วันนี้ก็มาน้อมส่งองค์หลวงพ่อคูณกันนะครับ
เมื่อเช้าได้พูดถึงข่าวอาการป่วยของหลวงพ่อคูณท่านกับพ่ออาจารย์ ซึ่งพ่ออาจารย์ได้เเสดงกิริยาแปลกๆคือ ท่านได้ลุกยืนขึ้นหลับตาเเละยกมือขึ้นจรดหน้าผาก ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เราสงสัยเพราะไม่เคยเห็นท่านทำแบบนี้ เลยถามว่าท่านทำอะไร ท่านบอกว่าส่งหลวงพ่อคูณ เราก็เรียนว่าท่านยังไม่มรณภาพนะ เดี๋ยวจะส่งเข้าศิริราช ด้วยความคนองปากก็พูดไปว่าเชื่อผมเถอะยังไงหมอก็ยื้อกันสุดชีวิต ไม่ไปง่ายๆหรอก พ่ออาจารย์ท่านตอบกลับมาเเค่ประโยคเดียวว่า เวลาท่านหมดเเล้ว ยื้อต่อไปไม่ได้หรอก เห็นทีจะไม่พ้น เราก็ยังคิดในใจว่าถ้าถึงมือหมอศิริราชยังไงก็รอดเเน่ๆ เพราะเห็นมีใบจองวัตถุมงคลให้จองรอท่านเสกอยู่อีกเพียบ
แต่สุดท้าย อะไรทั้งหลายมันก็ไม่เที่ยงเเละเกินสติปัญญาความนึกคิดของเรา วันนี้ก็มาสวดมนต์น้อมส่งหลวงพ่อคูณ เป็นการระลึกถึงพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกันนะครับ
ร่วมทำบุญบูชา พ่อครูฟ้าฟื้นชุดบ่วงตัณหาผงบริสุทธิ์วิชาพระเจ้าลิ้นทอง(เก็บแต้มล่านาง) พ่ออาจารย์พล
ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.
หน้า 48 ของ 458
-
-
ได้รับตะกรุดน้ำมันหัวใจมนุษย์ , ตะกรุดวีระภัทรมหากาล , อสูรเทพวีรภัทรมหากาล เนื้อผงมหาสูตรผสมปูนอธิษฐาน และ พระองค์อินทร์ผงน้ำมันภูติพระเจ้าฝังตะกรุดเทวดาหลงห้อง แล้ว
ขาด พระปิดตาบรมครูหลวงปู่เฒ่ายิ้ม(จุ่มรัก) 1 องค์ ครับ -
บูชา ตะกรุดพ่อพญาเมืองมอญรุ่นแรก (ตัวพ่อ ดัน ได้ ดี) 1 ดอก ครับ
-
-
เตือนภัย เดือยงูเหลือม
ในยุคปัจจุบันนั้น วัตถุอาถรรพ์ที่เป็นของค้ำคูน มีพลังลึกลับเกื้อหนุนผู้บูชา หลายๆอย่างล้วนเป็นที่เสาะหาอย่างมาก เเละทำให้มีราคาสูงเป็นเงาตามตัวไป
เราหลายๆคนคงได้ยินเรื่องของเดือยงูเหลือมกันมาบ้าง ซึ่งเดือยนี้เชื่อกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นกายสิทธิ์อยู่ในตัวเอง จะเกิดเฉพาะพญางูที่มีตบะเเก่กล้า มีข้อดีสารพัดไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก
แต่ว่า เดือยงูเหลือมของเเท้นั้น หายากนักหนา 100 ตัวจะมีซักตัว มันจึงไม่ใช่แค่ใครมีเงินก็จะเป็นเจ้าของได้
ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ ได้มีกระเเสผู้ต้องการครอบครองเดือยงูเหลือมเพิ่มมากขึ้น แต่ว่า ของมันไม่มี ต้องการเเค่ไหนมันก็ไม่ได้มาครอบครอง ดังนั้นจึงมีพระเกจิสมองใสเข้าใจเล่ห์กลบางรูปตลอดจนวัดที่ทำพุทธพาณิชย์หลายๆวัด ได้นำเดือยงูเหลือมมาบริการให้คนเช่าหาบูชาได้ในจำนวนที่มากมายมหาศาลเป็นประวัติการณ์ของโลกตั้งเเต่ขนาดเล็กยันขนาดใหญ่ ไม่เพียงเเต่จะมีมากจนพอแก่ความต้องการของคนไทยเท่านั้น ยังมากพอที่จะขายในตลาดต่างชาติได้สุขเกษมเปรมปรีย์กันเลยทีเดียว
ผมได้ลองนำเดือยงูเหลือมเหล่านั้นมาให้พ่ออาจารย์ท่านดู ก็ได้ความว่ามันไม่ใช่ มันเป็นเจี้ยวงู ซึ่งเราเองก็ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ได้ทดสอบจนมั่นใจ โดยนำไปให้ครูบาอาจารย์หลายๆรูปที่มีเดือยงูเหลือมเเท้ๆครอบครองตลอดจนเชี่ยวชาญการธุดงค์ออกป่าทำให้ได้พบของประหลาดๆบ่อยๆท่านดู ก็ได้คำตอบตรงกันว่า มันคือเดือยงูเหลือมที่ไหน ไม่มีอะไรจะเล่นเเล้วหรอไอ้พวกนี้ ไปเอาเจี้ยวงูมาหลอกขายคน
อันนี้ตาสว่างเเละถึงบางอ้อกันเเล้วนะครับ เพราะเดือยงูเหลือมเเท้ๆนั้นหายากนักหนา จึงมีนักสร้างพระหัวใส เอาอวัยวะสืบพันธุ์ของงูขนาดต่างๆ ซึ่งไอ้อวัยวะสืบพันธุ์ที่เรียกว่าเจี้ยวงูนี้ มันเป็นของที่งูมันมีทุกตัว ไม่ได้เป็นกายสิทธิ์มีอำนาจวิเศษใดๆเลย อาศัยเเต่เพียงว่านำมาตากนำมาอบให้มันเเห้งเเล้วมันมีรูปพรรณสัณฐานคล้ายคลึงกัน พอจะหลอกตาเเละหลอกความศรัทธาของผู้ต้องการครอบครองได้ ก็เห็นมีหลายๆท่านนิยมพก คือถ้ามีศรัทธาหรืออะไรก็โอเคไป เเต่อยากจะบอกจะเตือนเพียงว่า ให้ระวังการเช่าหาบ้าง อย่าหลงเป็นเหยื่อเเก๊งค์ต้มตุ๋นพวกนี้ สงสารสัตว์โลก ก็คืองูทั้งหลายที่โดนตัดอวัยวะสืบพันธุ์มาให้พวกคุณใช้ มากันทีตามใบสั่งมีหลายขนาดหลายไซด์แบบนั้น รุ่นๆหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันชิ้น มันไปเบียดเบียนสัตว์โลกครับนอกจากอัปมงคลแล้ว ยังจะมีความอาฆาตเเค้นของเจ้าของชิ้นส่วนๆนั้นที่ถูกพรากออกมาจากร่างกาย มันไม่ตลกเลย คิดเอาเองว่าถ้าอยู่ดีๆมีใครมาตัดอวัยวะสืบพันธุ์ของเราๆท่านๆไปขายเล่นจะรู้สึกอย่างไร เดือยงูเหลือมจริงๆนั้นเป็นของกายสิทธิ์เป็นของที่พญางูท่านทิ้งเอาไว้ให้ ไม่ใช่ของที่มีจำนวนมหาศาลเพื่อทำพุทธพาณิชย์
ก็บอกพอเป็นวิทยาทานกัน พูดมากไม่ได้ เพราะมันขัดการทำมาหากินของหลายๆที่ ด้วยความเป็นห่วงเเละปรารถนาดีครับ -
พระของขวัญสำเร็จทันใจ
โอนเงินแล้ว 4,000.03 บาท วันที่ 17/5/58 เวลา 21.09 น.
