แจ้งการโอนเงินคับ
ร่วมทำบุญบูชา นัยน์ตาพระธรณีเจาะจำเพาะมหาถอดแสนมนต์(องค์ปฐมเปลื้องผ้ากาสา) พ่ออาจารย์พล
ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.
หน้า 9 ของ 459
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
-
อยากไปกราบพ่ออาจารย์ ไม่ทราบว่าท่านอยู่แถวไหนครับ
-
-
-
ของที่ระลึก
วันนี้ก็จะเล่าเรื่องเเปลกๆให้ฟัง อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวผมที่เวลาไปไหว้พระเจดีย์ของสมเด็จวังหน้าเจ้าฟ้าธรรมมาธิเบศร์กับท่านทีไรต้องได้ไข้กลับมาทุกครั้ง
จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อไปถึงก็ยังเเข็งเเรงปกติ พอไปกราบท่าน ก็เลยเอามือตบฐานพระเจดีย์บอกกล่าวพูดคุยกับท่านแล้วรู้สึกมีลมเเรงๆวูบหนึ่งปะทะเข้ามาที่หน้าเราเองทำให้รู้สึกดีมาก ก็เลยเดินรอบๆพระเจดีย์มองนั่นมองนี่
ทางพ่ออาจารย์ท่านก็ปักธูปเสร็จ ก็ยืนสงบอยู่ตรงนั้นก่อนเดินกลับท่านก็หยิบของสิ่งหนึ่งตรงเจดีย์ขึ้นมา เเล้วบอกว่ากลับกันได้เเล้ว ฟ้าท่านให้เท่านี้นี่คือของวิเศษที่ท่านเตรียมไว้ให้
แล้วท่านก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ บอกเเต่ว่าให้เก็บไว้นี่เเหละดียิ่งกว่าดี พอกลับจากเจดีย์ของท่านก็รู้สึกปวดศรีษะเเต่ไม่มากขึ้นมาทันที ก็นับเป็นเรื่องแปลก
1. เราเดินรอบเจดีย์เห็นว่าทุกสิ่งเหมือนโดนเก็บโดนทำความสะอาดไป ทั้งตุ๊กตาหญิงชายบริวารพวงมาลัย ดอกไม้ต่างๆ ช้างม้าต่างๆเครื่องสักการะที่มีคนนำมาถวายที่เคยเห็นโดนเก็บไปจนหมดเกลี้ยง แต่แปลกที่ก้านธูปที่พวกเราจุดปักกันไว้ครั้งก่อนกลับยังอยู่ที่เดิมไม่มีใครเก็บทิ้งนอกนั้นโดนเก็บเหี้ยนทีเดียว
2. เจ้าก้อนกลมๆนี้ เราเดินดูรอบเจดีย์วนเล่นหลายรอบกลับมองไม่เห็น เเต่พ่ออาจารย์ท่านยืนทำสมาธิเพ่งจิตของท่านเเล้วก็เดินเข้าไปหยิบมา ปกติเราจะตาไวช่างสังเกตุ ก็นับว่าแปลกที่เรามองเเล้วเเต่ไม่เห็นเเม้เเต่คณะที่ติดตามไปด้วยก็ไม่มีใครพบเจอทั้งๆที่วางไว้เด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้าพ่ออาจารย์ท่าน
3. แปลกที่มีลมวูบหนึ่งปะทะเข้าหน้าเราอย่างจังหลังจากบอกกล่าวพูดคุยกับท่านเเล้ว เป็นลมที่รู้สึกสดชื่นทำให้เรารู้สึกหายเหนื่อยในพริบตา เหมือนเวลาเราเหนื่อยได้กินน้ำเเล้วรู้สึกดีเเบบนั้น ผมก็ถือว่าท่านต้อนรับเราเต็มที่ในแบบของท่าน
ธาตุเนรมิตของเสด็จวังหน้านี้ท่านก็จะเก็บไว้บูชา ก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลกๆที่ได้ประสบพบมากับตัว หลังจากกลับมานอนก็ฝัน แต่ขอไว้ว่าจะไม่เล่าเพราะเป็นความฝันส่วนตัวถึงพระองค์ท่าน ที่เราเรียกท่านให้ตามกันกลับมาไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ขอรบกวนสอบถามหน่อยครับ
ไม่ทราบว่าองค์พระมีขนาดเท่าไหร่ครับ (กว้าง * ยาว * หนา)
ขอบคุณครับ -
-
ผมจะบูชาเพื่อนำไปห้อยคอครับ อยากรบกวนท่านอาจารย์พ่อพลเน้นเรื่องโชคลาภใหญ่กับเสน่ห์เมตตามหานิยม มีชื่อเสียงแบบเด่นดังแรงๆด้วยครับ
ขอบคุณครับ -
สวัสดีครับ
ขอบูชาตะกรุดมหาสะท้อน 1 ดอกครับ
ขอบคุณครับ -
