เรื่องเด่น "รู้" ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 15 มีนาคม 2020.

  1. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
    _4_462.jpg

    - ให้อยู่กับ รู้ ตลอดเวลา เว้นเวลาหลับ ตื่นเช้าขึ้นมาก็อยู่กับรู้ อีกหน่อย ปัญญาแท้ จะปรากฏ

    - จะรู้จะเห็นอะไร ก็ให้สักแต่ว่ารู้ ไม่ให้เป็นไปตามเขา จิตดั้งเดิมของเรามันไม่มีอะไร มันรู้อยู่ทุกอย่างอยู่แล้ว

    แต่พอมีสิ่งต่างๆมาสัมผัสทั้งภายนอกภายใน ก็ทำให้เราเผลอสติปล่อยตัวรู้ ลืมตัวรู้ที่มีอยู่ดั้งเดิมเสีย ไปรับสิ่งที่เอามาทีหลังแล้วก็ทำไปตามเขา คือ เป็นสุขเป็นทุกข์ อะไรต่างๆ

    ที่เราเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าเราไปรับเอาสิ่งสมมติต่างๆ เข้ามายึดมั่นถือมั่น

    ถ้าเราจะไม่ให้เป็นไปตามสิ่งต่างๆ เราก็ต้องรักษาตัวรู้ดั้งเดิมของเราไว้ให้ตลอด ตัวสติ ต้องมีไว้มากๆ

    - ให้รักษาตัวรู้ของเรา ให้เหนียวแน่นมั่นคงอย่างเดียว ก็ไม่มีอะไรจะมาครอบงำเราได้

    - เมื่อรู้แล้ว ก็ให้อยู่เหนือรู้

    ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก
    หนังสือ ยาใจ (ebook) >>
    https://palungjit.org/attachments/ยาใจ-pdf.5241317/

    https://www.dhammatalks.org/Archive/ThaiTexts/YaaCai_th1509.pdf
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2020
  2. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,024
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    te341.jpg
     
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    ให้ดูธาตุ การดูธาตุเมื่อรู้จักธาตุทั้ง ๖
    ให้ประสานธาตุทั้ง ๖ นี้ ให้รวมเข้ามาเป็นอันเดียวกัน
    แล้วพยายามเพ่งให้มีพลัง ให้เหนียวแน่น
    จะเกิดพลังรวมขึ้นจนจิตอิ่ม กายอิ่ม
    เมื่อธาตุสามัคคีแล้วจะมีความอิ่ม ความเต็มของธาตุ

    เมื่ออิ่มแล้ว เขาจะวางตัวของเขาเองเป็นหนึ่ง
    ธาุตุก็เป็นหนึ่ง จิตก็เป็นหนึ่ง
    แล้วให้กลับเข้ามาดูจิต นึกอยู่ที่จิตนั้น
    เรียกจิต เพ่งจิต จนเกิดความรู้ขึ้น
    แล้วปล่อยทั้งความรู้และทั้งความเห็นพร้อมกัน
    ไม่ให้มีอะไรเหลือ
    แม้แต่ตัวปัจจุบันที่รู้อยู่ก็ให้ปล่อยวางเท่านั้น
    ก็จะเกิดปัญญาญาณขึ้นมาเอง
    เรื่องวิธีการนั่งสมาธิก็จบ


    คัดลอกจาก "จดหมายถึงลูกศิษย์"
    ที่ฮ่องกง ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๑
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    นิมิต


    สมัยหนึ่งท่านพ่อป่วยรักษาตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วพักที่วัดอโศการาม มีคณะอุบาสิกามาฝึกภาวนากับท่านทุกคืน คืนวันหนึ่งมีอุบาสิกาคนหนึ่งปรารภกับท่านว่า ขณะที่นั่งภาวนานั้นก็รู้ตัวว่าใจไม่วอกแวกไปไหน อยู่กับลมตลอดเวลา แต่ทำไมไม่มีนิมิต เหมือนเขาทั้งหลาย ทำให้รู้สึกน้อยใจเหมือนกัน ท่านพ่อก็บอกว่า "โยมโชคดีรู้หรือเปล่า คนที่มีนิมิตเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามารบกวนอยู่เรื่อย ส่วนโยมไม่มีกรรมอะไรมาตัดรอน ทำใจได้เลย ไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องภายนอก"ฯ