และค่าจัดส่ง 100.03 บาท
ที่อยู่ ตาม pm -
โอนแล้วครับ 2 รายการ
พระของขวัญสำเร็จทันใจ (เนื้อผงสุริยกาล) 1 องค์
ตะกรุดพ่อพญาเมืองมอญรุ่นแรก (ตัวพ่อ ดัน ได้ ดี) 1ดอก
ที่อยู่ทางPMครับ ขอบคุณครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ได้รับ พระของขวัญสำเร็จทันใจ เรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณครับ
-
คาถาบูชาพระของขวัญสำเร็จทันใจ (เนื้อผงสุริยกาล)
ตรงบทบูชา พระของขวัญตรงท่อน
ชาตังพุทโธ โหติสัมภะโว อะสังวิสุโลปุสะพุภะ นะโมพุทธาธา ไม่ใช่ นะโมพุทธายะ ไช่ไหมครับ -
ถูกแล้วครับ ท่อน นะโมพุทธาธา ไม่ใช่ยะ
-
แจ้งโอนเงินจำนวน 4100.- บาท เมื่อช่วงเย็นวันที่ 19/05/58 ครับ
รายการ1.ตะกรุดพ่อพญาเมืองมอญรุ่นแรก (ตัวพ่อ ดัน ได้ ดี) 1 ดอก
2.ตะกรุดพระเจ้าห้ามกลียุค (หมดทุกข์) 1 ดอก
3.พระปิดตาบรมครูหลวงปู่เฒ่ายิ้ม(จุ่มรัก) 1 องค์
ที่อยู่จัดส่งแจ้งทางpmเรียบร้อยแล้วครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ความรู้วันนี้ การจุติของทวยเทพ
อีกประโยคหนึ่งที่ได้ยินพ่ออาจารย์พูดบ่อยๆ ก็คือคำว่าจุติ ในหัวของผมเข้าใจว่าการจุตินั้นเป็นการลงมาเกิด แต่ที่จริงเเล้วท่านได้อธิบายว่า ก็ไม่ผิด เเต่ก่อนจะเกิดก็ต้องตายเสียก่อน จุติจึงหมายถึงตายเพื่อจะไปอุบัติในรูปกายใหม่
ในสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่ในกามภพ ตั้งเเต่ชั้นฟ้าจตุมหาราชิกาไปจนเถิงพิภพปรนิมนั้น ทวยเทพจะมีอายุไล่กันไปตั้งเเต่ เก้าล้านปีไปจนถึงเก้าพันล้านปี ซึ่งเเน่นอนว่า เทพเจ้าทั้งหลาย ก็เป็นเพียงสัตว์ที่เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร อยู่ร่วมกับโครงสร้างธรรมชาติเดียวกันกับพวกเราย่อมต้องมีสถานะไม่เที่ยงเเละยังต้องตายอยู่ด้วยนั่นเอง
การตายของบรรดาเทพเจ้าทั่วทุกชั้นนั้นเหมือนกันหมด มีอยู่ 4 วิธีเพียงเท่านั้น ก็ต่างจากคนเรานะ คนเราโดนอะไรนิดหน่อยก็ตาย ตายได้เป็นร้อยแปดพันวิธี ลองมาดูของเทพเจ้าบ้างว่า 4 วิธีนี้จะมีอะไร
1. อายุขัย พวกเธอจำไว้ อันนี้เรียกว่าสิ้นอายุ เทพเจ้าที่อยู่จนสิ้นอายุขัยนี่ ถือว่าตายดีมาก ตายได้ดี เกิดมาไม่เสียชาติวงษ์เทวัญ ที่เราพูดเช่นนี้เพราะหากมีเทพเจ้าเกิดขึ้น ได้ทำกุศลผลบุญไว้มาก เค้ามาเกิดเเล้วในเทวโลก ดำรงค์อยู่จนสิ้นอายุขัย เช่นนี้ก็จะไปบังเกิดใหม่ในเทวโลกชั้นสูงยิ่งๆขึ้นไป เรียกว่าการเคลื่อนจุติด้วยการสิ้นอายุขัย เห็นมั๊ยว่าการตายไม่จำเป็นต้องลงสู่ที่ต่ำเสมอไป อาจจะไปเกิดใหม่ได้สูงได้ดีกว่าเดิมก็ได้
