รักแท้คือกรุณา..♥

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 2 เมษายน 2009.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    รักแท้คือกรุณา..♥ ความทุกข์ที่บริสุทธิ์


    [​IMG]

    คมชัดลึก :

    เมื่อเร็วๆ นี้ อาตมาภาพได้อ่านข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งเลิกกับภรรยาเรียบร้อยแล้ว ขนาดเลิกกันแล้ว เพื่อนบ้านไปจีบภรรยาของแกที่เลิกกันแล้ว แกหวง

    วันหนึ่งเพื่อนบ้านกำลังคุยกับภรรยาเก่าของแก แกเอาปืนยิงข้ามรั้วไปส่องเพื่อนบ้านดับอนาถเลย แสดงว่าที่เลิกกันน่ะ เลิกเฉพาะการอยู่ด้วยกัน แต่ในใจของผู้ชายคนนี้เลิกรึยัง ยังไม่เลิก
    เห็นมั้ยว่ายางเหนียวของความรักนั้น เป็นยางเหนียวที่เหนียวยิ่งกว่ายางมะตอยเสียอีก
    เคยมีคุณโยมผู้หญิงคนหนึ่งอกหักรักคุด ไปปรึกษากับอาตมา บอกว่าเพิ่งเคยมีรักครั้งแรก รักสุดจิตสุดใจ มองโลกเป็นสีชมพู คนเตือนแล้วก็ไม่ฟัง เพราะยังเชื่อมั่นว่ารักนั้นนำแต่สิ่งที่ดีๆ มาให้
    แล้ววันหนึ่งผู้ชายไปเรียนต่อเมืองนอก พอไปเรียนต่อเมืองนอก ก็เข้าทางเลย คือรักแท้แพ้ใกล้ชิด เขาไปจีบกันอยู่ที่โน่น เรียนหนังสือไปติววิชากันไป
    ผู้หญิงก็ซื่อสัตย์ และภักดีอยู่ทางนี้ มารู้อีกทีหนึ่งเขาย้ายมาอยู่ด้วยกันในหอพักเรียบร้อย ทุกข์หนักหนาสาหัส แทบล้มแทบตาย
    รักแรกก็นำเอาทุกข์แรก ซึ่งเป็นความทุกข์ที่บริสุทธิ์ คือ ไม่มีความสุขเจือปนเลย ตามมาด้วย พอบอกเลิกกันเรียบร้อยแล้ว เธอประกาศทิ้งทุกอย่างของแฟนหมด เสื้อผ้าอาภรณ์ ไดอารี่ กล่องช็อกโกแลต ของขวัญทั้งหมด ที่สะสมกันมา ทิ้งหมด เอามาถวายสังฆทานกับอาตมา
    อาตมาถามว่า ทิ้งจริงมั้ย จริงค่ะ หนูจะหันมาทางธรรม หันมาทางธรรมแล้วทำไมต้องมาหาอาตมา จะทนความน่ารักของอาตมาได้เหรอ ไหนทิ้งหมดแล้วใช่มั้ย ค่ะ
    อาตมาบอกว่า ขอโทษนะ อย่าหาว่าอาตมาละลาบละล้วง กระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่นั่นน่ะ เปิดดูซิ พอเปิดให้ดู รูปถ่ายคู่กันยังอยู่
    อาตมาเลยบอกว่า ทิ้งไม่จริง ถ้าทิ้งจริงนะดึงออกมา ทำได้มั้ย จริงหรือคะท่านอาจารย์
    อาตมาเลยบอกว่า คุณโยมจะทิ้งหรือไม่ทิ้งก็ได้ รูปในกระเป๋าน่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่รูป หรือข้าวของที่คุณโยมทิ้ง อยู่ที่ว่าใจโยมปล่อยมั้ย โยมจะทิ้งของทุกอย่าง แต่ถ้าในใจไม่ทิ้งนะ สูญเปล่า
    พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ คุณโยมดึงรูปออกมาวางเลย อาตมาเลยบอกเก็บไว้เถอะ เพราะก็ไม่รู้จะเอาไว้ทำอะไรเหมือนกัน
    แล้วเธอก็ถามอาตมาว่า พระอาจารย์คะ เป็นไปได้มั้ย ที่คนที่ดีที่สุด จะผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ๒ ครั้ง
    อาตมาเลยบอกว่า โยมอย่าบอกว่า ๒ ครั้งเลย บางทีแต่งงานแล้วเลิกตั้ง ๖ ครั้ง มันมาครั้งที่ ๗ เพราะฉะนั้นอย่าไปสรุปเลย อกหักครั้งแรกเนี่ย อย่าไปสรุปว่าชีวิตจะไปต่อไม่ได้ แล้วอย่าทำร้ายตัวเองเด็ดขาด ยิ่งฆ่าตัวตายไม่ต้องคิด เพราะว่าคนเราตายทุกคนอยู่แล้ว ความตายเนี่ย เป็นของที่ธรรมชาติแถมให้ฟรี คุณตายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปทำอะไรเลย
    หนึ่งปีข้างหน้า คุณโยมมาหาอาตมาใหม่ ปีนี้คุณโยมอยากฟูมฟาย คุณโยมทำเลย ปีหน้ามาหาอาตมาดูซิว่า แง่มุมต่อความรักเปลี่ยนมั้ย
    คุณโยมคนนี้ก็มาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่อกหักแล้ว ก็ไปทำงานในกลุ่มเอ็นจีโอ อุทิศตัวเพื่อสังคม ทำงานหนักมาก เพื่อจะได้ไม่มีช่องว่างในการคิดถึงคนที่รัก
    จริงๆ ไม่ต้องทำงานหนักมากขนาดนั้นก็ได้ แค่เจริญสติอยู่กับปัจจุบัน คนรักก็ปลิวแล้ว แต่เพราะเธอไม่เคยรู้ว่า โลกนี้มีบ้านอารี เขาสอนให้อยู่กับปัจจุบันที่นี่ ไม่รู้ ทำงานหนักแทบล้มประดาตาย เพื่อให้เพลีย แล้วหลับ
    อีกหนึ่งปีต่อมา มาหาอาตมาใหม่ กล้ามขึ้นเป็นมัดเลย มาบอกอาตมาว่า ของดีมาทีหลัง หนูทำงานชนบท ก็ไปเจอนายแพทย์คนหนึ่งซึ่งอุทิศตัวไปอยู่ในชนบท
    เธอบอกว่าคนนี้ดีกว่าคนนั้น ไม่มีทางเทียบ ไม่ว่าจะวัดด้วยมาตรฐานหน้าตา บุคลิกภาพ ความรับผิดชอบ ความเสมอต้นเสมอปลาย เขาสอบผ่านทุกอย่างเลยค่ะท่านอาจารย์
    อาตมาบอกว่าโยม อย่าเพิ่งสรุป ตราบใดยังไม่ได้แต่งงานกัน และ ตราบใดที่เขายังไม่ลงไปนอนอยู่ในหลุม อย่าเชื่อว่าเขาดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

