช้ใบหรือเถาพลูที่คั่วแล้วประมาณ 1 หยิบมือต้มน้ำร้อน 1 ลิตร
    หรือชงใส่น้ำ 1 กาน้ำชา ดื่มวันละ 3-4 ครั้ง หรือดื่มทั้งวันก็ได้
    ชาพลูจะออกรสเผ็ดร้อนเล็กน้อย ทำให้ตาสว่างสดชื่นขึ้น และแก้เครียดได้


    [​IMG]
    6.พวงชมพูดอกขาว
    ใช้เถาแห้ง 1 กำมือ หรือรากแห้ง ½ กำมือ ต้มกับน้ำ 4 ถ้วย
    ต้มให้เหลือ 2 ถ้วย รับประทานครั้งละ 3 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอน
    ช่วยกล่อมประสาท และทำให้นอนหลับได้ดี


    [​IMG]
    7.ฟ้าทะลายโจร
    ใช้ต้นฟ้าทะลายโจรตากแห้งประมาณ 1 กำมือใหญ่ๆ
    หั่นและต้มกับน้ำ 1 ลิตร กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ
    ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า-เย็นก่อนอาหาร
    แก้อาการปวดหัวโดยไม่มีสาเหตุ และคลายเครียดได้


    [​IMG] [​IMG]
    8.มะนาวหรือมะกรูด
    สมุนไพรใกล้ตัวที่มีอยู่ทุกครัวเรือนมีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับ
    บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย และทำให้หายเครียดได้
    ซึ่งมีวิธีทำง่ายๆ 2 วิธี ได้แก่

    • ใช้ลูกมะนาวหรือมะกรูด 1 ลูก ผ่าซีกบีบเอาแต่น้ำใส่แก้ว
    เติมเกลือและน้ำตาลทรายไม่ขัดขาวอย่างละครึ่งช้อนกาแฟ
    ใส่น้ำร้อนให้เต็มแก้ว คนให้เข้ากัน ดื่มอุ่นๆทันทีเมื่อมีอาการ
    จะช่วยคลายเครียดได้รวดเร็ว แต่หากดื่มมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสียได้

    • นำใบมะนาวหรือมะกรูดแห้งประมาณ 1 หยิบมือมาคั่ว
    นำไปใส่กาน้ำชา เติมน้ำร้อนจนเต็ม ชงเป็นชาดื่มได้ทั้งวัน
    หรือวันละ 3-4 ครั้ง ช่วยขับเลือดลมและแก้เครียดดีมาก


    [​IMG]
    9.มะเฟือง
    ใช้มะเฟืองที่แก่จัด 1 ผล ล้างให้สะอาด หั่นและแกะเมล็ดออก
    คั้นน้ำใส่แก้ว เติมเกลือครึ่งช้อนกาแฟ และเทน้ำร้อนลงไปให้เต็มแก้ว
    คนให้เข้ากัน ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เช้า-เย็นก่อนอาหาร
    ช่วยระงับความฟุ้งซ่าน ทำให้นอนหลับง่ายขึ้น


    [​IMG]
    10.มะละกอ
    ใช้ลูกมะละกอขนาดเขื่องๆ (8 ขีด-1 กิโลกรัม) 1ลูก
    ปอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาด แกะเมล็ดออก แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ
    ต้มกับน้ำ 1 ลิตร นานประมาณ 15-20 นาที หรือจนกระทั่งน้ำเดือด
    ยกลง กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ ยกน้ำที่ได้ตั้งไฟอีกครั้ง
    นำใบชาชนิดใดก็ได้ใส่ลงไป 1 หยิบมือ
    ต้มต่อจนน้ำเดือด ดื่มแทนน้ำชาได้ทั้งวัน

    ทีนี้คุณจะเริ่มรู้สึกสบายเพราะนอกจากช่วยให้คลายเครียดแล้ว
    สมุนไพรบางชนิดยังช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้หลับลึกหลับสนิท
    และรู้สึกสดชื่นทันทีเมื่อตื่นขึ้นอีกด้วย



    จากคอลัมน์ : เยียวยาก่อนหาหมอ
    นิตยสาร : ชีวจิต ฉ. 241 (ปักษ์แรก ตุลาคม 2551),
    ภาพจาก internet
     
  14. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    การดื่มน้ำช่วยรักษาสิว

    [​IMG]


