พลังออร่าในวัตถุมงคลพ่ออาจารย์พล 1 (พระพิชัย)
พอดีมีพี่ที่บูชาวัตถุมงคลไปได้นำไปฉายออร่าออกมาให้เราได้ดูกัน ก็เลยเเชร์ภาพมาให้ผม ถือเป็นโอกาสดีที่จะนำมาลงไว้ให้ได้เห็นกันทุกคน
เรื่องการฉายออร่านั้นเป็นการตรวจสอบพลังงานวัตถุมงคลที่ถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์ชนิดหนึ่ง ซึ่งฉายที่ศูนย์พัฒนาพลังชีวิต
รูปแรกนี่ก็จะเป็นพระพิชัยมาลามหาจักรพรรดิ์ หลังจากฉายออร่าแล้วได้ผลดังนี้
- มีรังษีสีเหลือง ใช้เสริมบารมี 20 เปอร์เซ็นต์
- มีรังษีสีแสด ใช้เสริมพลังฤทธิ์ 10 เปอร์เซ็นต์
- มีรังษีสีแดง ใช้ในทางมหาอุตม์ปืนแตก คุ้มกันคุณไสย 10 เปอร์เซ็นต์
- มีรังษีสีขาว ช่วยทำให้จิตใจสงบ 5 เปอร์เซ็นต์
- มีรังษีสีทอง เป็นมหาบุญฤทธิ์และมหาบารมี 60 เปอร์เซ็นต์
ทางที่ฉายรังษีออร่าเขียนกำกับมาว่าสุดยอดในปฐพี มีพลังออร่าอยู่ในระดับ 5 ดาว องค์พระมีรัศมี 100 เมตร และยังเเนะนำให้ผู้ที่นำไปฉายเลี่ยมขึ้นคอได้สบายใจ
ก็เรียนมาเพื่อทราบ สำหรับพระพิชัยมาลามหาจักรพรรดิ์
ร่วมทำบุญบูชา พ่อครูฟ้าฟื้นชุดบ่วงตัณหาผงบริสุทธิ์วิชาพระเจ้าลิ้นทอง(เก็บแต้มล่านาง) พ่ออาจารย์พล
ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.
หน้า 6 ของ 458
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
พลังออร่าในวัตถุมงคลพ่ออาจารย์พล 2 (ตะกรุด)
ตะกรุดที่ถูกนำไปฉายรังษีออร่าในรูปนี้คือตะกรุดสหัมบดีพรหม ซึ่งผมก็ได้รับไฟล์ภาพมาจากผู้บูชาไป
ในกระบวนการวัตถุมงคลนั้นจะเรียกว่าตะกรุดได้รับพลังจิตตั้งเเต่เริ่มลงมือจารก็ว่าได้ ดังนั้นเรื่องความแรงจึงถือได้ว่าหายห่วง ซึ่งทางท่านผู้บูชาท่านก้ลองสุ่มเลือกจากหลายๆดอกที่บูชาไปตรวจ
ก็ปรากฏว่าตะกรุดสหัมบดีพรหมนั้น มีรังษีออร่าที่บ่งบอกพุทธคุณดังนี้
- สีเขียว รักษาโรค คุ้มกันภัยพิบัติ 10 เปอร์เซ็นต์
- สีขาว จิตใจแจ่มใสเบิกบาน จิตสงบ 70 เปอร์เซ็นต์
- สีทอง มหาบุญฤทธิ์ มหาบารมี 10 เปอร์เซ็นต์
- สีประกายเงิน มหาบุญฤทธิ์ มหาเศรษฐี 10 เปอร์เซ็นต์
ทางสถาบันได้จัดให้ตะกรุดมีพุทธคุณอยู่ในระดับ 5 ดาว พร้อมกับเขียนมาว่าเป็นมหาบุญฤทธิ์ แก้อาถรรพ์ เป็นมหาอุตม์ปืนแตก เสริมฐานะ เสริมบารมี จิตใจเบิกบาน แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี มหาเศรษฐี ดีนักแล
ก็นำมาให้ทราบกัน จากการสุ่มตรวจพุทธคุณตะกรุดพ่ออาจารย์พลไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ข้อสรุป
ซึ่งก็พอจะสรุปได้ว่าการเสกวัตถุมงคลของท่านนั้น เป็นแบบชาติเสือไม่ขอเนื้อใครกิน ทำคนเดียว ดังนั้นวัตถุมงคลก็ดีเครื่องรางก็ดี พลังงานถือเป็นหลักใหญ่ที่ผู้บูชาพึงปรารถนาพึงหวังจะได้รับจากองค์พระ
หากไม่มีบารมีไม่มีดีฟ้าไม่เปิดเบื้องบนไม่สั่งคงทำไม่ได้อย่างแน่นอน และการวัดพลังด้วยการฉายออร่านี้ ก็เป็นเพียงจุดๆหนึ่ง ในหลายๆวิธีของการสัมผัสพลังวัตถุมงคลของท่าน
หากเเต่วิธีนี้เห็นกันชัดเจน มีหลักฐานยืนยันเเละมีใบรับรองพุทธคุณชัดเจนที่สุดที่ออกแนววิทยาศาสตร์ตรวจจับรังษีออร่าในวัตถุมงคลนั้นๆ ไม่ใช่่ตาสีตาสามาจับ
ก็เป็นเรื่องที่พี่ๆที่บูชาวัตถุมงคลไป ส่งภาพมาให้เราดู เราก็ใช้วิจารณญาณเห็นควรแล้วจึงเอามาเผยแผ่ในที่สาธารณะ ซึ่งก็ขอขอบพระคุณผ่านมาทางนี้ด้วยที่มีอะไรก็แจ้งๆกันเสมอๆ ส่งรูปให้ท่านดู ท่านพูดติดตลกว่าต่อไปเราจะอัดให้ครบทุกด้านเลย บางทีเวลาเราก็ไม่ค่อยมี เรื่องรัศมีของวัตถุมงคลนี้ก็เคยกล่าวไปแล้ว ว่าวางไว้ตรงไหนก็มีรัศมีครอบคลุมในบริเวณนั้น นี่ก็เป็นหลักฐานอีกชนิดหนึ่งซึ่งเรื่องอจินไตยเหล่านี้เป็นสิ่งที่พูดกันยาก แต่มนุษย์ก็ได้สรุปออกมาให้เห็นชัดแบบรูปธรรมแล้วนั่นเอง -
รูปเก็บตกงานบวช
นำเสนอรูปเก็บตกงานบวชพ่ออาจารย์นะครับ จะนำเสนอเป็นระยะเรื่องความคืบหน้าเวป วันนี้สั่งเเก้ภาพเเบล็คกราวอะไรใหม่อยู่
มาชมภาพงานบุญกันก่อนนะครับ ตอนนี้จะยุ่งๆหน่อยไฟล์ที่แนบมา:
-
-
พระสันตจิตโต ภิกษุ
พ่ออาจารย์ได้ทำการอุปสมบทในบวรพุทธศาสนาเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว โดยได้ฉายาทางธรรมว่า สันตจิตโตภิกษุ
ซึ่งถ้าจะเอามูลเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ท่านตัดสินใจครองผ้ากาสาวพัสตร์นั้น เหตุผลก็มาจาก เรื่องที่ไม่อยากจะพูดแต่เเรกเพราะดูอวดอุตริเเละเป็นสิ่งที่ใครเขาก็มองกันไม่เห็น
ก็จะเล่าไว้ จะเชื่อหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง พระอาจารย์พลท่านได้มองเห็น ขอย้ำว่ามองเห็นไม่ใช่ฝัน มองเห็นตอนกลางวันนี่แหละ ท่านเห็นพี่ชายน้องชายรวมถึงญาติๆของท่านที่เสียชีวิตไปแล้วมายืนรอท่านอยู่รวมไปถึงครูบาอาจารย์ที่สอนสั่งท่านด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนเเต่จากโลกนี้ไปเเล้ว ท่านก็ตกใจเเละชี้ให้คนหลายๆคนช่วยกันมอง ซึ่งก็ปรากฏว่าไม่มีใครเห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่า ท่านก็เลยสรุปว่าเขามาขอส่วนบุญเราควรจะทำบุญใหญ่ให้เค้า กอปรกับพระเถระเเละพระมหาเถระหลายรูปก็สนับสนุนให้ท่านอุปสมบท เพื่อที่จะอุทิศส่วนกุศลนี้ให้กับสัมภเวสีทั้งหลายด้วย เมื่อความคิดตรงกับท่าน ท่านจึงเต็มใจที่จะบวช นี่คือสาเหตุหลักไม่นับเหตุผลรองๆเรื่องอื่น