    "ว.วชิรเมธี"

    ---------------
    http://www.komchadluek.net/detail/20090303/3399/รักแท้คือกรุณา(๕)ความทุกข์ที่บริสุทธิ์.html
     
  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488

    รักแท้คือกรุณา..♥ หลงทางรัก

    [​IMG]

    คมชัดลึก :


    คุณโยมท่านหนึ่ง เคยบอกอาตมา พระอาจารย์คะ ผู้ชายไม่เจ้าชู้ในโลกนี้มีอยู่ ๒ คน หนึ่งคือคนที่ยังไม่เกิด และสองคือคนที่ตายไปแล้ว

    ฉะนั้น อาตมาเลยเตือนไปว่า โยมอย่าเพิ่งสรุป ใจเย็นๆ คบเขาไป มีรักที่ไหน จะมีทุกข์ที่นั่น เธอเถียงอาตมา โยมก็ไม่เห็นทุกข์นี่คะ
    อาตมาบอกว่า โยม มันเป็นสุขนั่นแหละ แต่แท้ที่จริง คือ ความทุกข์ที่รอเวลาอยู่ เหมือนมะม่วงที่สุกแล้วนะ รอเวลาหล่นจากต้น เขารอเวลาอยู่ ความสุขที่คุณได้รับ มันคือทุกข์นั่นแหละ ที่รอเวลาแสดงตัวอยู่เฉยๆ
    ต่อมาผู้หญิงคนนี้มาทำงานเอกชน ทำงานไม่ถึงปีก็กลับมาหาอาตมาอีกแล้ว มาให้พระอาจารย์สอบอารมณ์อยู่เรื่อย
    อาตมาถามว่า เป็นไง เหมือนที่พระอาจารย์บอกแหละค่ะ ทำไมหนูโง่ ไปเลือกเขาไม่รู้ ครั้งที่แล้วหนูบอกพระอาจารย์ว่า ไม่ว่าจะใช้อะไรวัดมาตรฐานไหน ก็ดีไปหมด ตอนนี้หนูอยากจะพูดว่า ไม่ว่าจะวัดด้วยมาตรฐานไหน เขาก็เลวไปหมด
    อาตมาจึงบอกว่า คุณโยม ความรักเหมือนดอกกุหลาบ ถ้าคุณโยมชอบดอกกุหลาบ ก็อย่าไปรังเกียจหนามนะ ของเขามาด้วยกัน
    ฉะนั้น ความรักกับความทุกข์นี่ เขามาด้วยกัน สุขๆ ทุกข์ๆ ตราบใดที่ยังมีรัก นั่นเป็นสัญญาณว่า ทุกข์ยังคงมีอยู่ ตราบใดที่ยังมีสุขแบบโลกีย์สุข นั่นแสดงว่า ทุกข์ยังคงมีอยู่
    ตราบใดที่เราก้าวไม่พ้นเรื่องของคู่ คือสิ่งที่เป็น "ทวิลักษณ์" ไม่มีทางที่เราจะพบกับความนิ่งของชีวิตได้
    นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของเรื่องความรักในครั้งพุทธกาล มีพระรูปหนึ่ง บวชใหม่ ถูกความรักรุมเล่นงาน ถึงกับพระพุทธเจ้าก็เอาไม่อยู่
    คุณโยมดูพลังรักนะ เวลาเขาครอบงำแล้ว อยู่วัดเดียวกับพระพุทธเจ้า ยังเอาไม่อยู่
    วันหนึ่ง ท่านบิณฑบาตกับพระเพื่อน ๓ รูป วันนั้น สายการบิณฑ์ของท่านนี่ ก็ไปจอด ณ บ้านของคนที่สวยที่สุดในนคร ซึ่งเรียกว่า "นครโสเภณี" หรือหญิงงามเมือง