2. บุญญขัย นี่ก็เป็นพวกที่ได้ขึ้นมาเป็นเทพยดาเพราะการเสพย์บุญทำบุญ ไม่ได้สะสมบารมีเหมือนประเภทเเรก เมื่อทำบุญไว้น้อย ได้ขึ้นมาเป็นเทพเสวยผลบุญก็จริง เเต่บุญนั้นย่อมหมดเเละสิ้นสูญไปเสีย เหมือนคนเราคิดว่าอายุขัยคนปกติจะมีซัก100ปี เทพประเภทนี้ก็เช่นกัน สมมติว่าอยู่ได้เก้าล้านปีเป็นอายุขัยของชาวจตุมหาราชิกา ยังไม่ทันที่พอจะครบอายุขัย บุญเกิดหมดเกิดสิ้นก็จะทำกาลกิริยาถึงที่ตายในบัดเดี๋ยวนั้น อันนี้ย่อมลงไปต่ำกว่าเดิมเนื่องจากเสวยผลบุญจนหมดสิ้น เรียกว่าเคลื่อนจุติด้วยการสิ้นบุญ
3. อาหารขัย เทพเหล่านี้มีเกลื่อนในดาวดึงส์ในจตุมหาราชิกา คือเทพที่ตายด้วยอาหารขัย เพราะเหตุว่า หลงติดกับความสวยสดงดงามเเละความสะดวกสบายของพิภพต่างๆ นี่เธอเห็นมั๊ยว่าความงามความสบายมันให้โทษ เทพประเภทนี้เมื่อถือเอากำเนิดขึ้นมา ก็ยินดีที่จะบริโภคแต่กามคุณ พูดภาษาคนเรียกว่าหลงติดอยู่ในกามจนลืมตายทีเดียว นี่เราก็เห็นในโลกมนุษย์อยู่หลายคนนะ คนที่นิสัยแบบนี้ก็ยังมีอยู่อีกมากอย่าว่าเเต่ในชั้นฟ้าเลย เขาสนุกสนานกับกามจนลืมบริโภคอาหาร ขาดสติ ทำให้กายเเละดวงจิตนั้นถึงจะเป็นทิพย์ ก็ย่อมเหนื่อยอ่อน อ่อนล้า หม่นหมอง กายของเทพเจ้านี่มันไม่เหมือนกายมนุษย์นะ เราเหนื่อยเรานอนพักมันก็หาย เเต่ของเค้า ถ้าเหนื่อยอ่อนขึ้นมามันล้ามันเพลียร์ มันเสียรัศมีเสียกำลังบุญไปแล้วเพราะหลงลืมขาดสติ เสพย์เอาเเต่กามคุณ เขาก็จะเคลื่อนจุติด้วยวิธีสิ้นอาหารเพราะเขาลืมบริโภคนั่นเอง อันนี้ที่ไปก็ไม่ได้สูงขึ้น มีแต่จะต้องไปต่ำลงเหมือนประเภทที่สองนั่นเเหละ
3. โกธาพลขัย กลุ่มที่ตายด้วยวิธีนี้ก็เช่นกัน มีเกลื่อนทุกชั้นฟ้า เพราะเป็นอารมณ์ที่ไม่สมควรจะมีในหมู่เทพเจ้า นั่นคือการขาดขันติ มิได้ฝึกฝนมาเเต่กาลก่อน เมื่อได้เห็นทิพย์กายอื่นๆมีความสว่างมีรัศมีรุ่งเรือง มีสมบัติมีค่ามีความเป็นทิพย์มากกว่าตนเอง ก็อดที่จะอิจฉาริษยาเขามิได้ นี่เทวดาเธอเห็นมั๊ย เมื่อมีความโกรธขึ้นมาเจือด้วยอารมณ์ริษยาของเขาอื่นเหล่านั้น ย่อมจะทำกาลกิริยา จุติเคลื่อนไปด้วยความโกรธ อันนี้ก็ไปต่ำอีกเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าการตายของเทพเจ้านั้น มีตายดีอยู่วิธีเดียวนั่นคือการสิ้นอายุขัย พวกเธอทั้งหลาย ทุกคนย่อมไม่มีใครอยากลงนรก เวลาตายล้วนอยากขึ้นสวรรค์ทั้งนั้น เป็นเช่นนี้จริงหรือไม่