เมื่อท่านอุปสมบทเเล้วก็มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นมากมาย แต่จะเล่าให้ฟังเฉพาะที่เราได้เห็นกับตา
1. เรื่องเเรกคือเรื่องที่เเม้เเต่ตัวผมเองยังคิดว่าแปลก พอผ่านพิธีอุปสมบทเสร็จ ท่านก็ทำกิจของท่านพอเดินขึ้นศาลาและพวกผมตามไปส่งด้วย พระภิกษุ2-3รูป ได้นิมนต์อาราธนาท่านให้ท่านหยุดเเละตรงปรี่เข้ามาซักถาม ซึ่งพระภิกษุเหล่านั้นสอบถามท่านว่า ท่านเป็นใครมาจากไหน เป็นร่างทรงหรือเป็นอะไรหรือเปล่า เราฟังเองยังคิดว่าทำไมพระท่านคิดแบบนั้น ซึ่งหลวงพ่อของเรานั้นท่านได้ปฏิเสธไปทั้งหมด
พระท่านจึงเล่าให้ท่านฟังว่า ตอนหลวงพ่อเดินขึ้นมา พวกผมมองหน้าหลวงพ่อ ไม่เห็นปากจมูกคิ้ว พวกผมช่วยกันมองก็เห็นหน้าแค่ลางๆเเต่เห็นเเสงสว่างเหนือศรีษะของหลวงพ่อ ซึ่งเห็นตรงกันทั้ง 3 รูป ก็เลยนิมนต์ให้ท่านหยุดเพื่อจะเข้ามาซักถาม หลวงพ่อท่านก็ตอบไปว่าครูบาอาจารย์ท่านตามมาส่ง อย่าไปคิดอะไรมาก ผมไม่ใช่ร่างทรงหรือคนมีองค์อะไรหรอก
2. สำหรับผมคิดว่าเรื่องนี้เหมือนกิจกรรมรับน้องใหม่ ยังไม่ทันข้ามวันหลังจากอุปสมบท สุนัขชราภายในวัด ก็ร้องเสียงโหยหวนออกมาเพราะชราเต็มทีเเละกำลังจะตาย ดูน่าทรมานเเละเป็นที่เวทนาแก่พระเถระเเละผู้มาปฏิบัติธรรมยิ่งนัก มีคนไปมุงดูหลายสิบคน ช่วยกันแผ่เมตตาก็แล้วพูดด้วยก็แล้ว ทำอย่างไรสุนัขชรานี้ก็ไม่ละความทรมาน ได้ส่งเสียงโหยหวนบ่งบอกถึงอากัปกิริยาที่ทรมานมากๆของสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะตาย
หลวงพ่อพลท่านนึกเมตตาสงสารสัตว์เดรัจฉานผู้ยาก ท่านจึงเดินไปยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น น่าเเปลก สุนัขที่ส่งเสียงโหยหวนด้วยความทรมานนั้นกลับหยุดส่งเสียงประหลาด มีเเต่ลมหายใจรวยรินที่บ่งบอกว่ายังไม่ตาย ซึ่งผมเองก็คิดว่าแปลก เพราะพ่อขาวเเม่ขาวเเละพระเถระหลายรูปก็เข้าไปแผ่เมตตาให้เเต่ก็ไม่สามารถระงับอาการทรมานนั้นได้ พอสบช่องโอกาสเหมาะเราจึงเรียนถามท่านว่า ท่านเข้าไปทำอะไร ท่านก็บอกเราว่าเข้าไปแผ่เมตตาเเละขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรให้เขา ถึงเป็นสัตว์เดรัจฉานเขาก็ยังรู้ว่านี่คือร่มกาสาวพัสตร์ แม้ไม่ต้องออกเสียงพูดแต่ความปรารถนาดีที่ส่งให้เขาเขาก็รับรู้ได้ ปรากฏว่าสุนัขชราตัวนั้นก็นอนหายใจรวยรินข้ามคืนไปและมาตายแบบสงบในวันรุ่งขึ้น
3. เรื่องนี้สำหรับตัวผมเองก็คิดว่าแปลก เพราะมีอาเจ็กคนหนึ่ง ได้มาขอทำบุญถวายอาหารเพลท่านทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน เราเห็นความตั้งใจเเล้วเราจึงเก็บของที่เราเตรียมมาถวาย เพราะอาเจ็กคนนี้แกตั้งใจมาก เตรียมอาหารมาอย่างปราณีตเเละเจาะจงต้องถวายท่านให้ได้ทั้งๆที่พระภิกษุอื่นก็มีอยู่เต็มวัด
เมื่อท่านฉันเสร็จ ท่านให้พรเเละกรวดน้ำ อาเจ็กคนนี้ก็ทำเรื่องแปลกๆ นั่นคือนำน้ำที่กรวดไปแล้วตอนท่านให้พรมาพรมใส่หัวตัวเองทำซ้ำอย่างนี้หลายรอบมาก ผมเห็นเป็นเรื่องผิดปกติก็เลยเข้าไปขอนำน้ำนั้นไปเททิ้งให้ที่ต้นโพธิ์
พอเดินกลับมาก็ได้ยินอาเจ็กคนนี้พูดกับหลวงพ่อว่า ตัวผมเองไม่เคยบวชลูกชายสามคนก็ไม่เคยบวช วันนี้ขอจับชายผ้าเหลืองซักครั้งเถอะ ท่านก็ยิ้มเเละยืนให้เขาจับชายผ้าเหลือง เท่าที่ผมเห็นคืออาเจ็กคนนี้ดีใจมากที่ได้จับชายผ้าเหลืองท่าน แกบอกว่าขอเกาะชายผ้าเหลืองนี้ไปด้วย แกวนไปวนมาจับชายผ้าเหลืองของหลวงพ่ออยู่แบบนี้ถึงสามครั้ง ท่านถึงให้พรเพิ่มเเล้วกลับไป
ที่ผมแปลกใจก็คือไม่รู้จักกันเเล้วทำไมต้องเจาะจงเป็นหลวงพ่อทั้งๆที่พระภิกษุอื่นก็มีเต็มวัด น่าคิดตรงนี้
ก็มีเรื่องแปลกๆอีกเรื่องแต่ผมไม่ได้เห็นด้วยตาตนเองจึงขอละไว้ไม่เล่า ซึ่งในขณะนี้หลวงพ่อท่านก็บำเพ็ญสมณกิจของท่านให้เเล้วเสร็จก่อนวันที่ 9 เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ตามปรารถนาที่ท่านได้ตั้งใจบวชเอาไว้ ช่วงนี้หลวงพ่อท่านเองก็ยุ่งๆเหมือนกัน ก็นำมาเล่านำมาบอกกันไว้คร่าวๆพอสังเขป -
นิมิตรโดยเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์หรือเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ไชยเชษฐ์สุริยวงศ์นั้น พระองค์ทรงมีฐานะเป็นสมเด็จพระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยมีพระพุทธเจ้าอยู่หัวบรมโกศเป็นกษัตริย์ ก็เกริ่นไว้ให้ทราบคร่าวๆ
