เกิดทันครับพี่พี....
ผมนั่งรถเมล์สาย 32 ปากเกร็ด-สนามหลวง แบบไม่เสียตังส์กะเพื่อนๆประจำเรยครับ...
ชอบไปเดินวนรอบๆ...บางครั้งก็เดินผ่ากลาง ซอกโน้นซอกนี้ครับ....
ยังจำได้...มีพวกหากินแบบ ยืนแจกภาพ/แจกใบปลิว...พอคนหลงรับของแจกเข้ามือ...มันก็จะมาลุมยัดเยียดให้จ่ายตังส์ทำบุญต่างๆนานา...ไม่เว้นแม้กระทั้งพวกผมในวัยเด็กครับ...บอกว่าไม่มีตังส์ บาท-สองบาท มันก็เอาครับ...ฮ่าๆๆๆๆ
โตขึ้นมาหน่อย...ก็ชอบไปเสาะหา/หนังสือตำราฝั่งศาล ครับ....
ยังจำภาพได้แม่น..."โป๊ะมั๊ยน้อง...โป๊ยมั๊ยน้อง"...ฮ่าๆๆๆๆ
เล่มละเป็นร้อย...ไปยืมเพื่อนอ่านดีฝ่า คิคิ...(แม่ให้ตังส์ไปซื้อตำราเรียน คิคิ)
พอย้ายไปอยู่จตุจักร...
ไปเดินไม่กี่รอบเลยครับ...ไม่ได้อารมณ์เหมือนตอนอยู่สนามหลวงครับพี่...
เล่าความหลัง...จากสิงโตชราแห่งดงพญาเย็น คิคิ...
------------------------------------------------------------------------
พี่พีหาโรงงานผลิตแล้วปิดให้ได้นะครับ...อนุโมทนาครับ...
ระบาดหนัก...เกินกว่าการซื้อ-ขายแบบธรรมดาๆไปแล้วครับ....
นำมาบริจาคแบบให้ทำบุญ...ได้ตังส์เยอะกว่านะครับ....
ลองดูกลุ่มนี้ด้วยก็ดีครับ....เพราะเข้าใกล้พระศาสนาเยอะมาก...
นำมาเรี่ยไร...นำเงินไปสร้างเจดีย์ปู่ใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้วหลายสำนักอ่ะครับ...
บริจาค 5,000 ได้สมเด็จวัดพระแก้ว/ธาตุพนม/วังหน้า 1 องค์ครับ...
อันนี้..เห็นกะตามาแล้วอ่ะครับพี่...ส่องอีกด้วยล่ะ...
ระวังมนุษย์ ดร ครับ
ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย narmja, 21 มีนาคม 2012.
หน้า 11 ของ 13
-
พูดถึงสนามหลวงนิดนึงครับ อดไม่ได้ตามประสาคนเริ่มหนุ่ม ตอนเด็กๆย่าพาขึ้นรถเมล์สาย2 หรือ25 จำไม่ได้ดีนัก ไปสนามหลวงทุกอาทิตย์ จำได้ว่าชอบดูคนขายยา ชอบดูโหลเด็กดอง โหลใส่พยาธิ ไปกินข้าวแช่(ตอนเด็กไม่ชอบแต่ก็กินเพราะมันเย็นดี) ขนมขี้หนู เดินทั่วตลาดนัด ซื้อของเล่นเรือ รถ สังกะสีบ้าง ลิงไต่ราวบ้าง ฯลฯ ส่วนย่าก็ซื้อปลาสลิด จากดอนกำยาน เมื่อก่อนตอนเด็กๆ แตงโมบางเบิด และบางอะไรอื่นอีก ลูกใหญ่สีเขียวๆ สัปปะรด(โคตรแสบลิ้น) ขนมอะไรต่างๆเดินกินจนอิ่ม แต่ที่อร่อยที่สุดน่าจะเป็นผัดไท เท่าที่จำได้ ของที่มาวางขายที่ตลาดสนามหลวง จะวางกันเป็นระเบียบวงกลมรอบทางเดิน และแบ่งโซนเป็นจังหวัดๆ นึถึงแล้วมีความสุขดี
ส่วนสนามหลวงสำหรับคนระดับด๊อก น่าจะหมายถึง......นะครับ แต่แปลกดี อายุขนาดนี้เขาไม่น่าที่จะ......แล้วนะครับ มันอายมือ ถ้ามันพูดได้ก็คงจะบอกว่า"แหมใช้เค้าทำนู่ทำนี่ จับนู้นล้วงนั่นทุกวัน ยังจามาให้ถู ปิ๊กกาจู้ อีกเหรอ......" -
-
ถึงพี่คนปั้นพระ บาเยียร์อร่อยๆ ผมว่าน่าจะสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยแล้วนะครับ หรืออาจจะมี เมื่อก่อนบางรัก มีเจ้าอร่อย สนามหลวงก็เจ๋ง บางลำภู(ย่าเรียกบางลำภูว่าบน เพราะอะไรก็ไม่รู้) ก็มี แต่เดี๋ยวนี้ไมได้กินแบบอร่อยๆมายี่สิบกว่าปีแล้วครับ ใครอยู่บางรัก น่าจะเคยกินแกงร้านยายเป้า และขนมป้านา(ร้านติดกัน) มีขนมเต่า ขนมไข่นกกระสา ที่หาคนทำและคนรู้จักในสมัยนี้น้อยมากๆๆๆ
ผมว่าเราน่าจะไปหาที่คุยกันเรื่องเก่าๆ ใครมีเวปบล๊อคเอามาลงหน่อยหรือหาที่คุยกันดีกว่าครับ ในนี้ด๊อกเขาจะใช้ขัดปิ๊กกาจู้ -
กรุท่าพระจันทร์???
-
มั่วแบบด้านๆ..ตาใสๆ !!!
:boo::boo::boo:เจ้าประคุณสมเด็จมาประทับร่าง..บอกเล่าโน่น..นี่..นั่น.. โอย...จะบ้ากันไปใหญ่แล้วคุณ ดร.
พระโพธิสัตว์นะครับ...ไม่ใช่สัมภเวสีหรือรุกขเทวดา..ที่จะมาประทับทรง..
เอ้าไหน..ตำหนักไหน..สำนักไหน..ที่อ้างว่าเป็นองค์ญาณของหลวงปู่โต..พิสูจน์ง่ายๆครับ..
กราบนิมนต์เจ้าประคุณท่านสวดพระปาฏิโมกข์เพื่อสงเคราะห์แก่สัตว์โลกตาดำๆให้มีโอกาสได้ยินเป็นบุญหูสักครั้งเถอะครับ..ไม่ต้องทั้งหมดก็ได้นะครับ..พอแค่เป็นตัวอย่าง...
รับรองครับ..ร่างทรง..งงเป็นกระบือเมาเหล้า..
หรือไม่ก็เจ้าประคุณเคยเป็นสมเด็จพระราชาคณะนี่ครับ..ลองถามอนุสาสน์ ๘ ของสมณะก็พอ..พอเป็นเครื่องยืนยันว่าสมัยอดีตขององค์ญาณนั้นเคยเป็นพระมหาเถระมาก่อน..แถมมีดีกรีเป็นพระโพธิสัตว์เจ้าด้วย..
