ทุกคำตอบย่อมมีเหตุผล
เมื่อผู้ตอบตอบตามกำลังสติปัญญาของตน
ผู้ฟังก็พึงฟังอย่างมีสติ และเทียบเคียงความรู้ความเข้าใจ ของผู้ตอบคำถาม
คำตอบที่ได้รับ ย่อมสื่อถึงภูมิธรรม ถูมิปัญญาความเข้าใจของผู้ตอบ
ทุกคำตอบจึงไม่มีผิดหรือถูก เพราะอ้างอิงตามจิตที่ผู้ตอบชำระได้ถึง เมื่อท่านผู้ถามได้คำตอบแล้ว พึงเมตตาอธิบายในส่วนที่เห็นว่ายังบกพร่องอยู่ เพื่อเติมเต็มสติปัญญาให้เขาได้รอบรู้กระจ่างมากยิ่งขึ้น และควรพิจารณาว่าเขามีพื้นฐานอย่างไร ควรขยายธรรมแนะนำส่งเสริมแก่กันอย่างไร
นี่เป็นสิ่งเล็กน้อยที่ผมอยากแนะนำ คือไม่ใช่แนะนำว่า ต้องตอบอย่างนั้นอย่างนี้
แต่แนะนำกระบวนการและวิธีพูดคุยสื่อสารกันมากกว่า สิ่งที่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้ฝึกฝน อันจำเป็นอย่างยิ่งในการสงเคราะห์ซึ้งกันและกัน
เมื่อใดที่ท่านทั้งหลายไม่ฉลาดรอบรู้ในกลวิธี ก็อย่าไปหวังว่าจะได้รับความรู้อะไรใหม่ๆเพิ่ม ปรมัตถธรรมย่อมสามารถออกจากกาย วาจา ใจเราไปสู่ผู้อื่นได้
แต่ถ้ากระบวนการสื่อสารเริ่มต้น ไม่ดีงาม ไม่เปิดใจ ตั้งไว้ผิด มีมิจฉาทิฏฐิ กระบวนการสื่อสารนั้น มันก็จบ มันก็ไม่ประสพผลสำเร็จตั้งแต่ต้นแล้วครับ
ดังนั้นใดๆก็ตามล้วนมีครรลองอันดีงามของมัน พึงมีสติปัญญาเลือกทำในสิ่งที่ดีงามนะครับ แล้วจะได้รับผลที่ดีกลับคืนมาเช่นกันครับ สาธุ
ร่างกายไม่ใช่เรา จิตนี่ก็ไม่ใช่เราแล้วอะไรล่ะที่เป็นเรา
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 3 พฤศจิกายน 2015.
หน้า 10 ของ 14
-
-
เราไม่มีคครับ
-
แก๊งงง ...หมดยกที่หนึ่ง
-
ภาวนาว่า " ไม่มีเราๆๆๆๆๆๆ " จนรู้สึกกายเบา ใจเบา แล้วจะรู็ว่า ไม่ใช่เรา
-
เราก็คือจิตน่ะแหละ จิตที่ไม่มีความโกรธ ภาวนาท่องไว้ ไม่โกรธหนอๆๆๆๆ คำว่าเราคือความถือ ภาวนาว่าไม่ใช่เรา ของเรา ของของเรา สักกายทิฏฐิคือไม่เห็นเหตุถือตัวตน เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เจตนาฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่เจตนาลักทรัพย์ ไม่เจตนาประพฤติผิดในกามคือไม่กระทำจริงต่อคนที่มีคู่รักหวงแหนแล้ว ไม่เจตนาพูดโกหก และไม่เจตนาดื่มกินเหล้าเป็นอาจิณ
-
จะนานๆถี่ หรือปีละ
ครั้ง
ลุงไม่เคร่งนะแต่ละได้แล้ว ๕ หกปีแล้ว
ถึงวาระก็ละได้เองนะฮะ -
ผมกำหนดให้เราเป็นสติ มองดู ร่างกาย กับจิตทำงานครับ
-
แบบไม่ต้องสร้างสรรขึ้นมาเองล่ะฮะ -
ต้องรอผู้รู้มาซัก -
เราเป็นสติ นั่นแหละอัตตามันหลอกให้หลง จะเอาภพ
