รื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน กรมหลวงชุมพรฯ ตามสาวหลงทาง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 19 พฤษภาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    เรื่องจริงอิงนิทานกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตอน พระบารมีกรมหลวงชุมพรฯ ตามสาวหลงทางกลับบ้าน
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้มีโอกาสมาพบกับ บรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่อง หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๕ ตอนที่ ๗ ตอนนี้ ขอให้ชื่อว่าตอน กรมหลวงชุมพรฯ ตามสาว สำหรับตอนที่ ๖ ความจริงควรจะให้ชื่อว่าตอน กรมหลวงชุมพรฯ ตามตำรวจ ลืมชื่อไป มันเครียด วันนี้ก็ขอพูดเรื่อง กรมหลวงชุมพรฯ ต่อไป ขอย้อนหลังนิดหนึ่งว่า

    กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เมื่อท่านพ้นจากความเป็นคนไปแล้ว ปรากฏว่าไปเป็น เทวดาชั้นจาตุมหาราช แล้วต่อมาก็ขึ้นเป็นเทวดาขั้น อินทกะ จากอินทกะแล้วก็เป็น ท้าวมหาราช คือท้าววิรุฬหก ในปัจจุบัน

    ทีนี้ก็ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่งว่า เทวดาที่รักษาวัดท่าซุง ที่เป็นหัวหน้าใหญ่ ที่ปรากฏว่าท่านประจำอยู่ที่แถว พระเจ้าพรหมมหาราช ในบริเวณนั้น เห็นทีไรเห็นท่านนั่งอยู่ที่แท่นใกล้ ๆ แท่นพระเจ้าพรหมมหาราช ท่านเทวดาองค์นี้ กุมภัณฑ์ เป็นลูกศิษย์ของ ท้าววิรุฬหก

    ก็เป็นอันว่าท่านนั่งอยู่ใกล้ ๆ กับรูปหล่อของ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นเทวดาขั้น อินทกะ อินทกะ ก็หมายความว่า เป็นผู้บัญชาการนะ อาจจะเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพเหล่าใดเหล่าหนึ่งนั่นเอง

    ก็ขอคุยต่อไปถึงเรื่อง กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนที่ท่านตามสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบนกรมหลวงชุมพรฯ เท่าที่เห็นประจักษ์มาจริง ๆ คือ ตามคนที่หายไป ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด เป็นอย่างไรก็ตาม เมื่อบนแล้ว ๓ วัน พบทุกที กลับบ้านทุกที แต่ทั้งนี้ก็ต้องขอบอกว่า ถ้าบางคนไม่สามารถจะมาได้ คือ

    ๑. ตาย
    ๒. ถูกกักบริเวณ คือถูกขัง
    ๓. ทุพพลภาพ

    อย่างนี้คงมาไม่ได้ และท่านบอกว่า ถ้าหากเป็นทุพพลภาพก็จะมีใครคนใดคนหนึ่งส่งข่าวให้ทราบ และมีโอกาสจะไปรับได้

    แต่ทว่าการบนเทวดาบรรดาท่านผู้ฟัง ต้องเข้าใจว่า ความสามารถของเทวดาก็มีจำกัดเหมือนกัน ก็มีบางสิ่งบางอย่างเกินขอบเขตของท่าน ฉะนั้น การบนต้องรู้เรื่องกัน จะต้องบนเฉพาะกิจ อย่าบนให้เปรอะไป

    ถ้าบนเปรอะไปทุกสิ่งทุกอย่าง เทวดาทำไม่ไหว ก็เลยไม่ทำให้ และเวลาบนจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เวลาบนต้องถวายเครื่องสังเวยก่อน เมื่อได้รับผลสมบูรณ์แบบแล้วก็ถวายอีกครั้งหนึ่ง นี่เป็นระเบียบของการบน

    ขอย้ำอีกนิดหนึ่งว่า การบน คือ
    (๑) ข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย
    (๒) หมูต้ม ๑ ชิ้น
    (๓) ไก่ต้ม ๑ ตัว

