ได้รับแล้ว ขอบคุณมากครับ
ร่วมทำบุญบูชา ชุดลองวิชามงคลองค์พ่อครูเข้ากามประทับวิญญาณ(พระฤาษีตบะแตกเข้านาง) พ่ออาจารย์พล
ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.
หน้า 52 ของ 462
-
-
ได้รับตะกรุดแม่ทัพน้อยแล้ว ขอบคุณครับ
-
ได้รับตะกรุดแล้วครับ ขอบคุณครับ
-
ยังไม่ได้รับตระกรุดแม่ทัพน้อยเลยครับโอนแล้วนะครับ
-
ความรู้วันละนิด (จิต)
วันนี้ก็จะมากล่าวถึงเรื่องของวัฏฏสงสารกัน เห็นบางท่านบ่นๆว่าไม่มีไรให้อ่านเลย ก็จะกลับมาพิมพ์ต่อเหมือนเดิม
พ่ออาจารย์ท่านได้พูดถึงเรื่องกฏแห่งกรรมและวัฏฏสงสารนี้ค่อนข้างบ่อย เนื่องจากชีวิตของมนุษย์นั้นอยู่ในวงจรการเวียนว่ายตายเกิดไปตามภพภูมิต่างๆ สิ่งนี้เป็นระบบที่จะหมุนวียนไปเรื่อยๆ
ภพภูมิต่างๆทั้งหลายทั้ง 31 ภพภูมิ อันได้แก่ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ มนุษย์เรานั้นถือสิ่งเหล่านี้เป็นอวินิโภครูป
อวินิโภครูปนั้นไม่เพียงเเต่ภพต่างๆทั้ง 31 ภพ ยังรวมไปถึงดาราจักรเเละทั้งเเสนโกฏจักรวาลด้วย
นี่เห็นมั้ยว่า อวินิโภครูปนี้ มีทั้งสิ่งที่มนุษย์มองเห็นมนุษย์สัมผัสได้ มนุษย์สัมผัสได้เเต่เห็นไม่ได้ แล้วก็มีทั้งที่สัมผัสก็ยังไม่ได้เเละเห็นก็ยิ่งไม่ได้ ซึ่งมันรวมถึงภพภูมิต่างๆทั้ง 31 ภพด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะเห็นเเต่เฉพาะสิ่งที่มีอยู่เสมอไป สิ่งที่มีอยู่เเต่ลึกซึ้งเเละประณีตเกินกว่าสัมผัสของเราที่จะเห็นก็มี
ที่พูดถึงอวินิโภครูปนี้ เราก็พูดให้มีความหมายเหมือนเวที เหมือนฉากละคร ที่จิตวิญญาณทั้งหลายนั้นย่อมวนเวียนตายเเล้วเกิด เกิดเเล้วตายอยู่ในอวินิโภครูปนี้
คนทั้งหลายมักจะได้ยิน เเละมักจะถูกปลูกเป็นความเชื่อที่ฝังลึกไปเสียเเล้ว ว่าตัวเรานั้นแท้จริงก็คือจิตดวงหนึ่ง เป็นพลังงานที่วนเวียนอยู่ในสงสารวัฏตามกฏแห่งกรรมของตน
ท่านผู้เจริญทั้งหลายต้องเข้าใจเสียใหม่ว่า จิตนั้นไม่ใช่พลังงาน จะเอากฏพลังงานมาอธิบายเรื่องจิต เรื่องชีวิตหลังความตายเเละเรื่องพลังเหนือโลกทั้งหลายไม่ได้ เพราะเป็นเช่นนี้มันถึงไม่ได้รู้เเละไม่มีพัฒนาการใดๆคืบหน้าไปเสียเลย
จิตนั้นเป็นมากกว่าพลังงาน มีลักษณะเรียกว่าวิญญาณปวัตติอาการ 14 ชนิดด้วยกัน ก็มาทำความรู้จักกันว่าจิตของเรานั้นทำหน้าที่อะไรกันบ้าง
1. ปฏิสนธิ การปฏิสนธินี้พูดง่ายๆก็เหมือนตายเเล้วเกิดใหม่ เป็นการถือกำเนิดรูปในภพใหม่ ในส่วนนี้จะประกอบด้วยดวงจิต 19 ดวง ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆกัน เช่น อุเบกขาสันตีรณะ2ดวง มหาวิบาก8ดวง รูปวิบาก5ดวง อรูปวิบาก4ดวง ก่อนที่เราจะปฏิสนธิ จิตทั้งหมดนั้นจะหลอมรวมอยู่ในสถานะเดียวเเล้วจึงทำการปฏิสนธิรวมกับสิ่งอื่นทางกายภาพที่เราจะไปเกิด ทำให้มีปฏิสัมพันธ์เป็นสิ่งมีชีวิตในพื้นพิภพนั้นๆ