    หญิงงามเมืองแต่ก่อนนั้น มีศักดิ์ศรีเหมือนนางสาวไทย ใครได้ตำแหน่งหญิงงามเมืองแล้วเป็นศักดิ์เป็นศรีมาก หญิงงามเมืองคนนี้มีชื่อว่า "ศิริมา" แปลว่า ผู้มีความงาม วันนั้นนางศิริมาป่วย ออกมาใส่บาตร
    พระท่านก็สำรวม โดยการมองลงในบาตร มือเรียวงามของนางศิริมาหยิบกับข้าวใส่ลงไป พระก็เห็นนิ้วสวย ศรรักปักอกทะลุจีวร กลับถึงวัด ไม่ฉัน เอาข้าวปลาอาหารซุกใต้เตียง จนกระทั่งข้าวบูด แล้วนอนละเมอ ป่วยสาหัสตั้งแต่วันนั้น ด้วยโรคกามารมณ์ขึ้นสมอง เจียนอยู่ เจียนตาย
    พระเพื่อนผิดสังเกต เข้ามาถาม พระใหม่บอก ถ้าท่านอยากให้ผมหายป่วย ท่านไปเชิญโยมศิริมามาเยี่ยมผม ถ้าผมเห็นเธอ ผมคงหายป่วย
    พระเพื่อนเตือนว่า วันที่ท่านได้เห็นมือของนางศิริมา วันนั้นเป็นมือของเธอตอนป่วย นั่นขนาดป่วย มือซีดเป็นไก่ต้ม ยังตรึงใจพระขนาดนั้น
    ท่านก็เลยปรุงแต่งต่อไปว่า ถ้าไม่ป่วยล่ะ โยมคิดดูนะ ถ้าวันนั้นพระใหม่ช้อนตามองหน้านางศิริมา อาตมาคิดว่าบาตรหลุดมือเลย
    สุดท้าย เพื่อนพระไม่มีใครเตือนท่านแล้ว ท่านไม่สามารถสกัดกั้นการกระตุ้นเร้าของกามารมณ์ และตัณหาได้ ถวิลหาจนลืมสถานภาพพระของตนเอง
    ท่านบอกตัวเองว่า ทางเดียวที่ท่านจะมีชีวิตรอด คือการได้กอดนางศิริมา
    หารู้ไม่ว่า ขณะที่ท่านกำลังถวิลหาศิริมาอย่างสุดใจนั้นเอง คุณโยมศิริมาเสียแล้ว นำความเศร้าโศกให้กับคนทั้งเมืองว่า สัญลักษณ์ของความงามนั้น ได้หมดไปอีกหนึ่ง ทำไมคนทั้งเมืองต้องเศร้าโศก เพราะแม้แต่พระราชา อย่างพระเจ้าพิมพิสาร ก็เทียวเข้าเทียวออกสำนักโสเภณี จนมีลูกเก็บคนหนึ่งชื่อหมอชีวก ชีวกเป็นไฮโซสมัยพุทธกาล
    พระพุทธองค์ทรงรู้เหตุการณ์นี้โดยตลอด จึงทรงกำชับไปทางเจ้าหน้าที่บ้านเมืองว่า ศพของนางศิริมาให้เก็บไว้ อย่าเพิ่งเผา กระทั่งครบเจ็ดวัน
    ทรงมีพุทธบัญชาว่า พระพุทธองค์จะเสด็จไปเผานางศิริมา คนทั้งเมืองก็โอ้โฮ ศิริมา ทำไมได้รับเกียรติขนาดนี้ ชาวเมืองไม่เข้าใจว่า เสด็จไปทำไม
    พอได้เวลาก็นำพระใหม่ไปด้วย วันนี้เราจะถอนศรรักจากอกของเธอ พอรู้ว่าพระพุทธองค์รับสั่งจะนำไปหาศิริมา ลุกขึ้นห่มจีวร ฉันข้าว เดินตัวปลิวโดยเสด็จไปเลย หน้าชื่น ตาบาน ดวงตาทอประกายใส ถ้าผิวปากได้คงทำ
    (ยังมีต่อวันพระหน้า)