ของสั่งจอง
สำหรับท่านที่สั่งจองไว้เเละยังไม่ได้ส่งให้ท่านเสกถึงสิ้นเดือนก็จะมีอีกสองท่านเป็นเนื้อไม้ช่อฟ้าเเกะ เห็นว่างดงามดีเลยนำมาลงไว้ซึ่งท่านก็ทำให้ในขนาดห้อยคอตามคำขอ สามารถห้อยคอได้ใหญ่กว่าพระสมเด็จทั่วไปนิดหน่อย กำลังงาม ได้แก่
1. ศรีหริวิษณุเทพ
2. มหากาฬศิวะนาฏราชไฟล์ที่แนบมา:
-
-
-
กาลโอกาส
วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่พ่ออาจารย์ท่านได้ยกเรื่องกาลเเละโอกาสขึ้นมาพูด ก็เลยนำมาเล่าเป็นวิทยาทานกันไว้อีกคำรบหนึ่ง
คำว่ากาลในความหมายของท่านก็คือห้วงเวลา ซึ่งกาลเวลานั้นย่อมไหลไปไม่มีวันหวลกลับ แต่ทว่ากรรมอันได้กระทำไว้ในห้วงเวลาที่ต่างกันนั้น ย่อมจะเป็นสิ่งนำสนองตอบเบื้องหน้า
เป็นที่เข้าใจว่า การสนองตอบของกรรมนั้นจะมีทั้งดีเเละเลว บุคคลจึงไม่สามารถสมหวังในอะไรได้ทุกสิ่งเพราะกรรมที่ตนเองทำไว้ในอดีตนั้นย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อตนเองอยู่เนืองๆ
ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องสำคัญเเละควรทำความเข้าใจอย่างยิ่ง เนื่องจากกกรรมนั้นได้ผูกติดไว้กับกาลเวลาที่ล่วงไปเเล้ว เฉกเช่นนั้น เมื่อเวลาล่วงผ่านไปแล้วเราไม่สามารถย้อนเวลาได้ฉันใด กรรมทุกสิ่งที่กระทำไปแล้วจึงไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ฉันนั้น ตราบใดที่มนุษย์ยังย้อนมิติแห่งกาลเวลาไม่ได้ก็ไม่สามารถเเก้ไขสิ่งที่ทำไปแล้วในอดีตได้นั่นเอง
เมื่อกรรมได้ผูกเข้ากับกาลเวลา จึงทำให้กฏแห่งวัฏฏสงสารสามารถเเยกเเยะได้ว่าอะไรคือกรรมที่กระทำก่อนหรือหลัง เเล้วกรรมนั้นก็จะส่งผลสนองตอบกับผู้กระทำไม่มีเเยกเเยะหนักเบาเฉกเช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อถูกกรรมสนองเเล้วกรรมก็จะทำงานตามวาระในการชดใช้กรรม
สมมติมีแก้วน้ำอยู่หนึ่งใบ มีตะกอนอยู่ในแก้ว แม้จะเติมน้ำมากเท่าไหร่ตะกอนก็ยังอยู่ในแก้วเช่นเดิม ดังนั้นสิ่งที่จะหยิบตะกอนออกจากแก้วได้ก็คือรอให้กรรมนั้นประจวบเหมาะกับกาลเวลาเเละส่งผลนั่นเอง
สาเหตุที่พ่ออาจารย์ท่านยกเรื่องนี้มากล่าว เพราะท่านมีนิมิตรถึงเทพองค์หนึ่งได้มาหาท่าน ซึ่งเป็นเทพที่บำเพ็ญบารมีมายาวนานให้การช่วยเหลือมนุษย์มามากกว่ามาก แต่สิ่งที่เทพท่านกล่าวก็คือเราไม่สามารถช่วยเหลืออะไรใครได้ ถ้าสิ่งที่ขอมันทำให้ไม่ได้ เช่นคนหนึ่งคนขอให้ตนถูกหวยรางวัลที่1และในวันเดียวกันนั้นก็มีคนขอเช่นนี้ร้อยคน กว่าหวยจะออกมีคนขอท่านเสียเเต่เท่าไหร่ ก็คล้ายๆกับท่านมาปรับทุกข์เเละบอกกล่าว ซึ่งเรื่องนี้พ่ออาจารย์ได้พิจารณาเเล้ว ผู้ที่ขอองค์เทพทั้งหลายเวลาไปไหว้พระบนบานอะไรอธิษฐานกับท่าน ถ้าจิตเราถึงท่านรับรู้ท่านก็มีเวรของท่านที่จะต้องช่วยเหลือ หมายถึงช่วยไปตามลำดับขั้น ทีนี้ถ้าบุคคลใดอยู่ในช่วงเผชิญสภาวะกรรมอันหนักหน่วงอันเกิดเเต่กฏแห่งกรรมอยู่ เทพเจ้าก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ สิ่งที่จะปลดเปลื้องความทุกข์เหล่านี้ได้นั้นย่อมจะมาจากบารมีเเละพลังเเห่งวิถีของวิปัสนาญาณในภพภูมิพระอริยเจ้าเท่านั้น
