รูปหล่อรูปปั้นไม่ใช่พระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 16 กุมภาพันธ์ 2012.

  1. วันเบาๆ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +2
    อุรุเวลา
    สมาชิก



    วันที่สมัคร: Dec 2011
    ข้อความ: 732
    พลังการให้คะแนน: 76
    ---------------------------------------

    คนนี้จอมบิดเบือน เอาความคิดเห็นของตัวเอง

    ใส่เข้าไปในพระปิฏก ซึ้งเป็นคำสอนของพระอรหันต์

    จขกท เพี้ยน บวก บ้าไปแล้วครับ
     
  2. ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    <TABLE id=post5760550 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ถิ่นธรรม<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5760550", true); </SCRIPT>
    สมาชิก



    วันที่สมัคร: Jun 2006
    ข้อความ: 1,294
    พลังการให้คะแนน: 419


    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_5760550 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อุรุเวลา
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๑๒๔/๔๐๘
    ครั้งนั้น พระพิชิตมารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
    ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วย
    ต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์
    เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น
    และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้
    โดยง่าย

    ----
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "พระพุทธรูปเป็นรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น" ชาวพุทธกราบไหว้ยึดถือในรูปที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นรูปที่น่าเกลียด มีโทษไม่สิ้นสุด เป็นที่อยู่ของโรค เป็นที่ประชุมของทุกข์ ท่านบอกว่านับถือศาสนาพุทธ ท่านเป็นสาวกประเภทไหนกันละทิ้งคำสอนของพระพุทธเจ้า

    ผมไม่ได้เป็นศิษย์วัดสามแยก ผมเชื่อหลักฐานจากพระไตรปิฏก พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจริงตลอดกาล ใครมีหลักฐานบอกว่ารูปหล่อรูปปั้นเป็นพระพุทธรูปเอามายืนยัน รูปหล่อรูปปั้นที่พวกท่านกราบไหว้ผมก็ไม่เห็นคนปั้นจะสลักชื่อว่าพระพุทธรูปสักรูปหนึ่ง เห็นมีแต่หลวงพ่อนั้น หลวงพ่อนี้ ไม่เห็นมีพระพุทธรูปสักองค์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    คำว่าพระพุทธรูปที่ปรากฎในพระสูตรนี้ หาใช่ความหมายเดียวกันกับพระพุทธรูปที่เราคุ้นเคยกันอยู่ แต่พระพุทธรูปในพระสูตรนี้มีความหมายว่า รูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือกายเนื้อที่ทรงบอกว่าเปื่อยเน่า เป็นรังแห่งโรค ซึ่งเป็นเรื่องเบญจขันธ์ หาใช่รูปหล่อแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า(ซึ่งไม่มีเบญจขันธ์) ถ้าพิจารณถ้อยความดีๆจะเข้าใจความหมายนี้ได้อย่างถ่องแท้ ซึ่งเป็นมติของพระเถรานุเถระทั้งหลาย
    อีกประการถ้อยคำที่ท่านนำมาต่อเติมเองเองเพื่อโจมตีพระพุทธรูปนั้นไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ซึ่งถ้อยคำที่แท้จริงก็คือ
    ครั้งนั้น พระพิชิตมารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่าก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรมถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วยต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์ เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้โดยง่าย (วักกลิเถราปทาน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ บรรทัดที่ ๒๗๖๘ - ๒๘๔๑. หน้าที่ ๑๒๒ - ๑๒๕.)


    ในอรรถกถาก็ยืนยันว่าพระพุทธรูปหมายถึงเบญจขันธ์ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธรูปแบบปัจจุบัน ดังหลักฐานนี้
    พระวักกลิพอได้รับพระโอวาทจากพระศาสดา โดยนัยเป็นต้นว่า กึ เต วกฺกลิ อิมินา ปูติกาเยน ทิฏฺเฐน ดูก่อนวักกลิ จะมีประโยชน์อะไร ด้วยการที่เธอต้องมาดูร่างกายอันเปื่อยเน่านี้ (อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค ๒. วักกลิเถราปทาน)

    ร่างกายอันเปื่อยเน่าก็คือกายเนื้อแบบมนุษย์ซึ่งเปื่อยเน่าได้ซึ่งพระพุทธรูปในปัจุบันไม่ได้เปื่อยเน่ามีแต่ผุพัง