มีภพมีชาติ มีตัวกูของกูเป็นที่ยึดเหนี่ยวเสียอยู่ร่ำไป ไม่กล้าว่าง อยู่อย่างว่างเปล่า เห็นความเกิดดับ
ไร้ความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง -
-
จิตที่ประกอบด้วยสติและสัมปชัญญะของเรา
นั่นแหละคือผู้รู้ถูกมิถูกครับ -
ผู้ฝึกฝนย่อมต้องอาศัยกลวิธี เพราะยังไม่ชำนาญ
การกำหนดเราเป็นสติ ก็หมายถึงการกำหนดให้สติเป็นนายเรา เป็นเสายึดเอาไว้ ยึดไว้เพื่อ ความเข้าไปรู้แจ้งในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม
ตรงนี้ถือว่าไม่แปลกมาถูกทางแล้ว
แต่ถ้าท่านเดินอย่างนี้ก้าวหน้าขึ้นไปอีก เมื่อมีสติปัญญามากขึ้น ย่อมปรากฏวิมุตติ เมื่อนั่น ความยึดมั่นของทั้งทั้งปวงย่อมดับลงวางลงในที่สุดครับ
ยึดรู้ เพื่อเข้าถึงตัวรู้ คือ ยึดเพื่อรู้ เมื่อรู้แล้วจึงวาง สรุป คือยึดเพื่อเข้าถึงความไม่ยึด นั่นเอง
เวลาเราพูดเรื่องนี้กับใครต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เขาเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เมื่อเราเข้าใจรู้ในระดับสติปัญญาที่เขามีแล้วจึงค่อยต่อยอดความรู้
อย่ารีบไปสรุปฟันธงอย่างนั้นอย่างนี้ ก็อย่างที่ผมบอก
พูดกับปุถุชนก็ต้องพูดอย่างหนึ่ง
พูดกับพระโสดา ก็อย่างหนึ่ง
พูดกับพระสกิทา ก็อย่างหนึ่ง
พูดกับพระอนาคา ก็อย่างหนึ่ง
พูดกับพระอรหันต์ ก็อย่างหนึ่ง
แม้แต่พูดกับพระโพธิสัตว์ก็อย่างหนึ่ง
แต่อย่างหนึ่งที่ผมว่า มันก็คือกระบวนการวิธีการในแต่ละลำดับ ของความเป็นโลกียะธรรมและโลกุตระธรรม ที่ผู้อธิบายต้องละเอียดแยบคายให้มากหน่อยก็จะเกิดประโยชน์ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง
เวลาจะคุยกัน อย่าเอาตนเองเป็นที่ตั้ง แต่ให้เอาสาระสภาวะแห่งธรรม เป็นที่ตั้ง ครับ สาธุ -
หลักธรรมสอนกันได้ไม่ยากสำหรับบางท่าน
แต่สิ่งที่สอนกันไม่ได้คือจริตเดิม วิถีเดิม สันดารเดิม ที่มีทั้งดีและไม่ดี
และที่สอนไม่ได้คือความเป็นผู้เผยแผ่พระธรรมที่ดี อันนี้สอนยากมาก หลายท่านไม่เคยรู้เลยว่าการเป็นผู้เผยแผ่พระธรรมที่ดี ต้องทำอย่างไรบ้าง ว่าไปมันเป็นบารมีอย่างหนึ่งของผู้เป็นพระพุทธเจ้า หรือครูบาอาจารย์ ต้องฝึกฝนและเรียนรู้ให้มาก แต่บางท่านก็ชอบแบบปัจเจกก็ไม่ว่ากัน แล้วแต่ครับไม่มีอะไรผิดครับ สาธุ -
ธรรม หากเสวนาเอาธรรมเป็นใหญ่ จะไม่มี อาการไปต่อรอง ให้กับกิเลส
การไปเปิดช่องให้กิเลส มีตัวมีตน มีสาสวะ อาสวะ รองรับ
เท่ากับ ภาวนาด้วยการวางยา มารยาสาไถย(ชื่อกิเลส ไม่ได้หนาสันติใครทั้งนั้น ) !!