ซึ่งทั้งนี้หากอยู่ในวาระกรรมดีเเสดงผลอยู่ เมื่ออธิษฐานเเละท่านรับรู้เเล้วนั่นย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่ท่านเหล่านั้นจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ทำให้เข้าใจได้อีกอย่างหนึ่งว่าองค์เทพทั้งหลายเหล่านี้ ท่านรักเเละเป็นห่วงมนุษย์ทั้งหลายมากจริงๆ ไม่ใช่รอแต่จะเสวยผลบุญอันตัวเองได้กระทำไว้เมื่อตายไป หากแต่ยังคอยตามช่วยเหลือมนุษย์ยามมนุษย์มีความทุกข์เเละออกปากขอร้องท่านด้วยความรักและความหวังดี ถึงขนาดที่มนุษย์ก็ยังทำให้เทพเจ้าเป็นกังวลได้ในหลายๆคำขอนั่นทีเดียว
จะเห็นได้ว่าทุกอย่างต้องรอตามกาลเวลาในแต่ละวาระของกรรมซึ่งสิ่งนี้ตัวของเเต่ละท่านเองคือผู้ขีดเขียนเเละลิขิตไม่ใช่พระพรหมที่ไหน เมื่อสบช่องทางเเละมีโอกาสเข้าเสริมการช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมเป็นไปได้อย่างราบรื่น
เช่นเดียวกับการเเสดงธรรมของพระพุทธเจ้าที่จะเลือกโปรดบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ต้องรอกาลและโอกาสให้บรรจบกันเพื่อยังความสำเร็จในการบรรลุสัจธรรมเเก่บุคคลเหล่านั้น ซึ่งกาลเวลานั้นได้ขัดเกลาบุคคลนั้นๆมาดีเเล้วนั่นเอง
ดังนั้นเเล้วจะเห็นได้ว่ากาลเวลาอันยิ่งใหญ่นี้ไม่สามารถจะมองข้ามได้เลย หากมนุษย์ที่ยังวนเวียนอยู่ในโลกีย์วิสัยทั้งหลายอยากประสบความสำเร็จให้หลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร ก็เห็นว่าจะมีเเต่วิถีทางของวิปัสนาญาณเท่านั้นที่จะช่วยเหลือเเละยึดถือได้ซึ่งวิปัสนาญาณสามารถลดทอนกรรมจากหนักเป็นเบาได้ชะลอกรรมเก่าเร่งกรรมดีให้ส่งผลได้ ท่านก็อยากจะฝากเอาไว้ให้ได้ขบคิดกัน เพราะชีวิตมนุษย์นี้สั้นนัก วันๆหนึ่งได้ล่วงผ่านไปเเล้ว เราจะอยู่ได้อีกกี่วัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เราควรอบรมสติเเละความรู้สึกนึกคิดของเราให้ถึงพร้อมด้วยองค์สามคือทาน ศีล และภาวนา ละเว้นอคติคิดชั่วใช้ปัญญาเป็นบ่อเกิดเเห่งศรัทธาเเละพิจารณาทุกสิ่งให้ถึงพร้อมทั้งในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด -
ผี พราย
นับเเต่อดีตจวบจนปัจจุบันนั้น เป็นเรื่องที่ได้รับทราบเเละได้ยินกันสืบมาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องภูติ ผี วิญญาณเเละชีวิตหลังความตาย
จากรุ่นปู่ย่าตาทวดที่ได้เล่าขานถึงความเฮี้ยนเเละสยองขวัญถึงวิญญาณตายโหงตายไม่ดี ที่ออกมาหลอกหลอนผู้คนเเม้ตอนกลางวันแสกๆยังเข็นโลงศพขวางทางเดินก็มี ยิ่งตอนกลางคืนไม่ต้องพูดถึงว่าจะเฮี้ยนขนาดไหน
แต่ทว่า ณ.ปัจจุบันนี้ แม้เเต่สถานที่ ที่ว่าเคยเฮี้ยนจนเป็นตำนานหลายๆแห่งยังเงียบกริบ และการออกมาหลอกหลอนก็ไม่ได้น่าสยดสยองขนลุกขนพองเเบบที่รุ่นบรรพบุรุษทั้งหลายเคยเจอและประสบกันมา จนทำให้คนมักจะมองว่ากลายเป็นเรื่องเล่าไร้สาระที่คนรู่นปู่ย่าเเต่งเอาไว้หลอกเด็กเสียเเล้ว
ได้มีโอกาสถามเเละขอคำอธิบายกับพ่ออาจารย์ในเรื่องความเฮี้ยนของวิญญาณสมัยนี้ ทำไมปัจจุบันนี้จึงสู้ดอีตไม่ได้ ทั้งที่เวลาเเค่เกือบๆ50ปีเเต่ทำไมกลับต่างกันฟ้ากับดิน