2. ภวังคะ ทำความเข้าใจกันให้ดี จะไม่พูดบ่อย ใครหวังความเจริญนี่ต้องฟังตรงนี้ ภวังคะนี่ก็ประกอบด้วยจิต 19 ดวง เหมือนปฏิสนธิ ภวังคะคืออะไร ใครทำสมาธิกรรมฐานผ่านมาบ้างฟังเราก็คงพอจะเข้าใจ เพราะเป็นจิตส่วนที่จัดอยู่ในปัจจุบัน การเกิดภวังคะนี้จะอธิบายโดยยกปรากฏการณ์การมองเห็นของเรา คือเมื่อเเสงสว่างของสีจากรูปกายภายนอกเเผ่ออกเป็นคลื่นไปกระทบประสาทตา ตาของเราก็จะรับรู้รูปต่างๆที่เเวดล้อมเรา ว่ามันมีรูปอย่างไรสีอะไร รับรู้ได้ด้วยคลื่นเเละความสั่นสะเทือน ส่งคลื่นนั้นเข้าสมอง สมองก็จะดึงเลือดจากหัวใจขึ้นมาหล่อเลี้ยงตามปริมาณตามขนาดคลื่นนั้นเรียกได้ว่าสมองก็จะทำงานทำให้เราตีความเเละเห็นรูปทั้งหลายได้ ในเสี้ยววินาทีของวินาทีที่เรารอสมองตีความหมายรูปนั้นก่อนที่เราจะมองเห็นสิ่งใดๆ พลังงานจุดนี้แหละที่เรียกว่าภวังคจลนจิต ถ้าใครฝึกสมาธิบ่อยๆต้องล๊อคจุดนี้ให้ได้ เพราะพลังงานจุดนี้ถือได้ว่าบริสุทธิ์ไม่ผสมกับสิ่งใดๆที่ใจปรุงเเต่ง มีอานุภาพเหลือล้นเเละวิเศษมาก
3. อาวัชชนะ จิตของเราส่วนนี้จะทำหน้าที่คำนึงถึงอารมณ์ใหม่ต่างๆ ประกอบขึ้นจากจิต 2ดวง คือปัญจทวาราวัชชนะกับมโนทวาราวัชชนะ ตรงนี้คือจิตที่ปล่อยให้ไหลออกไปรอรับสิ่งแวดล้อมต่างๆที่จะเข้ามากระทบ ซึ่งสิ่งเร้าต่างๆเหล่านี้ประกอบด้วย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายทั้งหลาย ทางระบบประสาททั้งหลาย
4. ทัสสนะ ทำหน้าที่เห็นรูปภายนอก ประกอบด้วยจิตที่เรียกว่าจักขุวิญญาณ 2 ดวง
5. สวนะ ทำหน้าที่ได้ยินเสียง ไอ้ตัวที่เราได้ยินเสียงที่เข้าใจว่าหูนั้น เป็นเพียงกลไกของจิตตรงนี้ ซึ่งเรียกว่าโสตวิญญาณประกอบด้วยจิต 2 ดวง
6. ฆายนะ นี่ก็เช่นกันทำหน้าที่รับรู้กลิ่น ซึ่งมนุษย์สรุปเอาว่าเป็นจมูก จมูกเป็นเพียงรูปกายภายนอกเเต่กลไกภายในนั้น เรียกว่าฆานวิญญาณประกอบด้วยจิต 2 ดวง
7. สายนะ รูปกายของมันที่เราเข้าใจก็คือลิ้นที่ทำหน้าที่รับรู้รสชาติต่างๆ ประกอบด้วยชิวหาวิญญาณ 2 ดวง
8. ผุสนะ อันนี้คือสัมผัสทางกายของคนทั่วไป ทำหน้าที่จับต้องมีความเจ็บปวดมีความรู้สึกเรียกว่าโผฏฐัพพะหรือสัมผัสทางกาย ประกอบด้วยกายวิญญาณ 2 ดวง
9. สัมปฏิจฉนะ ตรงนี้เป็นจิตที่เรามองไม่เห็นแล้วนะแต่มันอยู่ในตัวเรา เราทุกคนมี เพราะเป็นจิตส่วนที่ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ต่างๆ มีอยู่ 2 ดวง
10. สันตีรณะ อันนี้ก็ลึกซึ้งเข้าไปอีกก่อนที่เราจะเกิดอารมณ์ต่างๆขึ้นมา ไอ้ตัวสันตีรณะนี่มันทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์ ซึ่งประกอบด้วยจิต 3 ดวง
11.โวฏฐปนะ ตัวนี้สำคัญเลย หลังจากรับรู้พิจารณาเเล้ว เจ้าตัวนี้มันทำหน้าที่ตัดสินอารมณ์ต่างๆ เช่น มโนทวาราวัชชนะ
12. ชวนะ ตัวนี้จะทำหน้าที่วิ่งเข้าไปเสพย์อารมณ์ ช่วงนี้จะไม่ใช่การปฏิบัติการณ์ที่ละเอียดอ่อนของจิตภายในเเล้ว เเต่จะเป็นช่วงที่มีกรรมเข้ามาผูกพันธ์ คือรุปกายทั้งหลายนั้นย่อมมีการประพฤติกรรมซึ่งมันประกอบด้วยพฤติกรรมผสมเจตนา ประกอบด้วยกุศลจิต 21 ดวง อกุศลจิต 12 ดวง กิริยาจิต 18 ดวง โลกุตตรผลจิต 4 ดวง จิตทั้งหมดนี้พิจารณาจะเหมือนคลื่นที่อยู่ซ้อนๆกันเข้าไปเเล้วก็จะยุบรวมกัน เป็นสถานะที่กระตุ้นผลักดันให้เกิดความคิดหรือหมายถึง เจตนา เเล้วส่งผลให้มีการเเสดงออกทางพฤติกรรม
13. ตทาลัมพนะ เจ้าตัวนี้จะทำหน้าที่รับอารมณ์ที่เกิดต่อจากชวนะ ประกอบด้วยจิต 11 ดวง คือมหาวิบาก 8 ดวง สันตีรณะ 3 ดวง เป็นปรากฏการณ์ของจิตก่อนที่จิตจะเข้าสู่ภวังคะ เช่นช่วงที่เรากำลังหลับ หรือช่วงที่เราตายเเละกำลังจะเกิดใหม่