    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ทำไมการดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจึงช่วยกำจัดสิวได้
    การ ดื่มน้ำสะอาดนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นและมีประโยชน์ในการทำความสะอาดผิวและ สุขภาพโดยรวม เนื่องจากน้ำเป็นตัวลำเลียงสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย และมีความเกี่ยวเนื่องในการรักษาและป้องกันการเกิดสิวได้
    ควรดื่มน้ำวันละกี่แก้ว? คำตอบคืออย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวันเพื่อให้ผิวสวยสุขภาพดี
    ร่าง กายของคนเรานั้นประกอบด้วยส่วนที่เป็นน้ำถึง 70% และมีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานของร่างกายแทบจะทุกส่วน รวมถึงระบบย่อยอาหาร, การดูดซึม, ระบบไหลเวียนของเลือด และการขับถ่าย
    น้ำ ยังทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้สารพิษก่อตัวขึ้นอันเป็นเหตุให้เกิดสิว จึงควรดื่มน้ำเพื่อให้น้ำกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
    ไตซึ่งทำหน้าที่ กำจัดของเสียออกจากร่างกายก็จำเป็นที่จะต้องใช้น้ำในกระบวนการดังกล่าว ดังนั้นการดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะเป็นการกำจัดของเสียและสารพิษออกจากร่างกายทางผิวหนังได้ด้วย จึงทำให้รูขุมขนสะอาดและป้องกันการเกิดสิวได้
    [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]
    ไต ของเราก็ไม่อาจทำหน้าที่ได้เป็นปกติหากได้รับน้ำไม่เพียงพอในการขับสารพิษ ออกจากร่างกาย และเมื่อทำงานไม่เต็มที่ก็จะมีบางส่วนที่จะถูกเก็บไปไว้ที่ตับ
    หน้าที่ ของตับก็คือการเผาผลาญไขมันเพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ถ้าตับต้องรับหน้าที่จากไตเพิ่มด้วย ก็จะทำให้ตับทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เมื่อตับทำงานได้ไม่สมบูรณ์ก็มีผลทำให้เกิดสิวได้ เนื่องจากตับไม่สามารถหยุดการทำงานและขจัดฮอร์โมนส่วนเกินจากร่างกายได้

    ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับน้ำ
    น้ำ เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการลดน้ำหนักและทำให้ไม่ค่อยหิว ทั้งยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่สะสมเอาไว้ด้วย การศึกษาพบว่าเมื่อดื่มน้ำปริมาณน้อยลงจะทำให้ร่างกายสะสมไขมันเพิ่มขึ้น ในขณะที่เมื่อดื่มน้ำปริมาณมากขึ้นก็จะช่วยลดไขมันสะสมได้ การดื่มน้ำวันละ 8 แก้วจะช่วยกำจัดน้ำเสียที่คั่งอยู่ในร่างกายได้ ซึ่งการคั่งค้างของน้ำเสียในร่างกายได้แก่โซเดียม น้ำสะอาดจะช่วยขจัดโซเดียมออกจากร่างกายได้
    น้ำยังช่วยบรรเทาอาการท้อง ผูก เมื่อร่างกายได้รับน้ำน้อยเกินไป ร่างกายก็จะดึงน้ำจากส่วนอื่น ๆ ภายในระบบของร่างกายมาใช้แทน ระบบลำไส้เป็นส่วนแรกที่ร่างกายจะดึงเอาน้ำออกมาใช้ทดแทนเพื่อไหลเวียนใน ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย จึงเป็นเหตุทำให้ท้องผูก แต่หากดื่มน้ำสะอาดเพียงพอลำไส้ก็จะทำหน้าที่ตามปกติได้ดังเดิม
    ดังนั้นการดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงจำเป็นสำหรับผิว เพื่อผิวที่สะอาดสดใสมีสุขภาพดี
    [/FONT]
    ถ้าเห็นว่าบทความนี้ประโยชน์และนำไปใช้ในเวบหรือ blog ส่วนตัวกรุณาทำลิงค์มาที่เราด้วยนะครับ



    การดื่มน้ำช่วยรักษาสิว
     
  15. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ยา สมุนไพรรักษา โรคกระเพาะ

    ขมิ้นชันผง 1 ช้อนโต๊ะ ผสม น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ คลุกให้เข้ากัน

    กินตอนเช้าก่อนอาหาร 3 วัน 5 วัน 7 วัน เเล้วเเต่อาการ
     
  16. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    โรงพยาบาลธรรมชาติ

    ข้อมูลดีมากเลย

    หัวจดเท้ารักษาเองได้ก่อนไป
    <wbr>หาหมอ

    ๑. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัว
    <wbr> ตับพังก็หากระเทียมสดมากินส<wbr>ักวันละ ๑๐ กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันล<wbr>ะครึ่งหัว