พ่ออาจารย์ได้เล่าอธิบายไว้ว่า เรื่องนี้จะโทษสิ่งใดไม่ได้ ถ้าจะหาสาเหตุก็ต้องมองดูที่ความเสื่อมของจิตใจมนุษย์เเละความเจริญตลอดจนวิวัฒนาการของโลกเป็นเหตุ ในอดีตกาลนั้น อย่าว่าเเต่ผีสางเลย แม้กระทั่งเทวดามนุษย์ก็สามารถมองเห็นได้ ผู้ที่ฝึกกสิณเล่นฤทธิ์ทำตัวให้เป็นกายสิทธิ์ก็สามารถเหาะเหินเดินไปในห้วงอากาศได้เเม้เเต่มิติต่างๆก็ยังสามารถจะรับรู้เเละเชื่อมต่อถึงกันได้ ยิ่งย้อนกาลเวลาไปมากเท่าไหร่ ความสงบก็มีมากเท่านั้น เเต่กลับกันเมื่อเวลาผ่านไปมนุษย์มีความสะดวกสบายมากขึ้น มีวิวัฒนาการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทำให้มนุษย์มุ่งเเสวงหาทฤษฏีใหม่ๆมาสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นแต่ในมุมต่างนั้นสภาวะจิตกลับโดนบั่นทอนประสิทธิภาพลงรุ่นต่อรุ่นสืบทอดกันมายาวนานนักหนา จนกระทั่งมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นเทวดาได้อย่าว่าไปถึงภูติผีเลย แม้เเต่ในปัจจุบันเกิดมีใครเห็นเทพยดาคนโดยรอบก็คงมองเขาเป็นคนโรคจิตหรือประสาทกลับ เพราะเห็นในสิ่งที่ตัวเองมองไม่เห็น ที่ผู้ปลีกวิเวกจนบรรลุคุณธรรมตามลำดับขั้นก็ไม่สามารถเเสดงฤทธิ์ได้เหมือนเฉกเช่นเเต่ก่อน ด้วยถูกกฏเกณฑ์แห่งธรรมชาติเเละยุคสมัยที่เหลื่อมล้ำกันตีกรอบไว้
มนุษย์จะต้องทำความเข้าใจให้หนักว่าเมื่อได้สิ่งใดมาสิ่งหนึ่งก็ย่อมเสียสิ่งหนึ่งไปแทนที่ จะให้คงอยู่คู่กันสถาพรนั้นมิได้ เมื่อมีความเจริญทางกายภาพเข้ามาก็ย่อมเสียความก้าวหน้าอันเกิดเเต่ฤทธิ์ทางใจไป ยิ่งมีไฟฟ้า มีความสว่าง มีเเสงสี มีเสียงอันดังเเม้ในเวลาค่ำคืน สิ่งเหนือธรรมชาติทั้งหลายย่อมจะไม่อยู่ในที่เหล่านั้น เค้าจะหาที่ใหม่ที่เค้าควรอยู่ภพภูมิใหม่ที่เค้าควรอาศัย จะไม่ออกมาอยู่ปะปนกับมนุษย์เราเฉกเช่นสมัยก่อน เปรียบง่ายๆกับการที่ให้ตัวเราเองเคยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งอยู่ดีๆมีคนมาเปลี่ยนเเปลงบ้านเราเสียหมด เอาไอ้นั่นเข้ามา เอาไอ้นี่ออกไป เปิดไฟให้สว่าง เปิดอะไรเสียงดังเช่นนี้เป็นต้น เราย่อมจะรำคาญเเละทนไม่ได้ เขาเหล่านั้นก็เช่นกัน เขาย่อมออกไปของเขาเองเพราะความเจริญที่เข้ามาเเทนที่สิ่งเหล่านี้ พร้อมกับมนุษย์เองไม่ได้คำนึงถึงเขตแดนที่ก้ำกึ่งของการอาศัยอยู่ร่วมกัน เมื่อเราไม่ได้ให้ความสนใจใส่ใจเขา เขาก็ย่อมจากไปเช่นนี้เป็นต้น
จะกล่าวได้ว่าความรู้จากปู่ย่าเเละรุ่นบรรพบุรุษนั้นไม่ใช่เรื่องผิดหรือเป็นสิ่งโกหกเลย หากเเต่มนุษย์นั้นไม่พึงใจเชื่อในสิ่งที่ไม่เห็น ก็เช่นเดียวกันหากย้อนอดีตได้คนสมัยนั้นก็คงจะไม่เชื่อว่าทุกวันนี้จะมีโทรศัพท์ รถยนตร์ น้ำประปา ไฟฟ้าเเละสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ถ้าเอาไปเล่าให้เขาฟังคนผู้นั้นคงเป็นคนเพ้อเจ้อและมีอาการทางจิตเเน่นอน