14. จุติ เป็นจิตที่ทำหน้าที่เคลื่อนจากภพหนึ่งไปสู่ภพหนึ่ง เหมือนกับปฏิสนธิซึ่งประกอบด้วยจิต 19 ดวง
เรื่องของจิตนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ วันนี้จะมาเเนะนำทำความรู้จักกันก่อน หากใครบอกว่าจิตเป็นเพียงพลังงานนั้นเราจะได้เถียงเค้าไปได้ว่าจิตของเรานั้นเป็นมากกว่าพลังงาน ซึ่งจิตก็คือจิต ไม่มีคำพูดไม่มีความหมายใดๆที่จะไปกล่าวถึงจิตว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไปกล่าวว่าจิตเป็นพลังงาน มันก็เป็นมากกว่าพลังงาน สรุปง่ายๆจิตก็คือจิตตรงตัวนั่นเเหละดีที่สุด
วันนี้ก็ขออนุญาตฺพิมพ์ทิ้งค้างไว้เเค่นี้ ถ้าสนใจศึกษากัน พรุ่งนี้จะมาพิมพ์เรื่องของจิตต่อให้จบอีกรอบหนึ่ง แล้วจะเข้าใจหลักการทำงานของจิตของร่างกายมากขึ้น -
อนุุโมทนาครับ
-
ได้รับตะกรุดแม่ทัพน้อยแล้ว ขอบคุณครับ
-
เตือนภัย สีผึ้ง
อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากตัวเอง ก็นำมาเล่าสู่กันฟัง
เนื่องจากได้รับปรึกษาปัญหาชีวิตคู่หลายๆท่านไว้ บางครั้งใครเคยใช้ของเสน่ห์ไม่ได้ผล เขามาใช้ของพ่ออาจารย์พลเเล้ว เขาก็จะนำสิ่งที่ตัวเองเคยใช้เคยเช่าไปของที่อื่นๆมาไว้กับเรา คือจะให้เราเอาไปทิ้งหรือไปทำอะไรก็ตามใจเราเลย
ทีนี้ก็มีสีผึ้งของพระอาจารย์ชื่อดังมากๆท่านหนึ่ง จะเอาไปทิ้งก็เสียดายเพราะเขาเช่ามาแพงตลับละหลายพันบาท คือเขาเอามาให้เราก็รับไว้ ทีนี้ช่วงอาทิตย์ก่อนเวลานั่งว่างๆ เราก็จะหยิบมาดู เป็นสีผึ้งที่หอมดี เอามาดมๆ ตอนกวนน่าจะเทหัวน้ำหอมใส่ไปเยอะ
ก็เหมือนเราเจอของกินเวลาได้กลิ่นหอมๆก็อยากกิน สีผึ้งนี้ก็เช่นกัน เห็นมันหอมดีก็เลยเผลอเอามาสีปากตัวเองไป สองครั้ง อันนี้คนละวันกัน ก็รู้สึกตอนนั้นว่าอะไรหลายๆอย่างมันเเย่ลง เข้าใจเลยว่าทำไมเจ้าของเก่าเขาเอามาทิ้งไว้กับเรา เเต่มาสังเกตุคือปากเราริมฝีปากบนเกิดอาการเเพ้อย่างเเรงทั้งบวมเเละพองขึ้นมา ผมต้องเอาเจลว่านหางจรเข้มาป้ายทาไว้
ก็เลยนำสีผึ้งนั้น ไปให้พ่ออาจารย์ท่านดู ไม่ได้พูดอะไรให้ท่านฟัง ท่านถามกลับมาว่าสีผึ้งอะไรทำไมถึงสกปรกอย่างนี้ ก็เป็นอันว่ารู้กันว่ามันใช้ป้ายปากไม่ได้ เนื่องจากมีส่วนประกอบเป็นของต่ำที่แปลกๆเเละพิศดารมากมาย
อันนี้ก็เอามาฝากมาเตือนกันไว้ พูดมากก็ไม่ดี เพราะถ้าได้รู้มวลสารของสีผึ้งตัวนี้จะตกใจเลยว่ามีเเต่ของต่ำๆสกปรกๆจริงๆ ดังนั้นก็ฝากมาบอกถึงพวกเราไว้ ว่าก่อนจะเอาอะไรป้ายปากนั้น ควรจะศึกษาให้ดีซักนิด -
ความรู้วันละนิด (จิตตอนที่ 2)
ก็มาต่อกันจากที่พิมพ์ไม่จบคราวที่เเล้ว ในเรื่องของจิตนะครับ
เมื่อมีชีวิตเกิดขึ้นมา หมายถึงจิตนั้นได้ทำการปฏิสนธิกับกายหยาบเเล้ว รูปทั้งหลายเหล่านั้นก็เกิดจากการผสมผสานกัน ด้วยปัจจัยทั้ง 4 คือ
1. จิต ที่ได้แบ่งแยกกล่าวไว้ในตอนที่เเล้ว
2. กรรม สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีกรรมเป็นบรรพบุรุษมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ซึ่งกรรมตัวนี้จะมาจากอำนาจในจิตส่วนหนึ่งของเราที่จะบ่งชี้ให้เราเกิดพฤติกรรมต่างๆ เป็นพฤติกรรมหลากหลายรูปแบบของสิ่งมีชีวิตของใครของมันไม่ซ้ำกัน
