คำถามครับ
1. แสงคือรูป(รูปธรรม) สีคืออารมณ์(นามธรรม) เขาแบ่งกันแบบนี้ใหมครับ ?
2. วิญญาณ = รู้แจ้งในอารมณ์ สีขาวใสเป็นสีที่ทะลุผ่านสีต่างๆได้
ตัววิญญาณในที่นี้ใช่สีขาวใสใหมครับ ?
3. ขาว กับ ใส นี้มันต่างกันอย่างไรบ้างครับ ?
4. ใส นี้จัดอยู่ในฝ่าย นามธรรม รึเปล่าครับ เพราะใสมากๆนี้ก็จะไม่เห็นรูป ?
ระหว่าง รูป กับ อารมณ์ ?
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Mdef, 9 ตุลาคม 2018.
หน้า 1 ของ 3
-
-
ว่างๆลองไปอ่านอภิธรรม
รูป28 เจตสิก52 จะเป้นภาษากลางๆ
ไม่ต้องไปบัญญัติคำใหม่
น่าจะเข้าใจได้มากขึ้นนะ
เอาแค่ประดับความรู้ พอเข้าใจศัพย์กลางๆ
ก้เพียงพอสำหรับประกอบการปฏิบัติ -
ตามความเห็นของท่านปราบ ท่านปราบว่าจิตอาศัยที่
หทยวัตถุรูป อยู่ภายในเนื้อหัวใจ หรือว่า จิตอาศัยอยู่แถวๆลิ้นปี่ครับ -
ภายในเนื้อหัวใจ -
หทัยวัตถุ อย่าไปแปลว่าเป็น หัวใจแดงๆ เต้นได้สี่จังหวะ
ถ้าเมื่อไหร่ แปลความ หทัยวัตถุ เป็น หัวใจแดงๆ สูบเลือด สูบเนื้อ
ให้พิจารณา จิตในสมัยนั้น ปราศจาก สัมมาทิฏฐิ ในเรื่อง "โอปาปาติกะ"
ถ้า สัมมาทิฏฐิ โอปาปาติกะมีจริง ยันเปรี้ยง หทัยวัตถุคือ หัวใจเต้นได้ อยู่หมัด
หทัยวัตถุ จะไม่มีสี ไม่มีสัณฐาน ไม่มีไป ไม่มีมา แต่ยังมี กระแสปัจจัย
อาหาร4 แม้น ตัววิญญาณ ก็เป็น อาหาร(โอปาปาติกะ จะเป็น พระเอก รายงาน
ตัวเป็น สิบเอก ใน กรณีนี้ ) ชีวิตินทรีย์ก็จะปรากฏ ไฟปรากฏ ดินปรากฏ น้ำปรากฏ
ลมย่อมกระจายแผ่กิ่งก้าน สาขา สเต็มเซล กลาปะ กรรมชรูป ไพบูลย์
จะเห็นว่า วิญญาณ อาศัย ปัจจัย คือ มหาภูตรูป มีอยู่ จึงเกิด อุปาธิ อุปาทาน วนเวียน
เกิดสังสารวัฏจักรยาน ขึ้นมา
เห็นแล้วได้อะไร
อย่าไป ไล่ตะครุบอยู่กับ รูป กับ นาม
ให้กำหนดรู้ ทุกขสัจจ
เพราะ เราจะ เฝ้นเห็น ธรรมชาติที่ มหาภูตรูป ไม่สามารถปรากฏได้ใน ธาตุ นั้น
แล้ว โน้มจิตไปใน ธาตุ นั้นว่า นั่นสงบ สงัด
พุทธเต็ม100 แต่ก็ อาศัยวิบาก อภิชญา และ โทมนัส ในกาลก่อนๆ เพื่อ
อาศัยระลึกที่ไป ที่มา แห่ง กายคตา บางจิต อาจโลดโผน โจนทยาน ว่ากันไป
ตาม ฉันทะธรรม(มีการกำหนดรู้) และ ฉันทะราคะ(ไม่หยุดอยู่ที่รู้ เผลอเพ่ง เผลอเพลิน) -
ลองตอบคำถามผม 4 ข้อ แบบไล่ทีละข้อให้ฟังทีสิครับไม่เอาแบบตอบรวบยอด -
ส่วนหัวใจนั้นเวลาตื้นเต้นหรือตกใจ คือจะเกิดเวทนาเฉยๆ แต่ไม่มีจิตไปอยู่ที่ตรงนั้นอะครับ
สำหรับผม ส่วนที่อาศัยหลักจะอยู่แถวลิ้นปี่ ส่วนชิ้นส่วนในร่างกายต่างๆนั้น
จะเป็นเพียงตัวรับสัญญาณให้เกิดอาการอีกทีหนึ่ง ประมาณนี้อะครับ -
ขอลองตอบสรุปทั้งสี่ข้อเลยนะคับ มีอยู่ว่าทุกรูปล้วนเป็นนามรูปหรือรูปนามหมายถึงเกิดตามภาวะต่างๆแล้วบัญญัติตั้งไว้เพื่อความเข้าใจสภาวะที่เกิดขึ้นตามลำดับ ในกรณีถือเอาขันธ์ทั้งหลายเป็นที่ตั้ง อีกรูปนึงคือมหาภูตรูปคือไม่ว่าจะแก้ไขอย่างไรสิ่งที่เป็นก็จะเป็นไปเช่นนั้นเสมอ
-
ถ้าผิดพลาดประการใดขอความอภัยให้กันและกันนะคับ
-
ก็ขอบคุณที่มาช้วยตอบนะครับ -
ตาเนื้อไม่อาจแยกได้ ตาในก็ไม่ใช่หัวใจ หทัยวัตถุก็ไม่ใช่หัวใจ ที่รู้คือจิตซึ่งแยกออกจากความยึดติดในสิ่งสมมุติต่างๆ ได้จึงพอจะมองเห็นคับ
-
ถ้าจะฝากถึงใครสักคนคงฝากไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดไม่เคยมีจริง เพราะเมื่อเห็นว่าเป็นจริงและตั้งไว้ย่อมแปลว่ายึดติด ที่แย่คือหากยึดติดว่าเหนือกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายย่อมไม่ใช่ทางที่ควร จึงพึงพิจารณาใคร่ครวญใหม่เสียว่า ความเท่าเทียมหมายถึงอะไรและเหตุใดต้องใช้ความเท่าเทียมเพื่อแสดงถึงความแตกต่าง ไม่ใช่แสดงความแตกต่างเพื่อให้สรรพสัตว์เห็นความเท่าเทียม...ฝากถึงใครสักคน ..อาจอยู่หรือไม่ในวัฏสังสารนี้หรือไม่ก็แล้วแต่...กรรม
-
๑ กับ๒ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจเลยครับ ^_^
๓ ต่างกัน และ ๔ ก็ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจเช่นกันครับ
ลองพิจารณาใหม่อีกรอบครับ
ปล แนะว่าอย่าพึ่งรีบสรุปอะไรครับ -
ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงนะที่จะทำให้คนธรรมดาเหมือนผมเข้าใจ...