อึกอัก ก็ญาณทิพย์..อึกอักก็องค์ญาณ..ยานโตงเตง..นะสิไม่ว่า..พวกมั่ว..อ้างตะพึด
แล้วเอาอสัทธรรมปฏิรูปมาสอนประชาชน..โดยกล่าวตู่ว่าพระพุทธเจ้าสอน..พอเริ่มมีคนเขลามาศรัทธาทีนี้แหละท่านเอ๋ย ขายของบ้าง ดูดวงบ้าง ทำพิธีโน่น นี่ นั่นบ้าง หลอกเอาเงินมาบำรุงวัดกระเพาะของตน.. คุณ ดร. ครับ พระอาจารย์ที่คุณกล่าวถึงอยู่บ่อยๆน่ะ..หากท่านยืนยันดังที่คุณ ดร. อ้างมาจริงก็เป็นอาบัติแล้วละครับ อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ต้องปาราชิกขาดจากพระครับ..แต่ถ้าหากท่านรู้จริงมีญาณจริงก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์อยู่ดี..เพราะพระพุทธเจ้าท่านห้ามแสดงหรืออวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน หรือแม้แต่มีในตนก็ตาม ( กราบขอขมาพระคุณเจ้าหากข้อความดังกล่าวปรามาสพาดพิงถึงพระคุณเจ้าหลายๆท่านนะครับ )
อย่ามั่วครับ..คุณ ดร. เรียนจบสูง..แต่มาหากินกับความเชื่อ ด้วยวิชาปาหี่ จั๊บโป๊ย ที่เรียนจบมา..น่าเวทนาแท้...:boo::boo::boo::boo::boo:
-
ที่ย่าคุณมันตรัยเรียกว่าบางลำภูบนนี่ถูกแล้วครับ เพราะบางลำภูล่างถ้าจำไม่ผิดจะอยู่ตรงแถวๆคลองสาน แต่เดี๋ยวนี้ไปถามใครว่าบางลำภูล่างอยู่ตรงไหนจะไม่มีใครรู้จักหรอกครับ สมัยนั้นเค๊าใช้พายเรือมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ถ้าไปจากบางโคล่ก็ต้องผ่านบางลำภูล่างก่อน เหมือนวัดนอกวัดในอะไรแบบนั้นครับ
ทำไปทำมาจะเป็นคนบางเดียวกันหมดซ๊ะล่ะมั๊ง555 -
เข้ามาติดตามอ่านครับ :cool: เรื่อยๆ
-
หุ ๆ ๆ ผมเด็กบ้านนอก ไม่เคยท่องกรุง ที่หลาย ๆ ท่านเล่ามาถึงแม้ไม่เคยไปจริง
แต่อาศัยว่าเคยอ่านหนังสือมาเยอะเห็นภาพเก่า ๆ มาบ้างจึงพอจะนึกภาพได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
สรุปแล้ว เริ่มเข้าวัยชราเหมือน ๆ กัน เพราะชอบเล่าเรื่องความหลัง 555+
-
ผมตามเข้าไปดู...รังของ..ดร....ใน พิพิดทะพันประจำตระกูล..( ในบล็อกShow) ของเขา
แล้วถึงบางอ้อครับ....น่าสงสารท่านจริงๆ...พระเครื่องที่บรรพชนท่านเก็บมา (ลูกค้าชั้น 1 ตาโย่ง) พอตกทอดมาลูกหลานเลย..มั่น!.มาก..ประมาณที่เห็นละครับ -
-
กระทู้นี้ เป็นกระทู้คุยกัน มันดีครับ...แหะๆ
เรื่องสนามหลวง ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง คลองหลอด วัดพระแก้ว ท่าช้าง ฯลฯเรื่องมันยาวมากครับ เป็นแดนเที่ยวยุค รุ่นๆทีเดียว มีสีสัน ของดู ของกิน มากมาย
ผมกับพ่อ ไปสนามหลวงบ่อยมาก ไม่ใช่ไปถีบจักรยาน แต่ไปซื้อว่าวครับ...แหะๆ