เเต่เหล่าเทพเจ้านั้น เมื่อตาย เขาไม่ได้อยากเหมือนมนุษย์นะ เขาอยากที่จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์เองเสียด้วยซ้ำ เหมือนเวลาก่อนตายเราจะบอกให้ญาติๆนึกถึงพระพุทธองค์ให้เขาสวดมนต์ให้เขาภาวนา เช่นนี้เพื่อจะได้ตายไปสุคติภูมิไปสวรรค์
เทวดาก็เช่นกัน เมื่อจะตายลงเหล่าเพื่อนเทวดาใกล้ชิดทั้งน้อยใหญ่ที่อยู่ในวิมานใกล้เคียงกัน เขาก็จะมารายล้อมคอยให้กำลังใจ คอยบอกให้นึกถึงพิภพมนุษย์เอาไว้ ตั้งไว้ให้มั่นเป็นจุดหมายใหญ่เพื่อจะได้ลงไปเกิดสู่ความเป็นมนุษย์ และได้มีศรัทธาปฏิบัติในพระสัทธรรม
เทวดาเหล่านี้เมื่อสิ้นไปแล้วเขาก็จะอวยพรกันกับเทวดาที่กำลังจะจุติ เหมือนเพื่อนที่คอยห่วงหาคิดถึงเพื่อน เห็นเพื่อนกำลังจะจากไป เขาก็จะบอกไว้ ให้รีบกลับมานะ ให้มาบ่อยๆนะ คือให้มาเกิดเป็นเทพเจ้าชาวสวรรค์ชั้นฟ้าอีกครั้ง ให้มาเกิดในสุคติภูมิเสมอๆบ่อยๆเช่นนี้ นี่ก็เป็นความหวังดีเป็นกำลังใจที่เขามีให้กัน
การที่เทวดาหมดอายุขัย ถึงที่จุติเเละจะอุบัติในสวรรค์ชั้นที่สูงยิ่งๆขึ้นไปนั้น เหตุผลก็มีเพียงเรื่องเดียว คือความเป็นอริยบุคคลของตน เหล่าพระอริยบุคคลตั้งเเต่โสดาบันขึ้นไป เมื่อได้อุบัติเป็นเทพเจ้า เขาเหล่านี้มักจะอยู่จนสิ้นอายุขัยเเละมีอุบัติการณ์ใหม่ที่สูงขึ้น
เทพเจ้าเหล่าอื่นโดยส่วนมาก ก็จะต้องจุติก่อนกาลเวลาอันควรเสมอ เนื่องจากเขาไม่พบพระสัทธรรม ไม่เเสวงหาสัจธรรม ปล่อยให้กาลเวลานั้นคร่าชีวิตเขาเอง
เราจึงเตือนเสมอว่าอย่าเร่งทำกันเเต่บุญเก็บกันเเต่กุศล เเต่ให้ฝึกฝนพัฒนาจิตใจควบคู่ไปตามที่เคยสอนทำให้มันเป็นระบบ กรรมฐานก็ทำเสียบ้าง มันไม่ได้ดีกับใครทั้งนั้น เเต่มันดีกับตนเองไปถึงชาติหน้าภพหน้าเเละชาติต่อๆไป สวรรค์นั้นขึ้นไม่ยาก เเต่จะขึ้นอย่างไรให้มันมั่นคง ขึ้นอย่างไรให้เจอแสงสว่างไม่ตกกลับมาวนเวียนสู่ที่ต่ำในจตุรบายทั้งหลาย
วันนี้ผมก็พิมพ์ค้างไว้เเค่นี้แล้วกัน เเล้วพรุ่งนี้จะมาต่อ เอาว่าพรุ่งนี้เป็นความรู้ที่ถือว่าดีมาก พรุ่งนี้ก็ติดตามกัน -
-
ได้รับแล้วครับ ขอบคุณครับ
-
ความรู้วันนี้ อภิสิทธิ์ของเทพเจ้า
ก็ต่อจากเมื่อวาน วันนี้เรามาดูระบบชนชั้นปกครองของกามภพและรูปภพกัน