หลวงพ่อได้มีนิมิตรในลักษณะเทพสังหรณ์ถึงพระองค์ท่าน พระองค์ท่านได้กล่าวกับหลวงพ่อในนิมิตรนั้นว่า ดีใจที่ได้พบ หลังจากนั้นจึงให้ท่านได้เห็นเรื่องราวมากมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งท่านก็ไม่อนุญาติที่จะให้เราบอกกล่าวลงทางนี้เพราะจะกลายเป็นเรื่องอวดอุตริ ในเนื้อหาของนิมิตรนั้นมีเหตุการณ์ต่างๆมากมายที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตของบ้านเมืองเเละวิถีชีวิตของประชาชน ก็ละไว้เเละขอข้ามไปเลย
เมื่อท่านได้รับนิมิตรเเล้ว รุ่งเช้าท่านก็มุ่งหน้าตรงสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาทันที ตรงไปที่วัดไชยวัฒนาราม บริเวณพระเจดีย์รายที่เป็นที่ฝังพระบรมศพของสมเด็จพระมหาอุปราชากรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์ทันที หลวงพ่อท่านกล่าวว่าท่านมาหาเราเเล้วเราก็มาหาท่านบ้าง หลังจากนั้นจึงได้จุดธูปบอกกล่าวซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านพูดคุยอะไรกันหรือจุดธูปบอกกล่าวอะไร
หลังจากนั้นท่านได้ลองนำมือขยับ อิฐพระเจดีย์ที่ฝังพระบรมศพเก่าก้อนหนึ่งซึ่งใหญ่มาก ปรากฏว่าอิฐนั้นเคลื่อนตามมือท่านขึ้นมา แต่ว่าท่านไม่ประสงค์ที่จะนำกลับมาด้วย ท่านเพียงเเต่พูดว่าเชิญเจ้าฟ้าท่านกลับไปกับเราด้วย หลังจากนั้นในบริเวณเดิมก็ปรากฏก้อนอิฐขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือวางเรียงกันไว้สามก้อนซึ่งทีเเรกนั้นไม่มี ท่านจึงขออนุญาตินำก้อนอิฐเล็กๆนั้นติดกลับมาด้วยไว้เป็นสื่อกับสมเด็จกรมพระราชวังบวรโดยเฉพาะ
ก็นำมาเล่าไว้ รูปสามรูปนี้เป็นรูปของวัดไชยวัฒนาราม ที่ผมได้ถ่ายไว้ ส่วนพระปรางค์นั้นเป็นที่เก็บอัฐฐิของเจ้าแม่วัดดุสิต ปฐมบรมราชบรรพบุรุษเเห่งจักรีบรมราชวงศ์ ส่วนในเจดีย์รายองค์เล็กทรงกลมนั้นก็คือที่ฝังพระบรมศพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์กับเจ้าฟ้าสังวาลย์นั่นเองไฟล์ที่แนบมา:
-
-
การปล่อยของ (มนต์ดำ)
เรื่องนี้ผมเองก็ไม่ได้เห็นกับตัว แต่มีโอกาสสนทนากับหลวงพ่อท่านเเล้วท่านได้เล่าให้ฟัง ก็นำมาบอกกล่าวกัน
ในวันพระที่ผ่านมา หลวงพ่อท่านเล่าว่าท่านมีนิมิตรเห็นตะขาบตัวใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งมาจะทำร้ายท่าน แต่ก็มีครูบาอาจารย์จำนวนมากมาหยุดไว้ ถึงจุดนี้เราก็ถามว่าครูองค์ไหน ท่านบอกว่าก็เทวรูปทั้งหลายที่เราเคยบูชาอยู่นั่นเเหละ
ท่านว่าครูเหล่านั้นได้เอาแก้วกลมๆยัดปากมันไว้เเล้วก็สับมันออกเป็น 3 ท่อน ตอนเเรกท่านก็คิดว่านิมิตรธรรมดา เเต่พอเปิดประตูกุฏิออกมาก็พบตะขาบจริงๆและขาด 3 ท่อนตรงตามนิมิตรนั้น
ท่านบอกผมว่าตะขาบนั้นเป็นตัวแทนของอวิชชาไสยศาสตร์มนต์ดำที่คนเล่นของถึงวันโกนวันพระชอบปล่อยออกมา จะทางอากาศทางพื้นดินก็สุดที่จะหยั่งได้ มีทั้งปล่อยแบบเจาะจงเป้าหมาย กับปล่อยแบบลมเพลมพัดซึ่งก็คือจะถูกใครก็ตามเวรตามกรรมของคนผู้นั้น
คนเราแม้จะมีบารมีมากเพียงใดก็ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้จากของเหล่านี้ เพราะเราคงไม่มีสติมานั่งกันของเหล่านี้ตลอด แม้เเต่พระอรหันต์ชื่อดังแห่งยุคก็ยังเคยต้องคุณไสยเหล่านี้มาเเล้วกว่าจะเอาออกได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ใช่ของเล่นๆ ถ้าโดนเข้าไปมันจะทำร้ายเรา สูบเลือดสูบเนื้อเราก็มี ทำให้ชะตาราศีเราตกอับดวงตกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า เป็นโรคป่วยแบบพิศดารสารพัดโรค ยิ่งในยุคที่มีคนใจไสยศาสตร์เพิ่มขึ้น เรียนกันเยอะขึ้น คนร้อนวิชาเหล่านี้ก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว มิใช่ว่าบ้านเมืองเจริญเเล้วมันจะน้อยลง หากมนุษย์ยังมีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุดของเหล่านี้ก็ย่อมไม่หมดไป
สิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้จะเเก้หรือกันได้ก็ด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นเช่นกัน นั่นคือบารมีครูบาอาจารย์ เทพเทวดาทั้งหลายที่ปกปักรักษาผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบรวมไปถึงวัตถุมงคลและเครื่องรางบางชนิดที่สร้างขึ้นเพื่อแก้ทางสิ่งเหล่านี้โดยเฉพาะ
ก็นำมาเล่าสู่กันฟังในยามเช้า เป็นคติเตือนใจจากหลวงพ่อให้ดำเนินชีวิตในทุกย่างก้าวด้วยสติอย่าประมาท เพราะคนประมาทเขาเหล่านั้น ชีวิตก็ได้เดินเข้าสู่หนทางเเห่งความเสื่อมโดยไม่รู้ตัว ฉันใดก็ฉันนั้น -
โอวาทหลวงพ่อ
วันนี้ก็จะนำคำเทศนาง่ายๆของท่านมาลงไว้ในส่วนหนึ่ง
มนุษย์เรานี้ ปรกติชีวิตย่อมจะปรุงแต่งสิ่งต่างๆมากมาย เพิ่มขึ้นใส่ไว้ในตัวเองทุกวันทุกวัน พอนานวันเข้าสิ่งเหล่านี้ก็หนักหนาส่งผลตามมาต่อตัวเขาเองมากมาย หากรู้จักการละวางการปล่อยออกเสียบ้าง ชีวิตเขาก็จะเบาลงและดำเนินไปได้อย่างไม่มีปัญหาเเละอุปสรรคอะไร
ธรรมมะทั้งหลายแต่เดิมนั้นมีอยู่ในโลก มีมานานนักหนา แม้ก่อนสมเด็จพระชินสีห์จะตรัสรู้ ธรรมเหล่านี้ก็ตั้งอยู่ก่อนเเล้ว คุณแห่งศีล สมาธิ ปัญญา ผลทานต่างๆนั้นก็เช่นกัน