    • "ไม่ต้องไปอัศจรรย์พวกที่เขามีนิมิตหรอก นิมิตก็คือฝันนั้นเอง ที่จริงก็มี ไม่จริงก็มี เอาแน่นอนไม่ได้"ฯ
    • โยมคนหนึ่งนั่งฟังคนอื่นพูดกันว่า การนั่งสมาธิโดยไม่มีนิมิต คือ ทางสายตรง พอดีโยมคนนั้นมีนิมิตบ่อยๆ จึงเกิดสงสัยว่า "ทำไมทางของเราขดๆเคี้ยวๆ" เมื่อไปถามท่านพ่อ ท่านก็ตอบว่า "เรามีนิมิตก็เหมือนเรามีตำลึงที่งามๆ อยู่ริมทาง เราก็เดินไป เราก็เก็บไปบ้าง เพื่อมีของกินข้างหน้า เราก็ถึงเหมือนกัน ส่วนเขาอาจจะเห็นแต่ไม่เก็บ หรืออาจจะไม่เห็นก็ได้เพราะทางเขากันดาร"ฯ
    • "นิมิต หรือสิ่งที่มาปรากฏให้เราเห็นเวลาภาวนาจิตสงบ ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้สนใจเอาเสียเลย เพราะนิมิตบางอย่างเราก็ต้องสนใจบ้างฉะนั้น เมื่ออะไรมาปรากฏ บางครั้งเราก็ต้องดูว่ามาปรากฏทำไม เพราะอะไร เพื่ออะไร"ฯ
    • "คนที่มีนิมิต ดาบ ๒ คมอยู่ในมือ ต้องใช้ให้ดี สิ่งที่เข้ามา ประโยชน์มันก็มี โทษมันก็มี ฉะนั้น เราต้องรู้จักคั้น เอาแต่ประโยชน์จากเขา"ฯ
    • ปกติถ้าลูกศิษย์คนใดนั่งภาวนาเห็นภาพตัวเอง ท่านพ่อจะให้แยกธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ หรืออาการ ๓๒ ออกเป็นส่วนๆ แล้วเผาเป็นขี้เถ้า จากนั้นก็ให้ทำแบบนี้บ่อยๆ จนชำนาญ พอดีมีศิษย์คนหนึ่งฝึกแยกอาการ ๓๒ แบบนี้ทุกวันๆ แต่พอแยกเสร็จแล้วยังไม่ทันเผา ก็มีตัวเองใหม่เกิดขึ้นอีกข้างๆ ตัวที่กำลังจะเผาอยู่ พอเตรียมจะเผาตัวใหม่ ก็มีตัวเกิดขึ้นเรื่อยๆ เรียงเป็นตับ เหมือนปลาที่เตรียมจะย่าง ตัวเองเห็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อในการที่จะทำต่อไปพอกลับมาเล่าให้ท่านพ่อฟัง ท่านก็บอกว่า "นี่ ที่ให้ทำก็เพื่อให้เบื่อ แต่ไม่ใช่ให้เบื่อในการทำ"ฯ
    • อุบายอีกอย่างที่จะให้ใช้เวลาเห็นตัวเองในสมาธิ คือ ให้ถอยกลับไปดูว่า เวลาอยู่ในท้องแม่เป็นอย่างไร อาทิตย์แรก อาทิตย์ที่สองฯลฯ จนคลอดออกมา วันแรก ๑ เดือน ๒ เดือนฯลฯ ๑ ปี ๒ ปี ไปเรื่อยจนแก่เฒ่า พอดีโยมคนหนึ่งจะปฏิบัติตามนี้ แต่ก็เห็นว่ามันช้า จึงกำหนดทีละ ๕ เดือนบ้าง ๕ ปีบ้าง พอท่านพ่อรู้เข้า ท่านก็ว่า "นี้ไปข้ามขั้นข้ามตอน" ท่านจึงตั้งกติกาใหม่ว่า "ให้กำหนดร่างกาย แล้วถอนผมทีละเส้นวางลงไปในฝ่ามือ แล้วแต่จะให้แหว่งแค่ไหน แล้วก็ปลูกใหม่ ถ้าปลูกไม่หมด ไม่ให้ออกจากสมาธิ ถ้าจะขยุ้มออกเป็นแถวก็ได้ แต่ต้องปลูกทีละเส้นให้ได้ ต้องเอาให้ละเอียด อย่างนี้จึงจะได้เรื่อง"ฯ
