ฤาษีสอนลูกภาคเหนือ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย suekong, 10 ตุลาคม 2015.

  1. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    ฤาษีสอนลูกภาคเหนือ ๑๘ ตอน

    01.เล่าเรื่องสมัยสุโขทัย, อยุธยา-รัชกาลที่ 1-3@16 มกราคม 2522.mp3
    เอ้อ บรรดาลูกและหลานทั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่
    ๑๖ มกราคม ๒๕๒๒ การบันทึกเสียงคราวนี้
    ก็สืบเนื่องมาจากว่า เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๒
    ได้เดินทางไปที่จันทึก เป็นหน่วยทหารเกษตร
    ซึ่งมีพันโทศรีพันธ์ วิชชุพันธุ์เป็นเจ้าภาพ แล้วก็วันที่ ๑๓
    ได้มีโอกาสไปชมสุนัขสงครามที่ทำการฝึก
    รู้สึกว่าคราวนี้ลูกหลานไปรวมกันทั้งหมด ความจริงหลานไม่มี
    มีแต่ลูกกับน้องกับแม่ ที่ไปรวมกันที่นั่น ก็เห็นจะประมาณ ๘๐ เศษ
    ความจริงยังไม่ครบ และก็ได้ไปชมการฝึกสุนัขในเบื้องต้น
    รู้สึกว่า สุนัขนี่มีระเบียบดี มีวินัยดีมาก
    มีความเคารพผู้บังคับบัญชาได้ดี เมื่อดูสุนัขแล้วก็รู้สึกในใจ
    ว่าเวลานี้ คนเรา จะว่าบางคนก็ควรจะตอบเขาว่าหนาคน
    ที่รู้สึกว่า จะมีวินัยสู้สุนัขพวกนั้นไม่ได้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
    ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมักจะเลยเถิดไปเสมอ ฉะนั้น
    ถ้าหากว่าคนทุกคน ถ้าจะเอาวินัย
    หรือระเบียบของสุนัขพวกนั้นมาประพฤติปฏิบัติ
    ชาติของเราก็จะมีความเจริญรุ่งเรือง ที่พูดนี่
    ไม่ใช่ประณามบุคคลทั้งหลาย คนดีเขามีมาก
    แต่คนเลวที่เลวเลยพอดีก็มีมาก รวมทั้งนักบวชที่เลวเลยพอดี
    ก็มีมากเหมือนกัน

    พอเวลาตกกลางคืน ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์
    ไอ้เรื่องร้องรำทำเพลงนี่ ลูกรักทั้งหลาย พ่อไม่ได้สนใจมานาน
    แต่ว่าคืนนั้น มีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่งว่ามีความชื่นใจ
    แทนที่บรรดาลูกทุกคน น้องและแม่ ทั้งหลายที่ไปรวมกันในที่นั้น
    จะทำพิธีการรอบกองไฟ กลับเราก็ทำกันใต้แสงไฟ
    ส่วนกองไฟก็ลุกโชนอยู่ข้างนอก เราทำกัน เขาว่ารำ
    เราหมายถึงว่าลูก บรรดาลูกรัก ทั้งน้องและก็แม่
    มานั่งร้องรำทำเพลงในวันของเด็ก แต่ความจริงพวกที่ไปนั่งก็เด็ก
    เพราะว่าเด็กมากบ้างเด็กน้อยบ้าง ร้องรำทำเพลงกันแบบสนุกสนาน
    แต่ว่าการร้องรำทำเพลงของบรรดาลูกๆ ทั้งหลาย พ่อนั่งดูอยู่กับพระ
    แต่พ่อตาลายไปหมด มันเป็นคนแก่ มองไม่เห็นหน้าลูก ไม่รู้ว่าลูกคนไหน
    รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เพราะอาศัยหูฝ้าตาฟาง คนแก่ตาไม่ดี
    กลับไปเห็นภาพอีกภาพหนึ่งเข้ามาแทนที่ นั่นก็คือด้านขวา
    เป็นภาพของสตรีทั้งหลาย แต่งตัวสวยสดงดงามเหมือนนางฟ้า
    แต่ว่าด้านทางซ้าย เป็นพวกของผู้ชาย การมารวมตัวฟ้อนรำกันในวันนั้น
    รู้สึกว่า พวกเขามากกว่าพวกเรามาก ถ้าจะนับประมาณกันก็
    ฝ่ายละหลายๆ พัน ฝ่ายผู้หญิงเขารำชดช้อย สวยสดงดงามมาก
    รูปร่างหน้าตาเขาก็สวย คนที่เป็นหัวหน้าสาย เห็นบอกนามว่า
    ชื่อว่าพรรณวดีศรีโสภาค เธอแต่งตัวชุดสีทอง แล้วก็ทุกคน
    ทีแรกก็รู้สึกว่า จะแต่งตัวชุดสีเขียว จึงได้ถามเธอว่า
    ทำไมจึงไม่แต่งชุดสีทองให้เหมือนกัน เธอก็ตอบว่า
    ถ้าท่านหัวหน้าแต่งชุดสีทอง แต่ว่าลูกน้องหรือคนรองๆ
    ลงไปควรจะเป็นสีเขียว จึงได้บอกกับเธอว่า ควรจะเป็นสีทองทั้งหมด
    เพราะว่าทุกคนถือว่าเป็นคนเสมอกัน โดยตำแหน่งหน้าที่เดิม
    ไม่ได้เคยคิดว่า ใครใหญ่ใครเล็ก มีความรักเท่ากัน
    และมีความยุติธรรมให้ความเป็นธรรมสม่ำเสมอกัน
    เธอทั้งหลายพวกนั้นก็กราบ หัวหน้าก็กราบ และทั้งหมดก็ปรากฏว่า
    แต่งเป็นชุดสีทอง และหลังจากนั้นเธอก็รำกันต่อไป สำหรับฝ่ายชาย
    อยู่ข้างซ้าย คือว่าแต่งรู้สึกว่าแต่งตัวตามสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    พระยาอันธพาลรำขวานน่ารัก ตอนที่เขาร้องว่า ขุนแผนจะขึ้นสีหมอก
    ตอนนั้นพระยาอันธพาลก็สร้างภาพม้าสีหมอกขึ้นมา สูงใหญ่มาก
    กระโดดปั้บ หัวทิ่มดินเลยหลังม้าไป แกแกล้งตลก แล้วก็บอกว่า
    ไอ้ม้าตัวนี้มันเล็กเกินไป แต่ความจริงมันสูงใหญ่มาก
    รำขวานควงขวานได้ดี เมื่อเพลงนั้นจบ จวนจะจบ
    ก็ปรากฏมาอีกพวกหนึ่งทางด้านทิศเหนือ พวกนี้ปริมาณที่มา
    รู้สึกว่าจะเลยแสน แกบอกว่าขอให้ร้องเพลงนี้ใหม่
    ชอบใจจะมาเล่นด้วย เรื่องมันก็เกิดความสงสัยกันขึ้น
    ตอนนี้ตอนที่เขาจะร้องใหม่ รู้สึกว่าหัวหน้าคณะต่างๆ
    เข้ามายืนอยู่ข้างหน้าเรียงรายกันเป็นแถว จึงได้ถามว่า
    วันนี้ทำไมจึงสนุกสนานมากเป็นกรณีพิเศษ เคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว
    ไม่เห็นสนุกสนานแบบนี้ ท่านก็บอกว่า ท่านทราบไหม ระหว่างนี้เขมรเขารบกัน
    และเขมรฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ แต่ก็ถือว่า ยังไม่แพ้เด็ดขาด สงครามในอินโดจีน
    ยังจะยืดเยื้อต่อไปอีกนาน และก็ในที่สุด ผลที่มันจะเกิดขึ้นมา
    ก็จะกลับจากซ้ายเป็นขวา ขวาเป็นซ้าย หรือว่าหน้าเป็นหลัง
    หลังเป็นหน้า และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้เป็นฤกษ์สำคัญ
    คือในระยะตอนต้น วันนั้นความจริงท่านบอกฤกษ์เหมือนกัน
    ก็จำไม่ได้ ก็มาทวนตอนหลังนี่ ว่าบอกฤกษ์วันนั้นมันฤกษ์อะไรกัน
    ท่านก็บอกว่า ฤกษ์ต้นเป็นเพชฌฆาตฤกษ์
    และก็วันนั้นเป็นวันสามัคคีคือวันเด็ก ที่ไหนๆ เขาก็มีความรื่นเริงกัน
    มีความพร้อมเพรียงกัน นั่นแสดงว่า คำว่าเพชฌฆาตฤกษ์
    เป็นฤกษ์ที่เราจะต้องประหัตประหารศัตรูให้พินาศไป และนับตั้งแต่เวลา
    ๒๓ นาฬิกา ๓ นาทีเป็นต้นไป เป็นราชาฤกษ์
    นี้ก็หมายถึงความว่า ถ้าเราจะต้องประสบกับสงคราม
    รึปราบปรามอริราชศัตรู แต่ว่าในที่สุด เราจะสู้ข้าศึกได้ และเราก็ชนะ
    จะตกอยู่ในฐานะความเป็นราชาคือความเป็นใหญ่ ฉะนั้น ท่านจึงบอกว่า
    ให้นั่งตรงที่นี่ จนกว่าจะถึง ๒๔ นาฬิกา คือเมื่อ ๒๔ นาฬิกาไปแล้ว
    จึงจะลุกจากที่นี่ได้ เพื่อรับรองฤกษ์นั้น ตอนนี้ก็ชักสนุกๆ กับท่าน
    เมื่อท่านสนุก แล้วก็เลยสนุกกับท่านไปด้วย สนุกแบบไหน
    สนุกก็ดูเทวดาร้องรำทำเพลง แล้วก็มีทั้งเทวดา มีทั้งพรหม
    มีทั้งอะไรเสร็จ พวกของเราก็มีตั้งแต่ยศพลโทลงมา
    ว่ากันตามลำดับ หรือว่าท่านผู้บังคับบัญชาพลเอก หมายความว่า
    ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาพลเอกนี่ก็หมายถึงว่า
    ท่านผู้แบมือทวงสตางค์พลเอก เราเล่นกันตั้งแต่เด็กเล็กถึงเด็กใหญ่
    เป็นน่าชื่นใจ แสดงถึงความรื่นเริง แต่วันนั้นทั้งประเทศเขาถือว่าเป็นวันเด็ก
    ในเมื่อเป็นวันของเด็ก ผู้ใหญ่ก็เลยพลอยเป็นเด็กไปด้วย ช่วยกันเป็นเด็ก

    นี่เหตุผลที่จะบันทึกในคราวนี้ และก็ต่อมาอีกตอนหนึ่ง ก็มานั่งคุยกันถึงว่า
    ไอ้เรื่องการเกิดการตายนี่ มันผ่านกันมาเท่าไหร่ สำหรับบุคคลคนหนึ่ง
    แต่ทว่าพอถามไล่เบี้ยกันไปถึงประวัติศาสตร์อยุธยา ก็เป็นอันว่า
    หาคนรู้เรื่องประวัติศาสตร์อยุธยาว่ามีกี่รัชกาลไม่ได้
    ว่ารัชกาลไหนใช้เวลาเท่าไหร่ ตั้งแต่ ๑ ถึงสุดท้าย รัชกาลไหนเป็นรัชกาล
    รัชกาลไหนชื่อว่าอะไร ไม่รู้เรื่องกัน เป็นอันว่านักเรียนนักศึกษา
    จนกระทั่งจบปริญญา ก็ปรากฏว่า ลืมประวัติศาสตร์หมด
    อีตอนลืมประวัติศาสตร์นี่มันก็ชักยุ่ง ฉะนั้นในตอนนี้
    จะขอทบทวนประวัติศาสตร์สักนิดหน่อย แต่เรื่อง พ.ศ. นี่
    จะไม่ จะไม่นำมาบอก เพราะเรื่อง พ.ศ. นี้รู้สึกว่าจะยุ่งๆ จะยุ่งๆ อยู่นิดหนึ่ง
    เพราะอะไร เพราะว่า พ.ศ. นี่ดูจะไม่ค่อยจะเข้าท่านัก มันก็ต่างคนต่าง
    ต่างตั้งกันเองล่ะมั้ง ภาคเหนือบอก พ.ศ. ไว้อีกอย่างหนึ่ง
    แต่ว่าภาคที่นักประวัติศาสตร์มาเขียน พ.ศ.ไว้อีกอย่างหนึ่ง
    ก็เป็นอันว่าเรื่อง พ.ศ. นี่เอาแน่นอนไม่ได้ เพราะว่า
    ประเทศไทยเราถูกข้าศึกรุกราน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพม่า
    พม่านี่จะมาเผาผลาญไปหมด เล่นเอายุ่งๆ เป็นอันว่า
    ประวัติศาสตร์ในตอนนี้จะขอประมวลมา ตั้งแต่สมัยสุโขทัย
    สำหรับเรื่องโยนกนคร สมัยพระเจ้าพังคราช พ.ศ. พังไปเลย
    ความจริงในตอนนั้นใกล้สมัยที่พระพุทธเจ้านิพพาน
    เพราะว่าเป็นการสืบเนื่องกันมา จนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้าพังคราชนี่
    จะมี พ.ศ. ประมาณซัก ๙๐๐ ปี คือพระพุทธเจ้านิพพานไปประมาณ
    ๙๐๐ ปี หรืออาจจะไม่ถึงดีก็ได้ แต่ว่าตามประวัติศาสตร์ตัดซะพันปีกว่า
    มันก็คนละเรื่องลงไปแล้ว

    ทีนี้ จะขอเอาประวัติศาสตร์มาเป็นธรรมศาสตร์ ตอนนี้ก็จะขอพูดบอกว่า
    อันนี้ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นธรรมศาสตร์ จะขอเอาเรื่องย่อมาพูดทางนี้
    ว่าสมัยสุโขทัย สมัยสุโขทัย ไทยออกจากอาณาจักรลานนามาแล้ว
    ก็เข้ามาตั้งอยู่ในดินแดนของขอมหรือเขมร พ.ศ. เขาว่ายังงั้นนะ
    พ.ศ.๑๗๘๑ ขุนบางกลางท่าวพ่อเมืองยางกับขุนผาเมืองลาด
    พ่อเมืองเพชรบูรณ์ คบคิดกันแข็งเมือง ไม่ยอมขึ้นกับเขมร
    และก็ตีเมืองสุโขทัย เมืองหน้าด่านของขอม
    ชาวเมืองยกขุนบางกลางท่าวขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า
    ขุนศรีอินทราทิตย์ แล้วก็มา พ.ศ.๑๘๐๑ เจ้าเมืองฉอดตีเมืองตาก
    ขุนศรีอินทราทิตย์ออกชนช้าง ช้างพลาด ขุนรามคำแหงโอรสเข้าป้องกัน
    ชนะในที่สุด มา พ.ศ.๑๘๑๒ พระร่วงที่ ๑ คือขุนศรีอินทราทิตย์สวรรคต
    โอรสคงต้องทรงครองราชย์แทน เป็นมีพระนามว่า พระเจ้าปารราช
    คือพระร่วงที่ ๒ ขุนบานเมือง พ.ศ.๑๘๒๐ พระเจ้าปารราชสวรรคต
    พระอนุชาครองราชย์ต่อ ทรงพระนามว่า ขุนรามคำแหง พระเจ้ารามคำแหง
    พระร่วงที่ ๓ ครั้น พ.ศ.๑๘๑๕ พระเจ้า พระเจ้าหงวน ถี่ โง้ว ฮ่องเต้
    กุบไลข่าน ส่งราชทูตจากจีนมาเจริญพระราชไมตรี พ.ศ.๑๘๒๖
    พระเจ้ารามคำแหงคิดหนังสือไทยขึ้น พ.ศ.๑๘๓๑
    พระเจ้าขุนรามคำแหงยกทัพไปช่วยพระยาเม็งราย รบอาณาจักรลานนา
    คือหริภุญไชยจนชนะ พ.ศ.๑๘๓๓ เกิดสงครามระหว่างสุโขทัยกับเขมร
    จึงได้อาณาจักรละโว้ คือตีเข้ามาถึงลพบุรี พ.ศ.๑๘๓๗
    พระเจ้าขุนรามคำแหงเสด็จประเทศจีนเป็นครั้งแรก
    มอบให้ขุนวังมะกะโทรักษาพระนคร ตอนนี้ มอบลูกเขยสิ
    แล้วมะกะโทก็ลักพาพระราชธิดาหนีไปตั้งตัวเป็นกษัตริย์ที่เมืองเมาะตะมะ
    พระเจ้าขุนรามคำแหงเสด็จกลับมาถึง จึงจัดงานราชาภิเษกมะกะโท
    ให้เป็นพระเจ้าฟ้ารั่วและมอญขึ้นกับไทย หมายความว่าปกครองประเทศมอญ
    พ.ศ.๑๘๔๓ พระเจ้าขุนรามคำแหงเสด็จประเทศจีนเป็นครั้งที่ ๒

    พ.ศ.๑๘๖๐
    พระเจ้าขุนรามคำแหงสวรรคต ราชโอรสครองแทน
    ทรงพระนามว่า พระเจ้าขุนเลอไท คือพระร่วงที่ ๔
    พ.ศ.๑๘๖๑ น่าน หลวงพระบาง เวียงจันทน์ เวียงคำ นครศรีธรรมราช เป็นต้น
    แข็งเมือง พอตอนนั้นเพราะว่า พระเจ้าขุนรามคำแหงเนี่ย ตียันโน่น
    ไปปกครองถึงสิงคโปร์ พอสวรรคตลง เขาก็ไม่เกรง เขาแข็งเมืองขึ้น
    พ.ศ.๑๘๖๒ พระเจ้าแสนเมืองมิ่ง พระอนุชาพระเจ้าฟ้ารั่ว
    ผู้ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าฟ้ารั่ว ซึ่งขึ้นกับไทย
    ก็ตีเอาเมืองตะนาวศรีกับเมืองทวายไป นี่ไม่ยอมขึ้นด้วย เขาแข็งเมือง
    ก็ประกาศตนเป็นเอกราชเสียอีก พ.ศ.๑๘๘๓ สร้างเมืองชากังราว
    คือเมืองกำแพงเพชรเป็นเมืองลูกหลงให้โอรสครอง
    ตั้งขุนลิไทเป็นมหาอุปราชแห่งสุโขทัย พ.ศ.๑๘๙๒ พระรามาธิบดีอู่ทอง
    กรุงศรีอยุธยา ตีตะนาวศรีกับทวายได้ พระเจ้าเลอไทส่งทูตมาเจริญพระราชไมตรี
    พ.ศ.๑๘๙๗ พระเจ้าเลอไทสวรรคต โอรส ๒ องค์ชิงราชสมบัติ
    พระเจ้าลิไทชนะจึงได้ครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าศรีสุริยพงศ์
    รามมหาราช รามมหาธรรมาธิราช ทรงพระนามว่า เจ้าศรีสุริยพงศ์ รามมหาธรรมาธิราช
    พระร่วงที่ ๕ เรียกกันทั่วๆ ไปว่า พระมหาธรรมราชาที่ ๑ พระบรมราชา หือ
    และต่อมาท่านบอกว่า พระบรมราชา พะงั่ว พ่อขุนหลวงพะงั่วแห่งกรุงศรีอยุธยา
    รบกับพระมหาธรรมราชาที่ ๑ แต่ทว่าพระมหาธรรมราชาที่ ๑ รักษากรุงสุโขทัยได้ทุกครั้ง
    ในรัชกาลนี้ได้เชิญพระมหาสมณะจากลังกามาปรับปรุงพระพุทธศาสนา
    ตั้งลัทธิสยามวงศ์ โดยอาศัยหลักจากลัทธิลังกาวงศ์สืบเนื่องมาจากทุกวันนี้
    เป็นอันว่า พระสงฆ์ของเรา เวลานี้เรียกว่าลังกาวงศ์
    แต่ทว่า ที่ลังกาเขาเรียกว่าสยามวงศ์ เวลาเขายับเยินเราไปตั้ง นอกจากนั้น
    ก็ทรงสร้างพระพุทธชินราช พิษณุโลก พระพุทธชินสีห์ ที่นำมาไว้ที่วัดบวรนิเวศน์
    พระศรีศากยมุนี นำมาไว้ที่วัดสุทัศน์ ในรัชกาลนี้ได้มีพระพุทธสิหิงค์จากลังกามาด้วย
    ได้รับมา และก็ พ.ศ.๑๙๐๓ พระร่วงที่ ๕ นี้ ได้ทรงนิพนธ์ไตรภูมิพระร่วง
    ความจริง ท่านไม่ได้ทรงเอง ท่านประชุมพระให้รวบรวม เรียกว่า ตอนนั้น
    เป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกกัน ปรับปรุงพระธรรมกันมาก เป็นสมัยพระธรรม
    แต่ว่าในการนี้ปรากฏว่า มีขุนหลวงพะงั่วเข้าไปร่วมอยู่ด้วย คือว่า เวลาที่เข้าไปตี
    ตีเขาไม่ได้ ทีหลังก็ทำใหม่ ทำท่าทางใหม่ เป็นมิตรกันดีกว่า
    เข้าไปหัดใช้ลิ้น เรื่องลิ้นของขุนหลวงพะงั่วนี่ไม่ใช่เล่น
    แต่ลิ้นแกไม่มีกระดูก และมีลีลาดี มีอัปปจายนกรรมดี ไม่ถือตนว่าเป็นเจ้า
    ไม่ถือตนว่าเป็นใหญ่ เมื่อทำอะไรเขาไม่ได้ก็ทำใหม่ ทำหนักไม่ได้ก็ทำเบา
    เข้าไปร่วมปรึกษาหารือกับเขาตอนนี้ เอาไว้ว่ากันทีหลังนะ
    เป็นอันร่วมทั้งการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศากยมุนี
    เป็นอันว่า พ.ศ.๑๙๐๓ พระร่วงที่ ๕ นี้ได้ทรงนิพนธ์ไตรภูมิ
    แต่ความจริงพระ พระก็ทรงกัน พ.ศ.๑๙๑๙ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ สวรรคต
    โอรสครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระมหาธรรมราชาที่ ๒ คือพระร่วงที่ ๖
    พ.ศ.๑๙๒๑ พระบรมราชาพะงั่วตีได้ชากังราว พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ยอมเป็นเมืองขึ้น
    อยู่ร่วมในอาณาจักรไทยกรุงศรีอยุธยา

    เป็นอันว่าขุนหลวงพะงั่วนี่ เป็นนักรวมไทย ไม่ใช่แผ่อำนาจเพื่อประโยชน์อะไร
    เห็นว่าไทยแตกเป็นกิ่งเป็นก้านเป็นสาขา เวลาจะมีอะไรเกิดเรื่องขึ้นมามันก็ยุ่ง
    ไทยน้อยสู้คนอื่นเขาไม่ได้ ฉะนั้นจึงพยายามหาทางที่จะรวมไทยเข้ามา
    ให้เป็นไทยเดียวกัน ไม่ได้มีความประสงค์ที่จะเป็นใหญ่เป็นโต
    นี่เป็นลัทธิของนักรวมเมือง ขุนหลวงพะงั่วนี่ ถ้าจะพูดกันไปจริงๆ
    ท่านผู้เฒ่าเล่าให้ฟังนะ คือว่าไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์ ท่านบอกว่า
    ขุนหลวงพะงั่วนี่ก็คือ พระเจ้าพรหมมหาราชนั่นเอง
    ซึ่งจะเล่าให้ฟัง นี่ไม่ใช่รู้เองนะ เป็นคนผู้เฒ่าเล่ากันมาต่อๆ กันมา ฟังกันมา
    แล้วจึงรวบรวมมาเล่าให้ฟัง ซึ่งหมายความว่าท่านผู้เฒ่าที่เล่าให้ฟังนั้น
    ท่านจะเล่าให้ฟังถูกหรือไม่ถูกไม่ทราบ เพราะท่านก็จำ จำกันตลอดมา
    มีหลายๆ คนผสมผเสกัน แล้วก็จะคุยให้ฟัง เป็นอันว่า
    สุโขทัยมีกษัตริย์ปกครองต่อไปอีก ๒ องค์
    คือพระมหาธรรมราชาที่ ๓ และที่ ๔ ที่เรียกกันว่า พระร่วงที่ ๗ และที่ ๘
    แล้ววงศ์พระร่วงก็สิ้นสุดลงเมื่อ พ.ศ.๑๙๗๐ แต่เรื่อง พ.ศ. นี่ได้บอกแล้วนี่
    บอกว่าไม่แน่นอนนัก จะเอาอะไรเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ล่ะ จะเชื่อไม่ได้นะ
    เขาว่าเอาไว้ยังงี้ก็ว่ามันส่งเดชไปเถอะ มันจะไปยุ่งๆ ถ้าไม่มีซะมั่งก็จะไม่ดี
    ต่อมาสมัยกรุงศรีอยุธยา รัชกาลที่ ๑ ก็ได้แก่พระเจ้าอู่ทอง คือ พ.ศ.๑๘๙๐
    พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างกรุงศรีอยุธยา ใช่มั้ย นี่ไม่ต้องเล่าละ
    ในประวัติศาสตร์เขามีอยู่แล้ว และ พ.ศ.๑๘๙๓ สร้างกรุงศรีอยุธยาสำเร็จ
    พระเจ้าอู่ทองครองราชสมบัติ ทรงพระนามว่า รามาธิบดีที่ ๑
    ความจริงพระเจ้าอู่ทองนี่ก็เป็นพระเจ้าเหลนของพระเจ้าพรหมมหาราช
    จำไว้ด้วยนะ ผู้เฒ่าท่านเล่าให้ฟังไว้ยังงั้น เป็นพระเจ้าเหลนนะ
    เหลนรึแหลนก็ไม่รู้ มา พ.ศ.๑๘๓๕ ได้นครราชสีมา
    คือตีนครราชสีมาเข้ามารวมกัน และก็นครจันทบุรี ได้เขมรมาเป็นเมืองขึ้นครั้งแรก
    ใช่มั้ย สำหรับรัชกาลที่ ๒ ของกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.๑๙๑๒ พระรามาธิบดีที่ ๑
    คือพระเจ้าอู่ทองสวรรคต พระราเมศวร พระราเมศวร ราชโอรสครองราชย์แทน
    แต่นี่มาสำหรับรัชกาลที่ ๓ เมื่อ พ.ศ.๑๙๑๓ พระราเมศวรถวายราชสมบัติ
    แด่สมเด็จพระบรมราชาธิราช ขุนหลวงพะงั่ว ซึ่งเป็นพระปิตุลา คือเป็นลุง
    เป็นอันว่า รัชกาลที่ ๒ ถวายราชสมบัติแก่รัชกาลที่ ๓ ให้ดู ดูความเป็นอนัตตานะ
    ที่เราคุยกันนี่จะรู้สึกว่า คุยเรื่องธรรมศาสตร์ แต่เอาประวัติศาสตร์มาเป็นธรรมศาสตร์
    แล้วก็ต่อมา พ.ศ.๑๙๑๔ กองทัพนะ ทรงยกกองทัพไปตีภาคเหนือ
    ขุนหลวงพะงั่วนี่ชนะทั้งหมด หมายความยึดสุโขทัยได้ และก็ พ.ศ.๑๙๑๕
    ทรงยกกองทัพไปตีได้นครพังคา และก็แสงเซรา พ.ศ.๑๙๑๖
    ทางชากังราวแข็งเมืองกำแพงเพชร ซึ่งก็ทรงปราบได้ราบคาบ
    พ.ศ.๑๙๑๘ เสด็จตีพิษณุโลก มีชัยชนะ เอาล่ะสิ
    และก็ พ.ศ.๑๙๑๙ ทรงยกทัพไปตีชากังราว มีชัยชนะ พ.ศ.๑๙๒๑
    ทรงยกทัพไปตีชากังราว ชนะพระมหาธรรมราชาที่ ๒ สุโขทัย
    ยึดหมด พ.ศ.๑๙๒๓ ตีเชียงใหม่ เจ้าเมืองนครลำปางยอมเป็นเมืองขึ้น
    นี่รัชกาลที่ ๓ นะ จำให้ดีนะ

    มองดูเวลาหมดเวลาแล้วนี่ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอรับฟังเทปหน้าต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 ตุลาคม 2015
  2. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    02.เล่าเรื่องสมัยอยุธยา-รัชกาลที่ 4-16.mp3
    เอ้อ ก็ไล่เบี้ย พ.ศ. ในสมัยกรุงศรีอยุธยา กับรัชกาลของกรุงศรีอยุธยา
    ก็ขอจะว่าต่อไป ตอนนี้ก็มาถึงรัชกาลที่ ๔ คือว่า เมื่อปี พ.ศ.๑๙๓๑
    ขุนหลวงพะงั่วเสด็จไปตีเชียงใหม่ ก็ทรงสวรรคตกลางทาง พระราชโอรส
    คือพระเจ้าทองลั่น ครองราชสมบัติได้ ๗ วัน
    สมเด็จพระราเมศวรก็สำเร็จโทษเสียแล้วก็ขึ้นครองราชย์แทน
    นี่ก็เป็นอันว่ารัชกาลที่ ๒ ก็กลับมาเป็นรัชกาลที่ ๓ ใหม่
    นี่ใคร ใครเอาลูกตาไปไหนซะ เป็นอันว่าความแน่นอนอะไรมันก็ไม่มี
    พระราเมศวรท่านมาเป็นรัชกาลที่ ๒ แต่คงจะกลัวอำนาจของขุนหลวงพะงั่ว
    จึงได้ถวายพระราชสมบัติ ต่อมาขุนหลวงพะงั่วเสด็จสวรรคต รู้สึกว่า
    ขุนหลวงพะงั่วนี่ตียาวมาก เพราะว่า ทุนเดิมก็คือ มาจากพระเจ้าพรหมมหาราช
    ตามที่ท่านผู้เฒ่าเล่าให้ฟัง คือการเล่าให้ฟังนี่ ท่านเล่าให้ฟังนานแล้ว คนนั้นบ้าง
    คนนี้บ้าง แล้วก็จะผสมผเสกัน เป็นอันว่า รัชกาลที่ ๔ ได้แก่พระเจ้าลั่นทองนะ
    พระเจ้าทองลัน พระเจ้าทองลั่น คือพระเจ้าทองลั่นเป็นรัชกาลที่ ๔ ครองราชย์ได้ ๗ วัน
    สมเด็จพระราเมศวรสำเร็จโทษคือฆ่าเสีย แล้วก็ขึ้นครองราชย์แทน เป็นรัชกาลที่ ๕
    มา พ.ศ.๑๙๓๒ ทรง..ท่านบอกว่าที่เชียงใหม่ กวาดต้อนผู้คน ส่งไปนครศรีธรรมราช
    จันทบุรี ใครกวาดใครต้อนก็ไม่รู้ เขาเขียนย่อๆ ไว้ นี่เอาประมวลมาเล่าให้ฟัง

    พ.ศ.๑๙๓๖ พระยากัมพูชายกทัพมากวาดต้อนผู้คนในเมืองชลบุรี
    และจันทบุรีไปประมาณ ๗,๐๐๐ คน กัมพูชานี่น่าจะเกษียณ
    น่าจะเกษียณหรือบั่นพระเศียรกันซะนะ แกชาจริงๆ พ.ศ.๑๙๓๗
    สมเด็จได้เสด็จไปตีกัมพูชาได้ แต่ว่าภายหลังกัมพูชาก็แข็งเมืองขึ้นอีก
    เรียกว่าพระราเมศวรนี่เก่งไม่ค่อยจริง ทีนี้ต่อมาก็เป็นรัชกาลที่ ๖ คือ
    พ.ศ.๑๙๒๐ สมเด็จพระราเมศวรสวรรคต พระยารามราชโอรสครองราชย์
    ทรงพระนามว่าพระรามาธิราช พระรามาธิราชนะ นี่ไม่เห็นมีอะไร
    เป็นอันว่า ตอนนี้ไม่เห็นมีอะไรเป็นประวัติ ต่อมาก็เป็นรัชกาลที่ ๗
    คือ พ.ศ.๑๙๕๒ เจ้านครอินทร์ พระอนุชาสมเด็จพระบรมราชา
    คือขุนหลวงพะงั่ว มาอีก นี่น้องชายของขุนหลวงพะงั่วขึ้นมาอีก
    เป็นอันว่าเจ้านครอินทร์ พระอนุชาสมเด็จพระบรมราชาขุนหลวงพะงั่ว
    ถอดพระรามาธิบดีธิราชเสีย อ้าว ตระกูลนี้เป็นตระกูลถอด
    แกเป็นอะไรมันอยากไม่ดีฉันก็ถอดมันส่งซะ แล้วขึ้นครองราชสมบัติ
    ทรงพระนามว่า สมเด็จพระอินทราชาธิราช
    และพระบรมราชาธิราชไปครองเมือง อะไรหนอ ไปครองเมืองปทาคูจาม
    อ้อ อันนี้เอาแค่ถอดนะ แค่ถอด บอกว่านี่แกเป็นพระเจ้าแผ่นดินนี่มันไม่เก่ง
    ไม่ได้หรอก พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยามันต้องเก่ง
    เพราะเรามีข้าศึกมาก นั่นไม่แกเป็นพระราชาไม่เก่งไม่ได้ เอ้า
    ให้ไปเป็นหัวเมืองลูกหลวงเสีย คนนี้ก็เป็นพ่อของพระเจ้าอ้าย เจ้ายี่
    พระเจ้าสามพระยานะ อ้า เจ้า เจ้านครอินทร์นี่ หรือที่เรียกกันว่า
    สมเด็จพระอินทราชาธิราช ถอดเขาแล้วก็ให้ไป ให้ไปอยู่ที่เมืองหนึ่ง
    ต่อมาก็พูดถึงรัชกาลที่ ๘ รัชกาลที่ ๘ ก็ได้แก่ พ.ศ.๑๙๖๗
    พระอินทราธิราชสวรรคต ความจริงองค์นี้เขาก็เรียกกันว่า พระพันวษานะ
    และก็ต่อไปพระเจ้าสามพระยาก็เป็นพระพันวษาเหมือนกัน
    สวรรคตโอรสที่ ๑ กับที่ ๒ คือเจ้าอ้ายกับเจ้ายี่
    ทรงยกทัพมาชิงราชสมบัติกันกลางเมือง ชนช้างกัน
    เลยตายด้วยกันทั้งสององค์

    โอรสที่สามคือพระเจ้าสามพระยาครองราชย์
    ทรงพระนามว่า พระบรมราชาที่ ๒ ตอนนี้แผ่อาณาจักรไปมาก
    ขุนแผนแสดงฤทธิ์ แล้วก็ พ.ศ.๑๙๗๔ ทรงยกทัพไปตีเขมรได้
    ให้โอรสครอง โอรสทิวงคตเพราะถูกลอบวางยาพิษ เขมรกลับเป็นอิสระ
    แล้วย้ายจากนครธมไปตั้งเมืองหลวงที่พนมเปญ จะไปรอดที่ไหนเล่า
    พ่อขุนแผนแกก็ไปตีพังอีกนั่นแหละ พ.ศ.๑๙๘๑
    เลิกล้มวงศ์พระร่วงสุโขทัย รวมเมืองต่างๆ
    ฝ่ายเหนือทั้งหมดมาขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาให้เป็นธานีเดียวกัน
    นี่ก็มีทหารสำคัญนี่ มีขุนแผนเสียอย่างหนึ่ง พอยกทัพตี อ้า ตีอะไรเล่า
    ตีดอยอินทนนท์ ไอ้เมืองดอยอินทนนท์เขาบอก ไม่ใช่ดอยอินทนนท์
    ไอ้เมืองอะไร ลำพูน ยกทัพไปแค่ ๒๐๐ คนนะ
    กองทัพหอกอะไรของแกก็ไม่ทราบ แกก็สามารถจะเอาต้นหญ้า
    ต้นอะไรมาเป็นทหารได้ อย่าเพิ่งเล่าให้ฟังเลย ต่อมา พ.ศ.๑๙๘๕
    ยกทัพไปตีเชียงใหม่ แต่ต้องเสด็จกลับกลางทางเพราะทรงพระประชวร
    นี่ พระพันวษาประชวรซะ พ.ศ.๑๙๘๗ ตีเชียงใหม่อีก
    กวาดต้อนผู้คนแล้วก็กลับ ได้ คราวนี้ตีได้ และมา
    พ.ศ.๑๙๙๙ พระบรมราชาที่ ๒ สวรรคต โอรสทรงพระนามว่าพระราเมศวร
    แหมชอบ ชอบสวนกันจริงๆ โอรสคือพระราเมศวรครองราชย์
    ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมรา อ้า พระบรมไตรโลกนาถ
    เอ้อ อีตอนนี้เขาบอกว่าขุนแผนตายก่อน ไม่ใช่ล่ะ พระยา
    เจ้าพระยากาญจนบุรี พอพระเจ้าเจ้าพระยากาญจนบุรีนี่ความจริง
    เดี๋ยว ท่านพระ เอ้อ ท่านผู้เฒ่าบอกว่า ท่านมีอายุมา ท่านเกิดมาตั้งแต่สมัยโน้น
    อ้อ ตั้งแต่พ่อพระเจ้าสามพระยา แล้วก็ท่านไปจำ
    พระเจ้าพระยากาญจนบุรีตอนท้ายเป็นเจ้าพระยา ไปจำศีล
    กินวาตาอยู่ที่กาญจนบุรี ตาย ตายก่อน แล้วก็ยังไงล่ะ งั้นว่ากันไปก็แล้วกัน

    ต่อมา พ.ศ.๑๙๙๙ พระบรมราชาที่ ๒ สวรรคต
    โอรสคือพระราเมศวรครองราชย์ ทรงพระนามว่า
    สมเด็จพระบรมโลกนาถ ไตรโลกนาถ พ.ศ.๑๘๓๓
    พระเจ้าเชียงใหม่ตีซากังราวคือกำแพงเพชรไม่สำเร็จ จะสำเร็จได้ยังไงเล่า
    คนสำคัญมาครองเมืองนี่น้อ ตอนนี้พระบรมโลกไตรโลกนาถน่ะยังเด็กอยู่นะ
    รู้สึกว่ายังมีความเป็นหนุ่มมาก อายุเมื่อครองราชย์จริงๆ นี่ เห็นจะมีอายุไม่
    ไม่เกิน ๒๐ ปี เป็นคนผิวขาวสวย สวยท่าทางดี ยิ้มแย้มแจ่มใส
    หน้าตาดี สดชื่น

    ลักษณะเป็นคนเจ้าชู้ แล้วก็เข้าถึงประชาชน
    คลุกคลีตีโมงกับบรรดาประชาชน ไม่วางตนเป็นเจ้าใหญ่นายโต
    เอ้า เอาคนสำคัญมาเกิดอีกนี่ เป็นอันว่าเจ้าเชียงใหม่ตีซากังราวไม่สำเร็จ
    พ.ศ.๑๙๘๘ เมืองมะละกาแข็งเมือง พระบรมไตรโลกนาถก็ส่งทัพไปปราบ
    แต่ปราบไม่ยักได้แฮะ พ.ศ.๒๐๐๔ เมื่อกี้ ๑๙๘๘ นี่ พ.ศ.๒๐๐๔
    เจ้าเมืองเชลียงหนีไปอยู่กับพระเจ้าเชียงใหม่แล้วก็ตีสุโขทัยได้
    พระบรมไตรโลกนาถจึงยกทัพเข้าไปตี ไปตีสุโขทัยกลับคืนมา
    นี่ อยากมาแย่ง ไม่ตีเฉยๆ นะ ฆ่าเขาเยอะ และก็ พ.ศ.๒๐๑๖
    ยกทัพไปตีเชียงใหม่ อินทราชา ราชโอรสสวรรคตในการสู้รบที่ลำปาง
    จึงเสด็จไปประทับที่พิษณุโลก พ.ศ.๒๐๑๗ ยกทัพไปตีเมืองเชียงชื่น
    มีชัยชนะ พ.ศ.๒๐๑๘ ขุนศรีอยุธยา กรุงศรีอยุธยากับลานนา
    มีสัมพันธไมตรีต่อกัน ขืนไม่มาทำสัมพันธไมตรีจะตีเอา
    ถามว่าจะยอมเป็นเพื่อนหรือว่าจะยอมเป็นขี้ข้า ถ้าจะยอมเป็นขี้ข้า
    ก็จะตีเอามาเป็นขี้ข้า ถ้าไม่ยอมเป็นขี้ข้าก็รีบมาเป็นเพื่อน
    เขาก็เลยมาเป็นเพื่อน มา พ.ศ.๒๐๑๙ เกิดศึกชิงราชสมบัติกลางเมือง
    ในเมืองแยกออกเป็น ๓ พวก พระยาธรรมราชาพวกหนึ่ง
    กองทัพไทยไปช่วย พอทัพไทยไปถึง ๓ พวกก็สงบ
    จึงตั้งพระธรรมราชาเป็นกษัตริย์ นี่หมายถึงว่าเชียงใหม่เอ้อลานนานะ
    ที่ลานนา ไอ้ลานนาก็เชียงใหม่ พ.ศ.๒๐๒๐ สร้างเมืองนครไทย
    และ พ.ศ.๒๐๓๑ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็สวรรคต
    พระบรมราชา ราชโอรสขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า
    สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓

    เอ้านี่รัชกาลที่เท่าไหร่ก็ลืมบอกมาซะแล้วสิ เป็นรัชกาลที่ ๗
    ผ่านมาแล้วนะ นี่เป็นรัชกาลที่ ๗
    ตอนนี่ก็เห็นจะเป็นรัชกาลที่ ๘ พระบรมราชาที่ ๓ นะ เป็นรัชกาลที่ ๘ แล้ว
    อ่านมาถึงก็จะลืมๆ ไปละ เอ้า ก็ลืมเขียนไว้นี่ เอานะ นี่พระบรมราชาที่ ๓
    นี่เป็นรัชกาลที่ ๘ เมื่อรัชกาลที่ ๘ คือพระบรมราชาที่ ๓ ครองราชย์
    นี่เขาว่ายังไง พ.ศ. คือว่า พ.ศ.๒๐๓๓ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสวรรคต
    พระบรมราชาราชโอรสครองราชย์ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาที่ ๓
    ปี พ.ศ.๒๐๓๒ มอญตีเอาเมืองทวายไป จึงยกทัพไปตีทวายกลับคืน
    พ.ศ.๒๐๓๔ สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ สวรรคต
    อนุชาต่างพระมารดาครองราชย์ เอ้อ นี่เป็นรัชกาลที่ ๙ นะ
    พระอนุชาก็น้องชายต่างพระมารดาครองราชย์แทน
    แล้วก็มีนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ มา พ.ศ.๒๐๔๓
    อันนี้มาถึงรัชกาลที่ ๙ ล่ะนะ หล่อพระศรีสรรเพชญ์ พอ พ.ศ.๒๐๕๐
    พระยอดเมืองแก้วเชียงใหม่ยกทัพมารบ รบกวนหัวเมืองฝ่ายเหนือ
    พ.ศ.๒๐๕๑ เจ้าพระยาจันทราชาเมืองเขมร
    ได้ตัดสินใจมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พ.ศ.๒๐๕๑
    พระยากลาโหมนำทัพตีลานนา ได้เมืองแพร่และก็เมืองน่าน
    พ.ศ.๒๐๕๓ โปรตุเกสตีมะละกาได้ ได้ทราบว่าอยู่ในความปกครองของไทย
    แม่ทัพจึงส่งทูตนำของมาถวาย ได้โปรดให้รับรองทูตเป็นอันดี
    พ.ศ.๒๐๕๕ เจ้าพระยา อะไร เจ้าพระยายศราชา โอรสพระศรีสุคนธ์
    เขาบอกว่าโอรสพระศรีสุคนธบท กษัตริย์เขมร
    หนีกบฏมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ไอ้เขมรนี่มันแบบนี้เสมอ
    เวลานี้มันก็แบบนั้น มันกัดเราแง้งๆๆๆๆ พอจะตายขึ้นมา
    ก็มาพึ่งไทย ไอ้การให้เขาพึ่งเนี่ย ดีก็ดี ไม่ดีมากๆ มันก็กลืนชาติเราไปเสีย