    ท่านเล่นตัดต่อพุทธพจน์เพื่อสนับสนุนความเห็นของตน มันไม่น่าจะถูกต้อง มันผิดทั้งเนื้อหา การตีความและการอ้างอิง เป็นความคลาดเคลื่อนอย่างมากของท่าน การโจมตีพระพุทธรูปของท่านจึงเป็นแค่ความเห็นผิด ดังนั้นรีบแก้ไขอย่าเอาทิฐิตนเองเป็นที่ตั้ง<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: rgb(239,239,239) 1px solid; BORDER-LEFT: rgb(239,239,239) 1px solid; WIDOWS: 2; TEXT-TRANSFORM: none; BACKGROUND-COLOR: rgb(255,255,255); TEXT-INDENT: 0px; FONT: 16px arial, verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; WHITE-SPACE: normal; ORPHANS: 2; LETTER-SPACING: normal; COLOR: rgb(0,0,0); BORDER-TOP: rgb(239,239,239) 1px solid; BORDER-RIGHT: rgb(239,239,239) 1px solid; WORD-SPACING: 0px; background-origin: initial; background-clip: initial; border-image: initial; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px" id=post5760550 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-LEFT: rgb(255,255,255) 1px solid; BACKGROUND-COLOR: rgb(247,243,247); FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; COLOR: rgb(0,0,0); BORDER-RIGHT: rgb(255,255,255) 1px solid; background-origin: initial; background-clip: initial; border-image: initial" class=alt2 width=175>ถิ่นธรรม
    สมาชิก



    วันที่สมัคร: Jun 2006
    ข้อความ: 1,294
    พลังการให้คะแนน: 419


    </TD><TD style="BACKGROUND-COLOR: rgb(239,235,239); FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; COLOR: rgb(0,0,0); BORDER-RIGHT: rgb(255,255,255) 1px solid; background-origin: initial; background-clip: initial" id=td_post_5760550 class=alt1>อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BACKGROUND-COLOR: rgb(247,243,247); FONT: 12pt verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; COLOR: rgb(0,0,0); BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset; background-origin: initial; background-clip: initial; border-image: initial" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อุรุเวลา
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๑๒๔/๔๐๘
    ครั้งนั้น พระพิชิตมารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
    ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วย
    ต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์
    เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น
    และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้
    โดยง่าย

    ----
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "พระพุทธรูปเป็นรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น" ชาวพุทธกราบไหว้ยึดถือในรูปที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นรูปที่น่าเกลียด มีโทษไม่สิ้นสุด เป็นที่อยู่ของโรค เป็นที่ประชุมของทุกข์ ท่านบอกว่านับถือศาสนาพุทธ ท่านเป็นสาวกประเภทไหนกันละทิ้งคำสอนของพระพุทธเจ้า

    ผมไม่ได้เป็นศิษย์วัดสามแยก ผมเชื่อหลักฐานจากพระไตรปิฏก พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจริงตลอดกาล ใครมีหลักฐานบอกว่ารูปหล่อรูปปั้นเป็นพระพุทธรูปเอามายืนยัน รูปหล่อรูปปั้นที่พวกท่านกราบไหว้ผมก็ไม่เห็นคนปั้นจะสลักชื่อว่าพระพุทธรูปสักรูปหนึ่ง เห็นมีแต่หลวงพ่อนั้น หลวงพ่อนี้ ไม่เห็นมีพระพุทธรูปสักองค์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    คำว่าพระพุทธรูปที่ปรากฎในพระสูตรนี้ หาใช่ความหมายเดียวกันกับพระพุทธรูปที่เราคุ้นเคยกันอยู่ แต่พระพุทธรูปในพระสูตรนี้มีความหมายว่า รูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือกายเนื้อที่ทรงบอกว่าเปื่อยเน่า เป็นรังแห่งโรค ซึ่งเป็นเรื่องเบญจขันธ์ หาใช่รูปหล่อแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า(ซึ่งไม่มีเบญจขันธ์) ถ้าพิจารณถ้อยความดีๆจะเข้าใจความหมายนี้ได้อย่างถ่องแท้ ซึ่งเป็นมติของพระเถรานุเถระทั้งหลาย
    อีกประการถ้อยคำที่ท่านนำมาต่อเติมเองเองเพื่อโจมตีพระพุทธรูปนั้นไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ซึ่งถ้อยคำที่แท้จริงก็คือ
    ครั้งนั้น พระพิชิตมารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่าก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรมถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วยต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์ เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้โดยง่าย (วักกลิเถราปทาน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ บรรทัดที่ ๒๗๖๘ - ๒๘๔๑. หน้าที่ ๑๒๒ - ๑๒๕.)