    สำหรับหมูต้มกับไก่ต้ม ถ้าคนมีสตางค์หน่อย หมูต้มใช้ไม่น้อยกว่าครึ่งกิโล และไก่ต้มต้องใช้ไม่น้อยกว่า ๑ ตัว

    ถ้าคนที่จน ๆ มีสตางค์น้อย หมูต้มใช้ชิ้นเล็ก ๆ ก็ได้ และไก่ต้มไม่ต้องถึงตัว ใช้ชิ้นเล็ก ๆ ก็ได้ และมี ขนมจีนน้ำพริก ของหวานก็มี ทองหยิบ ฝอยทอง เท่านี้เอง

    เวลาบนหรือแก้บน
    เวลาเช้า ให้ใช้เวลาก่อน ๒ โมงเช้า ๑๐ นาที
    ถ้าตอนบ่าย ให้ใช้เวลาก่อนบ่าย ๓ โมงเย็น ๑๐ นาที

    ก็เป็นอันว่า ขอเล่าเรื่องของท่านต่อไป ในเรื่องในการตามสาว อย่าลืมว่า รายการนี้เป็นรายการธรรมะ จะขอนำธรรมะกลั้วเข้ามากับเรื่องของนิทาน ขอบรรดาท่านผู้ฟังอย่าลืมนะว่านี่เป็นนิทาน นิทานตอนนี้เรื่องเป็นเรื่องจริง

    แต่การเห็นจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบถือว่าเป็นนิทาน ก็เป็นอันว่าวันหนึ่ง ในเวลานั้นที่อาตมากำลังแจกของแก่ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ก็ไปจากวัดเสียเดือนเศษ

    พอกลับมาถึงวัดก็มีคนที่รู้จักกันจริง ๆ เวลานั้นเธอยอมรับนับถือไปมาหาสู่เสมอเป็นผู้ชาย มากับบรรดาญาติหลายคน ผู้ชายคนนี้รูปร่างอ้วน ๆ ผิวขาว มาถึงเธอก็รายงานให้ทราบ แต่อันดับแรกขอบอกก่อนนะ เธอมาถึงตั้งแต่ตอนบ่าย เวลานั้นไม่มีเวลาพบกัน เวลากลางคืน ลงสอนพระกรรมฐาน เธอก็ลงปฏิบัติด้วย

    พอปฏิบัติเสร็จเธอก็รายงานให้ทราบว่า “ลูกสาวของผมหายจากบ้านไปไปเกือบ ๒ เดือน ผมใช้เวลาตามมาเดือนเศษ สิ้นเงินค่าตามไป ๒ หมื่นบาทเศษ ยังไม่พบ อยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า เวลานี้ลูกสาวผมอยู่ที่ไหน เธอยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว ถ้ามีชีวิตอยู่จะกลับบ้านเมื่อไร ถ้าเธอกลับเองไม่ได้ จะหาวิธีใดให้เธอกลับ”

    ความจริงเขาก็ถามตามเหตุตามผล บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาฟังแล้วก็คิดว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเกินวิสัยของเรา เราไม่สามารถจะจัดการให้ได้ ถ้าจะถามว่ารู้ไหมก็ต้องตอบว่าไม่รู้ ถามว่าใช้กำลังของสมาธิดูให้ได้ไหม กำลังของสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัทมันต้องใช้เวลาที่เราไว้วางใจ

    เวลาเหนื่อย ๆ แบบนั้น มันก็ไม่แน่เหมือนกัน ถึงแม้เวลาสงัดก็จริงมันก็ไม่แน่ เพราะว่าสมาธิชั้นสวะของอาตมามันก็ผิดบ้างถูกบ้างเป็นของธรรมดา ถ้าเขาถามมา นี่ไม่แน่นัก ถ้าเกิดความรู้สึกขึ้นเองนี่แน่นอน เพราะเวลาเขาถามบางทีมันเหนื่อย ไม่รู้เรื่อง

    ก็เลยบอกเขาว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่าถามฉันเลยนะ เพราะฉันกับคุณความจริงมันก็ไม่ดีกว่ากัน มันก็เป็นคนเสมอกัน คือ เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน มีความเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน มีการง่วงนอนตื่นนอนเหมือนกัน หิวกระหายเหมือนกัน ไม่ดีกว่ากันเลย

    ก็ในที่สุดก็เรียกว่า ร่างกายเราเสมอกัน สำหรับด้านจิตใจ ในเมื่อมีชีวิตอยู่อย่างนี้มันก็ไม่ต่างกัน ก็มีความรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน แล้วสิทธิของเราก็ไม่ต่างกัน สิทธิก็คือว่า มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และสิ่งที่จะเกิดตามมาก็คือแก่

    นอกจากแก่ก็มีป่วย นอกจากป่วยก็มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ในที่สุดเราก็ตาย เวลานี้คุณต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คือ ลูกสาวหายไปจากบ้าน ฉันเองก็ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีพ่อกับแม่ตายไปนานแล้ว แล้วก็มีน้องสาวคนเล็กอีกคนหนึ่ง ตายไปนานแล้ว ทั้งหมดทั้ง ๓ คน ก็เป็นคนที่รัก ที่เคารพของฉัน เรามีสภาพเหมือนกัน

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อันนี้เป็นธรรมะในท้องเรื่องจำไปเลยนะ จะไม่ลงธรรมะในตอนท้าย เอาตอนนี้ก็แล้วกัน ก็รวมความว่า คนเราที่เกิดมา คนก็ดี สัตว์ก็ดี มีสภาพเหมือนกันอย่างนี้ทั้งหมด

    ต่อไปก็ขอแนะนำเธอว่า เอาอย่างนี้ซิคุณ ตอนรุ่งเช้า คุณทำที่วัดนี่ก็ได้ เพื่อความมั่นใจ บนกรมหลวงชุมพรฯ แต่ว่าการบนต้องคิดว่าสิ่งทั้งหลายแหล่ทั้งหมด มันอาจจะเป็นสิ่งที่เกินวิสัยก็ได้ แต่ทว่ากรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์นี้ เท่าที่เขาบนตามคนกันไม่เคยพลาด แต่ว่าทั้งนี้ คุณต้องยอมรับนับถือท่านจริง ๆ นะ

    พอบอกเท่านี้ เขาก็บอกว่าสมเด็จกรมหลวงชุมพรฯ นี่ ผมเคารพมากขอรับ
    ก็เลยบอกว่า ถ้าคุณเคารพอยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นบุญใหญ่
    เขาถามว่ามีเครื่องอะไรบ้าง
    ก็บอกว่า คุณจัดข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย กับหมู ๑ ชิ้น เวลานี้คุณไม่อยู่บ้าน ฉันก็กะเกณฑ์ไม่ได้ ถ้ากะเกณฑ์ได้ คุณมีฐานะดี ก็ควรจะใช้ชิ้นละไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโล แล้วก็ไก่ ๑ ตัว ถ้าสามารถทำได้ ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็เอาไก่ ๑ ชิ้น หมูชิ้นเล็กก็ได้ ถ้าทุนน้อย

    ต่อไปก็ใช้ขนมจีนน้ำพริก ๑ ถ้วย แล้วก็ใช้ ทองหยิบ ฝอยทอง อย่างละน้อย ๆ ก็ได้ คุณตั้งโต๊ะ เอาโต๊ะที่กุฏิฉันมีมาตั้งเข้า แล้วเอาผ้าขาวปู เอาแจกันดอกไม้วางเข้ากลางโต๊ะ เอาเครื่องจุดธูป จุดเทียนวางเข้า แล้วก็บนท่าน ถวายพร้อมกันเวลานั้นเลยนะว่า ขอถวายเครื่องสังเวยเป็นการสักการะบูชากรมหลวงชุมพรฯ กับคณะ รวมทั้งคณะด้วย เพราะท่านมีลูกศิษย์มาก

