23 พฤษภาคม 2497
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส. (3 หน)
<TABLE style="WIDTH: 275px; HEIGHT: 49px"><TBODY><TR><TD>ทุลฺลภญฺจ มนุสฺสตฺตํ</TD><TD>พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ</TD></TR><TR><TD>ทุลฺลภา จ ขณสมฺปตฺติ</TD><TD>สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลโภติ.</TD></TR></TBODY></TABLE>
ดวงนั้นแหละเป็นสัทธรรมแท้ๆ เมื่อใจเข้าไปอยู่กลางดวงนั้นแล้ว “หยุด” ความชั่วไม่ทำเลย ใจหยุดทีเดียว ถ้าไม่หยุด เข้าไปในดวงนั้นไม่ได้ อยู่ข้างนอกเสีย อยู่ข้างนอกเสีย เป็นถิ่นที่ทำเลของมาร มารก็ปั่นหัวเหมือนเด็กๆ ยุยงส่งเสริมตามชอบใจ บังคับบัญชาตามชอบใจ
ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงธรรมีกถา เฉลิมเพิ่มเติมศรัทธาของเจ้าภาพ ซึ่งเป็นผู้มีสมานฉันท์พร้อมใจซึ่งกันและกันด้วยมารดาและบุตร พร้อมด้วยวงศาคณาญาติเนื่องด้วยสายโลหิตและเนื่องด้วยความคุ้นเคย เนื่องด้วยสายโลหิตเรียกว่า “ญาติ” เนื่องด้วย ความคุ้นเคยเรียกว่า
“วิสฺสาสา ปรมา ญาตี” ญาติ 2 จำพวกนี้ พระองค์ทรงสรรเสริญ วิสฺสาสา ปรมา ญาตี อยู่เหมือนกันว่าเป็นญาติอย่างยิ่ง
แต่ว่าญาติทั้ง 2 ฝ่ายนี้เกิดมาในโลก หญิงและชายทุกถ้วนหน้า ย่อมมีญาติ 2 ประการนี้ทั่วกัน เมื่อรู้จักชัดดังนี้แล้ว บัดนี้เราเกิด มาประสบพบพระพุทธศาสนา ปรากฏจำเพาะหน้า รู้อยู่พร้อมกัน พุทธศาสนาแปลว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนอย่างไร สั่งสอนสัตว์โลกให้ละความชั่ว ด้วยกาย วาจา ตลอดถึงใจ ให้ทำความดีด้วยกาย วาจา ตลอดถึงใจ แล้วก็ทำใจให้ใสด้วย 3 ข้อนี้แหละเป็นคำสั่งสอนของพระศาสดาแท้ๆ เรียกว่า ย่อย่นสกลพุทธศาสนา พระ ศาสดาสอนกว้างออกไปกว่านี้ สอนศีลเป็น 2 ขั้น ว่า เหฏฐิมศีล ศีลโดยปริยายเบื้องต่ำ อุปริมศีล ศีลโดยปริยายเบื้องสูง สอนสมาธิ สมาธิโดยปริยายเบื้องต่ำ สมาธิโดยปริยาย เบื้องสูง สอนทางปัญญา ปัญญาโดยปริยายเบื้องต่ำ ปัญญาโดยปริยายเบื้องสูง สอนอย่างนี้ โอวาทดังกล่าวแล้วนี้เป็นโอวาทที่ย่อย่นสกลพุทธศาสนาทั้งนั้น แต่ว่าจะแสดงนัยโดยปริยาย เบื้องต่ำ และโดยปริยายเบื้องสูง
ศีลโดยปริยายเบื้องต่ำ พระองค์ทรงแนะนำคิหิบุคคลผู้ครองเรือนให้มั่นอยู่ในศีล 5 เว้นจากการฆ่าสัตว์ ให้ขาดจากจิตสันดาน เว้นจากถือเอาพัสดุที่เจ้าของเขาไม่ให้ด้วยอาการ แห่งขโมย ให้ขาดจากจิตสันดาน ตลอดถึงฉ้อโกง เว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ให้ขาดจากจิตสันดาน เว้นจากการพูดปด คำเท็จ ไม่จริง หลอกลวงต่างๆ ให้ขาดจาก จิตสันดาน เว้นจากการดื่มน้ำที่ทำบุคคลผู้ดื่มให้เมาเป็นเหตุเป็นที่ตั้งของความประมาท ให้ขาดจากจิตสันดาน 5 ประการนี้แหละเป็นเหฏฐิมศีล ศีลโดยปริยายเบื้องต่ำ ถ้าแม้ว่า ตั้งอยู่ในศีลโดยปริยายเบื้องต่ำ รับประกันตัวได้ไม่ต้องราชอาชญาของพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ต้องติดคุกติดตะราง ไม่ต้องมีโทษมีกรณ์ ในส่วนอาณาจักรทำอันตรายไม่ได้
เพราะศีล 5 บริสุทธิ์อยู่ ทำอะไรไม่ได้ กฎหมายก็ไม่มีปรับ เพราะเหตุว่าศีล 5 รับรองเสียแล้ว นี้ ศีลโดยปริยายเบื้องต่ำ ถ้าศีลโดยปริยายเบื้องสูงขึ้นไปเหมือนพระภิกษุสามเณรมาบวชใน พระธรรมวินัย เป็นผู้มีศีล แต่ท่านวางศีลไว้ ปาฏิโมกขสังวรศีล ให้สำรวมตามพระปาฏิโมกข์ เว้นข้อที่พระพุทธเจ้าท่านห้าม ทำตามที่พระองค์ทรงอนุญาต 227 สิกขาบท ในพระปาฏิโมกข์ให้บริสุทธิ์ตลอดสาย ได้ชื่อว่าตั้งอยู่ในปาฏิโมกขสังวร อาจารโคจรสัมปันโน ให้ถึง พร้อมแล้วด้วยมารยาท เครื่องประพฤติทั้งกายทั้งวาจาเรียบร้อยดี ไม่มีสะดุดตาสะดุดใจ ผู้หนึ่งผู้ใดเลย ทั้งชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ หาตำหนิติไม่ได้
เหมือนภิกษุสามเณรที่เรียบร้อย ประพฤติอยู่ในโคจร ไม่ให้ประพฤติไปในอโคจร คือ “อโคจร” น่ะประพฤตินอกคอกนอก กรณ์ เป็นพระเป็นเณรแล้วไปดูมหรสพ เข้าไปในโรงสุรายาฝิ่น เข้าไปในโรงขายเหล้าขาย สุราเหล่านี้ เข้าไปในโรงนครโสเภณี นี่มันน่าเข้าไปรึ ภิกษุสามเณรอย่างนี้ มหรสพเขามี ที่ไหนไปโผล่ตัวขึ้นที่นั่น อย่างนี้ผิดหน้าที่ของภิกษุสามเณร เรียกว่าอโคจร ใช้ไม่ได้ ต้อง ประพฤติเป็นโคจร ต้องประพฤติอยู่ในกรอบของภิกษุ อยู่ในกรอบของสามเณรแท้ๆ ชาวบ้านตำหนิติเตียนไม่ได้ เรื่องความประพฤติ การไปมาหาสู่ ภิกษุสามเณรไปในสถานที่ ใดๆ ที่เขาติเตียนครหาไม่ไป อย่างนั้นเรียกว่า “โคจรสัมปันโน” ถึงพร้อมแล้วด้วยโคจร อนุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี เห็นภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย ขึ้นชื่อว่าชั่ว ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แม้แต่นิดหนึ่งไม่ให้กระทบทีเดียว ไม่ให้มีชั่วเข้าไปเจือปนระคนทีเดียว ขึ้นชื่อว่าความชั่วความผิดเป็นไม่ประพฤติกระทำทีเดียว ให้เป็นสุจริตทีเดียว นี่เรียกว่า เห็นภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย ขึ้นชื่อว่าโทษชั่วแล้วให้ความสุขแก่ตัวไม่มี มีแต่ ให้ทุกข์แก่ตัวเป็นเบื้องหน้า ก็ละชั่วเสียขาดจากกาย วาจา จิต ให้บริสุทธิ์สนิทเป็นอันดี
สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทน้อยใหญ่ ไม่เคลื่อนพระวินัยไป เท่าปลายขนปลายผม ตั้งอยู่ในกรอบพระวินัยแท้ๆ เหมือนน้ำในมหาสมุทรมีมากน้อยเท่าใด ไม่ล้นฝั่ง อยู่ในฝั่งนั่นแหละ อยู่ในขีดขอบสมุทรนั่นแหละ ไม่ล้นขอบสมุทรไปได้ ฉันใด ภิกษุอยู่ในธรรมวินัย อยู่ในกรอบพระวินัย ประพฤติอยู่ในขอบศีลธรรม ไม่ประพฤติละเมิด อื่นจากศีลธรรมไปฉันนั้น อย่างนี้ได้ชื่อว่าเห็นภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย สมาทาน ศึกษาอยู่ในสิกขาบทน้อยใหญ่ทั้งหลาย นี่ศีลของภิกษุโดยปริยายเบื้องสูง
เมื่อกล่าวถึงศีลแล้วต้องกล่าวถึงสมาธิ
สมาธิโดยปริยายเบื้องต่ำ สมาธิโดยปริยาย เบื้องสูง สมาธิโดยเบื้องต่ำนั้นท่านแนะนำว่า อริยสาวกในธรรมวินัยของพระตถาคตเจ้า
โวสฺสคฺคารมฺมณํ กริตฺวา ปล่อยอารมณ์ทั้ง 6 รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ธัมมารมณ์ ในหยุดนิ่งเฉย ไม่ไปแตะไปเกี่ยวกับอารมณ์เหล่านั้น ไม่ไปกิน อารมณ์เหล่านั้น ไม่ไปเอารสของอารมณ์เหล่านั้นมาพินิจพิจารณา ปล่อยอารมณ์ทั้ง 6 เสีย หมดทีเดียว ใจหยุดทีเดียว ทำได้อย่างนี้ชื่อว่า ลภติ สมาธึ ได้สมาธิโดยปริยายเบื้องต่ำ
ลภติ จิตฺตสฺเสกคฺคตํ ได้จิตที่หยุดนั่นแหละ หนึ่งหนักเข้าเป็นเอกัคคตา จิตอันนั้นแหละเป็น เอกัคคตา เป็นหนึ่งหนักเข้า แน่นหนักเข้า หนึ่งหนักเข้า แน่นหนักเข้า ไม่ขยับเขยื้อนละ นั้น ได้ชื่อว่า ลภติ จิตฺตสฺเสกคฺคตํ เข้าถึงซึ่งความเป็นหนึ่งของจิตทีเดียว ไม่มีสองต่อไป
นี้สมาธิ โดยปริยายเบื้องต่ำ สมาธิโดยปริยายเบื้องสูงอีก ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ผู้ศึกษาในธรรมวินัย คือภิกษุ ภิกษุนั่นแหละเป็นผู้เข้าถึงซึ่ง “ปฐมฌาน” ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เป็นผู้เข้าถึงซึ่ง “ทุติยฌาน” ประกอบด้วย ปีติ สุข เอกัคคตา เข้าถึงซึ่ง “ตติยฌาน” ประกอบด้วย สุข เอกัคคตา เป็นผู้เข้าถึงซึ่ง “จตุตถฌาน” ประกอบด้วย เอกัคคตา อุเบกขา หนึ่งเฉยไม่มีสองต่อไป แล้วมีธรรมมารองรับด้วย
ปฐมฌานดวงใหญ่วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 2 วา หนาคืบหนึ่ง กลมเป็นวงเวียนรอบตัว ตั้งอยู่กลางกายมนุษย์ นั่นปฐมฌาน
ทุติยฌานอยู่ในกำเนิดของปฐมฌาน เมื่อเข้าถึงทุติยฌาน ดวงเท่ากัน กายรูปพรหม ก็นิ่งอยู่ศูนย์กลางฌานที่หนึ่งที่ 2 นั้น
เข้าถึงซึ่งตติยฌานอยู่ในกำเนิดของทุติยฌาน ดวงเท่ากัน
เข้าถึงซึ่งจตุตถฌานอยู่ในกลางกำเนิดของตติยฌาน ดวงเท่ากัน กายอรูปพรหมก็ หยุดนิ่งอยู่ในศูนย์กลางปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌานนั้น เข้าฌานไหนก็ฌาน นั้นเข้ามาเป็นชั้น จนมาถึงชั้นที่ 4 ถ้าว่าประพฤติได้อย่างนี้ ได้ชื่อว่าภิกษุผู้นั้นเป็นผู้ถึงซึ่ง สมาธิโดยปริยายเบื้องสูงแล้ว นี่สมาธิโดยปริยายเบื้องต่ำและเบื้องสูง