    ในอรรถกถาก็ยืนยันว่าพระพุทธรูปหมายถึงเบญจขันธ์ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธรูปแบบปัจจุบัน ดังหลักฐานนี้
    พระวักกลิพอได้รับพระโอวาทจากพระศาสดา โดยนัยเป็นต้นว่า กึ เต วกฺกลิ อิมินา ปูติกาเยน ทิฏฺเฐน ดูก่อนวักกลิ จะมีประโยชน์อะไร ด้วยการที่เธอต้องมาดูร่างกายอันเปื่อยเน่านี้ (อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๔. กัจจายวรรค ๒. วักกลิเถราปทาน)

    ร่างกายอันเปื่อยเน่าก็คือกายเนื้อแบบมนุษย์ซึ่งเปื่อยเน่าได้ซึ่งพระพุทธรูปในปัจุบันไม่ได้เปื่อยเน่ามีแต่ผุพัง

    ท่านเล่นตัดต่อพุทธพจน์เพื่อสนับสนุนความเห็นของตน มันไม่น่าจะถูกต้อง มันผิดทั้งเนื้อหา การตีความและการอ้างอิง เป็นความคลาดเคลื่อนอย่างมากของท่าน การโจมตีพระพุทธรูปของท่านจึงเป็นแค่ความเห็นผิด ดังนั้นรีบแก้ไขอย่าเอาทิฐิตนเองเป็นที่ตั้ง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    คุณถิ่นธรรม อธิบายได้ตรงกับพระไตรปิฏกเป๊ะครับ ไม่มีต่อเติมเสริมแต่งใดๆทั้งสิ้น

    พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสๆและง่ายๆ

    รูปกานเนื้อก้คือรูปกายเนื้อ คนบางคน เอากายเนื้อไปรนกับ

    สัญญาลักษณ์ ที่เป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้า จะทำจากอะไรก็แล้วแต่

    ดิน ปูน โลหะ ได้ทั้งนั้น

    ดีนะ คนแบบนี้ มีไม่ถึง 1% ในประเทศไทย ไม่งั้นประเทศชาติบรรลัย

    เพราะคนพวกนี้

    คิดแล้วมีความสุข กินดี อยู่ดีอยุ่

    ฟันธงคราบ
     
  3. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เรื่องไม่บัญญัติและไม่ถอนพระบัญญัติ

    พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ หน้าที่ ๒๕๑/๒๗๙
    เรื่องไม่บัญญัติและไม่ถอนพระบัญญัติ
    [๖๒๑] ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติย กรรมวาจา
    ว่าดังนี้:
    ญัตติทุติยกรรมวาจา
    ท่านทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบทของพวกเราที่ ปรากฏแก่คฤหัสถ์
    มีอยู่ แม้พวกคฤหัสถ์ก็รู้ว่า สิ่งนี้ควรแก่พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร สิ่งนี้ไม่ควร
    ถ้าพวกเราจักถอนสิกขาบทเล็กน้อย เสีย จักมีผู้กล่าวว่า พระสมณโคดมบัญญัติสิกขาบท
    แก่สาวกทั้งหลาย เป็นกาลชั่วคราว พระศาสดาของพระสมณะเหล่านี้ยังดำรงอยู่ตราบใด
    สาวกเหล่านี้ยังศึกษาในสิกขาบททั้งหลายตราบนั้น เพราะเหตุที่พระศาสดาของพระ
    สมณะเหล่านี้ปรินิพพานแล้ว พระสมณะเหล่านี้จึงไม่ศึกษาในสิกขาบททั้งหลายใน
    บัดนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์ไม่พึงบัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติไม่พึง
    ถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว พึงสมาทานประพฤติ ในสิกขาบททั้งหลายตามที่
    ทรงบัญญัติแล้ว นี้เป็นญัตติ
    ท่านทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบทของพวกเราที่ ปรากฏแก่คฤหัสถ์
    มีอยู่ แม้พวกคฤหัสถ์ก็รู้ว่า สิ่งนี้ควรแก่พระสมณะเชื้อ สายพระศากยบุตร สิ่งนี้ไม่ควร
    ถ้าพวกเราจักถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสีย จักมีผู้กล่าวว่า พระสมณโคดมบัญญัติสิกขาบท
    แก่สาวกทั้งหลายเป็นกาล ชั่วคราว พระศาสดาของพระสมณะเหล่านี้ยังดำรงอยู่ตราบใด
    สาวก เหล่านี้ยังศึกษาในสิกขาบททั้งหลายตราบนั้น เพราะเหตุที่พระศาสดา ของพระ
    สมณะเหล่านี้ปรินิพพานแล้ว พระสมณะเหล่านี้จึงไม่ศึกษาในสิกขาบททั้งหลายใน
    บัดนี้ สงฆ์ไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ไม่ถอนพระ บัญญัติที่ทรงบัญญัติแล้ว สมาทาน
    ประพฤติในสิกขาบททั้งหลายตามที่ ทรงบัญญัติไว้แล้ว การไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ
    ไม่ถอนพระบัญญัติ ที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว สมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลายตามที่
    ทรงบัญญัติแล้ว ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้น
    พึงพูด
    สงฆ์ไม่บัญญัติสิ่งที่ทรงบัญญัติ ไม่ถอนพระบัญญัติตามที่ทรง บัญญัติแล้ว
    สมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติ แล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึง
    นิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วย อย่างนี้ ฯ
    ปรับอาบัติทุกกฏแก่พระอานนท์
    [๖๒๒] ครั้งนั้น พระเถระทั้งหลายได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ท่าน อานนท์ ข้อที่
    ท่านไม่ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็สิกขาบท เหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย
    นี่เป็นอาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัติ ทุกกฏนั้น
    ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า เพราะระลึกไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงมิได้ ทูลถามพระผู้มี
    พระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบท เล็กน้อย ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุที่
    ไม่ได้ทูลถามนั้นว่าเป็นอาบัติทุกกฏ แต่เพราะเชื่อ ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัติทุกกฏนั้น

    ----
    อรรถกถาแต่งเติมพระธรรมของพระองค์ ผมบอกแค่นี้ ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ศึกษา "พุทธศาสนาจากพระโอษฐ์" ครับ
     