    ถ้าหากว่าไม่เกินวิสัยลูกสาวผม (ชื่อนี้) เธอหายไปประมาณวันที่เท่านั้น เอาประมาณกัน อาจจะไม่แน่นอน ถ้าไม่เกินวิสัย ขอได้โปรดตามกลับมาให้ถึงบ้านภายใน ๓ วัน แต่ว่าถ้าเกินวิสัย ๓ วันไม่ทัน จะกี่วันก็ได้ ขอให้กลับมาเร็ว ๆ ต้องให้เวลาท่าน

    พอรุ่งขึ้น เขาก็รีบไปตลาดแต่ตอนเช้า ปรากฏว่าเวลาก่อน ๒ โมง ๑๐ นาที เขาทัน ทุกอย่างเขาต้มมาจากตลาดหมด มาถึงก็ตั้งโต๊ะก่อนหน้าเวลา ๒ โมงกว่า ๑๐ นาที ประมาณ ๑๕ นาที เขาก็เริ่มจุดธูปเทียน เขาบอกว่า เวลายังเหลือเกินกว่า ๑๐ นาที จะทำได้ไหมครับ ก็บอกว่าทำได้เลย ทำได้เขาก็บน ถวายเครื่องสังเวย แล้วก็บอกว่า ถ้าลูกสาวกลับ จะถวายใหม่ เมื่อเขาบนท่านเสร็จ เขาก็ลากลับบ้าน

    เมื่อกลับบ้านไปแล้วไม่นาน ประมาณสัก ๔ วันเศษ ๆ หรือ ๕ วัน ไม่เกิน ๕ วันนะ จำไม่ได้ถนัด มันหลายปีมาแล้ว ก็ปรากฏว่า บุคคลคณะนี้กลับมาอีก ขอประทานอภัย ลืมบอกไปว่า เจ้าภาพชุดนี้ อยู่อำเภอโพธิ์ทะเล จังหวัดพิจิตร

    คณะนี้ก็เดินทางกลับมาอีก มาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาเธอก็ดี ผิวขาว ท้วม ๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และท่านพ่อก็รายงานบอกว่า ลูกสาวคนนี้แหละครับที่หายไปจากบ้าน

    หลังจากผมบนกรมหลวงชุมพรฯ แล้ว กลับไปที่บ้าน จากวันบนถึงวันเด็กมา เป็นเวลา ๓ วันพอดี เด็กกลับมาถึงตอนเย็น
    อาตมาก็ลองถามว่า หนูไปอย่างไรมาอย่างไรลูก ถึงได้ไปบ้านแล้วไม่ยอมกลับ
    เธอก็เล่าความเป็นมาอย่างนี้ บรรดาท่านผู้ฟังฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด คิดแล้วก็อย่าตำหนิกัน เพราะมันเป็นกฎของกรรม

    เธอบอกว่า ตามปกติเธออยู่บ้าน ตลาดที่ใกล้บ้านที่สุด คือ ตลาดโพธิ์ทะเล อำเภอโพธิ์ทะเลนี้ ความจริงแม้แต่ตลาดเธอก็ไม่ค่อยได้ไปกับเขา เพราะเป็นเด็กไม่อยากเที่ยว เป็นเด็กที่ไม่อยากจะไปไหน อยู่กับบ้าน

    ถ้าจะกล่าวไป ก็เป็นเด็กชอบรักษาประเพณีตามแบบโบราณ แต่ความจริง หญิงสาวรักษาประเพณีอย่างนี้ท่านผู้ฟัง จะเป็นเวลาสมัยก่อนก็ตาม สมัยปัจจุบันนี้ก็ตาม สมัยหน้าก็ตาม ถ้ารู้จักเก็บตัวอย่างนี้ เป็นหญิงที่มีราคามีค่าสูง