ส่วน ปัญญา สมาธินั่นแหละเป็นเหตุปัญญา ปัญญาเกิดแต่สมาธิจริงๆ
อิธ อริยสาวโก ปญฺญวา โหติ อุทยตฺถคามินิยา ปญฺญาย สมนฺนาคโต
อริยสาวกในพระธรรมวินัย ของพระตถาคตเจ้านี้เป็นผู้มีปัญญา คือ ผู้มาตามพร้อมแล้วด้วยปัญญาอันหยั่งเข้าถึงซึ่ง ความเกิดดับ เป็นหมดทั้งสากลโลก มีเกิดกับดับเท่านั้นไม่ไปไหน จะเกิดมาเท่าไรก็ช่าง ก็ดับ เท่านั้น เกิดมาหนึ่งก็ดับหนึ่ง เกิดมา 2 ก็ดับ 2 เกิดมา 3 ก็ดับ 3 เกิดมา 4 ก็ดับ 4 เกิดมาห้าก็ดับห้า เกิดมาเท่าไหร่ก็ดับเท่านั้น ไม่เกินกัน เกิดกับดับพอดี ถ้าไม่เกิดก็ไม่ดับ ถ้าเกิดมาเท่าไรก็ดับเท่านั้น ปัญญาเห็นชัดหมดทั้งสากลโลก เห็นชัดๆ
อริยาย นิพฺเพธิกาย สมฺมา ทุกฺขกฺขยคามินิยา
ปัญญาอันถึงซึ่งความสิ้นไปแห่งทุกข์โดยชอบ อันเป็นเครื่องเบื่อ หน่ายอย่างประเสริฐ เบื่อหน่ายไปหมด เห็นจริงเห็นจังไป มีปัญญาอย่างนี้ เรียกว่า ปัญญา โดยปริยายเบื้องต่ำ
ปัญญาโดยปริยายเบื้องสูงนั้น ภิกษุในพระธรรมวินัยของพระตถาคตเจ้ารู้ความเป็น จริงว่านี่เป็นทุกข์ ควรกำหนดรู้ รู้ความตามเป็นจริงว่าตัณหานี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ นี่ควร ละมันเสีย รู้ความตามเป็นจริงว่า นี่เป็นความดับทุกข์ ควรจะทำให้แจ้ง รู้ความตามเป็นจริง ว่านี่เป็นข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์จริงๆ นั่นควรเจริญ ทั้ง 4 ประการนี้ ใน ทุกขสัจจะ สมุทัยสัจจะ นิโรธสัจจะ มรรคสัจจะ เห็นความตามเป็นจริงเหล่านี้ นี่เป็นปัญญาโดยปริยาย เบื้องสูง พระองค์ทรงตรัสเทศนาโดยปริยายเบื้องสูงและเบื้องต่ำอย่างนี้
บัดนี้เราเป็นภิกษุสามเณรหรือเป็นอุบาสกอุบาสิกาในพระพุทธศาสนา เป็นพุทธศาสนิกชนรู้จักพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงรับสั่งเมื่อครั้งพญานาคไปเฝ้าพระองค์ ธรรมดา สัตว์เดรัจฉานที่ได้มรรคผลในศาสนานั้นไม่ได้เด็ดขาด พญานาคขอบวชในสำนักพระบรมศาสดา พระองค์ไม่ทรงรับ เพราะสัตว์เดรัจฉานไม่ได้มรรคผล ไม่ทรงรับ พระองค์ทรงตรัส เทศนาแก่เอรกปัตตนาคราช ว่า “ทุลฺลภญฺจ มนุสฺสตฺตํ พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ ทุลฺลภา จ ขณสมฺปตฺติ สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลโภ” เป็นคาถา 4 บาท ที่ยกขึ้นไว้ในเบื้องต้นว่า
ทุลฺลภญฺจ มนุสฺสตฺตํ
ความเป็นมนุษย์เป็นของได้ยาก ไม่ใช่ของได้ง่าย เราท่านทั้งหลายมาประสบพบ พุทธศาสนา เพราะด้วยอัตภาพได้เป็นมนุษย์นี้ นี่แหละเป็นของได้ยาก ไม่ใช่ของได้ง่าย ยาก อย่างไร เกิดมาเต็มบ้านเต็มเมือง รบราฆ่าฟันกันป่นปี้ ที่ทางไม่พอเป็นอยู่ ไม่ยากอย่างไร นึกถึงสัตว์เดรัจฉานในท้องทะเลเป็นอย่างไรบ้าง นึกถึงมดปลวกในพื้นแผ่นดินบ้าง ที่จำนวน วัดปากน้ำนี่ ที่กำหนดเขตที่ 3 ไร่กว่าๆ นี้แหละ ว่าถึงสัตว์เดรัจฉาน มด ปลวก ไร เหา เล็น ละก้อ มากกว่ามนุษย์ในชมพูทวีปอีก ที่เท่านี้แหละ แผ่นดินกว้างออกไปเท่าไร น้ำ กว้างออกไปเท่าไร น้ำคลองเดียวเท่านั้น ตัวไรน้ำมากกว่ามนุษย์ในชมพูทวีปขนาดนั้นนะ สัตว์เดรัจฉานนะ นั่นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์เล็กๆ น้อยๆ นะ อ้ายสัตว์ที่เรา เห็นด้วยตา สัตว์ตัวโตๆ ใหญ่ๆ นะ ก็มากมายนักทีเดียวเหมือนกัน
นับประมาณไม่ไหว เพราะฉะนั้นที่จะได้เป็นมนุษย์แต่ละคนๆ ไม่ใช่เป็นของได้ง่าย ได้ยากนัก ธรรมที่ทำให้เป็น มนุษย์น่ะมีอยู่ เขาเรียกว่า “มนุษยธรรม”
มนุษยธรรมน่ะต้องประพฤติบริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์ วาจา บริสุทธิ์ใจ
บริสุทธิ์กาย ขยายออก 3 เว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักฉ้อ ประพฤติผิดในกาม ขาด จากใจ นี่บริสุทธิ์กาย
บริสุทธิ์วาจา ขยายออก 4 เว้นจากการพูดปด ส่อเสียด คำหยาบ เพ้อเจ้อ โปรยปรายประโยชน์
บริสุทธิ์ใจ แยกออกเป็น 3 เว้นจากการโลภอยากได้ของเขา พยาบาทปองร้ายเขา เห็นผิดจากคลองธรรม นี่เว้นขาด
เมื่อเว้นขาดด้วยตัวแล้ว ไม่ชักชวนบุคคลอื่นด้วยสิบอย่างนี้ แล้วไม่ยินดีผู้ที่ประพฤติ ผิดในสิบอย่างนี้ด้วย แล้วไม่สรรเสริญพวกประพฤติผิดทั้งสิบอย่างนี้ด้วย ต้องอยู่ในความ สำรวมระวังปกติเป็นอันดี ถ้าบริสุทธิ์เช่นนี้ละก็ จึงจะเป็นมนุษย์กับเขาได้ ถ้าไม่บริสุทธิ์ถึง ขนาดนี้เป็นมนุษย์ไม่ได้ นี่เป็นข้อสำคัญนัก ต้องบริสุทธิ์อย่างนี้จึงจะได้เป็นมนุษย์ ที่ได้ เป็นมนุษย์เพราะบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ บริสุทธิ์กาย วาจา ใจ แตกกายทำลายขันธ์จากมนุษย์ โลกนี้ ต้องไปเกิดเป็นคัพภเสยยสัตว์
แต่ความบริสุทธิ์นั่นแหละเป็นยอดธรรมปรากฏบังเกิด ขึ้นดวงหนึ่ง เท่าฟองไข่แดงของไก่ ไปติดอยู่ที่ขั้วมดลูกของมารดา มนุษย์ที่บริสุทธิ์นั้นก็เข้าไป เกิดในดวงนั้น กายละเอียดเข้าไปเกิดในดวงนั้น ไปอยู่ในดวงนั้น เหมือนลูกไก่อยู่ในฟองไข่ ไปอยู่ในดวงนั้นแล้ว นั่นบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ไม่ล่องเสียแล้วกลลรูปก็หุ้มดวงนั้น ของ มารดาบิดาหุ้มดวงนั้น เป็นหญิงก็ดี เป็นชายก็ดี ต้องเกิดท่านี้เหมือนกันหมด นี่เรียกว่า คัพภเสยยสัตว์ เกิดในท้องมารดา เขาทำที่กำเนิดให้มันเกิดไว้แล้ว อายตนะมันดึงดูด เขาเรียก ว่า “โลกายตนะ” โลกายตนะมันอยู่ที่มนุษย์นี่ ต้องมีแม่มีพ่อ อย่างเดียวก็เกิดไม่ได้ มีแม่ อย่างเดียวก็เกิดไม่ได้ มีแต่พ่อคนเดียวแม่คนเดียวเกิดไม่ได้ ต้องมีพ่อแม่มาด้วย รวมกันมา รวมกันเป็น 2 และต้องประกอบธาตุธรรมให้ถูกส่วน1 ไม่ถูกส่วนไม่เกิด เกิดไม่ได้ เขาบอก ว่าง่ายนิดเดียวทำมนุษย์ให้เกิด อ้ายคนที่มันไม่มีลูก มันบอกว่าอยากมีลูกจริง บนบาน ศาลกล่าวเท่าไหร่ก็ไม่ได้ อ้าวไปถามเขาดูสิ ไม่ได้จริงๆ เด็ดขาด ลองดูเถอะ ไม่ได้ทีเดียว ถ้าว่าทำให้ถูกส่วนไม่เป็นละก้อ มันจะไม่เกิดละ ก็เพราะเหตุฉะนั้นเป็นมนุษย์ไม่ใช่เป็นของ เกิดง่ายนักหรอก เป็นของได้ยากนัก เหตุนี้พระองค์จึงได้ทรงรับสั่งว่า ทุลฺลภญฺจ มนุสฺสตฺตํ ความที่ได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นของได้ยาก ไม่ใช่ของได้ง่าย ถ้าเรานึกถึงตัวของเราไปละก้อ ว่าได้ยากจริง ความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ไม่มีล่องเสีย นั่นนึกดูซิ วันหนึ่งล่วงไปตั้งหลาย หนหลายครั้ง แล้วมันจะได้เกิดเป็นมนุษย์กับเขาได้อย่างไร มันก็เกิดไม่ได้ ต้องบริสุทธิ์จริงๆ จึงจะเกิดได้ นี่ข้อที่หนึ่ง
ข้อที่ 2 พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ ความบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นของได้ยาก เกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าน่ะ นี่ยากใหญ่ทีเดียว ไม่ใช่เป็นของพอดีพอร้ายละ ผู้ที่ทำเป็นจึงจะ รู้ว่ายาก จึงจะรู้ว่าเป็นของลึกซึ้ง พวกที่ทำธรรมกายเป็น เข้าถึง “ธรรมกาย” เป็นละก้อ นั่น แหละ เป็นความบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทีเดียว ไม่ใช่ง่ายทีเดียว ดูมนุษย์ในประเทศไทย หมดทั้งประเทศ หมดทั้งชมพูทวีป เวลานี้มีธรรมกายในตัวน่ะ
มีพวกญาติของพระบวชใหม่2 และพระบวชใหม่นี้เป็นคนรู้แล้วเรียนแล้ว จะเอาไปสอนเขาเป็นไม่กี่คนนัก แล้วก็เป็นอยู่ 30 กว่าคนแล้ว 38 หรือ 40 แล้ว 39 แล้ว ไปสอนเป็น ให้มีธรรมกาย เป็นพระพุทธเจ้าไป 39 คนแล้ว เรียนเป็นไปไม่เท่าไรหรอก สอนได้ขนาดนี้มีฤทธิ์เดชอย่างนี้
องค์นี้แหละ เขา สั่งลงมาให้เป็นครูพวกญี่ปุ่น จะสั่งสอน ญี่ปุ่นให้ได้มากทั่วทั้งประเทศนั่นแน่ะ องค์นี้แหละ ญี่ปุ่นจะต้องเคารพยำเกรงหมดทีเดียว สอนศักดิ์สิทธิ์ สอนเก่ง สอนพวกเร็วคล่องแคล่ว เข้าใจสอน พอเป็นธรรมะเท่านั้นก็เข้าใจ แจก เพราะเป็นตัวประกาศเขา3 ส่งเขาสั่งให้มาเป็นมนุษย์มาประกาศพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ มาทำเรื่องอื่น มาประกาศพระพุทธศาสนา ญี่ปุ่นชอบเข้าแล้ว ญี่ปุ่นรู้เรื่องธรรมกาย เรื่อง พระพุทธเจ้าเข้าแล้ว ถ้าญี่ปุ่นเข้าใจได้เช่นนี้ละก็ ญี่ปุ่นทั้งประเทศต้องบูชาประเทศไทย ว่าประเทศไทยนี่มีของดีจริง ต่อไปไม่รบไม่ข่มเหงประเทศไทยแล้ว สงสารประเทศไทย