  4. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๖ หน้าที่ ๓๔๔/๔๔๗

    [๓๙๕] ฤาษีมีชื่อตามโคตรว่า ปัณฑรสะ ได้เห็นภิกษุเป็นอันมาก ที่น่าเลื่อมใส
    มีตนอันอบรมแล้ว สำรวมด้วยดี จึงได้ถามพระปุสสเถระว่า ในอนาคต
    ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จักมีความพอใจอย่างไร มีความประสงค์อย่างไร
    กระผมถามแล้วขอจงบอกความข้อนั้นแก่กระผมเถิด?
    พระปุสสเถระจึงกล่าวตอบด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า
    ดูกรปัณฑรสฤาษี ขอเชิญฟังคำของอาตมา จงจำคำของอาตมาให้ดี
    อาตมาจะบอกซึ่งข้อความที่ท่านถามถึงอนาคต คือในกาลข้างหน้า
    ภิกษุเป็นอันมากจักเป็นคนมักโกรธ มักผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณท่าน หัวดื้อ
    โอ้อวด ริษยา มีวาทะต่างๆ กัน จักเป็นผู้มีมานะในธรรมที่ยังไม่รู้ทั่วถึง
    คิดว่าตื้นในธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นคนเบา ไม่เคารพธรรม ไม่มีความเคารพ
    กันและกัน ในกาลข้างหน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลก
    ก็เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนี้
    ให้เศร้าหมอง ทั้งพวกภิกษุที่มีคุณอันเลว โวหารจัด แกล้วกล้า มี
    กำลังมาก ปากกล้า ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ก็จักมีขึ้นในสังฆมณฑล
    ภิกษุทั้งหลายในสังฆมณฑล แม้ที่มีคุณความดี มีโวหารโดยสมควรแก่
    เนื้อความ มีความละอายบาป ไม่ต้องการอะไรๆ ก็จักมีกำลังน้อย
    ภิกษุทั้งหลายในอนาคตที่ทรามปัญญา ก็จะพากันยินดีเงินทอง ไร่นา
    ที่ดิน แพะ แกะ และคนใช้หญิงชาย จักเป็นคนโง่มุ่งแต่จะยกโทษ
    ผู้อื่น ไม่ดำรงมั่นอยู่ในศีล ถือตัว โหดร้าย เที่ยวยินดีแก่การทะเลาะ
    วิวาท จักมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรที่ย้อมสีเขียวแดง เป็นคนลวงโลก
    กระด้าง เป็นผู้แส่หาแต่ลาภผล เที่ยวชูเขา คือมานะ ทำตนดั่งพระ
    อริยเจ้าท่องเที่ยวไปอยู่ เป็นผู้แต่งผมด้วยน้ำมัน ทำให้มีเส้นละเอียด
    เหลาะแหละ ให้ยาหยอดและทาตา มีร่างกายคลุมด้วยจีวรที่ย้อมด้วยสี
    งา สัญจรไปตามตรอกน้อยใหญ่ จักพากันเกลียดชังผ้าอันย้อมด้วยน้ำ
    ฝาดเป็นของไม่น่าเกลียด พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้หลุดพ้นแล้วยินดียิ่งนัก
    เป็นธงชัยของพระอรหันต์ พอใจแต่ในผ้าขาวๆ จักเป็นผู้มุ่งแต่ลาภผล
    เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม เห็นการอยู่ป่าอันสงัดเป็น
    ความลำบาก จักใคร่อยู่ในเสนาสนะที่ใกล้บ้าน ภิกษุเหล่าใดยินดีมิจฉา
    ชีพ จักได้ลาภเสมอๆ จักพากันประพฤติตามภิกษุเหล่านั้น (เที่ยวคบหา
    ราชสกุลเป็นต้นเพื่อให้เกิดลาภแก่ตน) ไม่สำรวมอินทรีย์ เที่ยวไป
    อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายจะไม่บูชาพวกภิกษุที่มีลาภน้อย จัก
    ไม่สมคบภิกษุที่เป็นนักปราชญ์มีศีลเป็นที่รัก จักทรงผ้าสีแดง ที่ชนชาว
    มิลักขะชอบย้อมใช้ พากันติเตียนผ้าอันเป็นธงชัยของตนเสีย บางพวก
    ก็นุ่งห่มผ้าสีขาวอันเป็นธงของพวกเดียรถีย์ อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุ
    เหล่านั้นจักไม่เคารพในผ้ากาสาวะ จักไม่พิจารณาในอุบายอันแยบคาย
    บริโภคผ้ากาสาวะ เมื่อทุกข์ครอบงำ ถูกลูกศรแทงเข้าแล้ว ก็ไม่
    พิจารณาโดยแยบคาย แสดงอาการยุ่งยากในใจออกมา มีแต่เสียงโอด
    ครวญอย่างใหญ่หลวง เปรียบเหมือนช้างฉัททันต์ ได้เห็นผ้ากาสาวะ
    อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ที่นายโสณุตระพราน นุ่งห่มไปในคราว
    นั้น ก็ไม่กล้าทำร้าย ได้กล่าวคาถาอันประกอบด้วยประโยชน์มากมาย
    ว่า ผู้ใดยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด ปราศจากทมะและสัจจะจักนุ่งผ้ากาสาวะ
    ผู้นั้นย่อมไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดคายกิเลสดุจน้ำฝาดออกแล้ว
    ตั้งมั่นอยู่ในศีลอย่างมั่นคง ประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นจึงสมควรจะ
    นุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้ ผู้ใดมีศีลวิบัติ มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์
    กระทำตามความใคร่อย่างเดียว มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่ขวนขวายในทางที่ควร
    ผู้นั้นไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจาก
    ราคะ มีใจตั้งมั่น มีความดำริในใจผ่องใส ผู้นั้นสมควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ
    โดยแท้ ผู้ใดไม่มีศีล ผู้นั้นเป็นคนพาล มีจิตใจฟุ้งซ่าน มีมานะฟูขึ้นเหมือน
    ไม้อ้อ ย่อมสมควรจะนุ่งห่มแต่ผ้าขาวเท่านั้น จักควรนุ่งผ้าห่มผ้ากาสาวะ
    อย่างไร อนึ่ง ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จักเป็นผู้มีจิตใจชั่ว
    ร้าย ไม่เอื้อเฟื้อ จักข่มขี่ภิกษุทั้งหลายผู้คงที่ มีเมตตาจิต แม้ภิกษุ
    ทั้งหลายที่เป็นคนโง่เขลา มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำ
    ตามความใคร่ ถึงพระเถระให้ศึกษาการใช้สอยผ้าจีวร ก็จักไม่เชื่อฟัง
    พวกภิกษุที่โง่เขลาเหล่านั้น อันพระเถระทั้งหลายให้การศึกษาแล้วเหมือน
    อย่างนั้น จักไม่เคารพกันและกัน ไม่เอื้อเฟื้อในพระอุปัชฌายาจารย์
    จักเป็นเหมือนม้าพิการไม่เอื้อเฟื้อนายสารถี ฉะนั้น ในกาลภายหลังแต่
    ตติยสังคายนา ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย ในอนาคต จักปฏิบัติอย่างนี้.
    ครั้นพระปุสสเถระแสดงมหาภัยอันจะบังเกิดขึ้น ในกาลภายหลังอย่างนี้แล้ว เมื่อจะ
    ให้โอวาทภิกษุที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นอีก จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า
    ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้
    ก่อน ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่าย จงพูดแต่ถ้อยคำที่สละสลวย
    มีความเคารพกันและกัน มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน จงสำรวมในศีล
    ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์ ขอท่าน
    ทั้งหลายจงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย และจงเห็นความไม่
    ประมาทโดยความเป็นของปลอดภัย แล้วจงอบรมอัฏฐังคิกมรรค เมื่อ
    ทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะบรรลุนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย

    ----
    ผมขอเป็นคนส่วนน้อยที่ท่านพูดถึง
     
  5. Ms,13 บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    อยู่กันทั้งวัน เด้ ได้คุยด้วย อิอิ กลัวป่าว กลัวป่าว กลัวป่าว ทั้งคู่ วันเบา ๆ กับหมอกฤษคนเดียวกัน นะ เดี๋ยวคอยดูมันจะช่วยกันเพราะมันคือ ปีศาจร้อยยูส
     
  6. Ms,13 บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0


    รู้ยังละพี่ อุรุเวลา อึ้ง ๆ ๆ ไอ้นี่ละปีศาจร้อยยูส มันอวย วันเบาๆ หมอกฤษ หน้าวัด พรานยิ้ม magatron คนเหาะ idd44
     
  7. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ขอบคุณครับ
     
  8. Ms,13 บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ถ้ามัน ด่าพี่ ว่าพี่ pm มาหานะ มันกลัวหนูหัวหดไอ้นี่ อะหน้าแหกกลับไปทุกที ตอนนี้ตั้งฉายาใหม่ละ เจ้าพ่อหน้าแหก ไปอาบน้ำเที่ยวละ จุ๊บ ๆ
     
  9. patchara2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +258
    บางที ผมไม่อยากจะยุ่งนะ