    ทีนี้ พ.ศ.๒๐๕๘ ลานนายกทัพมารุกรานสุโขทัยและกำแพงเพชร ๒ ครั้ง
    จึงทรงยกทัพมาตีลานนา จนตีได้ลำปางแล้วจึงกลับ
    ตั้งพระอาทิตยวงศ์เป็นพระบรมราชาครองพิษณุโลก พ.ศ.๒๐๕๙
    เจ้าพระยาจันทราชาและก็เจ้าพระยายศราชายกทัพไปตีเขมรมีชัยชนะ
    เจ้าพระยาจันทราชาจึงยกตัวเป็นกษัตริย์เขมรที่เมืองโพธิสัตว์
    ดู ฟังดูเขมรเขานะ ฟังดูเขา ว่าไอ้เจ้าเขมรเนี่ยมันไม่มีอะไรจะดีล่ะ
    และต่อไปก็ดูกันต่อไป พ.ศ.๒๐๖๑ พระเจ้ามานูเอล กษัตริย์โปรตุเกส
    ส่งราชทูตมาเจริญพระราชไมตรี พ.ศ.๒๐๗๒
    สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ สวรรคต ราชโอรส
    คือพระอาทิตยวงศ์ครองราชย์ ทรงพระนามว่า
    สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ นี่เป็นรัชกาลที่ ๑๐ แล้วนะ จำให้ดีนะ
    จะไล่รัชกาลกันไป ไม่งั้นจำกันไม่ได้ มา พ.ศ.๒๐๗๖
    สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ เป็นไข้ทรพิษสวรรคต ตาย พระรัษฎากุมาร
    พระชนมายุ ๔ พรรษาครองราชย์ นี่เป็นรัชกาลที่ ๑๑
    ทีนี้จะครองราชย์ได้กี่วันล่ะปัดโธ่เอ๊ย อายุ ๔ ปี แล้ว พ.ศ.๒๐๗๗
    พระไชยราชา พระอนุชาสมเด็จรัชกาลที่ ๔ ปลดพระรัษฎาธิราชกุมาร
    หลังจากครองราชสมบัติได้ ๕ เดือน ครั้นแล้วครองราชสมบัติแทน
    ทรงพระนามว่าพระไชยราชาธิราช เป็นรัชกาลที่ ๑๒ รัชกาลที่ ๑๒
    นี่มีนามว่าพระไชยราชาธิราช องค์นั้นก็ยังดี ได้เป็นพระราชาได้ ๕ เดือน
    เออ ดีเหมือนกัน

    พ.ศ.๒๐๘๑ พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ กับบุเรงนอง ตีเมืองเชียงกราน
    นะ เชียงตรานรึว่าเชียงกราน ได้พระไชยราชาธิราช เขาตีได้นะ
    พระไชยราชา อ๋อ มาตีเมืองเชียงกรานได้
    พระไชยราชาธิราชยกทัพไปตีเมืองเชียงกรานกลับคืนมา
    ชาวโปรตุเกสรับอาสาสมัคร ๑๒๐ คนร่วมรบด้วย พ.ศ.๒๐๘๓
    เจ้าพระยาจันทราชา ครองประเทศเขมรทั้งหมดแล้ว
    ได้ช้างเผือก ๑ เชือก ทางกรุงศรีอยุธยาเตือนไปแล้ว บอกว่า
    ได้ช้างเผือก เอามาให้ฉัน เตือนไปแล้วก็ไม่ยอมถวาย
    พระไชยราชาธิราชจึงยกทัพไปตี แต่ก็พ่ายแพ้เขมร
    เขมรเลยไม่ยอมขึ้นกับไทย ตอนนั้นก็ขึ้นกับไทยอยู่ แพ้เขานี่
    พ.ศ.๒๐๘๘ พระไชยราชาธิราชตีเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่ยอมสวามิภักดิ์
    แต่หลังจากนั้น ๒-๓ เดือน เชียงใหม่ก็กลับแข็งเมืองใหม่
    จึงไปตีอีกคราวนี้ตีไม่สำเร็จ แต่ก็ไปตีลำพูนได้ อ้าว ตีลำพูนได้
    เชียงใหม่มันก็แหงแก๋อยู่แค่นั้นสิ ใช่มั้ย

    ทีนี้ พ.ศ.๒๐๘๙ พระไชยราชาธิราชสวรรคต เอาล่ะสิมั้ยล่ะ
    นี่รัชกาลที่ ๑๒ นะ สวรรคตไปแล้ว ตาย แย่งเขามา ปัดโธ่
    นึกจะอยู่ พระแก้วฟ้าราชโอรส พระชนมายุ ๑๑ ปี ครองราชย์
    เอ้อ รัชกาลที่ ๑๓ จะครองราชย์อยู่กี่วันเล่า อายุ ๑๑ ปี ปัดโธ่เอ๊ย
    ตอนนี้ก็มาถึง พ.ศ.๒๐๙๑ ทีนี้ความจริง
    เขาให้ครองราชย์อยู่หลายวันเหมือนกันนะ พ.ศ.๒๐๘๙ มาถึง
    พ.ศ.๒๐๙๑ ก็ประมาณ ๔ ปีรึ ๓ ปี ขุนวรวงศาธิราช
    ชู้ท้าวศรีสุดาจันทร์ ราชมารดาของพระแก้วฟ้า ปัดโธ่เอ๊ย
    ก็น้ำตาลใกล้มดนี่ คบคิดกันปลงพระชนม์พระแก้วฟ้า
    ขึ้นครองราชสมบัติได้ ๔๒ วัน อันนี่เป็นรัชกาลที่ ๑๔ นะ
    รัชกาลที่ ๑๔ ขุนวรวงศาธิราชนี่ ๔๒ วัน ข้าราชการร่วมใจกัน
    จับสำเร็จโทษทั้ง ๒ คน และอัญเชิญพระเทียรราชา
    อนุชาต่างพระมารดาของพระไชยราชาขึ้นครองราชย์
    ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ นี่เป็นรัชกาลที่ ๑๕
    มา พ.ศ.๒๐๙๒ พม่ายกทัพมาประชิดพระนคร
    สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิทรงช้าง ทรงชนช้างกับพระเจ้าแปร
    พระศรีสุริโยทัยไสช้างเข้าช่วยพระราชสวามี
    พระเจ้าแปรฟันสมเด็จพระศรีสุริโยทัยสิ้นพระชนม์
    ไทยรักษากรุงไว้ได้จนทัพพระมหาธรรมราชา จังหวัดพิษณุโลก
    คือเมืองพิษณุโลกมาช่วย พม่าจึงถอยกลับ
    พระมหาธรรมราชากับพระราเมศวรติดตามไปตีทัพพม่า
    เลยถูกพม่าจับไปได้ ต้องไถ่ตัวด้วยช้าง ๒ เชือก
    ไทยตอนนี้ปั่นป่วนภายใน ทำศึกกับพม่า
    เขมรก็ยกทัพมากวาดต้อนชาวปราจีนไปประมาณ ๔,๐๐๐ คน
    ไอ้เขมรเนี่ยมันเป็นอย่างนี้นะ มันไม่มีความซื่อตรงต่อใคร
    ถ้าเลี้ยงมันก็เสียข้าว เอ้าก็ว่ากันไป พ.ศ.๒๐๙๙
    สมเด็จพระมหาจักรพรรดิให้เจ้าพระยาสวรรคโลก
    เขาวงเล็บไว้บอกว่า เจ้าพระยาโอ่ง ราชโอรสเขมร
    ราชบุตรบุญธรรมของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
    ยกทัพไปตีเขมร แต่ก็พ่ายแพ้แล้วก็ทรงสวรรคต
    เสียชีวิตในการสู้รบ พ.ศ.๒๑๐๔ พระศรีศิลป์
    โอรสที่ ๒ ของพระยาไชยราชาชิงราชสมบัติแล้วถูกจับได้
    สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิก็ทรงอุปสมบทให้ ไม่ยักฆ่า
    กลับหนีไปพาคนเข้ามาปล้นพระราชวัง แล้วก็สิ้นพระชนม์เพราะถูกปืน
    ก็ดีแล้วนี่ เขาอุตส่าห์บวชให้แล้วนะ เขาไม่เอาโทษกลับกลายเป็นโจร

    พ.ศ.๒๑๐๖ พระเจ้าบุเรงนองทราบว่า ไทยมีช้างเผือก ๗ เชือก
    ส่งทูตมาขอ ๒ เชือกให้ไทยแต่ว่าไทยไม่ให้
    พม่าจึงยกทัพยกมาตีพิษณุโลกได้ แล้วก็ล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้
    สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิจึงยอมเป็นไมตรี ตอนนี้ไม่ยอมไม่ได้
    สู้เขาไม่ได้ ทั้งนี้ ไทยต้องมอบพระราเมศวร พระยาจักรี
    พระยาสุนทรสงคราม พระนเรศวร ราชโอรสของมหาธรรมราชา
    กับช้างเผือก ๔ เชือกให้แก่พม่า นี่เขาขอ ๒ ไม่ให้ก็ให้ ๔ ให้คนด้วย
    มาต่อมาเจ้าเมืองตานีที่มาช่วยรบครั้งนี้ มีทหารอยู่ในกรุง
    เห็นไทยสิ้นอำนาจแล้ว ก็ซ้ำเติมด้วยการยกพลเข้าปล้นพระคลังหลวง
    สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิต้องเสด็จลงเรือ หนีออกจากพระราชวัง
    ไปประทับที่เกาะมหาพราหมณ์ ข้าราชการสู้รบจนกบฏหนีลงเรือไป
    แหม ไอ้เจ้านี่ก็น่าดูเหมือนกัน เมื่อ พ.ศ.๒๑๐๗
    พระไชยเชษฐากษัตริย์ลานช้างส่งทูต แหม ยาวเหยียดนะ
    มาขอพระเทพกษัตรีราชธิดาที่เกิดแต่สมเด็จพระศรีสุริโยทัย แต่ทว่า
    พระเทพกษัตรีทรงประชวร จึงส่งพระแก้วฟ้าราชธิดาอีกองค์หนึ่งไป
    พระไชยเชษฐ์จึงส่งคืนมา ภายหลังจึงส่งพระเทพกษัตรีไป
    แหม พระธรรมราชาไม่ต้องการให้พระเทพกษัตรีตกไปอยู่ในลานช้าง
    จึงให้คนไปทูลพระเจ้าบุเรงนอง พระเจ้าบุเรงนองจึงส่งทัพมาคอยดักกลางทาง
    และชิงพระเทพกษัตรีไปขณะที่เดินทางไปสู่ลานช้าง เอ้อ เวลาจะหมด
    สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิทรงสละราชสมบัติ ออกบวช
    โปรดให้มหินทร์ครองราชย์แทนต่อไป อันนี้องค์พระมหินทร์นี่
    ก็เป็นพระราชาที่เป็นรัชกาลที่ ๑๐ สิ นะ นี่เป็นรัชกาลที่ ๑๐
    ไปแล้วนะ โอ้ย ขอโทษ รัชกาลที่เท่าไหร่ล่ะ ไม่ใช่ ๑๐ เป็นรัชกาลที่ ๑๖
    โอ้โห เอ้า จำให้ดีนะ รัชกาลที่ ๑๖ มีนามว่า พระมหินทร์
    ครองราชย์แทนพระเจ้าจักรพรรดิ

    เทปนี้หน้านี้มันหมด ก็ถือว่าหมดไป ฟังเทปตอนที่ ๒ ต่อไป
     
  3. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    03.สมัยอยุธยา-รัชกาลที่ 17 ถึงสิ้นสุดสมัยอยุธยา.mp3
    เอ้อ สำหรับตอนนี้ ก็มาว่ากันถึงประวัติกรุงศรีอยุธยากันต่อไป
    ว่ามีกี่รัชกาลกันแน่ เป็นอันว่า สมเด็จพระมหินทร์ครองราชย์
    เป็นรัชกาลที่ ๖ เอ้อที่ ๑๖ เมื่อพระมหินทร์กับพระยารามณรงค์
    คบคิดกันกำจัดพระมหาธรรมราชาที่พิษณุโลก นี่ เอาแล้ว
    ท่านยังไม่อธิบาย ขอให้ลานช้างช่วยตีพิษณุโลกแต่ก็ไม่สำเร็จ
    เพราะว่าพระมหาธรรมราชารู้ตัวเสียก่อน ขอให้บุเรงนองส่งทัพมาช่วย
    เมื่อบ้านเมืองสงบราบคาบดีแล้ว พระมหาธรรมราชาเสด็จไปเฝ้า
    ไปเฝ้าพระเจ้าบุเรงนองที่หงสาวดี มา พ.ศ.๒๑๑๑
    สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิทรงลาจากผนวชครองราชสมบัติตามเดิม
    นี่เป็นรัชกาลที่ ๑๗ พระเจ้าจักรพรรดินี่มาเป็นรัชกาลที่ ๑๗ นะ
    ท่านก็ล่อทั้งที่ ๑๕ และ ๑๗ ก็ล่อกันยุ่งๆ อยู่นะ
    พระมหาธรรมราชาเสด็จไปหงสาวดี
    สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิจึงทรงส่งพระวิสุทธิกษัตริย์
    ชายาท่านนะ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงทรงรับนะไม่ใช่ส่ง
    รับพระวิสุทธิกษัตริย์ ชายาแล้วก็พระเอกาทศรถ
    ของพระมหาธรรมราชา ซึ่งเป็นพระธิดาและพระนัดดา
    คือพระหลาน เป็นลูกและหลานนะ มาจากพิษณุโลก
    ก็ไม่ใช่ใครนี่ พม่ายกทัพมาประชิดกรุงศรีอยุธยาอีก
    สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิกำลังทรงประชวรหนัก ตอนนี้ป่วย

    มา พ.ศ.๒๑๑๒ สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิสวรรคต
    พระมหินทร์ทรงครองราชย์แทน ทรงพระนามว่าพระมหินทราช
    อันนี้เป็นรัชกาลที่เท่าไหร่ เป็นรัชกาลที่ ๑๘ เอาเข้าไป
    ก็คงจะล่อกันยุ่งกันไปยุ่งกันมาอยู่นี่ เป็นอันว่า
    เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิสวรรคต รัชกาลที่ ๑๘
    ก็เป็นพระมหินทร์ครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระมหินทราช
    พระมหินทราชาธิราช มหินทราชาธิราชมิได้ทรงเอาใจใส่ในการสงคราม
    มอบหน้าที่สิทธิ์ขาดให้แก่พระยารามณรงค์คนเดียว
    และพม่าก็กำลังล้อมอยู่ เข้าตีเอากรุงไม่ได้ พม่าน่ะยังล้อมอยู่
    แต่ยังเข้าตีเอากรุงไม่ได้ เอ้อ เป็นกษัตริย์แต่ไม่สนใจในการสงคราม
    มอบคนอื่นเขาทำ ก็ต้องคิด ในที่สุด
    หลังจากพม่าได้ใช้กลอุบายหลอกลวงต่างๆ หลายครั้งแล้ว
    ก็ได้ตีกรุงศรีอยุธยาได้ บุเรงนองได้ให้พระธรรมราชาเป็นกษัตริย์กรุง
    ปกครองกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า
    สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ทีนี้ก็ยกทัพกลับกรุงหงสาวดี
    เอาพระมหินทร์ธิราช เอาพระมหินทราธิราชไปด้วย
    เอ้า ตานี้เป็นอันว่าพระมหาธรรมราชาก็เป็นรัชกาลที่ ๑๙
    จำให้ดีนะ ช่วยกันจำไว้ด้วยว่า พระมหาธรรมราชาธิราช
    เอ้อ คือว่าความจริงก็ เดิมทีชื่อพระมหาธรรมราชา อยู่พิษณุโลก
    นี่กลายเป็นมหาธรรมราชาธิราช ครองกรุงศรีอยุธยา เป็นรัชกาลที่ ๑๙

    ต่อมา พ.ศ.๒๑๑๓ พระยาละแวกยกทัพมาตีเขมร
    เอ๊ยขอโทษ พระยาละแวกยกทัพเขมรมาตีกรุงศรีอยุธยา
    ไทยออกรบ จนพระยาจำปาธิราชเสียชีวิตบนคอช้าง
    ทัพเขมรจึงกลับ ไอ้เขมรระยำ แล้ว พ.ศ.๒๑๑๔
    พระนเรศวรครองเมืองพิษณุโลก นะ นี่ยัง ยังไม่มาเป็นกษัตริย์ที่นี่
    ครองเมืองพิษณุโลก พระนเรศวรโตแล้วสำคัญๆ น่ะ
    ต่อมา พ.ศ.๒๑๑๘ พระยาละแวกยกทัพตีกรุงศรีอยุธยา
    แต่สู้ไม่ได้ กลับ นี่รัชกาลที่ รัชกาลที่ ๑๙ นี่มา ชักเรื่องยุ่งๆ นะ
    ต่อไปก็มา พ.ศ.๒๑๒๑ พระยาละแมก เอ๊ย
    พระยาละแวกตีเมืองเพชรบุรี มันอ้อมไปยังไงของมันนะนั่นน่ะ
    ไปตีเมืองเพชรบุรีแต่ว่าตีไม่สำเร็จ

    พ.ศ.๒๑๒๒ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเสด็จสวรรคตตอนเดือนยี่
    ครั้นถึงเดือน ๓ พระยาละแวกก็มาตีเมืองเพชรบุรี มีชัยชนะ
    ไอ้เจ้าเขมรนี่มันคบไม่ได้จริงๆ พ.ศ.๒๑๒๓
    พระยาละแวกยกกองทัพมากวาดต้อนผู้คนชายแดนตะวันออก
    ไปเมืองเขมรเป็นจำนวนมาก ไอ้เจ้าพวกนี้นี่
    มันน่าจะต้อนให้ลงเมืองผีให้หมด
    พ.ศ.๒๑๒๗ พระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพ ไม่ขึ้นกับพม่าต่อไป
    เอาล่ะสิ คราวนี้พระเจ้านันทบุเรงยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ๒ ทาง
    พระนเรศวรกับพระเอกาทศรถ พระอนุชา ยกทัพไปตั้งรับ พม่าดูท่าทีรู้ว่า
    เห็นท่าจะสู้ไม่ได้ ก็เลยยกทัพกลับ พ.ศ.๒๑๒๘ พม่าตีทัพเชียงใหม่
    แล้วก็ตีเมืองต่างๆ ลงมา พระนเรศวรออกรบกับพม่า พ่ายแพ้กลับไป
    พม่าแพ้กลับไปนะ นี่ควรจะจัดว่า พระนเรศวรนี่
    เป็นพระราชาสมัย พระนเรศวรนี่เป็นรัชกาลที่ ๒๐ ก็แล้วกัน
    ยังไงๆ ก็เป็นกันแน่ล่ะนะ รึก็หลังจากนั้น เดี๋ยวก่อนเมื่อกี้ว่ายังไง
    พม่าตีทัพเชียงใหม่ ตีเมืองต่างๆ ลงมา พระนเรศวรออกรบกับพม่า
    พม่าแพ้กลับไป
    พ.ศ.๒๑๒๙ พระเจ้านันทบุเรงตั้งทัพที่กำแพงเพชร แบ่งเป็น ๓ ทัพ
    เข้าตีกรุงศรีอยุธยา รบกัน ๕ เดือนจนต้องถอยทัพกลับไป
    แล้ว พ.ศ.๒๑๓๐ นักสัตถากษัตริย์เขมรตีเมืองปราจีนบุรี
    พระนเรศวรยกทัพไปตีกลับคืน แล้วก็ตีได้เมืองพระตะบอง โพธิสัตว์
    ควรจะล่อมาให้หมดนะ ไม่ใช่หมดแต่เมือง
    ฟัดคนเสียให้เรียบมันก็ดี แหม พ.ศ.๒๑๓๓ พระมหาธรรมราชาสวรรคต
    พระนเรศวรก็ครองราชย์ ความจริงพระนเรศวรนี่
    ครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๒๑ นะ เมื่อกี้ดูว่าจะบอกว่าเป็นที่ ๒๐ น่ะไม่ใช่
    มันเดาๆ เหมาเรียกว่าเหมาน่ะ เหมา ยังไม่เป็นพระราชา
    ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นพระราชา ใช่มั้ย ทีนี้ต่อมา พ.ศ.๒๑๓๔
    มหาอุปราชาพม่ายกมาตีทัพ พอถึงกาญจนบุรีก็ถูกตีพ่ายไป ให้ดูให้ดีนะ
    แล้ว พ.ศ.๒๑๓๕ พระมหาอุปราชาพม่ายกทัพมาตีที่เดิมอีก
    รบกันถึงตะลุมบอน พระนเรศวรชนช้างกับพระมหาอุปราชา
    ฆ่าพระมหาอุปราชาได้ ทัพพม่าจึงแตกกลับ นี่เป็นอันว่า ที่ชนช้างจริงๆ
    น่ะมันที่ ที่กาญจนบุรีนะ ไม่ใช่ที่ๆ เขาตั้งไว้ที่อำเภอศรีประจันต์
    นั่นมันเป็นสัญลักษณ์ ดูตอนนี้ให้รู้ ไม่ใช่มารบกันที่สุพรรณ
    รบกันที่กาญจนบุรี หลังจากนั้น ทัพไทยตีได้เมืองทวายและเมืองตะนาวศรี
    ตีมั่งละรุกบ้าง

    และก็ พ.ศ.๒๑๓๖ สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปตีเขมร ได้ชัยชนะ
    ควรจะกวาดให้เรียบ พ.ศ.๒๑๓๗ พระเอกาทศรถยกทัพไปปราบกบฏ
    เมืองตะนาวศรี พ.ศ.๒๑๓๘ สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปตีเมืองหงสาวดี
    ล้อมอยู่ ๔ เดือนจึงยกทัพกลับ อาหารหมด พ.ศ.๒๑๔๒
    สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปตีพม่าอีก มันอยากยกมาบ่อยๆ
    พวกพม่าย้ายเมืองหลวงไปที่ตองอู ตีได้หงสาวดีและเมืองต่างๆ เรื่อยๆ ไป
    จนถึงเมืองตองอู ล้อมอยู่ ๒ เดือน อาหารหมด ยกทัพกลับ
    เมืองมอญทั้งหมดจึงขึ้นกับไทย หงสาวดีนี่ความจริงเป็นของ
    เป็นของมอญเขาแต่พม่ามันโกงเอาของเขาไปนะ
    และก็ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๑๔๗ พระเจ้าหงสาวดีสิ้นพระชนม์
    สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปตีพม่า พ.ศ.๒๑๔๘ พอถึงเมืองหาง
    สมเด็จพระนเรศวรก็สวรรคต พระเอกาทศรถครองราชย์แทน
    เป็นรัชกาลที่ ๒๒ เป็นอันว่ารัชกาลที่ ๒๒ นี้ได้แก่พระเอกาทศรถ
    จำเข้าไว้ด้วยนะ ถามใครว่าใครเป็นรัชกาลที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง
    เลยมานั่งไล่เบี้ย ถูกมั่งไม่ถูกมั่งก็ช่างมันเถอะ

    พ.ศ.๒๑๖๓ ก็ไอ้ถูกมั่งไม่ถูกบ้าง เขาเขียนมาได้ไม่ถูกเลย
    เขายังเขียนเป็นประวัติศาสตร์กันได้นี่ ก็เราพูดกันอย่างเราๆ
    แบบลูกๆ หลานๆ พี่ๆ น้องๆ มันถูกมั่งไม่ถูกมั่งก็ช่างมัน
    เราไม่ไปยืนยันกะใครเขา พ.ศ.๒๑๖๓
    สมเด็จเอกาทศรถสวรรคตเสียอีกแล้ว ตาย เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์
    พระราชโอรสครองราชย์ไม่ถึงปี ก็ทรงอะไร พระเจ้าทรงธรรม
    พระโอรสสมเด็จเอกาทศรถเกิดจากพระสนม ทรงปลงพระชนม์
    แล้วก็ครองราชย์แทน นี่พ่อพระนารายณ์ เป็นอันว่ารัชกาลที่ ๒๓
    ก็ได้แก่ พระเจ้า เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ ใช่มั้ย ถูกไม่ถูกก็ไม่รู้
    ไอ้ของโบราณๆ และก็สำหรับรัชกาลที่ ๒๔ ก็ได้แก่ใครล่ะ
    สมเด็จเอกาทศรถสวรรคต เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์นะ
    โอรสครองราชย์ได้ไม่ถึงปี พระเจ้าทรงธรรม
    พระเจ้าทรงธรรมฆ่าเสียนี่ พระเจ้าทรงธรรมก็เป็นรัชกาลที่ ๒๔
    ดู เอาอะไรแน่นอนกะไอ้โลกน้อ อ้า ซึ่งเป็นโอรสสมเด็จพระเอกาทศรถ
    เกิดจากพระสนมคือลูกเมียน้อย ทรงปลงพระชนม์
    แล้วก็ครองราชย์แทน พ.ศ.๒๑๗๑ พระเจ้าทรงธรรมสวรรคต
    อ้าว ก็ฆ่าเขาตายแล้วทำไมไม่อยู่ให้มันตลอดล่ะ ดันเสือกตายเสียได้นี่
    พระเชษฐาธิราชคือพระราชโอรสครองราชย์ เอ้อพระเชษฐาธิราชนี่
    ก็พระเจ้าลุงของเอ้อ เป็นรัชกาลที่ ๒๕ นะ พระเจ้าลุงพระนารายณ์
    คนนี้สำคัญ เจ้าชู้มาก จะเอาหลานทำเมียอยู่เรื่อย ถูกเลยถูกฆ่าตาย

    พ.ศ.๒๑๗๓ พระเจ้าปราสาททองปลงพระชนม์พระเชษฐาธิราช
    ทรงยกพระอาทิตยวงศ์ขึ้นทรงครองราชย์ อายุ ๑๖ นะ
    ยกพระอาทิตยวงศ์ ทรงพระชนมายุได้แค่ ๑๖ ปีขึ้นครองราชย์
    ได้เพียง ๓๖ วันก็ทรงปลดแล้วก็ครองราชย์เสียเอง เอ้าดีเหมือนกัน
    เป็นอันว่า ถอยหลังนิดนึง รัชกาลที่ ๒๕ ก็หมายถึงพระเจ้าทรงธรรมนะ
    สวรรคต ฆ่าเขาตายแล้วก็ไม่อยู่ให้มันนาน อะโธ่ กี่ปีเนี่ย ๖๓ ๗๑ ปัดโธ่เอ๋ย
    ไม่กี่ปี พระเชษฐาธิราชน่ะ ซึ่งเป็นพระเชษฐาธิราช เป็นพี่ชาย
    อะโธ่ ราชโอรสทรงครองราชย์นะ เอาใหม่ เดี๋ยวจะไม่รู้เรื่อง หมายความว่า
    สมเด็จเอกาทศรถสวรรคตแล้ว พระเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์
    โอรสครองราชย์ไม่ถึงปีนะ เป็นรัชกาลที่ ๒๓ นะ
    แต่ว่าพระเจ้าทรงธรรมมาเป็นรัชกาลที่ ๒๔ โอรสพระสนมคือลูกเมียน้อย
    ก็ปลงพระชนม์แล้วก็ครองราชย์ได้ไม่กี่ปีก็ตาย รัชกาลที่ ๒๕
    เมื่อพระเจ้าทรงธรรมสวรรคต พระเชษฐาธิราช ราชโอรสครองแทน
    คือลูกของพระเจ้าทรงธรรม อ้าลูกของพระเจ้าทรงธรรมมั้ง
    อ้า พระเจ้า ถูกแล้วลูกของพระเจ้าทรงธรรมเป็นพระเชษฐาธิราชนะ
    ชื่อพระเจ้าเชษฐาธิราช มา พ.ศ.๒๑๗๓ พระเจ้าปราสาททอง
    ปลงพระชนม์พระเชษฐาธิราชเสียอีก เอ้า นี่รัชกาลที่ ๒๖
    ยกพระอาทิตยวงศ์ขึ้นครองราชย์ได้ ๑๖ อายุ ๑๖ ขึ้นครองราชย์
    แล้วก็ให้ครองราชย์ได้เพียง ๓๖ วันก็ปลดแล้วครองราชย์เสียเอง
    เอ้า อีกรัชกาลนี่ล่อกันยุ่งซิ เป็นอันว่า พระอาทิตย์เป็นรัชกาลที่ ๒๖
    พระอาทิตยวงศ์ทรงอายุ ๑๖ ปี เป็นรัชกาลที่ ๒๖
    โดยอาศัยที่พระเจ้าปราสาททองทรงยกขึ้นเป็นกษัตริย์
    แล้วก็ให้เป็นกษัตริย์ได้ ๓๖ วัน ก็ดีแล้ว แล้วก็เลยทรงราชย์เสียเอง
    เป็นอันว่าพระเจ้าปราสาททองเป็นพระราชา เป็นรัชกาลที่ ๒๗ เอ้อ ก็สนุกดี

    ดูเรื่องของโลก โลกมันเป็นอนิจจัง นะ พ.ศ.๒๑๘๙
    พระเจ้าปราสาททองสวรรคตตาย เจ้าฟ้าไชยราชโอรสขึ้นครองราชย์
    แล้วก็ พ.ศ. หนึ่ง เอ้อ เจ้าฟ้าไชยขึ้นครองราชย์ นี้ก็เป็นรัชกาลที่ ๒๘
    เอ้อ แล้วก็ครองราชย์ได้ปีเดียว พระนารายณ์ พระเจ้าปราสาททอง
    พระนารายณ์เจ้าโอรสของพระเจ้าปราสาททองก็ปลงพระชนม์
    เจ้าฟ้าไชย อ๋อ เจ้าฟ้าไชยนี่เอง จอมเจ้าชู้ จะเอาหลานทำเมีย
    แกจะอยู่ได้ยังไงเล้า แกก็ต้องตายน่ะซี อีตอนนี้น่ะขุนเหล็กกับ
    อ้า ขุนเหล็กขุนปานอะไรนั่นน่ะนะ กับสมเด็จพระนารายณ์
    ตอนนั้นยังรุ่นๆ รุ่นๆ เดียวกัน เอ้อ ขุนเหล็กขุนปานเนี่ยเป็นลูกแม่นม
    เห็นน้องสาวพระนารายณ์เจี๊ยวจ๊าว เห็นพระเจ้าอาจะไปเอาทำเมีย
    ก็เลยฟัดกันแหลก อีตอนนั้นน่ะตายห่าไปเลย เป็นอันว่า
    พ.ศ.๒๒๐๑ พระศรีสุธรรมราชา พระอนุชา
    พระอนุชาพระเจ้าปราสาททองครองราชย์เอง ก็ล่อกันยุ่งกันไปหมดนี่นะ
    จะเป็นรัชกาลที่ ๓๐ สิ ครองราชย์เอง พ.ศ.๒๒๐๓ เชียงใหม่ลานนา
    เมืองขึ้นของพม่ามาขออยู่ร่วมกับไทย เพราะพม่ากำลังยุ่งอยู่กับศึกฮ่อ
    สมเด็จพระเจ้า สมเด็จพระเจ้านารายณ์ส่งทัพไทยไปช่วยรักษาเชียงใหม่
    ยังไม่ทันจะถึง ศึกฮ่อก็สงบ เชียงใหม่ต้องขึ้นกับพม่าอีก
    ทัพไทยตีเมืองต่างๆ ถึงลำปางแล้วก็กลับ ทิ้งพม่าไว้หน่อยเดียว
    สมเด็จพระนารายณ์ยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ลานนาจึงกลับ
    อ๋อ พ.ศ.๒๒๐๕ สมเด็จพระนารายณ์ยกทัพไปตีเชียงใหม่
    แล้วก็ตีลานนา จึงกลับ กลับมา ไอ้เชียงใหม่ลานนากลับมาขึ้นกับไทย
    เช่นเดียวกับครั้งโบราณ ทีแรกไปอยู่กับพม่าเข้า ทีนี้
    พ.ศ.๒๒๐๖ มอญ ๑๓ ๑๒ หัวเมือง คนประมาณหมื่นเศษ
    อพยพหนีพม่าเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
    พม่ายกทัพตามมาขอคืนและยึดไทรโยค จึงโปรดให้พระยาโกศาเหล็ก
    ยกทัพไปรบ มังสุระราชาแม่ทัพพม่าถูกปืนตาย ต้องยกทัพกลับ
    ถูกปืนนะ ต้องยกทัพกลับไป พ.ศ.๒๒๐๗
    สมเด็จพระนารายณ์ยกทัพใหญ่ไปตีพม่า ตีได้เมืองรายทางและล้อมอังวะ
    จึงขาดเสบียงจึงกลับ เอามั่ง เอามั่ง พม่ามันอยากมาตี

    พ.ศ.๒๒๓๑ สมเด็จพระนารายณ์สวรรคต พระเพทราชาขึ้นครองราชย์
    นี่จอมทรราชย์ จอมทรราชย์นี่รัชกาลที่เท่าไหร่ เฮ้ยรัชกาลที่ ๓๑ นี่โอ้โห
    จอมทรราชย์ขึ้นมาแล้ว ไอ้คนเลี้ยงช้างมาเป็นพระราชานี่ เป็นได้สักกี่วันนี่
    พระเพทราชาขึ้นรับเลือกเป็นกษัตริย์ แล้ว พ.ศ.๒๒๔๕ พระเพทราชาสวรรคต
    พระเจ้าเสือ คืออะไร พระเจ้าเสือราชบุตรเลี้ยงครองราชย์แทน นี่พระเจ้าเสือนี่
    รัชกาลที่เท่าไหร่ รัชกาลที่ ๓๒ นี่เสือจริงๆ เสือแท้ๆ ความจริงเขาคงมีดีอยู่มั่งนะ
    ถ้าไม่มีดีก็ไม่มีพวก ถ้าท่านเสือจริงๆ ท่านชอบอีหนูเยอะ พ.ศ.๒๒๕๒
    พระเจ้าเสือสวรรคต ราชโอรสครองราชย์แทน ทรงพระนามว่า พระภูมิราชาธิราช
    ขุนหลวงท้ายสระ นี่เป็นรัชกาลที่เท่าไหร่ รัชกาลที่ ๓๓ จำไว้นะ มาช่วยกันจำไว้
    นี่ยัง ประวัติศาสตร์ส่งเดช เอาว่าซะหมดไป ๒ เทป แล้วก็ พ.ศ.๒๓๐๑
    พระบรมโกศ เรื่องอะไร เฮ้ย เดี๋ยวก่อน ขุนหลวงท้ายสระนะ
    เมื่อกี้ขุนหลวงท้ายสระก็เป็นรัชกาลที่ ๓๓ แล้วก็ พ.ศ.๒๒๗๕
    ขุนหลวงท้ายสระสวรรคต พระบรมโกศ อนุชาครองราชย์แทน แหม
    นี่กำลังยุ่งๆ จริงนะ ๓๓ นี่นะ แล้วก็มา ๓๔ พระบรมโกศเป็นรัชกาลที่ ๓๔
    ครองราชย์แทน ก็ไม่มีอะไร เห็นแต่ยุ่งในบ้านในเมือง
    พ.ศ.๒๓๐๑ พระบรมโกศตาย สวรรคตอีก พระเจ้าอุทุมพร รัชกาลที่ ๓๕
    ราชโอรสครองราชย์ได้ ๒ เดือน พอ
    ต้องถวายราชสมบัติแก่พระสุริยาศน์อมรินทร์ พระเชษฐา
    เอ้อ เป็นรัชกาลที่ ๓๖ เอ้า เป็นราชาได้ ๓ เอ้อ ๒ ได้ ๒ เดือนก็พอแล้ว
    ยังไงๆ ได้ ๒ เดือนก็พอ เขาเป็นพระราชา ๗ วันยังได้นี่

    พ.ศ.๒๓๐๒ พระเจ้าอลองญา กษัตริย์พม่า ยกทัพใหญ่มาล้อมกรุงศรีอยุธยา
    ขณะสั่งให้ยิงปืน ปืนแตกถูกพระองค์ ยกทัพกลับสิ้นพระชนม์กลางทาง
    โอ้โห ไม่ได้เรื่อง พ.ศ.๒๓๐๗ มังระครองพม่า
    ยกทัพไปตีลานนาและก็ลานช้างได้ จึงมาล้อมกรุงศรีอยุธยา
    ก็ทำสงครามแก่กันเป็นสามารถ พ.ศ.๒๓๑๐ สู้รบกันเป็นเวลานานถึง ๒ ปี
    จึงตีกรุงศรีอยุธยาได้ แตกอีก เมืองกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าแล้ว
    เกิดจลาจลทั่วอาณาจักร นี่แตกเป็นครั้งที่ ๒ หมด
    หมดกรุงศรีอยุธยา นะ ทั่วอาณาจักรไทย
    เจ้าเมืองต่างๆ ตั้งตัวเป็นใหญ่ สู้รบชิงกัน ชิงอำนาจกันเอง
    ในที่สุด พระยาวชิรปราการคือพระเจ้าตากสิน
    พระยาตากซึ่งตั้งตัวเป็นพระเจ้าตากที่เมืองจันทบุรี
    ตีบุกออกไปกลางคืนมีกำลังคนเพียง ๕๐๐ คนพร้อมทั้งลูกหาบ
    นี่ถ้าน้ำใจเป็นไทยเสียอย่างเดียวนี่มันไม่ยาก
    ยกทัพเรือเข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยา ตีพม่าได้เมืองธนบุรี
    และตีค่ายโพธิ์สามต้นแตกหนีไป พ.ศ.๒๓๑๑ เจ้าตากตั้งราชธานีที่เมืองธนบุรี
    ชื่อว่า กรุงธนบุรี มาสมัยกรุงธนบุรีนี่ มันมีไม่เท่าไหร่นะ เดี๋ยวก่อน เป็นอันว่า
    สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ไม่ต้อง ไม่ต้องบรรยายกัน
    เพราะว่า ถ้าขืนบรรยายกันก็ยุ่ง ไอ้ที่พูดมาเนี่ยเพื่อพูดให้
    ให้รู้ลำดับแห่งกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น ว่ากรุงศรีอยุธยา
    ถามว่ามีกี่รัชกาล รัชกาลไหนชื่อว่าอะไร แหม
    บรรดานักประวัติศาสตร์ทั้งหลายส่ายกันป้วนเปี้ยนๆ ไปหมด
    เป็นอันว่าสาด สาดกันไปสาดกันมา สาดจนไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน

    ก็เลยเป็นอันว่า เรื่องประวัติศาสตร์ที่กล่าวมานี่
    ไม่ได้มุ่งหวังว่าจะให้มันถูกมันผิด เป็นแต่เพียงจะบอกให้ลูกๆ ทราบว่า
    วันนั้นวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๒๒ ที่ไปชุมนุมกันที่จันทึก
    คืออาศัยพันโทศรีพันธ์ วิชชุพันธุ์เป็นเจ้าภาพ
    เป็นเจ้าของสถานที่ และก็มีโอกาสได้ชมการฝึกสุนัข
    สุนัขนี่มีระเบียบเรียบร้อยดีมาก สุนัขมีระเบียบดี หาได้ยาก
    เขาฝึกได้ดีก็เลยมานั่งนึก มองไปมองมาว่า
    ถ้าเราจะฝึกคนให้มีระเบียบเหมือนสุนัข สุนัขนี่มีความดีอยู่หลายอย่าง
    คือมีความกตัญญูรู้คุณเป็นยอด นี่ประการหนึ่ง
    นี่คนเราจะดีได้เพราะอาศัยความกตัญญูรู้คุณคน
    ถ้าคนทุกคนปราศจากความกตัญญูรู้คุณกันแล้ว มันก็ดีอะไรกันไม่ได้
    และประการที่ ๒ สุนัขไม่ใช่คน คนก็ไม่ใช่สุนัข แต่คนก็มีความสามารถ
    ฉลาด สามารถฝึกสุนัขให้รู้ภาษาคนได้ และสุนัขก็มีความฉลาดมาก
    สามารถรักษาระเบียบวินัยได้เป็นอย่างดี วันนั้นดูๆ แล้วก็สงสารสุนัข
    แล้วก็สงสารบุคคลผู้ฝึกสุนัข นับตั้งแต่เวลาที่ไปนั่งดู
    ไม่เคยเห็นเขาดื่มน้ำกัน ไม่เคยเห็นเขาดื่มสูบบุหรี่กัน
    แม้แต่สุนัขก็ไม่ได้กินน้ำ ความจริงสุนัขนี่ชอบกินน้ำมาก
    เพราะมัน มันขี้ร้อน แต่นึกมองไปแล้วก็สงสารสุนัข แต่ว่าเธอก็ดีแสนดี
    ถ้าหากว่า เราจะมีจิตเป็นไมตรีซึ่งกันและกัน
    รักษาระเบียบประเพณีอย่างคนฝึกสุนัข คือมีความเข้าใจในสุนัข
    และสุนัขก็มีความเข้าใจในระเบียบวินัย เคารพในระเบียบวินัย
    รับคำสั่งของผู้บังคับบัญชาได้เป็นอย่างดี เขาบอกซ้ายหัน
    คนฝึกยังไม่ต้องสั่ง ยังไม่ได้สั่งให้ทำ สุนัขหันแล้ว ขวาหัน กลับหลังหัน
    คอยก่อน คลาน หมอบ นอน เธอปฏิบัติตามทุกอย่าง
    อย่างเรียบร้อยน่ารัก เขาใช้เวลาฝึกกันเพียงแค่ ๓ เดือน
    แต่คนเรานี่บางทีฝึกกันมาตั้งแต่อายุ ตั้งแต่เกิดมาแล้วก็ถึงอายุ ๒๐ เศษ
    ฝึกจนกระทั่งเข้าไปเรียนถึงที่ไหนก็ตาม ไอ้ที่เขาว่ามันดีๆ น่ะ
    แต่กลับกลายเป็นคนขาดระเบียบวินัย ขาดความกตัญญูรู้คุณ
    อย่างนี้ที่ท่านทั้งหลาย ลูกหลานที่รัก จงอย่าเป็นตัวอย่าง
    จงจำแบบสุนัขและบุคคลผู้ฝึกสุนัขไว้ ว่าเขามีระเบียบวินัยด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย
    ผู้ฝึกก็มีระเบียบวินัย สุนัขก็มีระเบียบวินัย สุนัขย่อมดูผู้ฝึก
    เขาบอกว่าถ้าผู้ฝึกซึมๆ สุนัขก็จะซึมตาม ผู้ฝึกกระฉับกระเฉง
    สุนัขก็จะกระฉับกระเฉงตาม นี่เป็นเรื่องธรรมดา
    ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อยู่ใกล้คนเช่นใดย่อมเป็นเหมือนคนเช่นนั้น
    อยู่ใกล้เทวทัตก็ลงอเวจี อยู่ใกล้องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไปพระนิพพาน

    สำหรับเทปหน้านี้หมดแล้ว เรื่องประวัติศาสตร์ทิ้งไป ที่ว่าไปก็จะว่าให้ทราบว่า
    มันมีเป็นอนิจจัง ทุกขังและอนัตตา สำหรับเทปหน้านี้หมดก็ยุติไว้แต่เพียงนี้
    หน้าหลังคุยกันต่อไปใหม่
     
  4. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    04.ลำดับราชวงศ์ตั้งแต่พระเจ้าลวจังกราชถึงพระเจ้าพังคราช@17 มกราคม 2522.mp3
    เอ้อ บรรดาลูกรักทั้งหลาย สำหรับวันนี้หรือว่าตอนนี้
    ก็มาคุยกันถึงเรื่องประวัติศาสตร์เพื่อความเป็นธรรมศาสตร์ต่อไป
    คำว่าธรรมศาสตร์นี่ก็หมายความว่ารู้เรื่องธรรมะ
    แต่ก็ต้องเอาประวัติศาสตร์มาพูดกัน คราวที่จันทึก
    ตอนที่รื่นเริงกันใหญ่ในคราวนั้น ขณะที่ดูฟังเสียงเพลง
    และการฟ้อนรำ ท่านก็มาบอกว่า วันนี้เป็นฤกษ์สำคัญ
    ต้องแสดงออกเพราะความเป็นอยู่ของไทย ไทยจะไม่มีการสลายตัว
    และท่านก็ทำภาพให้ดูถึงการยับยั้ง การบุกรุกของข้าศึก
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าศึกไม่สามารถจะทำอันตรายประเทศไทยได้
    ทั้งนี้ก็เพราะว่า มีเทวดา พรหม และพระคอยช่วย
    และคนไทยก็จะต้องช่วยไทย เพราะไทยเราจะเป็นทาสไม่ได้ต่อไป
    ตามภาพที่มองเห็น เห็นว่าไทยคงทรงความเป็นไทอยู่ตามปกติ
    ยังไม่มีสภาพที่จะสลายตัว แต่ว่าบรรดาไทยขายชาติ
    หรือบรรดาไทยบ้าจี้ บรรดาไทยที่ทำหวังจะทำลายความเป็นไทพวกนี้
    อาจจะเป็นโรคปากกระบอกตายก็ได้ นั่นก็เป็นเรื่องกฎของกรรม

    ทั้งนี้เราก็มานั่งมองดูไทย ไทยเราที่ต้องเสียเอกราช
    แต่ความจริงคนไทยนี่อยู่ในแดนไทยมานาน ตามที่นักประวัติศาสตร์ค้นคว้ากันว่า
    ชาวละว้าคือเป็นไทย อันนี้ขอยอมรับนับถือ แล้วขอสรรเสริญท่านทั้งหลายเหล่านั้น
    ว่าท่านมีมันสมองดี แต่ความจริงคนไทยเราอยู่กันเป็นจุดเป็นหย่อม
    เรียกว่าในพื้นของแหลมทองนี่ ไทยอยู่กันมาเป็นล้านๆ ปี
    แต่ก็เพราะพวกไทยนี่แหละ ในเมื่อมีมาก ขยายการหากินขึ้นไปถึงประเทศจีน
    แต่ในเมื่อในที่นั้นอาศัยความไทยเป็นไทยใจดี พวกจีนเขามีความลำบาก
    ถูกข่มเหงไม่มีที่อาศัย ไทยก็ให้อาศัย นานๆ เข้า
    นี่เขามีความเจริญขึ้น ปีกหางแข็งขึ้น เขาก็เลยครองไทย ไทยเป็นคนใจดี
    รำคาญพื้นที่มาก ก็เรียกว่า ก็ต้องถอยลงมาเรื่อยๆ
    เรื่องการให้เขาอาศัยบ้านอาศัยช่อง แล้วเขาก็ยึดความยึดครอง
    ความเป็นไทของเราหมดไป ต้องเป็นทาสเขารึหนีเขา

    เรื่องนี้ก็ควรจะเป็นตัวอย่างสำหรับนักปกครอง นักบริหารประเทศ
    ก็ควรจะมีการรู้จักความใจดีแค่ความเป็นผู้มีใจดี
    ถ้าดีเกินไปเราไม่มีที่จะไปอีกแล้ว ความเป็นมนุษยธรรมเรามี
    แต่เขาที่มีมนุษยธรรม เขามีความลำบากแต่ขาดมนุษยธรรม เขามี
    อย่างกับพวกญวนนี่เราให้เขามาอาศัยชั่วคราว แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ไป
    เวลานี้ที่ขณะพูดนี่ เป็นวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๒๒
    ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าญวนหนีกันมาเป็นพันๆ และก็มาเรือแตกที่ไทย
    ถ้าเราจะคิดกันไปอย่างคนไทยๆ ก็จะเห็นว่า
    ไอ้การที่หนีมาแล้วมาเรือแตกที่ไทยนี่ เราเชื่อกันไม่ได้ว่าเรือจะแตกจริง
    ดีไม่ดีเขาอาจจะส่งคนขึ้นมาแล้ว ทว่าทะเลของเรากว้างใหญ่ไพศาลมาก
    มีระยะยาว เอาเหลือแต่คนที่แข็งแรงออกไปก็ทำลายเรือ
    แกล้งลอยคอเพื่อให้คนไทยช่วย เรื่องนี้ลูกรักทั้งหลายต้องระมัดระวัง
    ความเป็นไทยของเราที่จะต้องเสียอิสรภาพ เสียเอกราช
    ก็เพราะความเป็นคนใจดี และก็เราจะคิดดูว่า
    ถ้าญวนเขาดี เนื้อที่เขาก็มาก เขาแบ่งคนเข้ามาในเขมร
    แบ่งคนเข้ามาในลาว แล้วทำไมเขายังจะไม่มีที่อยู่อีก
    จะต้องอาศัยชาติต่างๆ อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติไทย
    ที่พูดมานี่ไม่ได้พูดให้เกลียดญวน แต่พ่อนี่มีความรู้สึกอยู่ว่า
    สักวันหนึ่งข้างหน้าญวนที่อพยพเข้ามานี้ก็จะกลายเป็นญวนตามเดิม
    นั่นหมายความว่าเขาต้องการให้เรามีความยุ่งยากและลำบาก
    ในที่สุดจะต้องตกไปอยู่ภายใต้อำนาจของญวน
    จะเห็นว่าญวนแตกเข้ามา เข้าทางภาคใต้
    ผู้ก่อการร้ายทางภาคใต้ก็มีความกำเริบมากขึ้น
    หรือเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ก็เหมือนกัน การที่เอาเรือรบของเราไปลาดตระเวนน่ะ
    มันมีความหมายน้อยเต็มที เรือที่มีกำลังถึง ๒๕ น็อต
    และก็เรือที่นำเขาเข้ามามีกำลังสูงกว่า ถึงแม้ว่าจะมีกำลังน้อยกว่า
    ก็ยากที่จะมองเห็น เคยถามนายทหารเรือที่ออกลาดตระเวน
    ว่าจับได้ในขณะที่ขนมาบ้างไหม ท่านก็เลยบอกว่าจับไม่ได้
    นอกจากว่าเรือมันจะแตกหรือเกยตื้น นั่นเป็นผลพลอยได้
    และอาวุธที่ขนเข้ามาก็มากมาย
    จะคิดว่าทางสายใต้ติดต่อต่างประเทศไม่ได้ นั้นก็ไม่เป็นความจริง
    นี่เป็นอันว่าที่พ่อพูดมานี่ลูกรัก ไม่ได้หวังจะให้ไทยปรารถนาทำลายญวน
    หรือเป็นศัตรูกับญวน แต่พ่อมีความห่วงใย ว่าคนไทยเราจะเสียท่าญวน
    และถ้าหากว่า กำลังเขามากขึ้น
    แล้วคนของเราที่ขายชาติทำลายชาติก็เข้าไปร่วมกับเขาด้วย
    ตอนนี้เราจะสบายมาก สบายขนาดที่ไม่มีที่จะอยู่
    สบายขนาดที่จะไม่มีอิสรภาพ สบายจนกระทั่งไม่ต้องใช้สมองของตัวเอง
    สบายจนกระทั่งไม่มีการพักผ่อนด้วยตนเอง เขาจะใช้ เขาจะข่ม เขาจะขี่
    เขาจะทำประการใดก็ได้

    เราหวนไปดูประวัติศาสตร์ในตอนต้น ตั้งแต่ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จะทรงเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน ในขณะนั้นพวกไทยกลุ่มใหญ่
    ขยายมาจากกรุงราชคฤห์มหานคร ความจริง
    ชาวกรุงราชคฤห์กับชาวกรุงกบิลพัสดุ์นี่เป็นคนไทย
    ขอนักประวัติศาสตร์ที่ไม่เชื่อก็สืบสาวราวเรื่องกันดูให้ดี
    ว่าได้จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์คือพระพุทธเจ้า
    เมื่อบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ๆ สมเด็จพระจอมไตร
    ทรงยึดกรุงราชคฤห์เป็นหลักปัก สร้างพระพุทธศาสนา
    แล้วพระราชาก็มีความสนิทสนมกัน สำหรับพระเจ้าปเสนทิโกศล
    เมืองเวสาลี นั่นเป็นเชื้อชาติแขก แต่ว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อนกะองค์สมเด็จพระชินวร
    และมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระจอมไตรมาก
    ถึงกับขอคนไทยมาเป็นภรรยาไว้ เพื่อความชิดเชื้อกับองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค
    และคนไทยที่อยู่กรุงราชคฤห์ ตอนหนึ่งมีพระราชาองค์หนึ่ง มีลูก ๖๐ คน
    ได้ให้ลูกหาอาณาเขต อาณาเขตในเวลานั้นมันหาง่าย เพราะมันเป็นป่า
    จึงได้ขยายมา พวกหนึ่งเดินทางมาสายเหนือ
    และอีกพวกหนึ่งจากจีนเดินทางไปสายใต้
    ทางสายใต้น่ะลงไปก่อนทางด้านจังหวัดเพชรบุรี
    ก่อนหน้าองค์สมเด็จพระชินสีห์จะทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณประมาณ
    ๓,๐๐๐ ปีเศษ สำหรับสายเหนือนี่เข้ามาในเขตเชียงตุง
    ก็เข้ามาในเขตเชียงรายก็แล้วกัน ตอนนี้ก่อนหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จะทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณประมาณ ๒,๗๐๐ ปีเศษ และก็ตอนหลังสุด
    ปรากฏว่าจากเชียงตุงเข้ามาเชียงราย ก็มีพระเจ้าลวจังกราช ตอนนั้น
    คนไทยที่เข้ามานี่มีวัฒนธรรมดี มีความเจริญทั้งด้านจิตใจและด้านความรู้
    การแต่งกายก็ดี เห็นว่าที่แม่สายและเดินลงมาลงจากเขา

    เวลานั้นปรากฏว่าพ่อบ้านและหัวหน้าอาณาเขตแถวนั้นเขาตาย
    ยังหาหัวหน้าไม่ได้ เห็นว่าพระเจ้าลวจังกราช ความจริงก็เรียกพ่อเจ้าก็แล้วกัน
    ตอนนี้ถือเป็นหัวหน้าคนธรรมดา และผู้ที่มาด้วยกันนั้นก็แต่งตัวสวยๆ
    แล้วก็เขาก็เลยเห็นว่าเป็นเทวดา ความจริงประวัติศาสตร์มักจะเขียนเกินๆ
    ไว้สักนิดหนึ่ง สมัยก่อน ลงมาเขาก็ยกให้เป็นหัวหน้า การปกครองมันก็ดีขึ้น
    อยู่ด้วยกันเป็นสุข สร้างความเป็นธรรม สร้างความสามัคคี มีกฎหมายสำหรับบังคับ
    ไม่ให้มีการกดขี่กัน หลังจากนั้นแล้ว พระเจ้าลวจังกราชมีพระราชโอรส
    ถ้าผิดไปบ้างก็ต้องขออภัย มีนามพระเจ้าอชุตราช
    นี่เป็นรัชกาลที่ ๑ พระเจ้าอชุตราชนี่มีอายุ ๑๒๐ ปี
    เมื่อท่านตาย ตายเมื่อ พ.ศ.๒๑๐๐ พอดี
    ต่อมารัชกาลที่ ๒ มีพระราชโอรสมีนามว่ามังราย อายุ ๔๖ ปี
    เสวยราชย์ต่อ พระเจ้ามังรายพระองค์นี้เป็นพระราชาที่เจ้า
    ที่สร้างเมืองเชียงราย เดิมทีเขาเรียกกันว่าเชียงรอย
    ขยายอาณาเขตออกไปจากพ่อปกครองอีก ๔ เท่า แต่ไอ้ความเป็นสุข
    ให้น้องๆ ไปปกครองอีก ๓ เขต
    รัชกาลที่ ๓ ก็มีพระเจ้า องค์ องค์เชียง นี่ตาไม่ดี
    เห็นจะเป็นพระเจ้าองค์เชียง องค์เชือง เสวยราชสมบัติมา ๓๑ ปี
    และก็ต่อมารัชกาลที่ ๔ พระเจ้าองค์ชินเสวยราชสมบัติ ๒๐ ปี
    รัชกาลที่ ๕ พระเจ้าองค์คำตน เสวยราชสมบัติ ๑๗ ปี
    รัชกาลที่ ๖ พระเจ้าองค์กิงตน เสวยราชสมบัติกี่ปีไม่ได้บอก
    แต่ว่าบอกว่า สำหรับพระเจ้ามังรายก็เหมือนกัน
    เสวยราชสมบัติกี่ปีก็ไม่ได้บอก มาถึงพระเจ้าองค์ องค์เกิงตนนี่ ปรากฏว่า
    ถึง พ.ศ.๒๐๑๘ แล้วก็ต่อมาพระเจ้าองค์กิงกิราช เสวยราชสมบัติ ๓๕ ปี
    รัชกาลที่ ๘ พระเจ้าองค์ชาติตน เสวยราชสมบัติ ๒๐ ปี
    รัชกาลที่ ๙ พระเจ้าองค์เว้าตนนะ พระเจ้าองค์เว้าตน เสวยราชสมบัติ ๑๙ ปี
    แล้วก็รัชกาลที่ ๑๐ พระเจ้าองค์แว่นตน เสวยราชสมบัติ ๑๗ ปี
    แล้วก็ไว้รัชกาลที่ ๑๑ พระเจ้าแก้วตน เสวยราชสมบัติ ๑๕ ปี
    รัชกาลที่ ๑๒ พระเจ้าองค์เงินตน เสวยราชสมบัติ ๑๕ ปี
    รัชกาลที่ ๑๓ พระเจ้าแวนตน เสวยราชสมบัติ ๑๖ ปี
    รัชกาลที่ ๑๔ พระเจ้าองค์งามตน เสวยราชสมบัติ ๓๓ ปี
    รัชกาลที่ ๑๕ พระเจ้าองค์สือตน เสวยราชสมบัติ ๑๕ ปี
    รัชกาลที่ ๑๖ พระเจ้าองค์เชิงตน เสวยราชสมบัติ ๑๘ ปี
    รัชกาลที่ ๑๗ พระเจ้าองค์พันตน เสวยราชสมบัติ ๑๖ ปี
    รัชกาลที่ ๑๘ พระเจ้าองค์เกลาตน เสวยราชสมบัติ ๑๗ ปี
    รัชกาลที่ ๑๙ พระเจ้าองค์พิง เสวยราชสมบัติ ๑๙ ปี
    รัชกาลที่ ๒๐ พระเจ้าองค์สีตน เสวยราชสมบัติ ๑๗ ปี เอ้อ ๒๐ แล้วนะ
    และรัชกาลที่ ๒๑ พระเจ้าองค์แพงตน เสวยราชสมบัติ ๒๐ ปี
    รัชกาลที่ ๒๒ พระเจ้าองค์ พระเจ้าองค์ เอ้อ พาตนหรือพวกตนนี่นะ
    เสวยราชสมบัติ ๑๔ ปี
    รัชกาลที่ ๒๓ พระเจ้าองค์พูตน เสวยราชสมบัติ ๑๒ ปี
    รัชกาลที่ ๒๔ พระเจ้าองค์เฝ้าตน เสวยราชสมบัติ ๕๐ ปี
    รัชกาลที่ ๒๕ พระองค์มังสิงตน เสวยราชสมบัติ ๕๐ ปี
    รัชกาลที่ ๒๖ พระเจ้าองค์มังสมตน เสวยราชสมบัติ ๘ ปี
    รัชกาลที่ ๒๗ พระเจ้าองค์ทิพยตน เสวยราชสมบัติ ๑๗ ปี
    รัชกาลที่ ๒๘ พระเจ้าองค์กรมตน เสวยราชสมบัติ ๕ ปี
    รัชกาลที่ ๒๙ พระเจ้าองค์ชายตน เสวยราชสมบัติ ๒๐ ปี
    รัชกาลที่ ๓๐ พระเจ้าองค์ชิงตน เสวยราชสมบัติ ๑๕ ปี
    รัชกาลที่ ๓๑ พระเจ้าองค์ชมตน เสวยราชสมบัติ ๒๐ ปี
    รัชกาลที่ ๓๒ พระเจ้าองค์พังตน เสวยราชสมบัติ ๑๖ ปี
    รัชกาลที่ ๓๓ พระเจ้าองค์พิงตน เสวยราชสมบัติ ๑๕ ปี
    รัชกาลที่ ๓๔ พระเจ้าองค์เพียงตน เสวยราชสมบัติ ๑๗ ปี
    และก็รัชกาลที่สาม นี่มันรัชกาลที่ ๓๔ แล้วนะ
    มารัชกาลที่ ๓๕ พระเจ้าพังคราช เสวยราชสมบัติได้ ๑๘ เมื่อ
    เมื่ออายุ ๑๘ พอถึงอายุ ๒๐ ก็เห็นจะเป็น ๓ ปี ขอมก็เข้ามาตีเมือง

    นี่เป็นอันว่า ที่พ่อนำเอาประวัติศาสตร์ตอนนี้มาพูดก็เพราะว่า
    การปกครองของไทยในสมัยนั้น มีวัฒนธรรมดีมาก คำว่าวัฒนธรรม
    ก็หมายความว่าความเจริญในด้านจิตใจ วัฒนะนี่แปลว่าเจริญ
    ธรรมแปลว่าทรงไว้ ไม่มีการกบฏ ไม่มีการปฏิวัติ
    ไม่มีการยึดอำนาจ ไม่มีอะไรต่ออะไรทั้งหมด
    ถ้าพ่อตายลูกก็ปกครอง ถ้าไม่มีลูก น้องก็ปกครอง
    ลูกของน้องก็ปกครองต่อไปตามลำดับ
    ถือว่ามีความเป็นอยู่กันอย่างไทยๆ อยู่กันอย่างพ่อกับลูก
    ทางนี้ในสมัยเมื่อสงครามมันไม่มี จะมีกันบ้าง
    ก็เป็นการการปราบปรามโจรผู้ร้าย แต่ว่าสำหรับพระเจ้ามังรายมหาราชนี่
    รู้สึกว่ามือจะจับดาบอยู่เสมอ เพราะว่ามีการขยายอาณาเขต
    เมื่อพระราชบิดาทิวงคตไปแล้วก็ปรากฏว่า
    พระองค์ขยายอาณาเขตจากเขตเดิมถึง ๔ เท่า พระเจ้ามังรายมหาราชนี่
    รู้สึกว่า จะมีประวัติยาวๆ หน่อย เพราะว่าเป็นคนขยันเกิด มังรายมหาราช
    กับพระเจ้าเม็งราย คนละองค์นะ มังรายเป็นคนสร้างเชียงรายขึ้น
    พระเจ้าเม็งรายนี่มารุ่นหลัง รุ่นสมัยพระเจ้ารามคำแหง
    ต่อมาก็มาคุยกันถึงว่า บางทีบรรดาลูกหลานที่รักจะเห็นว่า
    พระเจ้าพังคราชนี่ ท่านชื่อพัง ต้องแปลว่าพระราชาผู้พัง แต่ความจริง
    การจะไปด่าพ่อนี่ก็ไม่ถูก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า
    จะเห็นว่าการปกครองอ่อนแอมาก ไม่มีการเตรียมรบ
    ไม่มีการเตรียมรับ ถ้าเราจะดูกันไปถึงพฤติการณ์แล้ว ถึง ๓๕ รัชกาล
    ถ้าเอาจนกระทั่งพระเจ้าลวจังกราชด้วย ก็ควรจะเป็น ๓๖ รัชกาล
    ไม่มีการสู้รบปรบมือ ไม่มีการแย่งชิงราชสมบัติ ไม่ได้มุ่งความเป็นใหญ่
    และก็ไม่ได้บ้าจี้ ไม่ได้อะไรทั้งหมด อยู่ด้วยกันเป็นสุข อาการอย่างนี้
    การเตรียมรบมันก็ไม่มี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเราไม่ได้คิดจะรบกับใคร
    แล้วก็ไม่มีใครเขามารบกับเรา จะถือว่าประมาทก็ว่าได้
    แต่พ่อคำนวณตามพุทธศักราช ตามศักราชแล้ว
    ไม่รู้เรื่องของพระเจ้าลวจังกราช คำนวณประวัติศาสตร์ได้ประมาณ
    ๗๐๐ ปีเศษๆ พ.ศ. นะ แต่ทว่า ตามพงศาวดารท่านบอกว่า ๙๐๐ ปี
    ก็เป็นอันว่า พระเจ้าลวจังกราช ไม่ทราบว่าท่านปกครองกี่ปี เป็นอันว่า
    พระพุทธศักราชของชาวเหนือเชื่อได้ ถ้าไล่ตามรัชกาลมาก็คงจะอยู่ในเกณฑ์
    ๙๐๐ ปี ที่พระเจ้าพังคราชขึ้นเสวยราชย์ พระเจ้าพังคราชท่านเสวยราชย์
    เพียงอายุ ๑๘ ปี แต่ก็มีหลายองค์เหมือนกัน ที่ผ่านมา
    พ่อไม่ได้บอกอายุ ท่านยังหนุ่ม แต่ว่ามีลีลาคือปฏิบัติตามบิดามารดา
    และท่านผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติกันมา การปกครองในคราวนั้น
    ปกครองกันแบบพ่อกับลูก คือพระราชาก็พระราชานั่นแหละ
    ในฐานะที่ขณะใด ทรงความเป็นพระราชา ก็ต้องใช้อำนาจ
    แต่ขณะที่วางความเป็นพระราชาไปแล้วก็เป็นเพื่อนบ้านที่ดีของคนทุกคน
    เข้าถึงบรรดาประชาชน พูดคุยกันตามสบาย

    แต่ทว่า คนสมัยนั้น พ่อบอกแล้วนี่ว่า เขามีวัฒนธรรม ไอ้วัฒนธรรมเนี่ย
    หมายถึงมรรยาท คือมีใจดี ถึงแม้ว่าพระราชาจะลงไปคลุกคลีกะเขา
    อาศัยที่เขามีความรักความเคารพ เขาก็ไม่ตีเสมอพระราชา
    ไม่ตีตนเสมอขึ้นมา เป็นอันว่า คนเราจะดีได้มันมีอย่างนี้
    ลูกรักทั้งหลาย ถ้าผู้ใหญ่ที่ดี จะต้องทำตนให้ย่อตนลงมาให้ต่ำ
    เสมอกับผู้น้อย การย่อตนลงให้ต่ำเสมอกับผู้น้อย นี่เป็นความดีของผู้ใหญ่
    แต่ว่าผู้ใหญ่(ผู้น้อย)เห็นว่าผู้น้อย(ผู้ใหญ่)ย่อตนลงมาเสมอตน
    และตนเองก็เลยทำตนให้เท่ากับผู้ใหญ่นั่นเป็นความเลวของผู้น้อย
    ขอบรรดาลูกที่รักจำไว้ เมื่อท่านย่อลงมามากเท่าไหร่
    เราก็ย่อให้มากลงไปมากกว่านั้น อัปปจายนกรรม
    กรรมคือความเป็นการอ่อนน้อมเข้าหากันเป็นความดี สร้างความรัก
    ฉะนั้นพระราชาในสมัยนั้น กับบรรดาประชากรทั้งหมด
    จึงปรากฏว่ามีการปกครองเหมือนพี่เหมือนน้อง หรือพ่อปกครองลูก
    ลูกอยู่กับพ่อ ความสุขของพระราชาในสมัยนั้นก็คือ
    ดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน พระราชาไม่ได้ว่าง
    มีโอกาสออกขุนนาง พบประชาชนได้เกือบทุกวัน
    และก็มักจะชอบเดินชมป่าชมดง บางรายก็ชอบล่าสัตว์
    บางรายก็ชอบประพาสป่า การประพาสป่านั้นก็มองไปดูว่า
    ที่ไหนมันจะมีน้ำดีบ้าง ที่ไหนจะมีที่ราบดีบ้าง
    จะปลูกพืชผักอะไรดี เมื่อพบพื้นที่แล้วก็มาแนะนำกับบรรดาประชาชน
    แต่ว่าในสมัยนั้นรู้สึกว่าทองคำมีมาก ฉะนั้น
    คนในเขตไทยสมัยนั้นจึงเป็นเขตที่มีความอุดมสมบูรณ์
    ทั้งสัตว์เนื้อสัตว์หนังสัตว์กระดูกสัตว์งาสัตว์ แล้วของป่า
    แล้วทองคำหรือเงินจะเอาหากันได้ง่าย คนไทยจึงมีความสุข

    ต่อมาเมื่อพระเจ้าพังคราชเสวยราชสมบัติ เจ้าขอมดำ
    หรือว่ามอญหริภุญไชย เมื่อเขาส่งคนไปดู
    เห็นว่าคนไทยตกอยู่ในความประมาท ไม่มีการสง
    เอ้อไม่มีกองทหารรักษาประเทศ อยู่กันแบบสบายๆ
    ไอ้ความโลภของคนจังไรมันก็เกิดขึ้น จึงได้เคลื่อนทัพ
    มีกำลังประมาณแสนคน กองทัพของเขานี่ไปประมาณแสนคน
    แต่คนของเราทั้งประเทศจริงๆ ก็มีอยู่แสนเศษๆ
    เขาเดินทัพไปใช้เวลาประมาณ ๒๐ วันก็ถึง เราก็ยกกำลังทัพออกมารับ
    แต่ทัพเราไม่มีการเตรียมรบ ฉะนั้น
    การปะทะกันระหว่างทหารที่พร้อมในการรบ กับทหารที่ไม่พร้อมในการรบ
    มันก็สู้กันไม่ได้ เป็นอันว่าไทยเราต้องแพ้ขอม เมื่อแพ้แล้วทำไง
    เขาเข้ายึดครองอำนาจ เป็นอันว่าเข้ามายึดครองนี่
    เขาก็บังคับให้พระเจ้าพังคราชไปเป็นกำนันอยู่ตำบลหนึ่งทางด้านแม่สาย
    แต่ว่าก่อนที่จะไปเป็นกำนัน ลูกหลานที่รัก ลูกรักของพ่อ
    จำให้ดีนะว่า ความเป็นทาสเขาน่ะ มันจะเกิดความโศกศัลย์หรรษาเป็นประการใด
    คือว่า คนที่เขามาเป็นนาย ถ้าเขาหวังดีเรากะเราล่ะก็ เขาไม่มาตีเราหรอก
    เมื่อเขาตีเราแล้ว จุดมุ่งหมายของเขานั่นก็คือ ต้องการทำลายไทยทั้งชาติ
    ให้พินาศไป พูดกันง่ายๆ ก็หมายความว่า เขาต้องการจะฆ่าไทยให้ตายทั้งหมด
    แต่ว่าการฆ่าของเขามีความประสงค์อยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ต้องการให้ไทย
    ตายไปด้วยกำลังที่เขาทรมาน

    เอาล่ะบรรดาลูกรักทุกคน กาลเวลาที่จะคุยกันไป ถึงการถูกทรมานในครั้งนั้น
    มันก็ไม่มีเวลาจะพูด เวลานี้มันถึง ๓๐ นาทีพอดีแล้ว สำหรับเทปหน้านี้
    ก็ยุติไว้ก่อน ขอบรรดาลูกรักทุกคนรับฟังหน้าต่อไป ในตอนที่ไทยกำลังเข้าถึงความเศร้าโศก
     
  5. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    05.พระเจ้ามังรายมหาราช@17 มกราคม 2522.mp3
    เอ้อ ลูกรักทั้งหลาย ตามที่กล่าวมาในตอนต้น ก็รู้สึกว่า
    ประโยชน์ในการรับฟังจะน้อยๆ ไปสักนิดหนึ่ง ทั้งนี้ก็เพราะว่า
    เป็นการเอาประวัติศาสตร์มาคุยกัน แต่ความจริง
    เรื่องคุยกันแบบนั้น พ่อก็คิดว่าดีเหมือนกัน
    จะได้ทราบว่า คนไทยเรานี่ที่เราต้องเสียกำลังไปก็เพราะว่า
    รึเสียอิสรภาพไปก็เพราะคนใจดี มาเวลานี้
    เราก็มักจะเป็นคนมีศีลมีธรรม มีศีลมีธรรมนี่เป็นของดี
    แต่ทว่า ถ้ามีศีลมีธรรมแล้วก็จิตใจตั้งอยู่ในความประมาท
    ไทยเราอาจจะกลายเป็นทาส คราวนี้ถ้าเป็นทาส
    ก็คงไม่มีความเป็นไทย ทั้งนี้เพราะอะไร
    เพราะความประมาทอย่างหนึ่ง และความอยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง
    ความละโมบโลภมากของบุคคลที่มีอำนาจอย่างหนึ่ง
    การขายตัวให้แก่คนต่างชาติอย่างหนึ่ง
    และการที่ไม่คิดอะไรให้รอบคอบอย่างหนึ่ง

    พ่อสังเกตดู คนเลวมักจะมีเสียงมาก พ่อเดินทางไปรอบๆ
    ประเทศ คนไทยทั้งประเทศเขาไม่เคยรู้เรื่องรัฐธรรมนูญ
    ไม่เคยเรียกร้องประชาธิปไตย คำว่าประชาธิปไตยเป็นยังไง
    เขาก็ไม่รู้เรื่อง เขามีความรู้เรื่องหรือมีความต้องการอยู่อย่างเดียว
    คือผู้บริหารประเทศทำงานโดยฉับพลัน ช่วยเหลือเขา
    และคนที่ทะนงตนและอวดตนว่าเป็นคนดี ลูกรักทั้งหลาย
    จะเห็นว่าคนพวกนี้เป็นคนบ้าจี้และเป็นคนบ้าอำนาจ
    เป็นคนบ้าวิชาความรู้ มักจะอ้างประชาชนว่า
    ถ้าประชาธิปไตยอย่างร่างรัฐธรรมนูญก็ควรจะมีประชาชนเข้าร่วมด้วย
    แต่เนื้อแท้ประชาชนจริงๆ น่ะมีไม่กี่คนที่มีความต้องการอย่างนั้น
    ประชาชนส่วนใหญ่เขาไม่ต้องการอะไร ต้องการว่า
    ถ้าเขาไม่มีน้ำต้องการน้ำ ไม่มีข้าวต้องการข้าว
    ไม่มีที่ทำมาหากินต้องการที่ทำมาหากิน
    และคนประเภทที่ทำให้คนไทยต้องชิบหายวายวอด
    เครื่องมือสำหรับที่จะทำให้ประเทศอยู่รอดก็ดี และอาชีพของคนไทยก็ดี
    ที่กำลังมีอยู่ หากินกันอย่างพอกิน บางทีก็เหลือเฟือ
    ต้องกลับกลายเป็นคนยากจนเข็ญใจ ไปอยู่ในป่าสงวน
    มีที่กันคนละไร่สองไร่ และคนไทยที่ต้องการจะขายชาติ
    จะทำลายลัทธิประเพณี คนไทยประเภทนี้แหละที่เขาต้องการรัฐธรรมนูญ
    ต้องการประชาธิปไตย แต่ความจริงมันเป็นอัตตาธิปไตยน่ะลูกรัก
    คำว่าอัตตาธิปไตยก็หมายความถึงความเป็นใหญ่ของเขา

    ตอนนี้พ่อจะไม่นำประวัติศาสตร์มาพูด จะขอนำเรื่องราวของท่านผู้เฒ่า
    ท่านผู้เฒ่านี่เป็นใคร พ่อก็ไม่รู้จะบอกชื่อได้เหมือนกัน
    คือว่าประวัติศาสตร์ของเราก็ได้แต่จำๆ กันมา พ.ศ. สถานที่
    ชื่อบุคคล เหมือนขาดตอนไปมาก ประวัติศาสตร์ของเรา
    ไม่ใช่จะมาตั้งต้นเอาที่ตอน พระเจ้าอะไร พระเจ้าพรหมมหาราช
    และก็มาโผล่ขึ้นอีกทีก็พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ความจริงไม่ใช่ยังงั้น
    คนไทยนี่ถ้าจะเขียนประวัติศาสตร์กันจริงๆ ต้องเขียนกันอีกเยอะ
    เพราะว่าละว้าทั้งหมดเป็นคนไทย อย่างในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตร
    บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่
    เวลานั้นท่านหมออาชีวกโกมารภัจจ์ได้ลาองค์สมเด็จพระบรมครูมาที่ทวารวดี
    ตอนนี้ก็ปรากฏว่าที่ทวารวดีเป็นคนไทย
    ท่านหมออาชีวกไปยืนยันกับองค์สมเด็จพระจอมไตร
    ว่าชาวทวารวดีพูดภาษาโดดและพูดไพเราะมาก พระพุทธเจ้าให้พูดให้ฟัง
    เมื่อท่านหมออาชีวกพูดภาษาทวารวดี สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงพูดภาษานั้น
    พูดกันสนุกสนานในที่สุด ท่านหมออาชีวกโกมารภัจจ์ก็สงสัย
    จึงได้ทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า พระองค์ทรงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงตรัสว่า ชาวกรุงกบิลพัสดุ์ทั้งหมด
    ใช้ภาษานี้เป็นภาษาพื้นเมือง นี่เป็นอันว่า คนไทยเราอยู่ในที่นี้มานาน
    แล้วขยายออกไปมาก แสดงว่าตระกูลไทยมีมาก แต่การที่อยู่ต่างถิ่น
    ในสถานที่ต่างกัน อยู่กันคนละก๊กคนละเหล่า ภาษาที่พูด จริยา วัฒนธรรม
    มันอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่น้ำใจก็คงเป็นคนไทย

    ต่อนี้ไปพ่อจะขอนำเรื่องท่านทั้งหลายที่เล่ากันต่อๆ กันมา
    พ่อฟังมาตั้งแต่เด็ก เอาเข้ามาผสมผสานกัน จะถูกหรือผิด
    พ่อก็ขอยอมรับ ว่าถูกก็ได้ผิดก็ได้ ฟังกันมายังไงก็คุยกันไป
    เพื่อประโยชน์แห่งความเป็นไทยของเรา ท่านได้บอกว่า มีบุคคลคนหนึ่ง
    เพราะว่าในสมัยเมื่อพ่อเด็กๆ มีพระผู้ทรงอภิญญามาก แต่พอพูดเรื่องนี้ออกไป
    บางทีอาจจะมีใครเขาไปกราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่ามหาวีระนี่
    คงจะอวดฤทธิ์อวดเดชอีกแล้ว ความจริงพ่อเป็นคนไม่มีฤทธิ์ พ่อเป็นคนไม่มีเดช
    ถ้าฤทธิ์เดชจะพึงมี ก็ต้องอาศัยองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    อาศัยวิชาความรู้ของท่าน เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๑
    จนกระทั่งถึงวันที่พูดนี่เป็นวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๒๒
    พ่อได้รวบรวมความรู้ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบางตอน
    ที่พ่อศึกษามาในกรรมฐาน ๔๐ ทั้งหมด และก็มหาสติปัฏฐานสูตร
    ด้านขั้นสุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
    และก็นำเอาด้านเตวิชโชกะฉฬภิญโญเข้ามาบวกกัน ใช้กำลังสมาธิสั้นๆ
    ก็ถึงเวลานี้ปรากฏว่า นักศึกษาทั้งหมดสามารถท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ
    ได้ประมาณพันคนเศษ ที่สำนักเราก็จะผ่านไปประมาณซัก ๓๐๐ คนเศษ
    ในสำนัก และคนที่อยู่ในสำนักก็ไปฝึกกันต่อๆ ไป พ่อเป็นคนไม่หวงวิชา
    เพราะว่าไม่ใช่วิชาของพ่อ เป็นวิชาของพระพุทธเจ้า สร้างคนให้เป็นคนดี
    อย่างนี้ถ้าใครจะบอกว่า เป็นอวดอุตริมนุสธรรมก็เชิญ ไม่ใช่อวด
    และไม่ใช่ทำให้ แนะนำให้เขาทำ แล้วเขาก็ทำกันได้
    จะหาว่าอวดฤทธิ์อวดเดชก็เชิญ พ่อไม่เห็นแคร์
    สำหรับคนดีแต่พูด แต่ไม่ทำ ศีล ๕ ก็ไม่ครบ พ่อจะสนใจอะไร เวลานี้
    พ่อใกล้จะตายอยู่แล้ว มีทุกสิ่งทุกอย่าง มีอะไรขึ้นมา พ่อจะบอกให้หมด

    เป็นอันว่า ความรู้ต่อไปนี่อาศัยความรู้จากองค์สมเด็จพระบรมสุคตบ้าง
    อาศัยการบอกเล่าของท่านผู้เฒ่า ท่านผู้ใหญ่ พระในสมัยก่อนบ้าง
    แล้วก็ฆราวาสในสมัยก่อนที่ท่านทรงธรรมบ้าง ท่านคุยกันต่อๆ กันมา
    อย่าลืมว่าพ่อเองพ่อก็ไม่ยืนยันว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริงยังไง
    เป็นอันว่า ท่านผู้ ท่านทั้งหลายท่านผู้รู้ก็แล้วกันนะ
    อย่าเรียกว่าท่านผู้เฒ่าเลย ท่านตายไปไม่มีกระดูกเหลือแล้ว ทั้งหมดเนี่ย
    ที่คุยให้ฟัง ให้พ่อฟัง ไม่มีล่ะ กระดูกท่านอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ ท่านบอกว่า
    มีบุคคลอยู่คนหนึ่ง เอาระยะสั้นๆ ท่านผู้นั้นคือพระเจ้ามังราย
    ลูกชายของพระเจ้าอชุตราช จอมแช่งเหมือนกัน
    ท่านองค์นี้ครองราชสมบัติแทนราชบิดา เมื่อครองราชสมบัติแทนราชบิดาแล้ว
    ก็เริ่มขยายอาณาเขต จาก ๑ ที่พระราชบิดามีอยู่
    ขยายไปอีก ๓ เท่าตัว

