ร่วมทำบุญบูชา นัยน์ตาพระธรณีเจาะจำเพาะมหาถอดแสนมนต์(องค์ปฐมเปลื้องผ้ากาสา) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. kiati_sak

    kiati_sak เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    7,383
    ค่าพลัง:
    +13,256
    โอนเงินค่าทำบุญบูชาพระปิดตาให้แล้วครับ วันนี้ เวลา 06.23 น. ทั้งสองบัญชีครับ (1,000+100) จัดส่งที่อยู่เดิมครับ ขอบคุณครับ
     
  2. THATCHAKON

    THATCHAKON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +3,250
    -โอนเงินให้แล้วนะครับ วันที่ 09/05/15 ชื่อและที่อยู่ส่งไปให้ทาง pm นะครับ
    DSC08112.JPG DSC08113.JPG
     
  3. THATCHAKON

    THATCHAKON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,248
    ค่าพลัง:
    +3,250
    ดูทางโชคลาภเงินทองบ้างสิครับ อยากได้ที่เด่นทางนี้ด้วย...!
     
  4. g_banman

    g_banman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +1,165
    ร่วมทำบุญรับ พระปิดตาบรมครูหลวงปู่เฒ่ายิ้ม(จุ่มรัก) 1 องค์ ครับ
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,148
    ค่าพลัง:
    +16,536
    โชคลาภก็ยังไม่รู้แฮะ เเต่รู้ว่าพกพ่อยักษ์นี่ได้กินข้าวฟรีบ่อยมาก ชอบมีคนชวนไปเลี้ยง อีกอย่างลองสังเกตุดู ว่าเวลาเราไปก่อปัญหาอะไรกับใครเอาไว้ ก็มักจะผ่านไปได้ด้วยดี เหมือนจะเงียบกริบไปเป็นปลิดทิ้ง

    พ่ออาจารย์ท่านว่า ปกติท่านทำเเต่ท้าวเวสหน้าเทพ ไม่เคยทำหน้ายักษ์ให้ใคร ถึงมีคนขอก็ไม่เคยสร้างให้มาก่อน ท่านว่าของที่ไหนเราไม่รู้ เเต่ท้าวเวสกับเราถ้าเราได้ลงมือทำ ยิ่งภาคที่เป็นยักษ์เป็นครูอสูร ปู่เวสท่านย้ำไว้นักหนาว่าให้ทำให้เฉพาะคนจริงๆ เพราะมันจะดุจะเเรงเกินไป ก็พอดีครั้งนี้ได้ไม้อาถรรพ์ ที่ท่านเสกลงอาถรรพ์เพิ่มไว้ด้วย ท่านเลยนำมาทำ นำมาแกะเก็บไว้ด้วยตัวท่านเอง เพื่อที่จะเสกรอทำอะไรพิเศษๆออกมา ซึ่งผมก็เลยบูชามาใช้ก่อน

    ต้องบอกก่อนเป็นเกล็ดความรู้นะ ในการเสกวัตถุมงคลของพ่ออาจารย์มีน้อยครั้งมากที่ท่านจะลงวิชาอาถรรพ์กำกับ เพราะว่าเป็นการเสกที่อยู่เหนือการปลุกของเสกคาถาลงอาคมทั่วไป ซึ่งวิชาอาถรรพ์นี้ก็มีหลายด้านหลายรูปแบบ ถือได้ว่าเป็นยอดของวิชาเลยก็ว่าได้

    เรื่องโชคลาภผมว่าน่าจะเเรงนะ คิดเล่นๆ เสกพ่อยักษ์แดงนี้ และยังมีของพิเศษสุดๆอีก คือแบบเราก็อธิบายไม่ถูกนะ คิดเอาเเล้วกันว่าที่ดินในกรุงเทพบ้านในกรุงเทพเเพงขนาดไหน ไม่ใช่หลักล้านต้นๆแน่ แต่มีผู้มีบารมีมากมาเชิญท่าน จะมอบให้ท่านไปอยู่ไปตั้งสำนักโปรดศิษย์ในที่ที่เจริญและสะดวกสบาย เนื่องจากเป็นเศรษฐีที่ดินเเละมีบ้านหลายหลังประกอบกับศรัทธาเเละถูกจริตกับพ่ออาจารย์ท่าน แรงขนาดนี้ก็แล้วกัน ร้อยวันพันปีไม่มาเฉพาะเจาะจงมาตอนท่านลงอาถรรพ์พ่อยักษ์แดงกับของที่ทำไว้ให้ใช้คู่กันเสร็จ เเถมยังเทียวไปเทียวมาให้ท่านปฏิเสธแล้วตก 4-5 ครั้ง

    ซึ่งท่านก็ปฏิเสธไปหมดเพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นบุญคุณกับใคร หรือไม่อยากกลายเป็นหุ่นเชิดให้ใคร ท่านว่าท่านไม่ใช่สงฆ์จะไปรับของคนอื่นเเบบนั้นไม่ได้ รับมาก็ต้องเป็นของส่วนรวม เเละท่านก็ไม่ได้ขวนขวายหาความสุขความสบายขนาดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมีกำหนดมีเวลาของมันรีบเกินไปไม่ดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2015
  6. PeacE123

    PeacE123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    3,179
    ค่าพลัง:
    +2,485
    รออยู่ครับ จะได้บูชาบ้างไหมนะ
     
  7. ที่ผ่านพบ

    ที่ผ่านพบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +483
    จองพระปิดตา 1 องค์ครับ
     
  8. tanakorn1

    tanakorn1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +644
    โอนแล้วครับพร้อมที่อยู่ ตาม p.m. ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. sos1234

    sos1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2011
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,131
    ร่วมบุญพระปิดตา 1 องค์ ครับ
     
  10. ที่ผ่านพบ

    ที่ผ่านพบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +483
    โอนเงินแล้วครับเมื่อวาน(9/5/58) ทั้ง2บัญชี(1,000+100)เมื่อเวลา 18.51น.
    ที่อยู่จัดส่งแจ้งทางPMครับ
     