    "ว.วชิรเมธี"

    -------------
    http://www.komchadluek.net/detail/20090310/4471/รักแท้คือกรุณา(๖)หลงทางรัก.html
     
  3. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    รักแท้คือกรุณา..♥ ก้าวข้ามความปรารถนา

    [​IMG]

    คมชัดลึก :เมื่อไปถึงสุสาน พระพุทธองค์นั่งเป็นประธาน เหล่าภิกษุนั่งห้อมล้อมเป็นบริวาร อีกฝั่งเป็นฝ่ายราชาบริษัท อีกฝั่งเป็นพุทธบริษัท

    อีกฝั่งเป็นเชิงตะกอนที่มีร่างอันชวนสะอิดสะเอียนอย่างยิ่งของคนที่สวยที่สุดในประเทศ ขึ้นอืดเขียวอยู่ตรงนั้น ทวารทั้ง ๙ มีน้ำเลือด น้ำหนองไหลตลอดเวลา แมลงวันตอมหึ่ง
    ทุกคนที่อยู่ในบริเวณ แทบไม่มีใครไม่รู้สึกสะอิดสะเอียน ต่างดึงผ้าขึ้นมาปิดปาก ปิดจมูก กลิ่นคนสวยนี่สุดยอดจริงๆ
    จากนั้น พระพุทธองค์ทรงสั่งให้มีการประมูลศพนางศิริมา
    เจ้าหน้าที่ราชสำนักออกไปยืนประกาศหน้าศพนางศิริมาว่า ขณะที่นางมีชีวิต ใครจะได้ร่วมอภิรมย์กับนางต้องใช้เงินถึง ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ (เป็นคำเรียกเงินตราที่ใช้ในสมัยพุทธกาล) ต่อหนึ่งคืน แต่วันนี้ศิริมาได้ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว นับเป็นโอกาสสุดท้ายที่ใครก็ตามที่ปรารถนาจะร่วมอภิรมย์กับนาง จะได้ใช้สิทธินั้นอีกครั้งหนึ่ง ใครจะใช้สิทธินั้น เริ่มต้นประมูลเลยที่ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ
    เงียบ เศรษฐีทั้งหลายมือซุกกระเป๋าแน่น หันไปฝั่งนักการเมือง หันไปฝั่งพันธมิตรก็เงียบ ไม่มีใครประมูล เอ้า ๑๐,๐๐๐ กหาปณะ เงียบ ๕,๐๐๐ -๑,๐๐๐-๕๐๐ ท้ายที่สุด ๑ กหาปณะ มารับเอาไปเลย พระใหม่ก็นั่งมอง เธอเห็นเหตุการณ์ถ่ายทอดสดครั้งนี้โดยตลอด
    สุดท้าย เจ้าหน้าที่ประกาศว่า เมื่อไม่มีใครประมูลด้วยทรัพย์ เราขอประกาศเป็นครั้งสุดท้าย ใครประสงค์จะร่วมอภิรมย์กับนางศิริมาให้มาอุ้มเธอไปฟรีๆ เงียบ
    ภิกษุใหม่ เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ศัพท์เทคนิคทางการศึกษาเรียกว่า เลินนิ่ง บาย ดูอิ้ง (learning by doing) พระพุทธเจ้าไม่ต้องสอน ทรงเอานักเรียนเป็นศูนย์กลางจริงๆ
    พระใหม่เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในว่า ดูซิ ที่นอนอยู่นั่น คือ รูปร่างสังขารของคนที่สวยที่สุดในพระนคร คนที่มีสิทธิร่วมอภิรมย์กับเธอ มีแต่ราชา มหากษัตริย์ และพราหมณ์มหาศาล เท่านั้น ยาจกเข็ญใจ แม้แต่คิดก็ยังไม่ควรคิด