เมื่อตัวเราเองดำเนินอยู่ในกฏแห่งวัฏฏสงสาร ยังไม่ก้าวล่วงกฏแห่งกรรมได้ ก็ยังต้องรับผลแห่งการกระทำของตัวเองอยู่ร่ำไป ไม่มีใครที่จะหลีกหนีพ้นบ่วงแห่งกรรมอันตัวเราเองลิขิตไว้ได้
การทำบุญประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น เปรียบเสมือนการทำให้ใจตัวเองสบายขึ้น ธรรมทั้งหลายนั้นสำเร็จได้ด้วยเเรงปรารถนา ความพยายามและความตั้งใจจริงของเรา
มนุษย์ผู้หนึ่งกระทำบุญนั้น มักจะหวังผลสำเร็จของบุญ หวังผลของการปฏิบัติธรรมเป็นส่วนมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าผิดตั้งเเต่เริ่มคิด การปฏิบัติธรรมนั้นจะต้องใช้สูตรแห่งใจเป็นหลักใหญ่ เมื่อใจมีความปรารถนาอยากจะปฏิบัติ มีใจที่คิดถึงเเต่เรื่องที่ดีที่เป็นมงคลเป็นกำลังใจให้กับตัวเองเป็นสติตัวรู้ช่วยคิดพิจารณาธรรมต่างๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบแบบเป็นธรรมชาติไม่ใช่การเสแสร้ง ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นย่อมสำเร็จด้วยใจ
การปฏิบัติธรรมให้ถึงพร้อมนั้นจะสำเร็จด้วยการกระทำสามสิ่ง ที่ถือว่าได้อานิสงค์มาก นั่นก็คือถึงพร้อมด้วยการกระทำ คำพูด และความตั้งใจ เพราะเป็นการประกอบรวมกันของกิริยาทั้งสามที่ครบถ้วนสมบูรณ์ หากขาดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไป สิ่งทั้งหลายย่อมไม่สำเร็จผลขึ้นมาได้ คนเราหากคิดเเต่ไม่ทำไม่พูด งานก็ไม่สำเร็จ ขณะเดียวกันหากพูดเเต่ไม่คิดไม่ทำ งานก็ย่อมไม่สำเร็จ แต่คนเรานั้นหากพูดหากคิดและลงมือกระทำ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่จะประสบความสำเร็จ ฉันใดก็ฉันนั้น ที่การทำบุญการปฏิบัติธรรมนั้นจะสำเร็จผลได้ก็ต้องอาศัยกิริยาและการกระทำทั้งสามเช่นกัน
เมื่อมนุษย์ทำบุญและปฏิบัติธรรมด้วยองค์ 3 ตามที่กล่าวไว้เเล้ว ความสุขความสวัสดีและผลสำเร็จในบุญนั้นในการปฏิบัติธรรมต่างๆมรรคเเละผลทั้งหลายนั้นก็ย่อมจะเกิดมีขึ้นแก่เขา เพราะเขาถึงพร้อมด้วยการกระทำทั้ง 3 สิ่งดังกล่าว
มรรคเเละผลทั้งหลายนั้นจะติดตัวเขาไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เหมือนเงาที่ตามตัวเราเอง เราไม่สามารถเเยกเงาของเราออกจากตัวเราได้ฉันใดมรรคเเละผลทั้งหลายอันเกิดขึ้นเเล้วของเราก็แยกไม่ออกจากตัวเราฉันนั้น
ในกรณีเดียวกัน กรรมคือการกระทำนี้ก็แบ่งออกเป็นกรรมดีกรรมชั่ว คนมักจะเข้าใจคำว่ากรรมโดยเมื่อพูดถึงกรรมมักจะมองเเต่ด้านไม่ดีเสียมาก ซึ่งกรรมหนักหรือกรรมชั่วที่ส่งผลเเก่ชีวิตเรานั้น ก็เป็นกรรมที่เราทำไปโดยความตั้งใจของตัวเองโดยส่วนมาก คือถึงพร้อมด้วยใจด้วยคำพูดเเละการกระทำของเรานั่นเอง กรรมนั้นย่อมส่งผลมากเฉกเช่นเดียวกัน คนเราหากคิดชั่ว พูดชั่ว กระทำชั่ว เช่นนี้เเล้วกรรมชั่วก็ย่อมจะเป็นเงาติดตัวเขาไป แยกกันไม่ได้คลายกันไม่ออกฉันใดก็ฉันนั้น
แต่หากกรรมชั่วเกิดขึ้นเพราะพลาดพลั้งหรือไม่ได้ตั้งใจที่จะกระทำ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยองค์ 3 ถึงพร้อมด้วยความคิด คำพูด และการกระทำแล้ว กรรมเหล่านั้นก็ยังไม่ส่งผลหนักเป็นกรรมที่ตัวเราเองยังพอจะขออโหสิกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวรเขาได้ อุปมาเหมือนเราเดินเหยียบมดตาย เราไม่รู้ว่าที่พื้นนั้นมีมดอยู่ เราเดินไปปกติ แต่เราก็เดินไปเหยียบเขาตาย นี่ก็ถือเป็นกรรม แต่เป็นกรรมที่เราทำลงไปเพราะเราไม่รู้ เราไม่ตั้งใจ เราไม่รู้ว่าที่พื้นนั้นมีมด แต่หากเรารู้ว่ามีมด เราคิดที่จะเดินไปเหยียบมด และเราก็เหยียบมดตาย เช่นนี้ถึงเป็นกรรมที่พร้อมจะส่งผลแก่เราทันที แบบนี้เป็นต้น
ก็มีทั้งสองด้าน คือการทำบุญประพฤติปฏิบัติธรรม กับการทำบาปที่คนเราก็ทำซ้ำไปวนมาอยู่ทุกวัน ก็นำมาแจกแจงให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจ -
ความเหมือนที่แตกต่าง
มีโอกาสได้พูดคุยกับหลวงพ่อ ก็เลยคิดว่าจะนำมาพิมพ์ลงไว้ซะเลย แต่กว่าจะกลับมาถึงก็ตกตี 1 แล้วเลยมาพิมพ์ตอนเช้าแทน
เรื่องที่จะพิมพ์ต่อไปนี้มองง่ายๆก็คือเรื่องพุทธคุณของวัตถุมงคล ผมเองก็เพิ่งเข้าใจได้ความรู้เพิ่มขึ้นพอท่านอธิบาย
เพราะปกตินั้นจะคิดว่าวัตถุมงคลพิธีเดียวกันเสกเหมือนกันพุทธคุณย่อมเสมอกัน ไม่ได้เเตกต่างอะไร ทีนี้พอลองถามท่านเเละท่านเล่าให้ฟังเราเองค่อยถึงบางอ้อว่าเข้าใจผิดมาทุกอย่าง หลวงพ่อท่านเมตตาไล่ให้ฟังทีละเรื่อง ก็จะนำมาเสนอไว้ให้ทราบกัน
อันดับแรก
ตะกรุดที่ท่านลงนั้น จะเป็นตะกรุดที่ท่านทำเองทุกขั้นตอนตั้งเเต่ตัดแผ่นตะกั่ว ลงจาร ม้วนกลึง ถักเชือก คลุกผง เพียงเท่านี้เราก็มั่นใจเรื่องพุทธคุณเเล้วว่าสูงเเน่นอน