    เพราะใคร ๆ ก็ต้องการถือว่าเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นคนเรียบร้อย เพราะการจะแต่งงานก็ต้องดูเบื้องหน้าเบื้องหลัง วันนี้ดี วันหน้าจะดีไหม ถ้าหากว่าแสดงอาการคล่องตัวเกินไป คนก็ไม่ค่อยไว้วางใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเห็นว่า เป็นคนไร้ค่า

    นั่นหมายความว่า ราคาถูก ซื้อเมื่อไรวางเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น ไม่แปลก แต่ว่าสงบเสงี่ยมเก็บตัวแบบนี้คนต้องการแล้วก็มีการหวงแหน นี่ตามความรู้สึกของอาตมาที่เป็นผู้ชาย

    และก็ผู้ชายที่รู้จักสร้างตัวทุกคนก็มีความรู้สึกเหมือนกัน บอกว่าถ้าฉูดฉาดเกินไป เราก็เห็นเป็นของไร้ค่า ฉูดฉาดมาเราก็ฉูดฉาดไป ได้มาแล้วก็วาง วางแล้วก็ได้ใหม่ ได้ใหม่เราก็วางใหม่ วางแล้วก็ได้ใหม่ มันเป็นของไม่ยาก และท่านผู้นั้น ท่านก็ไม่ถือตัว ท่านก็ถือว่าจับหรือวางเมื่อไรไม่ใช่ของแปลกก็เลยเป็นคนไร้ค่าไป

    ขอเล่าเรื่องของเธอต่อไป เธอก็เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งพ่อกับแม่ไปนา เธออยู่ที่บ้านคนเดียว จะว่าคนเดียวก็ไม่ได้ มีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเป็นคนแก่อยู่บ้านด้วย ก็มีเพื่อนสาวข้าง ๆ บ้าน เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน เธอนัดแนะกับผู้ชายว่าจะพากันไปอยู่กินร่วมกัน แทนการแต่งงานปกติเขาเรียกว่า วิวาห์คนธรรพ์ คือ จะพากันไป แต่เขาก็ไม่บอกเธอ

    เป็นอันว่า คนนี้ก็อยู่บ้านเหมือนกัน พ่อแม่ไปไถนา เขาก็มาชวน เธอบอกว่าไปเที่ยวตลาดกันไหมล่ะ ไปซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ ประเดี๋ยวก็กลับ เธอก็เห็นว่าเป็นเพื่อนบ้าน ปกติก็ไม่มีอะไร เป็นคนที่น่ารักชอบพอกันมาก ก็ไปลาญาติผู้ใหญ่ที่เฝ้าบ้านอยู่ด้วยกัน

    ก็บอกว่าฉันจะไปตลาดกับเพื่อนสักครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวจะมา ท่านญาติผู้ใหญ่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรก็บอกว่าไปเถิด ป้าอยู่บ้านเอง

    ครั้นเมื่อเธอไปถึงตลาด ไปถึงก็มีผู้ชายอยู่ ๒ คน นั่งอยู่ที่ตลาดแล้ว ไปเจอะเพื่อนหญิงเข้า เธอก็เข้ามาทักทายปราศรัย เขาก็คุยกันเบา ๆ ฟังไม่รู้เรื่อง ประเดี๋ยวหนึ่ง เขาก็สั่งอาหารมาเลี้ยง เขาก็เลี้ยงเธอด้วย ทั้ง ๔ คนก็กินกัน

    กินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไปเดินมา ประเดี๋ยวหนึ่งก็มีรถแท็กซี่ คือ รถยนต์เล็ก ๆ รถเก๋งมาจอด ชาย ๒ คนก็บอกกับเพื่อนว่า เราจะไปเที่ยวจังหวัดพิจิตรกันไหมล่ะ ไปเที่ยวตลาดโน้น เพื่อนนี่ความจริงเขานัด เขารู้กันอยู่แล้วก็บอกว่าไป