การทีมีคนยกขึ้นว่า " สติเป็นเรา " แล้วคนบางคน อาศัย สัมผัสแรกใน
การกระทบ ธรรมบท ดังกล่าว แล้ว ระลึกได้ว่า " ไม่ถูก " ตรงนั้นคือ
สภาวะแรกที่ ปัญญาอันยิ่ง(ไม่ได้เกิดจากเรา) เข้าไปสัมผัส
แต่พอเกิดได้แว๊บเดียว ก็ พยายามไปทวนว่า ตะกี้เกิด ญาณ อะไร
ตรงนี้ วิตก วิจาร กำเริบ ตกจากสมาธิจิต ทำให้ ลังเลสงสัย เข้ากระทืบ
แล้วปิดบังด้วย " อาการอัญเชิญคนอื่นมากล่าว "
" อาการเชิญคนอื่นมากล่าว " คือ เชื้อร้ายที่ไป ศรัทธา เข้าใกล้
จิตสาไถย์สีเบอร์5 เบอร์6 โพธิสัตว์ถอนมาจากอนาคามีหนาสันติ !!!
ทำให้ " ปัญญาอันยิ่งเอง " อันตรธานหายไป "ตถาคต" ถูกบดบัง
ปล.ลิง สำหรับ วิญญูชน สติ มันจะเป็นเราได้ไหม ในเมื่อ เดี๋ยวก็มี เดี๋ยวก็ไม่มี
สิ่งใดเดี๋ยวมี เดี๋ยวไม่มี เป็นทุกข์ ควรหรือจะไปสำคัญว่านั่นคือเรา ของเรา
ก็มีแต่ สัตว์สัญญาเสีย กำหนดรู้การเกิด ดับ ของสัญญา ไม่ได้ เท่านั้น ที่จะเอา
สังขารความคิด มาทับการภาวนา แล้วโทษใคร ตนเองวางยาการภาวนาตนเองให้เรือหาย
แล้วจะต้องไปเสียเวลาโทษใคร -
นี่แหละ คือธรรมดา ในโลกธรรม
ธรรมควรกล่าว
ถูกคน
ถูกกาละ
ถูกเทสะ
ดังนั้น เมื่อรู้แจ้งเช่นนี้แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวหรือสนทนากับคนพาล หรือผู้มีทิฏฐิ เพราะมีมิจฉาปิดกั้นไว้หนา
แต่เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็เรื่องของเขา เราไม่ได้สนใจ เราสนใจกาย วาจา ใจของเรามากกว่า
กรรม ย่อมให้ผลแก่ผู้กระทำเสมอ ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า และไม่มีใครเก่งเกินกรรม
คนที่ขาดสติปัญญาในธรรม ย่อมกระทำ ทาง กาย วาจา ใจ อันเป็นทุจริต และบิดเบือนตนเอง แต่สิ่งที่พยายามทำออกมาให้ดูดี เมื่อมันไม่ดีจริง ย่อมเป็นการประจานเกียติภูมิความดีของตนนั่นเอง พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง -
้น้องๆ หนูๆ คนไหนเข้ามา อย่า งง นะฮับ
พอเราเสวนากันเรื่อง "สติ" คุยไปสักพัก ความพอใจในธรรมมันเกิด
ความกำหนัดมันก็เกิด พอเสวนาไปเรื่อยๆ ก็จะ หลงลืม สมาธิอินทรีย์
ปัญญาอินทรีย์ ศรัทธาอินทรีย์ วิริยะอินทรีย์
ก็จะมีอาการ เอา สตินำหน้า เอาอินทรียนำหน้า กำหนัดมากๆเข้า
ก็โดนกิเลสหลอก ให้ ภาวนาเอาสตินำหน้า เป็นเรา ไปทำสติให้เที่ยง
ให้หมุนจี๋ๆๆๆๆๆๆๆๆ ตายน้ำตื้นหน่าครับ การภาวนาจะไม่ใช่ อย่างนั้น
อินทรีย์จะต้องปรับไป ปรับมา ปรับกันไป ปรับกันมา จนกว่าจะเกิด การ
ภาวนาที่ สมควรแก่ธรรม คือ รู้ลงปัจจุบัน ไม่มีการก้ำเกินกันของอินทรีย์