    ดูซิวันนี้ แม้แต่ยกให้ฟรีๆ ก็ยังไม่มีใครปรารถนา พระพุทธองค์ให้มาดู นาทีนั้นพระรูปนั้นบรรลุธรรม
    พระพุทธองค์ไม่ต้องทำอะไรเลย ท่านจัดสภาพแวดล้อมให้นักเรียนได้เรียน บรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนทุกประการ ทำจิตของพระใหม่จากปุถุชน เปลี่ยนเป็นอริยบุคคล ก้าวข้ามความรักแบบรักใคร่ปรารถนาขึ้นมา ค้นพบความรักที่แท้ในใจของตัวเอง
    แล้วท่านก็บอกตัวเองว่า เราเกือบหลงไปแล้ว เกือบไปคิดว่า รูปร่างสังขารนั้นคือที่สุดของความงาม หารู้ไม่ว่า ที่สุดของความงาม ไม่ใช่ความงามอันเป็นที่สุด แต่ที่สุดของความงาม คือความอัปลักษณ์อันเป็นที่สุด
    พอพระรูปนี้บรรลุธรรม พระพุทธองค์ก็มีพุทธานุญาตให้เผาศิริมา และเป็นเหตุให้งานศพต้องจัดกันในที่แจ้ง และต้องตั้งศพตรงเชิงตะกอน เพราะได้คติมาจากการเผาศพของนางศิริมาว่า ให้เป็นบทเรียนฉากสุดท้ายของคนที่ยังอยู่ทุกคน
    เดี๋ยวนี้ เราไม่เข้าใจคตินี้ สวย ไม่สวย หล่อ ไม่หล่อ ดี ไม่ดี ออกมากระดูกสวยทุกคน
    เกิดการเรียนรู้มั้ย เรียนรู้น้อยมาก เห็นมั้ย สิ่งที่ศิริมาทิ้งไว้ให้เรา คือพระอรหันต์รูปหนึ่ง กับประเพณีการจัดงานศพในที่แจ้ง
    ฉะนั้น รักใคร่ปรารถนานั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
    ข้อดี คือ ทำให้เราได้มาอยู่ในโลกนี้ ได้บำเพ็ญบารมีไปถึงโพธิปัญญา ได้ ข้อเสีย คือ ถ้าเรามีความรักโดยขาดสติ ความรักจะนำมาซึ่งความทุกข์โดยที่ไม่สามารถเดาล่วงหน้าได้ ทุกข์นั้นจะสาหัสขนาดไหน
    ฉะนั้น รักใคร่ปรารถนา จึงเป็นความรักที่มีผลข้างเคียงที่สูงยิ่ง
    รักตัวกลัวตาย ก็เป็นความรักที่มีผลข้างเคียง คือ พร้อมที่จะทำร้ายผู้อื่น เพื่อให้ตนเองรอด
    รักใคร่ปรารถนา ผลข้างเคียงคือ สุ่มเสี่ยงที่จะเดินเข้าสู่กับดักของความทุกข์ จนกระทั่งยอมปลิดชีวิตของเราเพื่อบูชาความรักได้
    หนักหนาสาหัสที่สุดของความรัก ก็คือ ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด ไม่จบ ไม่สิ้น พระพุทธองค์มาเคาะประตูอยู่เบื้องหน้า ยังหันหลังหนีก็มี
    นี่คือ ความรักแบบใคร่ปรารถนา


    "ว.วชิรเมธี"

    ----------
    http://www.komchadluek.net/detail/20090318/5702/รักแท้คือกรุณา(๗)ก้าวข้ามความปรารถนา.html


     
  4. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    รักแท้คือกรุณา..♥ กรุณาคือสงสาร


    [​IMG]