ต้อง ห้อมล้อมดูประเทศไทยทีเดียว นี้เป็นเรื่องสำคัญอยู่อย่างนี้
ไม่ต้องสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ ทำธรรมกายให้เป็นขึ้นให้เข้าถึงพระพุทธเจ้า ทำพระพุทธเจ้าให้เป็นแล้วก้อ พระพุทธเจ้าได้ แจกไป ถ้าแจกไปรู้หมดทั่วประเทศญี่ปุ่นเป็นไง ประเทศญี่ปุ่นก็ไหว้ประเทศไทย ก็ดูแล ประเทศไทย เป็นพี่เลี้ยงประเทศไทยทีเดียว ไม่ต้องระวังเรื่องการเมืองกัน นี่ดีอย่างนี้นะ ไม่ใช่พอดีพอร้าย แล้วก็จะหาเงินหาทองบ้าง เอ้า! เงินทองมาเลี้ยงครอบครัวเล็กๆ น้อยๆ นี่สักร้อยเท่าพันเท่าก็เลี้ยงได้หมดนั่นแหละ ไม่ยากลำบากอะไรหรอก จะเลี้ยงอาหารก็เขา เอามาให้คนละถ้วยละจานเท่านั้นแหละ เลี้ยงไปสักพันครัวก็ไม่หมด ไม่หมดไม่สิ้น นี่เรื่อง พระพุทธศาสนานั้นเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปหาเงินทองข้าวของ เมื่อประพฤติถูกส่วนเข้าแล้ว เงินทองข้าวของมันมาหาเอง ข้าวปลาอาหารมาหาเองทั้งนั้น จะไปอยู่ในป่าในดอนในดง ที่ไหนก็ไป แต่เงินทองข้าวของมาหาเองทั้งนั้น นี่ทางพุทธศาสนา แต่ว่าเดินลึก สงเคราะห์ อนุเคราะห์มหาชนอนุชนทั้งหลายให้รู้ธรรมกายจริงๆ
วิธีสอนให้รู้จักธรรมกาย ให้ถึงธรรมกาย ให้เป็นพระพุทธเจ้า เข้าถึงพระพุทธเจ้าน่ะ จะทำอย่างไร
อ้าว ทีนี้ก็สอนความเป็นพระพุทธเจ้าให้ฟัง คอยตั้งใจฟังแล้วก็คอยทำตาม ไปนะ เอาใจหยุดนิ่ง ตั้งกายให้ตรง เอาใจหยุดนิ่งศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย สะดือทะลุหลังขึงด้ายกลุ่มเส้นหนึ่งตึง ขวาทะลุซ้ายขึงด้าย กลุ่มเส้นหนึ่งตึงตรงกันแค่กัน พอขึงตึงเข้าทั้ง 2 เส้นตรงกลางจรดกัน อ้ายตรงกลางด้าย กลุ่มที่จรดกันนั้นแหละ เขาเรียกว่า “กลางกั๊ก” ต้องเอาใจไปหยุดนิ่งอยู่ตรงกลางกั๊กนั่นแหละ
จะได้รู้ว่ายากอย่างนี้ไงเล่า ให้เข้าใจว่ายากอย่างนี้จริงๆ นะ เอาใจไปจรดนิ่งอยู่ตรงกลาง กั๊กนั่น พอนิ่งถูกส่วนเข้า “หยุด” พอใจหยุด ก็เข้ากลางของใจที่หยุดนั่น กลางของกลาง กลางของกลางๆๆๆ พอถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อยู่ใน กลางของใจที่หยุดนั่นแหละ กลางของกลางๆๆๆๆ หนักเข้า ก็เห็นดวงใสเท่าดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์นั่นแน่ะ นั่นแหละขั้นต้นละ คราวนี้ พอขึ้นรูปนั้นละก้อ ใจก็หยุดอยู่ตรงกลาง นั่นอีก หยุดนิ่งอยู่กลางดวงนั่นแหละ พอหยุดก็เข้ากลางของใจที่หยุดนั่น กลางของ กลางๆๆๆๆ พอถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ เข้าถึงดวงศีลแล้ว ดวงเท่ากัน เท่าดวงจันทร์ดวง อาทิตย์ ใสหนักขึ้น ใจก็หยุดนิ่งอยู่กลางดวงศีลนั่นแหละ พอถูกส่วนเข้า พอใจหยุดก็เข้า กลางของใจที่หยุดนั่น กลางของกลางๆๆๆ นิ่งถูกส่วนเข้า ถึงดวงสมาธิ ดวงสมาธิก็ใสเท่า ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ใสหนักขึ้นไป ใจก็หยุดนิ่งอยู่กลางดวงสมาธินั่นแหละ พอหยุดนิ่งอยู่ กลางดวงของสมาธิ ก็หยุดอยู่กลางของกลาง เข้ากลางของกลาง กลางของกลาง พอถูกส่วน เข้า เข้าถึงดวงปัญญา ดวงเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ เท่ากัน หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา พอใจหยุดก็หยุดนิ่ง เข้ากลางของกลาง หยุดนิ่ง นิ่งหนักเข้าๆๆ เข้าถึงดวงวิมุตติ ดวงเท่ากัน ใจหยุดนิ่งอยู่กลางดวงวิมุตตินั่นแหละ พอหยุดนิ่ง ก็เข้ากลางของกลางๆ นี่หยุดอันเดียว เราเดินกลางอันเดียว กลางของกลางๆ พอถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดนิ่งอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะนั่นแหละ พอหยุดนิ่งถูกส่วนเข้ากลางของใจที่หยุด กลางของกลาง กลางของกลาง พอถูกส่วนเข้า เห็นกายมนุษย์ละเอียด ก็อ้ออ้ายนี่เอง เมื่อเวลาฝันออกไป ไปทำเรื่องของฝันมาเป็นที่เป็นทางเป็นฐาน แล้วมาเล่าให้กายมนุษย์ แล้วกายมนุษย์รู้ขึ้น ตื่นขึ้นก็รู้เรื่องของฝัน อ้ายกายนี้เองนี่เล่า อยู่ในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะนี้เอง แต่ก่อนเราไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ไหนกายนี้ พอเข้าถูกส่วนเข้าเช่นนั้นก็เข้าใจ
เมื่อไปเห็นกายมนุษย์ละเอียดเข้า ก็ให้กายมนุษย์ละเอียดนั่งเหมือนกายมนุษย์หยาบ นี่แหละ อยู่ข้างใน แบบเดียวกัน ใจกายมนุษย์ละเอียดก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำ ให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดอีก นิ่งๆๆๆ หนักเข้า พอนิ่งถูกส่วนเข้า พอใจหยุดก็เข้ากลางของ หยุดนั่น กลางของกลาง พอถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน แบบเดียวกัน ใจหยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พอถูกส่วนเข้าหยุด ก็เข้ากลางของกลางที่ หยุด กลางของกลางๆ พอถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงศีล หยุดนิ่งอยู่กลางดวงศีลนั่นแหละ พอถูกส่วนเข้า เข้ากลางของใจที่หยุดนั่น กลางของกลางๆ ก็เห็นดวงสมาธิ หยุดนิ่งอยู่กลาง ดวงสมาธินั่นแหละ พอถูกส่วนเข้า ก็กลางของใจที่หยุดนั่น กลางของกลางๆ หยุดนิ่ง เข้าถึง ดวงปัญญา หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา พอถูกส่วนเข้า เข้ากลางใจที่หยุดนั่นแหละ กลางของกลางๆ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติ หยุดนิ่งอยู่กลางดวงวิมุตตินั่นแหละ พอถูก ส่วนเข้า เข้ากลางของใจที่หยุดนั่น กลางของกลางๆ เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดนิ่งอยู่ กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะนั่นแหละ พอถูกส่วนเข้า เข้ากลางของใจที่หยุดนั่น กลางของ กลางๆ ถูกส่วนเข้า เห็นกายทิพย์ กายที่ฝันในฝัน เอ้า นี่มันกายที่ 3 นี่
เห็นกายที่ 3 แล้วใจก็หยุดนิ่ง ให้กายที่ 3 นั่นนั่งเข้าเหมือนกายที่ 2 นั่น ใจของ กายที่ 3 ให้หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางของดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายที่ 3 นั่น ถูกส่วนเข้า เข้าถึง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า ก็เห็นดวงศีล นิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า ถึงดวงสมาธิแบบเดียวกัน หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงปัญญา หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงวิมุตติ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวง วิมุตติ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เห็นกายทิพย์ละเอียด เป็นกายที่ 4
ใจของกายทิพย์ละเอียด หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงศีล หยุดอยู่ศูนย์ กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงสมาธิ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เข้าถึง ดวงปัญญา หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติ หยุดอยู่ศูนย์กลาง ดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เห็นกายรูปพรหม เป็นกายที่ 5
ใจของกายรูปพรหมก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม ซ้อน กันอยู่ที่เดียว พอถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลาง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงศีล หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงศีล ถูก ส่วนเข้า เข้าถึงดวงสมาธิ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงปัญญา หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูก ส่วนเข้า เข้าถึงกายรูปพรหมละเอียด เป็นกายที่ 6