    • ศิษย์คนหนึ่งเคยถามท่านพ่อ "ทำไมความรู้ความเห็นที่เกิดจากสมาธิ เกิดๆ ดับๆ ไม่ให้รู้อะไรตลอดเรื่อง" ท่านก็ตอบว่า "แผ่นเสียง ถ้าเข็มจี้ตลอดต่อเนื่อง ก็ดังตลอด ให้เรารู้ศัพท์เสียงตลอดเรื่องนั้นได้ แต่ถ้าเราไม่จี้ จะรู้เรื่องได้อย่างไร"ฯ
    • มีโยมคนหนึ่ง เมื่อนั่งภาวนาแล้วมักเห็นนิมิตคนตายมาปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้วขอส่วนบุญด้วย ทำให้เขาไม่สบายใจ จึงเล่าให้ท่านพ่อฟังว่า "มีผีปรากฏอยู่ต่อหน้าค่ะท่านพ่อ"
      ท่านก็ตอบว่า "เขาไม่ใช่ผี เขาก็คน"
      แต่โยมก็ย้ำอยู่นั่น "เขาเป็นผีจริงๆนะท่านพ่อ"
      ท่านจึงดุเอา "ถ้าเขาผี เราก็ผี ถ้าเห็นว่าเขาเป็นคน เราก็คน"ฯ
    • จากนั้นท่านก็สอนให้แผ่เมตตาในเวลามีปรากฏการณ์อย่างนี้ โยมก็ตั้งหน้าตั้งตาแผ่เมตตาใหญ่ พอมีอะไรมาปรากฏก็แผ่ทันที ท่านพ่อจึงสอนอีกต่อไปว่า "เขามาปรากฏในนิมิตไม่ใช่รีบแผ่ให้เขาไป ต้องพิจารณาดูก่อนว่า ทำไมเขาเกิดในสภาพแบบนั้น เขาทำกรรมอะไรไว้จึงต้องเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะเกิดธรรมะขึ้นมาในใจของเราเอง"ฯ
    • ต่อมาวันหนึ่ง โยมเห็นผู้หญิงผอมๆ อุ้มลูกเล็กๆ ปรากฏในนิมิต ผู้หญิงก็ใส่เสื้อขาดมอมแมมไปหมด ลูกก็ร้องไห้ไม่หยุด โยมจึงเกิดสงสารแล้วก็ แผ่เมตตาให้ แต่แผ่เท่าไรๆ สองคนแม่ลูกนั้นรับไม่ได้ ทำให้โยมยิ่งสงสารเขาใหญ่ จึงบอกท่านพ่อว่า อยากจะช่วยสองคนนี้ แต่ช่วยไม่ได้ ท่านก็ว่า "เขาจะรับได้ไม่ได้เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่ธุระของเรา วิบากของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะ เราให้เขาแล้วก็แล้วกัน ไม่ต้องติดตามไปดูผลงาน หน้าที่ของเรามีแค่ไหนก็เอาแค่นั้น เขามาขอเราก็มีหน้าที่ให้ เขาปรากฏให้เราเห็น เราจะได้รู้ในเรื่องผลของกรรมแค่นั้นพอแล้ว แล้วเราก็กลับมาดูลมของเรา"ฯ
    • ต่อจากนั้นโยมก็ปฏิบัติตามคำสอนของท่านพ่อ จนกระทั่งว้นหนึ่งเกิดสงสัยว่า ในเมื่อแผ่ให้เขา ให้เขา อยู่เรื่อยอย่างนี้ ตัวเองจะมีอะไรเหลือหรือเปล่า จึงเล่าข้อนี้ให้ท่านพ่อฟัง ท่านก็มองหน้าอยู่เฉยๆ สักครู่หนึ่งแล้วบอกว่า "คนเราเวลาใจแคบ มันก็แคบได้ทั้งนั้น" ท่านก็เลยอธิบายต่อไปว่า "เมตตานี้ไม่ใช่สิ่งของ เงินทองที่ให้หมดแล้วหมดไป มันเหมือนเรามีเทียนจุดอยู่ในมือ คนนั้นขอต่อ คนนี้ขอต่อ ยิ่งต่อกัน ก็ยิ่งสว่างมาก แล้วเราจะต้องได้รับแสงนั้นด้วย"ฯ