  11. runkey

    runkey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,114
    ค่าพลัง:
    +1,876
    สวัสดีครับ ขอร่วมบุญจองพระปิดตา1องค์ครับ
     
  12. sakmalai

    sakmalai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    504
    ค่าพลัง:
    +1,344
    โอนเรียบร้อยแลัวครับ รายละเอียดใน PM ครับ
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,148
    ค่าพลัง:
    +16,536
    เกล็ดความรู้ พระวรุณ

    เนื่องจากวัตถุมงคลของพ่ออาจารย์ท่านมักจะเน้นทางเมตตาโชคลาภมากเป็นพิเศษ เวลาท่านเชิญเทพหรืออะไรก็เลยจะคุ้นๆกับชื่อองค์วลาหกอยู่บ้าง

    แต่เดิมนั้นพอได้ยินก็คิดว่าองค์วลาหกท่านคงหมายถึงพระพิรุณหรือพระวรุณ แต่พอฟังบ่อยๆเข้าท่านก็แจกแจงลงไปอีกทำให้รู้ว่าองค์วลาหกนี้มิได้มีอยู่องค์เดียว หากเเต่เป็นเทวดากลุ่มหนึ่งจำพวกหนึ่ง

    เราจะเข้าใจกันว่าองค์วลาหกซึ่งเป็นองค์พระพิรุณนั้น มีหน้าที่ให้ฝนแก่โลกมนุษย์ แต่ความจริงแล้วหน้าที่นี้ไม่ได้อยู่ในหน้าที่โดยตรงของพระพิรุณเลย การให้ฝนของพระพิรุณนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเเยกกันไป ก่อนจะทำความเข้าใจนั้นเรามาดูกันก่อนว่า เหตุที่มาของฝน ซึ่งตกอยู่นั้น ตกกันได้เพราะอะไร
    1.เกิดจากอำนาจอธิษฐานของผู้มีฤทธิ์ มีบุญญาธิการ
    2.เกิดจากเทพวลาหกดลบันดาล ให้ฝนฟ้าตกลงมายังโลกมนุษย์
    3.เกิดจากการที่เมฆอุ้มน้ำในปริมาณมาก(อันนี้ดูจะเป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์)

    ซึ่งก็อธิบายได้ว่า การที่ฝนตกนั้นแบ่งเป็น 2 กรณีใหญ่ๆคือ ตกเพราะธรรมชาติ กับตกเพราะเหตุที่เหนือกว่าธรรมชาติ

    กลับเข้าสู่ประเด็นเดิม ก่อนอื่นเราต้องทำความรู้จักกับหมู่เทพวลาหกกันก่อน องค์แรก เราจะพูดถึงเทพบดีกันก่อน ซึ่งก็มีความหมายนัยน์ๆอยู่เเล้วว่า เป็นเทพเจ้าชั้นสูงเหนือกว่ามวลหมู่เทพเจ้าทั้งหลายทั้งปวง เป็นหัวหน้า มีสังกัดมีบริวารเทพเจ้าให้ปกครอง สิ่่งที่เราจะทำความรู้จักกันในวันนี้ก็คือ สวรรค์ของเทพวลาหก

    ซึ่งประมุขสูงสุดก็คือพระวรุณเทวราชหรือพระพิรุณนั่นเอง คนโบราณหรือหลายๆคนอาจจะคุ้นหูในชื่อปัชชุนนะเทพบุตร อันนี้คือองค์เดียวกับพระพิรุณ องค์พระพิรุณนั้น เป็นเทพเจ้าทั้งในจาตุมหาราชิกาเเละดาวดึงษ์ ซึ่งตำแหน่งของพระพิรุณบนดาวดึงษ์นั้นค่อนข้างมีความมั่นคงสูงกว่าเทพเจ้าทั้งหลาย จะเป็นรองก็เเต่เพียงองค์อินทร์ก็ว่าได้ ถือว่าเป็นเทพเจ้าที่มีฤทธิ์ทั้งอานุภาพและกำลังรบอยู่ในเเถวหน้าๆของเทวโลกเลย

    ทีนี้การให้ฝนของพระวรุณเทวราชไม่ใช่หน้าที่การให้ตามฤดูกาล อันนี้ไม่ใช้ภาระของพระองค์ (งงมั๊ยล่ะ) พระวรุณท่านจะให้ฝนก็ต่อเมื่อมีคำร้องขอ ของผู้มีบุญญาธิการทั้งหลายที่อยู่ในโลกมนุษย์ เมื่อท่านทั้งหลายเหล่านั้นเดือดร้อนร้องขอฟ้าขอฝน ก็เป็นหน้าที่ของพระวรุณท่านจะบันดาลให้ แต่อันนี้มันก็ไม่เสมอไป เพราะว่าขึ้นอยู่กับระดับของบุญญาธิการผู้ที่ขอด้วยว่ามีมากหรือน้อยรวมถึงสัจจอธิษฐานว่าขอไปทำไมเพื่ออะไรเช่นนี้ไม่ใช่นึกออยากจะขอก็ขอ อยากจะเล่นน้ำก็ขอให้มันตกๆไป เช่นเมื่อพระพุทธเจ้ามีความปรารถนาจะให้ตกพระวรุณท่านก็บันดาลให้ตกเพื่อสงเคราะห์หมู่สัตว์ทั้งหลายให้มีน้ำใช้น้ำบริโภคและไม่ให้สัตว์น้ำทั้งหลายแห้งตายไปกับโคลนตม