ใจกายรูปพรหมละเอียด หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม ละเอียดอีก พอถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดนิ่งอยู่ ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พอถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงศีล หยุดนิ่งอยู่กลางดวง ศีล ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงสมาธิ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวง ปัญญา หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลาง ดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงกายอรูปพรหม
ใจกายอรูปพรหมก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม ถูกส่วน เข้า เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงศีล หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงสมาธิ หยุด นิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงปัญญา หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า พอถูกส่วนเข้าเท่านั้น เข้าถึงกายอรูปพรหมละเอียด
ใจกายอรูปพรหมละเอียดหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม ละเอียด ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงศีล หยุดนิ่งอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึง ดวงสมาธิ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงปัญญา หยุดนิ่งอยู่ศูนย์ กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงกายธรรม รูปเหมือนพระปฏิมากร เกตุดอกบัวตูม ใสเป็นกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า นี่แน่ะถึงพระพุทธเจ้าแล้ว เห็นไหมล่ะ นี่มาถึงพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นแล้ว ยัง ยังไม่พอ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าแท้ นี่เป็นแต่เพียงตอนต้นพระพุทธเจ้า ตอนปลายพระ พุทธเจ้าไปอีก 10 กาย ถึงกายพระพุทธเจ้าที่แท้ละ นี่ตอนนี้เป็นพระพุทธเจ้าตอนต้น
ใจกายธรรมกายก็ขยายส่วนหน้าตักธรรมกายเท่าใด ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย ก็เท่านั้น วัดผ่าเส้นศูนย์กลางกลมรอบตัว ใจกายธรรมก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรม ที่ทำให้เป็นธรรมกาย พอถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวง เท่ากับธรรมกายนั่น หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเห็นดวงศีล หยุด อยู่ศูนย์กลางดวงศีล เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูก ส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เห็นธรรมกายละเอียด หน้าตัก 5 วา สูง 5 วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป
ใจธรรมกายละเอียดหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายละเอียด พอถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ เข้าดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวง สมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงปัญญา หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เห็นธรรมกายพระโสดา หน้าตัก 5 วา สูง 5 วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป
ใจพระโสดาหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดา พอถูกส่วน เข้า เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูก ส่วนเข้า ถึงดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงสมาธิ หยุดอยู่ศูนย์กลาง ดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงปัญญา หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เข้าถึง ดวงวิมุตติ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่ ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงธรรมกายของพระโสดาละเอียด หน้าตัก 10 วา สูง 10 วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป นี่เกือบเป็นพระพุทธเจ้าที่สุดละหนา
ใจกายพระโสดาละเอียดหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดา ละเอียด พอถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวง ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงศีล หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงสมาธิ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงปัญญา หยุดนิ่งอยู่ศูนย์ กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เข้าถึง ธรรมกายพระสกิทาคา หน้าตัก 10 วา สูง 10 วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้น
ใจของพระสกิทาคาหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระสกิทาคาแบบเดียว กัน ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุด อยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงธรรมกายพระสกิทาคาละเอียด หน้าตัก 15 วา สูง 15 วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป
ใจของพระสกิทาคาละเอียดหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระสกิทาคา ละเอียด พอถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวง ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เข้าถึง ดวงสมาธิ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ พอถูกส่วนเข้า เข้าถึงธรรมกายพระอนาคา หน้าตัก 15 วา สูง 15 วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป
ใจของพระอนาคาหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอนาคา ถูกส่วนเข้า เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เห็นดวงศีล หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูก ส่วนเข้า เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่ กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงธรรมกายพระอนาคาละเอียด หน้าตัก 20 วา สูง 20 วา เกตุดอก บัวตูม ใสหนักขึ้นไป จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้วหนา จะเป็นพระพุทธเจ้าที่จริงแท้ละ
ใจพระอนาคาละเอียด หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอนาคาละเอียด พอถูกส่วนเข้า ก็ถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงใหญ่วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 20 วา กลม รอบตัว หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พอถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงศีล ดวง เท่ากัน 20 วา กลมรอบตัวเหมือนกัน หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้า เห็นดวงสมาธิ ดวงเท่ากัน หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่ศูนย์กลาง ดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า เห็นดวง วิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงธรรมกาย พระอรหัต หน้าตัก 20 วา สูง 20 วา เกตุดอกบัวตูม นี่ตัวพระพุทธเจ้าจริงๆ นี่เป็นวิราคธาตุ วิราคธรรมจริงๆ หนา ประเสริฐเลิศทีเดียว
ใจพระอรหัตหยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอรหัต พอถูกส่วนเข้า ก็ ถึงดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 20 วา กลมรอบตัว หยุดอยู่ศูนย์ กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้า เห็นดวงศีล หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงศีล ถูก ส่วนเข้า เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเข้า ถึงดวงปัญญา หยุดอยู่ศูนย์ กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้า ถึงดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้า ถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้า เข้าถึงธรรมกายพระอรหัต ละเอียด หน้าตัก 30 วา สูง 30 วา4 เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป นี่ถูกส่วนละ ธรรมกาย ตอนปลายนี้ ธรรมกายพระอรหัตนั่นแหละ ตัวพระพุทธเจ้าแท้ๆ เทียว ธรรมกายพระอรหัต ละเอียดนั่นก็พระพุทธเจ้าแท้ๆ ทีเดียว ธรรมกายพระอรหัตที่หยาบ นั่นเรียกว่า พุทธรัตนะ ธรรมกายที่ละเอียดนั่นเรียกว่าสังฆรัตนะ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายนั่นเรียกว่าธรรมรัตนะ