3. อุตุ ก็คือบรรยากาศ ซึ่งการเกิดของสิ่งมีชีวิตก็มีหลายที่หลายวิธี
4. อาหาร หมายถึงเงื่อนไขบางประการในบรรยากาศนั้นที่จิตได้ปฏิสนธิลงไป ซึ่งก็อยู่ที่เกิดเป็นอะไรมีโครงสร้างเเบบไหน อาหารที่จะเสพจะหล่อเลี้ยงชีวิตให้รูปนั้นๆคงสภาพความเป็นอยู่ได้
พ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่าจิตนี้ เป็นต้นเหตุให้เกิดสิ่งมีชีวิต คล้ายๆคำถามไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ก็ต้องตอบว่าจิตของเรานี่เเหละเกิดก่อนทุกสิ่ง เเละมีมานานนักหนาเเล้ว ศาสนาพุทธของเราก็บอกอยู่เสมอว่ากรรมนั้นจำเเนกการเกิด เพราะสิ่งมีชีวิตยังมีตัณหาอยู่ การเกิดนั้นก็ยังวนเวียนอยู่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ว่า "ตัณหายังให้คนเกิด จิตของเขาย่อมวิ่งพล่าน สัตว์เวียนว่ายไปในสงสาร กรรมเป็นที่พำนักของสัตว์นั้น"
ในรูปกายในชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นล้วนมีพลังงาน มีเเรงเป็นตัวสังเคราะห์ทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดมาเเต่จิตทั้งนั้น เป็นพลังงานทางจิต ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะเราถือสิ่งมีชีวิตนั้น มีตัณหาขึ้นชื่อว่ามารดาเป็นตัวกำเนิด ทำให้สัตว์โลกทั้งหลายเวียนว่ายอยู่ในไตรภูมิ มีความยึดมั่นถือมั่นเป็นบิดา คอยกำหนดสิ่งต่างๆหมายถึงรูปกายที่จะไปเกิดนั้นๆ มีความเชื่อเป็นราชาซึ่งก็เป็นความเชื่อของเฉพาะตน เชื่อในสิ่งที่มีหรือไม่มี มีประสาทสัมผัสทั้งหมดเป็นดั่งเมืองที่อยู่อาศัย
ชีวิตของสัตว์โลกทั้งหลายในระหว่างที่จะตายหรืออยู่หลังความตายนั้น ล้วนเป็นเรื่องของจิตเเละกรรมที่สัมพันธ์กัน จากที่ได้จำเเนกไว้ในคราวก่อน ลักษณะความเป็นไปของจิตที่เรียกว่า วิญญาณปวัตติอาการ 14 ชนิดนั้น จะเห็นว่าจิตนั้นทำงานซับซ้อนมาก จิตของเราเเต่ละดวงนั้นต่างช่วยกันสร้างจิตดวงอื่นๆเเละจิตดวงอื่นนั้นก็ย้อนกลับมาสร้างตัวมันเอง เป็นหน้าที่ ที่สลับหมุนเวียนกันไป
ซึ่งการทำงานของจิตนั้น จะต้องผ่านเรื่องต่างๆทั้งกิเลส ตัณหา อุปาทานที่อยู่ในรูปของชีวิตอย่างหยาบๆเสียก่อน ซึ่งการทำงานของจิตตัวนี้จะเรียกว่าเป็นสถานะอีกแบบหนึ่งของกรรมก็ได้
เข้าใจรึยังว่าทำไมคนต้องมีศาสนา ต้องมีศรัทธาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว นี่เราไม่ได้พูดจำกัดเฉพาะพุทธนะจะศาสนาอื่นก็ดี เพราะว่ามนุษย์นั้นคือสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการ ศรัทธาเเละศาสนานั้น จะช่วยรักษาจิตของเขาทั้งหลายได้
"ตราบใดที่ยังมีกิเลส ตัณหา อุปทาน ผู้นั้นย่อมต้องมาเกิดอีก ผู้ใดตัดกิเลส ตัณหา อุปาทานผู้นั้นย่อมไม่มาเกิดอีก" นี่คือวิธีง่ายๆที่เหมือนจะพูดเเละทำก็ง่ายด้วยหากลงมือกระทำ พระนิพพานนั้นไม่ได้อยู่ไกลเลยหากเราพยายามขัดเกลาตนเองเราก็จะหยุดวงจรของวัฏฏจักรได้ ไม่มีทั้งชาตินี้และชาติหน้า ไม่มีทั้งภพนี้เเละภพหน้า