ตอนเด็กๆ ผมชอบชักว่าวครับ เด็กยุคผมเล่นว่าวกันน่ะครับ หลักๆ มี ว่าว จุฬา ว่าวปักเป้า ว่าวผีเสื้อ และ ว่าว อีแพรด ( อันนี้เรียกแบบนี้ แต่เขียนไม่แน่ใจ ) ผมกับพ่อ จะเล่นกันประจำ เพราะยุคก่อนมีที่เยอะ ตึกไม่ค่อยมี
นอกจากนั้น ยังทำสายป่านเอง ป่านแบบ มีเศษแก้ว ทั้งแก้วธรรมดา และ แก้วนีออน สายป่านเป็นอะไรที่มีเทคนิคมมาก จะต้องยาวพอ แบบที่เขาเรื่องว่า สายป่านยาว มาจาก นักเล่นว่าวนี่เองครับ
เราจะไป สู้กัน ตัดกันโดยสายป่าน เมื่อว่าวมาชนกัน ต่างฝ่ายต่างจะปล่อยสายป่านออก จากม้วน เพื่อตัดอีกข้างให้ขาดลอยไป เป็นอะไรที่มันแบบสุดยอดครับ การทำสายป่านนี้ มีหลายสูตร ทั้งใช้ แป้งเปียก ใช้ ไข่ ใช้กาว การทำก็ทำกันเอง มาเล่าจะยาว ผมทำสายป่านเองมาหลายปี บ้าเป็นพักๆ ครับ ในหน้าว่าว
การสู้นี้มีสู้นอกพื้นที่ โดยปล่อยสายป่านให้ยาว อีกด้านก็จะปล่อยออกมา ไม่รู้จักกัน แต่ถ้าเจอบนท้องฟ้า ต้องสู้กัน ชิงความเป็นเจ้าเวหา ...เหอๆๆๆ สายป่านนี้น่าจะยาว เป็นร้อยๆเมตรน่ะครับ สำหรับพวกเอาจริงมือ อาชีพและจะมีรอยต่อไม่ได้ ต้องยาวม้วนเดียวจบ ถ้ามีรอยต่อ เสร็จเขาครับ
ถ้าแพ้เขา ว่าวและ สายป่านจะขาดลอย ผมและพวกเคยตามว่าว ไปเลยสวนลุม ถึงบ่อนไก่ คลองเตย เพื่อตามว่าวที่ลอยไป บางทีลอยไป ด้านสยามสแควร์ ตอนนั้นยังไม่มี สูนย์การค้า โดยถีบจักรยานตามไป...แหะๆ ข้ามถิ่นไปเก็บ โดนไล่ชกก็มี...แหะๆ
ยุคนี้ไม่เห็นมีใครเล่นแล้ว ....สงสัยเราจะแก่ -
เรื่องอับดุลนี่ ดูมาหลายงานครับ งูเห่า มัน เหี่ยวเต็มที พังพอน ก็แก่มาก หายเปรียว จะหนีท่าเดียว อย่างพี่ ปั้นพระว่าแมันไม่เคยกัดกันเลือดสาดแบบในหนัง
นอกนั้น กลุ่มนี้มีเล่นกลน่ะครับ ดูกันนาน กว่าจะปล่อยมุขที่ พูดซ่ะเยอะ แล้วก็ขายยา แต่ถ้าพูดเก่ง มันพูดเก่งจริงๆพูดได้เป็นชั่วโมง
นอกจากนั้น ไอ้พวกนี้นี่แหละ เอา รักยม กุมารทองมาขาย บอกว่าเป็นรักยม หลวงพ่อจง คู่ล่ะ สิบบาท ไม่รู้จริงหรือ ปล่าว ผมล่ะหูผึ่ง แต่ไม่กล้าซื้อต้องไปถามผู้ใหญ่ หรือ ถามแม่ก่อน เพราะยุคนั้น ยุคไม้เรียวธิปไตยครับ จะทำอะไรแปลกๆ เช่นจะเอาผี เข้าบ้าน ต้องขออนุญาตก่อน ไม่งั้น โดน ทั้งก้านมะยม ยันก้านสน กิ่งฝรั่ง โดนจนไม้หักก็มีครับ เพราะเรื่องพิเรน ซนๆ ผมน่าจะติดอันดับกับเขาด้วย แต่มีกฎเหล็ก ไม้เรียวที่ผมเคารพมากครับ
อัลดุล สูญพันธ์ไปแล้วมั้งครับ บาเยียร์ ไม่เคยเห็นอีก ยังมีอีกหลายอย่าง เช่น โรตี แบบกดด้วยเหรียญสลึง ไอติม ถั่วแดง ก๋วยเตี๋ยวหลอด แบบอาซิ้ม หาบมาขาย กับข้างเหนียวถั่วดำ ฯลฯ