พุทธรัตนะคือกายพระพุทธเจ้า ธรรมรัตนะคือดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า สังฆรัตนะ ธรรมกายละเอียดอยู่ในดวงธรรมรัตนะนั่นเรียกว่า สังฆรัตนะ นี้พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ หน้าตัก 20 วา สูง 20 วา เกตุดอกบัวตูม ใส นี่แหละที่เรียกว่า พระพุทธเจ้าล่ะ นี่แหละพระพุทธเจ้าแท้ๆ วิราโค เตสํ อคฺคมกฺขายติ ละ นี่แหละที่ท่านยก บาลีว่า สงฺขตา วา สังขตธรรม ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งได้ก็ตาม อสงฺขตา วา อสังขตธรรม ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ก็ตาม วิราโค เตสํ อคฺคมกฺขายติ วิราคธรรมประเสริฐเลิศกว่า สังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น เมื่อถึงวิราคธรรมที่เป็นตัวพระพุทธเจ้าแท้ๆ ทั้งหยาบทั้ง ละเอียด เมื่อรู้จักเช่นนี้ เห็นไหมล่ะ แต่เพียงแสดงให้ฟังเช่นนี้เราก็เบื่อเสียแล้ว ไม่ต้องไป ทำละ ก็มันยากอย่างนี้ ฟังก็ยาก เข้าใจก็ยาก รู้ก็ยาก เบื่อทีเดียว ไม่อยากจะฟังเชียว ถ้าว่า ไม่นึกอายในใจ เห็นถ้าจะลุกไปเสียทีเดียว มันน่าลำบาก นี่มันยากแค้นอย่างนี้นี่ เห็นไหมล่ะ มันยากแค้นอย่างนี้ พึงรู้เถิดว่าที่ท่านทรงรับสั่ง พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ ความบังเกิดขึ้นของ พระพุทธเจ้าเป็นของยากอย่างนี้
รัตน พระธรรมเทศนา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ
ในห้อง 'พระไตรปิฎก' ตั้งกระทู้โดย หลับอยู่, 24 พฤษภาคม 2015.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
นี้พระบวชใหม่ท่านทำเป็นแล้ว เป็นแล้วอย่างนี้
ท่านจึงละสมบัติพัสถานได้ ท่าน จึงบวชจริง ตั้งใจจริง ท่านไปสอนในประเทศญี่ปุ่นมาทั้งประเทศละนี่น่ะ เพราะท่านถึงนี่แล้ว ท่านถึงความเป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้แล้ว ถึงตลอดถึงไกลไปกว่านี้ไปอีกนับไม่ถ้วน ท่าน ไปไกลแล้ว
เพราะฉะนั้นท่านเห็นจริงเห็นจังอย่างนี้แล้ว นี่แหละ ธรรมอันนี้เป็นของลึกซึ้ง
ถ้าว่าผู้ใดไปถึงเข้าแล้ว ผู้นั้นก็จะรู้สึกนะ ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย พุทโธ่เอ๋ย เราเกิดมาตั้งแต่เล็ก จนโต เป็นหนุ่มเป็นสาวครองเหย้าครองเรือน เหมือนเด็กจริงๆ เด็กๆ เล่นขายของกันแท้ๆ เดี๋ยวก็ตีเดี๋ยวก็ทะเลาะกัน เพราะอ้ายนั่นไม่พอ อ้ายนี่ไม่พอ หึงหวงกันต่างๆ นานา เหมือน เด็กๆ เล็กๆ แท้ ถ้าไปถึงพระเข้าแล้วก้อ ไอ้นี่มันไม่ใช่เรื่องอย่างนี้หรือนี่ นี่แกก็ไปเห็นอย่าง นั้นเข้าเหมือนกัน แกจึงทิ้งบ้านทิ้งช่อง แม้ใครจะมายอมเป็นภรรยาแกก็ไม่ยอมอีกน่าแหละ
แกกลัวจะเล่นเรื่องเด็กกันอีก แกกลัว แกรีบมาเสีย แกกลัวจะไปเล่นเรื่องเด็กกันอีกยุ่งๆ เหยิงๆ กันต่างๆ นานา ที่รบกันไปรบกันมานั้นมันก็เรื่องเด็กๆ นะ ไม่ใช่เรื่องผู้ใหญ่ ถ้าเรื่อง ผู้ใหญ่ไม่รบกันดอก ดูแต่ผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่นั้นซิ อยู่ด้วยกันไปๆ ก็ไม่เป็นไร โอบอ้อมอารี ซึ่งกันและกัน ไม่ค่อยจะเป็นอันตรายนัก
แต่ว่าต่างคนต่างก็เป็นผู้ใหญ่ เป็นเด็กๆ ไม่รู้ เดียงสา พูดไม่รู้เรื่อง ฟังกันไม่รู้เรื่อง กลับเป็นเด็กๆ เสียอีก เพราะเหตุนี้ความเป็นพระ พุทธเจ้าเป็นของได้ยาก ต้องเป็นผู้ใหญ่จริงๆ นะ จึงจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ถ้าเป็นเด็กๆ เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยังทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ สมัยเมื่อยังเป็นเด็กๆ พระพุทธเจ้าไม่มี ทะเลาะกันกับใคร ใจดีนักทีเดียว ไม่ข้องแวะกับใคร ไม่กระทบกระเทือนใครทีเดียว สังเกต ดูพระบวชใหม่แกไม่กระทบกระเทือนแก่ใครๆ แกหลีกของแกตามเรื่องของแกทีเดียว
เพราะ เหตุอะไร? แกเป็นผู้ใหญ่เข้าแล้ว มีธรรมของผู้ใหญ่เข้าแล้ว
มีกระแสพระพุทธเจ้าเข้าแล้ว
เป็นพระพุทธเจ้าเข้าแล้ว
มีได้ยากอย่างนี้ ของได้ยาก ไม่ใช่ได้ง่าย หลายคนด้วยกัน พี่น้องกันก็มีน้องสุดท้องก็ยังไม่ได้กับเขาเลย ประพฤติกับเขาเหมือนกัน น้องรองมานั้น ได้แล้ว พี่ชายยังไม่ได้ มารดาก็ได้แล้ว เพราะเห็นเข้าแล้วในวันนั้น วันนี้เขาทำบุญเป็นอย่าง แปลกประหลาดอย่างอัศจรรย์ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
คนที่รู้จักบุญเห็นบุญเช่นนี้ บุญก็ไหลมาเหลือประมาณนับ ประมาณไม่ได้ เจ้าของเขาก็เห็นเป็นดวงใหญ่โตมโหฬารนับประมาณไม่ได้ บุญที่ส่งมาคราว นี้แหละจะได้เป็นกำลังของพระบวชใหม่ ให้ประกาศศาสนาในประเทศญี่ปุ่น ให้ญี่ปุ่นเขา เคารพนบนอบหมดทั้งประเทศ มันสำคัญอย่างนี้ ส่งบุญมาวันนี้ ต้นธาตุส่งบุญมาให้มโหฬาร ทีเดียว นับประมาณไม่ไหว
เหตุนี้ความจะได้เป็นพระพุทธเจ้าของได้ยากอย่างนี้ เพราะว่า
ขณสมฺปตฺติ
ความถึงพร้อมด้วยขณะด้วยสมัยเช่นนี้ไม่ใช่ง่ายนะ หมดทั้งประเทศไทย ไม่ใช่ ง่ายหรอก ทั้งประเทศไทย ทั้ง 18 ล้านเศษๆ นี้ เราเข้าใจ เขานับถือพระพุทธศาสนา ทุกคนหรือ? ที่ไหนก็มี ศาสนาต่างๆ ก็มี ศาสนาผีก็มี เจ้าก็มีต่างๆ นานา ศาสนาพุทธจริงๆ มีน้อย ถ้าไม่เข้าถึงพระพุทธเจ้า ไม่เป็นพระพุทธเจ้า ไม่เห็นพระพุทธเจ้า ที่จะถึงพระ พุทธเจ้าจริงๆ น้อยนัก ต้องเห็นต้องเป็นจึงจะถือแท้แน่นอน ที่เขาถือจริงก็มีอยู่ ยังไม่เห็น ยังไม่เป็นก็ถือจริงเหมือนกัน นั่นก็จริงใช้ได้เหมือนกัน แต่ว่ายังไม่มั่นนัก ต้องเป็นจึงจะ มั่นหมาย ท่านจึงวางตำราไว้ในบาทที่ 3 ว่า ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ
ที่จะถึงพร้อมด้วยขณะ ด้วยสมัยเป็นของได้ยาก ไม่ใช่เป็นของได้ง่าย
ขณะสมัยเป็นอย่างไร?
ขณะสมัย 8 พระพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสขึ้นในโลก พระสิทธัตถราชกุมารมาตรัสขึ้นในโลก หรือมีธรรมกาย ปรากฏขึ้นเช่นนี้แล้ว นี่พระพุทธเจ้ามาตรัสขึ้นในโลกแล้ว ในโลก ขันธโลก สัตวโลกแล้ว ใน ตัวสัตว์นี่เองไม่อยู่ที่ไหน
ธรรมกายเกิดขึ้นแล้วที่จะมีผู้เชื่อจริงเห็นจริงได้ยากนัก
โน้น...เรา ไปเกิดเสียปลายดงปลายแขม แคว้นชนบทบ้านป่าเมืองดอน ธรรมกาย ไม่รู้เรื่องของ พระพุทธเจ้ากับเขา มันจะรู้เรื่องอะไร ร้อยวันพันปีภิกษุสามเณรไม่กรายไปแม้แต่ทีหนึ่ง มันเกิดมาก็ตายเปล่า ไปดูซิ ถามว่าเคยพบพระนครบ้างหรือเปล่า ไม่ได้เคยไปเลย นั่น แน่ะ ถึงขนาดนี้แน่ะ มันไปอยู่ปลายดงปลายแขมเสียขนาดนี้นะ นี่แน่ะ เมื่อพระพุทธเจ้า เกิดขึ้น มันจะรู้เรื่องอะไร ไม่รู้เรื่องทีเดียว นี้เป็น อขณะ อสมัย ทีเดียว
พระพุทธเจ้ามาเกิด ขึ้นในโลก โน้น...ไปเกิดในอรูปสัตว์ อสัญญีสัตว์ต่อภพข้างบนโน่นแน่ะ ไปเสวยความสุข เสีย 84,000 อสงไขยกัป 84,000 มหาอสงไขยกัป มันก็ไม่ได้พบพระพุทธเจ้า ไปเป็น อสัญญีสัตว์อยู่พรหมชั้นที่ 11 ไปนั่งไปนอนเป็นตุ๊กตาหินอยู่นั่นเอง นั่นเขาเรียกว่าพรหม ลูกฟัก ไม่รู้บาปรู้บุญ รู้คุณรู้โทษอะไร ไปนอนเฉยอยู่นั่นล่ะ ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใครนับ เป็นตั้ง 500 มหากัป อยู่นั่นแหละ พระพุทธเจ้ามาตรัสเท่าไรๆ ก็ไม่รู้เหมือนกัน นั่นมันก็ เป็นอขณะ อสมัยเหมือนกัน มันเกิดกับเขาในโลกที่พระพุทธเจ้ามาตรัสในโลกเหมือนกัน
แต่ว่าแกเป็นมิจฉาทิฏฐิไปเสีย ไม่เชื่อความเป็นพระพุทธเจ้าทีเดียว แกไม่เชื่อทีเดียวนั่น แหละ จะกระทำอย่างไรแกก็ไม่เชื่อ แกเป็นมิจฉาทิฏฐิเสีย นั่นถึงจะอยู่รวมหมู่เดียวคณะ เดียวก็เป็นอขณะ อสมัย ไม่ได้เรื่องอีกเหมือนกัน พระพุทธเจ้าอุบัติมาตรัสในโลกปรากฏอยู่ เขาก็เกิดมาในมนุษย์โลกอีกเหมือนกัน ใบ้บ้าบอดหนวกเสีย เอาเรื่องไม่ได้อีก เป็นอขณะ อสมัยอีก