ท่านบอกเรื่องนี้กับเราว่า ตะกรุดนั้น หลายที่มักจะโฆษณาว่าตะกั่วคือธาตุที่ซึมซับพลังพุทธคุณได้ดีที่สุด ซึ่งก็ใช่ในระดับหนึ่งแต่ไม่ครอบคลุมเหตุผลทุกสิ่ง มนุษย์มักจะสนจะจำกันในสิ่งที่ตาเห็น แต่เหนือความคิดเห็นเเละสิ่งที่ตัวเองมองไม่เห็นนั้นเขาไม่รับรู้ ในตะกรุดดอกหนึ่งๆนั้นหากผู้สร้างทำเป็นทำได้จริงมักจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำอยู่ทุกดอกคอยรักษาอยู่เสมอ นี่คือสิ่งที่คนมองไม่เห็น การเสกลงพุทธคุณนั้นก็เป็นเรื่องหนึ่ง สภาวะศักดิ์สิทธิ์ที่เชิญมาปกปักรักษาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สิ่งนี้เราไม่สามารถไปกำหนดกฏเกณฑ์ให้กับเค้าได้ เพราะขึ้นอยู่กับการจัดสรรค์ตามกรรมตามวาระ ซึ่งตะกรุดของเรานั้นจะมีครูใหญ่ทั้ง 2 คอยจัดสรรค์สิ่งเหล่านี้ พุทธคุณต่างๆนอกเหนือจากการปลุกเสกเราก็จะเชิญเสด็จพระใหญ่มาลงให้ ส่วนเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เป็นหน้าที่ของเสด็จปู่ใหญ่คือองค์บรมพรหมสหัมบดี กับเสด็จพ่อองค์ใหญ่คือปู่พระศิวะ ทั้ง 2 จะคอยจัดสรรค์เทวดาให้ตามกรรมตามวาระที่จะมาประจำเครื่องรางเหล่านี้
ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเเผ่นตะกั่วที่รองรับพุทธคุณได้ดีก็ใช่ว่าจะได้เทวดาศักดิ์สูงเสมอไป เวลาเราลงตะกรุดนี่เราจะรู้ทันที ถ้าเป็นตะกรุดทองคำแค่ลงเสร็จยังไม่ทันได้เสกเลยก็รู้ถึงกระเเสพุทธคุณว่าส่งออกมามากผิดปกติเหนือกว่าโลหะทั่วไป
จะกล่าวง่ายๆเลย ถ้าเป็นเเผ่นทองคำ แผ่นนาก แผ่นเงิน แผ่นนวะโลหะ - สัตตะโลหะ แผ่นธาตุกายสิทธิ์ วัสดุต่างๆเหล่านี้นอกจากจะซึมซับพุทธคุณได้ดีเเล้ว ศักดิ์เทวดาที่ลงมาประจำตะกรุดเเต่ละดอกก็ยังสูงมากด้วย ทั้งนี้ก็เป็นการจัดสรรค์กันของเสด็จปู่ใหญ่กับเสด็จพ่อองค์ใหญ่ท่าน เรียกได้ว่าโลหะยิ่งมีค่ามาก ศักดิ์เทวดาก็ยิ่งสูงเป็นเงาตามตัว จากที่เราสังเกตุเเล้วยิ่งโลหะมีค่ามากเท่าไหร่ ข้างบนเขาก็ยิ่งจัดสรรค์มาให้ดีมากเท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้อยู่นอกเหนือหลักพุทธคุณเเละการปลุกเสก เป็นเสมือนตัวเร่งเเละตัวนำที่เราไปก้าวก่ายไม่ได้ ซึ่งแผ่นตะกรุดเหล่านี้เราก็จะลงให้เฉพาะบุคคล ถ้าใครต้องการก็ให้เขาหาเขารีดกันมาเอง นี่คือเหตุผลที่ไม่ค่อยมีใครจะรู้กันนัก โบราณกาลที่ทำตะกรุดนั้นถึงเน้นหนักที่ทอง นาก เงิน เเละธาตุกายสิทธิ์ต่างๆมาหลอมรีดนั่นเอง ถ้าตะกรุดทองคำมีค่าเท่าตะกรุดทองเหลืองขอให้คนเสกคนเดียวกันพิธีเดียวกัน พุทธคุณย่อมเท่ากัน แบบนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจผิดกันถนัด
ผมเองก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไมหลวงพ่อจึงให้รีดเเผ่นตะกรุดมาให้ท่านกันเองเเล้วแต่ความสมัครใจ ถ้าไม่รีดส่งมาท่านก็จะลงเป็นตะกั่วให้ ซึ่งแม้จะเป็นตะกั่วก็มีพุทธคคุณสูง แต่งคงสูงไม่เท่าเเผ่นโลหะอื่นๆที่กล่าวไปข้างต้น ไม่ใช่ในเเง่ของพลังพุทธคุณ แต่เป็นในเเง่ของเทพเจ้าเเละสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่จัดสรรค์กันลงมาสงเคราะห์ผู้ใช้ตะกรุดนั่นเอง
อันดับที่ 2
พระผง พระผงของท่านนั้นก็เป็นสิ่งที่ผมเองเข้าใจอยู่ว่าหลายๆท่านที่โทรหาเเละ pm มาถาม ก็มักจะคิดตรงตามกันว่าเนื้อไหนก็เหมือนกันขอให้พิธีเดียวกันเสกพร้อมกันพุทธคุณก็ใช้ได้เหมือนกัน เมื่อลองถามท่านดูก็เหมือนเปิดหูเปิดตาตัวเอง ถือว่ามาทำความเข้าใจไปพร้อมกันเลย
พระผงนั้นจะมีทั้งองค์ครูองค์ธรรมดา แม้สำนักอื่นๆก็เช่นเดียวกัน ก็ไม่มีใครอยากจะพูดถึงนักว่าอันไหนเเรงกว่าอะไรทำนองนี้ ท่านก็บอกเล่าให้ผมฟังว่า ที่มีองค์ครูมีเนื้อมวลสารล้วนนั้นเนื้อนี้จะเปลืองผงเป็นพิเศษ ถ้าเอาเนื้อนี้ไปป่นเป็นผงอีกครั้งก็ยังสร้างพระได้นับ100นับ1,000องค์ทีเดียว
เมื่อเทียบกันเเล้วในพิธีเสกเดียวกัน พระผงมวลสารล้วนกับองค์ธรรมดานั้นจะต่างกันถึงเเม้จะเสกพร้อมกัน เพราะเหตุที่ว่าในพระผงเเต่ละองค์ที่ผสมมวลสารต่างๆนั้นมีการใช้ธาตุที่ต่างกัน เหมือนเทียบกับภาชนะรองรับน้ำ ภาชนะใหญ่กว่าก็ย่อมรับน้ำได้มากกว่าภาชนะเล็กๆ
และก็ลักษณะเดียวกันอีกเช่นเดิมในเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะมาดูแลมาประจำวัตถุมงคลที่ข้างบนท่านคัดสรรค์มาให้เรานั้น ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องภาชนะที่รองรับอีก ถ้าภาชนะใหญ่ก็รองรับอะไรได้มากขึ้น เทพเจ้าที่จะมาประจำก็จะเป็นเทพที่มีศักดิ์ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมคนทั่วไปถึงชอบบูชาวัตถุมงคลองค์ครูมากกว่าองค์ธรรมดา ทีเเรกผมเข้าใจว่าเป็นเพราะความโก้หรือดูดีดูพิเศษแต่ที่จริงแล้วนั้นไม่ใช่เลย
อันดับที่3
พระเนื้อไม้ช่อฟ้าแกะ ที่จริงเรื่องนี้หลวงพ่อท่านเล่าให้ผมฟังเสมอ แต่ท่านห้ามผมพิมพ์ลงไว้ตลอด ท่านว่าพระเนื้อไม้ช่อฟ้าแกะนี้เมื่อนำมาขึ้นรูปเป็นอะไรก็ตาม ย่อมเสกเดินธาตุได้ง่ายกว่าทั่วไป เเละเมื่อสำเร็จเเล้วพระนี้จะมีส่วนของพลังพุทธคุณที่แรงกว่าพระทั่วไป ซึ่งเรื่องนี้ไม่สามารถใช้การตรวจพลังวัดได้หรือมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทั้งยังเป็นเรื่องที่เกินขีดความสามารถของคนธรรมดาจะรู้ได้เช่นกัน