    เป็น ๔ เท่า และก็การขยายอาณาเขตของพระเจ้ามังรายมหาราช
    มหาราชนี่พ่อตั้งให้นะ

    ก็ไม่ได้ใช้อาวุธ แต่ความจริงจะว่าไม่ใช้อาวุธก็ไม่ถูก
    ท่านใช้อาวุธที่มีความสำคัญมาก มือจับดาบแต่ดาบไม่ได้ฟัน
    ใช้ลีลาหนึ่งคือการแต่งตัวสวย อบรมคนที่อยู่ในขอบเขตการปกครองให้มีระเบียบ
    ถึงเวลาที่แสดงความเป็นเจ้าเป็นนายคน ก็เป็นเจ้าเป็นนายคน
    ผู้คนแสดงความอ่อนน้อม เวลาที่ถอดเครื่องแบบออก ก็เป็นเพื่อนกับคน
    ชอบคุยกันแบบสบายๆ ตามใจชอบ เรียกว่าคุยกันแบบไทยๆ นั่นนั่นแหละ
    เพราะอาศัยน้ำใจ รูปร่างท่านสวย เป็นคนเนื้อละเอียด คนไทยเวลานั้น
    เป็นคนเนื้อละเอียด ผิวค่อนข้างเหลือง มีจริยามรรยาทสมบูรณ์แบบ
    มีความอ่อนน้อมเป็นปกติ มีวาจาไพเราะ ย่อมเป็นที่รัก
    ฉะนั้น เวลาที่จะขยายอาณาเขต เวลานั้น ก็ยังไม่เรียกกันว่าประเทศ
    ก็ควรจะเรียกว่าเป็นกลุ่มชน ท่านก็พาคนของท่านไปในเขตนั้นๆ
    นำเครื่องบรรณาการที่มีอยู่ ที่ตนมีอยู่เช่นทองคำ และผ้าที่มีค่า
    การทำผ้าก็ทำดี ถือผ้ามาจากแคว้นกาสีเป็นมาตรฐาน
    เอามาสร้างกัน ทอกันเอง แล้วของที่มีค่าต่างๆ
    ก็ไปให้ผู้ปกครองเขตในกลุ่มๆ แล้วก็รวมตัวกัน
    พูดภาษาเดียวกัน ว่าเราเป็นพวกเดียวกัน
    เอาเข้ามารวมเป็นกลุ่มดีกว่า มีอะไรจะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
    และท่านก็ให้ความช่วยเหลือตลอดมา ในที่สุด
    คนในเขตนั้นเขาก็ยอมอ่อนน้อม แสดงว่ามารวมเขตด้วย
    เพราะเห็นว่าช่วยเขาได้ดี ตอนนี้แหละลูกรัก
    อาณาจักรถึงได้กว้างใหญ่ไปอีก ๓ เท่า ท่านก็ส่งพี่น้องของท่านไปปกครอง
    ปกครองอย่างพี่อย่างน้อง ไม่ใช่ปกครองแบบเจ้าแบบนาย
    นี่ตอนนี้เป็นอันว่าเข้าใจไว้นะ แล้วก็ต่อมาพระเจ้ามังรายมหาราช
    คำว่ามหาราชนี่พ่อตั้งให้นะ ท่านก็สวรรคตคือตายไป
    ต่อมาก็เป็นอันว่า เมื่อพระเจ้ามังรายมหาราชตาย รัชกาลในสมัยนั้น
    ที่พ่อบอกมาแล้วล่ะ นั้นผ่านไปกี่รัชกาล เดี๋ยวก็จะลืมนะ ผ่านไปถึง ๓๕ รัชกาล
    คือว่าผ่านไปถึง ๓๔ นะ อ๋อรัชกาลที่ ๓๕ พระเจ้าพังคราช เมื่อพระราชบิดาทิวงคต
    ก็ปรากฏว่าทรงเสวยราชย์ตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี มาตอนนี้เราไม่ได้เตรียมการรบ
    ใช้การปกครองตามปกติแบบพี่แบบน้อง อาศัยเจ้ามอญอันธพาลเมืองหริภุญไชย
    คือเมืองลำพูน ที่เรียกกันว่าขอมดำ ท่านครองราชย์มาถึงอายุปีที่ยี่ เอ้อ อายุ ๒๐
    ก็เห็นจะได้ ๒ ปีนะ ๑๘ ๑๙ แล้วก็ ๒๐ ขอมดำก็ยกทัพมา เขาเดินทาง
    เดินทางทัพมา ๒๐ วัน ใช้กำลัง ๑๐๐,๐๐๐ คน เรามีคนตั้งแต่ใหญ่ที่สุด แก่ที่สุด
    ถึงเด็กที่สุดอยู่แสนคนเศษๆ เมื่อกองทัพมา เราก็ต้องนำกองทัพออกไปรับ
    ทหารที่ไม่มีการฝึกปรืออยู่ก่อน เพื่อการรบ เราก็รบแบบตีกัน เขามีระเบียบวินัย
    ในที่สุดการปะทะกันในคราวนั้น เราก็สู้เขาไม่ได้ ลูกหลานที่รัก ต้องแพ้
    เขาบังคับให้พระเจ้าพังคราชไปปลูกบ้านอยู่นอกเขตที่เขากันเข้าไว้
    แล้วก็ต้องส่งส่วยให้เขา ตอนนี้แหละลูกหลานที่รักเอ๋ย
    ความสุขความสบาย ความอุดมสมบูรณ์มีเพียงใด
    เราต้องตกเป็นทาสเขา เขาก็ใช้ทุกอย่างตามที่เขาต้องการ เขาบีบบังคับ
    แม้แต่พระเจ้าพังคราช เขาจะใช้ให้เทกระโถนขี้ ไปจนเทกระโถนเยี่ยวก็ต้องทำ
    คนทุกคนทำนาทำไร่ ทำอะไรเข้ามาได้ เขาต้องการจะได้เขาก็เอา ลูกใครเมียใคร
    ที่เขาต้องการอยากจะได้ เขาเอาเขาก็ต้องได้
    ถ้าไม่ได้หมายถึงตาย การทำกิจการงานทุกอย่างลูกรัก
    เราเป็นทาสเขา ความจริงเมืองของเรา แต่ว่าเขามาปกครองเรา
    เขาถือว่าเราเป็นทาส เขาใช้อำนาจกดขี่
    เขาต้องการให้ไทยทั้งหมดตายไปด้วยกำลังการทรมาน
    มันแสนที่จะสาหัส ที่บรรดาลูกหลานที่รัก ที่เห็นว่ามีคนเป็นกลุ่มๆ
    ในสมัยที่พ่อไปเชียงแสน แล้วก็ไปดอยตุง ต้องนั่งรวมกลุ่มกัน
    กวาดพื้นที่ นอนกะดินกินกะทราย ใช้กระทะหุงข้าว
    ใช้กระทะต้มเผือกมันกินรวมกัน นั่นเป็นเกณฑ์ที่ถูกทรมานที่สุด

    เป็นอันว่าคนไทยที่เคยมีความสุข ความอุดมสมบูรณ์
    อยู่ด้วยกันอย่างพี่อย่างน้อง แต่เวลานี้มาเป็นทาส
    เขาใช้อำนาจจนกระทั่งว่า เวลาจะทำงานให้กับเขา
    เวลาที่เขาต้องการให้ยกข้าวยกของ ถ้ามันหนักเกินไป เขาไม่ชอบใจ
    เขาก็ตัดแขน เขาก็ฟันขา เขาก็ตี เขาก็หวด ทำตามกำลังชอบใจ
    เป็นอันว่าในสมัยนั้น คนไทยก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
    มีแต่ความระทมหาความสุขไม่ได้ ทั่วประเทศเขตที่ปกครอง
    ต่างก็ระงมไปด้วยอำนาจของความทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นความสุข
    ความสุขที่เคยมีมาในกาลก่อนไม่มี จะไปที่ไหนก็มีคนทุกข์...
    นั่งมีแต่ความน่าเศร้า กำลังใจสิ้นไป ก็หมดความเป็นไท
    ความเป็นไทไม่มีในน้ำใจของคนทั้งหลายเพราะขาดอิสรภาพ
    นี่แหละลูกรักทั้งหลาย ความเป็นทาสน่ะมันไม่มีอะไรดีอย่างนี้นะ
    ฟังเสียงปี่มอญแสดงซึ่งความโศก และความเศร้าของชาวไทย
    ที่มีความรื่นเริงมาในกาลก่อน ไทยทุกคนต้องนั่งน้ำตาไหล
    กำลังใจก็สิ้น หาอะไรดีไม่ได้ ที่จะขอจะกิน ที่เคยมีความอุดมสมบูรณ์
    เขาก็ดึงความอุดมสมบูรณ์ของเราไป เราทำข้าวได้มาก
    เขาก็เอาข้าวไป เขาต้องการอะไร ต้องได้ทุกอย่าง
    ทรัพย์สินที่มีอยู่ ถ้าบังเอิญเขาจะต้องการเขาก็ต้องเอาให้ได้
    นี่มันเป็นเรื่องของเขา เราจะทำยังไงได้ลูกหลานที่รัก
    ในเมื่อเราจำจะต้องเป็นทาสเขานี่ และต่อมาในวันข้างหน้าต่อมา
    ก็ปรากฏว่าเขาก็บังคับให้คนไทยเราไปอยู่ในเขตๆ หนึ่ง
    ที่เรียกกันว่าแคว้นสีทวงหรือว่าแคว้นสีทอง

    ในตอนนี้ ก็ปรากฏว่า เรามีที่จำกัด มันเป็นที่ดอน ไอ้ที่น่ะมันเป็นที่ดอนนะ
    และน้ำปลาข้าวปลาหาอาหารก็หาได้ยาก เป็นอันว่า
    เราทุกคนต้องมีแต่ความลำบาก มีแต่ความทุกข์ หาความสุขจริงๆ
    อะไรไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่ามันเป็นที่ดอน หาน้ำไม่ได้...
    ความเป็นอยู่ของเรา ความเป็นอยู่ของเราก็เป็นการเกษตรเป็นส่วนใหญ่
    ไอ้เรื่องเกษตรนี่มันต้องมีน้ำมีท่า ต้องทำมาหากินกันตามปกติ แต่ทว่า
    ลูกหลานที่รัก ความเป็นอยู่ของเราปราศจากอิสรภาพ
    ไม่มีอะไรเป็นความดี เราอยู่ด้วยกันเนื้อที่ประมาณแสนไร่เศษๆ
    ที่เขาจำกัดให้ จะกินจะอยู่ มันก็หาความสุข หาความสบายไม่ได้
    บ้านเรือนที่อาศัยที่เคยมีความสุข เราก็ต้องอยู่รวมกัน
    ปลูกกระต๊อบเล็กๆ เป็นที่อยู่ที่อาศัย หาหัวเผือกหัวมัน
    แต่ว่าทุกปี เราจะต้องส่งทองคำให้เขาปีละเป็นจำนวนมาก
    เป็นนับเป็นชั่งๆ นะเป็นสิบชั่ง ถ้าเราหาให้เขาไม่ได้ นั่นหมายถึงว่า
    เขาจะใช้อำนาจเข้าทำลาย ต่อมา เมื่อพระเจ้าพังคราชทรงเสวยราชย์
    สมัยไม่ใช่ทรงเสวยราชย์ ต้องเสียอำนาจออกไป
    แต่ว่าบรรดาประชาชนชาวไทย เป็นคนที่ทรงไว้ซึ่งความดี มีจริยจรณธรรมดี
    ถึงแม้ว่าพระเจ้าพังคราชจะไม่ใช่พระราชา เขาก็ยังเคารพว่าเป็นพ่อบ้านแม่เมือง
    ยังเคารพเป็นพระราชาอยู่ เรื่องอัปปจายนกรรม สำหรับพระเจ้าพังคราช
    พระองค์ก็ไม่ทรงฉลองพระองค์แบบราชา เวลาที่จะไปหาบรรดาประชาชนชาวบ้าน
    ท่านก็นุ่งกางเกงดำ อย่างกะทุกนี่ที่ลูกแป๊วเห็น อยากจะเห็นพระเจ้าพังคราช
    แต่ว่าเห็นผู้ชายคนหนึ่งนุ่งกางเกงขาสั้น อายุประมาณกลางคน นั่นแสดงถึงว่า
    เวลานั้นท่านถูกทุกข์ทรมานมาก ท่านก็มีตัวอย่างอย่างประชาชน นั่งมองอยู่
    แต่ว่าลูกแป๊วไม่ถาม เลยก็คิดว่าต้องการเห็นพระเจ้าพังคราช
    ก็ไปเห็นเอาตอนที่ท่านลำบาก ต่อมาเป็นอันว่า
    คนไทยเราได้รับความยุคเข็ญเอาเวลานั้น เราต้องเป็นทาสเขาอยู่ถึงเวลา
    ๒๒ ปีลูกรัก คนแสนคนเศษ มีเนื้อที่แสนไร่เศษๆ นิดหนึ่ง คิดเฉลี่ยแล้ว
    เราก็มีคนมีเนื้อที่ไม่ถึงไร่ต่อหนึ่งคน และนอกจากนั้น เจ้าขอมทรชน
    มันยังใช้อำนาจ จะต้องการอะไร มันเอาทุกอย่าง มันต้องการจะฆ่า
    มันต้องการจะตี มันต้องการจะทำอะไร มันทำทุกอย่างตามใจชอบ
    เดินสวนทางกัน เขาอยากจะตี เขาอยากจะฟันเขาก็ทำได้
    กฎหมายของเขามันมีที่จะบังคับพวกเขา คำว่ากฎหมายก็คือทำตามใจชอบ
    ตามระบอบปกติธรรมดาเวลานี้ ก็มีขึ้นแล้วมาในโลก
    เขาเรียกว่ากฎหมายตามใจชอบ อย่างลาวกับเขมร
    ที่เราเห็นๆ อยู่ว่าเขาจะต้องการใช้งานยังไงเขาก็ใช้
    การจะกินจะอยู่เป็นหน้าที่ของเขาเขาจึงให้ แม้แต่คนไทยเราก็เหมือนกัน
    ไอ้เรื่องคอร์รัปชั่นเรื่องโกงเรื่องกันเรื่องกินนี่ มันก็มีอยู่ นี่คนประเภทนี้
    พ่อเข้าใจว่าเป็นเชื้อชาติขอมเดิม ขอมดำนะ เดิมเขามาเกิด
    จึงหวังการทำลายพวกเรา เขาเห็นแก่อำนาจจนตัว
    เขาเห็นแก่ความสุขส่วนตัวของเขา เราจะพินาศบรรลัยยังไงก็ช่าง
    บางคนเขาบอกว่า เขาจะเป็นผู้แทนราษฎร ต้องการไปเป็นผู้แทนราษฎร
    หวังความสุข ความทุกข์ให้แก่ประชาชน แต่เวลาเป็นจริงๆ
    เขาบอกเขาอยากเป็นรัฐมนตรี อยากเป็นเลขานุการ
    อยากจะมีอภิสิทธิ์โน่น อยากจะมีอภิสิทธิ์นี่ นี่แสดงว่า
    เราเลือกโจรเข้าเป็นผู้แทนของเรา ถ้าเป็นผู้แทนจริงๆ
    ก็เป็นคนที่ควบคุมการบริหารของรัฐบาล แล้วก็เข้าไปคอยจี้จุดรัฐบาล
    ไม่ใช่ไปเป็นรัฐบาลเสียเอง จะบอกว่าระบบประชาธิปไตย
    ผู้แทนราษฎรที่เลือกเข้าไปจะต้องเป็นรัฐมนตรี พ่อไม่ได้เห็นด้วย
    เพราะคนไทยที่เราเลือกเข้าไป เขาไม่ได้มีศีล ไม่ได้มีธรรมพอสมควร
    ถ้าเข้าไปบริหารประเทศชาติเอง ความเห็นแก่ตัวมันก็จะมีขึ้น
    ทำอะไรก็หวังประโยชน์ส่วนตัว ที่เราเห็นๆ กันมา พ่อพูดนี่
    พ่อไม่ได้ปลุกระดมมวลชน พูดให้ลูกหลานของพ่อฟัง
    ให้มีความเข้าใจว่า ระบบประชาธิปไตยจริงๆ ผู้แทนควรจะเป็นผู้แทน
    ผู้แทนไม่ใช่รัฐมนตรี พ่อพูดอย่างนี้อาจจะมีคนมีจำนวนมากเขาไม่ชอบ
    แต่ขอให้ลูกลองคิดดู ว่าถ้าเข้าไปบริหารเอง ถ้าตนทำผิดล่ะก็
    ใครจะเป็นคนลงโทษ ถ้าต้องการอำนาจ ต้องการทรัพย์สิน
    ก็ใช้การสินจ้างซึ่งกันและกัน ไอ้การจ้างซึ่งกันและกันเนี่ย
    มันก็หมดเสียง แทนที่จะเป็นประชาธิปไตย มันก็เป็นคณาธิปไตย
    มีสมัยหนึ่ง ผู้แทนที่ท่านผู้ทรงเกียรติหวังดีกะชาติ
    เข้าไปแบ่งโควต้าเป็นรัฐมนตรีกันไม่พอ ยื้อกันไปแย่งกันมา
    อย่างนี้หรือที่เรียกว่าประชาธิปไตย เราควรจะเรียกกันว่า
    โจราธิปไตย หมายความว่าโจรเป็นใหญ่
    เข้าไปปล้นความเป็นสุขของบรรดาปวงชนชาวไทย
    แล้วงานอะไรที่จะทำขึ้น มันได้ฉับพลันมั้ย พอน้ำท่วมช่วยกันได้ทันทีมั้ย
    พอน้ำแห้งแถไถทันทีมีมั้ย ดีไม่ดีเรื่องเล็กเรื่องน้อยนิดๆ
    ก็สร้างความรำคาญให้เกิดขึ้น มิตรประเทศที่เขาช่วยให้คนไทยมีความสุข
    ก็พยายามขับไล่เขาไป แล้วคนไทยที่มีความทุกข์อีกกี่แสนคน
    เขาไม่ได้เคยมอง พ่อเข้าป่าน่ะพ่อทราบดี ว่าคนพวกนี้ถ้าไปมีกินบ้าง
    ไม่มีกินบ้าง แม้แต่ผ้าผ่อนท่อนสไบที่จะใช้ก็ไม่มี

    เอาล่ะบรรดาลูกรักทั้งหลาย หน้านี้ก็รู้สึกว่าหมดไป ขอลูกรักทุกคน
    รับฟังเทปหน้าใหม่ต่อไปนะ พ่อจะได้เล่าต่อไป
     
  6. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    06.พระเจ้ามังรายมหาราชเกิดเป็นพระเจ้าพรหมมหาราช.mp3
    ลูกรักทั้งหลาย สำหรับตอนนี้ ก็จะขอผ่านเรื่อง
    การเศร้าโศกทุกข์ระทมของคนไทยสมัยนั้นไปเสียจุดหนึ่งก่อน
    จะย้อนกล่าวถึงเรื่องของท่านผู้เฒ่าเล่าความ คนโบราณนั่นมักจะเคารพเทวดามาก
    ทุกสิ่งทุกอย่างท่านก็อ้างว่า เป็นเทวดา เมื่อพระเจ้าลวจังกราชเสด็จมาจากด้าน
    ทางด้านของจีน ทางด้านอินเดีย ลงมาทางด้านที่แม่สาย ลงมาจากเขา
    กลุ่มคนพวกนี้แต่งตัวสวย สวยกว่าชาวพื้นเมืองมาก ท่านก็เลยบอกว่า
    สมัยนั้นภุมเทวดาท่านหนึ่ง มาปรึกษากับเมียเห็นว่า คนไทยมีความลำบาก
    จะต้องช่วยให้มีความสุข แล้วก็ทอดบันไดเงินลงมาจากเขา
    นี่ความจริงเรื่องนั้นไม่ใช่ เป็นคนไทยที่มีความเจริญแล้วนั่นเอง
    มาตอนนี้ ท่านก็เล่าให้พ่อฟัง คือพ่อรับฟังเรื่องนี้มาตั้งแต่อายุ ๒๒ ปี
    ถ้าบังเอิญมันจะตกจะหล่นไปบ้าง ก็ต้องขออภัยแก่บรรดาลูกรัก
    แต่ว่าถือว่าเป็นธรรมะก็แล้วกัน พ่อบอกแล้วนี่
    ว่าประวัติศาสตร์พ่อจะมาใช้เป็นธรรมศาสตร์

    เห็นแล้วรึยังว่า การเกิดมันเป็นทุกข์ ความแน่นอนของชาวโลกไม่มี
    โลกนี่หาความสุขอะไรไม่ได้ ความเป็นพระราชาของพระเจ้าพังคราช
    ก็ต้องพังลงมา ที่เรียกกันว่าอนิจจัง หาเที่ยงไม่ได้ ต้องทนทุกข์ทรมาน
    กลายเป็นคนที่ต้องเขาใช้ เขาบังคับ และก็อนัตตา
    ในที่สุดมันก็ต้องสลายตัวไป เป็นอันว่าบุคคลหรือว่าพระราชาทั้งหลาย
    พวกที่พ่อพูดมาตั้งแต่เทปต้น จนกระทั่งถึงในสมัยปัจจุบันนี่
    ท่านทั้งหลายเหล่านี้ กระดูกของท่านอยู่ที่ไหน พ่อก็ยังไม่ทราบเหมือนกัน
    ขอลูกรักทุกคนจงหมั่นขยันฝึกสมถภาวนาวิปัสสนาภาวนา
    สร้างความดีมีศีลมีธรรม สร้างงานสาธารณประโยชน์
    ถ้าเราจะอยู่เป็นคนเราก็อยู่อย่างคนดี สร้างตนให้มีความสุขด้วยศีลด้วยธรรม
    และก็ช่วยงานสาธารณะ ให้บุคคลอื่นเขามีความสุข อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว
    อย่างกับพวกที่เรียกประชาธิปไตย คนพวกนั้นไม่ใช่นักประชาธิปไตย
    เป็นอัตตาธิปไตย หวังความเจริญรุ่งเรืองของตนฝ่ายเดียว
    ดีไม่ดีก็มาดึงฝากต่างประเทศ อยากจะออกนอกเขต
    เมื่อประเทศไทยพ้นจากความเป็นอิสรภาพ แต่อย่าลืมว่า
    ไทยเวลานี้มีถึง ๔๔ ล้านคน ถ้าเขามีใจเป็นไทยไม่ใช่ทาส
    พ่อมั่นใจในการรักษาเอกราชของความเป็นไทย
    และประเทศไทยก็จะต้องรุ่งเรืองต่อไป ตามนิมิตที่ปรากฏเมื่อวันที่
    ๑๓ มกราคม ๒๕๒๒ ที่บรรดาลูกรักไปรื่นเริงกันที่จันทึก
    พ่อดูตามภาพ แต่พ่อก็มั่นใจว่าภาพนั้นต้องเป็นภาพ
    เพราะสติสตังพ่อไม่ได้ฟั่นเฟือน

    เป็นอันว่าตอนนี้ท่านผู้เฒ่า เออไม่ทราบว่าใคร
    หรือจะเป็นพระ ท่านเล่าให้ฟัง
    ท่านว่าพระเจ้ามังรายนี่ สมัยเมื่อท่านสวรรคตแล้ว
    อย่าลืมว่า ตอนนั้นพระเจ้ามังรายมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก
    และก็ อ้า ท่านก็ ท่านกับพ่อท่านนะ เกิดทันพระอรหันต์
    คำว่าเกิดทันพระอรหันต์ก็เพราะว่า สมัยนั้น
    พระมหากัสสปกับพระมหากัจจายน ได้นำพระบรมสารีริกธาตุ
    มาถวายพระเจ้าอชุตราช บรรจุ ๒ วาระด้วยกัน
    และสำหรับในสมัยของพระเจ้ามังรายมหาราช มังรายนะไม่ใช่เม็งราย
    แต่ความจริงท่านสร้างเมืองเชียงราย พระเจ้ามังรายนี่ก็ท่านมีพระอรหันต์
    ทรงนามว่าพระชีระ มาพร้อมด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป
    นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย ท่านก็ทำการบูชา
    และมีความเคารพในพระรัตนตรัย เจริญทรงศีล
    เจริญสมาธิและวิปัสสนาญาณจนกระทั่งได้ฌานสมาบัติ
    เมื่อตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นพรหมตามกำลังของฌาน
    นี่ว่ากันถึงว่าท่านผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ฟัง ใครจะบอกว่าอวดฤทธิ์อวดเดชก็ตามใจ
    ถ้าลูกหลานของพ่อลูกของพ่อ เวลานี้ได้มโนมยิทธิ บวกกับวิชชาสามกันมาก
    นับเป็นพันๆ คน ถ้าพ่อเล่าไปให้ฟังนี้ ถ้าไม่มั่นใจ
    ก็ต้องใช้กำลังใจของตนที่ฝึกไว้ แล้วก็เอาไปพิจารณาดู
    จะรู้ว่าพระเจ้ามังรายมหาราชเวลานั้น ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๙
    ด้วยกำลังของฌาน ๓ อันดับละเอียด ความจริงท่านน่าจะเป็นฌานที่ ๔
    แต่ทำไมถึงเป็นฌานที่ ๓ ช่างก็ช่างเถอะ ท่านเป็นพรหมได้ก็แล้วกัน
    ท่านก็มานั่งมองดูความเป็นไทย ว่าไทยตระกูลของท่านเวลานี้
    ไม่ใช่ไทยเสียแล้ว กลายเป็นทาส ลูกหลานที่ท่านใช้อำนาจของท่านด้วยความดี
    สร้างความสุข กลับกลายมาเป็นความทุกข์อย่างหนัก
    มีสภาพถูกกดขี่ เป็นอันว่าตอนนี้ทิพยอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา
    ก็ต้องแข็งกระด้างดังศิลาประหลาดใจ
    แต่ว่าท่านคงไม่ประหลาด ก็คิดตั้งใจว่าจะต้องลงมาช่วยไทย ฉะนั้นใน ๓ ปี
    ปีที่ ๓ ของพระเจ้าพังคราช ต้องเสียอำนาจให้แก่ขอมรึมอญ และมีความลำบาก
    ท่านจึงละอัตภาพจากความเป็นพรหม ลงมาเกิดในตระกูลของชาวบ้านคนหนึ่ง

    แต่ความจริงพ่อพูดผิดไปนะ ท่านลงมาก่อนที่คนไทยจะพังเลย
    นี่ตอนนี้พ่อพูดผิดไป อ้า ท่านผู้เฒ่าเตือน ว่าพูดผิดไป ว่าเวลานั้น
    ก่อนที่พระเจ้าพังคราชจะเสียอำนาจแก่ขอม เวลานี้เด็กคนนี้
    คือเด็กมังรายนี่ มีอายุได้

    ๑๖ ปี มาเกิดเป็นลูกชาวบ้าน
    เห็นเขาถูกพิฆาตเข่นฆ่าฆ่าฟันกัน แล้วก็ต้องเสียอำนาจ ตอนนี้ก็บวชเณร
    เมื่อบวชเณรได้ ๓ ปี จำศีลภาวนาตามเดิม เห็นทุกข์เป็นทุกข์ เวลาจะเข้าไปไหว้
    ตามปกติก็เข้าไปไหว้ไปบูชาพระสถูป คือพระเจดีย์ที่เขาถวาย ที่พระเจ้า
    อ้า พระเจ้าอชุตราชกับพระเจ้ามังรายมหาราช ตอนนี้เณรก็คงจะระลึกชาติไม่ได้
    ไปไหว้ไปบูชาตามปกติ วันหนึ่งก็เดินไปบิณฑบาตในเขตของขอม
    ชาวขอมก็ใส่บาตร ๒-๓ ทัพพี ก็เดินเข้าไปในคุ้ม คือในพระราชฐาน
    เวลานั้นพระราชฐานก็เป็นบ้านไม้ธรรมดาๆ ไม่มีอะไรมาก
    ก็ถือว่ามีอำนาจมากเท่านั้นเอง พอดีราชาเจ้าขอมดำมันเห็นเข้า
    มันก็โมโหโทโสว่า ไอ้ลูกไทยซึ่งเป็นทาส มันจะมาขอข้าวกินนี่
    ห้ามคนอื่นให้ทั้งหมด ปรากฏว่าตนเองก็ไม่ให้
    แล้วก็แถมข้าวที่ชาวบ้านให้ไว้แล้ว มันก็กลับให้เทคืนหมด
    ว่าไอ้ลูกไทยใจคดลูกทาส จะให้มันกินทำไม
    ในเมื่อรับความกระทบกระเทือนแบบนั้นเข้าก็เสียกำลังใจ
    กลับเข้ามาตาม อ้า ตามโบราณคดีหรือว่าประวัติศาสตร์ของชาวเหนือ
    เขาบอกว่าเณรโกรธ กลับไปยืนในที่ลับ แล้วก็ยืนเอาบาตรเทินหัว
    ตั้งจิตอธิษฐาน ภาวนาถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ขอให้เกิดเป็นไทย จะกลับมาฆ่าขอมให้หมด ตอนนี้ผิดไป
    ถ้ากำลังใจคิดว่าจะฆ่าขอมให้หมด เวลาตายสมาธินี่ก็เป็นมิจฉาสมาธิ
    ตายแล้วก็ต้องลงนรก ลงแบบสบายๆ ไม่ต้องผ่านสำนักของพระยายม
    แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เณรมาคิดว่า โอ้หนอ ขอมนี่ใจร้าย
    ความเป็นอนัตตาของโลกนี่เกิดกันได้ในเขตทุกขณะ เราเป็นเณร
    ไปขอตามแต่เขาจะให้ด้วยอาการดุษณีภาพ แต่ทว่าคนอื่นเขาให้
    แต่เจ้านายขอมผู้ใหญ่กลับขับไล่ เทข้าวของเราออกหมด
    ท่านจึงนึกถึงองค์สมเด็จพระบรมสุคต
    ว่าที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่าโลกนี้เป็นอนิจจัง
    หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้าทรงกายอยู่มันก็เต็มไปด้วยทุกขัง
    มีแต่ความทุกข์ จะหาความสุขอะไรก็ไม่ได้แน่นอน ในที่สุด
    องค์สมเด็จพระชินวรณ์ก็กล่าวว่าเป็นอนัตตา ในที่สุดมันก็ตาย
    จึงได้ตั้งใจแผ่เมตตาไปในหมู่คนไทยทั้งหลาย
    ว่าขอให้คนไทยทุกคนมีความสุข ปราศจากความเป็นทาส
    และปราศจากอำนาจของขอม ขอขอมผู้ทรยศจงหมดอำนาจ
    และหลังจากนั้นไป สามเณรน้อยก็ใช้พรหมวิหาร ๔
    เวลานี้เณรอายุได้ ๑๙ ปี แล้วก็เจริญสมาธิ
    นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์
    ขอให้คนไทยทั้งหมดจงปรากฏว่ามีความสุข จงมีอิสรภาพ
    ปราศจากความเป็นทุกข์ และอาศัยที่จิตคิดพะวงถึงความเป็นคนไทย
    ต้องการให้ไทยมีความสุข เณรเจริญสมาธิอยู่ในที่เดียว
    ไม่ได้บริโภคอาหารประมาณ ๗ วัน ร่างกายทนไม่ไหว
    ลมปราณก็สิ้นไป อาศัยที่กำลังจิตใจห่วงคนไทย แต่ด้วยกำลังของฌาน
    สามเณรน้อยก็กลับไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๒ ตามกำลังของฌาน ๔ ที่ทรง
    พอขึ้นไปปรากฏไปอยู่ที่นั้นได้ไม่นาน ไปนั่งแล้วก็เอนกายนึกถึงว่า
    นี่เรามาจากไหน ทิพยสมบัติที่ได้มาเพราะอะไรเป็นเหตุ
    อาศัยธรรมะและความดีที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงสอน
    ก็เป็นเหตุให้สามเณรทราบว่า เรามาจากไทย
    ที่เราตายก็เพราะอาศัยการเจริญสมาธิ มีพรหมวิหาร ๔ เป็นที่ตั้ง
    ตั้งใจให้ไทยมีความสุข พรหมสามเณรก็นั่งพิจารณา
    และเอาจิตใจแผ่เมตตาให้กับชาวไทย ให้พ้นจากอันตรายจากความเป็นทาส

    ในชั่วขณะเดียวก็มีพรหมเก่าเพื่อนกัน คือท้าวพกาพรหม เข้ามาเตือนว่า
    ท่านมหาพรหม ท่านจะมานั่งชมความดี ความบริบูรณ์พูนสุขของท่านอยู่นี้
    เป็นการไม่สมควร ท่านจะมานั่งนึกให้คนไทยมีความสุขเองน่ะมีความสุขไม่ได้
    ในฐานะที่ท่านลงมาเป็นบุคคลหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นตระกูล
    คือว่าต้นตระกูลของคนไทยพวกนี้ คำว่าต้นน่ะเป็นต้นตอนหลัง
    ท่านย้อนหลังไปว่า ท่านเป็นลูกชายพระเจ้าอชุตราช
    เมื่อพระราชบิดาทิวงคตแล้ว ท่านเป็นกษัตริย์
    ขยายอาณาจักรไทยให้กว้างขวางออกไปโดยธรรม
    มาคราวนี้ คนไทยที่เป็นลูกหลานของท่าน แต่ความจริงพกาพรหมนี้
    ก็ไปจากไทยเหมือนกัน กำลังมีความลำบาก
    ท่านจะมานั่งความสุขนั่งเสวยความสุขที่วิมานนี่ไม่เป็นการสมควร
    ควรที่จะลงไปเกิดเป็นลูกของพระเจ้าพังคราช แล้วท้าวพกาพรหมก็ประกาศ
    ถามหาพรหมที่เป็นบริวาร
    ว่าใครบ้างที่เคยเป็นคนไทย
    ต้องการให้ไทยมีความสุข ก็มีพรหมอยู่ ๒๕๐ ท่าน พร้อมที่จะลงมาเกิด
    แล้วก็มีพรหมอีก ๓ ท่าน พร้อมที่จะลงมาเป็นช้าง เป็นพาหนะ
    ที่เป็นพรหมทรงอภิญญา ที่สามารถจะขับไล่ข้าศึกได้โดยง่าย
    เมื่อพรหมมาประชุมพร้อมกันแล้ว ท่านท้าวพกาพรหมจึงบอกให้พรหมสามเณร
    ว่าจงลงไปเกิดเป็นลูกของพระเจ้า ของพระเจ้าพังคราช เป็นลูกชายคนที่ ๒
    และพรหมอีกยี่สิบเอ๊ยอีก ๒๕๐ คน ...ไปเกิดในตระกูลของคนไทย
    เป็นสหชาติ เป็นอันว่าใช้เวลาเพียงปีเดียว ปีเดียวของเมืองมนุษย์
    ถ้าพรหมก็คงจะเป็นสัก สักครึ่งชั่วโมง ท่านพรหมสามเณรก็จุติลงสู่ครรภ์มารดา

    เวลานั้น พระเจ้าพังคราชมีลูกชายแล้ว ๑ คน ชื่อทุพภิกขะ
    ให้ชื่อแบบนี้เพราะว่า ลูกคนนี้เกิดในเวลาที่มีความทุกข์ยาก
    เวลาเข้าสู่ครรภ์มารดา พระมารดาก็เกิด ไอ้เรื่องแพ้ท้องของคนก็มีความอยาก
    ความอยากอันดับแรกก็คือ ต้องการเครื่องของกษัตริย์ เครื่องทรงของกษัตริย์
    อยากจะมองเห็นเครื่องทรงของกษัตริย์ ถ้าไม่มีก็จิตใจไม่สบาย ไม่กินข้าว ไม่กินปลา
    ท่านพระราชสวามีคือพระเจ้าพังคราชก็จัดหามาให้ เพราะเวลานั้นยังมีอยู่
    พระนางก็ชื่นชมยินดีในเครื่องของกษัตริย์ ท่านก็ทรงเครื่องของกษัตริย์ในที่ลับๆ
    คืออยู่ในห้องมีความสุข แล้วต่อมาความทุกข์ก็เกิดขึ้นอีก คิดว่าการเป็นกษัตริย์
    ถ้าไม่มีอำนาจ ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ จะมีอะไรเป็นเครื่องป้องกันประเทศ
    นึกถึงเหตุในตอนต้น ก็ต้องกราบทูลพระราชสวามีทรงทราบว่า ต้องการสรรพาวุธ
    พระราชสวามีก็ตามใจ แล้วต่อไปก็เกิดความต้องการอีกว่า
    ต้องการอยากจะกินเลือดขอม เป็นอันว่าพระราชสวามีก็หามาให้
    มันก็ไม่ยาก ขอมมันหลงๆ เข้าไปก็ถูกฟันเข้าปั้บเดียว
    เลือดมันก็ไหลตายไปเลย เมื่อได้กินเลือดขอมก็มีความสุขใจ
    พระเจ้าพังคราชแปลกใจว่าลูกชายคนนี้นี่ ไม่ใช่ลูกชายนะลูกคนนี้เกิดมามีนิมิตแปลก
    แม่แพ้ท้องอยากได้ของแปลกๆ จึงได้นำโหรมาให้ทำนาย
    พระยาโหราทั้งหลายก็ทราบ ว่าเด็กคนนี้มาจากพรหม
    และก็มาพร้อมกันกับเด็กอีก ๒๕๐ คน จะมาทำไทยให้เป็นไท กู้อิสรภาพ
    แผ่อำนาจไทยให้กว้างขวางออกไป ฉะนั้น
    พระเจ้าพังคราชจึงให้การประคบประหงมเด็กเป็นอย่างดี

    เมื่อคลอดออกมาแล้วปรากฏว่า เป็นเด็กที่มีผิวพรรณลักษณะสวยงามมาก
    หาที่ติมิได้ คำว่าหาที่ติมิได้นี่ เป็นที่ท่านผู้ใหญ่ท่านบอก แต่ความจริง
    ร่างกายของคนมันมีที่ติทุกแห่ง เพราะมันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก
    นี่ว่ากันแบบ ตามแบบทางโลก ว่าไม่มีที่ติ เมื่อเขาไม่ติก็เลยไม่ต้องติกัน
    แต่ความจริงมันก็ช่างเถอะ เอาว่ากันตามโลกนี่นะ ผิวพรรณผุดผ่องงดงามมาก
    เวลาคลอดก็คลอดสบาย แม่ก็สบายลูกก็สบาย
    สร้างความชื่นใจแก่บรรดาประชาชนทั้งหลายตามนิมิต
    บรรดาชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลาย ทราบว่าลูกของพระเจ้าพังคราชออก
    ต่างคนก็ต่างถือของขวัญ เครื่องกำนัลต่างๆ เอาทองคำมาสะสมกันเข้าไว้
    ให้เป็นของกำนัลเท่าที่มีอยู่ เพราะความดีใจ มีเท่าไรกองเท่านั้น เป็นอันว่าเวลานั้น
    เพราะอาศัยที่พรหมเด็กชายพรหมเกิดขึ้นมาในคราวนั้น
    พระเจ้าพังคราชได้ของกำนัลจากทองคำถึงพันชั่ง
    นี่ท่านผู้ใหญ่เล่าความมาตามนี้นะ เพราะว่าทองเขาร่อนกันได้
    แล้วก็ต่อมาท่านก็สืบสวนทวนพยาน ทวนถาม ว่ามีเด็กเกิดใกล้ๆ
    กะลูกชายของท่านมีมั้ย ไม่เกิน ๓ วัน อ่อนแก่กันไม่เกิน ๓ วัน
    ชาวบ้านก็บอกว่ามี รวมเด็กได้ ๒๕๐ คน พระเจ้าพังคราชก็ให้การประคบประหงม
    ถือว่าเป็นสหชาติของลูกชาย เวลานั้นก็ไม่มีเวียง ไม่มีวัง มีบ้านอยู่แบบธรรมดาๆ
    ก็ให้เข้ามาอยู่ใกล้ๆ ให้การรักษาพยาบาล ให้การเลี้ยงดูเป็นอย่างดี
    ลูกชายคนนี้ก็มีนามว่าพรหมกุมาร พรหมกุมารนี่มีความฉลาดเป็นพิเศษ
    พร้อมด้วยเด็กอีก ๒๕๐ คน พอวิ่งเล่นได้แข็งก็เล่นแปลกๆ คือเล่นการรบ
    ใช้วิธีการรบบ้าง ใช้วิธีการเกษตรบ้าง ทำลำน้ำเล็กๆ
    สร้างแบบขึ้นมาแบบเด็กๆ ใช้ยุทธวิธี การรบด้วยม้า การรบด้วยช้าง
    การรบด้วยเท้า การวางแผนการรบ พ่อและก็คนทั้งหลาย
    อำมาตย์ ข้าราชบริพาร มองเห็นแล้วก็ชื่นใจ ถ้าเห็นเด็กทำไม่ถูกไม่ต้อง
    ผิดแบบไปบ้าง ก็เข้าไปแนะนำตักเตือนว่าทำยังงั้นจึงจะดี
    ทำยังงี้จึงจะดี เป็นอันว่าผู้ใหญ่ก็เลยเล่นกับเด็ก เป็นอันว่าเด็กๆ
    ก็ทำตาม ก็ดัดแปลงแก้ไข เป็นที่ชอบใจของผู้ใหญ่

    พอเด็กชายพรหมอายุได้ ๑๒ ปี เวลานั้นพระเจ้าพังคราชท่านเสด็จไปไหน
    ท่านก็อุ้มลูกชาย แล้วก็เด็กสมัยนั้นมักจะชอบเอาไว้จุก เอาไว้แกละ
    เอาไว้เปียกัน เด็กเอาไว้จุกปักปิ่นทอง
    ทรัพย์สินเงินทองที่หาก็รู้สึกว่า ตั้งแต่เด็กชายพรหมเกิดขึ้นมา
    บรรดาคนไทยทั้งหมดก็รู้สึกว่ามีความสุขว่าทรัพยากรต่างๆ
    และพืชพรรณธัญญาหารที่สร้าง มันก็ได้ดีเป็นพิเศษ
    ทำให้ลืมตาอ้าปากกันได้ คนไทยสมัยนั้นเป็นคนถือโชคถือลาง ก็คิดว่า
    ที่มีมาได้ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏได้ ก็เพราะอาศัยบุญญาธิการของเด็ก
    ลูกของพระเจ้าพังคราช เมื่อได้ของมาก็พากันให้รางวัลทุกปี
    ทรัพยากรทั้งหมดก็มากมีขึ้นตามลำดับ
    ต่อมาเมื่ออายุ ๑๔ ปี ในตอนอายุ ๑๒ ปีนั่นไปกับพ่อ เห็นการเกษตรไม่ดี
    ก็ให้พ่อแนะนำบรรดาประชาชน ว่าทำยังงั้นอาจจะดี ทำยังงี้อาจจะดี
    พ่อพิจารณาแล้ว บรรดาผู้ใหญ่พิจารณาแล้วเห็นด้วยว่าดี
    จึงได้ไปช่วยกันแนะนำชาวบ้าน การเกษตรการทำมาหากินก็รู้สึกว่าดี
    มีความมั่งคั่งสมบูรณ์ การส่งส่วยของขอมก็เป็นไปตามปกติ
    พออายุได้ ๑๔ ปี เด็กชายพรหม เด็กชายพรหมหรือว่าเด็กชายมังรายเดิม
    ก็แนะนำ ขอให้พระราชบิดาสร้างสรรพาวุธ จะเอายังไงพ่อก็ตามใจทั้งหมด
    เพราะว่าเชื่อโหร เป็นอันว่าพ่อก็เกณฑ์คนที่เป็นช่างเหล็กมาตีเหล็กกัน
    ปีหนึ่งเกณฑ์มาตีเหล็กกัน ๓ เดือน เรียกว่าให้ใช้เวลาว่างจากการเกษตร ๓ เดือน
    มาช่วยกันทำอาวุธทุกอย่าง เมื่อสะสมดีแล้ว การฝึกปรือ ตอนนี้เริ่มฝึกทหารผู้ใหญ่
    เตรียมการรบกันทุกคน ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
    มีการยุทธวิธีกันอยู่ในที่รับ ซ้อมรบกันอยู่เสมอๆ เพื่อจะกู้ชาติ
    คำว่ากู้ชาติเกิดขึ้น ไทยทั้งชาติยิ้มไปตามๆ กัน ว่าเราลำบากยากแค้น
    ดินแดนที่เรามีความสุข เจ้าขอมดำมันมาครอบครอง
    เราต้องมาอยู่ในถิ่นของความทุกข์ เมื่อกำลังพร้อมแล้ว ฝึกปรือกันมา ๒ ปี
    พออายุ ๑๖ ปี เด็กชายพรหมก็สั่งให้คน ชาวบ้านทั้งหมดทำเหมืองฝายจากแม่น้ำโขง
    น้ำแม่สาย เข้ามาเป็นทางน้ำไหล ให้พ่อสั่งให้บรรดาประชาชนขุดสระใหญ่ๆ
    ๑๗ สระ และก็ตามหมู่บ้านทั้งหมด ให้มีสระทุกบ้าน เพื่อขังน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง
    ทั้งการเกษตรแล้วก็การกิน
    เผื่อว่าเราถูกล้อม เขากลั่นแกล้ง เราจะมีน้ำ
    ถ้าขาดน้ำเสียอย่างเดียวมันก็ตาย เมื่อเด็กชายพรหมบอกอะไร
    พระราชาตรัสออกไป ชาวบ้านพร้อมทำทุกอย่าง เพราะว่าเขามีความเคารพ
    ว่าเด็กชายพรหมคนนี้จะต้องกลับมากู้ชาติกันแน่