พ่ออาจารย์ท่านว่าชนชั้นปกครองเหล่านี้ก็หมายถึงเทพบดี หรือจอมเทพของเเต่ละพิภพ อย่างเช่น
จตุมหาราชก็จะมี ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวเวสสุวรรณ
ดาวดึงส์ก็จะมี ท้าวสักกะเทวราช และคณะเทพทั้ง 33
ยามาก็จะมี ท้าวสุยามเทวราช
ดุสิตก็จะมี ท้าวสันดุสิตเทวราช
นิมมานรดีก็จะมี ท้าวสุบินมิตรเทวราช
ปรนิมมิตวสวัตติก็จะมี ท้าวสาวัตติเทวราชกับพญาวสวดีมาร
ซึ่งที่ยกตัวอย่างเหล่านี้ ก็จะกล่าวเเต่เพียงว่า ส่วนใหญ่จอมเทพของสวรรค์ชั้นต่างๆนั้น ล้วนเเต่เป็นพระอริยบุคคลอันมีภพชาติแน่นอนเเล้วทั้งสิ้น
จึงไม่เเปลกใจเลยที่เเต่ละพระองค์จะอยู่ในตำแหน่งได้ยาวนานเเละทวีความรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เพราะความเป็นอริยบุคคลนี่เองกระมัง ที่ทำให้ไม่สามารถถอยต่ำลงได้อีกเเล้ว
พ่ออาจารย์ทท่านได้กล่าวเเยกเเยะไว้หลายสถาน ซึ่งความเป็นอริยบุคคลนั้นก็มีหลายชนิด หลายลำดับขั้น พอจะเเยกออกเป็น 4 ขั้นใหญ่ ได้แก่
1. โสดาบัน
2. สกทาคามี
3. อนาคามี
4. อรหันต์
ซึ่งความเป็นจริงเเล้วยังสามารถเเจกเเจงลงไปได้มากกว่านั้น ก็จะขอนำมาพูดพอสังเขปเพราะว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเหล่าเทพเจ้าผู้ได้อภิสิทธิ์บนพิภพสวรรค์ทั้งกามภพและพรหมเเห่งรูปภพ
ที่ต้องเรียนรู้นั้น เพราะพระอริยบุคคล คือบุคคลที่จะไม่กลับลงไปสู่ที่ต่ำอีกแล้ว ทำให้มีอายุขัย ที่กินหน่วยของกาลเวลาที่ยาวนานเเละยิ่งใหญ่มากในสรวงสวรรค์ แม้จะบอกกล่าวด้วยปัญญาของมนุษย์ก็จะได้ตัวเลขในระบบที่มีขนาดใหญ่จนน่าตกใจ ว่าเเต่ละห้วงชีวิตของพวกท่านเหล่านั้นกินเวลาถึงปานนี้เชียวหรือ
แต่เทพเจ้านั้น ต่อให้มีอายุที่ใหญ่โตมากขนาดไหนก็ย่อมต้องตาย ทางเดียวที่จะไม่ตายก็คือสภาวะที่อยู่เหนือเทพเจ้าขึ้นไป เป็นสภาวะนิรันดร์ที่เรียกกันว่าโลกุตตระ
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักความเป็นอริยบุคคล ของเหล่าทวยเทพกัน ว่ามีกี่ลำดับขั้น ถ้าอยู่ลำดับนี้จะต้องเลื่อนขึ้นไปเป็นอะไรยังไง และอริยบุคคลนั้นเเม้จะอยู่ในชั้นเดียวกันเเต่มีความต่างกันอย่างไร เพราะว่าเทพเจ้าที่ทรงภูมิความเป็นอริยบุคคลนี้ ดูเหมือนจะเป็นผู้กำหนดกลไกหลักของจักรวาล ถืออภิสิทธิ์เเละตำแหน่งหน้าที่อันยิ่งใหญ่เเละพิเศษ ดำรงค์อยู่เพื่อทำงานเเละสำเร็จภารกิจก่อนจะเลื่อนขึ้นสู่พิภพอื่นๆ
ก็จัดแบ่งได้ทั้งหมด 11 ขั้น ดังต่อไปนี้