ในสมัยก่อนมนุษย์อยู่ร่วมกันกับธรรมชาติไม่เบียดเบียนธรรมชาติมากเกินไป รู้คุณของธรรมชาติเเละทำตัวเองให้เข้าถึงธรรมชาติ มีเเค่พออยู่พอกินพอดำรงค์ชีวิตจึงรักษาสมดุลย์ของภพเเละมิติต่างๆเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง หากเเต่สมัยนี้มีการทำลายธรรมชาตินำธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันมากเกินกว่ามาก ทั้งโดยตรงเเละการแปรรูปต่างๆ ถึงเเม้กระนั้นมนุษย์ก็ยังไม่ได้รู้คุณของธรรมชาติเฉกเช่นคนสมัยก่อน อาจจะกล่าวได้ว่าเเม้บูรพกษัตริย์ในสมัยโบราณ คนที่อยู่จุดสูงสุดของอาณาจักรเป็นเจ้ามหาชีวิตก็ยังไม่สามารถจะสัมผัสหรือรับรู้ได้ถึงความสะดวกสบายแบบที่คนธรรมดาในระดับประชาชนคนหนึ่งของยุคสมัยนี้ใช้ชีวิตกัน
ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเเต่ดำเนินไปตามกฏเกณฑ์แห่งวัฏฏสงสารและปรับเปลี่ยนสมดุลย์ให้เข้ากับตัวมันเองตามความเสื่อมถอยในเเต่ละยุคสมัย ซึ่งมนุษย์ควรจำใส่ใจไว้ด้วยว่ายุคเเห่งความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการนี่แหละที่เค้าเรียกกันว่ากลียุค เป็นยุคที่ศีลธรรมตกต่ำถึงขีดสุดเเละยังจะมีพัฒนาการให้ดิ่งลงเหวมากขึ้นไปในทุกๆวัน อย่าได้ลำพองใจกับความสบายที่อยู่เหนือธรรมชาติอันเกิดเเต่วิทยาการทั้งหลาย เพราะซักวันหนึ่งที่รู้สึกตัวธรรมชาติอาจจะไม่ได้เป็นเพื่อนที่ดีของคุณอีกแล้วก็เป็นได้ -
เครื่องราง
วันนี้จะนำเนื้อหาความรู้ที่พ่ออาจารย์ได้จดและถ่ายทอดเอาไว้มานำเสนอต่อไป
เรื่องที่จะพูดถึงในวันนี้ก็คือเรื่องเครื่องรางนั่นเอง ซึ่งเราจะมาทำความเข้าใจกับคำว่าเครื่องรางในบริบทของพ่ออาจารย์กัน
คำว่าเครื่องรางนั้นปรากฏขึ้นมานานมาก เเรกเริ่มอาจจะไม่ได้เรียกชื่อนี้ เพราะมนุษย์มีความเชื่อในเรื่องของโชคชะตา และมนุษย์ก็มีความหวังเเละเเสวงหาความเจริญก้าวหน้าให้กับตนเอง ดังนั้นมนุษย์จึงมีศรัทธาต่อสิ่งที่เหนือธรรมชาติทั้งหลาย
เมื่อมีศรัทธาก็ปรารถนาที่จะไขว่คว้าพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์มาไว้กับตัว การกำเนิกของเครื่องรางจึงเกิดขึ้น แรกเริ่มเดิมทีเครื่องรางนั้นก็เป็นเพียงก้อนหินหรือลูกไม้ต่างๆ นานวันเข้าก็เริ่มจะเเสวงหาก้อนหินที่มีลักษณะเป็นมงคลเเละลูกไม้ที่มีลักษณะเป็นมงคล แล้วก็เกิดวิวัฒนาการเปลี่ยนเเปลงตามยุคสมัยและวัฒนธรรมความเชื่อของเเต่ละท้องถิ่น มีการเพิ่มและปรุงเเต่งจนกลายมาเป็นเครื่องรางในยุคปัจจุบัน
ซึ่งเครื่องรางนั้นอาจจะผูกขึ้นด้วยพระเวทย์เเละอำนาจทางจิตของผู้สร้างเเต่ละบุคคล โดยที่มีเป้าหมายให้ผู้นำไปใช้พบเจอเเต่สิ่งที่ดีงาม ก่อนจะจำเเนกลงไปตามรายละเอียดเเละพระเวทย์แต่ละด้านให้ปรากฏอิทธิคุณตามเเนวทางไสยศาสตร์ต่อไป
แต่เเรกเริ่มนั้นเครื่องรางจะเป็นสิ่งที่เพิ่มกำลังใจให้เเก่มนุษย์ มนุษย์จะใช้เครื่องรางเสี่ยงทายก่อนออกไปจากที่อยู่เพื่อจะรู้เหตุการณ์ลางร้ายหรือลางดีต่างๆ เเละโดยวิวัฒนาการของตัวเครื่องรางเอง เมื่อมนุษย์สามารถติดต่อกับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติได้ เเละเรียนรู้พระเวทย์ต่างๆ มีการปฏิบัติที่ลึกซึ้งเข้าใจกฏเเละวิถีเเห่งธรรมชาติ มนุษย์ก็ได้เพิ่มอำนาจเเละคุณวิเศษให้กับเครื่องรางเหล่้านั้น โดยรจนาคาถาอาคมต่างๆวางกำหนดกฏเกณฑ์รูปแบบต่างๆขึ้นมาตามความเชื่อเเต่ละท้องถิ่น และจำเเนกแตกแขนงออกไปตามอิทธิคุณด้านต่างๆ