อะไรนี่ไปแล้วไปเลยน่ะครับ อีกหน่อย เราก็ไปเหมือนกัน
ท่านผู้เจริญ มีความรู้ มีวิชา เอามาหากินแบบ ไม่ให้เขา นินทาดีกว่าครับ ...เชื่อผม...แหะๆ ตอนไปจะได้ไปดีๆจ้า -
อับดุลนี่ยังพอหาดูได้ตามตลาดนัดบ้านนอกครับ
แต่นาน ๆ จึงจะเห็นทีหนึ่ง
ส่วนมากก็ทายเลขของแบ็งค์ และบอกหวย ขายพระ
แต่ก็ตามสไตล์บอกจะปล่อยงูจงอางยักษ์จับได้จากภาคใต้
เป่าไมค์ ฟู่ ๆ แล้วก็คุยเรื่องอื่นไปเรื่อย สุดท้ายก็เหลว -
พูดถึงเรื่องว่าว คนสมัยก่อนทำว่าวเก่ง ผมเคยลองทำตามพ่อ ไม่ขึ้น มันหนักไป แต่พ่อผมเคยทำว่าวขายสมัยเด็กๆ ขายไอติม ที่มีไม้แดงด้วย พอหนีสงครามไปอยู่ตะกั่วป่าก็ต้องเลิก พูดถึงป่านผมเคยดูพวกรุ่นพี่แถวบ้านทำครับ เอาหนังควายมาผสมกับอะไรไม่รู้เคี่ยวจนได้ที่ เอกหลอดนีออนด์มาทุบให้ละเอียดเป็นผงแล้วเทลงไป เคี่ยวนานเหมือนกันในกระป๋องลิ้นจี่ ต้องทำนอกบ้านเพราะเด็กโดนห้ามใช้เตา จึงตั้งก้อนเส้าเอาบนข้างถนน จากนั้นมองหาทำเลดีๆ พวกผมโชคดีที่มีบ้านสร้างใหม่มีเสาปูกลมหน้าบ้านสองต้น เอาม้วนเชือกหย่อยลงไปในกระป๋องขนะร้อนๆแต่ไม่มาก และพันรอบเสาสองต้น รอจนเย็นค่อยม้วนเก็บ รู้สึกว่าจะใช้ด้ายตราสมอนะถ้าจำไม่ผิด ดูพวกรุ่นพี่ทำแล้วก็ว่ายาก เพราะต้องระวังทุกขั้นตอนต้องเอาผ้าคอยประคองไม่ให้นิ้วไปโดน หลังจากลองปล่อยว่าวขึ้นก็ไม่ต้องทำอะไร รอให้คนมาสู้ เท่าที่เห็นแค่เพียงทับลงไปเบาๆเชือกอีกฝ่ายก็ขาดทันทีโคตรคมเลย แต่เห็นเข้าโม้กันว่าอยู่ที่เทคนิคด้วย ตอนเด็กทุกอย่างสนุกหมด แต่ที่สนุกที่สุดนอกจากการละเล่นอย่างอื่นก็คือ แอบดู..... ฮิๆ
ผมว่าเราคุยกันในนี้คงไม่มีใครว่า ทางเวปคงว่าไม่ได้เพราะขนาดเอาเหล็กไหลที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ในโลกมาลงทำบุญทางเวปยังเฉย เพราะเป็นพวกเดียวกันกระมัง แถมยังยิ้มเย้ยไยไพอีกด้วย ถ้าไม่ติดว่าพวกเราต้องรบกับด๊อกเตอร์ปิ๊กกาจู้กุวังหน้าแล้วละก็ คงจะหาเวลาเข้าไปถล่มแก๊งค์ลูกแก้วเหล็กเหลวไหลหลอกลวงให้สิ้นซาก -
เกิดไม่ทันจริงๆครับพี่ ได้แต่ เอ๋อๆ อะไรคือบางลำภู บน ล่าง อะไรคือ บาเยียร ขอบคุณครับพี่ หนุกดี
-
เกิดไม่ทันยุคท่าผู้เฒ่าครับ แต่รับรู้ได้ด้วยญาณบารมีส่วนตัว ฮ่าๆ
-
เอาโครงของ "ปักเป้า" มาใช้แล้วเพิ่มพื้นที่กระดาษซ้าย-ขาว ดั่งผ้าคลุมซุปเปอร์แมนอ่ะครับ....
เวลาปล่อยขึ้นไปบนฟ้า...ผ้าคลุมสะบัดลมเสียงดัง แพ่บ แพ่บ แพ่บ ตลอดเวลา....