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นมักจะถามใจตัวเอง ทำความเข้าใจกับความรู้สึกตัวเอง เเต่ยังไม่เคยเรียนรู้ที่จะรู้จักจิตของตนเอง อันเป็นเนื้อเเท้ที่อยู่กับเรามาเนิ่นนานหลายสิบหลายล้านโกฏิปีเลย เราคิดที่เเต่จะเรียนรู้เพียงเรื่องร่างกายที่เรามาหยิบยืมใช้พักอาศัยเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ตัวตนจริงๆของเรานั้น เรายังไม่คิดที่จะรู้จักกับมันกันเลย
เพราะเช่นนี้การเกิดซ้ำเเล้วซ้ำเล่า จึงทำให้จิตของสิ่งมีชีวิตขาดสิ่งที่เรียกว่าดุลยภาพไป มีเเต่จะตกลงสู่ที่ต่ำ พฤติกรรมทั้งหลายก็ไม่คงที่ย่อมเปลี่ยนเเปลงไปเสมอๆในทุกภพชาติ จิตนี้คือตัวกำหนดขอบเขตของพลังงานเเละประสิทธิภาพของสิ่งต่างๆในรางกายเราเเละหากเราใช้เป็นเเม้นอกร่างกายเราจิตนั้นก็มีอำนาจมีประสิทธิภาพที่จะควบคุมได้ เรื่องของจิตจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
คนสมัยก่อนนั้นมีเวลาว่าง เขาไม่เอาเวลาเหล่านั้นไปใช้ให้เสียเเบบสมัยนี้เขาไม่ไปเที่ยวไปผับ ไปติดการพนัน เขาเอาเวลาเหล่านั้นมาเล่นกับสิ่งง่ายๆที่ใครก็ทำได้ เรียกกันว่าเล่นกับลมหายใจ เล่นกับสมาธิกับพระกรรมฐานเพื่อที่จะดูจิตเเละตามจิตของตนเองให้ทัน เป็นเรื่องง่ายๆที่เราเเค่นั่งจับจ้องไว้กับลมหายใจเข้าออก เล่นลมหายใจตามดูลมหายใจของตนเอง เป็นพื้นฐานง่ายๆที่เราจะเข้าถึงเเละเข้าใจจิตในจิตของตนเอง เพราะเช่นนี้จึงเสียเวลาที่จะเกิดมาชาติแล้วชาติเล่า
วันนี้ก็จบไว้เท่านี้นะครับ เดี๋ยวคราวหน้าจะเอาวิธีทำสมาธิการทำบุญทำกรรมฐานของพ่ออาจารย์ท่านมาลงเรื่อยๆ ใครมีบุญได้อ่านได้รับไว้ก็ปฏิบัติกันเอา -
-
เหล็กนิพพานวัชรธาตุ
วันนี้ก็จะเปิดให้บูชาเหียญบาตรน้ำมนต์เนื้อเหล็กนิพพานวัชรธาตุ ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านใช้เหล็กนิพพานวัชรธาตุล้วนๆหล่อรูปขึ้นมา
ก็มาทำความรู้จักกับธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้กันก่อน
วัชรธาตุ หรือเหล็กนิพพาน หยดน้ำฟ้าชนิดแข็ง เป็นธาตุที่ชักชวนผู้ที่เป็นเจ้าของให้ฝักใฝ่ในธรรมะ ชอบที่จะสร้างบุญกุศล สวดมนต์ ไหว้พระและฝึกฝนปฏิบัติทางจิต เช่น น้อมจิตให้ชอบสวดมนต์ นั่งสมาธิ ประพฤติปฏิบัติธรรม จนเข้าสู่กระแสธรรมแห่งวิปัสสนาญาณไปในที่สุด จนทำให้ผู้ที่ครอบครอง รู้แจ้งเห็นจริงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ตามบุญบารมีของผู้ที่เป็นเจ้าของไปโดยปริยาย
วัชรธาตุ หยดน้ำฟ้า หรือ เหล็กนิพพานนั้น ชอบที่จะเข้าไปบั่นทอนอาสวะกิเลสที่กำลังเกิดขึ้นของผู้คนที่อยู่รอบข้าง ผู้ที่อยู่ใกล้ตัวให้สภาวะแห่งกิเลสนั้น ค่อย ๆ ดับลงไป ทำให้ปัญญาต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในหน้าที่การงานและครอบครัว หรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหมดปัญหาลงไป พูดจากันเข้าใจ และทำให้จิตไม่คิดเกินใจ ไร้อารมณ์แห่งการย้ำคิดย้ำทำ เพราะธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ มีเมตตา คุ้มครอง แคล้วคลาด คงกระพัน โชคลาภ มีบารมีในทุก ๆ ด้าน 1000% สุดแล้วแต่ผู้ที่ครอบครองจะอธิษฐาน