พระพุทธเจ้าอุบัติมาตรัสในโลก โน่น...ไปเกิดในอเวจีอีก ไปเกิดในอเวจีนั่นเป็น สัตว์นรกเสียอีกแล้ว ไม่ได้เรื่อง เป็นสัตว์เดรัจฉานเสียอีกแล้ว เป็นเปรต เป็นอสุรกาย อยู่ ในอบายภูมิเสียแล้ว มันก็เป็นอขณะ อสมัย ไม่ได้เรื่อง ต่อเมื่อไรพระพุทธเจ้าอุบัติมาตรัส ในโลกเกิดมาในมนุษย์ รู้ดีรู้ชั่วรู้ผิดรู้ชอบทุกอย่าง รู้สูงรู้ต่ำทุกอย่าง ไม่เข้าใจ แนะนำสั่งสอน คนอื่นไม่ได้
เป็นพุทธศาสนาแท้ๆ เป็นมิจฉาทิฏฐิเสียจนได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นอขณะอสมัย กับเขา เป็นอขณะ อสมัยแท้ๆ ไม่ได้มรรคผล พวกเหล่านี้ ต่อเมื่อใดพระพุทธเจ้าอุบัติมาตรัส ในโลก เชื่อแท้เห็นแท้เหมือนกับพระบวชใหม่ อย่างนี้มันก็ต้องทำธรรมกายเหมือนอย่างนั้น นั่นแน่ะ เขาถึงพร้อมด้วยขณะด้วยสมัยอย่างนั้นแน่ะ สมบูรณ์บริบูรณ์ทีเดียว พระพุทธเจ้าใน นิพพาน ตายเดี๋ยวเขาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ได้ ไปถามพระพุทธเจ้า ไปจับมือถือแขนท่านก็ได้
พระพุทธเจ้าจะลูบหูลูบหัวท่าน ก็ได้
พระพุทธเจ้าท่านจะเอามือลูบหูลูบหัวก็ได้ จับมือถือ แขนท่านก็ได้
อย่างนี้เขาว่องไวอย่างนี้ อย่างนี้แหละ ถึงจะอยู่ใกล้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ท่านนิพพานไปแล้ว
เขาเกิดเป็นมนุษย์เช่นนี้ เขาก็เหมือนพระพุทธเจ้ามีพระชนม์อยู่ เขาจะ เฝ้าพระพุทธเจ้าเวลาใดก็ได้เวลานั้น
ให้พระพุทธเจ้ามาสู่หาเวลาใดก็มาสู่หาเขาเวลานั้นในขณะ จิตนั้น ไม่คลาดเคลื่อน นี่เขาถึงพร้อมด้วยขณะด้วยสมัย นัยเป็นอย่างนี้ ได้ยากนี่ ไม่ใช่เป็น ของง่าย ไม่ใช่เป็นของได้ง่าย เป็นของได้ยากนักหนาทีเดียว นี่เรียกว่า
ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ
ความถึงพร้อมด้วยขณะด้วยสมัย พระพุทธเจ้าน่ะทรงรับสั่งว่าเป็นของได้ยาก ไม่ใช่เป็น ของธรรมดา ธรรมดา
สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลโภ
สัทธรรมเป็นของได้ยากอย่างยิ่ง นี่เป็นของพระพุทธเจ้าแท้ๆ สัทธรรมเป็นของได้ยากอย่างนี้ สัทธรรมน่ะอะไรเป็นของได้ยากอย่างนี้ สัทธรรมน่ะคือธรรม ที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า
ธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้าน่ะดวงใหญ่อยู่กลางกายพระพุทธเจ้า สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย กลางกั๊กนั่นพอดี กลางกายนั่นพอดี วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 20 วา กลมรอบตัว กายละเอียดก็แบบเดียวกัน กายหยาบก็แบบเดียวกัน นี่เป็นองค์สัทธรรม อันถึงได้ยาก ที่จะเข้าถึงได้ยาก ที่จะรู้จักก็ยาก ธรรมดวงนี้น่ะ แล้วก็ดวงสัทธรรมที่ทำให้ เป็นพระอนาคา วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 15 วา กลมรอบตัว พระอนาคาละเอียด 20 วา กลมรอบตัว นั่นก็เป็นตัวสัทธรรม นั่นก็เป็นสัทธรรม นั่นเป็นสัทธรรมเหมือนกัน สัทธรรม ที่ลดส่วนลงมา ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระสกิทาคาวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 10 วา กลมรอบตัว ธรรมกายละเอียดของพระสกิทาคาวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 15 วา กลมรอบตัว นั่นก็เป็น ดวงสัทธรรมแท้ๆ ลดส่วนกว่านั้นลงมา พระโสดา สัทธรรมของพระโสดาวัดผ่าเส้นศูนย์ กลาง 5 วา กลมรอบตัว กายพระโสดาละเอียดวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 10 วา กลมรอบตัว นั่นดวงสัทธรรมแท้ๆ ได้ยาก เข้าถึงยากนัก เป็นทางไปของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทีเดียว ในกลางดวงนั้น มาถึงโคตรภูบุคคล ธรรมกายละเอียดวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 5 วา กลม รอบตัว ธรรมกายไม่ละเอียดหย่อนกว่า 5 วาลงมา กลมรอบตัวเหมือนกัน นั่นก็ดวง สัทธรรมแท้ๆ นี่ส่วนธรรมกาย ดวงสัทธรรมที่เป็นธรรมกายนั่นแหละ ดวงนั่นแหละเป็นตัวสัทธรรมแท้ๆ
ลดส่วนลงมากกว่านั้นลงมา กายอรูปพรหมละเอียด ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย อรูปพรหมละเอียด วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 8 เท่าฟองไข่แดงของไก่ 8 ดวง 8 ฟองเอามา รวมกันเข้าเป็นดวงเดียวกัน ลดเล็กลงมาอย่างนั้น เข้ามาถึงในภพเสียแล้วนี่ เล็กลงมานั่น ตัวพระสัทธรรมแท้ๆ มาถึงกายอรูปพรหมหยาบวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 7 เท่าฟองไข่แดง ของไก่ มาถึงกายรูปพรหมละเอียดวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 6 เท่าฟองไข่แดงของไก่ มาถึง กายรูปพรหมหยาบวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 5 เท่าฟองไข่แดงของไก่ มาถึงกายทิพย์ละเอียด วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 4 เท่าฟองไข่แดงของไก่ มาถึงกายทิพย์วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 3 เท่า ฟองไข่แดงของไก่ ในกายที่ 3 มาถึงกายมนุษย์ละเอียดวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 2 เท่าฟอง ไข่แดงของไก่ มาถึงกายมนุษย์หยาบนี่เท่าฟองไข่แดงของไก่นั่นแหละ
ดวงนั่นแหละเป็นดวงสัทธรรม ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องไปในทางดวงนั้น เดินไปใน ทางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์-กายมนุษย์ละเอียด, กายทิพย์-กายทิพย์ละเอียด, กาย รูปพรหม-กายรูปพรหมละเอียด, กายอรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด, เดินเข้าไปในกายธรรม-กายธรรมละเอียด, กายพระโสดา-โสดาละเอียด, พระสกิทาคา-สกิทาคาละเอียด, อนาคา-อนาคาละเอียด, อรหัต-อรหัตละเอียด เดินเข้าไปในนั้น ดวงนั้นแหละเป็นสัทธรรมแท้ๆ เมื่อ ใจเข้าไปอยู่กลางดวงนั้นแล้ว “หยุด” ความชั่วไม่ทำเลย ใจหยุดทีเดียว ถ้าไม่หยุด เข้าไปใน ดวงนั้นไม่ได้ อยู่ข้างนอกเสีย อยู่ข้างนอกเสียเป็นถิ่นที่ทำเลของมาร มารก็ปั่นหัวเหมือน เด็กๆ ยุยงส่งเสริมตามชอบใจ บังคับบัญชาตามชอบใจ
บังคับบัญชาอย่างน่าบัดสีน่าอับอาย มันไม่อายมารมันบังคับเสีย มันไม่อายมันเอาเสียหมด เหมือนจ้าวทรงผีสิงทีเดียว เข้ารบ เข้าราน่ะมันอายกันเพียงไรน่ะ หน้าด้านน่ะ มันอายเมื่อไรล่ะ ทำหน้าเจี๊ยมเลี่ยมสบายอก สบายใจ ใส่ลูกระเบิดเจ้าเข้าให้ ยิงเจ้าเข้าให้ ขึ้นเครื่องบินนั่งยิ้มแย้มแจ่มใส อ้ายนี่มารมัน บังคับทั้งนั้นเหมือนเด็กๆ เล็กๆ มันอายเขาเมื่อไรเล่านั่น ทำชั่วมันควรจะอายมนุษย์ มัน อายได้เมื่อไรเล่านั่น ไปฆ่าเขาไปฟันมันน่าอายเขา เบาไปหรือนี่ เพราะเหตุฉะนั้น สัทธรรม น่ะเป็นดวงใสอย่างนั้น เป็นของได้ยากอย่างยิ่ง
สัทธรรมถ้าว่าจะกล่าวถึงมัน สัทธรรมโดยปริยาย
เมื่อใจหยุดอยู่กลางดวงธรรมที่ ทำให้เป็นกายมนุษย์ กายมนุษย์มันก็บริสุทธิ์ แม้จะใช้กาย กายก็ไม่กระทบกระเทือน ไม่ เดือดร้อนใคร เย็นตาเย็นใจทุกคน เข้าใกล้ใคร กายไม่ให้กระทบกระเทือนใครเลย ไม่ กระแทกแดกดันด้วยประการใดประการหนึ่ง ไม่แถกด้วยตาว่าด้วยปากอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีเลยทีเดียว ไม่กระทบกระเทือนใครทีเดียว นั่นกายอย่างชนิดนั้นออกจากใจที่หยุด ใจที่เป็นธรรม ใจที่สงบ ออกจากสัทธรรม สงบเงียบเรียบร้อยเป็นอันดี เมื่อกายบริสุทธิ์เสีย กล่าววาจาใดๆ ก็ไม่กระทบตนและบุคคลอื่น ไม่เดือดร้อนตน ไม่เดือดร้อนบุคคลอื่น กล่าวออกไปแล้วชุ่มชื่นด้วยกันทั้งนั้น ยิ้มแย้มแจ่มใสสบายอกสบายใจทั้งนั้น นี่ออกจากใจ ที่หยุด ออกจากสัทธรรมนั่นทั้งนั้น ไม่ใช่ออกจากอื่น ส่วนใจจะคิดสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็คิดแต่สิ่ง ที่ดีที่ชอบทั้งนั้น ประกอบแต่สุจริต ทุจริตไม่มี ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ นี่เป็นอาการของ สัทธรรมทั้งนั้น
“สัทธรรม” แปลว่า “ธรรมเป็นเครื่องสงบ” สงบอย่างไร? สงบวาจาจากบาปธรรม ไม่มีบาปธรรมเลย เหลือแต่วาจาที่ดี สงบกาย กายก็หมดจากบาปธรรม ไม่มีบาปธรรมเลย มีแต่กายที่บริสุทธิ์ สงบใจ ใจก็ไม่มีพิรุธ มีแต่บริสุทธิ์ฝ่ายเดียว
สงบได้อย่างไร?