    เขาก็ชวนเธอไปด้วย เธอก็บอกว่าไปไกลนักไม่ได้หรอก ประเดี๋ยวป้าจะบ่น พ่อกับแม่จะมา เขาบอกว่าไม่เป็นไร เราไปรถพิเศษ เหมาไป ประเดี๋ยวก็กลับ ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ ก็เลยนั่งรถไปกับเขา

    เป็นอันว่า ชาย ๒ หญิง ๒ เมื่อนั่งรถไปกับเขา ไปถึงจังหวัดพิจิตร เมื่อเดินไปเดินมาประเดี๋ยวเดียว เขาก็พาขึ้นรถโดยสารเป็นรถยนต์ สมัยนั้นยังไม่มีรถทัวร์ เป็นรถประจำทาง เขาก็พาขึ้น

    ถามเขาว่าจะไปไหน
    เขาก็บอกว่าเราจะกลับอำเภอโพธิ์ทะเล (นี่มันต้มกันง่าย ๆ) เรียกว่าไม่ต้องต้มเลยนะ สุกอยู่แล้ว เพราะคนไม่เคยไปไม่เคยมา เธอก็นั่งรถไปกับเขา แต่แทนที่รถจะวิ่งเข้าอำเภอโพธิ์ทะเล กลับวิ่งลงนครสวรรค์ แล้วก็เรื่อยไปกรุงเทพฯ เธอก็จนใจ

    เพื่อนหญิงก็บอกว่าไม่เป็นไร เราไปเที่ยวกรุงเทพฯ กัน ประเดี๋ยวเราก็กลับ พอถึงกรุงเทพฯ แล้วเขาก็พาขึ้นรถแท็กซี่ไปสถานีรถยนต์สายใต้ จากสายใต้ก็ไปจังหวัดสุพรรณบุรี ก็เป็นอันว่า เธอก็จำเป็น จำใจจะต้องไปกับเขา เสื้อผ้าก็มีไปชุดเดียว

    แต่เพื่อนหญิงเขาเตรียมพร้อม สำหรับเพื่อนหญิงนั้น เสื้อผ้าฝากคนไว้ที่ตลาดเรียบร้อยแล้ว กระเป๋าเขา ๒ ลูก เขาใส่กระเป๋าเต็ม ๒ ลูก อยู่ที่ตลาดแล้ว เขาฝากร้านค้าที่รู้จักกันไว้ก็เป็นอันว่า เธอก็ใช้เสื้อผ้าของเพื่อน และต่อมา ชายหนุ่มก็ซื้อเสื้อผ้าให้เธอใช้

    ไปพักที่จังหวัดสุพรรณบุรี แต่ไม่ใช่ตัวเมือง เป็นเขตของอำเภอบางปลาม้า เมื่อเธออยู่ที่นั่น มันก็เหงา เคยอยู่บ้านไม่เคยไปไหน และไปที่นั่น ก็ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหน ก็มีเพื่อนหญิงที่ไปด้วยกันคุยกัน เจ้าของบ้านก็ใจดี ก็ช่วยเจ้าของบ้านทำโน่นทำนี่บ้างตามปกติ

    เมื่อเวลาผ่านมา ประมาณ ๑ เดือนเศษ ในช่วงนั้น เธอก็บอกว่าคิดถึงบ้านแต่ไม่รู้จะกลับอย่างไร เห็นรถยนต์วิ่งผ่านหลังบ้าน ก็ไม่ทราบว่า รถยนต์ไปไหน เขาเขียนว่า กรุงเทพฯ-สุพรรณบุรี ครั้นจะมากรุงเทพฯ คนเดียวก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนอีก เมื่อเข้าถึงกรุงเทพฯ ก็งงเต็มทีแล้ว บ้านเมืองมันกว้าง รถก็มาก ทิศทางไปไหนก็ไม่ทราบ (จนดอน)