    ๒. ปวดหัว ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง (แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีดและกินปลาทูอีกวันละ ๒ ตัว (น้ำมันปลาลดการอักเสบได้) หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่ว
    <wbr>ยได้ค่ะ

    ๓. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้นและกินกระเ
    <wbr>ทียม, หอม, พริกให้มากเข้าไว้

    ๔. ภูมิแพ้ แค่กินฝรั่งวันละ ๕ ชิ้นกับเมล็ดฟักทองวันละ ๑ กำมือ (สังกะสี)

    ๕. แพ้ฝุ่นละออง ไรฝุ่น หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและ
    <wbr>นมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน

    ๖.โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง กินต้มยำไก่, กินหัวหอมใหญ่, หอมแดง, ต้นหอมและเอาหอมซุกไว้ใต้หม
    <wbr>อน

    ๗.นอนไม่หลับ ตักน้ำผึ้งกินก่อนนอนสักวัน
    <wbr>ละ ๒ ช้อนโต๊ะ ถ้าหาน้ำผึ้งไม่ได้ใช้น้ำตา<wbr>ลทราย ๒ ช้อนโต๊ะแทน ถ้าอยากให้หลับสบายเพิ่มเติ<wbr>มขี้เหล็กและมะรุมเข้าไปหน่<wbr>อย

    ๘. ไขข้ออักเสบ หาปลาเนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทู, ปลาสวาย, ปลาแซลม่อน, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลากระป๋
    <wbr>อง

    ๙. กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อย ให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจ
    <wbr>ัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอรี่ของฝรั่งใ<wbr>นปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)

    ๑๐.ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือข
    <wbr>ิงบ่อย ๆ

    ๑๑.ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะและให้กินน้ำมะขามต
    <wbr>้มติดเนื้อมาก เช้า เย็น

    ๑๒.โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วยหรือกินผักกระ หล่ำปลีให้มาก

    ๑๓.เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทา
    <wbr>น เช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง, น้ำขิง, ชาขิงหรือเต้าฮวย

    ๑๔.วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน ให้กินปลาทูน่าให้มากและกิน
    <wbr>เต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้ส<wbr>ลับกับถั่วลิสงวันละ ๑ กำมือก็ได้

    ๑๕.หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง ค! ือ ข้าวเ หนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและปลาทูน่า

    ๑๖.กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมเท่ากับเม็ดใหญ
    <wbr>่) มะม่วงจิ้มกะปิและสับปะรดซึ<wbr>่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก ( แมงกานีส)

    ๑๗.ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครงและหอยนางรมซึ่งมีธา
    <wbr>ตุสังกะสีช่วยสมองได้

    ๑๘.มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวั
    <wbr>นละ ๕ ขีด

    ๑๙.มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอด
    <wbr>เลือดในปอดได้ดี แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉ<wbr>พาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่

    ๒๐.ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั
    <wbr>้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย

    ๒๑.เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์
    <wbr>จิน ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไข<wbr>มันดีไปช่วยขับตะกรันน้ำมัน<wbr>เก่าออก ถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสด<wbr>มาชงดื่มเองวันละถ้วย

    ๒๒.ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสีมากิน
    <wbr>และผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็<wbr>ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น

    ๒๓.เบาหวนถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาลและก
    <wbr>ินผักเขียวจัดอย่างคะน้า บร็อคโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอและฝ<wbr>รั่งเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยม<wbr>าก



    ที่มา FW Mail
     
  17. Heureuse

    Heureuse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2008
    โพสต์:
    857
    ค่าพลัง:
    +3,446
    24 สมุนไพร ที่ควรปลูกไว้เป็นยาสามัญประจำบ้าน

    กานพลู แก้ปวดฟัน ละลายเสมหะ ดับกลิ่นปาก

    ขมิ้นชัน แก้โรคกระเพาะ โรคท้องอืดท้องเฟ้อ

    ขิง ขับลม ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ กำจัดกลิ่น

    ขี้เหล็ก เป็นยาระบาย ช่วยให้นอนหลับ

    ช้าพลู ลดเสมหะ ช่วยเจริญอาหาร บำรุงธาตุ

    ชุมเห็ดเทศ แก้กลากเกลื้อน โรคผิวหนัง

    ตะไคร้ ลดความดัน ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว

    ตำลึง แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย รักษาโรคเบาหวาน

    บอระเพ็ด แก้ไข้ ขับเหงื่อ แก้ร้อนใน ช่วยเจริญอาหาร

    บัวบก แก้ร้อนใน กระหายน้ำ รักษาโรคปากเปื่อย ปากเหม็น แก้ปวดศีรษะข้างเดียว

    ใบเตย บำรุงหัวใจ รักษาโรคเบาหวาน

    พลู แก้ฝีอักเสบ เคล็ดขัดยอก แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ

    เพชรสังฆาต แก้ริดสีดวงทวาร

    ไพล แก้ฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก ลดอาการอักเสบ

    ฟ้าทะลายโจร แก้ไข้ แก้เจ็บคอ แก้ท้องเสีย

    มะระขี้นก เป็นยาระบาย ถ่ายพยาธิ ช่วยเจริญอาหาร

    มะแว้งเครือ แก้ไอ ขับเสมหะ

    รางจืด ถอนพิษเบื่อเมา พิษไข้ พิษผิดสำแดง

    ว่านหางจระเข้ รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

    สาระแหน่ ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร

    เสลดพังพอนตัวเมีย แก้แมลงกัดต่อย ผื่นคัน ลดอาการผิวหนังอักเสบ

    หญ้าหนวดแมว บำรุงไต ขับปัสสาวะ รักษาโรคหนองใน

    หนุมานประสานกาย แก้หวัด ภูมิแพ้ หอบหืด

    อบเชยเถา รักษาอาการหน้ามืด ตาลาย อาการวิงเวียนศีรษะ และช่วยขับลมในลำไส้
    __________________

    ไปเจอมาเลยเอามาฝากน่ะคะ ถ้าซ้ำต้องขออภัยด้วย
     
  18. เศรษฐาพล

    เศรษฐาพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    498
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,535
    ชอบคุณครับบบ ท่าน อิอิ
     
  19. orchidme

    orchidme เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +2,956
    เรื่องก็มีอยู่ว่า สองตายายคู่ นี้ คือ พ่อกับแม่ของผมเอง พ่อมีอาการปวดข้อ ปวดกระดูก มานานกว่า 10 ปี และมีอาการของโรคเกาต์ และกระดูกพรุนด้วย และท่านต้องนั่งที่เก้าอี้นานๆ วันละ เกือบ ๆ 8 ชั่วโมง ทำให้มีอาการปวดหลัง ส่วนแม่ มีอาการปวดหลัง เอว แขนและขา มานานมากแล้ว อาจจะเกิดจากความชรา ท่านได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐมานาน ทานยาตามที่หมอสั่งแล้วก็ทุเลาลง แต่ก็ไม่หายขาด

    มีอยู่วันหนึ่ง แม่ได้เล่าให้ฟังว่า พ่อมีอาการปวดขามาก มากจนนอนไม่หลับมา 3 คืนแล้ว ผมจึงไปถามพ่อว่าอาการเป็นอย่างไร ท่านตอบว่า ปวดที่ข้อเท้าและฝ่าเท้า เหมือนมีเข็มมาทิ่มแทง ทรมารมาก ผมก็หายามานวดให้ก็ทุเลาลงแต่ก็ยังไม่หายปวด กลับทำให้ขาบวมขึ้นมามากกว่าเดิม ผมจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการที่พ่อเป็น ผ่านทาง
    เว็ปไซด์ Google จึงรู้ว่าพ่อเป็นโรคเกาต์ขั้นรุนแรงแล้ว
    วันหนึ่งได้เข้าเว็ป ไทยรัฐ ออนไลด์ จึงได้พบ วิธีการรักษาโรคเกาต์แบบโบราณโดยใช้สมุนไพร คือมะเฟืองเปรี้ยว ผสมกับน้ำผึ้ง ผมก็ลองหามะเฟืองมาลองทำตามสูตร ผลปรากฎว่าพ่อของผมหายจากอาการปวดขาปวดตามข้อ ปวดฝ่าเท้า ตามสรรพคุณที่เขาบรรยายไว้จริงๆ แม่ของผมจึงลองทานดูบ้าง ผลปรากฎว่า อาการปวดหลังของแม่หายขาดเลย ผมจึงขออนุโมทนาบุญกุศลของท่านที่ได้พิมพ์ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีรักษาโรคนี้ ขอให้ท่านจงมีความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรง บริบูรณ์เงินทอง ตลอดไปครับ