เพราะธาตุชนิดนี้เป็นเพียงธาตุชนิดเดียว ที่เป็นยอดแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เทวคุณ พรหมคุณ และอริยคุณ แห่งสัมมาทิฐิบารมีดูแลรักษา อริยธาตุอยู่ตลอดเวลา เป็นสุดยอดแห่งธาตุที่มีอยู่ในจักรวาล ที่สามารถหลอมละลายธาตุได้ ถ้าอยู่ในเมืองมนุษย์ เรียกว่า เหล็กไหลขาว เหล็กเปียก เหล็กน้ำนมแห่งพระแม่ธรณีเป็นองค์บารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ฝากพระแม่ธรณีเอาไว้ ผู้รู้มักจักนำธาตุชนิดนี้สร้างเป็นยอดปลีของพระธาตุหรือเป็นวัตถุมงคล มีทั้งสำเร็จรูปเป็นธาตุที่มีปลายแหลมทั้งสองด้าน
ถ้าล่องลอยอยู่ในจักรวาล เรียกว่า จันทราธาตุ ซึ่งหมายถึง แสงแห่งความร่มเย็น ที่จะนำเข้าสู่ อริยธรรม ส่วนใหญ่จะถูกเทพเทวาอัญเชิญไปรวมไว้ ณ จุดเดียวกัน เพื่อรักษาคุ้มครอง ป้องกันพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ เพื่อเป็นฐานรองรับพระธาตุเกตุแก้วจุฬามณี ณ ห้องพระนิพพาน แห่งแดนสุขาวดี จึงกลายเป็นธาตุที่ซึมซับเอาอริยบารมีแห่งการปฏิบัติทั้งมวลแห่งเจตสิกที่มีความบริสุทธิคุณเอาไว้ในธาตุชนิดนี้ เราเรียกธาตุชนิดนี้ว่าเป็น วัชรธาตุ
เมื่อโลกมนุษย์เกิดวิกฤตแห่งไฟกิเลส วัชรธาตุก็เกิดความเร่าร้อนตามไปด้วย จึงเกิดการละลายตัวหยดลง ณ โลกมนุษย์ เราจึงเรียกว่า วัชรหยดน้ำฟ้า หรือเหล็กไหลพระนิพพาน เพื่อลงมาช่วยเหลือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อที่จะเป็นกำลังใจที่จะต่อสู้กับกิเลสตัณหาและความทะยานอยากทั้งหลาย จนสามารถฝ่าฟันเอาชนะกิเลสแห่งตนให้หมดไป และตั้งมั่นแห่งการสะสมบุญบารมีกันต่อไปจนกว่าจะเห็นทางแห่งการพ้นทุกข์ ดีนักแล
นี่เป็นข้อดีของเหล็กนิพพานวัชรธาตุ ที่พ่ออาจารย์ท่านได้นำมาประกอบพิธีกรรมทางไสยเวทย์เพิ่ม โดยการนำเเช่น้ำมนต์ธรณีสาร เเละเชิญครูบาอาจารย์ เทพยดา ตลอดจนกายทิพย์ทั้งหลายลงมาสอบถามเพื่อจะขอบารมีเทพเจ้าทั้งหลายบรรจุไว้ในเหล็กนิพพานนี้ ท่านว่าของเดิมเขาเกิดมาก็ดีแล้ว เเต่เราจะเอามาทำของสำคัญทั้งทีต้องทำให้เป็นอิทธิคุณแฝด ซ้อนเข้าไปหลายๆชั้นให้ดียิ่งๆขึ้นไปอีก
เหรียญบาตรน้ำมนต์เนื้อเหล็กนิพพานวัชรธาตุนี้ก็ติดตามกันให้ดีๆ เพราะท่านหล่อไว้เพียง 20 เหรียญเท่านั้น คาดว่าจะเปิดให้ทำการจองก่อนสมิงพระกาฬ เอาฤกษ์เอาชัย ใครที่ชอบธาตุกายสิทธิ์จะได้มีเหล็กไหลชนิดนี้ในรูปแบบเครื่องมงคลของพ่ออาจารย์ไว้ติดตัวบูชา -
ขอร่วมทำบุญบูชา เหรียญบาตรน้ำมนต์เจ้าขรัวเเสง (เนื้อเหล็กนิพพานวัชรธาตุ) 1 เหรียญครับ
-
บูชาเหรียญบาตรน้ำมนต์ ไ เหรียญ
-
ขอบูชามหาตะกรุดหน่อพระพุทธเจ้า(พญาเต่าคำ)1 ดอก เหรียญบาตรน้ำมนต์เจ้าขรัวเเสง 1 เหรียญ โอนพรุ่งนี้พร้อมกับพระของขวัญสำเร็จทันใจ (เนื้อผงสุริยกาล) ที่จองไว้ครับ
-
ขอจองบูชาเหรียญบาตร น้ำมนต์ เจ้าขรัวแสง 1 เหรียญครับ
-
ขอร่วมทำบุญบูชา เหรียญบาตรน้ำมนต์เจ้าขรัวเเสง (เนื้อเหล็กนิพพานวัชรธาตุ) 1 เหรียญครับ
-
ความรู้วันละนิด (ทาน)
ถ้าแม้ไม่ทำดีในแดนดิน
จะถวิลย์ถึงสวรรค์นั้นอย่าหา
เนื่องจากกระทู้ของพ่ออาจารย์พลมีการกล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทพยดาทั้งหลายบ่อย วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง การทำบุญที่จะทำให้ได้อุบัติเป็นเทพยดากันนะครับ ซึ่งก็มีอยู่หลายประเด็นจะไล่ไปวันละเรื่อง ในวันนี้จะพูดถึงทาน