กายฆ่าสัตว์ ลักฉ้อ ประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ลักฉ้อ ประพฤติผิดในกามได้ นี่สงบเสียได้อย่างนี้ วาจาพูดปด ส่อเสียด คำหยาบ โปรย ประโยชน์ เมื่อวาจาสงบลงไป วาจาก็พูดจริง พูดสมานไมตรี พูดอ่อนหวาน พูดเป็นหลัก เป็นธรรมเป็นวินัย นี่สงบชั่วเสีย หมดเหลือแต่ดีอย่างนี้ ใจล่ะ สงบชั่วเสีย เลิกอยากได้ ของเขา พยาบาทปองร้ายเขา เห็นผิดจากคลองธรรม ให้ของของเราแก่บุคคลอื่น เหมือน เจ้าของทานอย่างนี้ ให้ของของตัวแก่บุคคลอื่นน่ะ แปลกประหลาดไหมล่ะ แล้วยินดีด้วย ชอบอกชอบใจด้วย เสียเงินเป็นก่ายเป็นกองแล้วชอบอกชอบใจด้วย นี่ชอบใจอย่างนี้ เขาเรียกว่าเพราะถูกสัทธรรมนี่ สัทธรรมท่านก็ช่วยน่ะซี ให้ใจผ่องใส เข้าประคองใจให้ ใจปลาบปลื้ม ให้บุญไหลมา ใจเอิบอิ่มตื้นเต็ม ไม่เสียดงเสียดายอะไร ให้อะไรก็ไม่รู้จักหมด จักสิ้น
ทางหลังฉาก ก็ไหลมาอีก สัทธรรมท่านก็ช่วยสงเคราะห์อย่างนี้ เมื่อใจสะอาด สะอ้านได้เช่นนี้ เมื่อใจสะอาดสะอ้านจากความโลภที่จะโลภสมบัติของผู้อื่นมาเป็นของ ของตน กลับให้ของของตนแก่บุคคลอื่นเสียได้ นี่เป็นสัทธรรมอย่างนี้ โกรธคิดประทุษร้าย เขา กลับเมตตารักใคร่ปรารถนาจะให้เขาเป็นสุขเสียอีกแล้ว นี่เป็นสัทธรรมอย่างนี้ เห็น ผิดจากคลองธรรม เห็นชอบจะผิดอย่างไรอยู่กับสัทธรรมแล้ว สัทธรรมท่านก็ช่วยพิทักษ์ รักษา ใจก็ปลาบปลื้ม เอิบอิ่ม ตื้นเต็มในความดีอยู่เป็นธรรมดา นี่ได้ชื่อว่าเป็น “สัทธรรม”
อย่างนี้นี่แหละเป็นของได้ยากหนา ไม่ใช่ของได้ง่าย
เมื่อได้สัทธรรมของมนุษย์แล้ว สัทธรรมของมนุษย์ละเอียด, สัทธรรมของกายทิพย์ สัทธรรมของกายทิพย์ละเอียด เป็นลำดับขึ้นไป ฯลฯ สัทธรรมของกายธรรม-กายธรรมละเอียด, กายโสดา-โสดาละเอียด, สกิทาคา-สกิทาคาละเอียด, อนาคา-อนาคาละเอียด, กายอรหัต-อรหัตละเอียด, ที่นอกทำนองคลองธรรมไม่ไป อยู่ในทำนองคลองธรรมฝ่ายเดียว ก็อยู่ในสัทธรรมทั้งสิ้น เป็นของได้ยากจริงๆ สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลโภ สัทธรรมเป็นของได้ยาก จริงๆ อย่างนี้
บัดนี้เจ้าภาพได้สัทธรรมสมมาดปรารถนา ได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ฝ่ายมารดาฝ่ายโยมผู้หญิงนั่นยังไม่ได้เคยบวชเลยลูก 4 คนด้วยกัน ลูกชายทั้งนั้น คนโต เขาก็ยังไม่ยอมให้บวช คนที่ 3 ที่ 4 เขาก็ยังประกอบการงานอยู่ เขายังไม่เข้าถึงสัทธรรม
ฝ่ายคนที่ 2 รองหัวปี7 เข้าถึงสัทธรรม เห็นสัทธรรม ได้สัทธรรม แต่ว่าตัวอย่างที่เขา8 สั่งมาเป็นครูของชาวญี่ปุ่นนา คอยดูไปข้างหน้าซี จะได้พึ่งพาอาศัย จะได้เป็นที่ไหว้ที่บูชาของ ชาวญี่ปุ่นต่อไป
เหตุนี้ท่านผู้มีปัญญาเมื่อมาโมทนาในกองการกุศลของท่านภิกษุใหม่ที่มา บวชในพระธรรมวินัยนี้ การบวชในพระธรรมวินัยน่ะ ได้ชื่อว่าสนองคุณมารดาบิดาจริงๆ เชียว มารดาบิดาน่ะ ถ้าว่าเห็นลูกบวชแล้วปลาบปลื้ม เอิบอิ่ม เต็มตื้นนัก อะไรจะไปเท่า ไม่มีล่ะ ร่าเริงบันเทิงใจ จะกินข้าวหรือไม่กินก็ไม่รู้ละ อิ่มเอิบไปหมดบอกไม่ถูกทีเดียว ถ้าว่า ลูกของใครบวชเข้าไปแล้ว ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายปลาบปลื้ม อิ่มเอิบ ตื้นเต็มอย่างนั้น บาลี ท่าน ยืนยันในมงคลทีปนี ว่า มารดาบิดาไม่มีศรัทธา ไม่เชื่อในพระรัตนตรัย เชื่อพระรัตนตรัยขึ้น นี่เป็นแทนคุณข้อที่ 1,
มารดาบิดาไม่มีศีลให้มีศีลขึ้น นี้เป็นแทนคุณข้อที่ 2,
มารดาไม่มี ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาให้เลื่อมใสหนักขึ้น นี้เป็นแทนคุณข้อที่ 3,
มารดาไม่รู้จัก บาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ แก้ไขมารดาบิดาให้รู้จักประโยชน์มิใช่ประโยชน์ขึ้น
เหมือนกับตนผู้บวชในวันนี้ มารดาบิดาไม่เลื่อมใส ทำให้เลื่อมใสหนักขึ้น หรือเลื่อมใสน้อย ทำให้เลื่อมใสมากขึ้น มารดาบิดาไม่มีศีล เข้าใกล้พระรับศีล เมื่อเข้าใกล้ก็รับศีลแล้ว เมื่อ ตอนก่อนก็รับศีลเหมือนกัน นี่เขาก็เคยรับศีลมาบ้างแล้ว รับศีลแน่นหนาหนักขึ้น ให้ทั่วไป กับพระภิกษุอื่น
เมื่อลูกบวชเช่นนี้แล้วเห็นพระภิกษุอื่น สามเณรอื่น ก็เหมือนอย่างกับลูกเรา รักใคร่พระภิกษุสามเณรขึ้นทีเดียว สมเพชเวทนามีข้าวปลาอาหารก็เอาเลี้ยงดูทีเดียว นี่เป็น ต้นเป็นตัวอย่าง
เมื่อมารดาบิดาไม่เชื่อแท้แน่นอนลงไปในพุทธศาสนา ก็ให้มีธรรมกายเสีย เชื่อแท้แน่นอนแล้ว ลูกน่ะแก้ไขให้มีธรรมกายแท้แน่นอนแล้ว มารดาบิดาไม่รู้จักสูงต่ำ เมื่อ รู้จักพุทธศาสนาแล้ว รู้จักสูงต่ำทีเดียว นี่มันชั้นสูง อ้อ! เมื่อก่อนเราเล่นมีลูกมีเต้ามาเดิมน่ะ มันเล่นอย่างเด็กๆ นี่ นี่พระท่านไม่เล่นด้วย ท่านไปไกลอย่างนี้ มาเป็นธรรมกายพระอรหัต เข้าแล้วไปไกลหนักขึ้นไป ก็ดีอกดีใจ ชอบอกชอบใจอย่างนี้ ได้ชื่อว่าได้แทนคุณมารดาบิดา จริงๆ ทีเดียว
ถ้าว่าจะแทนคุณมารดาบิดาน่ะ ให้เอาทองคำมาทั้งแผ่นนั่นแหละ เป็น เจ้าจักรพรรดินิมิตแผ่นปฐพีให้เป็นทองคำทั้งแผ่นมอบให้บิดามารดา มอบให้เป็นสมบัติ กษัตราธิราช ให้บิดาเป็นเจ้าจักรพรรดิกษัตราธิราช ให้มารดาเป็นพระมเหสีของพระเจ้า จักรพรรดิกษัตราธิราช เป็นแต่กตัญญูต่อมารดาบิดา ไม่ใช่ว่าตอบแทนคุณ แม้ว่าจะเอา มารดาบิดาขึ้นนั่งบนจะงอยบ่า ให้มารดาขึ้นนั่งบ่าขวา บิดาขึ้นนั่งบ่าซ้าย ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ บนนั้นเสร็จจนหมดอายุของลูกนั่นแหละ จะชื่อว่าแทนคุณมารดาบิดาก็หาไม่ ได้ชื่อว่าเป็น กตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดาเท่านั้น ชื่อว่าแทนคุณแท้ๆ ดังกล่าวแล้ว มารดาบิดาไม่มีศรัทธา ให้มีศรัทธาขึ้น ไม่มีศีลให้มีศีลขึ้น ไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใสขึ้น ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ให้รู้จัก บาปบุญคุณโทษขึ้น 4 ประการนี้วางหลักไว้ ผู้หญิงก็แทนคุณบิดามารดาได้ ผู้ชายก็แทนคุณ บิดามารดาได้
ผู้หญิงจะแทนคุณอย่างไร?
แทนคุณบิดามารดา อ้าว! มารดาบิดาอยู่บ้านอยู่ช่อง ตามปกติของมารดาบิดา ถึงวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ แล้วก็เอาหาข้าวหาของหาเครื่องอุปการะ ของอุบาสกอุบาสิกาเข้า “ไปวัดเถอะแม่ ฉันจะไปด้วย” ท่านั้นท่านี้ แก้ไขแก้เสียจนกระทั่ง พ่อแม่เคย จึงต้องไปรักษาศีลให้มีศรัทธาขึ้นแล้ว ให้มีศีลขึ้นแล้ว แล้วก็ให้เลื่อมใสขึ้นแล้ว เมื่อไปรับศีลก็รู้จักบาปบุญคุณโทษขึ้นแล้ว อ้าวให้มีปัญญาขึ้นแล้ว นี่ลูกหญิงก็ดี ลูกชาย ก็ดี ถ้าฉลาดเช่นนี้แทนคุณได้ทุกคน ถ้าว่าไม่ฉลาดแทนคุณไม่ได้ นี่เป็นแง่สำคัญนัก เหตุนั้น การที่จะกล่าวอานิสงส์หรือผลของเจ้าตนผู้บวชของมารดาบิดาของผู้อุปถัมภ์ให้บวชน่ะ มากมายนัก ท่านกล่าวว่า มารดาลูกของตัวบวช มารดาบิดาลูกของตัวบวชในพระธรรมวินัย ของพระศาสดา เป็นเจ้าภาพให้ลูกของตัวบวชเป็นเณรในพระธรรมวินัยของพระศาสดา ได้ อานิสงส์ 8 กัปป์ การให้บวชเป็นพระภิกษุได้อานิสงส์ 16 กัปป์ 8 กัปป์ 16 ประสมกัน เข้าเป็น 24 กัปป์ เหมือนพระบวชใหม่นี้เจ้าภาพก็ได้ ฝ่ายมารดาก็ได้อานิสงส์ 24 กัปป์กัปป์หนึ่งเท่าไรล่ะ
ได้เสวยสุขนะไม่รู้จักนานเท่าไรเอากัปป์รวมกัน กัปป์น่ะ ภูเขากว้างโยชน์ สูงโยชน์หนึ่ง ร้อยปีเทวดาผู้วิเศษเอาผ้าทิพย์เนื้อละเอียดมาปัดลงไปที่ยอดนั้นครั้งหนึ่งก็ หยุดไป พอครบร้อยปีแล้วมาปัดอีกครั้งหนึ่ง เพียรปัดไปดังนี้แหละ ภูเขานั้นสึกด้วยผ้าเทวดา ปัดนั่นแหละ สึกลงมาเรียบร้อยลงมาถึงพื้นดินตามเดิม ไม่รู้ว่าภูเขาอยู่ที่ไหน เป็นพื้นดินไป แล้วเรียบลงมาถึงขนาดนั้น นั่นเรียกว่าได้กัปป์หนึ่ง ได้กัปป์หนึ่ง โอ! มันเหลือลึกอย่างนี้ นั่นภูเขาอีกนัยหนึ่ง สระกว้างโยชน์ลึกโยชน์หนึ่ง สี่เหลี่ยมจตุรัส ร้อยปีมีเทพเจ้าผู้วิเศษเอา เมล็ดพันธุ์ผัดกาดมาทิ้งลงเมล็ดหนึ่ง เทวดาผู้วิเศษก็ไม่ตายเหมือนกัน ร้อยปีก็เอามาทิ้งไว้ เมล็ดหนึ่ง ร้อยปีก็เอามาทิ้งไว้เมล็ดหนึ่ง เอาละ จนกระทั่งเมล็ดพันธุ์ผัดกาดนั้นแหละเต็ม สระที่ลึกโยชน์กว้างโยชน์นั่นน่ะ สี่เหลี่ยมจตุรัสนั่นแหละ นี่มันเท่าไรกันล่ะ นับกันไม่ไหว ต้อง ตวงกันด้วยกัปป์อย่างนี้ นี่บุญกุศลน่ะมันมากมายขนาดนี้ เพราะเหตุฉะนี้เมื่อพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชสร้างเจดีย์วิหาร 84,000 เงินเท่าไรก็ไม่รู้ 96 โกฏิ สร้างเจดีย์ 84,000 วิหาร ที่ไหนก็เจดีย์องค์หนึ่งที่นั่น 84,000 วิหารก็ 84,000 นับทรัพยพ์สมบัติ 96 โกฏิ พอทำเสร็จแล้วทำการฉลอง พอฉลองเสร็จแล้วพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้ทูลถามพระสงฆ์ เรียนพระสงฆ์ ถามพระสงฆ์ในครั้งนั้นมีพระอรหันต์พระโมคคัลลีบุตรติสสมหาเถร เป็น พระอรหันต์ทีเดียว ถามว่าพระสงฆ์เจ้าข้า โยมทำบุญในครั้งนี้น่ะทำเพียงอย่างนี้น่ะ
เมื่อ พระพุทธเจ้ามีพระชนม์น่ะมีใครทำอย่างนี้บ้างไหม
หรือเมื่อพระศาสดาเสด็จพระปรินิพพาน ไปแล้วมีใครทำอย่างนี้บ้างไหม?