    เมื่อถึงอายุ ๑๖ ปี เห็นว่าพร้อมสรรพ อาหารการบริโภคก็พร้อม
    ความเป็นอยู่เป็นสุขไม่ขาดแคลน สรรพาวุธก็พร้อม กำลังรบฝึกปรือกันดีแล้ว
    ลูกแก้วเด็กชายพรหมจึงกราบทูลพระราชบิดา ว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    ขอพระเจ้าพ่อได้โปรด จงอย่าส่งส่วยให้แก่ขอม และก็ส่งคนของตน
    ที่มีความฉลาดในการฝึกปรือในการรบ ยุทธวิธีทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น
    มรรยาทดีมีความฉลาด มีความอ่อนน้อม เข้าไปอยู่ในเขตของขอม สังเกตการณ์ไว้
    ว่าการไม่ส่งส่วยคราวนี้ ขอมจะทำยังไง

    เอาล่ะบรรดาลูกรักทั้งหลาย มองดูเทปหน้านี้ก็หมดซะแล้วนะลูกนะ
    รับฟังกันหน้าต่อไป จะได้ทราบถึงประวัติเดิม ว่าคนที่ขยันเกิดน่ะ
    เขาเกิดกันแบบไหนกันบ้าง
    สำหรับวันนี้ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
    ขอลูกทุกคนจงเป็นผู้ชนะในเหตุทุกๆ ประการ สวัสดี
     
  7. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    07.พระเจ้ามังรายมหาราชเกิดเป็นพระเจ้าพรหมมหาราช (ต่อ).mp3
    ลูกรักของพ่อทั้งหลาย ตอนที่แล้วพ่อรู้สึกว่า พ่อจะพูดเลยไปนิดหนึ่ง
    ขอย้อนรอยถอยหลังใหม่นะ เอาสักนิดหนึ่งเท่านั้นเพราะว่า พ่อเป็นคนแก่
    ก็ขอลูกทุกคนที่รักของพ่อ ความจริงพ่อรักลูกยิ่งกว่าตัวของพ่อ แต่พ่อก็รู้สึกว่า
    ตอนนี้พ่อมีบุญ ลูกของพ่อทุกคนก็รักพ่อมากที่สุด ทั้งลูกทั้งพี่ทั้งน้องทั้งแม่
    ต่างก็รวมตัวกัน พ่อคาดไม่ถึง ว่าความดีของลูก ความดีของน้อง
    และความดีของท่านแม่ แต่ความจริงท่านแม่น่ะต้องบูชาท่านนะ
    ยังไงๆ ถ้าแม่ไม่ดีก็เลี้ยงลูกมาไม่ได้ ลูก ๑ คนอาจจะ
    แม่จะสามารถจะเลี้ยงลูกได้ตั้งร้อยคน แต่ว่าลูกร้อยคน
    อาจจะเลี้ยงแม่คนเดียวไม่ได้ เป็นอันว่าลูกของพ่อทุกคนเป็นคนดี
    น่ารัก ความจริงพ่อรักลูกทุกคนนะ ถ้าใครเขามาบอกว่า
    พ่อรักลูกคนนี้มาก รักลูกคนนี้น้อยล่ะก็ อย่าไปเชื่อเขา
    กำลังใจอย่างนั้นของพ่อหมดไปแล้ว แต่ลูกบางคนที่พ่อทักบ้างไม่ทักบ้าง
    คุยบ้างไม่คุยบ้าง ก็อย่าลืมว่าพ่อคนเดียว ดีไม่ดีพ่อ..อันลูกของพ่อมีมาก
    พ่อเลยจำชื่อลูกไม่ได้ บางทีนั่งมองอยากจะทัก เอ๊อ ชื่ออะไรน้อ นึกไม่ออก
    บางทีพ่อก็ล้อคนนั้นล้อคนนี้ ลูกที่ไม่ถูกทักอาจจะเสียใจ
    ก็อย่าลืมว่าพ่อคนเดียวลูกรัก และลูกมาก ความจริงขอลูกทุกคนจงเข้าใจว่า
    พ่อรักลูกทุกคนสม่ำเสมอกันหมด ทั้งลูกทั้งน้อง
    และยิ่งท่านเป็นท่านแม่ล่ะก็ยิ่งเคารพมาก บูชาท่านมาก
    เพราะท่านเป็นแม่ และลูกทุกคนพ่อรักยิ่งกว่าชีวิตของพ่อ ลูกจะสังเกตได้
    ว่าเวลาความดีใด ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน
    พ่อไม่ได้เคยเก็บเป็นความลับเลย ไม่ได้คิดว่าลูกคนนั้นต้องสอนอย่างนี้
    ลูกคนนี้ต้องสอนอย่างนั้น พ่อสอนเหมือนกันหมด นี่แสดงว่าน้ำใจของพ่อน่ะ
    ไม่ได้แบ่งความรักไว้ให้บุคคลนั้นมาก บุคคลนี้น้อย พ่อเฉลี่ยความรักให้ทุกคน
    ถ้าหากว่ามีคนใดเขาจะมาบอกกะลูกบอกว่า ดูทีรึ เราเป็นคนจนนะ เราฐานะไม่ดี
    เราเป็นคนช่างไม่ประจบ พ่อไม่รัก อย่าไปเชื่อเขา จะลืมความคำว่า คำว่าอคติก็ดี
    หรือว่าสิ่งที่ท่านกล่าวว่าเป็นอุปกิเลสก็ดี สำหรับลูกนี้ พ่อไม่มีแล้ว
    พ่อมอบทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ร่างกายและชีวิตเพื่อลูก
    ความจริงพ่อรักลูกยิ่งกว่าชีวิตของพ่อ และลูกของพ่อก็แสนดี
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นคำประกาศออกไป หรือว่าตักเตือนออกไป
    ลูกทุกคนปฏิบัติตนได้ดี พ่อจึงถือว่า พ่อมีบุญที่พ่อมีลูกดี

    ฉะนั้นขอลูกของพ่อทั้งหมดจงอย่าเชื่อคนอื่นที่เขามายุแยงตะแคงแส่
    เวลานี้มีคนส่วนมากเขาต้องการให้ลูกแตกกัน ทำลายให้แยกแตกตัวออกไป
    เพื่อจะทำลายชาติไทยให้พินาศ เพราะกลุ่มของเราถึงแม้ว่าจะเป็นกลุ่มเล็กๆ
    แต่ก็อย่าลืม ว่าไม้เรียวหนาม ๒-๓ อัน ถ้าผูกมัดกันมันก็หักยาก
    ถ้าคนไทยเราต่างคนต่างรวมกันกลุ่มเล็กๆ เข้าเป็นหลายๆ กลุ่ม
    และก็เอากลุ่มเล็กๆ เข้ามารวมเป็นกลุ่มใหญ่ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
    ไทยจะรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ความเมตตาปรานีซึ่งกันและกัน งานสาธารณประโยชน์ ลูกรัก ทำไว้
    เพื่อความเป็นไทย ดูตัวอย่างสมัยพระเจ้าพังคราช
    ไทยต้องเสียอำนาจเป็นครั้งแรกในเขตไทยมันทุกข์ขนาดไหน

    ตอนนี้พ่อย้อนถอยหลังไปอีกนิดหนึ่ง ว่าเมื่ออายุได้ ๑๒ ปี
    ตอนนั้น ตอนเช้ามืด ปรากฏว่าท่านพกาพรหม ตามตำราบอกว่าเทวดา
    ตำราของชาวเหนือบอกว่าเทวดา ก็ความจริงเป็นท่านพกาพรหมนั่นเอง
    ท่านพกาพรหมเวลานี้ท่านก็ทรงตัวอยู่ เป็นพรหม ท่านดีแสนดี
    ท่านก็มาบอกนิมิตว่าตอนเช้าไปที่แม่สาย แม่น้ำอะไรก็ไม่รู้
    พ่อจำชื่อไม่ได้นะ คือแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ มันเป็นคลองไม่ใหญ่นัก
    จะมีช้างเผือกลอยมา ช้างเผือกตัวแรก ถ้าลอยถ้าเอามาได้
    จะปราบได้ทั่วไตรภพ ถ้าจับตัวที่ ๒ ได้ ก็จะปราบได้ทั่วแหลมทอง
    คำว่าไตรภพนี่หมายความว่าโลกนี้ทั้งโลกจะเป็นเจ้าโลกเอานะ
    เขาใช้ศัพท์ว่าไตรภพ ถ้าหากว่าจับตัวที่ ๓ ได้
    ก็จะปราบขอมได้ทั้งหมด เป็นอันว่าเวลาเช้าตื่นขึ้นมา
    ก็กราบทูลให้ท่านพ่อทราบ ท่านพ่อก็รับสั่งว่า
    ถ้าเทวดาบอกอย่างนั้น ลูกก็ปฏิบัติตาม ท่านก็ชวนเด็กๆ
    เพื่อนๆ กันอีก ๒๕๐ คนไปชายน้ำ ไปนั่งมองดู
    แทนที่จะเป็นช้างว่ายน้ำมา กลายเป็นงูหงอนขนาดใหญ่
    สีขาวโพลน ตอนนี้ไม่ไหว จะเอาช้างกลายเป็นงู กลัวงูกัด
    ชูหัวมีหงอนเป็นพญานาค เลยปล่อยให้ตัวที่ ๑ ผ่านไป
    ตัวที่ ๒ ผ่านมาอีก ตัวย่อมลงไปหน่อย แต่ใหญ่เกินกว่าเสา
    ก็ผ่านไป ก็นึกในใจว่าเอ๊ เทวดาบอกว่าจะมีช้าง
    มันกลายเป็นงู นี่ผ่านไป ๒ แล้ว ถ้ามาเป็นตัวที่ ๓
    ช้างหรืองูก็เอาล่ะ ตัวที่ ๓ ผ่านมา สีขาวโพลน
    หงอนแดงจัด เด็กชายพรหมจึงได้บอกกับพวกว่า
    เอา มันจะเป็นช้างรึงู ตายเป็นตาย นี่น้ำใจของเด็กชายพรหม
    โดดน้ำล็อคคองู พอโดดจับตัวงูทำงูกลายเป็นช้าง

    เมื่องูกลายเป็นช้างแล้ว ช้างก็เดินทวนน้ำ
    บ้านนั้นจึงเรียกว่าบ้านควานทวน จะขับจะไสจะทำยังไงก็ตาม
    ช้างไม่ยอมขึ้น ทีนี้จึงสั่งให้บรรดาเพื่อนไปกราบทูลพระราชบิดา
    ให้ทรงทราบ พระราชบิดาก็ให้นำโหรมา
    โหรบอกว่าต้องทำกระพังทองคำ ทำพันชั่งเอ๊ยพันตำลึง เมื่อทำเสร็จแล้ว
    ก็ทำร่างแหทองคำ ท่านให้ท่านทุพภิกขะพี่ชายนำไป เมื่อสวมร่างแหเสร็จ
    ทองคำเสร็จที่หน้าผาก ได้แล้วก็เคาะ อันนี่ต้องเรียกว่าเคาะแผ่นทองก็แล้วกัน
    เดินนำหน้าช้างก็ขึ้นจากน้ำตามมาด้วยดี มาตอนนี้
    ช้างเนี่ยเป็นช้างเผือกขาวโพลน งาใสเหมือนแก้ว
    มองแววแพรวพราวระยับ นัยน์ตาดี ช้างรู้จักภาษาคนทุกอย่าง
    การให้ช้างอยู่ก็ตั้งตั้งโรงช้าง พ่อสั่งทำรางไม้ทองคำสำหรับใส่หญ้าและใส่น้ำ
    ตามธรรมดาช้างที่เขาเก็บไว้ต้องใส่ปลอก แต่ช้างตนนี้
    ช้างเชือกนี้ไม่ต้องใส่ปลอก มีอิสรภาพทุกอย่าง
    เวลาเด็กชายพรหมจะไปไหน ช้างก็รัก จะเดินเข้าป่าเข้าดงนำไปไหน
    สัตว์ร้ายทั้งหมดไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ว่าช้างก็รู้สึกว่าเป็นช้างใจดี เดินเข้าไปที่ไหน
    เข้าป่าใหญ่ ถ้ามีช้าง ช้างจะเข้ามาหมอบราบคาบแก้ว
    เป็นให้ได้กำลังกองทัพช้าง หรือว่ามีม้าที่มีความสำคัญก็เข้ามา
    มาแล้วก็มาอยู่กับช้าง กองทัพก็ได้กำลังกองทัพม้า

    นี่เป็นอันว่าช้างนี่ก็คือพรหม ที่รับอาสาว่าจะมาเป็นช้าง เมื่อได้กำลังทัพช้างทัพม้า
    กองม้าและช้างมีกำลังพอ ก็ฝึกปรือทหารในด้านกองทัพม้ากองทัพช้างกองทัพราบ
    แล้วก็โคและกระบือที่สำหรับจะลาก จะไถ จะลากเกวียนเครื่องเสบียงอาหารก็พร้อม
    ได้มาหมด ด้วยกำลังของช้างแก้ว ช้างประกายแก้ว ช้างตัวนี้ให้นามว่า
    พระยาประกายแก้ว ท่านพ่อกะท่านแม่ ท่านแม่เป็นช้างแต่ง
    หาเครื่องประดับประดามาแต่งให้ช้างได้สวยสดงดงาม
    ม้าที่มีความสำคัญ ช้างรบทั้งหมด ม้าทั้งหมด โคกระบือทั้งหมด
    ท่านมีเครื่องประดับหมด เครื่องประดับนี่ก็เป็นเรื่องของผู้หญิง
    ผู้หญิงชอบทำสวยๆ ทั้งช้างทั้งม้าทั้งโคทั้งกระบือ
    เพราะสัตว์แสนรู้ทั้งหมด สงสัยเหมือนกัน ว่าจะนัดกันมาเกิดแบบทหารพระราม
    เวลาเลี้ยงก็ไม่ต้องเลี้ยง คอกก็ไม่ต้องตั้ง เช้าออกไปหาอาหาร เวลาเย็นก็กลับ
    เวลาจะนอนน้ำก็นอนตามสบาย เลือกที่น้ำใสนอน ถ้าเวลาแล้งน้ำไม่พอ
    ชาวบ้านเรามีบ่อไว้แล้ว ความจริงบ่อนี่จะเห็นจะสั่งพูดผิดไป
    สั่งขุดตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี มีบ่อมีน้ำที่อาศัยแบบสบายๆ พร้อมรบ
    จึงได้สั่งให้แข็งเมือง ให้พระราชบิดาไม่ส่งส่วย
    ตอนที่ไม่ส่งส่วยนี้เตรียมรบพร้อมเต็มที่ สร้างยุทธวิธีแบบกองโจรไว้ ๑๒ จุด
    ว่าเราจะตั้งรับทัพขอมตรงไหนบ้าง และกองโจรตั้งตรงไหน
    สร้างยุทธวิธีแบบกองโจรเสร็จ ทั้งประจันหน้าทัพและกองโจร พร้อม

    เวลานั้นเป็นประเพณีเขาถือว่า ถ้าไม่ส่งส่วยถึง ๓ ปี
    ถือว่าแข็งเมือง แต่ความจริงเวลานี้มันเป็นเวลาเมืองแข็ง พอ ๓ ปีไม่ได้ส่งส่วย
    พวกขอมรึว่ามอญหริภุญไชย อยู่ที่โยนกนครก็เตรียมทัพ แนวที่ ๕
    ที่ส่งเข้าไว้ก็ส่งข่าวว่าเวลานี้เขาเตรียมระดมพล พอเขาเตรียมระดมพล
    เราก็เตรียมเคลื่อนทัพพร้อมไปด้วยเสบียงอาหาร การรบคราวนี้
    คนที่มีกำลังทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ไม่แก่เกินไปและไม่เด็กเกินไป
    พร้อมรบ เพราะฝึกไว้ดี เกณฑ์กันไปหมด
    ตั้งขบวนทัพลดหลั่นเป็นปีกซ้ายปีกขวา และก็กองโจรซุ่มดักทาง แต่ว่า
    สัญญาณอยู่ที่แม่ทัพใหญ่คือพระเจ้าพรหม เด็กชายพรหม สำหรับพระราชบิดา
    ให้ทรงเครื่องกษัตริย์ครบถ้วน มีเศวตฉัตร ๙ ชั้น ทรงอยู่ในช้างเป็นพิเศษ
    เป็นจอมทัพ และแม่ทัพนายกองทั้งหมดแต่งตัวสวยสดงดงาม
    การแต่งตัวสวยนี่มันเป็นตัดไม้ข่มนาม ทำให้เกรงอำนาจ
    มีราชบาทคือทหารประจำเท้าช้าง เพียบพร้อมไปตั้งรับอยู่ที่ตำบลสันทราย
    เรามาจากแม่สายนะลูกรักทั้งหลาย เวลานั้นถามใครว่า ทัพรบกันที่ไหน
    บอกว่าทางใต้ อ๋อเห็นจะถูกนะ เพราะเราไปที่เชียงแสน
    แล้วเขาตอบว่าทางใต้ก็ถูก เพราะสันทรายอยู่ทางใต้ของโยนกนคร
    ไม่ทราบว่าถามใครตอบถูก ตั้งรับอยู่ตอนนั้น

    นี่เป็นอันว่ามังรายนะ พระเจ้ามังรายกลายมาเป็นเด็กชายพรหม
    พอเจ้าขอมยกทัพมา ตามระเบียบของการรบ
    เขาก็ต้องยกมาแล้วก็ตั้งยั้งแล้วก็ตั้งค่าย เราก็ตามระเบียบของเขาเถิด
    เขาจะตั้งค่ายตั้งรับตั้งยังไง ไม่สำคัญ ยุทธวิธีในคราวนั้นก็คือ
    เราใช้แบบสายฟ้าแลบ เห็นขอมยกมา ทัพกำลังประจันหน้ากัน
    ขอมกำลังจะยับยั้งตั้งทัพตั้งท่า อาจจะเจรจากันก่อน
    เด็กชายพรหมไม่ได้รอช้า ให้สัญญาณยิงธนูไฟ
    กองทัพทั้งหลายทั้งปีกซ้ายและปีกขวาทัพหลวงเข้าโจมตีทันที
    พวกกองทัพทั้งหลายของมอญไม่มีทันตั้งตัว วิ่งหนี
    เพราะช้างพลายประกายแก้วเป็นช้างที่มีอำนาจมาก
    แล้วก็ช้างและม้าต่างๆ ที่รวบรวมเข้ามาด้วยอำนาจช้างพลายประกายแก้ว
    เข้าใจว่าจะเป็นช้างเทวดา ช้างเทวดาม้าเทวดามีกำลังมาก
    เข้าไล่พิฆาตเข่นฆ่าข้าศึกทันที เป็นอันว่ารบทั้งคน รบทั้งสัตว์
    ทั้งม้าก็โขกสับม้าข้าศึก พวกสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น
    เห็นช้างพลายประกายแก้วก็วิ่งหนีหางชี้สู้ไม่ได้ พวกกองโจรเห็นได้ที
    ก็ยิงธนูไฟ ยิงธนูสังหาร มาจาก ๒ ข้างทาง มอญก็แตกกระจัดกระจายพลัด...
    วิ่งหนีเข้าโยนกนคร วันเดียว แค่ครู่เดียวก็เข้าถึงเชียงแสน โยนกนคร
    มาเข้าเขาก็ปิดประตูเมือง ช้างพลายประกายแก้วใช้งาแทงประตูเมืองพังทลาย
    กองทัพของพรหมบุกทลายเข้าในเมือง พวกนั้นหนีออกหลังเมือง
    เก็บของไม่ทัน กวดกันไป ไล่กันไป ๓ วัน ๓ คืนจริงๆ มีคำสั่งว่า
    ขึ้นชื่อว่าขอม ถึงแม้ว่าจะเกิดในวันนั้นให้ฆ่าให้หมด
    คำว่าขอมจะต้องไม่มีอยู่ในผืนปฐพีนี้ นี่ก็รู้สึกว่าจะโหดเหี้ยมร้ายกาจมากเกินไป

    แต่ความจริงคำว่ารบ ต้องมีจิตใจเป็นเพชฌฆาต จะต้องสังหารข้าศึกให้วินาศไป
    ตีกัน ๓ วัน ๓ คืนไม่ยั้งไม่หยุด ถ้าจะถามว่า กินข้าวที่ไหน กองทัพสมัยนั้น
    เขาใช้ข้าวตากคั่ว หรือข้าวตากที่ยังไม่คั่ว ใส่ถุงย่ามมีน้ำติด แต่น้ำหาไม่ยาก
    เพราะตีเดือนยี่ ตีกันไปวิ่งกันไปสลับกับกวดกันไป พวกขอมล้มตาย
    ด้วยการเหยียบกันตายบ้าง ช้างม้าเหยียบกันตายบ้าง ถูกสรรพาวุธตายบ้าง
    การปะทะกันครั้งนั้น เราก็เสียไปบ้าง ไม่ใช่ไม่เสีย เพราะเวลาที่บุกเข้าไปในเมือง
    เขาก็ต้องสู้ แต่สู้ไม่ได้เขาก็หนี พวกเราคำว่าถอยไม่มี มีแต่บุกอย่างเดียว
    ๓ วัน มาถึงทุ่งทัพยั้ง คำว่าทุ่งทัพยั้งนี่ไม่ใช่อำนาจของพระอินทร์ที่มายั้ง
    ๓ วันเห็นกองทัพเปลี้ย ก็สั่งยั้งทัพ สั่งยั้งทัพรวมพล ไปที่บ้านจุมพล
    พักเหนื่อยเอาแรง ๓ วัน รวบรวมดูกำลังที่ติดตามเข้ามาน่ะ เสียกำลังไปกี่คน
    เรียกว่ากำลังของกองทัพเราเสียไปบ้างหรือเปล่า ก็ดูว่าหายหน้าไปบ้าง
    ก็คิดว่าอาจจะวิ่งตามไม่ทัน หรือว่าหลงป่าเพราะมันเป็นป่า
    อาจจะตายบ้างที่มองเห็นก็มีอยู่บ้างเป็นของธรรมดาของคนที่สิ้นอายุขัย
    แต่ว่าตอนนั้น เด็กชายพรหมอายุ ๑๙ ปี ความจริงสมัยนั้นนี่
    แค่อายุ ๑๖ ปี เขาให้แต่งงานแล้ว เพราะว่าเป็นการป้องกันความเจ้าชู้เกินไป
    เรือถ้าไม่มีนายท้ายไม่มีหางเสือก็แย่ ภรรยาที่รัก ถ้าหากว่าเป็นคนดี
    สามารถจะยับยั้งสามีได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น จึงมีการแต่งงานกัน การรบคราวนั้น
    ภรรยาก็รบด้วย เธอช่วยรบรู้สึกว่า เธอต้องเสียสิ้นชีวิตในขณะที่เข้าในเมืองของเขา
    เพราะถูกข้าศึกลอบทำร้ายข้างประตู เพราะแอบอยู่ เมื่อเห็นเมียสิ้นชีวิต
    คราวนี้ก็คิดฆ่าหนักขึ้น ว่าเสียเมียแล้วต้องได้เมือง ขอมทั้งหมดจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้
    คราวนี้เอง ก็ต้องล่อกันเป็นการใหญ่ โหดกันหนัก พอเวลาที่ยั้งทัพ หยุดพัก ๓ วัน
    พักเหนื่อย ตี ๓ วันบุกป่าผ่าดงขึ้นเขาลงห้วย ถ้าเวลานี้ถ้าจะไปนึกว่าเดิน ๓ วันไม่ถึงนะ
    เวลานั้นเขาเดินกันชำนาญ ๓ วันไม่ได้ยั้งเฉยๆ ตั้งกองสอดแนม ตั้งหน่วยลาดตระเวน
    เป็นอันว่า หน่วยกองทัพที่ลาดตระเวนก็ทราบว่า ขอมพักอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ที่ไหน
    วันที่ ๔ เวลาสองยาม เป็นวันกลางเดือน ก็สั่งกำลังทัพเข้าโจมตีขอมในเวลากลางดึก
    ฟันกันดะ อันนี้ขอมตายระเนระนาด ตายกันอีกมาก เพราะคิดว่าเราคงไม่ตามไป
    เขานั่งรวมกลุ่มกัน ที่แตกกระจัดกระจายไปบ้างก็มานั่งรวมกลุ่มกันเป็นจุดๆ
    หาทางหลบหาทางหลีก หาทางหนีซุกซ่อน แต่ก็ไม่ได้พ้นหน่วยสอดแนมของเรา
    คือหน่วยลาดตระเวน หน่วยลาดตระเวนเห็นว่าซุกอยู่ในป่าตอนไหนเขาก็เงียบ
    ไม่แสดงตนให้ปรากฏ มาตอนวันที่ ๔ ไล่ตีใหม่ ฟันพิฆาตเข่นฆ่าขอม
    หมดไปเกินกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ที่มีอยู่ แล้วก็ติดตามมา ใช้เวลาติดตามมาเรื่อยๆ
    คราวนี้ไม่ต้องตีหนัก เพราะว่าขอมเหลือไม่กี่ตัว ต้องเก็บเล็กเก็บน้อย
    เก็บที่โน่นบ้าง เก็บที่นี่บ้างก็เสียเวลา ใช้เวลา ๑ เดือนก็ถึงกำแพงเพชร

    ตอนนี้ปรากฏว่าท้าวโกสีย์สักกะเทวราช ที่เคยเป็นพระราชบิดา
    เคยเป็นพ่อมาหลายแสนชาติ คิดว่าลูกชายคนนี้เวลานี้จะสร้างกรรมมากเกินไป
    จึงสั่งให้ท่านวิษณุกรรมเทพบุตรมาสร้างกำแพงเพชร
    กั้นไม่ให้กองทัพของพระเจ้าพรหมเดินต่อไป นี่เป็นนิยายหรือว่าเป็นตำนาน
    ถ้าสร้างกำแพงเพชรจริงๆ ล่ะก็รวยกันใหญ่ แต่เนื้อแท้จริงๆ
    แล้วบอกว่า ท้าววิษณุกรรมมายับยั้งกองทัพของพระเจ้าพรหม
    ทำให้พระเจ้าพรหมเห็นว่าทหารอิดโรยมาก แล้วการยึดดินแดนคราวนี้รู้สึกว่า
    กว้างขวางมามาก เกินกว่าที่คิดไว้ เดิมทีมีกำลังอยู่จุดแค่เชียงราย
    เลยลงมาแค่พะเยา แต่เวลานี้เราได้พื้นที่มากกว่าหลายเท่า
    คิดว่าพอ และกำลังทหารก็อิดโรยมาก ทหารเด็กไม่เท่าไหร่ ทหารหนุ่มไม่เป็นไร
    ทหารแก่ที่ไม่ค่อยมีฟัน ชักจะหอบแฮ่กๆๆๆๆ ไปตามๆ กัน เหนื่อย
    ด้วยกำลังของเทวดา แล้วทุกคนก็เห็นว่าพอ จึงยับยั้งทัพไว้แค่นั้น ยับยั้งทัพ
    แล้วก็กลับพระนคร ก็อัญเชิญพระราชบิดาขึ้นเถลิงราชสมบัติ ตอนนั้นปรากฏว่า
    พระเจ้าพังคราชมีอายุ ทรงพระชนมายุได้ ๔๒ ปี
    ตอนนี้ก็แบ่งอาณาจักรสำหรับพระเจ้าพรหมมหาราช
    พระราชบิดาจัดภรรยาให้ก็ไม่ขอเล่าประวัติตอนนี้ เป็นอันว่า
    รักษาอยู่ทางด้านกำแพงเพชร

    นี่คุยกันไปคุยกันมาน่ะ จะมีอะไรหลงเหลือบ้างก็ไม่ทราบ
    เป็นอันว่าคนไทยตอนนี้ก็ลืมตาอ้าปากมีความสุข สถานที่ก็กว้างขวาง
    ต่อมา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งเป็นชาวไทยใหญ่
    ได้นำพระไตรปิฎกกับพระบรมสารีริกธาตุ มาถวายพระเจ้าพังคราช
    พระเจ้าพังคราชจึงได้เอาลั่วให้ลูกทั้งสองมาร่วมกัน
    แล้วก็พ่อตาของพระเจ้าพรหมมหาราช เมียใหม่
    เข้ามาช่วยกันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระธาตุจอมกิตติ
    นี่เป็นอันว่า มังรายมหาราชก็มาเป็นพระเจ้าพรหมมหาราช
    เมื่อบรรจุแล้วก็สร้างเจดีย์ เจดีย์ที่สร้างแล้วก็ทำทองปิด
    แปะทองนะไม่ใช่ปิดทอง คำว่าแปะทองในที่นี้ก็หมายความว่า
    รีดทองออกไปให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วก็เอาหุ้มตั้งแต่ยอด
    จนกระทั่งเต็มองค์เจดีย์ เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
    ความจริงพระบรมสารีริกธาตุนี่ฝังไว้ใต้ดิน ทำเป็นอ่างทองคำ
    แล้วทำเป็นเรือสำเภา ทำเป็นมณฑป บรรจุผอบแก้วทองเงินนาก
    และก็งาช้าง และทุกคนในเวลานั้นมีความเคารพในองค์สมเด็จพระทศพลมาก
    ต่างคนต่างก็บูชาเครื่องสักกาวรามิสต่างๆ ฉะนั้นพระเจดีย์องค์เก่า
    ที่ลูกหลานลูกทั้งหลายเห็น ว่าสีเหลืองอร่ามเป็นทองน่ะเป็นความจริง
    พระองค์เล็ก ต่อมาองค์ใหญ่นี่ พระเจ้าผาเมืองทรงสร้างทับเข้าไว้
    ถ้าไม่ทับก็เข้าใจว่าเวลานี้ ทองก็คงจะหมดไป เป็นอันว่าไทยเรากลับเป็นไท
    มีอำนาจตามเดิม พอตอนชราภาพ หลังจากนั้นมาไม่นานนัก
    พระพุทธโฆษาจารย์ เมื่อท่านให้การบรรจุและชี้จุดว่า
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงฝังพระเกศาไว้ตอนนี้
    จึงได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ดอยน้อยนั้น แล้วทุกคนก็เจริญบุญ
    ๓ ประการคือทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
    สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
    ในตอนท้ายของชีวิต พระเจ้าพังคราชได้ไปเจริญสมณธรรม
    ที่วัดปากน้ำคำ ที่เขากำลังซ่อมบำรุงกันอยู่เวลานี้ จนกระทั่งท่านได้ฌานสมาบัติ
    เมื่อเวลาที่ท่านทิวงคต ก็ปรากฏว่า ท่านไปเกิดเป็นพรหม
    เวลานี้เป็นพรหมอยู่ชั้นไหน ท่านรายงานบอกว่า เป็นพรหมชั้นที่ ๑๑
    ทำไมไม่ขึ้นไปอยู่ชั้น ๑๒ ท่านบอกว่าเวลานั้นท่านยังไม่ได้อนาคามี
    แต่เวลานี้ทรงความเป็นพระอนาคามี คือเห็นว่าพรหมชั้นที่ ๑๑
    อยู่ดีๆ แล้วก็ไม่อยากจะเลื่อนไป

    เป็นอันว่าเรื่องราวของบุคคลคนเดียวคือมังรายมหาราช
    ทิ้งเวลาไประยะหนึ่งไปเป็นพรหม ก็ต้องโดดมาเป็นพระเจ้าพรหมมหาราช
    นี่เป็นวาระที่ ๒ ของบุคคลคนเดียว แต่ว่าท่านผู้นี้ล่ะพ่อน่าเสียดาย
    ว่าเวลานี้ถ้ามาเกิดในเมืองไทยก็จะดีมาก เอ้าเป็นอันว่า
    จบกิจของบุคคลที่ เรื่องของคนที่เป็นอนิจจัง
    หาความเที่ยงไม่ได้ เกิดแล้วก็ตาย ทรงอยู่ก็เป็นทุกขัง
    เป็นตอนที่ ๒ ของบุคคลคนเดียว ที่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อใกล้ๆ นี้
    เพียง ๒,๐๐๐ ปีเศษ ก็ต้องเกิดมาเป็นวาระที่ ๒
    นี่อาการเกิดแก่เจ็บตายเป็นของแน่นอน

    วันนี้ลูกรัก เวลาเลยไปหน่อยแล้ว พ่อขอหยุดไว้แต่เพียงนี้
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ลูกรักของพ่อทุกคน สวัสดี
     
  8. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    08.พระเจ้ามังรายมหาราชเกิดเป็นพระร่วงโรจนฤทธิ์.mp3
    สำหรับตอนนี้ ก็ขอตัดตอนของพระเจ้าพรหมมหาราช
    เป็นอันว่าครองราชย์แล้วเป็นรัชกาลที่เท่าไหร่
    ๓๕ พระเจ้าพังคราช
    ๓๖ ทุพภิกขะ
    ๓๗ พระเจ้าพรหมมหาราช
    แล้วก็ต่อมาตอนหลัง ปรากฏว่าลูกๆ เก่งไม่เท่าพ่อ
    ก็ต้องเสียเอกราชให้แก่ไทยใหญ่ แต่ก็ไทยเหมือนกัน
    แล้วก็ถอยหลังมาอยู่ที่อู่ทอง ก็เป็นต้นตระกูลของพระเจ้า
    ของพระเจ้าอู่ทองนั่นเอง แล้วก็ไหลมากรุงศรีอยุธยา
    กรุงศรีอยุธยาก็ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา เปลี่ยนกันไปเปลี่ยนกันมา
    จนกระทั่งเวลานี้ กษัตริย์วงศ์จักรีก็ยังเป็นกษัตริย์ของเชียงแสนอยู่นั่นเอง
    ก็คงเป็นเชื้อสายของเชียงแสน นี่คนแก่เล่าให้ฟัง คนแก่นี่ไม่ใช่พ่อ
    หมายความว่าคนแก่ท่านเล่ากันมา ท่านก็จำกันมาเรื่องประวัติศาสตร์ของชาติไทย
    ถ้าจะเขียนกันจริงๆ มันต้องเขียนกันอีกหลายเล่ม ถ้าไอ้ที่เขาเขียนกันแล้วๆ นี่
    รู้สึกว่ายังขาดตอนไปมาก ท่านว่ายังงั้น และก็สำหรับคนเขียนประวัติศาสตร์
    เกิดทันประวัติศาสตร์รึเปล่าก็ไม่ทราบ ดีไม่ดีก็โมเมโปเปตานังล่อกันดะ
    มึงเถียงกูกูเถียงมึง แล้วจะเอาใครจะเป็นกรรมการ
    จะไปงัดคนที่ตายแล้วมาเป็นกรรมการก็มันก็ไม่ได้เรื่อง
    เป็นอันว่ายกยอด ว่าการชนะสงครามคราวนั้น เมื่อเวลากลับ
    ก็ปรากฏว่ามีบรรดาประชาชนทั้งหลายถือดอกไม้ เครื่องสักกาวรามิสมายืน
    ๒ แถวคอยรับทัพ กลับเข้าไปแล้วก็เชิญพระเจ้าพ่อขึ้นครองราชสมบัติ

    ตอนนี้ก็ขอตัด ว่าพระเจ้าพรหมมหาราชตายกันเสียที
    เพราะว่าไม่ได้หวังจะพูดเรื่องประวัติศาสตร์
    ต้องการให้ประวัติศาสตร์เป็นธรรมศาสตร์ ลูกรักของพ่อที่รับฟัง
    พ่อนั่งคิดๆ นะ นั่งคิดนั่งดูครู่ๆ หนึ่ง ก็คิดว่า พวกเราที่กำลังนั่งรวมกันอยู่นี่
    ดีไม่ดีก็จะเกิดในสมัยเชียงแสนหรือว่าตั้งแต่สมัยพระเจ้าพังคราช
    โน่นไอ้ตอนก่อนโน่นตั้งเยอะแยะ และดีไม่ดีก็มานั่งบะหลอก๋อ
    ที่เป็นนักรบบ้าง นักรักบ้าง อาจจะมานั่งอยู่เวลานี้ก็ได้ ใครจะรู้
    และเวลานี้ถ้าสมเด็จพระบรมครู คือพระพุทธเจ้ายังอยู่
    หรือว่าบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านชอบซุกซิก เราก็อาจจะถามท่านได้ว่า
    พวกเราที่นั่งกันอยู่ที่นี่เวลานี้กำลังฟังอยู่นะเกิดทันสมัยนั้นบ้างรึเปล่า
    เป็นนักรบบ้างรึเปล่า ดีไม่ดีท่านจะชี้หน้าว่า คนนั้นเป็นคนนั้น คนนั้นก็เป็นคนนี้
    อะไรอย่างนี้เป็นต้น ตามประวัติศาสตร์
    ก็ต้องมาพูดกันอีกนิดหนึ่ง ว่าทำไมประเทศจึงต้องมีกษัตริย์
    คำว่ากษัตริย์นี่เขาแปลกันว่านักรบ กำลังใจของคนไทยทั้งหมดอยู่ที่หัวหน้า
    ถ้าหัวหน้าขี้แยไทยก็ขี้แย ถ้าหัวหน้าเอาจริง ขอให้เอาจริงสักอย่างเดียว
    คนไทยทั้งชาติจะลุกขึ้นจับดาบ เวลานั้น
    เราจะเห็นว่ากำลังของเราน้อยกว่าขอมมาก เราๆ ก็ถูกขอมย่ำยีขนาดหนัก
    เราจะต้องซุ่มการฝึกทหาร การรบ ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ในวงแคบ
    แต่ว่าหัวหน้าเอาจริงเสียอย่างเดียว เป็นอันว่า
    เราก็ขยายเขตแดนออกไปตั้งมาก นี่เป็นอันว่า สมัยที่เป็น
    แหมนี่ท่านตายกันไปเสียหมดนะ เสียดายถ้ามาเกิดในชาตินี้คงสนุก
    ตั้งแต่เป็นมังราย พ่อตายก็ขยายเขตแดน
    เมื่อเกิดเป็นพระเจ้าพรหม ก็มาขยายเขตแดนอีก ตอนนี้ไปเกิดเป็นอะไรอีกล่ะ
    จากพระเจ้าพรหมแล้วอาศัยฌานสมาบัติ กลับไปเป็นพรหมตามเดิม
    เป็นอันว่าเป็นพรหมกันเสียเรื่อยๆ เพราะติดพรหม ความจริงคนที่มาจากพรหม
    หรือจะไปเป็นพรหม มีความเข้มแข็งจากกำลังฌานสมาบัติ เวลาที่มาเกิด
    คนมาจากพรหมจะมีจริยาไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา
    จะรักแต่ความเป็นธรรมอย่างเดียว ถ้าความอยุติธรรม สู้ก็สู้กันชนหัว
    เอาหัวชนฝา เรียกว่าไม่ยอมขึ้นกับความอยุติธรรม
    เป็นอันว่า เวลานี้น่าเสียดาย ว่าพวกพระยาละแวกมันมาเกิดในเมืองไทยบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้
    เราไม่พูดกัน

    เอาละเป็นอันว่าตายจากพระเจ้าพรหม เห็นมั้ยลูกรัก เกิดแล้วก็ตาย
    ตายแล้วก็เกิด รบกันเกือบตาย ขยายเขตแดนไปเป็นพระราชาร่ำรวยกัน
    เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ผลที่สุดก็ตายหมด ตายแล้วขนอะไรไปได้บ้าง
    แม้แต่หนวดเส้นเดียวก็เอาไปไม่ได้ ลูกรักทั้งหลาย ที่ลูกรักทุกคนของพ่อ
    มีความต้องการธรรมะ หวังพระนิพพาน พ่อพอใจ เราไปนิพพานกันดีกว่า
    นอนสบายให้มันเป็นสุข เราเหนื่อยกันมาแล้วเกินกว่า ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป
    พูดแบบนี้แล้วใครจะฟ้องว่าเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม ก็เชิญสิพ่อคุณ
    และถ้าหากว่าตัวรู้จริงจะฟ้องละก็ เชิญทบทวนในการเกิด เวลานี้ ขอบอกตามตรงว่า
    ไม่ขึ้นกับใครทั้งนั้น ขึ้นกับพระพุทธเจ้าองค์เดียว พวกที่ห่มผ้าเหลืองสักแต่ว่าห่ม
    จะไม่ยอมขึ้นด้วยเด็ดขาด เว้นไว้แต่พวกห่มผ้าเหลืองที่ทรงธรรมะแน่นอน
    นี่ขอประกาศเด็ดขาด ว่าถ้าขืนใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมข่มเหงกัน นั่นจะได้เห็นดีกันแน่นอน
    คราวนี้จะได้รู้ดีกันล่ะว่า พวกที่ห่มผ้าเหลืองแล้วไม่ทรงศีลไม่ทรงธรรม
    หลอกลวงชาวบ้าน ชอบยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่อย่าลืมนะ พวกที่ทรงยศฐาบรรดาศักดิ์
    ที่ท่านดีน่ะมีมาก แต่ไอ้ที่เลวๆ มันก็มีมาก ไอ้พวกเลวๆ นี่มันชอบกวนใจ
    สักวันหนึ่งข้างหน้า มันจะได้รู้ ถ้าขืนเข้ามาข่มเหง จะได้รู้ว่า คนที่พูดนี้เป็นใคร