ผมไม่เคยทำ อีแพ่บหรือ จุฬา ได้สำเร็จโดยไม่ต้องถ่วงหางเลยครับ...ไม่มีฝีมืออะครับ...ฮ่าๆๆๆๆ
พี่พีนี่..นักเลงว่าวน่าดูนะเนี่ย...เล่นว่าวยังมีต่อยอีก คิคิ.... -
เด็กดุๆจะเป็น แถว ซอย จุฬา ซอย ? ลืมชื่อซอย แต่จะใกล้มาบุญครอง ตอนนั้ไม่มีมาบุญครองมีแต่บ้าน และ สวน และคลองครับ
ตอนเด็กๆ ถ้าจะต่อยกัน จะมี ท้าทายแบบ ในหนังจีนครับ ถ้าจะต่อยกัน ต้องถอดเสื้อออก เพราะกลัวเสื้อขาด เดี๋ยวแม่จะตีซ้ำ.... ถอดรองเท้าแตะ เพราะเกะกะ เหลือกางเกงตัวเดียว กับ ซี่โครง แล้วอีกฝ่ายหนึ่งจะเอาเท้าขีดบนดิน เป็นเส้น พรมแดน แล้วจะท้า บอกว่า ถ้าแน่จริงมึงข้ามมา
ถ้าอีกข้างข้ามมา ก็ชกกัน จะเป็นมวยไทย หรือ สากล ต้องตกลงกันก่อน ว่าไม่มีเตะ ไม่มีศอก
เรื่องว่าวนี้ ชกกันบ่อย เพราะแย่งว่าวที่ลอยมา หรือ โดนตัดไป การทำสายป่านนั้น เรื่องมันยาว มีเทคนิค ที่สำคัญ กาวต้องไม่เป็น ปึกหนาๆเคลือบ ด้ายป่าน ตราสมอครับ เบอร์ อะไร ลืมจริงๆ แต่จะเป็นด้ายพิเศษ เพราะม้วนใหญ่ ไม่ใช่ด้ายเย็บผ้า หรือ ถักตะกรุด และ เศษแก้ว พวกนีออน หรือ เศษแก้ว จะต้องละเอียดแบบ เป็นแป้ง จะต้องกรองด้วย ตะแกรงทำขนมกับผ้าขาว ที่แอบจิ้ก คุณแม่มาทำ กรองอีก แล้ว ตำอีก บนครก อ่างศิลา ที่แอบ เอาของคุณแม่มาทำอีกเหมือนกัน...เหอๆๆ ถ้าเจอ โดนไม้เรียวครับ ไม่มีอุทรณ์ ฎีกา
พวกที่เป็นเศษแก้วนีออน ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะมีไอ ในหลอด และ อย่าให้ เป็นแผล จะหายยากครับ ผมไม่ค่อยนิยม เพราะกลัว
ตอนรูดด้ายป่าน อันนี้ สุดยอดวิชา ครับ จะต้องหาที่ขึงป่านให้ยาว ไม่มีสะดุด ที่สุด พอจะรูด จะต้องเอากาว ที่เคี่ยว หรือ กาวแบบสูตรพิเศษ เป็นแป้งเปียกก็มี อาจใช่ ไข่แทนครับ ปนกับเศษแก้ว แล้วหา ปลาสเต้อร์ มาพันที่หัวแม่มือ กับ นิ้วชี้ เอากาวที่ปนเศษแก้วทาที่นิ้ว แล้วรูดลงบน ป่านครับ จะต้องรูดให้เศษแก้ว ติดเข้าไปในเนื้อป่าน และอย่าให้เป็นปม เพระาถ้ามีปม นี่คือปมสังหารครับ เพระาป่านคู่ต่อสู้จะมาติดที่ปม ไม่เลื่อนไป จะตัดเราขาด จะต้องรูดให้แน่น ใจเย็นๆ แล้ว จะมีรูดซ้ำ เมื่อกาวแห้งครับ
เอาแค่นี้ครับ มีเทคนิคอีกน่ะครับ แต่มันยาว
ส่วนการสู้กัน มันอยู่ที่สายป่านใครยาวกว่ากันครับ ถ้าหมด เสร็จครับ เพราะสายเราจะอยู่นิ่ง เขาจะตัดเราขาด และ ขึ้นอยู่กับลมบน ที่ดึงว่าวเรา ถ้าว่าวจะตก หรือ บังคับไม่ดี พุ่งหัวโฉบลงดิน เราไปกระตุกให้มันเสยขึ้น พอกระตุก เสร็จเขาทันทีครับ เพราะป่านเราจะนิ่ง เขาจะตัดเราขาดกระจุย
เป็นอะไรที่มันสุดขีดครับ...แหะๆ ไม่มีทางลืมรสชาด ไปได้เด็ดขาด -
หน้า 11 ของ 13