ซึ่งพระเนื้อไม้ช่อฟ้าแกะนี้ เมื่อสำเร็จเป็นวัตถุมงคลเเล้วก็จะมีเทวดาซึ่งมีศักดิ์สูงมาประจำอยู่เสมอ เท่าที่เราดูก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เเปลก เพราะพระเนื้อไม้แกะนี้ข้างบนเขาจัดสรรค์เทวดาที่มีศักดิ์ใหญ่ลงมาให้ประจำพระที่เเกะเสร็จเสมอๆ(ท่านอธิบายไว้ละเอียดเเต่ผมขอข้ามไป บอกได้เพียงเเค่นี้ ให้ทำความเข้าใจกันเองว่าคืออะไร)
ที่เล่ามานี้ก็บอกไว้ให้ทราบกัน ตัวหลวงพ่อเองบางครั้งท่านก็พูดก็บอกออกมาเฉพาะที่ครูท่านต้องการให้บอกให้พูด ดังนั้นใครที่มีวัตถุมงคลของท่านก็สบายใจได้เลย เพราะเเต่ละอย่างท่านตั้งใจทำมากจริงๆเรื่องพุทธคุณไม่ต้องสงสัยกันเลย แต่ในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์เเละเทวดาที่รักษาวัตถุมงคลนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงนำมาบอกเพื่อทำความเข้าใจ -
วัตถุมงคลสายบารมี
เป็นที่ทราบกันเเละผมเคยกล่าวไว้เเล้วว่าวัตถุมงคลของหลวงพ่อท่านนั้นเป็นพระสายบารมี ซึ่งจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองรักษาทุกองค์
ก็นำมาให้เป็นความรู้กัน เพราะผู้บูชาหลายๆคนที่เข้าใจผิดบางคนบูชาของเพื่อจะขอเรื่องที่ไม่สามารถเป็นไปได้ก็มี ซึ่งมีจำนวนค่อนข้างจะเยอะ ใช้วัตถุมงคลมาทั่วทั้งประเทศขอไม่ได้ติดเวรติดกรรมมาแบบนี้ก็มี
หลวงพ่อท่านบอกว่าเทวดานั้น ท่านไม่ใช่ก้อนดินหรือกิ่งไม้ ท่านมองเห็นเห็นเเทบซะจะทุกอย่าง รู้เข้าไปถึงน้ำใจคนว่าเป็นคนมีกมลสันดานเช่นใด เพราะฉะนั้นเเล้วอย่าคิดที่จะหลอกเทวดา ขออะไรขอส่งๆขอแบบไม่มีเหตุผล ขอโดยที่ขัดกับเวรกรรมของตนเองขอเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขอโดยที่ตัวเองไม่เคยทำคุณงามความดีบารมีไม่มีปรากฏ แบบนี้ขอไปก็เท่านั้น
ทีนี้การขอ ขออย่างไรเล่าถึงจะประสบความสำเร็จ เราก็เน้นไปเสมอให้เขาหัดไหว้พระ สวดมนต์เจริญภาวนาพระกรรมฐาน นอกจากจะเป็นที่รักของเทวดาทั้งหลายเเล้วยังเป็นการเพิ่มพลังให้กับวัตถุมงคลที่ตัวเองบูชาอยู่ด้วยทุกสำนักในโลกใช้กฏนี้ได้ทั้งหมด และผลที่จะตามมาก็คือ เมื่อขออะไรเทวดาเขาก็จะง่ายเขาจะอยากช่วย ช่วยแบบเต็มใจกับช่วยแบบขอไปทีนี่มันต่างกันนะ เหมือนเราช่วยงานใครเขาเราช่วยแบบเต็มใจเราก็จะทุ่มเทใส่ใจเก็บรายละเอียด แต่ถ้าเราช่วยแบบขอไปทีนี่ คืองานเสร็จก็เลิกจะออกมาดีหรือไม่ไดีอันนี้ก็ไม่สนใจ
ดังนั้นเราจึงพูดเสมอว่าให้ปฏิบัติตัวเองจนได้ใจเขา ทำให้เขารู้สึกชอบพออยากอยู่ใกล้ๆเรา ให้สำคัญตัวไว้เสมอว่าร่างกายมนุษย์นี้เหม็นเน่ายิ่งกว่ากองอสุภะอาจมทั้งหลาย ทิพย์กายขั้นสูงที่จะอยากเข้าใกล้หรือมาแปดเปื้อนกับมนุษย์นั้นแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ ต่อให้รูปร่างหน้าตาสวยงามปานใดฉีดน้ำหอมยี่ห้อดังเเค่ไหนสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ช่วยกลบกลิ่นไอความเหม็นสาปได้
สิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือการรักษาศีล ศีล5นั้นมนุษย์เองยังถือปฏิบัติได้ยาก คุณแห่งศีลมีอยู่ในโลกเมื่อผู้ใดรักษาครบ กลิ่นอายความหอมหวลขององค์ศีลนี้ก็จะเเพร่กระจายฟุ้งไปทั่วในบรรยากาศอยู่ที่ใดเทพเจ้าก็อยากเข้าใกล้อยากให้ความช่วยเหลือ ถ้ารักษาศีลควบคู่ไปกับการเจริญภาวนาสวดมนต์ไหว้พระอันนี้ยิ่งทำให้เร็วไปอีกหลายขั้นเลยเวลาขออะไรเขา
บางคนระงับกลิ่นสาปมนุษย์ไว้ได้ด้วยเพราะรักษาศีลมีองค์คุณบบริสุทธิ์ นอกจากนี้ยังกินเจละเว้นเนื้อสัตว์มาตลอดชีวิต คนแบบนี้แค่ได้กลิ่นเนื้อหมูเนื้อไก่ก็เหม็นสาปแล้ว เขาทำได้อย่างไร เขาก็ต้องใช้ความพยายามของเขา และต้องมีบุพกรรมที่ดีซึ่งเขาเคยทำไว้ส่งผลด้วย
มนุษย์ทุกคนนี้มีบุพกรรมติดตัวมาแต่กำเนิด เกิดชาติก่อนเป็นอะไรชาตินี้ย่อมมีลักษณะนั้นๆติดตัวมาด้วย ไม่เว้นเเม้เเต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้อรหันต์หรือพระอสีติมหาสาวกทั้งปวงนับภาษาอะไรกับคนธรรมดาเเบบเรา ดังนั้นบุพกรรมที่ติดตัวมาถ้าเป็นของดีก็ดีไป ถ้าไม่ดีก็ควรจะรีบปรับเเก้เสียให้มันถูก เพราะมันจะได้ไม่ตามติดเราไปอีกถึงภพชาติต่อไป
เมื่อจะขออะไรใครนั้น ให้พึงสังวรณ์ไว้ว่าเราได้ทำเต็มที่เเล้วหรือยัง เกิดเป็นชายนั้นมีความสัตย์เป็นมงคลคุ้มกายคุ้มหัว อย่าหลอกตัวเอง อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะเมื่อเราหลอกตัวเองแล้วย่อมจะหลอกผู้อื่นด้วย ลุกลามไปถึงหลอกแม้เเต่เทวดา ซึ่งมันจะไม่ส่งผลดีอะไรกับชีวิตเราแน่นอน
การขอนั้นไม่ใช่งอมืองอเท้าคิดเเต่จะขอ ให้ตัวเราเองพยายามให้ถึงที่สุดเสียก่อน เมื่อเราพยายามเเล้วยังไม่ประสบผลนั่นเเหละค่อยขอ เทวดาท่านชอบวัดน้ำใจคน ว่ามีความพยายามเเค่ไหน ที่มาขอท่านนี่ตัวเองได้ลงมือทำเเล้วรึยัง