    เอาเราพูดกันต่อไป ตายกันเสียทีหนึ่งพระเจ้าพรหม ไล่ไปอยู่พรหมตามเดิม
    ไปเถอะไป ไปเสียทีหนึ่ง ไปแล้วก็กลับมาเกิดใหม่กันก็แล้วกันนะ
    ตอนนี้กลับมาเกิดใหม่ก่อนที่พระร่วงจะสร้างกรุงสุโขทัยประมาณ ๖๐๐ ปี
    ฮึ ไม่ใช่สิ ประมาณ ประมาณ ๘๐๐ ปี กลับมาเกิดใหม่ มาเสียทีหนึ่ง
    ก็ดี ดีแล้วนี่ ไปนอนอยู่เป็นพรหม ไปเอกเขนกสบาย
    นอนสบายหนีเหนื่อยไปหนีบาปไป ไปด้วยอำนาจของกำลังฌานและวิปัสสนาญาณ
    เพราะว่าท่านพวกนี้ท่านทำบาปแล้วท่านก็ทำบุญ
    เวลาเป็นพระราชาก็ต้องแบ่งเวลาความเป็นพระราชา ไม่แบ่งไม่ได้
    เป็นพระราชาทุกวินาทีหายใจไม่ออก มันต้องกระโดดโลดเต้นกันบ้างเป็นธรรมดาๆ
    นี้ท่านว่ายังไงล่ะ ท่านบอกว่าตามพงศาวดารเหนือ นะท่านว่ายังงั้นนะ
    เมื่อพุทธศักราช ๕๐๐ ปีมะโรง สัมฤทธิศก ๘๖ ปีกุน
    พระยาภัยมณีหนีขอมจากลำพูนมาจำศีล ปัดโธ่เอ๋ย มันคนละตอน
    นี่ พ.ศ. น่ะเขียนส่งล่ะก็ไป ไม่ถูกๆๆ เอา ๑๘๐๐ ตั้ง
    เอา ๘๐๐ บวก นี่มันถึงจะถูก นะ ท่านกล่าวว่าในตอนนั้นพระยาภัย
    พ.ศ. นี่ใช้ไม่ได้นะ ท่านกล่าวว่าพระยาภัยม..พระยาอภัยคามินีหนีขอมจากลำพูน
    หรือเพียงแต่มานั่งจำศีลภาวนาน่ะ มานั่งจำศีลภาวนาทำตายิบๆๆๆๆๆๆๆ
    ไปนั่งจำศีลรึมาแกล้งจำศีลหนีเขา ก็ปรากฏว่ามีสาวชาวดงคนหนึ่ง ชื่อว่านางนาค
    นางนาคนี่เป็นคนสวย รูปร่างผิวสวย ขาวชะโอดชะอง หน้าตาดีปากแดงน้อยๆ
    แก้มแดงหน่อยๆ ทรวดทรงน่ารัก เมื่อเจอะกับพระราชาเข้าในป่า
    ราชาจำศีลก็เลยเพิ่มศีลอีกข้อหนึ่ง คือปาณาอทินนากาเมมุสาสุราและภรรยา
    ภริยังสะระณังคัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงภรรยาเป็นที่พึ่ง
    โดยสมสู่อยู่ด้วยกันเพียง ๗ วัน หลังจากนั้นท่านก็เดินทางต่อไป
    เพื่อหวังจะหาอำนาจ จะหวังจะครองอำนาจตามเดิม
    แต่ก่อนจะไปก็ให้ผ้ากำพลกับพระธำมรงค์ไว้เป็นที่ระลึก
    บอกว่าเวลานี้กำลังลำบาก จะต้องแสวงหาอำนาจครองราชย์ให้ได้
    ถ้าครองราชย์ได้เมื่อไหร่จะกลับมารับ แหมแค่ ๗ วันนี้ก็นอนสะดุ้งเฮือกๆๆ สินะ
    ตามปกติจะต้องอยู่กันประมาณสัก เอ้อ ประมาณเท่าไรดีล่ะ
    ประมาณสัก ๓ เดือนหรือ ๖ เดือนมันก็จางๆ ไปนิดหนึ่ง
    แค่ ๗ วันนี่แหมก็นอนฝันหวานกันไปเกือบตาย นอนสะดุ้งผวา เป็นอันว่า
    เมื่อไปแล้วก็ปรากฏว่านาง นางเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา ความจริงการสัมผัสซึ่งกันและกัน
    แม้แต่ครั้งเดียวก็อาจจะตั้งครรภ์ได้ เวลาคลอดออกมาแล้ว ไม่รู้จะไว้ที่ไหนสิ
    ก็เอาไปไว้ที่เขาหลวง หมายความพระยาอภัยนี่แกไปได้เสียกับนางที่เขาหลวง
    นางคลอดลูกขึ้นมาก็ไม่รู้จะเก็บไว้ที่ไหน ไปคลอดที่เขาหลวง เอาผ้ากำพลแขวนไว้
    แล้วให้พระธำมรงค์ไว้ด้วย นี่น่ะคนดีของเชียงแสนรึโยนกนคร ท่านกล่าวว่า
    ไอ้กรรมที่ทำให้เขาพลัดพรากจากกัน คือตีขอมฆ่ามันระเนระนาด
    ตายแล้วไปเป็นพรหม กฎของกรรมที่เขาทำให้เขาพลัดพ่อพลัดแม่
    พลัดบ้านพลัดเมือง พอมาเกิดเข้าที่ไหนได้ กลายเป็นถูกแม่ทิ้งไปเสียแล้ว
    เอาแล้ว นี่พระพรหมยุ่งแล้ว อยู่เป็นพรหมไม่พอดันเสด็จลงมาอีก
    ก็จะนอนให้สบายๆ ไม่เอา แต่นอนไม่ได้สิเพราะรู้สึกว่า
    เวลานี้รู้สึกว่าไทยป่นปี้อีก หลังจากที่พระเจ้าพรหมมหาราชตายไปแล้ว
    พวกลูกๆ ดีไม่พอ ไทยก็กลับเป็นทาสของขอมต่อไป ส่วนใหญ่
    เจ้าขอมนี่มันก็ย่ำยีต่อไป ท่านกล่าว ท่านเล่าให้ฟังบอกว่า
    มีพรานป่าไปพบกุมารนั้น เอามาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
    เพราะว่าอีตาพรานนี้แกก็ไม่มีลูก

    ต่อมาพระยาอภัยสร้างปราสาท สร้างพระราชฐาน
    ก็เกณฑ์ชาวบ้านให้มาช่วย พรานผู้นั้นแกก็ถูกเกณฑ์มาด้วย
    แล้วเอาเด็กชายคนนั้นไปด้วย เวลากลางวันแดดมันร้อน
    จึงเอาเด็กไปนอนไว้ใต้ร่มปราสาท คือปราสาทที่ยังไม่เสร็จเนี่ย
    ไปนอนไว้ในร่ม ไอ้ปราสาทนั่นก็ไหวโอนไปเอียงมา เอียงมาโอนไป
    เหมือนกับลมแรงพัดถูกหวั่นไหวไปทั้งหลัง พระยาอภัยจึงรับสั่ง
    ให้เอาตัวพรานนั้นเข้ามาถามว่าเอาเด็กนี่มาจากไหน
    พรานก็ตอบว่าไปได้มาจากเขาหลวง ก็อยากจะไปดูเด็ก เอาเด็กมาให้ดู
    ถามว่าเด็กคนนี้มีอะไรเป็นสัญลักษณ์ พรานก็บอกว่ามีผ้ากำพลกับแหวน
    ท่านพระยาอภัยก็จำแหวนได้ จำผ้ากำพลได้ ก็ทราบว่าเป็นพระราชโอรส
    จึงได้ขอพราน บอกว่าลูกคน เด็กคนนี้ขอฉันได้มั้ย
    ฉันจะชุบเลี้ยงไว้เป็นลูกบุญธรรมของฉัน
    พรานแกก็รักซะเกือบตายแกก็ให้ พระราชาขอนี่
    ให้พระราชาก็พระราชทานบ้านส่วย เป็นอันว่าให้รวยขึ้นก็แล้วกัน
    ต่อมาจึงให้นามว่า อรุณกุมาร อรุณกุมารนะ แล้วพระอัครเอกมเหสี
    ภรรยาใหม่ ก็ประสูติพระราชโอรสองค์อีกองค์หนึ่ง จึงให้มีนามชื่อว่า
    ฤทธิกุมาร ซึ่งเป็นน้อง พี่น้องสองคนนี่เขาบอกว่ารักกันมาก
    แต่ต่อมาคนเรียกกันว่า เรียกอรุณเรียกว่าพระร่วง นามพระร่วงรุ่งโรจน์
    น้องชายเรียกว่าพระลือ พระร่วงกับพระลืออยู่ตอนนี้นะ ความจริงก็
    พระร่วงกับพระลือนี่ พระลือนี่ต่อมามากินมาอยู่ที่นครสวรรค์
    ต่อมาเมื่อทรงอภิเษกพระอรุณกุมารกับพระราชธิดาเจ้าเมืองศรีสัชนาลัย
    ตอนนี้มาครองกันอยู่ที่เมืองศรีสัชนาลัยนี่ ความจริงที่ศรีสัชนาลัยนี่
    เขาเป็นนครมานาน เป็นอันว่าคนไทยสมัยนั้นมีเมืองระเกะระกะ
    แถว แถวเนี้ยะ ไอ้แถวแหลมทองเนี่ย ยุ่มย่ามไปหมด
    จนทั้งกระทั่งถึงภาคใต้ ไทยเต็ม แต่ว่าเรียกกันว่าละว้ามั่ง ละโว้มั่ง
    ละเว้มั้ง ก็ตามเรื่องตามราว
    ของเขาไป


    เมื่อปกครองเมืองศรีสัชนาลัย แล้วก็ได้นามว่า พระร่วง ใช่มั้ย
    ตอนนี้มาเป็นพระร่วงแล้ว ไม่ช้าก็เป็นพระหล่น
    พระองค์ก็ทรงสร้างวิหาร ๕ ทิศ สร้างพระพุทธรูปหน้าพระธาตุ
    พระมหาธาตุ นะ แล้วสร้างพระพุทธรูปหน้าพระมหาธาตุ
    หมายถึงเจดีย์ใหญ่ แล้วก็และสร้างพระระเบียง ๒ ชั้น ไปดูที่ศรีสัชนาลัย
    ยังมีนะ วัดอะไร วัดเจดีย์เจ็ดยอด ก็แถวที่ใกล้ๆ นั่นแหละ
    ไม่ใช่วัดเจดีย์เจ็ดยอดหรอก อยู่ที่ใกล้ๆ เอาศิลาแลงทำกำแพง
    เป็นเสาโคมรอบพระวิหาร เอาทองแดงมา
    เอาทองแดงทำลำพระขรรค์ ๘๘ ศอก โอ้โห น่าจะเป็น ๘ ศอกครึ่งน่ะ
    ๘๘ ศอกก็ยาวตั้งหลายปีบสิพ่อคุณเอ๊ย นี่ตำราเก่าเขาเขียนยังงั้น
    ท่านบอกว่า ต้นหนึ่ง ๕ ศอกกึ่ง ปลาย ๓ ศอก ห้ากะสาม
    บวกกันแล้วก็เป็นแปด แล้วก็เอาแก้วใส่ในยอด ๑๕ ใบ
    บัลลังก์แท่นรองด้วย รองด้วยยอดใหญ่ ๙ กำ
    ทองทำอย่างดี ๑๐ ชั้น โอ้โห ทองคำนะ
    ทองอย่างดีทองคำอย่างดี ๑๐ ชั้น
    แล้วก็หุ้มทองแดงขลิบขนุนลงมาถึงตีนคูหา แล้วก็พระอุโบสถ
    และก็สร้างวิหาร เจดีย์ที่ต้นรัง ให้ชื่อว่า วัดเขารังแล้ง
    ทองเวลานี้หมดแล้ว พวกขนเอาไปหมด ทำแล้วก็ชอบหุ้มทอง
    นี่เขาเรียกว่าคนบ้าทอง และพระร่วงนั้นก็ทรงอานุภาพยิ่งใหญ่เข้ายังงั้น
    ประเทศน้อยประเทศใหญ่ต่างก็พากันมาสวามิภักดิ์ นี่
    เกิดทีไรขยายอาณาจักรทุกทีนะ เมื่อพระชนมายุได้ ๔๐ ปีก็ได้เสวยราชย์
    ได้ช้างเผือกงาดำ แล้วก็เขี้ยวงูใหญ่เท่าผลกล้วย
    โอ้โห เป็นคู่สร้างบารมี ช้างเผือกงาดำ
    แล้วก็มีเขี้ยวงูใหญ่เท่าผลกล้วยเป็นคู่บารมี ช้างเผือกงาดำนี่
    น่ากลัวจะเป็นช้างพกาพรหมก็ไม่รู้ แต่ว่าพกาพรหมบอกว่า
    เนี่ยไม่ ไม่ใช่ ส่งมาๆ ส่งพรหมมาเป็นช้าง นี่คนโบราณท่านชอบเอา
    ชอบว่าเทวดาเรื่องพรหมนะ

    นี่ใครจะเอาไปเป็นประวัติศาสตร์ไม่ได้นะ นี่เขาเล่าให้ลูกให้หลานเขาฟัง
    คนอื่นอย่าเสือก คำว่าอย่าเสือกในที่นี้ อย่าเสือกมาวิพากษ์วิจารณ์
    ว่ากันตามโบราณท่านว่ามา ก็ว่ากันไปตามโบราณ
    เมื่อพระองค์จะทรงลบศักราช ลบทำไมก็ไม่รู้
    ให้นิมนต์พระสงฆ์มา ๕๐๐ องค์ มีพระพุทธโฆษาจารย์
    เขารังแร้งเป็นประธาน และวัดโคกสิงคาราม วัดเจดีย์เจ็ดแถว
    เอ้อไม่ใช่เจดีย์เจ็ดยอด วัดเจดีย์เจ็ดแถว ที่กลางเมืองศรีสัชนาลัย
    พระองค์ให้ทำหนังสือไทยเฉียงมอญพม่า อ้อ
    ทำหนังสือให้ทำหนังสือไทยนะ เฉียงมอญพม่า และเฉียงอ่ะ
    และขอมเฉียง ขอมมีมาแต่เท่านั้น เอ๊ะ อะไรของแกเนี่ย ขอมมีมาแต่นั้น
    เมืองศรีสัชนาลัย พระองค์ได้ทำหนังสือเฉียงมอญ เฉียงพม่า เฉียงขอม
    แล้วขอมมีมาเท่านั้นไม่รู้เรื่องเลย นี่ หลวงปู่ พูดให้มันเข้าใจๆ ไม่ได้เรอะ
    และพระยากรุงจีนไม่มาร่วม ไอ้คำว่าเฉียงเนี่ย หมายความว่าเชิญ
    เชิญมอญ เชิญพม่า เชิญขอมเข้ามารวมกัน ปัดโธ่เอ๋ย
    ก็จะบอกว่าเชิญก็บอกซิ อะไรก็บอกว่าเฉียง
    ภาษาไทยเวลานี้เขาไม่ใช้เฉียงไม่ใช้เฉิง พระยากรุงจีนไม่ยอมมาร่วมลบศักราชด้วย
    ไอ้คำว่าลบศักราชเนี่ย ศักราชมันตั้งผิด ตั้งกันไปตั้งกันมา ตั้งกันมาตั้งกันไป
    ไม่ได้มีอะไรเป็นหลักฐานนี่ว่ากันส่งเดช พระร่วงกับพระยาลือ น้องชายนะ
    พระยาลือก็คือฤทธิกุมาร จึงได้เสด็จไปเมืองจีนโดยเรือยาว ๘ วา กว้าง ๔ ศอก
    สิ้นเวลา ๑ เดือนก็ถึงเมืองจีน ขยายเขตยาว
    พระยากรุงจีนก็เชิญเสด็จประทับเรือหลวงด้วยพระราชสัมพันธไมตรี
    และถวายนางราชกัลยาณีคือลูกสาว ชื่อว่าพระ เอ้อ พระสุทธิเทวีราชธิดา
    ให้เป็นเอกอัครมเหสีด้วย เมื่อเสด็จกลับจากกรุงจีนแล้ว
    มิน่าเล่า เคยมีเมียเป็นลูกเจ๊ก มาตอนหลังๆ ถึงชอบลูกสาวเชื้อเจ๊กนะ แหม
    นี่พระร่วงพระหล่นนี่ชอบลูกสาวเชื้อเจ๊ก มาเจอะปั๋งเข้าทีไร เจ๊กทุกที
    เพราะว่า พื้นมีมาจากที่เดิม เมื่อเสด็จกลับมาจากพระเจ้ากรุงจีน นะ กลับ
    เมื่อจะกลับ พระเจ้ากรุงจีนก็ผ่าตรามังกรออกไปเป็น ๒ ภาค
    ทางด้านหางให้แก่พระราชธิดามาเพื่อประกอบหลักฐาน
    ในฐานะที่จะส่งพระราชสาส์นติดต่อกัน ให้ตราข้างท้ายเนี่ยติดไปจะได้รู้กัน
    แล้วก็ให้ชาวจีน ๕๐๐ คนมาด้วย ชาวจีนจึงได้ตั้งเครื่องเตา ทำถ้วยทำชาม
    เขาเรียกกันว่าเตาทุเรียง เตาทุเรียงนะไม่ใช่เตาทุเรียน เตาทุเรียงตั้งแต่นั้นมา
    ก็นับได้ว่า ชาวจีนได้เข้ามาอยู่ในเมืองไทยเป็นครั้งแรก

    ท่านคุยต่อไป ท่านว่าเมืองพิชัยใหม่ มีผู้ปกครองเมือง
    ชาวเมืองกลับลงมากราบทูลขอให้พระเจ้าฤทธิกุมารขึ้นไปเป็นเจ้า
    ไปครองเมือง เพราะเจ้าเมืองของเขาตาย เขาไม่มีเจ้าผู้ปกครองเมือง
    ก็ได้พระนางมัลลิกาเป็นเอกอัครมเหสี จึงได้นามว่า พระยาลือ
    อ้า พระร่วงพระลือเห็นมั้ย นี่เขาตั้งไว้ว่าพระร่วงพระลือเนี่ย
    เมื่อปี ๐๘ นั่งรถไปถึงนครสวรรค์ตอนตี ๔ มีผีองค์หนึ่งมานั่ง
    รูปร่างหน้าตาสวยท้วมๆ หน่อยๆ ถามว่าชื่ออะไร
    ชื่อบอกว่าชื่อพ่อขุนลือ น่าจะกลัวจะเป็นองค์นั้น แต่นั้นมาเขาก็ แต่นั้นมา
    ที่เขาใหญ่กึ่งกลางระหว่างเมืองเชียงใหม่ กับเมืองศรีสัชนาลัย
    จึงเอาตะปูทองแดงใหญ่ ๓ กำ ๓ วา ๓ ตัว ปักไว้เป็นเขตแดน
    ปัดโธ่ ไอ้ตะปูทองแดงนี่ เวลานี้พวกไปหลอมทำอะไรเสียหมดแล้ว
    ท่านกล่าวว่า พระยาร่วงหรือพระร่วงในขณะนั้นคะนองมาก
    มักจะเล่นเบี้ยบ้าง เล่นว่าวบ้าง ไม่ถือตัว ชอบเล่นหัวกับชาวบ้าน
    พวกเด็กพวกเล็กไม่รู้ไปทางไหนเด็กก็เป็นกลุ่ม นั่งล้อมวงที่ไหนนั่งที่ไหน
    เด็กเป็นกลุ่มที่นั่น ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ คุยกันแบบกันเองๆ
    นี่เขาเรียกว่าการเอาชนะใจกัน ถ้าชนะใจกันมันชนะเด็ดขาด
    ถึงเวลาจะใช้อำนาจก็ใช้อำนาจกันเด็ดขาดเหมือนกัน ตัดหัวเป็นตัด
    ใครจะมาขอทูลเกล้าขออภัยไม่ได้ แต่ว่าก่อนที่จะสั่งตัดก็
    ประวัติดูแล้วมันไม่ไหว ต้องตัดหัวกันแน่ ต้องตัด
    แล้วพระองค์ก็ชอบเสด็จนะ ชอบไปไหนองค์เดียว เวลาจะไปไม่มีขุนนาง
    ไม่มีทหารรักษาพระองค์ ไม่มีใครไปมันเดี่ยวๆ รู้ทั้งบางเหลื่อม
    รู้จบไตรเพท มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ไอ้รู้บางเหลื่อมเนี่ยมันรู้บางอะไร
    อ๋อ ปัดโธ่เอ๋ย นี่ นี่พูดภาษาไทยก็ได้น้า เอ้อเขาบอกว่าไทยนะ
    ไอ้ที่พูดนี่เขาบอกว่าไทย แต่มันไทยเก่า รู้บางเหลื่อมหมายความว่า
    กำบังตนหายตัว โธ่เอ๋ย นี่ลูกหลานฟังจะไปรู้เรื่องได้ไงล่ะปู่
    ปู่น่ะพูดน่ะมันฟังง่ายๆ หน่อยสิ รู้จบไตรเพท
    คือวิชาเวทศาสตร์ของพราหมณ์รู้จบหมด เวลานั้นนับถือพราหมณ์
    แล้วก็มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ สาปแช่งใครก็เป็นไปตามนั้น
    และบอกกันว่าให้เป็นยังไงก็ว่าเป็นไปตามนั้น ว่าตายก็ตาย
    บอกให้เป็นก็เป็น แต่ไอ้คนตายแล้วบอกให้เป็นก็คงบอกไม่ได้นะ
    นั่นตายไปหลายวันแล้วบอกฟื้นขึ้นมาน่ากลัวไม่ได้บอก
    ถ้าตายไปหลายวันบอก มึงเป็นผี คงจะเป็นได้ แต่เวลาบอกให้ตายก็ตาย
    ก็บอกให้ขอมที่มันผุดขึ้นมาจากไอ้หิน จากดิน มันจะมาจับ
    บอกนี่ เธอจงอยู่ตรงนี้ เจ้าขอมเลยกลายเป็นหินไป
    นี่เป็นอันว่าเรื่องของขอมนี่ ไอ้ที่ขอมเป็นหินนี่เป็นพระร่วงรุ่งโรจน์นะ
    ก่อนหน้าสุโขทัยไปประมาณ ๗๐๐ ปีเศษ ก่อนหน้าที่พ่อขุน
    ขุนศรีอินทราทิตย์เนี่ย

    นี่ ปู่ ตอนนี้มาเล่าเรื่องโกหกกันอีกแล้ว เอ้า ว่าไงว่ามา
    ท่านบอกว่าวันหนึ่งทรงว่าว คว้าว่าวแล้วขาดลอยไปติดอยู่บนปราสาท
    ยอดของพระยาตองอู เป็นอันว่ามีอาณาจักรยาวเหยียด โน่น
    พะม่งพม่าครองหมด แกไม่มาไม่ได้ เดี๋ยวจะตีพัง
    เพราะว่าขึ้นมาทีแรกก็ตีไอ้เมืองใกล้ๆ เข้าไปแล้วนี่ นี่อีตอนหลังนี่

    อ๋อ ว่าซะหมดเวลาซะแล้วลูกหลานที่รัก ขอโทษนะ เลยเวลาไปหน่อย
    ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้นะ ลืมดูเวลาไป
     
  9. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    09.พระเจ้ามังรายมหาราชเกิดเป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน.mp3
    หน้าที่แล้วปรากฏว่าสะดุดไป ลืมดูเวลา ดีนะ เทปไม่จบเสียก่อน
    มาว่ากันถึงพระร่วงลือนะ ร่วงรุ่งโรจน์ นี่เป็นอันว่า
    มังรายน่ะก็มาเกิดเป็นพระร่วงอีก ตอนต่อไปนี้
    กลัวจะเป็นเรื่องโกหก ท่านเล่าให้ฟัง ... วันหนึ่ง
    ว่าวคว้าเอ้อว่าวขาดไปติดอยู่ที่ยอดปราสาทพระเจ้าตองอู
    ที่เป็นขึ้นอยู่...ไปอีกไกล จากศรีสัชนาลัยไปถึงประเทศพม่า
    แต่ความจริง ไปเล่นแถวนั้นน่ะ เล่นแถวพม่า
    เวลาที่จะเอาว่าวก็ขึ้นเหยียบบ่าพระเจ้าตองอูเอื้อมขึ้นไปนี่
    นี่เหยียบศีรษะพระยาตองอู ก็ขึ้นไปเอาว่าว เขาเป็นเมืองขึ้น
    เวลากลางคืนก็ย่องแอบเข้าไป เข้าไปหาลูกสาวพระยาตองอูเสียอีก
    เห็นมั้ยล่ะ เจ้าชู้เสียอย่างมันก็หมดเรื่องนี่น้า เจ้าของเขาเองเขาโอเค
    จะว่ากันก็ไม่ถูก เป็นของธรรมดาๆ
    พระยาตองอูจึงได้สาวไส้ใส่พานทองไว้ ครั้นกลับมาถึงเมือง
    เปลื้องเครื่องทรงออกแล้ว จึงได้ลงสรงน้ำที่แก่งหลวงหน้าเมือง
    ถ้าไปที่ศรีสัชนาลัยจะเห็นแก่งหลวง สั่งพระ สั่งนะ
    สั่งพสุจกุมารลูกชายว่า ถ้าพ่อไม่กลับ ก็ให้เป็นราชาครองเมืองแทนพ่อเถิด
    พอสรงน้ำแล้วก็อันตรธานหายไป ไม่ปรากฏปีพุทธศักราช ไม่ปรากฏกาย
    ท่านบอกว่าเวลานั้นเป็นพุทธศักราช ๑๒๐๐ หนึ่งพันสองร้อยหนึ่งพันแปดร้อย
    ห่างกัน ๖๐๐ ปี เป็นอันว่า ตาย ตายก็แล้วกัน จบกันซะทีสิ
    จะมาเล่าเรื่องอะไรกัน

    นี่ก็เป็นเที่ยวที่ ๓ นะ พอเที่ยวที่ ๓ ก็เป็นพระร่วง
    เป็นพระร่วงแล้วก็เลยเป็นพระหล่น อีตอนที่บอกว่าสาวไส้เนี่ยมันแหมนะ
    ไม่ใช่ละมั้ง สาวไส้ออกไปใส่พานทองนี่ ใครเขาจะ อีโธ่
    ท่านว่าเป็นวิชาการสมัยนั้น คำว่าสาวไส้ในที่นี้ ก็อาจจะเป็น
    เป็นอะไร คำว่าสาวไส้ในที่นี้เหมือนอาจจะเป็น... เป็นใครซักคนนึงน้อ
    อาจจะเป็นวิธีการ วิธีการเล่นกลเขามีอยู่ สมัยโบร่ำโบราณเขามีวิชาแปลกๆ
    ก็เป็นสาวไส้ก็ได้ แล้วก็ต่อมา ตอนนี้จบกันเสียทีนะ จบกันเสียทีหนึ่ง
    ก็นี่มันเกิดกี่ครั้งแล้วล่ะ เกิดเป็นมังราย เกิดเป็นสามเณร
    อ๋อ เกิดเป็นพระเจ้าพรหม เกิดเป็นพระร่วง นี่ก็เกิดกัน ๔ เกิดแล้วสิ
    ในแค่ระยะ ๒,๐๐๐ ปีนี่มัน ๔ เกิดแล้วนะ
    เอ้อ เอาละ เอาล่ะสิ นี้ถ้าเล่าถึงการเกิด ลูกๆ ที่รัก เห็นมั้ย ถ้าตัณหามันยังไม่หมด
    ไอ้ความอยากยังอยู่ ตัณหาคือความรัก ติดอยู่ในรูปสวย กลิ่นหอม รสอร่อย
    ความโลภอยากจะรวย อยากเป็นใหญ่ ความบ้าอยากจะมีอำนาจเหนือคน
    ความหลังของตนคิดว่ามันจะไม่แก่ไม่ตาย นี่เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์
    ฉะนั้นขอบรรดาลูกรักทั้งหมด จงอย่ามีความปรารถนาตามนั้น ลืมมันเสีย
    เรื่องขันธ์ ๕ มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา ลูกรัก ถ้าเป็นเราเป็นของเราจริง
    ก็ดูตัวอย่างพระเจ้ามังราย พระเจ้ามังรายเวลานี้ไปเรี่ยไรอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
    เรี่ยราดนะ ดูจะเป็นเรี่ยราด อยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ นี่เรา
    ที่นี่เราดูกันแค่สมัยความเป็นไทย และนอกจากสมัยความเป็นไทย
    ท่านจะไปเกิดที่ไหนเราก็ไม่ทราบ เอ้า ท่านว่ายังไง ท่านปู่
    จะว่าอะไรกันอีกล่ะ ท่านบอกว่าครั้งที่ ๕ ตายจากความเป็นพระร่วง
    แต่ความจริงตอนนั้นน่ะ จะเล่าให้ฟัง ท่านปู่ท่านว่ายังงี้ ว่าโบราณเนี่ย
    เขามักจะพูดเลยความเป็นจริงไป แต่ความจริงไม่ได้สาวไส้ไม่ได้สาวพุง
    และก็ไม่ได้ไปจมน้ำตาย เพราะอะไร เพราะว่า
    ๑ คนที่จะหายตัวได้
    ๒ คนที่มีวาจาศักดิ์สิทธิ์
    ๓ คนเรียนรู้จบไตรเพท
    ๔ คนที่มีอำนาจวาสนา ปราบเมืองเพียง ๒ เมือง
    พอเมืองอื่นๆ รู้เรื่อง กลัวอำนาจวาสนาบารมี
    และก็ ๕ เวลาที่มาเกิดนี้ก็มีช้างพลายประกายแก้ว
    คือช้างเผือกขาวโพลนงาดำ เขี้ยวงูเป็นคู่กัน ช้างก็มาจากพรหม
    คนประเภทนี้จะฆ่ากันง่ายๆ น่ะมันฆ่าไม่ได้ เป็นอันว่า
    ด้วยอำนาจวาสนาบารมีของท่านมาก เพราะท่านมาจากพรหม บุญญาธิการมีอยู่
    จึงได้เจริญสมณธรรม ทรงฌานสมาบัติ เมื่อกลับจากเมืองตองอู
    ที่ว่าเหยียบบ่าเหยียบหัวพระเจ้าตองอูก็ไม่ทำอย่างนั้น
    คนที่เขามีมรรยาท เขาไม่หมิ่นประมาทกันขนาดนั้น เป็นอันว่าว่าวไปติดเข้า
    พระยาตองอูก็รับอาสา ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปเก็บเอามาให้
    ไม่ใช่ไปเหยียบบ่าเหยียบหัวเขา มันเกินพอดี ไอ้ยอดปราสาทน่ะเหยียบบ่าก็ไม่ถึง
    เหยียบหัวมันก็ไม่ถึง จะขึ้นไปยังไง ถ้าเอามือเอื้อมเหยียบหัวถึงยอดปราสาท
    ก็แสดงว่า ตัวต้องสูงเท่าเปรต นี่เป็นอันว่า ท่านปู่ท่านเล่าให้ฟังตั้งแต่ตอนโน้น
    ท่านเล่าแล้วท่านก็อธิบายว่า ไอ้การเขียนประวัติศาสตร์น่ะ
    มักจะเขียนกันเลยเถิดเลยธงไป

    เป็นอันว่าพระร่วงนี่มาจากพรหม และก็พรหมมาเป็นช้าง เป็นคนมีบารมีมาก
    ฉะนั้น เกิดมาชาติใดก็ขยายอาณาจักรอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้มีเกิด ๔ ครั้ง
    ท่านบอกว่า วาระที่ ๕ ว่ากันย่อๆ ดีกว่า วาระที่ ๕ ก็มาเกิดเป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน
    พ่อขุนศรีเมืองมานนี่ ตามประวัติศาสตร์เขาก็ไม่มี
    พ่อขุนศรีเมืองมานนี่ก็เป็นเครือเดียวกับพ่อขุนศรีน้าวนำถม
    เป็นคนรุ่นรองกันนิดๆ อยู่ติดๆ กัน และก็เป็นคนดำริที่จะคิดครองครอง
    คือว่าจะแก้ กู้อำนาจ จากไทย ของของขอมมาเป็นไทย เกิดทีไร นะ
    เกิดทีไรยุ่งทุกที ตอนนั้น ไทยหลังจากขุน เอ้อพระร่วงรุ่งโรจน์และพระร่วงพระลือ
    สองพี่น้องนี่ตายแล้ว บรรดาลูกๆ ก็ไม่สามารถจะครองอำนาจความเป็นไทย
    เป็นเอกราช ปล่อยให้ไอ้ชาติขอม ขอมเวลานี้มันก็สิ้นชาติไปแล้ว
    ขอมนี่ไม่ใช่เขมร เขมรที่จริงๆ นี่มันมาจากอินเดียนะ
    มันจะกึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย มันไม่เคยเป็น เป็นตัวของมันเองเลย
    มันเป็นทาสคนโน้น ทาสคนนี้ เดี๋ยวก็ขึ้นกะญวน เดี๋ยวก็ขึ้นกับไทย
    ดีไม่ดีมันขึ้นทั้งญวนทั้งไทย ตั้งแต่ทรงตัวเป็นชาติเป็นอิสรภาพมานี่
    เขมรไม่มี ไม่มีสภาพ ไม่มีสภาพของตัวเอง ขอมนั่นก็คือไม่ใช่เขมร
    เดี๋ยวนี้ชาติสลายไปแล้ว น่ากลัวจะมาปนกับไทยเสียก็ไม่รู้
    มันป้วนเปี้ยนกันไปเป็นอันว่า ลูกไม่สามารถจะรักษาความเป็นเอกราชไว้ได้
    ขอมก็ยึดอำนาจไว้ตามเดิม มาตอนหลังนี่ไปนั่งอยู่โน่น
    ไปนอนอยู่บนพรหมหกเจ็ดร้อยปี หกเจ็ดร้อยปีของมนุษย์ ทนไม่ไหว
    นั่งมองๆๆ ดูคนไทยบอก เอ๊อ คนไทยนี่เราเหนื่อยเพื่อไทยมามาก
    แต่วางมือไม่ได้ วางมือทีไรยุ่งทุกทีนี่ ไม่ได้การ ต้องรีบจรดลลงมาซักที
    แต่ความจริงเนี่ยดีมันนั่งเพลิน นั่งสมาธิหลับตาปี๋ สบาย คนที่เตือนก็คือใคร
    พกาพรหม พกาพรหมก็ย่องๆ เข้าไปบอกนี่ พ่อเทวดา พ่อพรหม
    พ่อพรหมร่วงพ่อพรหมหล่น จะมานั่งแหงแก๋แหลแต๋อยู่ทำไม
    นี่ลืมตาบ้างซิว่าคนไทยที่แกสร้างสรรค์ไว้น่ะ
    แกช่วยสร้างความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาไว้ เวลานี้เอาอีกแล้ว เหลวแหลกอีกแล้ว
    ลงไปตามหน้าที่ในแต่ในฐานะที่ปรารถนาพระโพธิญาณ
    พระโพธิญาณนี่ต้องต่อสู้กับความทุกข์ ให้ความสุขกับคนอื่น
    จะมานั่งทำหน้าแช่มชื่นอยู่แบบนี้น่ะ มันใช้ไม่ได้ ไม่ใช่วิสัยของพระโพธิญาณ
    แหม องค์นี้ก็เป็นพรหมช่างเตือนจริงๆ ถามว่าเป็นยังไง
    บอกดูซิ ไทยเป็นทาส ขอมมันใช้อำนาจเป็นธรรม มีความร้ายกาจหยาบคายมาก
    ก็อะไร เอ้อ แต่พรหมองค์นั้นแกก็ถาม พรหมร่วงนะ
    พรหมร่วงรึพรหมหล่นแกก็ถาม ว่าแกจะให้ฉันไปคนเดียวหรือใครไปบ้าง
    บอกจะส่งคนไปอีก ไม่เป็นไร คราวนี้จะต้องขยายอาณาจักรไทยให้ถึงสิงคโปร์
    ปลายสุดแหลมไปเลย เอากันให้ตระหนัก แต่ว่าจะส่งไปหลายคนหน่อย
    ทางด้านเหนือจะส่งคนไปอีก ไปสกัดด้านเหนือเข้าไว้
    จะให้เขาสร้างความสามัคคี แต่ในตอนต้นนี้ท่านต้องไปเริ่มต้นไว้ก่อน
    เลยถามว่า ถ้าเริ่มกันอีตอนนี้ล่ะก็มันจะพังอีกไหมล่ะ
    ถ้ามันจะพังอีกก็ไม่ต้องไปเริ่มกันแล้ว เลิก เริ่มทีไรพังทุกที เริ่มทีไรพังทุกที
    ไปเริ่มมันทำไมล่ะ ปล่อยมัน อยากจะเป็นขี้ข้งขี้ข้า ก็มันไม่รักชาติก็ช่างมัน
    ท่านบอกไม่เป็นไร ถ้าเริ่มตอนนี้ล่ะก็ ไทยเป็นไทยตลอดไป
    จะมีบ้างก็โขยกเขยกๆ ไอ้ถึงขนาดพังเป็นทาสเขาทั้งชาติอย่างนี้มันจะไม่มี
    ก็จะมีบ้างตามกฎของกรรมของสัตว์ที่มาเกิด แหม พ่อหมอดูนี่ก็เก่งไม่ใช่เล่น
    นี่ ท่านปู่ท่านบอกให้ฟังนะ นี่อย่านึกว่าหลวงพ่อรู้เองนะ
    ท่านปู่ท่านบอกให้ฟัง บอกเอ้า ถ้ายังงั้นเอาก็เหาะลิ่วๆๆๆ
    ก็เข้าท้องแม่ผับเข้าให้ ออกมาแล้วจากท้องแม่ พอเริ่มเข้าท้องแม่อาละวาด
    แสดงความอาละวาด แม่แพ้ท้องทำยังไง อยากจะกินเลือดขอม มาแล้ว
    ถ้าไม่ได้เลือดขอมมากินจะตาย พ่อก็โขยกเขยกๆ ไป ไอ้เจอะขอมเซ่อๆ ซ่าๆ
    เตะพับ ฟันคอปุ๊บ ตาย รองเอาเลือดไว้หน่อย ดื่มมันทั้งเลือดสดๆ
    แม่ดื่มเลือดสดๆ หน้าตาสดชื่นแจ่มใส ยิ้มแย้ม ผิวพรรณผ่องใสผิดปกติ
    สวยขึ้นกว่าเดิม พ่อมองดูแม่บอก จึงถามว่าแหมนี่
    ถ้าฉันรู้ว่าเธอกินเลือดขอมแล้วมันสวยกว่าเก่า สวยขึ้น
    ฉันหาเลือดให้กินนานแล้ว ท่านแม่บอกเวลาอื่นให้กินฉันไม่กิน
    ฉันเกลียดเลือดเจ้าค่ะ แต่อีตอนแพ้ท้องไอ้ลูกคนนี้
    ทำไมมันอยากกินเลือดขอมก็ไม่รู้ เป็นอันว่าแสดงสัญลักษณ์
    หลังจากกินเลือดขอมเข้าไปแล้ว คนท้องแทนที่จะกลายเป็นคนอ่อนแอ
    กลับเป็นคนที่เริ่มมีความแข็งแรง มีอาการเปลี่ยน จริยานิ่มนวล
    ชดช้อย ชดช้อยนิ่มนวลเป็นจริยาปกติ แต่ตอนหลังนี่ชดช้อยกว่าเก่า
    พูดหวานวานเครือ พูดดีปลูกสร้างความสามัคคี มีความแข็งแรงเหมือนผู้ชาย
    ฝึกวิชาการรบ นั่นแน่ แสดงตั้งแต่อยู่ในท้องเลย เริ่มอาละวาดตั้งแต่อยู่ในท้อง

    พอออกจากท้องแม่มา รูปร่างหน้าตาสะสวย ผิวพรรณงาม แต่รู้สึกว่า
    มีจุดๆ หนึ่งที่เป็นจุดต้องคิด ท่านบอกว่า มีไฝที่หัวคิ้วขวา ไฝตัวนี้เป็นไฝสีแดง
    พ่อแปลกใจ เอามาดู ให้โหรมาดู โหรบอกว่าได้เรื่องแล้ว โหรก็...มาจับยามสี่ตา
    เพราะจับยามสามตา สามตามันเดินไม่ถนัด ก็จับมันสี่ตา ดูไปดูมาบอกว่า
    เด็กคนนี้มีบุญญาธิการมาก สามารถจะสร้างสรรค์ ปูพื้นฐานรวมไทยได้ตลอด
    ถึงแหลมมลายูโน่น โอ้โห ปูพื้นฐานไม่ยักเอาเองแฮะ และก็ต่อมาเวลาที่จะขนานนาม
    ท่านพ่อก็นิมนต์พระมา มีท่านผู้เฒ่าอยู่ ๒ ท่าน อ้วนท่านหนึ่งผอมท่านหนึ่ง
    ดำๆ ทั้งคู่ แต่คำว่าดำก็ไม่ใช่ดำปี๋ ผิวคล้ำไปหน่อยเพราะเป็นนักธุดงค์
    มาถึงเวลาสวดมนต์สวดเสร็จ พระอีก ๗ องค์เขาสวดเสร็จหยุด
    พระอีก ๒ องค์หยุดและหลับตาปี๋ พอลืมตาเข้ามาก็บอกว่าเด็กคนนี้มาจากพรหม
    หวังจะมากู้ชาติไทย จะมีสหชาติร่วมใจกันคือมีคนต่อไปชื่อว่าขุนศรีน้าวนำถม
    จะเป็นคนปูพื้นฐานของไทย ให้เป็นไทตลอดกาลตลอดสมัย
    ไทยจะไม่สลายตัวไป เพราะว่าเด็กคนนี้สร้างไทยเป็นไทเป็นเอกราชมานานแล้ว
    เมื่อไทยจะถึงความย่อยยับ ก็มาเกิดเพื่อสร้างความเป็นไทยให้เป็นปึกแผ่น
    เมื่อตอนนี้เองนั่นแหละ พอหลวงตาสององค์พยากรณ์
    เป็นคนที่เขามีความเคารพนับถือกันมาก เอาล่ะสิ ของขวัญ ของกำนัล
    เงินทอง มากันหลั่งไหล โอ้ยเยอะแยะ ร่ำรวย
    ท่านแม่ท่านพ่อก็สร้างเป็นธนาคารขึ้นมา เป็นของส่วนกลาง สร้างสรรพาวุธ
    ทำเป็นทุนในการฝึก ทำเป็นทุนในการรักษาระเบียบ ทำเป็นทุนในการศึกษาวางแผน
    พ่อเริ่มงานก่อน พ่อเริ่มงานก่อนรวมคน รวมคนว่าไทยต้องเป็นไท
    ขอมมันก็คน ไทยก็คน ในเมื่อคนต่อคนมันจะสู้กันมันจะแปลกอะไร
    ถ้ามันวิเศษจริง มันก็อยู่ ถ้ามันไม่วิเศษจริงมันก็ตาย
    เราไทยกับขอมมันต้องตายกันข้างหนึ่ง นี่พ่อก็นักเลงเหมือนกัน
    ไปเจอะลูกนักเลงพ่อนักเลง มันก็สนุกกันใหญ่
    เป็นอันว่าพอโตขึ้นมา ก็เป็นคู่หูกับขุนน้าวนำถม
    ท่านขุนน้าวนำถมนี่เป็นคนที่มีความเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดมาก
    รู้สึกว่าเป็นคนเอาจริงเอาจัง แต่ว่าจริยาของท่านสวย
    จริยาดีมาก ท่านเป็นคนอ่อนช้อย แบ่งงานกัน
    ให้ขุนน้าวนำถมเป็นคนอ่อนน้อมต่อขอม แต่พ่อศรีเมืองมานนี่เป็นคนพูดดี
    ยิ้มแย้มแจ่มใส ถ้าขอมพูดไม่ชอบใจก็บอกว่า นี่ไทยนะ ไทยก็คนนะ
    ขอมก็คนนะ ถ้าจะเอาอะไรกันก็เอากันแต่เพียงดีๆ ถ้าใช้อำนาจแบบนี้
    มันต้องใช้ดาบกันก่อน ถ้าแกไม่ยังไม่อยากเจ็บตัว ยังไม่อยากตายแล้ว
    กลับไปแล้วกลับมาพูดใหม่ อย่าเอาแต่คนที่เขากลัวแกโน่น
    ไปคุยกะท่านน้าวนำถมโน่น คนนั้นน่ะเขาก้มหัวให้แกได้ทุกอย่าง
    ฉันมาเกิดนี่ฉันไม่ได้มาเกิดแต่ตัวนะ ฉันเอามือเอาเท้ามาด้วยนะ
    แกอย่านึกว่าแกเป็นนายฉัน ที่ฉันให้แกทำตามชอบใจอย่างนี้
    ฉันถือว่าเป็นไปตามประเพณีที่มันเป็นมาก่อน ถ้าไม่ยังงั้น ขอมมันก็คน
    ไทยมันก็คน ถ้าคอไทยไปละขอมฟันไทยคอขาดได้ ไทยก็ฟันขอมคอขาดได้
    ตอนนี้ขอมถึงถอยกรูด ต่อมาก็มีลูกมีหลาน เจ้าขอมเห็นท่าไม่ได้การ
    เอาลูกเอาหลานไปเป็นลูกเขย เห็นท่าจะต้องแข็งเมือง