มีศรัทธามากอย่างนี้ พระโมคคัลลีบุตรติสสมหาเถรตอบ “ถวายพระพร ไม่มี ครั้งพระพุทธองค์มีพระชนม์อยู่ ทำบุญมากอย่างนี้ไม่มี เสด็จดับขันธ์ ปรินิพพานไปแล้วก็ไม่มี มีมหาบพิตรนี่แหละทำอย่างมากกว่าเขา คนเดียวเท่านี้”
“พระคุณเจ้าข้า กระผมทำบุญอย่างนี้น่ะจะได้เป็นญาติกับพระศาสนาได้แล้วหรือ ยัง?” พระโมคคัลลีบุตรติสสเถรพระอรหันต์ตอบ “มหาบพิตรทำบุญทำกุศลอย่างนี้เป็น พุทธศาสนูปถัมภ์ อุปการะพระศาสนาเท่านั้นหนา จะได้เป็นญาติกับพระศาสนาก็หาไม่” พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชตกใจ “โอ๊ะ! อย่างนั้นหรือพระคุณเจ้า นี่จะให้โยมทำอย่างไรจึงจะ ได้เป็นญาติของพระศาสนา” พระโมคคัลลีบุตรติสสเถรกล่าว “ถวายพระพร มหาบพิตร ถ้ามหาบพิตรจะเป็นญาติของพระศาสนาแล้วละก็ ขอให้ราชกุมาร/ราชกุมารีของพระองค์ น่ะบวชเป็นภิกษุภิกษุณี เป็นสามเณรสามเณรี เป็นภิกษุภิกษุณีในพระพุทธศาสนานั่น แหละจะได้เป็นญาติในพระศาสนาละ” “ขอรับ” นี่ได้ฟังเสียงพระโมคคัลลีบุตรติสสมหาเถร ตอบเท่านั้น ดีอกดีใจ ดีพระทัยทีเดียว ลาพระสงฆ์กลับไปพระราชวัง เรียกมหินทกุมาร, สังฆมิตตากุมารี พอเรียกเข้ามาสู่ที่เฝ้า “บัดนี้เจ้าทั้ง 2 น่ะ ปรารถนาเดิมนะให้ลูกทั้ง 2 ครองสมบัติแทนพ่อ บัดนี้พ่อไม่ปรารถนาเสียแล้วสมบัติอย่างนั้น พ่อจะให้ลูกได้กุศล ยิ่งใหญ่ไพศาลยิ่งขึ้นไปกว่านั้น พ่ออยากจะให้ลูกทั้ง 2 น่ะ ฝ่ายมหินทกุมาร สังฆมิตตากุมารีน่ะให้บวชเป็นภิกษุ เป็นสามเณร เป็นสามเณรีในพุทธศาสนา เป็นภิกษุ เป็นภิกษุณี ในพระพุทธศาสนา จะได้เป็นอายุพระศาสนาต่อไป พ่อหวังอย่างนี้เสียแล้ว” ราชกุมาร/ราชกุมารีก็ตามพระทัยปรารถนา พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชก็นำราชกุมาร/ราชกุมารี ไปฝากพระเถระผู้ใหญ่ให้หัดในเรื่องบวช แล้วก็บวชเป็นสามเณร บวชเป็นภิกษุภิกษุณี ในพุทธศาสนาทีเดียว แล้วก็พระโมคคัลลีบุตรติสสเถรก็สมความปรารถนา เผดียงถาม พระสงฆ์อีก พระสงฆ์บอกว่า มหาบพิตรได้เป็นญาติกับพระพุทธศาสนาแล้ว นี่เป็นญาติ ของพระศาสนาแท้ๆ เหมือนเจ้าภาพวันนี้เป็นโยมของพระก็ได้เป็นญาติของพระศาสนา แท้ๆ พร้อมด้วยญาติสายโลหิตด้วย ญาติเนื่องด้วยสายโลหิต สายโลหิตของตัวเป็นพระ ป้อล่ออยู่เดี๋ยวนี้ปรากฏอยู่นี่ ฝ่ายมารดาละก้อ เป็นพืช ให้พืชมาเป็นลูกเป็นมนุษย์ เป็น ผู้ชาย ก็ได้บวชในพระพุทธศาสนา ปรากฏเห็นสภาวะปานฉะนี้ ชื่อว่าเป็นญาติในพุทธศาสนา ชื่อว่า
วิสฺสาสา ปรมา ญาตี
พวกเราเล่าที่พร้อมกันมาโมทนาสาธุด้วย เป็นญาติเหมือนกัน ไม่เรียกว่า ญาติสาโลหิตา เรียกว่า วิสฺสาสา ปรมา ญาตี ที่เป็นญาติเนื่องด้วยสายโลหิต เรียกว่า ญาติสาโลหิตา เหมือนกันดุจสายโลหิตอันเดียวกัน ถ้าว่าไม่เนื่องด้วยสายโลหิต อันเดียวกัน เรียกว่า วิสฺสาสา ปรมา ญาตี ก็เป็นญาติในพระศาสนาด้วยความคุ้นเคยอย่างนี้ ก็ใช้ได้เหมือนกัน เหตุนั้นฝ่ายอานิสงส์ของเจ้าภาพน่ะมากมายก่ายกองนับประมาณไม่ได้ ต้องตวงกันด้วยกัปป์ด้วยกัลป์ เล่าให้ฟังแต่เพียงกัปป์เดียว กัปป์เดียวเท่านั้น อเนกอนันต์ นี่มันถึง 24 กัปป์ 24 กัลป์นั่นแน่ อานิสงส์น่ะก็ส่วนเจ้าตัวผู้บวชล่ะ จะมีอานิสงส์หรือผล เป็นประการใดล่ะ นี่เจ้าตัวผู้บวชน่ะ พอบวชเข้าเท่านั้น นั่นเห็นไหมล่ะ แปลกประหลาด ผล หรืออานิสงส์เกิดปัจจุบัน พวกเราเป็นหญิงเป็นชายต้องไหว้นบเคารพหมดทีเดียว ที่เคยพูด ต่ำๆ สูงๆ พูดไม่ได้เสียแล้ว ไหว้นบเคารพเป็นกระถางธูปเสียแล้วนั่นแน่ะ วิเศษประเสริฐ อย่างนี้ ชื่อเสียงเรียงรายก็ปรากฏไปต่างๆ มีปรากฏจำเพาะปัจจุบันทีเดียวเข้าแล้ว ที่สุดจน กระทั่งโทษประหารชีวิต เมื่อครั้งพุทธกาลหรือในเมื่อครั้งแผ่นดินต้นๆ นี่เขาไม่เอาโทษผิดแก่ ผู้บวชแล้ว เมื่อบวชแล้วก็เป็นแล้วกัน ให้อภัยทีเดียว ให้อภัยเป็นอันขาด นี้ก็ด้วยผลานิสงส์ เขาเรียกว่า “สามัญญผล” ผลบังเกิดปัจจุบันทันตาเห็น
ไม่ใช่แต่เท่านั้น ผู้บวชน่ะ ถ้าว่ามีธรรม เช่นนี้แล้วละก็ อานิสงส์ชั้นสูงเป็นอายุพระศาสนาต่อไป ก็อานิสงส์ของผู้บวชน่ะ อเนกอนันต์ นับประมาณไม่ได้ ท่านกล่าวไว้ว่า มหิทฺธิโก มหานุภาโว มีเทพบุตรมีฤทธิ์ศักดานุภาพมีเดช มาก จะเนรมิตแผ่นดิน ... ถ้าจะจารจารึกบันทึกไปจนกระทั่งเขาพระสุเมรุเหี้ยนหดหมด ไป... ยังไม่หมด เท่าไรก็ยังไม่หมด อานิสงส์มากมายก่ายกองนักเหลือที่จะคณนา เหตุนี้ ที่ได้ชี้พร่ำร่ำพรรณนามาในอานิสงส์หรือผลของเจ้าตนผู้บวชน่ะในวันนี้
ที่ได้บุญวันนี้ก็เป็น อัศจรรย์นัก ในธาตุในธรรม น่ะร่ำลือกันนักว่าเขามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่
ได้บุญยิ่งใหญ่ไพศาล ที่จะไปทรมานพวกประเทศญี่ปุ่น ไปพลิกประเทศญี่ปุ่นให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้เป็นพุทธศาสนิกชน ทั่วไปน่ะ
ต้นธาตุท่านหลั่งสมบัติมาให้แล้ว ผู้นี้เป็นตัวประกาศศาสนา ไม่ช้าหรอกจะได้รู้เรื่องกัน ในประเทศญี่ปุ่นกับไทย ผู้ที่จะเป็นที่พึ่งของเขาได้มาเกิดปรากฏขึ้นแล้ว เป็นภิกษุบวชใหม่ นี่แล้ว ต่อไปไม่ช้าก็จะได้ไปสั่งสอนเป็นลำดับไป เหตุนี้ขอให้มารดาและวงศาคณาญาติเลื่อมใส อุปการะเอื้อเฟื้อค้ำจุนอุดหนุนไป จะได้เป็นที่พึ่งของตัวสืบต่อไปในภพนี้และต่อไปในภายหน้าไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ที่ได้ชี้แจงแสดงมาตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษาตามมตยาธิบาย พอสมควร แก่เวลา นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่งอันประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย สรณํ เม รตนตฺตยํ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต ขอ ความสุขสวัสดีจงบังเกิดมีแก่ท่านเจ้าภาพและสาธุชนทั้งหลาย บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ ทุกถ้วนหน้า อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมีกถาโดยอรรถ นิยมความเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
อ่านได้ตามลิงค์นี้...
http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%8D.550172/
กับ
http://palungjit.org/threads/เมืองแก้ว-บุรี-อสังขตสถาน-สถานที่-นิพพาน-ในพระไตรปิฏก.550053/