    อันนี้เผื่อมีใครคิดจะขอฝน ขอเตือนไว้ก่อนว่าพระวรุณไม่เหมือนเทพเจ้าพระองค์อื่น เพราะพระองค์เคร่งครัดเรื่องกฏระเบียบเเละการให้คำสัตย์ สัจจวาจาพวกนี้ค่อนข้างมาก และดูจะถือไว้มั่นคงกว่าเทพเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์ หากมนุษย์ต่อให้มีบุญญาธิการแค่ไหนก็ตามได้บนบานขอฝนหรือบอกกล่าวว่าจะทำอะไรเเลกเปลี่ยนกับพระวรุณไว้เเล้ว มีอันให้หลงลืม มิได้ทำตามที่รับปากไว้ ก็เตรียมตัวต้อนรับหายนะเเละความวิบัติชนิดที่หลับตายังจินตนาการไม่ออกได้เลย อันนี้ต้องจำไว้ให้ดีๆ เพราะฉะนั้นขอได้เเต่ไม่ควรบนเด็ดขาด ร่างกายมนุษย์เองก็ประกอบด้วยธาตุน้ำอยู่พอสมควร อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเราได้เสมอก็ได้ คนโบราณฉลาดนักเขากลัวพระวรุณกันมาก เวลากษัตริย์จะครองราชย์ เขาจะอ้างพระวรุณมาเป็นพยาน ให้ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา ถือว่าพระวรุณรู้เห็นรับรู้เเล้วใครคิดทรยศหักหลังกับคำสัตย์ที่ตัวเองได้เอ่ยไว้ ก็เตรียมตัวโดนพระวรุณไล่ล่าเอาชีวิตได้เลย ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในจำนวนเหตุผล 3 ประการที่จะทำให้เกิดฝนตก เหตุผลเเรกก็คืออำนาจของพระวรุณนั่นเอง

    เรามาดูเทพบริวารในปกครองขององค์พระวรุณกันบ้าง เทพกลุ่มนนี้ก็คือเทพเจ้าชั้นจาตุมหาราชิกา ที่เรียกว่ากลุ่มเทพเจ้าวลาหก เทพเจ้าในสังกัดพระวรุณ หากเรียกโก้ๆเหมือนเรียกกรมกองให้เข้าใจง่าย ก็คงเรียกว่ากรมวลาหก จะเเบ่งแยกงานกันชัดเจนออกเป็นสองฝ่าย

    ฝ่ายเเรกคือสีตวลาหก เทพเจ้ากลุ่มสีตวลาหกนี้ มีหน้าที่ให้ฝนโดยเฉพาะ มีความสัมพันธ์กับมนุษย์โดยตรง เพราะคอยดูแลพื้นโลกให้ได้รับความชุ่มชื้นความเย็น จากเหตุผล 3 ประการที่จะทำให้ฝนตก ในประการที่ 2 ที่ว่าเกิดจากเทพวลาหกดลบันดาลนั้น ก็คือเกิดจากอำนาจขององค์สีตวลาหกทั้งหลายนั่นเอง

    ฝ่ายที่สองคืออุณหวลาหก เป็นเทพเจ้าจาตุมหาราชิกาที่ทำงานร่วมกันกับสีตวลาหกอยู่นเขตปกครองของพระวรุณ อำนาจของอุณหวลาหกนั้นก็คือความร้อน สามารถทำให้ผิวโลกร้อนขึ้นได้ตามความต้องการที่ตนปรารถนา หรือที่บ้านๆเราเรียกว่าฤดูเเล้งผื้นดินแห้งแตกระแหงนั่นเอง นี่คืออำนาจของเทพเจ้าในกลุ่มอุณหวลาหกซึ่งอยู่ในอำนาจของพระวรุณเช่นกัน

    เทพเจ้าทั้ง 2 กลุ่ม ทั้งสีตวลาหก และอุณหวลาหกนี้ จะคอยทำงานไปพร้อมๆกันคือควบคุมความเป็นไปของบรรยากาศในผืนโลก ซึ่งเทพในกลุ่มปกครองของพระวรุณหรือกลุ่มเทพวลาหกนี้จะมีอาณาเขตอยู่ในจาตุมหาราชิกาสวรรค์ ซึ่งประชากร ก็จะมีทั้งภูติพราย เทพอสูร คนธรรพ์ พญานาค พญาครุฑและอื่นๆมากมาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับองค์พระวรุณเองว่าจะเลือกเทพเจ้าประชากรประเภทใดเข้ามาสังกัดในกลุ่มเทพวลาหกของท่าน เผื่อใครอยากจะลองทำงานด้านนี้ เวลาทำบุญก็อธิษฐานไว้ให้ได้ไปเกิดในกลุ่มเทพวลาหกขึ้นตรงต่อองค์พระวรุณก็ได้

    วันนี้ก็อธิบายคร่าวๆพอจะทำความเข้าใจได้ เห็นช่วงนี้ฝนตกบ่อย เดี๋ยวก็ร้อนเดี๋ยวก็ตก เป็นโอกาสดีที่จะได้พูดถึงเรื่องพระวรุณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2015
  14. จารุวณณร

    จารุวณณร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +1,207
    วันที่ 10/5/58 เวลา 13.01 โอนเงินรวม 1,100 บาท ทั้งสองบัญชีแล้วค่ะ ที่อยู่จัดส่งแจ้งทาง pm ค่ะ
     
  15. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,967
    ค่าพลัง:
    +5,666
    พระปิดตาบรมครูหลวงปู่เฒ่ายิ้ม
    โอนเงินแล้ว 1,000.57 บาท และค่าจัดส่ง 100.57 บาท วันที่ 10/5/58 เวลา 15.38 น.
    ที่อยู่ ตาม pm
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,148
    ค่าพลัง:
    +16,536
    ความจริงในเรื่องนี้ ถ้าจะให้กล่าวถึงบทบาทเเละบารมีของพระวรุณ คงกล่าวได้ยากมาก เเละอธิบายไปไม่ครบ พระวรุณนี้ไม่ได้มีเฉพาะของไทย ความเชื่อทางฮินดูเขาก็มีพระวรุณเช่นกัน

    พระวรุณของไทยของชาวพุทธนั้น ในพระสูตรอาฏานาฏิยสูตรได้ระบุไว้ ว่าพระองค์เป็นเทพเจ้าแห่งยักษ์พระองค์หนึ่ง จึงไม่เเปลกที่จะมีอาณาเขตปกครองกว้างใหญ่นอกจากมีวิมานเป็นจุดรวมกองทัพเทพในดาวดึงษ์แล้วยังมีอาณาเขตปกครองก้าวก่ายลงไปในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาอีกด้วย