    เป็นอันว่าสมัยนั้นก็ฝึกปรือบรรดาประชาชนทั้งหลาย ให้รู้จักในการรบ
    รู้จักรักรู้จักรบ รักหมายถึงความสามัคคีในชาติ
    ขึ้นชื่อด้วยไทยด้วยกันอย่าโกงกัน อย่าข่มเหงกัน อย่าทำลายกัน
    ลิ้นกับฟันย่อมมีการกระทบกันได้ฉันใด คนไทยเราถึงแม้ว่าจะโกรธกันบ้าง
    ก็ควรจะให้อภัยกัน ทั้งผู้หญิงผู้ชายควรจะฝึกอาวุธ
    แล้วก็หาแหล่งที่เขามีทองที่ไหน ทรัพยากรมีที่ไหน ไปหาที่นั่น
    แล้วก็สอนวิธีทำทอง นอกจากทองที่ขุดมาได้ก็ยังสร้างทองได้ด้วยตนเอง
    ก็มีความร่ำรวย ขอมมันเห็นรวย ใคร่มันก็อยากจะได้
    ขอให้ไทยส่งส่วยมากกว่านั้น จึงได้เข้าไปสัมพันธ์
    ถามว่าจะเอามากกว่านั้นหรือว่าจะไม่เอาเลย
    ไอ้ที่ให้อยู่แล้วนี่ก็เป็นการเบียดเบียนกันมากเกินไปแล้ว ถ้าต้องการมากกว่านี้
    ก็จะไม่ให้เลย ขอมทำตาปริบๆๆ เจอะคนบ้าเข้า ขอมก็เลยบอกว่า ถ้าให้ไม่ได้
    ก็ขอเท่าเดิม บอกขอเท่าเดิมจะให้ แต่ว่าจะให้ไปนานตลอดหรือไม่ตลอดไม่แน่
    ท่านจึงได้บอกอีตา เมืองมานนี่รู้สึกว่าแกจะบ๊องๆ นะ บอกด้วยว่า
    อย่าใช้อำนาจให้มันมากเกินไปนะ เราเป็นคนเหมือนกัน การให้ส่วยนี่
    ก็รู้สึกว่าเป็นการเอาเปรียบกันเกินไป ผืนแผ่นดินผืนนี้
    ขอมไม่ได้สร้างไว้นะ โลกนี่ขอมไม่ได้เป็นเจ้าโลก ไม่ได้เอาดินมาถมให้เป็นโลก
    อย่าใช้อำนาจให้มันเกินไป ที่ยอมอ่อนน้อมให้อย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นประเพณี
    ถ้าไม่รับประเพณีเสียอย่างเดียว ขอมจะไม่มีที่อยู่ ความจริงเวลานั้น
    เราพร้อมรบ เราพร้อมรบแต่เรายังไม่รบ แต่ว่าเพราะพวกเราอายุมากไปแล้ว
    ให้ลูกให้หลานรบ สั่งสอนลูกหลานคือพ่อขุนผาเมือง กับพ่อขุนบางกลางท่าว
    ให้รับประเพณีนี้ไว้

    ต่อมาปรากฏว่า เมื่ออายุ ๓๐ ปีเศษๆ ใกล้ ๔๐ ปี ภรรยาคือแม่ศรีตาย
    ศรีอะไรก็ไม่รู้นะ ศรียาวมั้ย อ๋อ ท่านปู่บอกว่าแม่ศรีตาย แม่ศรีไหนล่ะ
    พรรณวดีศรีโสภาค พรรณวดีศรีโสภาคเธอตาย มีเมียกี่คน อ๋อ มีเมีย
    มีเมียหลวงคนเดียวนะ แต่มีเมียราษฎร์ กี่คนล่ะ ๓๐ พอแล้ว แหมเหนื่อยตายห่า
    อีโธ่เอ๊ย ท่านปู่ ทำไมถึงมีมากนักล่ะ บอกเขาสมัครใจน่ะ ปัดโธ่
    จัดเรียงคิวกันยังไงล่ะ วันละคนล่ะสิท่า เอ้าก็แย่หน่อย
    เป็นอันว่าต้องจัดหลีกกันดีหน่อย เพราะไม่งั้นตีกันตาย
    อ๋อ มันถึงได้มีลูกมาก ลูกมาก หลานมากนะ เป็นอันว่า
    พรรณวดีศรีโสภาค ภรรยาใหญ่ตาย ก็บวช บวชหน้าไฟให้เมียก็เลยไม่สึกเลย
    เพราะว่าปรากฏว่าเหลืออีก ๒๙ คนนี่สู้ไม่ไหว ตอนนั้นก็จำใจจำกลืน
    อย่างนี้มันไม่ไหวแล้ว ถ้ามันเจ้าชู้นี่น้อ เมื่อรู้ตัวทีหลังนี่ตัวไม่ไหว
    ไม่ไหวก็ต้องพักบวช ตอนบวชนี้ก็มอบหน้าที่ให้เป็นพ่อขุนน้าวนำถม
    นำทีมฝ่ายฆราวาสฝ่ายพระก็ตั้งมหาวิทยาลัยการรบ การปกครอง
    การเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ทุกอย่าง การคลัง เป็นอันว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
    สร้างขึ้นมาในวัดทั้งหมด ขอให้วัดต่างๆ ข้าราชการนักรบเก่าๆ
    ฝึกสอนวิชาการรบให้แก่เด็กวัด สอนวิชาการปกครอง
    สอนวิชาการเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์การคลัง สอนให้เด็กรู้จักความสามัคคี
    รักในธรรม ประพฤติในธรรม

    ท่านว่าไงอีก ท่านก็บอกว่า ต่อไปหลังจากนั้น
    ท่านพระเมืองมานก็ออกธุดงค์ ออกธุดงค์ตั้งแต่เหนือยันนครศรีธรรมราช
    เพราะว่าทราบอยู่ว่า คนไทยอยู่เกลื่อนกลาด ตลอดไปหมด เวลาธุดงค์ไป
    ปักธุดงค์ก็เป็นคนเก่ง มีคาถาอาคมเก่ง ใครอยากจะค้าก็ค้า
    ใครอยากจะขายก็ขาย ใครอยากจะรวยอยากจะได้เมตตามหานิยม
    ใครอยากจะได้หนังเหนียวคงกระพันชาตรีแคล้วคลาด
    มีทุกอย่าง มีทุกอย่างเพื่อเป็นการล่อใจคน คนไทยชอบ
    มาทำบุญใส่บาตรกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ในเวลาเดียวกัน
    ก็ปลุกให้รู้จักว่าเราเป็นไทยนะ เราเป็นไทยต้องรักความเป็นไทย
    ต่อไปไทยจะต้องเป็นเอกราช ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของขอม
    ให้ทุกคนพยายามกลมเกลียว มีความสามัคคีกัน ฝึกปรือการรบเข้าไว้
    แล้วก็ฝึกปรือการสร้างสรรค์ประเทศให้มันมี ท่านเรียกว่า
    ให้มันมีความเจริญรุ่งเรืองด้านเศรษฐกิจ ทำมาหากินได้
    เก็บหอมรอมริบก็เอาทรัพย์เข้าไว้ ถ้าสงครามมันเกิดจะต้องจับจ่ายใช้สอยมาก
    จะไม่ลำบากในการบริโภค อุปโภคบริโภค นี่พระธุดงค์สมัยนั้น
    นี่น่ากลัวจะไม่ใช่พระ อย่างนี้เขาว่าเดินดงแล้วไม่ใช่ธุดงค์
    พอไปถึงชุมพรก็ได้เจ๊กผอมคนหนึ่งเป็นกำลังใหญ่
    จนกระทั่งเดินไปถึงนครศรีธรรมราช ท่านเดินเรื่อยไปจนกระทั่งถึงสิงคโปร์
    ธุดงค์กันเป็นแรมปี ไม่ใช่ธุดงค์แรมเดือน เขาเรียกว่าเดินดง
    เป็นอันว่ากลับย้อนถอยหลัง กลับเข้ามาอีกทีก็ปรากฏว่า
    คนไทยดีขึ้นมาก นี่ แล้วต่อมา งานจากคราวนั้น
    หลังจากนั้นมา ก็ส่งหน้าที่ให้พ่อขุนบางกลางท่าวกับพ่อขุนผาเมือง
    เมื่อกลับมาแล้ว บอกงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลงมือได้

    เป็นอันว่าเรื่องราวของน้าวนำถม คือว่า พ่อขุนมังราย
    กลับมาเกิดเป็นคนในวาระที่ ๕ ในคราวนี้เมื่อเสร็จจากกิจ
    และการสร้างสรรค์ความสามัคคีจากความเป็นไทย
    ระยะเดียวกันก็ไปอยู่ที่วัดต้นจันทร์
    เจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปไหน
    ตายแล้วก็กลับไปอยู่ที่พรหมโลก นี่เป็นอันว่า หมดวาระกันซะที
    เกิดๆ ตายๆ แบบนี้ มันไม่เป็นเรื่อง ลูกรัก

    มองดูเวลามันจะเลยอยู่แล้ว วันนี้ก็ต้องขอลาก่อน ค่อยฟังกันวันหน้าต่อไป
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ลูกหลานทุกคน สวัสดี
     
  10. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    10.พระเจ้ามังรายมหาราชเกิดเป็นขุนหลวงพระงั่ว, มหาเศรษฐีอำไพ.mp3
    เอ้อ ลูกรักทั้งหลาย ตามเรื่องราวที่ฟังมา ก็รู้สึกว่าจะเหนื่อยๆ อยู่มาก
    เพราะว่า เฉพาะท่านพ่อขุนมังราย ในชั่วระยะเวลาไม่เท่าไร
    ก็เกิดไปแล้วกี่คราว นี่ว่ากันไปตั้ง ๕ ครั้งแล้ว นี่มาก็มาเป็นครั้งที่ ๖
    หลังจากตายจากพ่อขุนเมืองมานในสภาพเป็นพระ
    แล้วก็เป็นพระผู้ทรงฌาน จำพรรษาอยู่ที่วัดอะไรล่ะ
    วัดต้นจันทร์ ตอนนั้นจัดว่าเป็นอรัญวาสี อยู่ในป่าลึก
    เพราะว่าการอยู่ในเมืองมันคับข้องมาก ไม่เหมาะกับการเจริญภาวนา
    ตอนหลังตอนแก่นี่ แสดงว่าการตีเมืองน่ะเขาตีกันแล้ว
    มาตายกันตอนหลัง ตายกันตอนที่เรียกว่า
    ขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองเมืองแล้ว เรียกว่ามีอายุแก่มากจึงตาย
    การตายตอนนี้ ก่อนหน้าจะตายก็ละทั้งหมด
    คำว่าละทั้งหมดก็หมายความว่าละภารกิจทั้งหมด
    ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนหนุ่ม ตั้งหน้าเจริญสมถกรรมฐาน
    วิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งได้ทรงฌานสมาบัติ
    เมื่อทรงฌานสมาบัติแล้วก็ตาย ตายในฌานก็ไปเกิดเป็นพรหม
    ไปนอนอยู่ที่พรหมแบบสบายๆ หากินเรื่องพรหมตลอดหนีบาป

    นี่ความจริงลูกรัก จำไว้ให้ดีนะ ว่าคนเราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้
    ที่ไม่ทำความชั่วน่ะไม่มี ถ้าเราจะชดใช้บาปมันก็ใช้กันไม่ไหว
    มันมีทางเดียวในกิจพระพุทธศาสนาคือหนีบาป การภาวนาให้จิตทรงตัว
    การคิดถึงคุณพระรัตนตรัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกรักเกือบทั้งหมด
    หวังว่าต่อไปก็ทั้งหมด ต่างคนต่างได้อภิญญาสมาบัติ
    การทรงอภิญญาสมาบัตินี่ถือว่าเป็นคุณธรรมอันเลิศ
    ยากที่บุคคลอื่นจะพึงทำได้ ไอ้คำว่าบุคคลอื่นนี่หมายความว่าบุคคลภายนอก
    แต่ความจริงพราหมณ์เขาก็ทำได้นะ
    ในเมื่อได้อภิญญาสมาบัติแล้วขอทุกคนจงรักษาอภิญญาสมาบัติให้ทรงตัว
    และพยายามรวบรวมบารมี ๑๐ ประการไว้ให้ครบถ้วน
    พยายามตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการ จรณะ ๑๕ ปฏิบัติให้ครบถ้วน
    แล้วก็มีพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน ทรงศีลให้บริสุทธิ์
    และมีอิทธิบาท ๔ บริสุทธิ์ เมื่อมีอาการทรงตัวอย่างนี้
    ลูกรักของพ่อทั้งหมดจะไม่ต้องเกิดต่อไป
    การเกิดอย่างพ่อขุนมังรายไม่เป็นเรื่อง จากมังราย
    แล้วก็เรี่ยรายเรี่ยราดกันมาเรื่อยๆ ไม่ได้ความ

    ตอนนี้จากพ่อขุนศรีเมืองมานแล้วก็ไปนอนแหงแก๋ หลับสบายอยู่บนพรหม
    มองดูชาวไทย สมัยพ่อขุนรามคำแหงยาวเหยียด ไทยเป็นไทยด้านเหนือ
    พ่อขุนรามคำแหงก็วางแผนดี รักษาความเป็นมิตรกับความเป็นไทย
    กับพ่อขุนเม็งรายแล้วก็พ่อขุนอะไรล่ะ เมืองพะเยา
    รู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันดี ฝ่ายใต้ตีลงไปถึงสิงคโปร์
    การตีคราวนั้นก็เป็นการตีไม่ยาก เพราะมันเป็นการรวมไทย
    จะมีการขัดคอกันบ้างก็ที่เมืองกระบี่เท่านั้น ที่รบกันมากหนัก
    นอกจากนั้นไทยที่อยู่ที่นั่นเป็นไส้ศึก เวลาการเตรียมทัพ
    ก็หันหลังให้แก่เมืองเดิม มาเข้ากับข้าศึก คือพ่อขุนรามคำแหง
    การยึดอำนาจมันจึงเป็นของไม่ยาก การเสียเลือดเนื้อกันก็น้อย
    มีที่กระบี่เท่านั้นที่เขาสู้หนัก ครั้นไปนอนพอจะสบายๆ
    ก็เกิดเป็นไทยขึ้นมา ๒ พวกอีกแล้ว ทีนี้ก็มองมาดูไทย
    เอ้า นี่ไทยเชียงแสนก็ยังมีอยู่ แต่ไทยเชียงแสนกะไทยสุโขทัยเป็นไทยเดียวกัน
    ก็รู้สึกว่าดี แต่มีไทยขึ้นมาอีกไทย คือไทยตอง
    เอ้อ ไทยที่ อะไรล่ะ อู่ทอง เห็นไทยแยกกันเป็น ๒ ไทยแบบนี้
    มันก็จะกลายเป็นไม้เรียวหนาม ที่แยกกันเป็นอันๆ
    ไม่ช้าไม่นานนัก เขาก็จะหักทีละซี่สองซี่ ตอนนี้เห็นท่าจะไม่ดีเสียอีกแล้ว
    ลูกหลานนี่มันไม่รู้จักที่จะประสานกัน ไม่มีความสามัคคี
    ไอ้ความบ้าลาภบ้ายศนี่มันเป็นของไม่ดี บ้าความเป็นใหญ่
    มองมามองไปก็เกิดความรำคาญใจ ท่าจะอยู่ไม่ได้
    ก็พอดีท่านพกาพรหมท่านก็ไปบอก นี่ท่านปู่ท่านเล่าให้ฟังนะ
    เล่าเรื่องของพระเจ้ามังรายนะไม่ใช่เล่าประวัติของหลวงพ่อ
    พระเจ้ามังรายเนี่ย ท่านเป็นคนขยันเกิด
    แต่คนอื่นก็อาจจะขยันเกิดอย่างพระเจ้ามังรายเหมือนกัน
    แล้วก็เจ้า เอ้อ ท่านท้าวพกาพรหมก็บอกว่า นี่ พ่อพรหมจ๋า
    ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิ พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ในประเทศไทย
    ถ้าไทยยังแตกแยกกันอยู่แบบนี้เพียงใด พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ไม่ได้
    เพราะว่าถ้าไม่มีคนนับถือ ไม่มีคนปฏิบัติตาม พระพุทธศาสนาเกิดไม่ได้
    ฉะนั้น ท่านต้องกลับไปรวมไทยให้เป็นไทยเดิมตามเดิม เอาอีกแล้ว
    ท่านองค์นี้ก็ขยันเตือนจริงๆ นะ จะลงมาเองก็ไม่ลง ถามว่าจะไปไหนล่ะ
    บอกโน่นน่ะ ไปลงที่อู่ทอง ไปหาทางเข้าครองเมืองให้ได้
    เรียกว่าเป็นกำลังใหญ่ของเมือง อย่าเพิ่งไปเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
    ก็มา..ไป และก็ถามว่าจะให้ใครมาบ้าง แล้วบอกท่านบอกว่าจะจัดเทวดา
    แล้วก็จัดพรหมลงมาตามสมควร นี่เป็นคนจัด
    มีหน้าที่จัดเดียว ควรจะแต่งตั้งเป็นตำแหน่งประธานาธิบดีพรหมจัด
    ประเภทจัดให้คนอื่นเขาทำงาน ตัวเองไม่ทำ นี่คุยแล้วอย่ามายืนต่อว่าสิ
    เขามาต่อว่าบอกว่ามันเป็นหน้าที่ของพระเจ้ามังรายเขา
    เขามีความปรารถนาอย่างนั้นก็ต้องบอกเขาทำอย่างนั้น
    หลวงพ่อก็เลยพูดแทนพระเจ้ามังรายไปในตอนนี้นะ

    เป็นอันว่าก็ลงมา ต่อมาเขาให้นามว่าขุนหลวงพะงั่ว
    ตอนนี้ก็หาทางที่จะรวมไทยเข้ามาเป็นไทยเดียวกัน ที่ใครบอกว่า
    พระเจ้ามังรายองค์นั้นมาเป็นพระเจ้าลิไทนี่ไม่ใช่
    ความจริงเป็นตอนเป็นพ่อขุนหลวงพะงั่วนี่รู้สึกว่า
    เป็นคนใช้วิธีการทั้งสองอย่าง คือรบด้วยอาวุธแล้วก็รบด้วยลิ้น
    การรบด้วยลิ้นนี่ ถือว่าเป็นการรบที่มีความสำคัญกว่าการรบด้วยอาวุธ
    เมื่อหาทางไปตีเมืองสุโขทัยเข้ามารวมกันไม่ได้
    เมื่อท้าวพระเจ้าอู่ทองเข้ามายึด มาตั้งเมืองใหม่ที่หนองโสน
    เมื่อหาทางตีเมืองไม่ได้ก็เอาใหม่ เจรจาเป็นเพื่อนกันดีกว่า
    ก็เข้าไปหาพระเจ้าลิไทว่า คนไทยเรานับถือพระพุทธศาสนา เวลานี้
    พระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระจัดกระจายไป
    เราควรจะรวบรวมพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดเป็นหมู่
    จะได้เป็นหลักฐานในการสร้างความดีของคนไทย
    พระเจ้าลิไทท่านก็เป็นคนดี โอเคด้วย
    ไม่ถือโทษโกรธเคืองเพราะการยกทัพไปตีท่าน ต่อมา
    ก็ได้พาและนิมนต์พระสงฆ์ให้มาทำการสังคายนาพระไตรปิฎก
    ตอนนี้ก็ไม่ควรจะเรียกว่าสังคายนา คือรวบรวมพระธรรมวินัย
    ใครรู้อะไร ใครมีตำราอะไรก็เข้ามาประสานกัน
    แล้วต่อมาก็อาราธนาพระสงฆ์ให้ไทยรู้จักกลัวบาป รู้จักทำบุญ
    และร่างไตรภูมิพระร่วงขึ้นมา การร่างไตรภูมิพระร่วงนี่
    ความจริงพระร่วงไม่ได้ทำ เป็นแต่ศาสนูปถัมภ์
    เป็นผู้อุปถัมภ์แล้วก็มีพ่อขุนหลวงพะงั่วไปร่วมด้วย
    เรียกว่าทั้งสุโขทัยและอยุธยาร่วมมือกัน และก็สร้างพระพุทธชินราช
    สร้างพระพุทธชินสีห์ สร้างพระศากยมุนี ขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย
    เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่า ประเทศไทยจะอยู่ได้ด้วยเหตุ ๓ เส้าด้วยกัน
    คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระพุทธชินราชหมายถึงพระมหากษัตริย์
    พระพุทธชินสีห์หมายถึงพระศาสนา พระศากยมุนีหมายถึงชาติ
    ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์นะ การสร้างคราวนี้
    ก็เป็นหน้าที่ของท้าวโกสีย์สักกะเทวราช ให้พระวิษณุกรรมมาช่วย
    นี่ ท่านผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้นะ
    ถ้าใครไม่เชื่อก็ไปเอาคนตายมาถามดูก็แล้วกัน แล้วก็ต่อมาภายหลัง
    ก็มีโอกาสเข้ารวบรวมไทย ให้เป็นไทยเดียวกัน
    เป็นอันว่าสุโขทัยกับกรุงศรีอยุธยาก็เป็นประเทศเดียวกัน นี่เป็นอันว่า
    มีหน้าที่รวมไทยกันเท่านั้น เรื่องทั้งหลายนอกจากนี้
    เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์เขียนไว้แล้ว
    ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง แต่จะมานั่งพูดเรื่องประวัติศาสตร์กันนี่
    มันก็เป็นการไม่ดี จะกลายเป็นรื้อฟื้นหาตะเข็บ ดีไม่ดีเล็บจะไปทิ่มเอาเข็มเข้า
    มันก็ไม่เกิดประโยชน์

    เป็นอันว่าลูกรักทั้งหลาย พระเจ้ามังรายนี่เป็นพระเจ้าจอมเกิด
    เกิดทีไรยุ่งทุกที เป็นอันว่าจะต้องหาทางรวมไทยให้เป็นไทย
    สร้างความสมัครสมาน สร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น เห็นมั้ย
    พระเจ้ามังรายนี่ท่านทำบุญจริงๆ นะ เวลานี้ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน
    มาเกิดเวลานี้ก็ดีล่ะ ถ้ามาเกิดเวลานี้ถ้าใช้ลัทธิพระเจ้าพรหมมหาราช
    หรือจะใช้ลัทธิพระร่วงรุ่งโรจน์ล่ะก็ หัวขาดไปตามๆ กัน
    ศพที่ฝังรึศพที่ลอยน้ำ ศพที่ตายนี่ มันจะต้องเกลื่อนกลาด
    เพราะว่าปรากฏว่ามีไทยขายชาติ มีไทยทำลายชาติ
    มีไทย..รวมความว่าไอ้พวกขอมเก่า มันเข้ามาเกิดในประเทศไทย
    แล้วมันก็หวังความเป็นใหญ่ในประเทศไทย เราจะสังเกตได้ว่า
    เจ้าพวกขอมเก่าพวกนี้ ที่เข้ามาแทรกแซงนี่ เวลาที่มันพูดมันพูดดี
    แต่มันทำมันทำเลว และนิสัยคนไทยก็มักจะไม่ค่อยจำ
    เจ็บแล้วไม่ค่อยจะจำ จะจำ ก็มันจำไม่ได้
    เขาให้สตางค์เมื่อไรก็เลิกจำกันเมื่อนั้น จำได้อย่างเดียว
    เดี๋ยวเขาให้สตางค์ เพียงเขาให้สตางค์ ๑๐ บาทก็ลงคะแนนให้เขา
    เขาให้สตางค์ ๑๐๐ บาทก็ลงคะแนนให้เขา ไม่ได้คิดว่า
    ไอ้การที่เขาให้สตางค์เรามาน่ะ เขาต้องหากำไร
    ชาติจะชิบหายวายป่วงยังไงก็ช่างมัน ขอให้ได้หากขอให้ได้สตางค์ก็แล้วกัน
    นี่มันเป็นอย่างนี้ ที่เด็กๆ นักศึกษาต้องหนีเข้าป่าเข้าดงไป
    เราก็ไม่โทษว่าเด็กพวกนั้นน่ะจะต้องเป็นคอมมูนิสต์
    จะต้องเป็นพวกทำลายชาติ อะไรเนี่ย
    ถ้าเราจะนึกจะฝันกันไปเสียอย่างนั้นอย่างเดียวก็รู้สึกว่าจะผิด
    ต้องมองดูน้ำใจของเขา เพราะว่า น้ำใจของเขาบางคนน่ะ
    ก็หวังผิดไปจริงๆ ก็มี บางคนก็ว่าตามเขาโดยไม่ได้ใช้มันสมองก็มี
    แต่ว่าบางคนคิดเพราะว่าความหวังดีของชาติ อันนี้ก็มีมาก
    ที่ว่าอย่างนี้เพราะอะไร เพราะเคยพบเคยเห็น เคยคุยกัน
    เจตนาของเขาดี แต่ว่าไม่เป็นที่ถูกใจของคนบางพวก เราจะเห็นได้ว่า
    เจ้าพวกขอมเก่ามันมาเกิด ใครจะทำลายทรัพย์สมบัติส่วนกลาง
    ซึ่งได้มาจากทรัพย์สินของประชาชนที่เสียภาษีอากร
    ไอ้คนพวกนี้มันจะเห็นว่า ไม่ผิดกฎหมาย ทำลายได้ก็ทำลายไป
    ความมั่นคงประเทศชาติจะพึงมีเพียงใดไม่พึงปรารถนา
    ต้องการอย่างเดียวคือความเป็นใหญ่ คิดว่าตัวดีแต่ผู้เดียว
    ไอ้ยิ่งกว่านั้นก็มีพรรคพวกชอบกอบ ชอบโกย ชอบโกง
    ชอบกิน ชอบอะไรต่ออะไรก็เยอะแยะ
    นี่เจ้าพวกนี้มันเป็นพวกขอมเก่ามาเกิดทั้งนั้น ฉะนั้นคนไทยที่เป็นไทย
    ลูกรักทั้งหลาย จงรักษาความเป็นไทคือความเป็นอิสรภาพไว้
    ยังไงๆ ไทยเราก็ต้องเป็นไท แต่ว่าอย่าลืมว่าก่อนที่ไทยเราจะเป็นเอกราช
    เราต้องพิฆาตเข่นฆ่าขอมให้พินาศไปเมื่อในสมัยเดิมฉันใด
    มาในสมัยนี้ก็เหมือนกัน คำว่าขอมไม่ได้หมายถึงเขมร
    นี่หมายถึงคนที่เขาประกาศตนว่ามีเชื้อชาติไทย เขาเป็นคนไทย
    แต่ขายชาติ นั่นคือพวกขอมเก่ามาเกิด มันจึงมุ่งทำลายชาติ
    มุ่งทำลายเศรษฐกิจ มุ่งทำลายความมั่นคงของชาติ

    เป็นอันว่าพระเจ้ามังรายมหาราช เกิดเมื่อไหร่ขยายดินแดนไทยเมื่อนั้น
    แล้วก็ต่อมา มาเป็นรัชกาลที่ ๓ ของกรุงศรีอยุธยา
    ตอนนี้ก็ขยายอำนาจออกไปมาก ทำประเทศไทยให้เป็นไทยขึ้นมา
    นี่เป็นอันว่า เกิดแล้วตั้ง ๖ ครั้งสินะ ครั้งที่ ๗ เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๕
    ของกรุงศรีอยุธยา ก็มาเกิด ดูเหมือนว่าเกิดก่อนรัชกาลที่ ๕ นะ
    ตายจากขุนหลวงพะงั่ว จากขุนหลวงพะงั่วตายแล้วก็ไปเป็นพรหม
    เพราะสมัยนั้นท่านยังนิยมการเจริญกรรมฐาน
    เพราะอาศัยที่บุญบารมีการสร้างพระพุทธรูป การรวบรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น
    การสงเคราะห์บรรดาประชาชน การบำรุงพระพุทธศาสนา
    การถวายสังฆทาน การจำศีลภาวนา กลับลงมาอีกทีคราวนี้บอกไม่เอาแล้ว
    ไอ้การเมืองเรื่องมันยุ่ง ตอนนี้ขอเป็นชาวบ้านบ้าง
    เห็นว่าเป็นชาวบ้านดีกว่าเป็นกษัตริย์ จึงได้เกิดมาเป็นลูกของมหาเศรษฐีท่านหนึ่ง
    มีเนื้อที่ประมาณแสนไร่เศษ มหาเศรษฐีท่านผู้นั้นมีนามว่า มีแม่ชื่อว่า
    แม่ชื่อว่าอะไร เป็นมหาเศรษฐีชื่อว่าอำไพ แต่แม่ชื่อว่าปิ่นทอง
    พ่อชื่อว่ากองแก้ว สมัยโน้นนะ พ่อชื่อว่ากองแก้ว
    พ่อกองแก้วก็เป็นลูกเศรษฐี แม่ปิ่นทองก็เป็นลูกเศรษฐี
    สองเศรษฐีรวมกันเข้ามาก็เป็นมหาเศรษฐี มาตอนนี้เห็นว่า
    ผู้คนยากจนเข็ญใจ ความสามัคคีมีน้อยเกินไป
    อาศัยความเป็นมหาเศรษฐี สร้างความดี สร้างความสามัคคี
    ยื่นโยนทรัพย์สินให้แก่บรรดาประชาชนทั้งหลายให้รู้จักการทำมาหากิน
    รู้จักเก็บหอมรอมริบ ได้น้อยใช้น้อย ได้มากใช้มากตามกำลัง
    ใช้แต่พอควร สงเคราะห์ที่ทำกินสงเคราะห์ในการเกษตร สงเคราะห์ในการเงิน
    ในตอนแรกท่านแม่ท่านก็ถามว่า เอาเงินไปใช้ที่ไหน ให้เงินไปเท่าไรก็หมดเท่านั้น
    ในที่สุดก็ต้องบอกความจริงแก่ท่าน ท่านแม่ท่านก็ไม่ค่อยจะพอใจนัก
    แต่ว่าอยู่มาไม่นานนัก ท่านแม่ท่านก็ออกแสดงเสียเอง
    รู้ความจริงไปดูเข้า บางทีอะไรไม่ชอบใจท่าน
    ท่านก็บอกว่าที่ตรงนั้นมันยังไม่ดี สงเคราะห์เขายังไม่พอ
    ให้การแนะนำให้ดี ให้การศึกษาให้ดี
    ช่วยแบบนี้จนกระทั่งประเทศไทยมีความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา
    บรรดาประชาชนมีความสุข ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ของกรุงศรีอยุธยา
    ท่านรัชกาลที่ ๕ นี่มีนามว่ายังไงก็จำไม่ได้แล้วนะ
    ขี้เกียจสอบสวนทวนพยาน เพราะว่าอะไร
    เพราะว่าริไปสอบสวนทวนพยานก็ไปยุ่งๆ เปล่าๆ ซึ่งมันไม่เกิดประโยชน์
    เป็นอันว่า จากเศรษฐีอำไพ เศรษฐีอำไพนี่อายุไม่นานหรอก อายุได้ประมาณไม่
    ไม่นานมากนัก ก็ตาย ตายไปแล้วก่อนจะตาย เพราะอาศัยการสร้างบุญบารมีดี
    ก็เป็น เป็นปัจจัยให้ท่านมหาเศรษฐีท่านผู้นี้ไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม
    เอาล่ะ รัชกาลที่ ๕ นี่ เห็นจะพระเจ้าลั่นทองเสียก็ไม่รู้

    แล้วก็ต่อมาอีก เอ้อ ก็ขออภัยนะ ถ้ามันพลาดไป
    มาเกิดเป็นสมัยครั้งที่ ๘ ไปอยู่เป็นพรหมสบายๆ เขาก็บอกว่า
    เอ้อ ประเทศไทยมันไม่ดีแล้วล่ะ คนรายงานนะ มารัชกาลพระราเมศวร
    รัชกาลที่ ๕ อ้าเขาบอกว่าประเทศไทยมันไม่ดีเสียแล้ว โน่น ไปดูซิไทยหลวม
    โอ้โหหลวมท้ายเข้ามาแล้ว พม่ามันกินเข้ามาทางโน้น สายเหนือก็เสียไป
    สายใต้ก็เสียไป มะริดทวายก็ไม่ได้เรื่อง เอาอีกแล้ว ท่านคนเตือนคือใครรู้มั้ย
    ท่านคนเตือนก็คือ ท่านท้าวพกาพรหม ก็นี่ พ่อเทวดาจ๋า จะไปนั่งอยู่ทำไมล่ะ
    ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ความจริง
    เราเป็นพระเจ้ามังรายก็รำคาญเหมือนกันนะ จะนั่งให้สบายๆ นะ
    ท่านพกาพรหมท่านก็เตือน แต่ว่าท่านเตือนในสมัยที่ตนเองปรารถนาพุทธภูมิ
    พุทธภูมินี่มีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา แต่ว่าพระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ได้
    ก็ต้องอาศัยคนไทยเป็นสำคัญ ขอโทษ คนที่มีความนับถือเป็นสำคัญ
    ถ้าคนลงไม่เคารพนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาก็จะทรงอยู่ไม่ได้
    ขอเล่าลัดๆ ถึงการเกิด เป็นอันว่าท่านก็ถามท่านว่า ท่านมังรายก็ถามท่าน
    ท่านพรหมมังรายนะ ถามท่านพกาพรหมว่า จะไปเกิดที่ไหน ท่านบอกว่า
    ไปเกิดเป็นลูกของแม่ทัพพระพันวษา นี่พระพันวษานี่ เขาเรียกกันสององค์
    สมเด็จพระอินทราธิราช เขาก็เรียกพระพันวษานะ หรือว่าพระเจ้าสามพระยา
    ก็เรียกว่าพระพันวษาเหมือนกัน พระเจ้าสามพระยาก็คือ พระบรมราชาที่ ๒
    รัชกาลที่ ๙ เป็นอันว่า อ๋อเป็นรัชกาลที่ ๗ นะ รัชกาลที่ ๗ ของกรุงศรีอยุธยา
    เป็นอันว่า ตอนนี้ ท้าวพกาพรหมท่านบอกให้มาเกิดเป็นลูกแม่ทัพ
    ท่านมังรายพรหมจึงได้ถามท่านพกาพรหมว่า
    ถ้าไปเกิดเป็นลูกแม่ทัพล่ะก็มันก็ต้องรบกันหนัก ท่านพกาพรหมก็ถามว่า
    จะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ หรือว่าจะรักษากำลังใจตนเองให้มีสุข
    ถ้าพระพุทธศาสนาหมดไปใจท่านจะเป็นสุขมั้ย
    ท่านมังรายพรหมก็ตอบว่า ถ้าพระพุทธศาสนาหมดไป
    ใจฉันจะเป็นสุขได้ยังไง ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อพระศาสนา
    เพราะว่าถ้าพระพุทธศาสนายังทรงอยู่เพียงใด คนทั้งโลกจะมีความสุข
    ถ้าพระพุทธศาสนาขยายไปได้ทั้งโลก ฉะนั้น ท่านพกาพรหมก็บอกว่า
    ถ้ายังงั้น ท่านก็ต้องไปเกิด ท่านต้องไปเกิดในตระกูลของแม่ทัพของพระพันวษา
    คือสมเด็จพระอินทราธิราช เป็นอันว่า ท่านมังรายพรหมก็จำเป็นจะต้องรับคำ
    ท่านก็ถามว่า จะมีใครร่วมไปไหม ท่านพกาพรหมก็บอกว่า
    นั่นจะจัดเทวดาแล้วก็พรหมร่วมไปตามสมควร

    เอาล่ะบรรดาลูกที่รัก สำหรับเทปหน้านี้ก็หมดเสียแล้วนี่ ฟังหน้าอื่นต่อไป
    สำหรับเรื่องราวนี้ก็รู้สึกว่าจะมากๆ อยู่สักหน่อย พ่อก็จะพยายามเล่าให้สั้นที่สุด
    เพื่อประโยชน์ทางการฟังของลูก ถ้าเรื่องอะไรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
    ที่เขามีอยู่แล้ว พ่อก็จะไม่พูด สำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ลูกรักทุกคน สวัสดี
     
  11. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    11.พระเจ้ามังรายฯเกิดเป็นขุนแผน,พระบรมไตรโลกนาถ,ขุนเหล็ก,พระยาศรีสิทธิสงคราม.mp3
    ลูกหลานที่รัก สำหรับวันนี้ ก็รู้สึกว่าการบันทึกเสียงนี่
    ต้องรีบทำกันหนักหน่อยเพราะเวลากระชั้น จะไปแม่ฮ่องสอน
    ทำงานกันวันเดียวเสร็จ เสียงเสิงมันก็ไม่มี
    ก็ช่างเถอะก็ถือเป็นประวัติ เอาประวัติของบุคคลคนหนึ่ง
    คือพระเจ้ามังรายมหาราช ในช่วงระยะ ๒,๐๐๐ ปีเศษ
    ท่านต้องเกิดกันมากี่ครั้ง การเกิดแต่ละคราว
    ลูกหลานที่รัก ก็เต็มไปด้วยความลำบากยากแค้น
    สิ่งที่สร้างไว้ทั้งหมด อำนาจวาสนาบารมีที่มีอยู่
    ก็ไม่ได้สร้างให้ตัวดีขึ้นมาเลย อันนี้เป็นบทฉบับ
    ของบรรดาลูกหลานที่รัก ที่ไม่ควรจะห่วงใยขันธ์ ๕ จนเกินไป
    งานทุกอย่างที่เรามีอยู่ ถือว่าทำตามหน้าที่
    แต่อีกส่วนหนึ่งของกำลังใจก็คือ ความดีเราจะต้องรักษาไว้
    เป็นอันว่า เรารักษาความดีทั้งสองอย่าง
    คือโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย หน้าที่พ่อบ้านแม่เรือน
    การปกครองตัวเอง ทำให้ครบถ้วนทุกอย่าง
    ในด้านของความดีและศีลธรรม หากินด้วยความสุจริต
    ไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดประเพณีของบ้านเมือง
    ไม่ขัดคอชาวบ้าน ถ้าหากว่าเป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็ปกครองโดยธรรม
    ทำตามหน้าที่ รับราชการทำงานกับเจ้านายทำด้วยดีก็คิดว่า
    งานนั้นเป็นงานของเรา สร้างเขาให้มีความสุขให้มีกำไร
    ผลกำไรมันก็ตกมาถึงเราเอง นี่คนดีเขาคิดแบบนี้
    ฉะนั้น ขอลูกหลาน เออลูกที่รักทุกคนของพ่อ
    ที่ทุกคนตั้งใจทำความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความดีที่คาดไม่ถึง
    นั่นก็คืออภิญญาสมาบัติทั้งหญิงและชาย แต่เป็นที่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง
    ลูกของพ่อเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และผู้หญิงทุกคนก็มีความเข้มแข็ง
    ไม่ต่างผู้ชาย แล้วดูๆ แล้วรู้สึกว่าจะเก่งกว่าผู้ชายก็มีมาก
    อย่างเปรียบเทียบงานกันที่แม่ฮ่องสอน ผู้หญิงเก่งเป็นพิเศษ
    แต่สำหรับผู้ชายก็เก่งตามหน้าที่ เรียกว่าต่างคนต่างดี อย่างนี้ดี
    และก็ทำแล้วก็จงอย่าเกาะ ถ้าขืนเกาะมันจะเกิด
    ดูพระเจ้ามังรายมหาราชเป็นสำคัญ เกิดไม่ได้หยุด เกิดแล้วก็ตาย
    ตายแล้วก็เกิด ไม่ได้มีความดีอะไร
    เกิดแต่ละคราวก็เป็นปัจจัยของความทุกข์ หวังความสุขให้แก่บุคคลอื่น
    ทำให้เขาเป็นปึกแผ่นมั่นคงแล้ว ในที่สุดเมื่อตัวตายไป
    ความมั่นคงนั้นก็สลายไป ไม่มีใครเขารักษา ถ้าบังเอิญลูกจะพบแบบนี้ขึ้นมาบ้าง
    ก็ต้องถือเอาพระเจ้ามังรายมหาราชเป็นเหตุ
    ถือว่ามันเป็นธรรมดาของโลกจะต้องเป็นอย่างนั้น โลกมีความไม่เที่ยง