1.สัตตักขุงปรมโสดาบัน เริ่มแรกก็สำคัญเลย นี่ก็เป็นพระโสดาบันประเภทหนึ่ง คือมีกำหนด อีกเพียง 7 ชาติสุดท้ายเท่านั้น ก็จะหยุดวงจรการเกิดแก่เจ็บตาย บรรลุพระอรหัตผล พ่ออาจารย์ท่านบอกว่า สัตตักขุงปรมโสดาบันนี้ จะต้องวนเวียนคอยเกิดดับอีกเพียง 7 ครั้งเเละทุกครั้ง จะต้องอยู่ในสุคติภูมิเท่านั้น ไม่ลงสู่ทุกข์คติเเล้ว จำไว้นะว่าตั้งเเต่พระโสดาบันขึ้นไปลงสู่ทุกข์คติไม่ได้ ปิดทางนรกไว้เเล้ว
2.โกลังโกละโสดาบัน อันนี้ก็สำคัญแม้พระอินทร์องค์ปัจจุบัน ที่ท่านตั้งปรารถนาจะไปอุบัติในสุทธาวาสมหาพรหม ก็เป็นพระอริยบุคคลชั้นโกลังโกละโสดาบันเช่นกัน พวกเธอจำเอาไว้ โกลังโกละโสดาบันนี่ คือผู้ไปจากสกุลสู่สกุล หมายถึงอยู่ในสกุลที่สูงมากแล้วก็ไปต่อด้วยภพชาติที่สูงมากเช่นกัน มีกำหนดอีกเพียง 2-3 ครั้งก็จะเข้าสู่ความหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารเกิดเเก่เจ็บตาย เข้าสู่ความเป็นอรหัตผล
3. เอกพีชีโสดาบัน อันนี้ถือว่าหาได้ยากมากในจำนวนพระโสดาบันทั้งหมด ซึ่งก็คือผู้ที่ถืออัตภาพเพียงอันเดียว มีอีกเพียงภพชาติเดียวเท่านั้นก็จะเข้าสู่ความเป็นอรหันต์ หลุดพ้นการเกิดเเก่เจ็บตาย เป็นภาวะที่เรียกว่าสูงสุดและประณีตที่สุด ในภาวะของพระโสดาบันก็อาจจะกล่าวได้
4. สกทาคามี อันนี้ไม่มีแบ่งแยกอะไรมาก เข้าใจตรงกันว่า พระสกทาคามีนั้น ต้องมาเกิดอีกเพียงครั้งเดียวก็จะหลุดพ้นการเกิดแก่เจ็บตาย
5. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี อันนี้เป็นพระอนาคามีอันดับแรก ซึ่งจัดอยู่ในช่วงของวงจรสิ่งมีชีวิตที่สูงมาก กล่าวคือ เป็นพระอนาคามีผู้มีกระแสอยู่เบื้องบนสู่อกนิฏฐภพ เรียกว่าเป็นสิ่งพิเศษเลยก็ได้ สำหรับพระอนาคามีชั้นนี้ เพราะจะได้มาอุบัติ อยู่ในปัญจสุทธาวาสมหาพรหมไม่ชั้นใดก็ชั้นหนึ่ง ก่อนที่จะจุติไปอุบัติในขั้นที่สูงยิ่งขึ้นคือเป็นพระอนาคามี ที่วนเวียนอยู่ในปัญจสุทธาวาส เมื่อพ้นชั้นรองเเล้วก็จะไปสู่ชั้นสูงสุดคืออกนิฏฐมหาพรหมแล้วเลยไปเข้านิพพาน
6. สสังขารปรินิพพายี อันนี้เป็นพระอนาคามีที่วนเวียนอยู่ในปัญจสุทธาวาสมหาพรหมเช่นกันแต่เป็นประเภทพิเศษ คือใช้ห้วงเวลามากเป็นพิเศษ เพราะเป็นประเภทที่จะถึงนิพพานได้ ต้องใช้เเรงชักจูง ใช้ความเพียรพยายามหนักมาก