    นานๆจะเข้ามาที เมื่อก่อนเข้าเว็บบ่อย

    มาตอนหลัง เห็นพฤติกรรม ของผู้เข้ามาไหม่ๆ

    ไช้คำหยาบ ไช้คำด่า มีความพยาบาท

    อาฆาตรแค้น จิตใจหมกหมุ่น ตกต่ำ

    อยู่ในความพยาบาท อาฆาตผูกเวร จองเวร

    ถ้าเจอแบบนี้บ่อยๆ

    ผมจะแจ้งลบนะครับ บอกไว้ก่อนนะครับ

    หลักคำสอนสอนของศาสนาพุทธ

    เวรย่อมระงับ ด้วยการไม่จองเวร

    เว็บนี้ก้เว็บพระพุทธศาสนา

    แต่มีคนบางกลุ่ม จำพวก ไม่มีมีความรู้สึก

    ละอายแก่ใจ เอาเสียเลย

    ไม่เกรงกลัว บาปกรรม กันเลย

    อันนี้อันตรายมาก น่าเป็นห่วงครับ

    เข้ามาเจอแบบบนี้ บอกตรงๆ จิตเสร้าหมองครับ
     
  10. Ms,13 บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เห็นปะถ้ามันไม่ผิดมันต้องเถียงกลับ หนีหัวหดพร้อมกันทั้งสองคน ละ ไฟเขียวดับพร้อมกัน เดี๋ยวมันก็เอาชื่ออื่นมาเล่น มันกลัวหนูไอ้นี่อะ ยังไงก็ ดูแลตัวเองด้วยนะ ใครมาด่า พี่ว่าพี่ pm มาบอก
     
  11. Ms,13 บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    อะลองดูเจ้าพ่อหน้าแหกอาจกลับมาละ คุยกันต่อนะอาบน้ำก่อน ไอ้คนนี้อาจจะใช่ ยูสเพียบ อิอิ<table id="post5761816" class="tborder" cellpadding="6" cellspacing="0" border="0" width="100%" align="center" style="background-image: initial; background-attachment: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; background-color: rgb(255, 255, 255); border-top-width: 1px; border-right-width: 1px; border-bottom-width: 1px; border-left-width: 1px; border-top-style: solid; border-right-style: solid; border-bottom-style: solid; border-left-style: solid; border-top-color: rgb(239, 239, 239); border-right-color: rgb(239, 239, 239); border-bottom-color: rgb(239, 239, 239); border-left-color: rgb(239, 239, 239); "><tbody><tr valign="top"><td class="alt1" id="td_post_5761816" style="font: normal normal normal 12pt/normal verdana, geneva, lucida, 'lucida grande', arial, helvetica, sans-serif; background-image: initial; background-attachment: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; background-color: rgb(239, 235, 239); border-right-width: 1px; border-right-style: solid; border-right-color: rgb(255, 255, 255); ">เข้ามาเจอแบบบนี้ บอกตรงๆ จิตเสร้าหมอง อิอิ
    </td></tr></tbody></table>
     
  12. ta_e55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +2,302
    เฮ้อออ ใครว่ายังไงก็ไม่ฟัง คิดว่าตัวเองฉลาด!!!! เฮ้อๆๆๆ

    ใครก่อกรรมก็เตรียมรับกรรมไปนะครับท่านเจ้าของกระทู้และสมุน
     
  13. Ms,13 บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เราอยู่กลางความคิดทั้งสองฝ่าย ผิดถูกเราตำหนิ ผิดถูกไม่ยิ่งใหญ่เท่าการปฏิบัติให้ทำความดี เจตนาหวังดี ไม่ผิดอะไร
     
  14. ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    ถ้าคิดจะเผยแพร่ ห้องพระไตรปิฏกก็มีอยู่แล้ว หรือว่าท่านไม่รู้

    มาโพสตรงนี้มีเจตนาอะไรหรือ?

    จะต่อต้าน จะโจมตีอะไรก็ประกาศตนออกมาเลย

    ใยต้องเอาพระธรรมอันเป็นของสูง มาเป็นเหยื่อล่อ มาเป็นกับดัก มาเป็นกันชน

    ถ้าศรัทธามั่นคง ปฏิบัติตามองค์พระสัมมาฯ

    จะต้องเกรงกลัวอะไรหรือ????
     