    นอกจากนี้พระวรุณเทวราช ก็เป็นเทพที่มีบารมีมาก เพราะว่าพระองค์ท่านได้กุมกองกำลังสำคัญ อันเป็นกองรบของสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ ซึ่งพระวรุณนั้นได้กุมกองกำลังปีกขวาของกองทัพเทพไว้ทั้งหมด

    ความเป็นใหญ่ของพระวรุณนั้นเป็นเรื่องปรกติที่พระอินทร์ต้องเกรงพระทัยอยู่มาก เพราะพระวรุณนั้นมีบารมี รวมไปถึงอายุเเละวรรณะ อยู่ในขั้นที่เทียบเท่าเเละเสมอกับพระอินทร์ผู้เป็นประมุขเทวโลกเลยทีเดียว ซึ่งก็มียืนยันไว้อยู่ในอรรถกถาสาวัตถปกาสินี อธิบายง่ายๆว่าถ้าพระอินทร์ได้ไปเสวยภพชาติใหม่และตำแหน่งพระอินทร์ว่างลง ด้วยความอาวุโสสูงสุดรวมไปถึงความพร้อมในหลายๆด้าน ตำแหน่งของพระวรุณนี้ก็พร้อมที่จะขึ้นแทนที่ประมุขแห่งดาวดึงษ์ เป็นพระอินทร์องค์ต่อไป ก็พิมพ์ไว้คร่าวๆ ก่อนที่คนจะลืมชื่อเทวดาพระองค์นี้ เพราะย้อนไปในสมัยโบราณ พวกอริยกะเคารพพระวรุณมากรวมไปถึงเกรงกลัวท่านด้วย ซึ่งเรารับวัฒนธรรมนี้สืบทอดต่อมาจนถึงยุคทองอย่างอยุธยา พระวรุณก็ยังเป็นที่เกรงขามเกรงกลัวสำหรับมนุษย์รวมไปถึงอมนุษย์ทั้งหลาย แต่สมัยนี้หากเอ่ยชื่อพระวรุณ คนคงคิดไปเสียแล้วว่าท่านเป็นเทพเจ้าระดับรองพระองค์หนึ่งเท่านั้น<HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    ถ้าไม่เบื่อเรื่องพวกนี้นะ พรุ่งนี้จะมาเล่าเรื่องที่ฟังเเล้วเป็นความรู้เเบบนี้ต่อให้อีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2015
  17. พุทโธ ภควา

    พุทโธ ภควา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2009
    โพสต์:
    567
    ค่าพลัง:
    +1,772
    แจ้งโอนเงินครับ เวลาประมาณ 2.09PM
    932-2-11872-1: 1000.11บาท
    932-2-09917-4: 100.11บาท
    ที่อยู่ PM ครับ
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,148
    ค่าพลัง:
    +16,536
    เกล็ดความรู้ คนธรรพ์

    วันนี้จะมาพูดถึงเรื่องที่ได้ยินกันบ่อยๆ นั่นก็คือเรื่องของคนธรรพ์เพชรพญาธร ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านบอกว่าถ้าท่านเสกของเสน่ห์เเล้วเชิญพวกนี้มาประจำในวัตถุมงคล ก็ถือว่าของนั้นจะดีในเรื่องของกามคุณระดับนึง แต่เครื่องรางนั้นส่วนใหญ่จะไม่นำพาผู้ใช้ไปสู่ความเจริญ นอกจากพบกับความเสื่อมเเละติดอยู่ในบ่วงแห่งวัฏฏสงสารเรื่อยไป วันนี้ก็มาทำความรู้จักกัน

    เราจะได้ยินเรื่องของพวก คนธรรพ์ วิทยาธร เพชรพญาธรพวกนี้ ว่าเป็นกายสิทธิ์จำพวกหนึ่ง

    สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ถือเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงมีความเป็นทิพยกายอยู่ในตนเอง เเต่ว่ายังไม่มีบารมีที่อยู่สูงถึงขั้นเป็นเทพเจ้า เป็นกลุ่มเทวดาหรือชาวสวรรค์จำพวกหนึ่งที่มีจำนวนประชากรค่อนข้างเยอะ มากมาย และล้นหลาม

    วันนี้จะพูดถึงคนธรรพ์ก็เป็นพวกเดียวกันกับพวกเพชรพญาธร ถือเป็นพวกที่มีหลายระดับ อาจจะเป็นได้ทั้งพวกคนธรรพ์เพชรพญาธรธรรมดาหรือสำเร็จการบำเพ็ญเพียรมีฤทธิ์มีกายสิทธิ์ปรากฎขึ้นกับตนเองประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเหลิงในอำนาจเป็นมิจฉาทิฏฐิรังแกคนเสียมาก ที่ดีหน่อยก็อยู่ในระดับเทพคนธรรพ์ ซึ่งคนธรรพ์ระดับล่างๆก็ต้องได้รับการจัดสรรค์ดูแลจากเทพคนธรรพ์ระดับสูงเช่นกัน จะมีอยู่อีกมากที่ไม่มีสังกัดยึดครองอาศัยสถานที่ ที่ตนเองชอบใจอยู่กันเอาเอง

    อาณาเขตของเขานั้นค่อนข้างกว้างขวาง ที่พูดเช่นนี้จะต้องไปพูดอ้างอิงถึงท้าวมหาราช จอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาพระองค์หนึ่ง ซึ่งก็คือท้าวธตรฐ

    ท้าวธตรฐนี้ปกครองสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาที่อยู่ด้านทิศตะวันออก เป็นเจ้าเเห่งหมูคนธรรพ์เเละพวกเพชรพญาธรทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งสิ่งที่ทำให้อาณาเขตของชาวสวรรค์ภาคตะวันออกนี้มีพื้นที่กว้างขวาง ก็เพราะว่าสวรรค์ตะวันออกของจตุมหาราชิกานั้นทับซ้อนกับภพภูมิของโลกมนุษย์ในบุรพวิเทหทวีปพอดี อาจกล่าวได้ว่า แม้ในบุรพวิเทหทวีปก็อยู่ในการปกครองของท้าวธตรฐเช่นกัน