7. อสังขารปรินิพพายี จำพวกนี้ก็เป็นเหล่าพระอนาคามี แต่เป็นพระอนาคามีที่ค่อนข้างสบายหน่อย คือไม่ใช้แรงชักจูง ไม่ต้องใช้ความเพียรมากนัก เมื่อเป็นพระอนาคามีแล้ว ในระยะเวลาอันสั้นก็จะเข้าสู่นิพพานได้เลย
8. อุปหัจจปรินิพพายี ประเภทนี้เป็นพระอนาคามี ผู้มาเกิดเป็นพพรหมในมหาสถานปัญจสุทธวาสมหาพรหม และมีพรหมมายุขัย พ้นไปได้เกินครึ่งเเล้ว แต่ยังไม่ทันครบตามอายุขัยแห่งมหาพรหมนั้นๆ ก็จะเข้าปรินิพพาน
9. อันตราปรินิพพายี ประเภทนี้ก็เช่นกัน กินเวลาเร็วเป็นพิเศษ นั่นคือเป็นพระอนาคามีที่เกิดในแดนปัญจสุทธาวาสมหาพรหม ไม่ชั้นใดก็ชั้นหนึ่ง แต่ควรจะเป็นชั้นอกนิกฐมหาพรหม นอกจากจะมีวัตถุประสงค์และความผูกพันธุ์กับชั้นอื่น พระอนาคามีประเภทนี้จะเสวยพรหมมายุขัย อยู่เพียงไม่นานนัก คือยังไม่ทันถึงครึ่งเเห่งอายุขัยของมหาพรหมในชั้นนั้นๆก็จะเข้าสู่ปรินิพพาน
10. ปัญญาวิมุติ ประเภทนี้คือพระอรหันต์ เลยพิภพภวัครา เข้าสู่โลกุตระภูมิแล้ว เป็นพระอรหันต์ ที่หลุดพ้นได้ โดยใช้ปัญญา
11. อุภโตภาควิมุติ นี่ก็อยู่ในโลกุตรภูมิ เป็นพระอรหันต์เช่นกัน ประเภทนี้จะเข้าสู่ความเป็นอรหันต์ได้โดยใช้การบรรลุเจโตวิมุติญาณอรูปสมาบัติก่อน แล้วจึงได้ปัญญาวิมุติตามมา
ซึ่งทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้ ก็พอจะทำให้เราจำแนกประเภทของจอมเทพในพิภพต่างๆได้ ทีนี้ก็ไปเดากันเองว่าเเต่ละพระองค์อยู่ในชั้นไหน เอาเเค่ว่าตั้งเเต่จตุมหาราชิกานั้นในระดับจอมเทพล้วนเป็นพระโสดาบันขึ้นไปทั้งสิ้น วันนี้ก็แจกเเจงพอเเต่เพียงเท่านี้ ไว้มาต่อพรุ่งนี้ -
ได้รับพระปิดตาแล้ว ขอบคุณครับ
-
สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
-
ได้รับพระและตะกรุดเรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณครับ
-
555+ วันนี้ก็มีพี่ท่านหนึ่ง ไลน์มาถามว่า ทำไมในพลังจิตเงียบเลย เราก็งงว่าอะไร นึกว่าลืมตอบอะไรใคร ที่จริงก็เปล่า คือพี่เขารออ่านๆที่เราค่อยๆทยอยพิมพ์อยู่ ก็ดีใจนะที่รู้ว่ายังมีคนอ่าน กลัวมันน่าเบื่อ เวลาพิมพ์อะไรลงไปเราก็ไม่รู้ว่าได้อ่านกันรึเปล่า เพราะปกติก็จะดูจากไล๊กับอนุโมทนา ถ้ามีคนพออ่านบ้างก็จะมีคนมากดบ้างเเต่หลังๆเห็นว่าน้อยลง เลยคิดว่าเบื่ออ่านกัน ก็เลยพักเบรคให้ว่าจะลองหาความรู้เรื่องอื่นมาเสนอกัน กันเบื่อ
ก็ไม่มีอะไร เคยบอกเเล้วว่าถ้ามีคนอ่านก็จะพิมพ์ให้เรื่อยๆ แต่ถ้าดูเงียบๆไม่ได้อ่านก็จะนำเสนอเรื่องใหม่ๆ
หน้า 48 ของ 458