    • มีอยู่วันหนึ่ง โยมคนนั้นนิมิตถึงคนตายมาบอกให้สั่งลูกหลานทำบุญให้อย่างนั้นอย่างนี้ โยมจึงออกสมาธิ ขออนุญาตจากท่านพ่อที่จะไปบอกลูกหลานของคนตายให้ทราบ ท่านพ่อก็ตอบว่า "เรื่องอะไร เราไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์ ถึงเป็น เขาก็ไม่มีเงินเดือนมาให้เรา เราจะเอาอะไรไปเป็นพยานหลักฐานว่า เรารู้เราเห็น ถ้าเราไปบอกแล้วเขาเชื่อ เราจะกลายเป็นผู้วิเศษ ทีนี้จะเกิดการหลงตัวลืมตัว เดินไปก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่ถ้าเขาไม่เชื่อ เขาจะว่าเราเป็นอะไร รู้ไหม"
      "อะไรละ ท่านพ่อ"
      "เขาก็ว่าเราบ้าซิ"ฯ
    • "นิมิตทั้งหลาย ที่จริงก็มี ที่ปลอมก็มี ฉะนั้นเราเป็นผู้ดูเขา อย่าเป็นผู้ตามเขา"ฯ
    • "ดูนิมิต ก็ให้เหมือนดูโทรทัศน์ คือดูเฉยๆ ไม่ต้องตามเข้าไป"ฯ
    • ลูกศิษย์บางคน เมื่อภาวนาแล้วเกิดความรู้ความเห็นถึงอดีตชาติของตนเอง และผู้อื่น จึงรู้สึกว่าตื่นเต้นแล้วนำเรื่องนี้มาเล่าถวายท่านพ่อฟัง ท่านจึงเตือนว่า "ภพชาติที่ผ่านมา ยังไปยินดีกันอยู่หรือ คนโง่เท่านั้นที่เข้าไปติดเราตาย-เราเกิดมานับอสงไขยไม่ถ้วน ถ้าจะเอากระดูกที่เราเคยเกิด-ตายมากองไว้ก็จะโตยิ่งกว่าเขาพระสุเมรุ น้ำในแม่น้ำมหาสมุทรน้อยใหญ่ทั้งหลายนะ ก็ยังน้อยกว่าน้ำตาเราที่เคยหลั่งรินเพราะความทุกข์ทั้งหลายเสียอีก ผู้มีปัญญาเมื่อเห็นเช่นนี้ ย่อมเกิดความสลดสังเวชในภพชาติ ไม่ยินดีในการเกิด มีจิตมุ่งตรงต่อพระนิพพานอย่างเดียว"ฯ
    • ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์คนหนึ่งนั่งสมาธิเห็นตัวเองเกิดเป็นนั่นเป็นนี่ แล้วก็ตาย แล้วก็เกิดอีกหมุนเวียนไปมา จนรู้สึกเหนื่อยต่อการเกิด-ตายของตัวเอง จึงออกจากสมาธิไปถามท่านพ่อ ท่านก็บอกว่า "ที่เหนื่อยนั้นก็เพราะเราไปรู้ไปเห็นอะไรแล้วก็รับเข้ามา สิ่งพรรค์นี้นะ มันเกิดไปแล้ว ผ่านไปแล้ว เราจะไปเก็บมันมาทำไม ให้ยกจิตสู่อารมณ์ภาวนาของเรา ให้อยู่กับลม มีอะไรมาก็ให้สักแต่ว่ารู้อย่างเดียว"ฯ