    เมื่อมีอาณาเขตทับซ้อนกับโลกมนุษย์ ชาวสวรรค์ภาคตะวันออกของจตุมหาราชิกา ก็จะมาอาศัยปนเปอยู่กับโลกมนุษย์นั้น โดยจะใช้ทิพยกายของตนอาศัยสิงสู่อยู่ตามสิ่งที่มีกลิ่นหอม อาจจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของต้นไม้ก็ได้ เช่นนั้น

    เมื่อจิตวิญญาณ ทิพยกายของเหล่าคนธรรพ์เพชรพญาธรทั้งหลาย ได้ลงไปอยู่ในส่วนต่างๆของพืช ก็จะทำให้พืชนั้น กลายเป็นพืชที่มีกายสิทธิ์มีชีวิตแบบภูติ เรียกว่าภูตคาม โดยเขาก็จะอยู่ในมิติตรงนั้น สนุกสนานกับการละเล่นร้องรำด้วยดนตรีต่างๆ

    เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเหล่าคนธรรพ์หรือเพชรพญาธรทั้งหลายนั้น ได้เข้าไปจับจองต้นไม้ต้นใด หรืออาศัยอยู่ในส่วนไหนของต้นไม้นั้นๆ นั่นเเทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เอาว่าตรงไหนหอมที่สุด เขาก็อยู่ตรงนั้น กำหนดตายตัวไม่ได้ เพราะความหอมของมนุษย์กับของเค้านั้นจะเหมือนกันหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ ในคันธัพพกายสังยุตต์ ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า เขาอยู่ได้ทั้งในราก กะพี้ แก่น เปลือก ใบ ดอก ผล หรือแม้เเต่ในยางไม้ ท่านทั้งหลายคิดดูก็แล้วกัน

    เอาง่ายๆว่าที่ใดของต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม ที่นั่นย่อมมีเหล่าคนนธรรพ์หรือเพชรพญาธรอาศัยอยู่ ตอนนี้ในหัวของเรา จะเต็มไปด้วยภาพของป่าไม้ และคิดว่าป่าไม้นั้นเป็นสวรรค์ของเพชรพญาธรและคนธรรพ์ทั้งหลายเป็นแน้เเท้

    แต่ความเป็นจริงเเล้ว อาณาเขตของท่านมิได้มีอยู่เพียงเท่านั้น ในอัฏฐกนิบาตนั้นได้ระบุไว้ว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ เค้าอยู่แม่กระทั่งในแม่น้ำคงคาพระมหาสมุทรเลยทีเดียว ซึ่งก็ทำให้เราคิดว่าจะไปอยู่ได้อย่างไร สิงกับอะไรก้อนหินหรือก็ไม่น่าใช่ หรือว่าจะเป็นพืชทะเล ตอนนี้ในหัวผมก็นึกออกเเต่พวกปะการัง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าปะการังนั้นมันหอมตรงไหน ด้วยวิสัยธรรมชาติของเขาที่โปรดปรานสถานที่หอมๆ ก็เก็บไว้เป็นการบ้านก็แล้วกันนะครับ ว่าอะไรในทะเลที่มันหอม เขาก็อยู่กันตรงนั้นเเหละ

    ที่ใดที่มีกลิ่นหอม ที่นั้นคนธรรพ์และเพชรพญาธรก็จะไปอาศัยอยู่ ไม่มีข้อแม้ว่าจะเป็นบนบก ในน้ำ กลางอากาศ หรือใต้ดิน สรุปคือถ้าเขาชอบเขาพอใจเขาไปหมด ด้วยจำนวนประชากรที่มีค่อนข้างมหาศาลมากกว่าจำนวนเทวดามากนักเเละที่อันตรายไปกว่านั้นก็คือ เหล่าคนธรรพ์เเละเพชรพญาธรที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นอันธพาลเกเรนั้นมีอยู่มาก

    พูดถึงความเกเรของเหล่าคนธรรพ์เเละเพชรพญาธรรแล้ว สำหรับมนุษย์เป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวสุดๆ เพราะคนธรรพ์เเละเพชรพญาธรนั้นถึงจะเป็นชาวสวรรค์เเต่ก็เป็นอมนุษย์ที่ทำหน้าที่เป็น "มาร" ถูกจัดอยู่ในจำพวกมารกลุ่มหนึ่งนั่นเอง วันนี้เราได้รู้จักอมนุษย์ฝ่ายมารอีกจำพวกแล้วนะครับ ใครที่คิดว่ายักษ์ซึ่งถือว่าเป็นเทพเจ้าเป็นมารเเล้ว ถือว่าคิดผิดเลยขอให้คิดใหม่ แยกให้ออกระหว่างยักษ์กับอสูร พ่ออาจารย์ท่านว่ายักษ์ที่เป็นมารมีจิตมารนี้มีน้อยกว่าคนธรรพ์เพชรพญาธรนับได้ร้อยเท่าพันเท่า

    และในขณะเดียวกัน คนธรรพ์หรือเพชรพญาธร ที่เป็นสัมมาทิฏฐฺิ มีหน้าที่อยู่ในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาก็มี อันนี้จะใช้สรรพนามเเทนว่าเทพคนธรรพ์

    พ่ออาจารย์ท่านยกตัวอย่างเทพคนธรรพ์ก็เช่น พระปัญจสิงขรคนธรรพ์เทพบุตร เทพคนธรรพ์สุมธัมมา เทพคนธรรพ์พิมพสุรกะ เทพคนธรรพ์ทีรมุขะ เหล่านี้ท่านว่าจะเป็นเทพคนธรรพ์ชั้นผู้ใหญ่ใกล้ชิดกับท้าวธตรฐเป็นพิเศษ โดยเฉพาะปัญจสิงขรคนธรรพ์เทพบุตรนั้นมีฐานะพิเศษในเทวสภา และยังใกล้ชิดได้รับความรักความเอ็นดูจากพระอินทร์เหมือนบุตรคนหนึ่งทีเดียว เรียกได้ว่ามีทั้งดีเลวผสมกันเเต่ที่แย่จะค่อนข้างเยอะหน่อยเเละก็จะอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์