ความพยายามนี้เป็นแรงกระตุ้น เป็นกำลังใจขั้นสูง มนุษย์เมื่อพยายามเเล้วย่อมทำได้ทุกสิ่ง แม้กระทั่งพระนิพพานก็ยังสามารถไปถึงได้ หากปราศจากความพยายามนั่งคอยผลกรรมไปวันๆเเล้วโลกนี้ย่อมปราศจากพระอรหันต์ ย่อมปราศจากพระพุทธเจ้าอย่างแน่เเท้ เพาะพระนิพพานนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะพึงมีมาแต่ที่ไหน พึงลอยลงมาแต่อากาศจากสวรรค์ชั้นใด มนุษย์ย่อมเข้าถึงได้ทุกผู้ทุกคนโดยใช้ความเพียรพยายามของตัวเองเท่านั้น อุปมากับพระนิพพานเเล้ว มนุษย์ย่อมสำเร็จได้ทุกเรื่องหากลงมือกระทำเเละมีความเพียรพยายามไม่ต้องไปขอใครก็สามารถทำได้
คนเรานี้เกิดมาบารมีไม่เท่ากัน ถ้ารู้ว่าน้อยก็ควรคิดที่จะทำจะสร้างให้เกิดขึ้นไม่ใช่ปล่อยเวลาผ่านไปวันๆให้เกิดมาเสียชาติมนุษย์ หนทางข้างหน้าจะเปิดหรือปิดนั้น ขึ้นอยู่กับตัวเองเป็นสำคัญมิใช่ผู้อื่น ดวงชะตาก็ไม่มีผลเท่ากรรมลิขิต พรหมลิขิตก็ไม่มีผลกับเราเท่ากับตัวเราลิขิตตัวเอง วัตถุมงคลนั้นหากมีไว้เพื่อสร้างบารมีร่วมกันกับผู้ใช้ นั่นถึงจะคู่ควรเป็นวัตถุมงคลโดยแท้ -
ความคืบหน้า
หลวงพ่อก็เดินทางมาจำวัตรอยู่ที่กรุงเทพเเล้ว ก็เป็นเรื่องดีๆเพราะได้ทำบุญรับพรจากท่านมา
ก็มีหลายเรื่อง การขึ้นดอยครั้งนี้ก็สำเร็จภารกิจของท่าน เรื่องต่างๆอันนี้ถือว่าผมเล่าเองดีกว่าเพราะท่านเป็นพระท่านเล่าเเล้วจะดูไม่ดี ผมฟังท่านมาก็เลยนำมาพูดต่อ
ท่านก็ทำหลายอย่างมากเพราะท่านเตรียมเหล็กจารเเละเเผ่นตะกั่วไปด้วย ท่านเอาไปจารเป็นตะกรุดฝังไว้ตามที่ทางเทือกสวนของชาวบ้าน เพื่อให้การเพาะปลูกดีผลผลิตดี ก็เป็นความเมตตาของท่าน
เรื่องนี่ก็เล่าไว้เพราะเป็นภารกิจสำคัญ เป็นเรื่องของเพื่อนสมัยเด็กของท่านที่เรียกว่าสัมภเวสีหรือผีพรายนั่นเอง ท่านได้เดินทางไปจำวัตรในศาลาที่ชาวบ้านเตรียมไว้ต้อนรับ ซึ่งจะมีต้นขนุนปลูกไม้ติดศาลาด้วย ท่านได้พบกับวิญญาณของผีพรายนางหนึ่งซึ่งเป็นผีตายท้องกลมไม่เคยออกอาละวาดมาก่อนเลย เมื่อตายเเล้วก็มาอยู่ตรงศาลานี้ เนื่องจากสามีของเขาเป็นคนรับเหมาสร้างวัดนี้ แล้วผู้หญิงก็ไม่รู้เรื่องว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านทำอาถรรพ์ไว้ ศาลานี้ห้ามสตรีเพศขึ้นมาเหยียบ เขาก็เหยียบปีนคร่อมเพราะความไม่รู้ สุดท้ายเมื่อตายไปก็วนเวียนมาเฝ้าศาลาในสถานที่แห่งนี้
เมื่อไปถึงท่านจำวัตร ท่านก็ได้รับรู้ถึงกลิ่นเหม็นแปลกประหลาดเเละการปรากฏของผีพรายเพื่อขับไล่ท่านไม่ให้ท่านมาอยู่ในศาลานี้เนื่องจากศาลานี้ไม่เคยใช้รับแขกมาก่อน ท่านก็แผ่เมตตาให้เขาไปในคืนเเรก พอรุ่งขึ้นตอนกลางวันเเสกๆกลิ่นก็มาเเรงเหมือนเดิม หลวงพ่อท่านกำหนดจิตก็จำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนที่เคยวิ่งเล่นกันในสมัยเด็กของท่านเเต่เขาจำท่านไม่ได้ ท่านจึงปรารถนาที่จะส่งให้เขาไปผุดไปเกิด โดยการปราบพยศวิญญาณเฮี้ยนนี่ก่อน ท่านได้จารตะกรุดหัวใจท้าวเวสสุวรรณไปฝังไว้บริเวณต้นขนุนหน้าศาลานี้ ปรากฏเหตุการณ์แปลกประหลาดยางของต้นขนุนได้ไหลออกมาเป็นสีแดงในวันเดียวกันนั้นเอง ซึ่งปกติชาวบ้านบอกว่าขนุนต้นนี้ยางไม่ใช่สีนี้
หลังจากนั้นท่านจึงไปนั่งสมาธิเเผ่เมตตาของท่านจนเสร็จกิจทุกอย่าง พอจะกลับท่านก็พูดว่าเขาไปผุดไปเกิดเเล้ว เรากลับได้ซักที
เมื่อมาถึงกรุงเทพกลับวัดพระที่นั่งสนทนากับท่านก็ถามไถ่คุยไปคุยมา หลวงพ่อของเราเอาอะไรไปแค่ไหนท่านก็เอากลับมาเเค่นั้น นั่นก็คือซองเเละปัจจัยต่างๆที่ชาวบ้านทางนั้นถวายท่านไม่ได้เเตะต้องหรือเปิดดูเลยทิ้งเอาไว้เป็นกองอยู่ตรงนั้นให้เขาใช้พัฒนาวัดต่อไป หลวงพี่หลวงพ่อองค์อื่นต่างก็สาธุการเเละบอกว่าพวกผมอยู่ในกรุงเทพคงทำแบบท่านไม่ได้
แต่ที่ผมประทับใจคือกิจวัตรของท่าน ท่านตื่นตีสามทุกวันเเละเดินบิณฑบาตรทุกวัน วันเเรกเดินอยู่สามชั่วโมงไม่มีใครใส่บาตรท่านซักคน เพราะไม่มีใครรู้ว่าท่านมาท่านไปแบบเซอไพร้ส์แล้วก็เซอไพร้ส์จริงๆ พอเขารู้เขาก็นิมนต์เเละตื่นมาใส่บาตรท่านกัน ตามไปทำบุญกันถึงที่วัด
ก็นำความคืบหน้ามาเล่าสู่กันฟัง รอให้ท่านบรรลุภารกิจอีกอย่างหนึ่ง ก็จะสึกออกมาเป็นฆราวาสตามปกติ -
หมอดู
ก็เป็นเรื่องที่เราเห็นกับตา ทั้งพระในวัดเเละฆราวาส พอเจอท่านก็ไม่พ้นจะชวนสนทนา ในคำสนทนานั้นก็ไม่พ้นที่จะถามเรื่องอนาคตเรื่องคำทำนายเจ้าฟ้ากุ้ง
พระบางรูปยังถามท่านว่าเจ้าฟ้ากุ้งนี่เป็นเจ้าทางเหนือหรือที่ไหนไม่เคยได้ยิน ท่านก็จะบอกว่า เป็นสมเด็จพระมหาอุปราชที่กรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์หรือพระพุทธเจ้าอยู่หัววังหน้าในสมัยอยุธยา
ซึ่งหลังๆนี้ท่านจะไม่เล่าหรือบอกคำพยากรณ์ของพระองค์ท่านกับใครเเล้ว เพราะว่าท่านเวลาพูดจะมีอาการปวดหัวปวดตาเหมือนโดนปิดปากไว้ แต่ก็ไม่วายหลายคนที่มาถามท่านก็ต้องการรู้เพิ่มเพราะบอกว่าเเม่นจริงๆ แต่หลังๆท่านก้ไม่พูดเเล้ว