ข้อแรก...เขาบอกว่าแสงคือรูป...ผมหยุดไว้ผมหยุดไว้ที่คำนี้เพราะมีคำถามจากใจว่าทำไมแสงคือรูป ใครให้รูปมัน...ไม่ต้องตอบแต่ต้องรู้ได้ด้วยตนเอง
ข้อสอง วิญญาณก็ไม่ได้รู้แจ้งในวัตถุทั้งหมดมีองค์ประกอบจากสัญญาอันเป็นสมมุติเพียงแต่ให้markerเอาไว้ ตัววิญญาณเองก็ไม่ใช่สภาวะรู้เพียงแต่เป็นเครื่องรับรู้สภาวะไปตามสัญญาและสังขารก็เท่านั้น
ข้อที่สาม ขาวกับใสไม่ได้ต่างกันและต่างก็เป็นแค่สภาวะบัญญัติขึ้นเพื่อเป็นเครื่องรู้โดยใช้สัญญาและสังขารเป็นเครื่องรับ
ข้อที่สี่ นามธรรมแท้ไม่มีรูปจึงไม่น่าจะใช้เป็นเหตุว่าใสจึงเป็นฝ่ายนามธรรม ที่สำคัญถ้าถือเอานามธรรมแท้เป็นเหตุ นามธรรมนั้นย่อมไม่มีเครื่องปรุงแต่งจึงเป็นนามธรรมแท้ อาทิเช่น เอกคัตตารมณ์ เป็นอาทิ จึงไม่รู้ว่าต้องอธิบายอย่างไรจึงจะมองเห็น เลยขออภัยไว้ ณ ที่นี้ -
จริงๆผมชอบอ่านของพี่นิวรณ์กับพีธรรมชาตินะ เขาทั้งสองก็อธิบายได้เข้าใจแต่มันคนละมุมมอง ในสองทางมีความละเอียดพอกันแต่อยู่ใครจะมองเห็น
-
อันนี้ขั้นสงสัยต้องอาศัยการพิสูจน์ เอกคัตารมณ์ ที่ว่าทำไมไม่มีองค์ประกอบของความปรุงแต่งใดมาเกี่ยวข้อง...ผมคิดว่านั่นน่าจะเป็นแหล่งหรือทางที่ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไม จึงไม่เกี่ยวกับสิ่งใดๆ ที่ถูกสร้างโดยสมมุตินะคับ
-
ผมกำลังอยู่ในสถานะ นำความไม่เข้าใจว่าเป็นตัวเข้าใจ ประมาณนี้ป่าวครับ
ความเข้าใจอยู่ที่ขันธ์5 คือกำลังนำเรื่องราวภายนอกขันธ์5
เข้ามาเป็นตัวเองแบบนี้ป่าวครับ -
อันที่ไม่ได้เอ่ยหมายถึงเจ้าของคำถามไม่เอ่ยคือเวทนา แล้วคือได้อะไรจากสิ่งที่รู้ รับอะไรเอาไว้ ชอบไม่ชอบแปลกๆหรืออะไรๆต่างนานา ที่แปลผลจากทั้งหมดล้วนเป็นเวทนา...และจะจบที่ได้อ่ะไรจากกจากการรู้นั้น...อยากเห็นสิ่งเดิมๆหรือปลื้มปิติกับสิ่งที่เห็นก็จะเป็นกามฉันทะ...และจะเป็นทุกข์เมื่อไม่อาจประคองให้เห็นดังที่เคยเป็นได้...ประมาณนี้
-
ถูกปรุงแต่งอยู่ก็จริง แต่เราไม่ได้ไปลดหรือไปเพิ่มในสิ่งที่มันปรุงแต่งอยู่อะครับ
รับสมมุติตามความเป็นจริง โดยไม่มีการดัดแปลงอะไร -
ดูเหมือนกำลังมองเห็นนะ ว่าองค์ประกอบไม่อาจทอดทิ้งกันอันว่าด้วย..สัญญา ...สังขาร..วิญญาณ อันนำไปสู่การให้บัญญัติในรูปและการให้ค่าซึ่งหมายถึงเวทนา ที่เหลือต้องฝึกเอาเองนะคับ
หน้า 1 ของ 3