    พ่ออาจารย์ท่านจะย้ำเสมอว่าให้บูชาสิ่งที่ควรบูชา ท่านจะไม่ทำพวกคนธรรพ์เพชรพญาธรญาณต่ำอะไรพวกนี้เลย ท่านว่าใช้แล้ววุ่นวาย จะร้ายมากกว่าดี เพราะเขาถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของมาร อันนี้ขอเรียกว่ามารนะ ที่ดีๆจะเรียกเเยกนำหน้าว่าเทพคนธรรพ์แบบนั้นองค์นี้ ทำความเข้าใจกันไว้ก่อน

    เนื่องจากมีหน้าที่โดยตรง ขึ้นชื่อว่ามาร ย่อมล่อลวง กลั่นแกล้งตามวิสัยของเค้า พ่ออาจารย์ท่านว่าคนใช้ของพวกนี้พวกคนธรรพ์ เพชรพญาธร จะหาความสุขยาก เพราะเค้าจะคอยกลั่นแกล้งล่อลวงเรา อาจจะให้ความสุขเรามาในระดับหนึ่งก็จะต่อด้วยการกลั่นแกล้ง ใช้กิเลสล่อลวงทำให้เราค่อยๆพินาศลง ท่านจึงไม่ได้ทำออกมา ท่านว่าอย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้แต่พระสงฆ์ องค์เณร ภิกษุณี ที่เค้ามีศีลเป็นเครื่องรักษาคุ้มโทษคุ้มภัย มารเหล่านี้ก็เเกล้งเอาได้ เขาจะทำให้เราเจออุปสรรคเจอเรื่องเดือดร้อนต่างๆไม่ว่างไม่เว้น หลายๆคนคิดว่าคำว่ามารที่แกล้งพวกภิกษุองค์เณรเป็นมารที่หมายถึงระดับกษัตริย์มาร จอมฟ้าพญามารอย่างท้าวปรนิมหรือเทพในสังกัดพระองค์นั้น ถือว่าคิดผิดอย่างแรง เพราะมารที่คอยกลั่นแกล้งนั้นก็คือพวกนี้นั่นเอง

    ซึ่งตรงนี้ท่านว่า เพราะมันเป็นนิสัยของเค้า ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงนิสัยหรือกมลสันดานของผู้ใดได้ ซึ่งอันนี้ท่านก็ให้ระวังเอาไว้ เพราะถ้าจะทำต้องเชิญแบบระบุตัวตน เชิญระดับเทพคนธรรพ์หรือคนธรรพ์เทพบุตรฝ่ายดีไม่ใช่มีจิตมารหรือเป็นคนธรรพ์ทั่วไปเหล่านั้นมาทำ เพราะอันตรายมันไม่ได้เกิดกับคนทำคนเชิญ เเต่มันเกิดกับคนที่เขานำไปใช้ ดังนั้นเครื่องรางที่อยู่ในรูปของคนธรรพ์หือเพชรพญาธรทั้งหลายก็อยากให้ระวังเรื่องนี้กันเอาไว้

    ก็นำเกล็ดความรู้มาฝากไว้วันละเล็กละน้อย ถ้าไม่เบื่อที่จะอ่านก็จะพิมพ์ต่อไปเรื่อยๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2015
  19. Raijingu

    Raijingu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    250
    ค่าพลัง:
    +668
    อยากให้คุณกรณ์พิมพ์เรื่องราวเรื่อยๆครับ เพราะส่วนตัวแล้วชอบอ่านเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว และ เรื่องที่พ่ออาจารย์ท่านเล่ามาจะเป็นความรู้ในอีกแบบนึงซึ่งหาอ่านที่ไหนไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องราวจากญาณวิถีของท่านนี่ชอบมากครับ :cool:
     
  20. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6,148
    ค่าพลัง:
    +16,536
    เกล็ดความรู้ ไตรภพ

    วันนี้ก็จะมาเริ่มในสิ่งที่พ่ออาจารย์พูดถึงบ่อยๆเล่าให้เราฟังกันบ่อยๆ จะได้ยินเรื่องของพิภพต่างๆ ภพภูมิต่างๆ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับภพภูมิทั้งหลายกัน

    ท่านให้ทำความเข้าใจง่ายๆ ภพนี้คือสถานที่ที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใด

    ซึ่งการปรากฏของพิภพต่างๆเเยกออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆเรียกว่าไตรภพหรือไตรภูมิ ได้แก่
    1. กามภพ ชื่อก็บอกอยู่เเล้วว่าเปนที่อยู่ของผู้เสวยกามคุณ คือยังมีอารมณ์ผ่านสัมผัสเเละความรู้สึกทางอินทรีย์ทั้ง5 จะเเยกออกไปได้หลายภพภูมิ หลายมิติ หลักๆเลยก็มีอบายภูมิทั้ง 4 ประเภท ที่เรียกกันว่าจตุรบาย ซึ่ง สถานที่ทั้ง 4 แห่งนี้เหล่าเทพยดากลัวกันมาก คือกลัวที่จะต้องมาเกิดมาอาศัยอยู่ในจตุรบายเหล่านี้ แบ่งออกเป็น
    - นรกภูมิ
    - เดรัจฉานภูมิ
    - เปรตวิสัยภูมิ
    - อสุรกายภูมิ
    นี่คือหนึ่งในโครงสร้างหลักของกามภพ โครงสร้างต่อมาก็คือมนุษย์ภูมินั่นเอง เป็นที่ที่เราเหยียบเเละใช้ชีวิตอยู่กัน โครงสร้างถัดไปก็คือ สวรรค์ในชั้นฉกามาพจรภูมิทั้ง 6 อันได้แก่ จตุมหาราชิกา ดาวดึงษ์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี
    ซึ่งพ่ออาจารย์ท่านเมตตาบอกว่า สถานที่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะมีความแตกต่างกันอยู่ทางเรื่องของมิติเเละเวลา เเม้ในสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ความผันผวนในเรื่องของเวลาก็ไม่เท่ากันเพราะอยู่กันคนละมิติ นอกจากนี้ขนาดของเเต่ละมิติก็แตกต่างกันด้วย
    เราเเบ่งกามภพออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ คือ อบายภูมิ มนุษย์ภูมิ เเละฉกามาพจรภูมิ นับจากนี้ให้มองในแง่ของการปรากฏทางเเสงสว่างนอบายภูมินั้นเรียกได้ว่ามืดมิดเลยทีเดียว จะมีก็เฉพาะเดรัจฉานภูมิบางส่วนที่อยู่ทับกับมนุษยภูมิก็จะมีปรากฏการทางแสงสว่างอยู่ด้วย ในขณะเดียวกันในมนุษย์ภูมินั้นก็เป็นภพที่มีทั้งปรากฏการณ์ทางเเสงสว่างและความมืดปะปนกัน ส่วนฉกามาพจรภูมิพิภพทั้ง 6 นั้นจะเป็นปรากฏการณ์ของแสงสว่างในแสงสว่างกันเลยทีเดียว พ้นจอมเขาพระสิเนรุราชอันเป็นที่ตั้งสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ อำนาจแห่งแสงของสุริยจันทร์ก็ไปไม่ถึงเสียแล้ว ที่ว่าเป็นปรากฏการณ์ของเเสงสว่างในแสงสว่างนั้น เพราะเทพยดาเเต่ละพระองค์จะมีแสงสว่างอยู่ในตนเองเจิดจ้าอยู่สม่ำเสมอเขามีสิ่งที่เรียกว่ารังสีหรือรัศมีจากกายของเขาซึ่งรัศมีนี้จะให้สว่างไปทั่วทั้งจักรวาลได้หมื่นจักรวาลก็จะสว่างไปถ้วนทุกแห่ง ดังนั้นในพิภพของสวรรค์ทั้ง 6 จึงเป็นปรากฏการณ์ของแสงสว่างที่อยู่ในแสงสว่าง โดยการซ้อนเข้าไป เรียกได้ว่าซ้อนกันลึกมากพอดูทีเดียว

    2. รูปภพ พิภพนี้อาจจะเข้าถึงยากซักหน่อย เป็นภพของผู้ที่อยู่ในรูปฌาน เรียกง่ายให้เข้าใจ คือเป็นพิภพของพระพรหม แต่เป็นรูปพรหม มีทั้งหมด 16 ชั้น คนที่อยู่ในสวรรค์ชั้นพรหมทั้ง16ชั้นนี้ อยู่ภายใต้กฏเดียวกัน คือ ไม่เสวยอารมณ์ทีอยู่ภายใต้การครอบงำแห่งกาม ซึ่งเเต่ละชั้นใน 16 ชั้นนั้น จะมีหนักเบาอย่างไรก็เป็นกฏของเเต่ละพิภพ สวรรค์เเดนพรหมนี้จะว่าใกล้ก็ใกล้เเค่ใจเอื้อมถึง จะว่าไกลก็ไกลเเบบวัดระยะปีเเสงกันไม่ได้ พ่ออาจารย์ท่านว่าหากเหล่ามนุษย์หรือเทพยดายังติดอยู่ หลงวนเวียนอยู่ในการเสพย์กามคุณทั้ง5 มี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสภายใต้การครอบงำแห่งฉันทะคือความพอใจ ก็อย่าไปหมายหรือคิดฝันว่าจะเห็นหน้าตาของรูปภพทั้ง 16 ชั้นเหล่านี้
    มนุษย์บางคนมีความปรารถนาเเรงกล้าไปทำบุญไปอธิษฐานที่ไหนก็ขอให้ได้ไปเกิดเป็นพรหม ซึ่งพรหมนั้นอาศัยอยู่ในรูปภพ จึงเป็นเรื่องที่ดูน่าตลก เเละคนประเภทนี้ต่อไปก็จะถูกกฏเกณฑ์แห่งธรรมชาติลงโทษตัวเขาอย่างเเน่นอน เพราะการจะเข้าถึงความเป็นพรหมอยู่ในรูปภพนั้นไม่ใช่ผลที่ได้จากการอธิษฐานใดๆ แต่ต้องเป็นผลจากการปฏิบัติคุณธรรมที่ขัดเกลาตนเองเท่านั้น คือท่านทั้งหลายต้องมีคุณธรรมพอที่จะเป็นเทวดาในฉกามาพจรภูมิทั้ง 6 เเต่ละชั้นก่อน เเล้วก็ไล่ๆขึ้นไป มนุษย์ก็เช่นเดียวกับเทวดา ที่พยายามขัดเกลาคุณงามความดีของตนให้สูงขึ้นเพื่อจะได้เลื่อนขึ้นไปอยู่ในพิภพที่สูงยิ่งๆขึ้นไป
    ซึ่งก็จะมีมนุษย์และเทพยดาบางจำพวกเท่านั้นที่คิดจะเสวยผลบุญให้หมดโดยไม่รู้จักการขัดเกลาคุณธรรมหรือบำเพ็ญบารมีอะไรเพิ่มเติม สิ่งมีชีวิตเหล่านี้น่าสงสารนัก เพราะเขานำตัวเองให้ตกต่ำลงสู่จตุรบาย ชีวิตของคนเหล่านั้นได้ชื่อว่าตกไปอยู่ในความมืดเสียแล้ว ถูกความมืดตัดตอนปิดหูปิดตาปิดใจปิดความรู้สึกให้พระสัทธรรมนั้นเลือนหายไปจากความเห็นผิดชอบชั่วดี
    ในพิภพของรูปภพ มีสวรรค์ชั้นพรหมรวมอยู่ 16 ชั้น พวกเธอจำไว้นะว่า 16 ชั้นนี้มิได้รวมกันเเต่ถูกจัดแบ่งออกเป็น 3 หมวดหมู่ใหญ่ ท่านว่าตั้งแต่พรหมปาริสัชช์ไปถึงเวหัปผลา จะมีทั้งหมด 10 ชั้น จะเรียกรวมกันว่าโลกรูป เป็นโลกของคลื่นและเเสงสว่าง พรหมในที่นี้จะติดต่อสื่อสารกันไวยิ่งกว่าสัญญาณโทรศัพ์เสียอีก การเข้าถึงพรหมพิภพนี้นั้นพ่ออาจารย์ท่านว่าเหมือนหาแสงสว่างในแสงสว่างที่อยู่เหนือแสงสว่างในโลกแห่งกามคุณ
    ประเภทที่ 2 อันนี้จะโดดเดี่ยวอยู่ชั้นเดียว เรียกว่าชั้นอสัญญีสัตว์ หรือที่เราๆรู้จักและเคยได้ยินกันว่าพรหมลูกฟัก จะอยู่บำเพ็ญคุณธรรมในเเบบรูปลูกฟักนิ่งๆอยู่เช่นนั้น
    ประเภทที่ 3 กลุ่มที่ 3 นี้สำคัญมาก เป็นพิภพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเสียจริงๆ เพราะรวมไว้ถึง5สวรรค์ชั้นสูงสุดในรูปพรหม ตั้งแต่อวิหาไปจนถึงอกนิฏฐา เราจะเรียกรวมกันสั้นๆว่าปัญจสุทธาวาสมหาพรหม นี่จำไว้นะมหาพรหมทั้งหลายจะอยู่กันตรงนีั มีท้าวสหัมบดีพรหมเป็นผู้นำสูงสุด เป็นดินแดนของวิสุทธิ์เทพหรือมนุษย์ชั้นสูง ผู้ที่จะมาอยู่ในพรหมสุทธาวาสนี้จะต้องมีคุณธรรมระดับพระอนาคามี เเม้เป็นมนุษย์ก็ต้องเป็นพระอนาคามีละสังขาร แม้เป็นเทพเจ้าก็ต้องได้ธรรมระดับอนาคามี ถึงจะถูกเลื่อนขึ้นมารวมอยู่ในปัญจสุทธาวาสมหาพรหม พ่ออาจารย์ท่านว่าแม้เเต่พระอินทร์องค์ปัจจุบันท่านก็ยังปรารถนาเเละต้องการให้ภพชาติที่เหลือของท่านเข้ามาสู่ความเป็นพรหมในชั้นปัญจสุทธาวาสนี้เลย ซึ่งสวรรค์ชั้นปัญจสุทธาวาสมหาพรหมนี้พ่ออาจารย์ท่านบอกว่าถือว่าอยู่ใกล้พระนิพพานมากที่สุด เป็นแดนของเทพเจ้าที่ทรงสถานภาพระดับเดียวกันกับแดนของพระอรหันต์เลยก็พูดได้