วันนี้พอกลับมาวัดก็มีพระมีโยมรอถามท่านเรื่องคำทำนายของเจ้าฟ้ากุ้งอยู่ เเต่ท่านก็ยิ้มเเละไม่ได้พูดอะไรชวนคุยเรื่องอื่นเเทน ท่านว่าพระองค์ท่านเป้นห่วงเเละเลือกที่จะสื่อจะบอกเฉพาะลูกหลานที่เคยมีบุญทำกรรมเเต่งร่วมกันมาไม่ใช่พระประสงค์ที่จะให้พูดออกไปเป็นข่าวเป็นคำทำนายไปทั่ว ท่านจึงเลือกที่จะไม่พูด สำหรับใครที่รู้เเล้วท่านก็ให้รู้เเค่นั้นไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ท่านว่าเราไม่อยากเป็นหมอดูเพราะมันวุ่นวาย คนเราเมื่อรู้อนาคตเเต่ละคนก็จะมีปัญหาต่างๆกันไม่มีวันจบสิ้นที่จะต้องมาคุยมาปรึกษาเพิ่ม
อุปนิสัยของท่านไม่ชอบคนเยอะ ไม่ชอบความวุ่นวายไม่ชอบอยู่ร่วมกับใครเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะเป็นคนมักน้อยอย่างเเท้จริง เพราะตั้งเเต่ท่านบวชมานั้นท่านฉันอาหารในบาตรเป็นวัตรเเละฉันเพียงมื้อเดียวทุกวัน ดังนั้นจึงยากเเละไม่มีใครที่จะไปเปลี่ยนเเปลงอุปนิสัยอันติดมาเเต่ชาติกำเนิดของท่านได้ เเละท่านเองก็ไม่อาจไปเปลี่ยนอุปนิสัยอันติดมาเเต่ชาติกำเนิดของใครได้เช่นกัน ดังนั้นเรื่องนี้เวลาใครถามบางครั้งท่านจะโยนมาให้มาถามกับผมเเทนเพราะท่านมักจะเล่าให้ฟังตลอด
พอผมบอกผมพูดไปเค้าเห็นตรงตามคำทำนายของเจ้าฟ้ากุ้งที่หลวงพ่อนิมิตรไว้ว่าเเม่นเค้าก็มาถามกันอีกทั้งพระทั้งฆราวาส เราก็เลยเข้าใจทันทีว่าความวุ่นวายเป็นยังไงความน่ารำคาญเป้นยังไง
เรื่องนี้ก็เล่าไว้เพราะเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมาในวันนี้ -
ก็ตั้งกระทู้ใหม่แล้ว รวบรวมรายการวัตถุมงคลท่านให้ดูเป็นระเบียบมากขึ้น
ตอนนี้ทางพ่ออาจารย์ก็ได้สึกออกมาเเล้ว ผมจะค่อยๆดำเนินการนำเสนอความคืบหน้าต่อไป:cool: -
ขอจองบูชา
1. สีผึ้งเสน่ห์นางแย้มรุ่นแรก 1 ตลับ
2. ตะกรุดคำแหงหนุมานยกดวง 1 ดอก
ช่วงนี้มีแถมตะกรุดโภคทรัพย์ฟรี ด้วยหรือเปล่าครับ? -
ขอจองตะกรุดพลิกฟ้า ดวงโคตรเศรษฐีมหาคฤหบดี (เมตตาแสนล้าน) 1 ดอกครับ
ขอแบบเป็นตะกรุดทองแดงขนาด 3 นิ้วไว้ห้อยคอนะครับ
รายละเอียดอื่นๆ ขอเป็นแจ้งทาง PM นะครับ
ขอบคุณครับ -
รับทราบทุกการจองครับ
-
คำสอน คติเตือนใจ
ช่วงนี้อยู่ในเทศกาลกินเจรอบที่สอง
พ่ออาจารย์ท่านก็ทานเจด้วยเช่นกัน ซึ่งท่านไม่ได้ทานเฉพาะเทศกาลเเต่ท่านทานของท่านประจำในวันสำคัญๆเเล้วก็วันโกนวันพระ
การทานเจนั้นท่านว่าก็เป็นเรื่องดีที่ว่ายกเว้นชีวิตด้วยการให้ชีวิต มันเป็นเหตุผลปลายเหตุ เพราะวันๆหนึ่งคนเราก็ฆ่าสัตว์ด้วยเจตนามากมายอยู่เเล้วทั้งมดเเละยุง ทั้งนี้สิ่งที่บอกว่าเป็นการละเว้นชีวิตด้วยการให้ชีวิตในช่วงกินเจนั้นท่านจึงถือเป็นเรื่องปลายเหตุ คือมีส่วนด้วยเเต่ไม่ทั้งหมด
การกินเจนั้นพ่ออาจารย์ท่านถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีการฝึกตนเอง เนื่องจากคนเรานั้นจะต้องกินต้องเสพย์รสชาติต่างๆที่ถูกปากเป็นการสนองตัณหาความต้องการของตนเอง ดังนั้นเมื่อทานเจจึงเป็นการฝึกขันติบารมี รู้จักข่มจิตข่มใจอดทนอดกลั้น ไม่หลงไปกับสิ่งยั่วยุรสชาติอาหารต่างๆ เป็นการกินเพื่อให้มีชีวิตบริโภคเพื่อต่อลมหายใจในวันหนึ่งๆเท่านั้น ไม่ได้ใช้ร่างกายนี้เพื่อเบียดเบียนสัตว์เล็กๆทั้งหลาย
ผลที่จะได้จากการกินเจนั้นนอกจากได้ผลทางอ้อมที่ปลายเหตุคือการละเว้นชีวิตด้วยการให้ชีวิตเเล้ว ยังให้ผลทางตรงกับเราด้วย นั่นคือการฝึกความอดทนการสงบสติอารมณ์ยับยั้งชั่งใจ ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเราโดยตรงให้เราเป็นคนมีสติมากขึ้น สุขุมมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้น นี่คืออุบายธรรมอย่างหนึ่งที่ควรฝึกไว้เเละทำให้ได้เพื่อเป็นพื้นฐานในการดำรงค์อยู่ในชีวิตประจำวันของตัวเอง
ในช่วงกินเจนี้ ก็ถือว่าเป็นการทำบุญที่ถึงพร้อมด้วยบุญกิริยาวัตถุ3ของตัวเอง ดังนั้นจึงควรสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิควบคู่ไปด้วย จะได้อานิสงค์มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความตั้งมั่นเเละตั้งใจของเเต่ละคน สุดท้ายเเล้วสิ่งที่ลืมไม่ได้ในทุกๆวันก็คือการเเผ่เมตตากรวดน้ำอุทิศผลบุญกุศลนี้ให้กับสิ่งใดก็ว่าไป บางคนกินเพื่อให้สัตว์เล็กๆ บางคนกินอุทิศให้ญาติมิตรที่จากไปแล้วหรือกินเพื่อให้เทพเจ้าทั้งหลายก็มี ก็บอกกล่าวกันให้ชัดเจนว่าอุทิศให้ผู้ใด
เทศกาลนี้จัดอยู่ในการทำบุญตามกาลตามโอกาศ เป็นบุญที่เราสามารถทำได้กับตัวทุกคนไม่ยากเกินความสามารถ ไม่สิ้นเปลืองทรัพย์ ไม่เสียเวลา ซึ่งบุญที่ทำตามกาลตามวาระเช่นนี้ย่อมให้อานิสงค์มาก
บุคคลใดที่ชื่นชอบบุญ ก็ไม่ควรละเลยหรือมองข้ามสิ่งเล็กๆ หากสิ่งเล็กๆนั้นเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เป็นนิสัยเเล้ว ย่อมส่งผลให้เกิดอานิสงค์ยิ่งใหญ่ได้เช่นเดียวกัน -
เปลี่ยนเป็นจองตะกรุดพลิกฟ้า ดวงโครตเศรษฐี เมตตา แสนล้าน
ขอแบบตะกั่ว 5-6 นิ้วครับ
ผมมีวิธีแขวนในสร้อย ไม่แกะกะครับ -
รับทราบครับ
-
ก่อนนอนพิจารณาเเบ่งเวลาซักนิด สวดมนต์ไหว้พระทำกรรมฐานกันนะครับ อย่าลืมแผ่เมตตาสารพัดแก่สัตว์ทั้งปวงด้วยนะครับ:cool:
หน้า 6 ของ 458