  15. ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ข้อความนี้ไม่ใช่พุทธพจน์ แต่เป็นถ้อยคำของท่านเองที่สร้างขึ้นเองและนำมาอ้างว่าเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เรื่องมันมีอยู่แค่นี้ ยอมรับและขอขมาพระรัตนตรัยดีกว่า โทษจะได้ไม่มี จะไม่กลัวบาปกลัวกรรมกันหรืออย่างไร
     
  16. ta_e55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +2,302

    ถึงท่านเจ้าของกระทู้
    ท่านบอกว่า

    พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เห็นอริยสัจ ๔ และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อันเป็นหนทางพ้นทุกข์[/QUOTE]

    แต่ท่านคงฉลาดมากไป จนลืมไปว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนปรามาสพระรัตนตรัย

    ดังนั้น เพียงแค่การตั้งชื่อกระทู้ของท่าน ก็เรียกได้ว่าปรามาสพระรัตนตรัยได้แล้ว ทำไมไม่ใช้ชื่อกระทู้ด้วยคำอื่นที่ดูดีกว่านี้ เพื่อเตือนคนอื่น นี่ยังไม่นับรวมการใช้คำพูดอื่นๆที่ไม่ดีของท่านที่ได้เเสดงความคิดเห็นตรงด้านล่างของพระไตรปิฎกที่ท่านหยิบยกขึ้นมาในกระทู้ช่วงแรกๆ

    ท่านถือว่าตัวเองเป็นผู้มีปัญญา แต่ทำไมไม่รู้จักใช้ปัญญาในการเลือกใช้คำ และการเขียนที่ดีกว่านี้???? จะได้ไม่ปรามาสพระรัตนตรัย


    คงว่างงานมากนักสินะถึงเที่ยวทำในสิ่งที่เป็นบาปเยี่ยงนี้
    และถ้าท่านแย้งว่า ท่านไม่ได้ทำบาปอยู่ เราก็สงสารท่านมาก ที่ท่านมีขุมนรกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า เพราะเพียงแค่นี้ก็ยังแยกดีชั่วไม่ได้
     
  17. COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    ลองไปศึกษาวิถีเซนกันดูบ้างก็ดีนะ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ใสๆ เพียวๆ ล้วนๆ จริ๊ง:cool:
     
  18. ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    มรรค 8 ข้อแรก สัมมาทิฏฐิ

    ต้องทำให้บริสุทธิ์เสียก่อน จะออกเดินทางไกล
     
  19. อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    แต่ท่านคงฉลาดมากไป จนลืมไปว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนปรามาสพระรัตนตรัย

    ดังนั้น เพียงแค่การตั้งชื่อกระทู้ของท่าน ก็เรียกได้ว่าปรามาสพระรัตนตรัยได้แล้ว ทำไมไม่ใช้ชื่อกระทู้ด้วยคำอื่นที่ดูดีกว่านี้ เพื่อเตือนคนอื่น นี่ยังไม่นับรวมการใช้คำพูดอื่นๆที่ไม่ดีของท่านที่ได้เเสดงความคิดเห็นตรงด้านล่างของพระไตรปิฎกที่ท่านหยิบยกขึ้นมาในกระทู้ช่วงแรกๆ

    ท่านถือว่าตัวเองเป็นผู้มีปัญญา แต่ทำไมไม่รู้จักใช้ปัญญาในการเลือกใช้คำ และการเขียนที่ดีกว่านี้???? จะได้ไม่ปรามาสพระรัตนตรัย


    คงว่างงานมากนักสินะถึงเที่ยวทำในสิ่งที่เป็นบาปเยี่ยงนี้
    และถ้าท่านแย้งว่า ท่านไม่ได้ทำบาปอยู่ เราก็สงสารท่านมาก ที่ท่านมีขุมนรกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า เพราะเพียงแค่นี้ก็ยังแยกดีชั่วไม่ได้[/QUOTE]

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๑ หน้าที่ ๑๔๗/๒๘๘
    [๒๐๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสฉะนี้แล้ว สิงคาลกคฤหบดีบุตรได้กราบทูลพระผู้มี
    พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
    เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด
    ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ฉันใดพระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้น
    เหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุ
    สงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัย
    เป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉะนี้แล ฯ

    ----
    พระรัตนตรัยของผมคือ พระผู้มีพระภาค พระธรรม พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า หาใช่พระพุทธรูป รูปหล่อ รูปปั้นไม่
     
  20. ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    น่านแหละ จะต่อต้านอะไรประกาศเจตนาออกมาเลย คนจะได้รู้ชัด

    มาแอบๆแฝงๆในการตั้งชื่อกระทู้ เอาพระสูตรบังหน้าอยู่นั่น
     

แชร์หน้านี้