    คมชัดลึก :พระพุทธองค์ทรงทราบดีว่า เมตตาไม่พอที่จะหล่อเลี้ยงโลก จึงตรัสว่า ยังมีความรักอีกประเภทหนึ่ง ที่สูงกว่าเมตตา แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ขอเล่าอีกสักตัวอย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ชยสาโร หรือ ท่านชอน ชิเวอตัน ลูกศิษย์ หลวงปู่ชา ท่านเล่าไว้ ตอนที่ท่านแสวงหาครูบาอาจารย์ทางจิตวิญญาณนั้น ได้เดินกระเซิงอยู่กลางกรุงเตฮาราน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย สภาพจิตใจสะบักสะบอม หิวแสนหิว เงินไม่มีแม้แต่บาทเดียว ยืนหน้าร้านอาหารริมทาง กลิ่นแตะจมูก ตาลาย หูอื้อไปหมด แต่ก็ไม่ขอ และไม่เคยคิดจะขโมย
    กำลังหันไปหันมา ไม่รู้จะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรนั้นเอง จู่ๆ มีหญิงสูงอายุ หน้าตาบึ้งตึง เดินออกมาจากซอกตึก จูงแขนท่านไป พาไปบนบ้าน ไปอาบน้ำ ในห้องน้ำ ตัดผมให้ ยื่นมีดโกนหนวดให้ เอาเสื้อผ้าใหม่มาให้ จัดกับข้าวให้ เสร็จแล้วจูงแขนมาส่งกลางตลาด ชอน ชิเวอตันของเราไม่รู้จะทำยังไง ก็เดินหายไป
    จนกระทั่ง ท่านได้มาพบครูบาอาจารย์ที่แท้จริงในเมืองไทย คือ หลวงปู่ชา สุภัทโท ท่านเดินจากมาครั้งนั้น แต่ผู้หญิงคนนั้น ท่านเรียกว่า พระโพธิสัตว์หน้าบึ้ง ไม่เคยเดินออกจากความทรงจำของท่านเลย
    ท่านอาจารย์ชยสาโร สรุปว่า นี่คือ เมตตา
    เห็นมั้ยว่า หัวใจของเรานั้น มีศักยภาพที่จะรักใครก็ได้ทั้งนั้น แต่ทำไมจึงรักไม่ได้ ความคับแคบ เราออกจากอคติไม่ได้
    เช่นคนไทยทุกวันนี้
    เห็นคนที่อยู่ฝั่งรัฐบาล ก็บอกว่าชั่ว เลว ฝั่งรัฐบาลก็บอกพันธมิตรว่า อนารย โฉด รุนแรง เอาแต่ใจตัว แท้ที่จริง ไม่ว่าฝั่งไหน ทุกคนคือ มนุษยชาติ เหมือนกันทั้งหมด
    เราไม่สามารถรู้สึกว่า ทุกคนคือ มนุษยชาติ เพราะเราก้าวข้ามไม่พ้นเปลือกของความเป็นมนุษย์ที่ครอบเราอยู่
    อย่างอาตมาเป็นพระ เปลือกของอาตมาเป็นพระ ลึกๆ อาตมาเป็นมนุษย์ โยมที่นั่งอยู่นี่ เปลือกของคุณโยมเป็นหญิง เป็นชาย แค่ความเป็นหญิง เป็นชาย บางทีก็ทำให้เรามีอคติต่อกัน ใช่มั้ย ชายจะเอาเปรียบหญิง
    หญิงรู้สึกว่า ผู้ชายกำลังเอาเปรียบ ก็แค้นกัน อยู่ต่างพรรค ต่างพวก ต่างที่ทำงาน ต่างสถาบัน ผิวสีต่างกัน มีฮีโร่ต่างกัน
    แค่นี้ก็ทำให้มนุษย์โกรธ เกลียด ชิงชังกันได้ แล้วก็ทำร้ายกันได้ ทั้งที่ถ้าเราขจัดเปลือกนี้ออกได้หมด มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะเมตตาซึ่งกันและกันได้ อย่างไร้ขีดจำกัด
    พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่า เมตตาอย่างเดียวช่วยโลกไม่ได้แน่ๆ ทรงนำเสนอความรักอีกชนิดหนึ่ง นั่นคือ กรุณา คือ ความสงสารนั่นเอง มีความสำคัญถึงขนาดยกให้เป็นหนึ่งในพระพุทธคุณของพระองค์ หนึ่งในคุณบทของคนเป็นพระอรหันต์ ก็เพราะ กรุณาไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
    กรุณา ที่แท้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราเจริญวิปัสสนากรรมฐานไป จนกระทั่งบรรลุถึงตาน้ำแห่งโพธิ คือ เป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จนได้เป็นพระอรหันต์
    ทันทีที่จิตของเราลงสู่กระแสแห่งความเป็นพระโสดาบัน ซึ่งเป็นกระแสแรกแห่งความเป็นอารยชน กรุณาจะเกิดในใจเรา
    รักแท้ คือ กรุณา นี้ เปรียบเสมือนดอกบัวที่ตูมอยู่ตลอดเวลาในสระน้ำแห่งหัวใจของเรานี้ เขารออยู่เพียงเมื่อไหร่แสงแรกของพระอาทิตย์จะสาดมา คนทุกคนมีความรักที่ชื่อกรุณา จำพรรษาอยู่ในหัวใจแล้ว ดี ชั่ว โง่ ฉลาด ไทย เทศ ก็มี พระ หรือโยมก็มี