ตัวไหน จนมันกลายเป็น อินทรีย์(เป็นใหญ่ บดบัง อินทรียตัวอื่น)
ดังนั้น การภาวนาแบบเอื้อกิเลส ไม่มี มีแต่ การภาวนาแบบเอาธรรมเป็นใหญ่
ฟาดกิเลส ลูกเดียว หากไปเปิดช่อง นี่ มันเริ่มอ้างเลห์ จะงัด ความสามารถ
หนาสันติ !! ในการดูฤกษ์ ดูยาม ดูการตั้งศาลพระภูมิ เจ้าที่ ผีลูกกรอกวิ่งในบ้าน
นี่มันเริ่ม ทนความกำหนัดตัวเองไม่ไหว อยากจะ รับพยากรณ์ เพราะ จดหมาย
มันค้างหลังบ้าน จะปฏิเสธ ก็เสีย การได้รับสักการะ เสียหน้า
มันเลนยกลับมาเปิดช่อง การสอนธรรม จะต้องสอนแบบอวยตามกิเลสคนอื่นไปก่อน
เปล่าเลย กิเลสของมันในการอยากพยากรณ์นั่นแหละ มันบีบคั้น แล้วอ้างเลห์
เอา คนอื่น มาสนองกิเลสของมัน โยนความผิดให้คนอื่นว่า มาร้องขอ
การเว้นขาดซึ่งการพยกรณ์ ฯลฯ เลี้ยงชีพด้วย เดรัจฉานกถา ( อาหารมี 4อย่าง
ไม่ได้หมายถึง โภคทรัพย์ คำข้าว อย่างเดียว การไปเสพปิติดีใจ อนุโมทนา สาธุ
นั่นคือ การเสพอาหาร เลี้ยงชีวะตา ให้มัอุปาธิ อุปาทาน สืบภพชาติ )
การเว้นขาดซึ่งการพยกรณ์ ฯลฯ เลี้ยงชีพด้วย เดรัจฉานกถา คนที่เป็นเดียรถีย์
จะ สรรเสริญธรรม ข้อนี้ของพระพุทธองค์ไม่ได้
ได้แต่ เปิดช่องให้ตน ได้มีโอกาส มาแส่ส่าย เอาวิญญาณไปแส่ส่าย แบบ สัมภเวสี
แล้วอ้างว่า นั่นคือ สุดยอดความรู้ ที่ช่วยโลก
แต่ในแง่ของธรรม " การมีวิญญาณอาหาร เลี้ยงชีวตา " นั่นคือ อาการมารยาสาไถย ไม่ใช่ สัมมาอาชีวะ
น้องๆ หนูๆ อ่าน ธรรมบทเรื่อง " อาหาร4 " ประกอบ
การได้มาซึ่งอาหาร เหล่านั้น จัดเป็น อาชีพ อาชีวะ
นักพยากรณ์ หมดดู หมดเดา หิวการแส่ส่ายจิตไปรู้นั่นรู้นี้ ก็เพื่อ สนองความหิวอารมณ์อย่างผีเปรต ธรรมดาๆ
อาศัย วันเดือนปีเกิด บ้าน เจ้าที่เจ้าทาง เป็น เลห์ให้ อุปาธิอุปทานเยี่ยงสัตว์ของเขา ได้กำเริบเติบโตเท่านั้น
เรียกว่า อาศัยความไม่รู้คนอื่น อาศัยความทุกข์ของคนอื่น ไปสนองกิเลสตัวเอง แล้วหนาดาน !!! อ้างว่า กำลังทำความดี ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยสอน -
เพราะเราทั้งหลายผู้ยังไม่หลุดพ้นทุกข์ ยังคงต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยู่
ผลแห่งกรรมในอดีตมากมายหลายภพชาติต่างรอให้ผลไม่จบสิ้น
เราไม่อาจหลีกหนีและทราบชะตากรรมได้แน่ชัดหมดสิ้น เพราะการให้ผลของกรรมชั่งซับซ้อนเหลือเกิน