อันเครื่องรางเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นมาเเล้ว มนุษย์ที่ได้ครอบครอง ก็มักจะนำติดตัวไว้เสมอ มีความหมายตรงตัวคือสิ่งอันเป็นมงคลที่ผูกขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง และเมื่อเกิดปรากฏการณ์ที่เด่นชัดก็มีการบันทึกไว้เเละสอนสั่งสืบต่อกันมากลายเป็นวิชาสร้างเครื่องมงคลทั้งหลาย
ซึ่งเครื่องรางนั้นจากบริบทเดิมที่พกไว้จะนำโชคดีมาสู่ผู้ถือครองก็กลายเป็นปนเปไปกับความเชื่อมีการเพิ่มอิทธิคุณด้านต่างๆลงไป เมื่อมองโดยทั่วเเล้วจึงแบ่งได้ออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆชัดเจน
1. เครื่องสูง (สายขาว)
2. เครื่องต่ำ (สายล่างมนต์ดำ)
โดยเครื่องรางทั้งหลายเหล่านี้จะถูกแบ่งออกตามคุณลักษณะที่นำไปใช้ เช่นเป็นเครื่องรางที่ใช้เพื่อทำลายศัตรูก็มี เป็นเครื่องรางที่ใช้สาปแช่งก็มี เป็นเครื่องรางที่ใช้ดึงจิตให้ลุ่มหลงฝังรูปฝังรอยก็มี ตรงกันข้ามกับเครื่องรางอีกประเภทหนึ่ง ที่ใช้เพื่อดึงสิ่งที่เป็นมงคลเเละโชคดีมาสู่ผู้ครอบครอง ให้มีโชคลาภประสบความสำเร็จ ได้เจอเนื้อคู่ที่ดี ได้พบเเต่สิ่งที่ดีงาม
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป กาลเวลาเเละวิวัฒนาการได้เข้าครอบงำสิ่งต่างๆไม่เว้นเเม้เเต่วัฒนธรรมความเชื่อ ดังนั้นเครื่องรางทั้งหลายที่มีพัฒนาการในตนเองก็ได้เปลี่ยนไป จะคงเดิมก็เพียงเเค่ความบริสุทธิ์อันเกิดจากความเชื่อเเละเเรงปรารถนาของผู้ครอบครองเเละเเสวงหาเครื่องรางมงคลทั้งหลาย ที่ปรารถนาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ปรารถนาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเป็นกำลังใจแก่ตนเอง ซึ่งความเชื่อนี้ก็ตกทอดเเละสืบเนื่องกันมาตั้งเเต่ยุคบรรพบุรุษนั่นทีเดียว
ดังนั้นเมื่อจะเลือกเครื่องราง สิ่งเเรกที่ควรทำความเข้าใจให้หนัก ก็คือความต้องการเเละปรารถนาของตัวเองนั่นเอง -
ความสะอาด
วันนี้ก็จะนำความรู้ที่พ่ออาจารย์ได้เล่าเเละบอกกล่าวไว้มาถ่ายทอดเพิ่มเติม
ในครั้งนี้สิ่งที่เราจะมาพูดถึงกันก็คือเรื่องความสะอาด แต่ความสะอาดที่เราจะพึงพูดกันในครานี้ จะยังไม่ลงลึกไปถึงความสะอาดในระดับจิตใจ หากจะกล่าวเบื้องต้นแค่เรื่องความสะอาดทางร่างกาย
มนุษย์นี้ควรชำระร่างกายให้สะอาดอยู่เนืองๆ ความสะอาดในเบื้องต้นนี้นอกจากส่งผลกับการเข้าสังคมเเล้วยังรวมไปถึงผลที่เกิดกับภาวะเเวดล้อมอีกด้วย
เหนือสิ่งอื่นใดนั้นคือผลต่อร่างกายเราเอง จงจำไว้ประดับสติปัญญาเสมอว่า มนุษย์เรานี้มีเทวดาอยู่รักษากันทุกคน อย่างน้อยคนละ 1 องค์ ในชีวิตหนึ่งนั้นถ้าจะรู้ตัวช้าหรืออาจจะไม่รู้เลยก็เป็นได้ ทั้งนี้การทำหน้าที่ของเทพยดานั้นก็ขึ้นอยู่กับมนุษย์เองด้วย ว่าจะทำตัวให้น่าพิศมัยหรือควรถอยห่าง เพราะความเป็นทิพย์ของเทวดาทั้งหลายนั้น มีทิพยภาวะที่รุ่งเรืองกว่าของมนุษย์มากจนเราไม่อาจจะไปทำความเข้าใจท่านเหล่านั้นได้