    แต่ทำไม รักแท้ คือ กรุณา แสดงตัวไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่า

    ๑.เรามีรักแท้ คือ กรุณาอยู่ และ
    ๒.เราหากุญแจเปิดประตูไม่ถูก

    ฉะนั้น ถ้าเราอยากพัฒนาความรักของเรา จากรักตัวกลัวตาย รักใคร่ปรารถนา รักเมตตาอารี จนมาถึง รักมีแต่ให้ กุญแจอยู่ตรงวิปัสสนา กรรมฐาน

    "ว.วชิรเมธี"
    ----------
    http://www.komchadluek.net/detail/20090402/7808/รักแท้คือกรุณา(๙)กรุณาคือสงสาร.html
     
  5. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    <OBJECT id=atff style="Z-INDEX: 100000; WIDTH: 1px; POSITION: absolute; HEIGHT: 1px" classid=clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000>
























    </OBJECT>รักแท้คือกรุณา..♥ ตาน้ำแห่งความรัก

    <!-- AddThis Button BEGIN --><SCRIPT type=text/javascript>var addthis_pub="komchadluek";var addthis_brand = "คมชัดลึก";var addthis_header_color = "#ffffff";var addthis_header_background = "#3792ef"</SCRIPT><SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/200/addthis_widget.js" type=text/javascript></SCRIPT><!-- AddThis Button END -->
    [​IMG]



    คมชัดลึก :


    เมื่อเราเจริญวิปัสสนากรรมฐานไป ดวงจิตวิวัฒนาการไปกระทั่งหยั่งลงสู่กระแสแรกแห่งธรรม กระแสแรกแห่งพระนิพพาน ก็คือ การบรรลุโสดาบัน จิตของเราจะเปรียบเสมือนฝายน้ำล้น พอน้ำล้นแล้ว ไม่มีทางเลยที่เข้าจะกักน้ำไว้ เขาจะปล่อยไหลกระแสน้ำออกไปจนหมดจนสิ้น