มนุษย์นั้นปรารถนาความสบาย ความสุขอันประณีตและลึกซึ้ง ดังนั้นสวรรค์จึงเป็นเรื่องที่มนุษย์ทั้งหลายอยากจะขึ้นไปลิ้มรสเเละเสพย์สุข โดยให้ความสำคัญกับชีวิตหลังความตายตรงจุดนี้มาก
ไม่เพียงเเต่ในปัจจุบันเท่านั้น ในอดีตกาลที่ผ่านพ้นมา มนุษย์ก็อยากขึ้นสวรรค์ ที่หนักหน่อยก็คือขึ้นทั้งเป็นๆเเบบยังมีชีวิตอยู่กันไปเลยทีเดียว ที่เห็นประสบความสำเร็จก็มีอยู่ด้วยกัน 4 ท่าน
- โคตติละ
- พญาสาธินราช
- พญาเนมิราช
- พญามันธาตุราชจักรพรรดิ์
ซึ่งการขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์ทั้งเป็นนี้เห็นจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะความสำเร็จของบุคคลทั้ง 4 นี้ ก็ไม่ใช่มาปรากฏในเฉพาะกัลป์นี้เท่านั้น แต่ละคนที่ได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นนั้น ล้วนกินระยะเวลา ทิ้งช่วงยาวนานชนิดที่เรียกว่าข้ามกัปข้ามกัลป์กันเลยทีเดียว
ดังนั้นก็มีเพียงชีวิตหลังความตายเท่านั้นที่ดูจะไปสวรรค์กันได้ง่ายที่สุด ซึ่งจุดนี้บุญที่จะทำให้เราได้อยู่ในเมืองฟ้ากัน พ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่ามันมาจากบุญกิริยาวัตถุทั้ง 3 เข้าใจง่ายๆก็คือที่ตั้งแห่งบุญ หลักแห่งการทำความดีมีอยู่ 3 ประการ คือ
- ทานมัย
- ศีลมัย
- ภาวนามัย
ซึ่งวันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องทานมัยโดยส่วนเดียวก่อน
สิ่งเหล่านี้พ่ออาจารย์ท่านกล่าวว่าให้จำเอาไว้ อย่าให้มันเสียเปล่า ศึกษาเเล้วให้นำไปปฏิบัติด้วย เรื่องทุกอย่างนั้น ล้วนไม่ยากเกินความสามารถของมนุษย์
ทานมัย ก็คือการให้ การแบ่งปันสิ่งของ มีทั้งปัตติทานมัย คือการเเบ่งปันความดีของตนให้แก่ผู้อื่น กับปัตตานุโมทนามัย อันนี้ก็คือความยินดีเวลาเห็นผู้อื่นทำความดีเห็นผู้อื่นได้ดี
อานุภาพแห่งบุญในส่วนของทานนั้น จะพึงสำเร็จได้ต้องประกอบขึ้นมาจากปัจจัยทั้ง 4 อันนี้เวลาทำทานนะ ให้พวกเราสำรวจตัวเองกันด้วยว่าขาดข้อไหนไปบ้าง ผลเเห่งทานนั้นมันจะบริบูรณ์หรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่ ปัจจัยทั้ง 4 เหล่านี้ทั้งนั้น คือ
- วัตถุสัมปทา ผู้รับทานนั้นเป็นคนดีหรือไม่ ถึงพร้อมด้วยความเป็นกัลยาณชน เป็นผุ้ที่พึงมีสัจจะวาจาสูงสุด เป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การกราบไหว้บูชา มีความสามรถในฌานสมาบัติ บุคคลเหล่านี้คือผู้รับทานประเภทนี้ ย่อมยังผลของทานนั้นให้เกิดผลขึ้นได้ทันตา
- ปัจจัยสัมปทา ทานที่หาได้มาเเบ่งปันนั้น ได้มา สำเร็จมาด้วยความชอบธรรมหรือไม่ ไปโกง ไปทำให้ผู้อื่นทุกข์ร้อนเสียใจหรือเปล่า
- เจตนาสัมปทา ในระหว่างการทำทานนั้นๆ ผู้ทำหมายถึงตัวเรามีจิตใจเป็นกุศลหรือไม่ มีเจตนาอันดีหรือเปล่า ตรงจุดนี้ทานจะให้ผลมากไม่ใช่เเค่ยื่นให้เเล้วจบๆไป แต่ต้องประกอบไปด้วยความรู้สึกยินดี ความชื่นชมทุกขณะ ทั้งก่อนให้ กำลังให้ หรือให้ไปแล้ว แม้กาลเวลาผ่านไประลึกได้ก็ยังยินดีในทานนั้นๆอยู่