พูดให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นก็คือหากมนุษย์เาเอาน้ำอบน้ำปรุงมาโชลมร่างกายได้ชื่อว่าหอมที่สุดในโลกเเล้ว สำหรับทิพยภาวะอันรุ่งเรืองทั้งหลายก็ยังถือว่าต่ำเเละน่ารังเกียจไม่น่าสมาคมคบหาด้วยอยู่ดี ทั้งนี้ความหอมความสะอาดที่เทวดาทั้งหลายพึงใจนั้นย่อมมาจากการปฏิบัติธรรมอบรมฝึกฝนตนเอง ทิพยกายทั้งหลายก็ย่อมจะได้กลิ่นความหอมเเห่งธรรมนั้นๆเหมือนผึ้งได้กลิ่นเกษรดอกไม้ทีเดียว
อันนี้ก็เป็นวิธีคร่าวๆเเละง่ายๆที่จะทำให้เทวดาทั้งหลายที่รักษาเราอยู่กับตัวเราไม่ห่างไปไหน ที่นี้เรื่องที่จะพูดก็คือความสะอาดภายนอก
เมื่อเทวดาอยู่กับตัวเเล้วท่านก็ย่อมเข้าประจำรักษาตามหน้าที่ของท่าน เราเองควรดูเเลร่างกายให้สะอาดแต่งตัวให้เรียบร้อย เรื่องความสะอาดร่างกายการอาบน้ำชำระสิ่งสกปรกนี้อย่าลืม จะขาดเสียไม่ได้ เราไม่ได้บำเพ็ญธรรมบารมีเเบบหลวงปู่หลวงพ่อที่จะไม่อาบน้ำทีสามเดือนสี่เดือนปีหนึ่งเเบบนั้น มันต่างกันที่สภาวะธรรมเเละความเหมาะสม
เมื่อร่างกายเราสะอาดดีเเล้วเทวดาเขาก็จะเข้ามารักษา การรักษาของเทวดานี่เราไม่จำเป็นต้องไปอาราธนาท่านว่าให้อยู่ตรงไหน เมื่อท่านเข้ามาเเล้วท่านจะสิงสถิตย์เเละยักย้ายปรับเปลี่ยนตำแหน่งของท่านเอง
กล่าวคือในระยะเวลาระหว่างตอนเช้านั้น เทวดาก็จะอยู่ในจุดสูงสุดก็คือสถิตย์อยู่บริเวณใบหน้าของเรา พอถึงช่วงเที่ยงวัน ก็จะเคลื่อนคล้อยถอยองค์ลงมาอยู่บริเวณหน้าอก พอตกเย็นจนค่ำก็จะพลัดลงมาอยู่ที่เท้า
เมื่อเทวดาสถิตย์อยู่ตรงจุดไหนเค้าจะนิยมเรียกกันว่าราศีอยู่บริเวณนั้น ดังนั้นเพื่อบูชาเทวดาที่รักษาร่างกายของเราเอง ในตอนเช้าเราจึงนำน้ำสะอาดมาล้างหน้าของเรา พอถึงตอนเที่ยงวันเราควรหาน้ำหอมหรือสิ่งที่มีกลิ่นสะอาดเเละบริสุทธิ์มาประพรมที่น่าอกของเรา พอตกเย็นก็ให้หาน้ำสะอาดมาล้างเท้าของเราอย่าให้สกปรก
เมื่อบุคคลใดก็ตามมีเทวดาประจำตัวเข้ารักษาเเล้ว เทพเจ้าก็จะยักย้ายปรับเปลี่ยนราศีในเวลาต่างๆตามร่างกายของมนุษย์ ในระว่างที่เทวดาท่านยักย้ายเข้าสู้ตำเเหน่งใหม่นั้นอาจเป็นเหตุให้เกิดอาการธาตุวิปริตได้เเต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายเเรงอะไร ไม่ต้องกังวลใจหรือคิดมากเเต่อย่างใด
บุคคลใดก็ดีมีเทวดาประจำตัวรักษาเเล้ว เเละเขาผู้นั้นดูแลเทวดาประจำตัวของตนเองตามที่เเนะนำไว้ในสามช่วงเวลา เขาจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีสง่าราศีจับ เป็นคนที่คิดจะทำการณ์สิ่งใดก็สำเร็จโดยง่าย เพราะเทพยดานั้นท่านย่อมบันดาลให้เป็นไปเเม้เราจะไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ตาม
วันนี้ก็มาพูดถึงเรื่องความสะอาดภายนอก ก็ชี้แจ้งเรื่องเล็กๆให้ทราบเเล้วว่าสมควรจะปฏิบัติตัวกันอย่างไร เป็นเรื่องที่ใครก็ทำได้เเละสมควรทำเป็นประจำให้ชินเป็นกิจวัตร นอกจากจะเป็นการดูแลตัวเองเเล้ว ยังเป็นวิธีที่ช่วยให้ตัวเองได้ดีแบบง่ายๆอีกด้วย -
โอวาทพ่ออาจารย์
ช่วงนี้ยุ่งๆในทุกๆวันกระทู้จึงไม่ได้อัพเดทความคืบหน้าอะไรเท่าไหร่ ก็ตั้งใจจะทำให้ดีที่สุด
วันนี้ก็มีปริศนาธรรมมาฝากให้ขบคิดกัน