    ใครที่เคยเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนถึงจุดจุดนั้น พอน้ำหยดสุดท้ายของความตื่นรู้ หยดไปในแก้วน้ำของหัวใจ ที่มันเต็มปรี่ล้นออกมา น้ำตาจะไหล แล้วความรักอย่างสุดซึ้งจะเกิดขึ้น เราไม่มีทางจะเกลียดใครได้อีกต่อไป
    อาตมาภาพจำได้ดีว่า ตอนที่เป็นเณรน้อยไปเจริญวิปัสสนากรรมฐาน อาตมาภาพเรียนพุทโธมาตั้ง ๖ ปี ไม่ค่อยรู้เรื่อง เปลี่ยนไปเรียนสายเจริญสติ แบบวิปัสสนากรรมฐาน แบบยุบหนอ พองหนอ ก็ฝึกของเราไป
    ด้วยความที่เป็นเณรน้อย จิตก็บริสุทธิ์มาก อยู่ๆ วันหนึ่ง จิตก็รวมเข้าให้ น้ำตาไหล นึกถึงโยมพ่อ โยมแม่ อาตมาภาพบอกตัวเองว่า อยากกลับคืนนี้ อยากไปจูงแขนพ่อกับแม่มาที่นี่ มาที่ศาลาตรงนี้ มาปฏิบัติธรรม
    อยากกลับไปกราบเจ้าอาวาสที่วัด กราบที่ไหนก็ไม่สมกับสิ่งดีๆ ที่เราได้พบในชีวิต อยากกราบที่เท้าท่าน ให้มันสมกับสิ่งที่เราได้ค้นพบในจิตใจของเรา กลับจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานครั้งนั้น อาตมาภาพทิ้งอุปกรณ์อำนวยกิเลสหมดเลย เป็นเณรน้อยก็มีเทปคาสเซ็ต มีอะไรตามรุ่นพี่ สะสมหนังสือไว้เยอะ เป็นเณรน้อยอายุ ๑๓ นี่อ่านเดอะบอยนะ ฟังเพลงพี่กี้ร์ อริสมันต์ บริจาควิทยุ นิตยสาร ทั้งหมด ใครอยากได้เอาไป
    ชีวิตที่เหลือ ฉันจะอยู่กับความร่มเย็นเป็นสุข มันเหมือนเราค้นพบว่า ในตัวเรานี้มีธารน้ำพุอยู่ เขารอวันที่เราค้นพบ พอเราค้นพบแล้ว เขาก็ไหลหลั่งเอาความชุ่มเย็น ทุกวัน ทุกคืนก็มีแต่ความร่มเย็นอยู่อย่างนั้น
    ฉะนั้น ไม่ต้องถึงอรหันต์หรอก แค่เราเจริญวิปัสสนากรรมฐานไปเรื่อยๆ ถ้าคุณโยมทำถูกทาง มันจะถูกธรรม
    ยังไม่ต้องเป็นโสดาบัน เป็นมนุษย์นี่แหละ จิตจะพลิก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์
    ความรักต่อเพื่อนมนุษย์นี่ มาประเภทที่เรานี่ตัวชา ขนลุก ขนพอง เราไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นคนเดิมได้อีกต่อไป ถ้าจิตเราไปสัมผัสกับปรมัตธรรมขั้นลึก
    และหลังจากนั้น รักแท้ คือ กรุณา ที่เกิดจากจิตที่บริสุทธิ์หลุดพ้นของเรา จะกลายเป็นแรงจูงใจให้เราเดินสายออกไปทำงานเพื่อมนุษยชาติ โดยไม่เรียกร้องการตอบแทน
    เราทำงาน เพราะมันคือวิถีชีวิตของเรา เป็นพระแสดงธรรม เพราะเราเป็นพระ ไม่ใช่แสดงธรรมเพราะเห็นกัณฑ์เทศน์ที่อยู่เบื้องหน้า แต่เราแสดงธรรม เพราะเรามีธรรมที่จะแสดง
    เปรียบเสมือนฝน เป็นฝนก็ตก เปรียบเสมือนพระจันทร์ เป็นพระจันทร์ก็ส่องแสง เปรียบเสมือนนก เป็นนกก็ร้อง เปรียบเสมือนดอกไม้ เป็นดอกไม้ก็บาน ไม่เรียกร้องการตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
    ไม่ใช่เป็นฝน พอตกเรียบร้อยแล้ว ก็โอ้โฮ ประชาชนทั่วโลกชื่นอกชื่นใจ วันรุ่งขึ้น ส่งบิลมาเก็บค่าน้ำฝน ไม่มี
    คนที่พบกับ รักแท้ คือ กรุณา ที่เกิดจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างถูกต้อง หัวใจจะเต็มปรี่ไปด้วยความรัก

    ฉะนั้น รักแท้ คือ กรุณา นั้น คือ รักที่ไหลหลั่งออกมาจากใจของผู้ที่ตื่นรู้ ชีวิตของเขาก็เปลี่ยน คนที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะเปลี่ยน โลกทั้งโลกที่เขาเข้าไปสัมพันธ์ก็จะเปลี่ยน
    คนคนหนึ่ง ถ้าเปลี่ยนจิต เปลี่ยนใจได้อย่างแท้จริง ก็เปลี่ยนโลกได้ กุญแจอยู่ตรงไหน การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

    พระพุทธองค์พอทรงค้นพบตาน้ำแห่งความรักที่แท้จริง ที่เรียกว่า กรุณา แล้ว ทรงใช้เวลาทั้งหมด เดินสายบรรยายธรรม โปรดคนทุกชาติชั้นวรรณะ โดยที่ไม่มีผลประโยชน์ในเชิงวัตถุตอบแทน
    มีแต่ผลประโยชน์ คือ ความร่มเย็นเป็นสุข ที่มนุษยชาติจะได้รับร่วมกัน


    "ว.วชิรเมธี"
    ----------
    คมชัดลึก :

    http://www.komchadluek.net/detail/20090409/8762/รักแท้คือกรุณา(๑๐)ตาน้ำแห่งความรัก.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...