    ต่อมาเธอบอกว่า วันหนึ่ง ขณะที่อยู่ที่นั่นแล้วก็นั่งอยู่คนเดียว นั่งเล่นเพลิน ๆ อ่านหนังสือบ้าง ทำงานเล็กน้อยบ้าง เรียกว่า อยู่บ้านท่านไม่นิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น ตามคติของโบราณ ก็ช่วยเจ้าของบ้านทำตามปกติ เท่าที่สามารถจะทำได้

    เห็นรถยนต์มาแต่ไกล มีความรู้สึกว่าอยากจะกลับบ้าน รถยนต์คันนี้จะไปถึงกรุงเทพฯ ไปถึงกรุงเทพฯ แล้ว เราไม่รู้ทิศทางจะไป แต่ว่าคิดว่ากลับได้ เราจะบอกเขาว่า เราจะกลับจังหวัดพิจิตร คงจะมีรถยนต์มาช่วยเราได้ ส่งให้ขึ้นรถยนต์มาจังหวัดพิจิตรได้ เธอตัดสินใจ ตัดสินใจเอาเอง ซึ่งทุกวันไม่เคยมีอารมณ์อย่างนั้น

    และก็ถามว่า ตอนนั้นหนูมีสตางค์ไหม
    เธอก็บอกว่า ระยะนั้นหนูมีสตางค์ติดตัวอยู่ ๕๐๐ บาท

    เมื่อตัดสินใจอย่างนั้นแล้ว ก็ไม่มีการเตรียมการอะไรทั้งหมด เมื่อรถยนต์เข้ามาใกล้ ก็วิ่งออกไปจากบ้านขอขึ้นรถยนต์ รถยนต์ก็รับ และคนในบ้านก็ไม่มีใครติดตามมาทวง มาถาม มาปราม ทุกคนก็ดูกันเฉย ๆ แล้วก็ยิ้ม ทุกคนนั่งดู ต่างคนต่างยิ้ม เธอก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เขายิ้มเพราะอะไร

    ในที่สุด เธอขึ้นรถยนต์ รถยนต์ก็มาจอดที่สถานีรถยนต์สายใต้ ขณะที่เธอนั่งในรถยนต์ เธอก็มีความรู้สึกว่าในเมื่อถึงกรุงเทพฯแล้ว เราจะไปอย่างไร เวลานั้นไม่มีความรู้สึกอะไร วิตกกังวลว่ากรุงเทพฯ นี่เขาว่าเมืองกรุงเทพฯ มันใหญ่โตกว้างขวางมาก จะไปอย่างไรได้

    แต่ก็คิดว่าถ้าถึงกรุงเทพฯ เราพอมีสตางค์จะเหมาแท็กซี่ให้เขาไปส่งรถโดยสารที่จะไปจังหวัดพิจิตร เธอคิดตัดสินใจตามนั้น ก็นั่งมาเฉย ๆ แต่ไม่เฉยหรอกคิดเรื่อยมา แต่ก็น่าอัศจรรย์ เมื่อรถยนต์ถึงสถานีรถยนต์สายใต้ รถยนต์จอด เขาก็บอกว่าถึงสุดทางแล้วครับ ลงได้ครับ

    ทุกคนก็ต่างพากันลง เธอก็ลง ลงอย่างคนที่ไม่รู้จะไปไหนแต่ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจมากที่สุด พอลงมาแล้ว เดินไปได้ ๒-๓ ก้าว ปรากฏว่าพบพี่ชายยืนอยู่ตรงนั้น
    พอเห็นพี่ชายก็ดีใจ โผเข้าไปกอดพี่ชาย ถามว่าพี่มาอย่างไร

    พี่ชายก็ตอบว่าพี่มาตามน้อง แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าน้องอยู่ที่ไหน เมื่อคืนนี้อยู่ที่พัก พักที่วัด วัดใกล้ ๆ แต่วันนี้อยากจะมาที่นี่ คิดว่าบางทีน้องอาจจะมาบ้าง หรือมาไม่มาก็นั่งแก้กลุ้มดูคนขึ้นรถลงรถ แต่ก็บังเอิญพบน้องพอดี เป็นอันว่าพี่และน้องต่างคนต่างดีใจ เธอก็หมดทุกข์ พี่ชายก็มีสุขเพราะพบน้อง เธอก็มีสุข เพราะพบพี่