- คุณาติเรกสัมปทา อันนี้เป็นกรณีพิเศษเหนือจาก 3 กรณีแรก เป็นทานที่ให้ผลทันตาเห็นเดี๋ยวนั้น คือผู้รับทานเป็นทักขิไณยบุคคลมีความสามารถในฌานสมาบัติและเพิ่งออกจากผลสมาบัติ เช่นพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์สาวกที่เข้านิโรธสมาบัติเช่นนี้เป็นต้น
สิ่งที่จะทำให้พวกเธอทั้งหลายไปถือกำเนิดเป็นเทวดาได้นั้น จุดสำคัญมันอยู่ตรงนี้ อยู่ที่เจตนาสัมปทานี่แหละ
- เพราะเราให้ทานโดยผูกพัน มุ่งหวังผลของการทำทานเต็มที่ นี่อุปนิสัยของเทวดาในจตุมหาราชิกานะ
- เพราะให้ทานโดยมีจิตผูกพันในทานนั้นไม่มากัก ไม่มุ่งสั่งสมผลทานที่ให้ นี่เป็นอุปนิสัยของชาวฟ้าชั้นดาวดึงส์
- เพราะให้ทานโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย ไม่ต้องคิดว่ามันจะดีหรือไม่ดี แต่ให้เพราะรักษาประเพณี นี่อุปนิสัยของชาวสวรรค์ชั้นยามา
- เพราะให้ทานโดยตั้งใจจะรักษาประเพณี ประกอบด้วยกำลังใจที่เอื้อเฟื้อเกื้อการุณย์เบิกบาน นี่มีกำลังใจมาเกี่ยวข้องมีความรู้สึกของเราใส่ลงไปแล้ว เป็นอุปนิสัยของชาวสวรรค์ในพิภพดุสิต
- เพราะให้ทานด้วยจิตใจเอื้อเฟื้อเบิกบาน แต่จำแนกทานนั้นออกเป็นหลายส่วน เช่นทานส่วนนี้ควรให้แก่ใคร ส่วนนั้นต้องถวายใคร เพราะจำแนกทานเช่นนี้ว่าบุคคลนั้นๆควรทำอะไรได้อะไร นี่เป็นนิสัยของชาวนิมมานรดี
- เพราะให้ทานด้วยไม่จำแนกเลย ทั้งชนิดของทานที่ให้ บุคคลที่จะรับ ไม่ได้สนใจในจุดตรงนี้เลย แต่ให้เพราะจิตใจของตนนั้นเลื่อมใส ปลาบปลื้มต่อการให้เฉพาะบุคคล นี่เป็นคุณลักษณะเด่นของการเข้าเป็นเทวดาในชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
- เพราะให้ทาน โดยพิจารณาดีเเล้ว เห็นว่าทานนั้นการให้นั้น เป็นการอบรมขัดเกลาจิต เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการอบรมจิต นี่เป็นคุณลักษณะของผู้ก้าวพ้นกามาพจรภูมิ เข้าสู่รูปภพ พระพรหมทั้งหลายไล่ขึ้นไปทุกชั้นจะมีคุณลักษณะเช่นนี้
ทานที่จะให้นั้นก็มีต่างๆกันไป จะข้าวน้ำ เครื่องหอม ของใช้ เครื่องอุปโภคบริโภค ดอกไม้ ยานพาหนะ ประทีป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นทานทั้งสิ้น
เมื่อเราลองย้อนมองดูตัวเองนั้น เราเห็นอุปนิสัยตนเองหรือยังว่าเป็นคนประเภทไหน ทำทานอย่างไร หรืออุปนิสัยของเรานั้นไม่ตรงกับอุปนิสัยของเหล่าเทพยดาในพิภพต่างๆเลย อันไหนดีควรกระทำ มีกำลังใจมากพอที่จะปรับแก้ได้มั๊ย เรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องที่ฝากไว้ ให้ถามใจตัวเอง เเละทำให้ถูกให้ควรตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ว่าเราจะไปเอากำเนิด เพื่อสร้างสมบุญบารมีต่อไป ก่อนที่จะได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาในชาติตระกูลที่ดี ในยุคที่ดี ในเวลาที่ดี
วันนี้ก็จบเรื่องทานก่อนเพียงเท่านี้ ถ้าอ่านกันไม่เบื่อพรุ่งนี้จะมาต่อกันที่เรื่องของศีลต่อไป -
รายการ เหรียญบาตรน้ำมนต์เจ้าขรัวเเสง ผมขออนุญาติ โอนวันที่ 15-6-15 นะครับ
-
ได้รับพระและตะกรุดเรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณครับ
มีวิธีใช้ที่พอจะแนะนำบ้างมั้ยครับ -
ไฟล์ที่แนบมา:
-
หน้า 52 ของ 462