    ด้วยความเคารพอย่างสูง
    ศุภฤกษ์ พึ่งสุข

    "มะเฟืองเปรี้ยวสุก" แก้โรคเกาต์


    โรคเกาต์ เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดยากเหมือน กับโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต ซึ่งคนที่เป็นโรคเกาต์ทราบกันดีทุกคนว่า เมื่อเป็นแล้วจะทรมานมาก เวลากินอาหารแสลงเข้าไป ข้อเท้าจะบวมฉึ่งเจ็บปวดมากจนเดินไม่ได้ ในทางสมุนไพรมีสูตรรักษาหลายสูตร เคยแนะนำไปบ้างแล้วสามารถบรรเทาได้ระดับหนึ่ง
    สำหรับ "มะเฟืองเปรี้ยวสุก" เป็นอีกสูตรหนึ่ง ที่นิยมใช้กันมาแต่โบราณ เป็นสูตรเฉพาะกลุ่ม ได้รับการบอกเล่าจากผู้ใจดีว่าสามารถทำให้โรคเกาต์หายขาดได้ จึงรีบแนะนำผู้อ่านไทยรัฐอีกตามระเบียบ โดยมีวิธีทำง่ายๆ คือ ให้เอาผล "มะเฟืองเปรี้ยวสุก" จำนวน 1 ผล เกลือป่นเล็กน้อย น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำต้มสุก กะให้ได้ 2 แก้วต่อวัน ปั่นให้เข้ากันจนละเอียด กินครั้งละเกือบเต็มแก้วเช้าเย็นก่อนอาหาร ทำกินติดต่อกัน 6 วัน เจ้าของสูตรบอกว่าอาการของโรคเกาต์จะหายได้ ใครที่เป็นโรคเกาต์ทดลองทำกินไม่อันตรายอะไร

    มะเฟือง หรือ [FONT=Times New
    Roman]AVERRHOA CARABOLA LINN. [/FONT]อยู่ในวงศ์ AVERRHOACEAE ประโยชน์ทางยา ยอดมะเฟืองกับยอดมะพร้าวต้มผสมกันกินแก้ไข้หวัดใหญ่ ใบต้มอาบแก้ตุ่มคัน แก่นและรากต้มกินแก้ท้องร่วง แก้เจ็บเส้นเอ็น ผลสระผมบำรุงเส้นผม ขจัดรังแคได้ ปัจจุบันผลมะเฟืองเปรี้ยวหาซื้อยากมาก ส่วนใหญ่จะมีแต่ผลมะเฟืองหวานขาย ใครต้องการต้นมะเฟืองเปรี้ยว ไปปลูก มีขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผง "คุณก็อต-คุณหลง" ตรงกันข้ามโครงการ 15 ราคาสอบถามกันเองครับ หนังสือ "สมุนไพรไม้ประดับหายาก" เล่มที่ 4 ของ "นายเกษตร" พิมพ์สี่สีทั้งเล่ม หนา 256 หน้า มีสูตรสมุนไพร ไม้ดอก ไม้ ผลหายากมากกว่า 150 ชนิด ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย "คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์" ตู้ ปณ. 48 ปณ.สามแยกลาดพร้าวกทม. 10901 ระบุที่ส่งกลับให้ชัดเจน หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร น้ำมันงาหีบเย็น ไม่ผ่านความร้อน ทาผิวป้องกันผิวแห้ง หมักผมดี อม 1 ช้อนก่อนนอน 20 นาที บ้วนทิ้งช่วยดูดสารพิษได้, ครีมโลดทะนง รักษาสิวฝ้า รูขุมขนตีบลง, ผงยาโบราณ ทาแก้สิวแผ่นหลัง เม็ดผื่นคันตุ่มใสตามร่างกาย, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน บำรุงไต บำรุงกำลัง, ขมิ้นชันสูตรแก้โรคกระเพาะอาหาร, คอลลาเจนบริสุทธิ์ ช่วยให้ใบหน้ากระชับ, ข่อยขัดรักแร้ ดับกลิ่นเต่าช่วยให้รักแร้หายคล้ำ, ว่านชักมดลูก แคปซูลช่วยให้มดลูกกระชับ แก้ คาวปลากลิ่นเหม็น แก้ต่อมลูกหมากอักเสบ ไส้เลื่อนในบุรุษ, ตรีผลา ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์ โทร. 0-2275-2692 ครับ ."นายเกษตร"
    ที่มา เข้า google แล้ว พิมพ์คำว่า มะเฟือง โรคเกาต์ครับ

    ข้อมูลจาก forward email
     
  20. mikijung999

    mikijung999 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +6
    อยากทราบว่าโรคไทรอยด์ที่อยู่ตรงคอ มียาสมุนไพรไทยชนิดไหน กินแล้วดีขึ้นไหมค่ะ คือว่าแม่เป็นน่ะค่ะ ไม่อยากให้กินยาแคปซูลมาก ขอบคุณค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...