พอดีได้ยินพ่ออาจารย์ท่านพูดเรื่องนิพพาน ท่านว่าทุกคนนี้ไปนิพพานได้ทั้งหมด เเต่เป็นนิพพานในอารมณ์ของห้วงขณะจิตหนึ่งมิได้อยู่คงทนถาวรณ์(คงอุปมากับความสุขที่เกิดขึ้นในห้วงวาระหนึ่งๆ)
ซึ่งมนุษย์ทุกคนนั้นจะมีความสุขกับสิ่งจอมปลอมฉาบฉวยที่เข้ามาในเเต่ละช่วงเวลา ซึ่งอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นยังไม่ได้ชื่อว่านิพพาน แน่นอนว่าเมื่อมีความสุขก็ย่อมมีความทุกข์ปนเปด้วยฉันใดก็ฉันนั้น
ทีนี้อารมณ์ตรงนี้เป็นสิ่งที่ฉาบฉวยไม่ได้คงทนถาวรณ์อย่างไร กล่าวง่ายๆก็คืออารมณ์ทั้งหลายนั้นเมื่อผ่านมาเเล้วก็ย่อมมีวันดับสูญไปหาความจีรังยั่งยืนมิได้ เป็นเพียงสุขคติเเละทุกข์คติที่จอมปลอมเท่านั้น ซึ่งในห้วงเวลาหนึ่งของชีวิตมนุษย์ ย่อมผ่านการผันแปรของเส้นทางชีวิต เดินผ่านความทุกข์ความสุขอันเป็นเปลือกเเละเครื่องล่อลวงในโลกทั้งสิ้น
อารมณ์ของนิพพานนั้นจะต่างกันออกไปเพราะจะปราศจากสิ่งปรุงเเต่งอันฉาบฉวยจอมปลอมทั้งหลาย เป็นอารมณ์แห่งความสุขที่มีพื้นฐานอยู่บนความสงบ หากมนุษย์ฉุกคิดหรือระลึกได้ มนุษย์ที่เเสวงหานิพพานนั้น หาได้มีความจำเป็นใดเลยที่จะต้องย่างกรายไปบนเส้นทางของความสับสนวุ่นวาย ถ้าเเม้นเขาระลึกได้เขาย่อมหยุดเท้าเขาไว้ไม่ย่างก้าวต่อไป
สิ่งหนึ่งที่จะช่วยเขาทั้งหลายเหล่านั้นได้ จะเรียกว่ามีเพียงสิ่งเดียวก็ได้ เเต่สิ่งนั้นย่อมประกอบด้วยพื้นฐานของอารมณ์เเละเหตุผลที่หลากหลาย นั่นคือการพิจารณา การพิจารณาให้เห็นกองทุกข์ การพิจารณาให้ถึงแก่นเเท้ พิจารณาครั้งเเล้วครั้งเล่า พิจารณาต่อไปในทุกๆเรื่องทุกท่วงทำนองของชีวิต บุคคลที่ฝึกตนเช่นนั้นเขาย่อมได้ชื่อว่าผู้เป็นเลิศในการฝึกสติ
การจะไปถึงนิพพานนั้นจะประกอบขึ้นด้วยเหตุผลเดียวซึ่งมีพื้นฐานมาจากองค์ประกอบหลายอย่าง หากเอาเเต่นั่งสมาธิย่อมไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ เช่นเดียวกันหากไม่มีการฝึกฝนใดๆเป็นองค์ประกอบพื้นฐานเเล้ว นิพพานก็คงมองเป็นเรื่องยากเเละไกลตัวเราอย่างยิ่ง เเต่หากเราฝึกการใช้ชีวิตในทุกย่างก้าวของเราด้วยการพิจารณาเเล้ว สิ่งที่จะได้ติดตัวของเรานั้นจะเสริมส่งเป็นฐานให้เราเหยียบสู่ขั้นต่อไปได้
มนุษย์ทุกคนนี้อาจกล่าวได้ว่าทุกชีวิตย่อมเคยมีอารมณ์นิพพานนั้นปรากฏขึ้นในจิต หากเเต่ว่าเจ้าตัวนั้นจะทราบมากน้อยเพียงใด หากผู้ใดพยายามเสาะเเสวงหาสถานที่อันสงบ คนผู้นั้นควรเร่งทำใจตนให้รู้จักความสงบเสียก่อน เพราะทุกพื้นที่ในโลกนั้น ล้วนประกอบด้วยสิ่งปรุงเเต่งมากมายไม่เน้นว่าจะมาจากธรรมชาติหรือการสร้างสรรค์ของมนุษย์ หากใจเราสงบไม่ได้ ถึงจะอยู่ที่ไหนก็ป่วยการณ์เหมือนเดิม ธรรมทั้งหลายเกิดจากใจ เมื่อใจเราไม่อยู่ใกล้ธรรม เราก็จะเดินวนเวียนอยู่ในห้วงวัฏฏสงสารนั้นเรื่อยไป -
สวัสดีปีใหม่
-
สวัสดีปีใหม่ ที่อยู่แจ้งทาง PM ครับ
-
ขอรับมาบูชาครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ
ชื่อ นาย อลงกรณ์ รัชนีกุล
87/53 ม.ทาลานา ม.5 ซ.สารพัดช่าง ต.ห้วยกะปิ อ.เมือง จ.ชลบุรี 20130
ค่าส่งจะโอนและแจ้งอีกครั้งครับ
ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ
หน้า 9 ของ 459