    • มีช่วงหนึ่งในระหว่าง พ.ศ.๒๕๑๙ ที่ท่านพ่อได้ลูกศิษย์ใหม่หลายคนทั้งไทยและเทศ ศิษย์คนหนึ่งเกิดสงสัยว่า ทำไมเป็นเช่นนั้น จึงนั่งภาวนาถามจิตตัวเอง แล้วได้ความว่า ชาติก่อนท่านพ่อเคยมีลูกหลายคน พอออกจากสมาธิเขาจึงถามท่าน "แหม ทำไมท่านพ่อมีลูกเยอะ" โดยคาดไว้ว่าท่านจะต้องตอบว่าชาติก่อนท่านเคยครองบ้านครองเมืองหรืออะไรทำนองนั้น แต่แทนที่จะตอบตามคาดหมาย ท่านกลับหัวเราะแล้วบอกว่า "ชาติก่อนเคยเป็นปลาในทะเล ไข่ออกทีไม่รู้เท่าไหร่"ฯ
    • โยมผู้หญิงคนหนึ่งนั่งภาวนาที่บ้าน เกิดระลึกชาติได้กลับไปถึงสมัยพระเจ้าอโศก นิมิตเห็นพระเจ้าอโศกตีพ่อของเขาอย่างทารุณเพราะสาเหตุเพียงเล็กน้อย พอออกจากสมาธิเขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจกับพระเจ้าอโศก วันรุ่งเช้าไปเล่าให้ท่านพ่อฟังที่วัดมกุฏฯ เขาก็ยังแสดงอาการโกรธพระเจ้าอโศกอยู่ แต่แทนที่ท่านพ่อจะรับรองหรือปฏิเสธว่าที่เขาเห็นนั้นจริงหรือไม่ ท่านกลับชี้ตัวกิเลสที่เป็นอยู่ในปัจจุบันว่า "นี่จะมาโกรธกัน ๒,๐๐๐ กว่าปี มันจะได้เรื่องอะไรกัน ให้ขอขมาท่านซะ จะได้หมดเรื่อง"ฯ
    • "ดีนะที่คนเราระลึกชาติกันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็คงจะยิ่งยุ่งกว่านี้อีก"ฯ
    • ลูกศิษย์คนหนึ่งที่ฝึกภาวนาใหม่ๆ กับท่านพ่อที่วัดมกุฏฯ เมื่อเที่ยววัดธรรมสถิตเป็นครั้งแรก ไปพบพระองค์หนึ่งที่เขาเคยเห็นในนิมิตที่กรุงเทพฯ เขาจึงพูดกับท่านว่า "โยมนั่งภาวนาได้ชมบารมีของท่านที่กรุงเทพฯมาแล้ว แหม บารมีท่านมีมากจริงๆ" ทำให้พระองค์นั้นเกิดน้อยใจขึ้นมาว่า บารมีของตัวเองมีมากน้อยแค่ไหน ตัวเองไม่เคยรู้ ทำไมคนอื่นไปล่วงรู้เอาง่ายๆอย่างนี้ แต่เมื่อปรารภเรื่องนี้กับท่านพ่อ ท่านพ่อก็บอกว่า "ถ้าเขาพูดอย่างนั้นอีก ให้ย้อนถามเขาว่า ไปมัวดูคนอื่น ทำไมไม่กลับมาดูตัวเองบ้าง"ฯ
    • มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ลูกศิษย์บางคนนั่งภาวนาเห็นยักษ์ในนิมิต คนหนึ่งเกิดสงสัย จึงกราบเรียนถามท่านพ่อ "ท่านพ่อคะ ยักษ์มีจริงไหม" ท่านก็ตอบว่า "ยักษ์เยิกษ์อะไร คนเราเกิดโมโหโทโสขึ้นในใจ นั่นคือยักษ์เกิดขึ้นในตัวเราแล้ว"ฯ
    • คืนวันหนึ่ง โยมคนหนึ่งนั่งภาวนาได้นิมิตว่ามียักษ์กำลังก่อความวุ่นวาย ในวัดธรรมสถิตเพื่อทำลายท่านพ่อ พอดีโยมคนนี้เคยเรียนคาถาอาคม ฉะนั้นจึงออกจากสมาธิไปขออนุญาตจากท่านพ่อเพื่อใช้คาถาจัดการกับศัตรูนี้ พูดแทบไม่ขาดคำ ท่านพ่อก็สวนทางทันที "โยมจะสร้างภพสร้างชาติอีกหรือ"ฯ