    3.อรูปภพ เป็นพิภพของสัตว์ที่เข้าถึงอรูปฌาน ชั้นนี้จะไม่เสวยอารมณ์ของการครอบงำแห่งกามคุณและของรูปฌาน ซึ่งเราจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆว่าอรูปพรหม แบ่งออกเป็น 4 ภพภูมิ
    พ่ออาจารย์ท่านบอกว่า ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็จะเรียกพวกเขาว่า มหาพรหมไร้รูปลักษณ์ คือเขาไม่มีรูปลักษณาการใดๆให้จับต้องได้เลย ผู้ที่จะเข้าไปถึง ไปอาศัยอยู่นั้น ก็จะกินระยะเวลาที่ยาวนานมากๆจนไม่สามารถบรรลุพระนิพพานได้ ซึ่งการเข้าถึงอรูปพรหมทั้ง 4 นี้ พ่ออาจารย์ท่านว่าก็มาจากมนุษย์เราอีกนั่นแหละ เป็นผลของการทำโยคะ การฝึกอบรมทางจิตที่เรียกว่าอัญชาสมาบัติ เป็นโลกทิพย์ของเหล่ามหาฤาษีผู้บรรลุฌานเเละสมาบัติขั้นสูงสุดทั้งในเเละนอกพระพุทธศาสนา แบ่งเป็น 4 ชั้น คือ
    - อากาสานัญจายตนะ
    - วิญญาณัญจายตนะ
    - อากิญจัญญายตนะ
    - เนวสัญญานาสัญญายตนะ
    ซึ่งอัญชาสมาบัตินี้เหมือนเป็นการปฏิบัตต้องห้าม ที่จริงมันก็ไม่ได้ห้ามอะไร แต่การเข้าไปอยู่ในมหาพรหมไร้รูปทั้ง 4 นี้มันกินเวลายาวนานมาก มากมายนักหนา มากมายเกินไป ชนิดที่เราระลึกไม่ได้เลยทีเดียวว่ามันจะกี่ล้านล้านล้านปีมนุษย์ เทพยดาทั้งหลายทั้งมนุษย์ มหาเทพ เเละรูปพรหมท่านจึงปรารถนากันให้หยุดไว้ที่เเดนปัญจสุทธาวาสมหาพรหมเเละรอเข้าพระนิพพาน และไม่ล่วงเลยเเละเหยียบย่างก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งมหาพรหมไร้รูปอย่างเด็ดขาด เพราะเเม้เเต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ไม่สามารถมาโปรดสอนได้

    พ่ออาจารย์ท่านว่าโครงสร้างหลักใหญ่ๆของพิภพทั้ง 3 นั้น มันไม่ได้เกิดจากการดลบันดาลของเทพเจ้าที่ไหน เเต่มันเป็นโครงสร้างที่ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับระดับคุณธรรมในจิตใจของสิ่งมีชีวิตตามพิภพต่างๆ และก็แบ่งเเยกชีวิตความเป็นอยู่เเละการเรียกหาแตกต่างกันไป

    วันนี้เห็นว่ายาวเเล้ว ถ้าเบื่อก็กดไม่ถูกใจไว้ได้เลยถ้าชอบอ่านก็ให้กำลังใช้ไล๊ค์ไว้บ้าง ถือว่าเป็นเกล็ดความรู้เล็กๆ ที่จะค่อยๆนำมาป้อนมานำเสนอไปเรื่อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...