วิชาโหราและการตรวจดวงชะตา แท้จริงมันก็เป็นเพียงการพยากรณ์หรือการพยายามหาวิธีการเข้าไปศึกษาเรียนรู้ วาระแห่งกรรม ประเภทของกรรม การให้ผลของกรรม เพื่ออะไร ก็เพื่อการได้ทำความเข้าใจเรียนรู้และวางแผนเชิงรับและเชิงรุก เพื่อการทำปัจจุบันให้ดี เพื่อการเข้าไปรู้เหตุ เพื่อการสร้างผลหรือสร้างอนาคตที่ดี นั่นจึงไม่ใช่การหลงงมงาย แต่นั่นหมายถึงการทื่เราควรต้องรู้ต้องเข้าใจ เพราะชีวิตของพวกเรายังคงต้องเวียนว่ายในบ่วงกรรมนั่นเอง ความรอบรู้ในกรรม ในเหตุปัจจัย ย่อมทำให้เราสามารถแก้ไขกรรมต่างๆไปได้ด้วยดี ซึ่งหากพิจารณาให้ดีแล้ว พระพุทธองค์ทรงกล่าวเรื่องนี้แบบในเชิงสร้างสรรค์ไว้ดีแล้วคือ การละบาปกรรม การทำความดีและการชำระจิต นั่นเอง แต่หลายคราที่คนเราหลายท่านต่างก็มุ่งทำความดี ละบาปกรรม แต่ชะตากรรมกลับเลวร้ายได้รับแต่สิ่งไม่ดี นี่ก็เพราะผลกรรมไม่ดีในอดีตมีกำลังมากกว่าผลกรรมดีในปัจจุบัน
ผมขอให้กำลังใจทุกๆท่าน ขอให้มีสติปัญญาแยกแยะ ไม่ประมาท อดเปรี้ยวไว้กินหวาน
สร้างบุญทานไว้กินผล อย่าเจ็บอย่าจนขอให้มั่งมีศรีสุขสมปราถนาทุกประการ ขอให้มีสติปัญญาณหลุดพ้นทุกข์สำเร็จโดยเร็วพลัน ครับ สาธุ
ท้ายนี้ เราเป็นผู้ฝึกสติปัญญา ย่อมรู้ดีว่า สิ่งใดควรไม่ควรสิ่งใดดีงามไม่ดีงาม เมื่อรู้แล้วก็พึงทำแต่สิ่งดี สิ่งไม่ดีบางอย่างที่เรายังละไม่ได้ขอให้มีความเพียรมีขันติ ข่มใจดัดตนในที่สุดก็จะพ้นบ่วงกิเลสมาร เมื่อกำลังใจเรามีกำลังมากพอแล้วนั่นเองครับ สาธุ -
การเพ่งโทษผู้อื่นไม่ได้มีส่วนดีอะไรเลย เพราะไม่ได้มีส่วนในการชำระจิตตนเลย
การเพ่งโทษในตนนั่นเป็นสิ่งดีที่ควรเตือนตน เพราะย่อมเกิดประโยชน์ชำระจิตตนพัตนาจิตตนได้ให้ดีงามยิ่งขึ้นนั่นเอง ครับสาธุไฟล์ที่แนบมา:
-
-
การเวียนว่ายตายเกิด การวนเวียนของสังสารวัฏ ศาสนาพุทธ ยกกล่าวขึ้น
เพื่อให้ " กำหนดรู้ทุกขสัจจ อนิจจัง อนัตตา " เป็นเนื้อหาสาระ
การไป ยกสังสารวัฏ เพื่อพาไปเล่าอดีต อนาคต เพื่อ วางยา ให้คลาด
จากการกำหนดรู้ทุกขสัจจ อนิจจัง อนัตตา เยิ้นเย้อกว่า ธรรมบท
ย่อมเป็นเรื่อง อ้างเลห์ แสวงหาประโยชน์ ในการสืบต่อเวทนาความพอใจ
ของ นักพยากรณ์ หนาสันติ!! เท่านั้น ไม่ใช่ประโยชน์ของ สัตว์ ใดๆเลย
การทำให้ สรรพสัตว์ คลาดจากธรรม เสียศรัทธา เปลี่ยนศาสนา จึงเป็น
เรื่อง ธรรมแพทยสย... เท่านั้น
อนึ่ง แม้นในพระไตรปิฏก จะมีบริบทบางเรื่อง คาบเกี่ยว การแก้ไข แต่ต้อง
ตั้งหลักให้แม้นๆว่า พระพุทธองค์ทรงเล็ง ญาณ แล้วรู้ได้ว่า หาก มี เงื่อน
เหตุ บางประการแล้ว อาศัย เงื่อนเหตุเหล่านั้นแล้วจะมี คนบรรลุธรรม
พระพุทธองค์ จึงได้ อนุโลม ปฏิโลม
ถ้าทำลงไปแล้ว หาคน เทวดา พรหมสักองค์ บรรลุธรรมไม่ได้ ด้วยการณ์นั้น
พระพุทธองค์ จะเว้นขาด ทันที ไม่มีอ้างเลห์ เพทุบาย หากินเอาจากสัตว์ที่ทุกขอยู่แล้ว
หน้า 10 ของ 14