    • โยมคนหนึ่งซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เป็นลูกศิษย์ท่านพ่อ ฝึกภาวนาเอาเองที่บ้าน แล้วนิมิตเป็นตัวหนังสือคล้ายๆ ภาษาบาลีแต่ไม่เชิง จึงจดไว้แล้วเที่ยวหาครูบาอาจารย์ ขอให้ท่านแปลให้ ไปหาอาจารย์องค์หนึ่ง ท่านก็บอกว่า ภาษาในนิมิตนั้นเป็นภาษาพระอรหันต์ ต้องเป็นพระอรหันต์จึงจะรู้จักความหมาย จากนั้นท่านก็อุตริแปลให้ แล้วสั่งไว้ว่า ถ้าโยมมีนิมิตอย่างนี้อีก ให้นำไปถวายท่าน แล้วท่านจะแปลให้อีก โยมคนนั้นยังไม่แน่ใจจึงมาหาท่านพ่อ แล้วเล่าพฤติกรรมของอาจารย์องค์นั้นให้ท่านฟัง ท่านพ่อก็บอกว่า "อะไร ภาษาของพระอรหันต์ จิตของท่านพ้นจากสมมติแล้ว ท่านจะมีภาษาอะไรที่ไหนกัน"ฯ
    • "คนเราส่วนมาก ของจริงไม่ชอบ ชอบแต่ของปลอม"ฯ
    • บางครั้งมีลูกศิษย์นั่งภาวนาแล้วเกิดความรู้ความเห็นขึ้นมา แล้วคิดหลงตัวเองว่าเป็นผู้วิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ท่านพ่อไม่ได้ว่าอะไร จึงมีลูกศิษย์อีกคนหนึ่งถามท่านว่า ทำไมท่านไม่ได้ว่าเขาเลย เมื่อการปฏิบัติของเขาออกนอกลู่นอกทางเช่นนี้ ท่านบอกว่า "การที่จะว่าคนนั้น ต้องดูสภาวะจิตเขาก่อนถ้าจิตเขาเป็นผู้ใหญ่ก็ว่าเขาได้ ถ้าจิตเขายังเป็นเด็กอยู่ ก็ปล่อยให้เขาเล่นไปก่อนเหมือนเด็กได้ของเล่น ถ้าเกิดไปค้านเขา เขาอาจจะท้อถอยแล้วไม่อยากปฏบัติเมื่อจิตเขาโตขึ้นแล้ว เขาจะต้องรู้ของเขาว่าอะไรควร อะไรไม่ควร"ฯ
    • "อดีตไม่ให้เอา อนาคตไม่ให้เอา เอาแต่ปัจจุบันอย่างเดียวก็พอขนาดเอา ท่านไม่ให้ยึด แล้วสิ่งที่ไม่ให้เอา จะยึดได้ที่ไหน"ฯ
    • "ขนาดนิมิตของเราเอง ท่านไม่ให้เชื่อ แล้วเรื่องอะไรจะต้องไปเชื่อนิมิตของคนอื่นเขา"ฯ
    • "นิมิตทั้งหลาย ถ้าเราไม่รู้จักวาง เราจะไม่มีทางพ้น"ฯ
    • ศิษย์คนหนึ่งเคยถามท่านพ่อว่า "สิ่งที่เกิดรู้เกิดเห็นในระหว่างนั่งภาวนา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจริงหรือไม่จริง" ท่านก็ตอบว่า ถึงจะจริง มันก็แค่จริงในสมมติ เราต้องทำใจของเราให้เหนือทั้งจริงและไม่จริง"ฯ
    • "จุดประสงค์ของการปฏิบัติก็คือ ทำใจให้บริสุทธิ์ เรื่องนอกจากนั้นเป็นแค่เรื่องเล่น"ฯ

    เครดิต
    https://www.yajai.com/index.php/dhamma-master/tp-fueng/129-vision
     

แชร์หน้านี้

Loading...