    ในที่สุดพี่ก็บอกว่าไปกินข้าวเถิดน้อง ก็พาน้องไปกินข้าว ความดีใจของพี่ก็บอกว่า อย่าเพิ่งไปบ้านกันเลยวันนี้ ถ้าเราจะไปก็ไปทัน แต่มันจะค่ำ ค้างกรุงเทพฯ เสียก่อน ค้างกับพี่ พี่อาศัยกุฏิพระอยู่ แต่ว่าก่อนจะไปกุฏิพระ ไปดูหนังกันก่อน

    น้องสาวก็บอกว่าเครื่องแต่งตัวไม่ได้เปลี่ยน และก็ไม่มีเปลี่ยน พี่ชายบอกว่าไม่เป็นไร โรงหนังนี่เขาไม่ห้าม เขาไม่ถือ พี่ชายก็พาน้องสาวไปดูหนังที่โรงหนังแกรนด์ เสร็จแล้วก็กลับมาพักที่เดิม

    เช้าก็ลาพระท่านมาที่บ้าน เมื่อมาถึงบ้านพ่อแม่ก็ดีอกดีใจมาก รุ่งขึ้นเช้าก็จ่ายของแก้บนอย่างหนัก หมูไม่ใช่ครึ่งกิโลแล้ว เป็นหลาย ๆ กิโล แล้วไก่ก็หลายตัว อะไรก็มาก ขนมจีนก็เป็นหาบ เป็นอันว่า

    เธอก็ไม่แก้ที่บ้านเธอ แกบอกว่า บนที่วัดท่าซุงก็ต้องมาแก้ที่วัดท่าซุง ประเดี๋ยวกรมหลวงชุมพรฯ ท่านจะว่าเอา เป็นอันว่า เมื่อเขามาถึงหลังเที่ยง ก็ให้แก้เวลาบ่ายก่อนบ่าย ๓ โมง ๑๐ นาที

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้ก็เหลือเวลานาทีเศษ ๆ ก็เล่า เรื่องนี้จบพอดี เป็นอันว่าสมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ท่านก็เป็นเทวดาประเภทที่เรียกว่าสงเคราะห์คนจริงๆ

    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงและท่านผู้ฟังอย่าลืมว่า กฎธรรมดาของคนที่เกิดมา คือ
    (๑) เกิดแล้วก็มีแก่
    (๒) ต้องมีการป่วยไข้ไม่สบาย
    (๓) มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจอย่างผู้นี้ และ
    (๔) มีความตายไปในที่สุด

    ขอทุกท่านอย่าประมาทในชีวิต คิดสร้างความดี คือ
    (๑) รู้จักการให้ทาน เป็นการสงเคราะห์ ตัดโลภะ ความโลภทีละน้อย
    (๒) รู้จักการรักษาศีล เพื่อเป็นการตัดความโกรธทีละน้อย
    (๓) รู้จักการเจริญภาวนา คือรู้ลมหายใจเข้า-ออก

    หายใจเข้า รู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก ถ้าไม่รู้ว่าจะภาวนาว่าอย่างไร ให้ภาวนาว่า “พุทโธ” หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ทำวันละ ๒-๓ นาทีก็ได้ เวลาจะทำ นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ นั่งท่าไหนก็ทำได้

    เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าทำได้อย่างนี้ ทุกคนจะไม่ตกนรก ก็เวลามันหมดเสียแล้วนี่ บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย เหลือเวลาอีกประมาณ ๑๐ วินาทีเศษ ๆ

    ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านและผู้รับฟังทุกท่าน
    ที่มา http://palungjit.org/threads/เพียง๑๐๐บาทร่วมบุญปิดสมเด็จพระพุฒาจารย์โต๖๙นิ้ว.548123/
     

แชร์หน้านี้

Loading...