    ต่อมาเมื่อท่านพกาพรหมตรัสมาอย่างนั้น
    ท่านก็รับการจุติลงมาเกิดเป็นลูกของแม่ทัพ ที่เขาเรียกกันว่าขุนไกร
    ตอนนี้ประวัติขุนไกรหรือประวัติขุนแผน ต่างคนต่างก็ทราบกันดี
    แต่ว่าประวัติขุนแผนตามแบบฉบับที่สุนทรภู่รึใครเขียนไว้ไม่ถูก
    เกินพอดีไปเป็นหนังสืออ่านเล่น เป็นนิยาย ก็ช่างเขาเถอะ
    แต่เนื้อแท้จริงๆ คนในสมัยนั้นมีระเบียบวินัยมาก ที่เขาบอกว่าขุนช้างไม่ดี
    แต่ความจริงขุนช้างเป็นพระยา พระยาภานุมาศ
    ขุนแผนต่อมาขั้นสุดท้ายเป็นเจ้าพระยากาญจนบุรี
    ตอนนี้ก็มารวบรวมกำลังของเมืองไทยอีก เพราะว่าในสมัยของขุนแผนน่ะ
    รู้สึกว่าไปตีเมืองเหนือเมืองใต้ ตีกันไม่หยุด
    ทำเอาคนไทยที่แตกแยกออกไปกลับเข้ามาเป็นปึกแผ่นตามเดิม
    สำหรับเรื่องนี้ ท่านท้าวพกาพรหมท่านบอกว่า
    คนที่เขาเขียนเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้นเขียนไม่ถูก แต่ก็ไม่ควรจะไปตำหนิเขา
    เขาเขียนเพื่อความสนุก ขุนช้างเป็นคนดี เป็นคนไม่มีลูก ขุนแผนก็เป็นคนดี
    เป็นคนมีลูกมาก ความจริงศัพท์ว่าขุนช้างก็ดี ศัพท์ว่าขุนแผนก็ดี
    ไม่ได้มีในทำเนียบของราชการ ในทำเนียบของทางราชการ
    ทั้งสองคนนี่เป็นพระยาด้วยกันทั้งคู่ แล้วก็เป็นเพื่อนรักกันมาก
    ตามที่ท่านพกาพรหมบอก ต้องบอกว่า ขุนช้างมีอายุแก่กว่าขุนแผน ๑ ปี
    เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็เป็นเพื่อนที่รักมาก
    ขุนช้างเป็นต้นตระกูลของเศรษฐี เป็นตระกูลของเศรษฐี
    ที่เรียกกันว่าขุนช้างก็เพราะว่า ตระกูลนี้เป็นคนหาช้างให้แก่พระราชา
    ตั้งแต่สมัยปู่
    เมื่อได้ช้างมาแล้วก็มีการฝึกช้าง ควบคุมช้าง เรียกว่าเป็นหัวหน้ากองช้าง
    แล้วก็ขุนอะไร หัวหน้ากองช้างก็แล้วกัน เขาจึงเรียกว่าขุนช้าง
    สำหรับขุนแผนนั้นเป็นแม่ทัพอยู่ในระเบียบวินัย
    มีต้องอยู่ในแบบแผนกฎข้อบังคับ จึงให้นามว่าขุนแผน
    ตามศัพท์ของชาวบ้าน แต่ว่าตามศัพท์ทางราชการเขา
    ตอนแรกก็ดูจะเป็นหลวงอะไรไม่ทราบ แล้วมาเป็นพระบำราบหรินทร์
    ต่อมาก็เป็นพระยากาญจนบุรี และเป็นเจ้าพระยากาญจนบุรี
    ไม่ช้าก็ตาย เป็นอันว่า พระเจ้ามังรายมหาราช ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย

    ตอนนี้จะว่ากันไป จะเป็นการหักล้างความชั่วร้ายของขุนช้างสักหน่อย
    ที่เขาว่าขุนช้างโกงเมียขุนแผน ขุนแผนก็ไปขโมยเมียของตัวเองมาจากขุนช้าง
    เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ ตามประวัติที่ท่านพกาพรหมเขียนท่านบอกไว้
    ท่านบอกว่าไม่เป็นเช่นนั้น ขุนแผนเป็นคนมีลูกมาก
    เพราะว่าขุนแผนเป็นคนมีเมียมาก ที่มีเมียมากก็เพราะว่า
    เป็นคนมีคาถาอาคมดี เป็นแม่ทัพ แม่ทัพนี่ไม่ใช่ว่าหน้าบึ้งขึงจอ
    มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ไปไหนก็มีแต่ความแช่มชื่น เป็นที่รักของบุคคลทั่วไป
    ฉะนั้น เมื่อชาวบ้านรักได้ สาวๆ ก็รักได้เหมือนกัน เมื่อสาวๆ รักได้
    พ่อแผนหนุ่มเมียเผลอก็รักได้เหมือนกัน ฉะนั้น
    พ่อแผนจึงไม่ได้มีเมียแต่เพียง ๒ คน ลาวทองกับพิมพิลาไลย
    ความจริงขุนแผนมีเมียมากกว่านั้น เพราะว่า
    ฐานะขุนแผนก็ไม่ได้ยากจนเข็ญใจตามโบราณคดีที่ได้เขียนไว้
    ขุนช้างท่านบอกว่า ถ้าเจ้าแผนมันไม่จับจ่ายใช้สอยมาก
    มันรวยกว่าท่าน แต่ทว่าอย่างจนก็อยู่ในขั้นคหบดีขนาดสูง
    แต่สำหรับขุนช้างเป็นคนไม่มีลูก
    ก็เธอเลยถือเอาลูกของขุนแผนเป็นลูกของขุนช้างไป
    เวลาตอนเช้า ขุนช้างก็จะต้องสั่งคนใช้หุงข้าวมากๆ แกงมากๆ
    ทำขนมมากๆ ประเดี๋ยวลูกไอ้แผนมันมา มันจะไม่มีอะไรกิน
    ลูกขุนแผนเวลาไปถึงขุนช้าง ก็คุณพ่อแบบนั้น คุณพ่อแบบนี้
    คุณพ่อเป็นคนไม่มีลูกคุณพ่อก็เห่อ อุ้มลูกจูงหลานเป็นแถว
    ลูกขุนแผนต้องการอะไร ขุนช้างหาให้ทั้งหมด
    นี่เป็นอันว่าปรากฏว่า เขาเป็นคนดีกันจริงๆ
    แต่ว่าหนังสือที่เขียนไว้นั่นซีไม่ได้ดีตามนั้น
    คนเวลานั้นอยู่ในระเบียบกรอบพระธรรมวินัยดีมาก
    มีขนบธรรมเนียมประเพณีดี และก็
    พระราชามีสิทธิ์ที่จะสั่งตัดหัวเข้าแบบสบายๆ ถ้าไปทำอย่างนั้น

    รวมความว่าชาติที่เท่าไหร่นะ ชาติที่ ๘ ก็มาเกิดเป็นขุนแผน
    และพระยากาญจนบุรี ตอนนี้ก็มานั่งรวบรวมกำลังพล
    อาศัยที่มีวิชาการมาก เป็นนักรบเก่ง ล่องหนหายตัวได้
    สะเดาะกลอนได้ สร้างหุ่นพยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลกๆ
    การตีการยกทัพ ไปรบทัพจับศึกก็ไม่ต้องใช้กำลังพลมาก
    ก็สามารถจะสู้กับข้าศึกได้ พูดแล้วก็เหนื่อยใจ
    เป็นอันว่าพระยา อ้า มังราย พระเจ้ามังรายมหาราช
    ในช่วงระยะไม่กี่ปีนัก ท่านก็ว่ามาถึง ๘ รุ่นแล้ว หลังที่สุด
    ตอนที่เป็นเจ้าพระยากาญจนบุรีก็ไปจำศีลที่ภูเขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี
    แล้วก็ตายในถิ่นที่นั้น ด้วยกำลังของฌาน
    ตายแล้วก็ไปเป็นพรหม ในช่วงนี้ และหลังนั้นต่อมา ก็ปรากฏว่า ในวาระที่ ๙
    ก็เห็นจะเป็นรัชกาลที่ ๙ อีกนั่นแหละ ตอนนี้ก็ไปนั่งอยู่ที่พรหมนิดหนึ่ง
    มองดูลงมาดูประเทศไทย อาศัยมีใจห่วงใยพระพุทธศาสนา ก็เห็นว่า
    เอ๊ะ ถ้าไม่ลงไปน่ากลัวจะไม่ดี ต้องเข้าไปช่วยกันพยุงๆ ทั้งชาติและศาสนา
    และให้ความเป็นอยู่ได้ดีขึ้นสักหน่อย อีตอนนี้เรียกว่ามาช่วยมุงหลังคา
    เพราะว่าหลังคาฝนมันรั่ว แต่ว่ายังไม่ถึงกะจะพัง
    ก็ถอยหลังมาเกิดเป็นลูกของกษัตริย์ มีนามว่าพระบรมไตรโลกนาถ
    คราวนี้มาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ประวัติของพระเจ้าบรมไตรโลกนาถเป็นยังไง
    บรรดาประชาชนชาวไทยก็รู้อยู่แล้ว นี่เป็นอันว่า ย่องมาถึงครั้งที่ ๙
    หลังจากที่เป็นพระบรมไตรโลกนาถตามสมควร
    เวลานั้นอย่าลืมนะ ว่ามีพระอรหันต์อยู่มาก คนเวลานั้นเป็นยังไงๆ
    ก็ช่างเถอะ เขาก็พยายาม พยายามทำตามความเป็นจริง
    ไอ้ความโลภโมโทสัน แย่งกันไปแย่งกันมาในสมัยกรุงศรีอยุธยานี่
    ก็รู้สึกว่าน่ารำคาญ วงศ์วานกษัตริย์เปลี่ยนกันไปเสมอๆ
    เพราะว่า รู้สึกว่าใครๆ ก็อยากจะเป็นกษัตริย์ เห็นว่าเป็นของดี
    บางคนก็เป็นได้ไม่กี่ปีก็ตายก็ยังอยากจะเป็นกัน ก็แปลก
    ตำแหน่งกษัตริย์เป็นตำแหน่งที่มีความหนักมาก แต่ก็อยากเป็นกัน
    ก็ช่างเขา มันเป็นกฎของกรรม และอาจจะเป็นบุญวาสนาบารมีของเขาก็ได้

    มาวาระที่ ๑๐ ก็มาเป็นขุนเหล็ก ตอนนี้เกิดควบคู่กันกับพระนารายณ์มหาราช
    รุ่นราวคราวเดียวกัน ขุนเหล็กกับขุนปาน เป็นพี่น้องกัน
    ต่อมาก็เป็นเจ้าพระยาโกศาเหล็ก มาสมัยหลัง น้องก็เป็นเจ้าพระยาโกศาปาน
    เจ้าพระยาโกศาเหล็กนี่ทำอะไรบ้าง ตามประวัติศาสตร์ก็บอกอยู่แล้ว
    แต่ว่างานจริงๆ ทำมากกว่านั้น มีงานหนักมาก
    เจ้าพระยาโกศาเหล็กนี่เป็นเชื้อสายมาจากสุโขทัย ตอนนี้ก็มาดึงไทย
    จะขยายไทยให้เข้าสู่สภาพปกติ ตอนนั้นมันก็ไม่สู้จะปกตินัก
    เจ้าพระยาโกศาเหล็กกะเจ้าพระยาโกศาปานเคยเดินทางถึงต่างประเทศ
    รู้สึกว่าทั้งสองคนนี่ เป็นคนมีฝีมือดี เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของเจ้าพระยา
    เอ้อของ ของพระราชามาก ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
    อันดับแรกเป็นเพื่อนเล่นกัน ต่อมาก็เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน
    เป็นคนมีฝีมือดี ต่อมาก็เป็นแม่ทัพ แต่ว่าแม่ทัพสมัยนี้ก็รู้สึกว่า
    มีแม่ทัพนายกองที่มีความเก่งๆ มีอยู่มาก หลายท่านด้วยกัน
    อย่างพระยาพิชัยดาบหัก แล้วก็ใครต่อใครบ้าง หลายคนด้วยกัน
    ไม่ใช่เก่งคนเดียว คนเก่งคนเดียวนี่เก่งไม่ได้
    เป็นอันว่าทำมาทำไปก็ปรากฏว่า ในบั้นปลายของชีวิต
    ท่านลาราชกิจจากราชการ เพราะว่าเป็นคนแก่ ตอนนี้ก็จำศีลภาวนา
    เจริญพระสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน บำเพ็ญศีลบำเพ็ญทานตามปกติ
    ตามวิสัยของคนแก่ ตายจากขุนเหล็กแล้วก็เลยไปเป็นพรหมตามเดิม

    นี่เป็นวาระที่ ๑๐ วาระที่ ๑๑ ขอไล่ตามลำดับ ก็มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม
    คือเป็นขุนดาบของพระเจ้าตากสิน ขุนดาบประจำองค์พระเจ้าตากสิน
    ก็อยู่ในกองทัพหลวง สำหรับทัพเวลานั้นก็แบ่งออกไป ทัพของวังหน้า
    แล้วก็ทัพของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แล้วก็ทัพหลวง
    สำหรับทัพหลวงนี้เป็นทัพซ่อม เวลาเข้าตีข้าศึก เมื่อข้าศึกมา
    สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกหรือเจ้าพระยาสุรสีห์
    ก็จะต้องนำทัพออกไปก่อนตามกำลังทหารที่มีอยู่
    พระเจ้าตากสินอยู่ข้างหลังก็เกณฑ์คนเข้ามา แล้วบางครั้งก็พระองค์เสด็จเอง
    พระองค์ก็ใช้ให้ไป ให้นายทหารคู่พระทัย ๑๐ คนของพระองค์
    นำกำลังกองทัพไปตามสมควร แต่รู้สึกว่าทั้ง ๑๐ ท่าน
    ท่านบอกว่า เป็นบุคคลที่มีฝีมือดีมาก รบคำว่าแพ้ไม่มี เข้าที่ไหนต้องพังที่นั่น
    นักรบทั้ง ๑๐ ท่านนี่ถามท่านแล้ว ท่านบอกว่า
    ๑ พระยาศรีสิทธิสงคราม
    ๒ พระยาปราบอริราชศัตรู
    ๓ พระยาศัตรูพินาศ ประชา
    พระยาอริราชศัตรู พระยาปราบอริราชศัตรูนี่เสริม
    เจ้าพระยาองอาจราชสงคราม ไม่เกิด
    พระยาสามเมืองระย่อ ไม่เกิด
    พระยาพะนอราชบาท แล้วก็ไพรีพินาศอะไรยาวเหยียดเนี่ยไม่มาเกิด
    พระยาปราบราชปัจจามิตร อันนี้ไม่มาเกิด
    พระยาราชมิตรราชา พระราราชมิตรราชา หมายความว่าเป็นมิตรกับราชา ไม่เกิด
    พระยามหาพิชัยสงคราม ไม่มาเกิด
    พระยาข้าศึกขามพินาศ ขามอำนาจ อันนี้ไม่มาเกิด

    ตอนนี้ก็มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม ในวาระที่ ๑๑ พระยาศรีสิทธิสงครามนี่
    เป็นมือดาบที่ดีของพระเจ้าตากสินมหาราช รวมด้วยกันทั้ง ๑๐ พระยาด้วยกัน
    ในเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสิ้นอำนาจ
    ความจริงการสิ้นอำนาจของพระเจ้าตากสินมหาราชนี่
    ตามประวัติศาสตร์ถึงจะเขียนผิด ความจริงคนเขียนประวัติศาสตร์ไม่เขียนผิด
    เขียนถูก แต่ว่าเขียนถูกตามรับสั่งของพระเจ้าตากสิน
    กับสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ถ้าหากว่าเขียนถูกตามเรื่องราว
    ประเทศไทยเราอาจจะต้องย่อยยับ เพราะเวลานั้นเป็นการแสดงละครกันอย่างดีมาก
    คือด้วยว่าพระเจ้าตากสินมหาราช ตอนนี้ขอพูดสักนิดหนึ่ง
    คือว่าท่านมังรายมหาราชท่านไม่ได้มาเป็นกษัตริย์ แต่ว่ามาเป็นคู่มือของกษัตริย์
    คู่พระทัยของกษัตริย์ อันนี้ก็ใช้ได้ เพราะว่ามาสมัยนี้จะเห็นว่า
    บ้านเมืองเรารึยับเยินมาก แตกกระจัดกระจาย ไทยไม่เป็นไทย
    ก็จำต้องมารวบรวมไทย ตอนที่เข้ามา เรื่องของละครก็มีว่า
    พระเจ้าตากสินมหาราช อยุธยาเราแตกครั้งหลังเพราะอะไร
    เพราะว่าคนไทยไม่มีความสามัคคีแม้ความเป็นไทย คล้ายๆ
    กับคนไทยสมัยใกล้ๆ ปัจจุบัน ที่ชาวบ้านเขาไม่รู้จักว่ารัฐธรรมนูญเป็นยังไง
    ก็ร้องเรียกรัฐธรรมนูญ ชาวบ้านเขารังเกียจสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
    เพราะว่ามาเข้ามาควบคู่ควบเคี่ยวเข็ญเขา เข้าไปแล้วก็ไม่ได้เป็นผู้แทนจริงๆ
    ไปกอบโกยอำนาจ ไปกอบโกยทรัพย์สิน ทำให้เขาเสียหายมาก
    แล้วพวกนี้ก็เรียกอำนาจ ต้องการจะเป็นผู้แทนราษฎร
    แล้วคนที่เป็นผู้แทนราษฎรให้คำมั่นสัญญากับประชาชน
    เขาเวลาเข้าไปก็เลยอยากเป็นรัฐบาล แทนที่จะเข้าไปควบคุมรัฐบาล
    เป็นตัวรัฐบาลเสียเอง ความมุ่งหมายปลายทางที่ประกาศรับรองไว้กับประชาชน
    ก็ไม่ตรงกับความมุ่งหมาย และถ้าหากว่า...การเมือง
    การเมืองของประเทศใดก็ตาม ถ้าเป็นพรรค เราก็จะไม่เรียกกันว่าประชาธิปไตย
    ถ้าเป็นพรรคเป็นกลุ่มเขาเรียกคณาธิปไตย แต่ว่าอย่างไหนจะดีรึไม่ดีนั้น
    ไม่ขอวิจารณ์ นี่พูดตามศัพท์ ถ้าตามศัพท์ก็เรียกกันว่าคณาธิปไตย
    แต่ว่าคณาธิปไตยดีหรือว่าประชาธิปไตยดี ก็เป็นเรื่องของการเมือง ไม่เกี่ยวข้อง

    เป็นในเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชท่านเป็นคนรักชาติ
    เมื่อสงครามกรุงศรีอยุธยาต้องแตกครั้งหลัง เป็นเรื่องการยับเยินมาก
    ถ้าพระองค์ไม่แก้ไขก็ลำบาก พระองค์มีกำลังเพียง ๕๐๐ คน
    ตีฟันฝ่าข้าศึกออกไป และรวบรวมกำลังคนได้ไม่เกิน ๕,๐๐๐ คน
    เข้ามากู้กรุงศรีอยุธยา สามารถกู้ไทยได้ทั้งชาติ
    นี่เราก็ต้องถือว่าเป็นบารมีของพระเจ้าแผ่นดิน ที่สามารถรวบรวมคนสำคัญ
    อย่างสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็ดี สมเด็จพระราชวังบวรก็ดี
    นี่ต้องถือว่าเป็นคู่บารมี เป็นคนที่มีบุญคุณกับประเทศชาติมาก
    เวลานั้นคนขายชาติ มี สมัยอยุธยาแตกมี แต่สมัยหลังนี้ถ้ามีคนขายชาติ
    พระเจ้าตากสิน ทั้งสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็ทรงกำจัดเสียหมด
    คนคิดคดทรยศอย่างพระยาสรรค์ก็ถูกประหารชีวิต นี่ความจริงการปกครองกัน
    ต้องทำกันอย่างนี้มันถึงจะถูก ไม่ควรจะปล่อยให้พวกขอมเก่าเข้ามาทำลายชาติ
    เวลานี้เรามักจะนิยมขอมเก่ากัน ทั้งๆ ที่มันทำลายชาติให้พินาศไปตั้งหลายวาระ
    และมันก็อ้างว่าจะทำโน่นให้เจริญ จะทำนี่ให้เจริญ แต่ก็บ่อนทำลายทุกอย่าง
    ละครสมัยนั้นที่แสดงกันก็หมายความว่า เมื่อพระเจ้าตากสินเข้ามาเป็นกษัตริย์
    พระองค์ไม่ได้เป็นลูกกษัตริย์ ไม่ได้มีราชสมบัติอะไรมาก่อน การรบทัพจับศึก
    ถ้านึกดู ท่านเป็นพ่อบ้าน เพียงแค่พ่อบ้านแม่เรือน
    ก็รู้จักว่าการจับจ่ายใช้สอยมันมากมายเพียงใด แต่ทว่า
    ถ้าเรื่องของประเทศมันจะจ่าย จับจ่ายใช้สอยมากมายเพียงไหน
    เงินที่ใช้สอย เบี้ยหวัดเบี้ยบำนาญข้าราชการของท่านก็ไม่มี ผลที่สุด
    ในฐานะที่ท่านมีเชื้อสายเป็นจีนมาก่อน ท่านจึงต้องอาศัยเชื้อสายของจีน
    พวกจีนน่ะ ขอยืมสตางค์เขามาให้แก่ข้าราชการ
    แล้วยังเป็นหนี้เบี้ยหวัดเบี้ยบำนาญเขาอยู่มาก ฉะนั้นมาบั้นปลายของชีวิต
    ท่านจึงคิดว่า ถ้าเราจะเป็นกษัตริย์ต่อไปเราก็ต้องใช้หนี้เขา
    แล้วก็เงินไม่มีจะใช้หนี้ จึงได้เรียกสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
    คือพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเข้ามาเฝ้า พระองค์เสด็จอยู่องค์เดียว
    แล้วให้ทรงเครื่องรบขัดดาบมาด้วย สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็แปลกใจว่า
    คงจะมีเรื่องร้าย ครั้นเข้ามาแล้วก็ปรากฏว่า
    พระเจ้าตากสินทรงประทับอยู่ในห้องพระแต่องค์เดียว ทรงขาว
    นั่งชักลูกประคำ พระพุทธยอดฟ้าเห็นท่าแบบนั้น ก็ไม่กล้าจะเข้ามาเพราะขัดดาบ
    เมื่อพระเจ้าตากสินเห็นเข้าก็ทรงเรียกว่าด้วงเรอะ เข้ามาซิ
    ความจริงท่านเป็นเพื่อนกัน เอาดาบเข้ามาด้วย
    พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจะถอดดาบเก็บไว้ข้างนอก ก็จำต้องถือเอามา
    วางดาบวางห่างๆ แล้วคลานเข้าไปหมอบเฝ้า ท่านก็บอก หยิบดาบมาให้ใกล้
    สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็เอามือกระทุ้งดาบออกนอกประตูไป
    ในฐานะที่พระมหากษัตริย์ประทับอยู่พระองค์เดียว
    การถือดาบเข้าไปอย่างนั้นย่อมไม่เหมาะ เพราะอยู่ในชุดรบ
    และก็สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงได้ถามว่า ด้วงอยากจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินไหม
    ท่านก็กราบทูลว่า ไม่เคยคิดพระพุทธเจ้าค่ะ พระเจ้าตากสินก็ทรงตรัสว่า
    ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วก็ทรงเล่าเรื่องตามความเป็นจริงให้ทราบ
    ว่าอีกไม่กี่วัน เจ้าสัวเขาจะมาทวงเงินเขา ด้วงก็รู้แล้วนี่
    ว่าฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ยากจนที่สุด ไม่มีทรัพย์สินที่ไหนมาเลย
    ต้องกู้เงินเจ้าสัวมาจับจ่ายใช้สอย เวลานี้เบี้ยหวัดและเบี้ยบำเอ้อ
    และเบี้ยหวัด เรียกว่าเงินเดือนก็แล้วกัน เงินปีของข้าราชการก็เป็นหนี้อยู่มาก
    ยังชำระไม่หมด การรบทัพจับศึกก็ไม่เสร็จ ทำอยู่ตลอดเวลา
    การจับจ่ายใช้สอยมันก็มาก ถ้าฉันจะเอาเงินใช้หนี้เขา ก็ไม่พอ
    เราก็จะต้องกู้หนี้เขาใหม่ แต่เงินเก่าเราไม่มีให้เขา
    พร้อมทั้งดอกเบี้ย ฉันลำบากมาก ถ้ากระไรก็ดี ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

    เอาล่ะบรรดาลูกรักของพ่อ สำหรับวันนี้ ก็รู้สึกว่า นี่พ่อบันทึกวันเดียวนะ
    ๖ เทปเนี่ย เวลานี้หมดเวลาแล้ว ฟังหน้าหลังต่อไปเป็นหน้าจบ เรื่องราวต่างๆ นี่
    พูดมาย่อๆ ก็เพราะจะให้ทราบว่า บุคคลคนเดียวคือพระเจ้ามังรายมหาราช
    ชั่วระยะเวลาสองพันปีเศษ ก็เกิดเสียตั้ง ๑๒ ครั้ง ก็ฟังหน้าหลังต่อไป
     
  12. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    12.พระเจ้ามังรายมหาราชเกิดเป็นกำนันจันหนวดเขี้ยว.mp3
    เอ้อ ลูกรักทั้งหลาย สำหรับตอนนี้ก็ขอต่อ ว่าเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราช
    ทรงตรัสกับพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมัยที่เป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
    ว่าด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เวลานี้เขมรแข็งเมือง ให้ยกทัพไปตีเขมร
    แล้วลูกชายของฉัน ๒ คน เอาลูกชายไปด้วย แล้วก็เมื่อตีเขมรได้แล้ว
    ก็จงอย่าเอาลูกชายฉันมา ให้ครองอยู่ที่นั่น แล้วด้วงกลับมา ด้วงก็เป็นกษัตริย์
    แล้วก็สำหรับเงินที่จะต้องใช้ให้แก่ข้าราชการ เบี้ยหวัดเงินปีต่างๆ ที่คั่งค้าง
    ฉันเตรียมไว้พร้อมแล้ว และก็เงินอีกส่วนหนึ่งสำหรับใช้ภายในประเทศ
    ฉันก็เตรียมไว้แล้ว แล้วก็เงินอีกส่วนหนึ่ง สำหรับที่ด้วงเวลาเป็นกษัตริย์จะใช้
    ฉันก็เตรียมไว้แล้วทั้ง ๓ ส่วน ซึ่งในระยะไม่ช้า เจ้าสัวเขาจะมาทวงเงินของเขา
    ตอนนี้แหละ ด้วงจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
    ฉันจะต้องพ้นจากตำแหน่งของพระเจ้าแผ่นดิน แล้วในเมื่อด้วงทำงานคราวนี้
    ต้องทำเป็นรูปปฏิวัติ หรือว่าทำเป็นรูปกบฏ ยึดอำนาจจากฉัน
    แต่ว่าการยึดอำนาจกันเฉยๆ เขาจะหาว่า ด้วงเป็นคนอกตัญญูแล้วก็เห่อเหิมมาก
    ฉันจะทำทีเป็นว่า เป็นนักบวช แล้วก็ทำเป็นคนสติฟั่นเฟือน ในที่สุด
    กลับมาแล้ว ด้วงก็จับฉันประหารชีวิต และก็การประหารชีวิต
    ถ้าด้วงจะประหารจริงๆ หรือว่าจะประหารหลอกๆ
    ขอให้เป็นวิธีการของด้วง ฉันพร้อมที่จะยอมตายเพื่อชาติ

    เห็นไหมลูกที่รัก คนดีท่านทำกันอย่างนี้ ท่านไม่มานั่งเมามันว่า
    ต้องการรัฐธรรมนูญ ต้องการรัฐสภา เวลาจะประกาศกับประชาชนก็ว่า
    ต้องการเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย แต่เมื่อเลือกเข้ามาได้แล้ว
    ก็อยากจะเป็นรัฐมนตรี มุ่งความเป็นใหญ่
    แต่นี่พระเจ้าตากสินท่านไม่ต้องการอย่างนั้น
    ในเมื่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมัยนั้น
    เป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงทราบตามความเป็นจริง
    แล้วก็พระเจ้าตากสินก็มีพระทัยมั่นคง จะต้องการให้พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
    เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่เช่นนั้น ประเทศไทยเราจะทรงตัวอยู่ไม่ได้ เพราะว่า
    ท่านกู้เงินของจีน ถ้าไม่มีเงินให้เขา อย่าลืมว่าประเทศไทยกับประเทศจีนเนี่ย
    กำลังต่างกัน เราเองก็เพิ่งจะตั้งตัวใหม่ๆ จีนเขาใช้กำลังใกล้ๆ
    เราก็สู้เขาไม่ได้ ถ้าเขาหาว่าโกง นี่เนื้อแท้ความจริงเป็นอย่างนี้
    แต่ว่า ต่อมาภายหลัง พระยาสรรค์บุรีทำงานเกินอำนาจที่สั่งไว้
    จับพระเจ้าตากสินเอาเสียจริงๆ จับแบบจับจริงๆ
    แต่ตอนเข้ามาจับนั้น ท่านท้าวพกาพรหมบอกว่า
    สิบพระยาหรือจะสู้ ก็มีกำลังรักษาพระองค์อยู่พอสมควร
    เจ้าพระยาสรรค์บุรีไปเอากำลังมาจากกรุงศรีอยุธยา แต่เนื้อแท้จริงๆ
    ถ้ารบกัน พระยาสรรค์บุรีก็หัวขาด สู้ไม่ได้ แต่ว่าพระเจ้าตากสินเห็นว่า
    ถ้าเกิดสู้กันขึ้น งานที่คิดไว้ก็ไม่เป็นผล เพราะว่าคนสิบคนนี่ไม่รู้เรื่อง
    ถ้ารบก็ต้องรบกันขั้นแตกหักจริงๆ ฉะนั้นจึงได้ห้ามปราม
    ปล่อยให้พระยาสรรค์จับ แล้วก็การลงโทษของพระเจ้าตากสินที่ลงโทษพระ
    เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องหลอกกัน เมื่อพระทำผิดเรียกมาสอบสวน
    เวลาจะลงโทษ แต่เราเอาจับนักโทษมาแล้วโกนหัว
    เอาผ้าเหลืองนุ่งแล้วก็เฆี่ยน สั่งเฆี่ยน เขาก็เลยหาว่าท่านบ้าเฆี่ยนพระ
    แต่ความจริงพระไม่ได้ถูกเฆี่ยน ทำให้ชาวบ้านเขาเห็นว่าบ้า มีสติฟั่นเฟือน
    ฉะนั้นเมื่อมีสติฟั่นเฟือน การจับให้ออกจากพระมหากษัตริย์ก็เป็นของธรรมดา
    เป็นอันว่าทั้งสองพระองค์ต้องยอมเสียชื่อ เสียศักดิ์ศรีด้วยกันทั้งสองฝ่าย
    ต้องน่าขอบคุณ พระเจ้าตากสินมหาราชยอมเสียชื่อว่าตัวเป็นบ้า
    และถูกออกจากกษัตริย์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็ต้องยอมเสียชื่อ
    ในฐานะที่เป็นกบฏ แต่ความจริงทั้งสองท่านนี่ทำเพื่อไทยทั้งชาติ
    ให้ชาติไทยทรงอยู่ นี่ลูกหลานที่รักจงจำปฏิปทานี้ไว้ ถ้ามีความจำเป็น
    เราต้องเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย
    แม้แต่ชีวิต เวลานี้ชีวิตของพ่อก็ดี ชีวิตของลูกก็ดี อยู่ในช่วงของอันตราย
    จะเห็นว่า ปี พ.ศ.๒๕๒๐ มีบุคคลบางกลุ่มไม่ทราบว่ามาจากไหน
    ส่งมือปืนมาเพื่อจะยิงพ่อที่วัดเกินกว่า ๑๐ ครั้ง
    แล้วก็หาทางก่อวินาศกรรมเกินกว่า ๕ ครั้ง บางครั้งก็ส่งมือปืนมาเวลากลางคืน
    ก็ ๒ คันรถปิคอัพ เพื่อจะทำลายทั้งสถานที่และก็ทำลายชีวิตพ่อ
    แล้วก็การไปที่ไหนก็มีการถูกติดตามอยู่เสมอ ทั้งนี้ทำไมเขาว่ายังไง
    เขาหาว่าพ่อน่ะเป็นคนขัดคอเขา ความจริงพ่อทำเพื่อเป็นการสงเคราะห์
    ในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ให้คนไทยทั้งชาติมีความสามัคคีกัน แต่พ่อไม่มีวาสนาบารมี
    จะให้คนไทยทั้งชาติสามัคคีกันได้ แต่ว่าทำได้เพียงกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย
    เขาก็ไม่ชอบใจ การแจกข้าวแจกของก็ได้บารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์
    และเงินโดยเสด็จพระราชกุศล ของโดยเสด็จพระราชกุศล
    ก็เลยรับความเมตตาปรานีจากท่านพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์
    ในฐานะนายกรัฐมนตรี แล้วก็กองบัญชาการทหารสูงสุด
    ก็มีพลเอกทวนทอง สุวรรณทัต เป็นกำลังใหญ่
    และก็มีบรรดาประชาชนชาวไทยทั่วไป คณะของเราทั้งหมด ต่างคนต่างช่วยกัน
    การทำอย่างนี้ลูกรัก เขายังเห็นว่าเราเป็นศัตรูของเขา พ่อก็ไม่รู้จะทำยังไง
    ฉะนั้น ชีวิตของพ่อ พ่อไม่แน่ใจว่าจะอยู่ไปนานหรือไม่นาน
    เพียงแค่สังขารมันก็แย่อยู่แล้ว มันคอยจะตายอยู่แล้ว
    แล้วก็ยิ่งมาถูกก่อการคิดประหัตประหารแบบนี้เข้าอีก
    พ่อก็ยังไม่มั่นใจ ว่าชีวิตจะอยู่ไปนานสักเพียงใด

    ฉะนั้น ขอลูกรักทุกคน คำสอนอันใดที่พ่อให้ไว้กับลูก
    ลูกจงถือว่าคำสอนนั้นนั่นแหละคือพ่อของเจ้า สำหรับร่างกายของพ่อนี้เล่า
    ลูกอย่าถือมากเกินไป เพราะว่าชีวิตและร่างกาย เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด
    ดูตัวอย่างพระเจ้ามังรายมหาราช ท่านก็เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด
    ตามสภาวะของท่าน เป็นอันว่า พ่อเห็นว่าชีวิตมีความไม่สำคัญ
    ความสำคัญมีอยู่อย่างเดียว ว่าทำยังไง เราจึงทำให้ไทยเป็นไทยตลอดไป
    การลงทุนลงรอนใดๆ ก็ตาม พ่อทำทุกอย่างด้วยมือเปล่า
    พ่อไม่ได้สะสมเงินทองอย่างเขาทั้งหลาย ที่เขาลือว่าพระมีเงินเป็นล้านๆ
    เป็นสิบล้าน ยี่สิบล้าน นั่นไม่ใช่พ่อ พ่อมีแต่หนี้ และลูกของพ่อก็เป็นคนดี
    ส่งเสริมสงเคราะห์พ่อทั้งๆ ที่เงินทองของลูกก็ไม่ค่อยจะมีกันนัก
    เราไม่ใช่คนรวยไม่ใช่มหาเศรษฐี แต่เพราะอาศัยกำลังใจดีของลูก พ่อชื่นใจ
    พ่อสบายใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งลูกชายและลูกหญิงของพ่อเวลานี้
    ก็ได้อภิญญาสมาบัติกันหมดแล้ว พ่อต้องถือว่าหมด คนที่อยู่ในช่วงใกล้
    ไม่มีใครไม่ได้ ขอลูกทั้งหลายจงถือว่าอภิญญาสมาบัติที่พ่อให้
    เป็นสมบัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานมา
    ถ้าพ่อตายลงไปเมื่อไร ขอลูกจงเข้าใจว่า อภิญญาสมาบัตินี่แหละ
    คือชีวิตของพ่อ ที่อยู่กับใจของลูก อยู่กับกายของลูกตลอดเวลา
    คิดถึงพ่อเมื่อไรจงคิดถึงอภิญญาสมาบัติที่ลูกได้
    และลูกเองก็จะมีความภูมิใจว่าลูกได้อยู่กับพ่อตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก

    นี่เล่าเรื่องราวของพระเจ้าตากสินมหาราช กับพระยาศรีสิทธิสงคราม
    เป็นอันว่า ท่านก็มาเกิดช่วยกันรวมชาติไทย นั่นก็คือพระเจ้ามังรายมหาราช
    ต่อมาเวลามันจะหมดนี่ลูกรัก เทปทั้ง ๖ เทปเนี่ยพ่อบันทึกวันเดียว เป็นอันว่า
    ต่อนี้ไปก็ขอเล่าเรื่องสุดท้ายจุดหนึ่งที่มีการสำคัญ ที่พระเจ้ามังรายมหาราชมาเกิด
    ก็มาจากพรหมเหมือนกัน แต่ตอนนี้มารับตำแหน่งใหญ่โตมาก
    คือเป็นกำนันจันหนวดเขี้ยว กำนันจันหนวดเขี้ยวนี่ ที่พ่อไปดูเขา
    ไปดูเขาทำรูป พ่อตกใจลูกรัก กำนันจันหนวดเขี้ยวนี่
    เป็นคนมีรูปร่างหน้าตาสวย เป็นคนมีเสน่ห์ กินหมาก และก็สูบบุหรี่
    เป็นคนท้วมๆ นิดๆ ท่านเป็นคนเนื้อเต็มค่อนข้างท้วม หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสชื่นใจ
    เป็นที่รักของบรรดาประชาชนคนทั้งหลายในปกครอง ทุกคนเรียกว่าพ่อ
    มีอำนาจมาก อำนาจของท่านก็คือความดี วันทั้งวันใครไปเห็นกำนันจัน
    จะเห็นว่ามีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ถ้าเราจะพูดกันแบบคนเลวๆ
    เขาจะหาว่า ท่านกำนันจันนี่เป็นคนอ่อนแอ แต่ว่าเนื้อแท้จริงๆ ลูกรัก
    ท่านกำนันจันเป็นคนเข้มแข็ง เป็นคนที่ชนะใจคนทั้งตำบล
    และก็ชนะใจคนหลายๆ ตำบล ทุกคนที่พบกำนันจัน
    ทุกคนจะต้องหมอบราบคาบแก้ว ไม่ใช่กลัวลานด้วยอำนาจ
    แต่กลัวด้วยอำนาจของความรัก นี่เป็นวาระที่ ๑๒ ของการเกิด
    แต่พ่อไม่ได้เรียงลำดับ เพราะถือว่า การเป็นกำนันของพระเจ้ามังรายมหาราช
    มันเป็นยศเล็กๆ ต่อมาเมื่อสงครามเกิดขึ้น พม่าก็จะเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา
    ท่านกำนันจันหนวดเขี้ยวกับบรรดาเพื่อนที่รัก รวบรวมกำลังของคนไทยทั้งชาติ
    ในชาติเท่าที่พึงหาได้ ตั้งค่ายสู้รบกับข้าศึก
    ทั้งๆ ที่รัฐบาลไม่มีโอกาสที่จะสนับสนุนกำนันจันได้เลย
    เขาเรียกว่าค่ายบางระจัน คำว่าค่ายบางระจันนี่
    เขาไม่ได้ถือว่าเอากำนันจันมาเป็นชื่อ หรือว่าจะมีความมุ่งหมายอย่างนั้นพ่อไม่รู้
    แต่ตำบลนั้นเขาอาจจะเรียกว่าตำบลบางระจันมาก่อน ต่อสู้กับข้าศึก
    แต่ความจริงเวลานั้นถ้ารัฐบาลฉลาด พ่อคิดว่า
    ข้าศึกไม่สามารถจะตีกรุงศรีอยุธยาได้ ทั้งนี้เพราะอะไร
    เพราะว่ากำลังประชาชนส่วนใหญ่ต่อสู้กับข้าศึก
    มันเป็นโอกาสที่เราจะสร้างกองโจรได้ดี แต่นี้สำหรับทางรัฐบาลนี่
    หาคนดีได้ยาก กษัตริย์สมัยนั้น จะเป็นกษัตริย์องค์ใดก็ตาม
    พ่อขอประณามว่า เป็นกษัตริย์ที่มีอารมณ์โง่ที่สุด
    และก็เป็นข้าราชการที่สมควรจะเรียกได้ว่า เป็นข้าราชการสมัยที่โง่ที่สุด
    ถ้าหากว่าประชาชนเขาสู้ เราก็ต้องตั้งเป็นกองโจร
    เอาทหารไปในนามของประชาชน มันก็ไม่ยาก
    รึมิฉะนั้นก็ยาตราทัพเข้าไปเป็นหน่วยกองโจร หน่วยกองเล็ก
    เข้าไปโจมตีเบื้องหลังของข้าศึก สนับสนุนคนในค่ายบางระจัน
    นี่เพียงแค่ค่ายบางระจันจะขอปืน ทางราชการก็เกรงว่าข้าศึกจะแย่งในระหว่างทาง
    จนกระทั่งมีพระยาอะไรท่านหนึ่งท่านอุตส่าห์ไปช่วยหล่อปืนให้
    ท่านยังเดินทางไปได้ แล้วทำไมทหารจึงจะไปไม่ได้
    นี่ความโง่ของรัฐบาลในสมัยนั้น มันก็เข้าๆ กับ เท่าๆ
    กับความโง่ของรัฐบาลสมัยหนึ่ง หรืออาจจะเป็น ๔ สมัย
    ที่ทำให้ชาติไทยจะต้องพินาศล่มจม เกือบจะทรงตัวไม่ได้
    แล้วในวาระนั้นจะเป็นสมัยบ้าง ไหนบ้างนั้น พ่อไม่พูด
    หวังว่าลูกๆ คงเข้าใจดี แล้วคงจะจำหน้าคน จำชื่อคนพวกนั้นได้ดี
    ว่าพวกนี้ถ้าเข้ามาบริหารประเทศชาติเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละ
    ประเทศไทยเราก็ต้องย่ำแย่ เพราะว่า เมื่อพวกเราแย่ เขารวย
    บางรายก็ลงทุนเสียมากมาย ก็จะเป็นผู้แทนซะที ลงทุนเนี่ยเป็นร้อยล้าน
    ยังงี้มันก็ใช้ไม่ได้ นับเป็นล้านๆ เงินเดือนเท่าไหร่
    เป็นอันว่ารัฐบาลสมัยนั้นซวยที่สุด มันเป็นชะตาของประเทศ

    ในที่สุด ค่ายบางระจันก็แตก ตามประวัติศาสตร์เขาเขียนว่า
    คนตายทั้งหมด แต่พ่อว่า คนสมัยนั้นเขาไม่โง่เท่าคนเขียน
    คนลงตั้งค่ายได้ เกณฑ์คนมาเป็น มาร่วมรบได้โดยไม่มีเงินเดือนเงินดาว
    เบี้ยหวัดเงินเดือนก็ไม่มี สามารถตั้งเป็นกองทัพต่อสู้ข้าศึกได้เป็นเดือนๆ
    แล้วจะมีคนที่ไหนเขายอมโง่ตายทั้งหมด พ่อเคยพูดกับนักเลงคนหนึ่งถามว่า
    เขาคุยกันเก่งในการตีรันฟันแทง ถามว่าเคยหนีบ้างมั้ย แกยิ้ม
    แกบอกว่าผมพูดมาตั้งหลายชั่วโมงไม่มีใครถาม มีท่านองค์เดียวถาม
    แกก็เลยตอบว่า ถ้านักเลง นักเลงจริงๆ ต้องมีหนี ถ้าไม่หนีก็ไม่ใช่นักเลง
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ถ้าเราสู้เขาไม่ได้ เราก็ต้องถอยก่อน
    เมื่อถอยเพื่อไปตั้งหลักต่อสู้กับเขาใหม่ นี่จึงจะเป็นนักเลงได้ ถ้าหากว่า
    ถือตัวว่าเป็นนักเลง แต่ว่าตัวเองไม่สามารถจะถอย ในเมื่อกำลังสู้เขาไม่ได้
    อย่างนั้นไม่ใช่นักเลงแท้ เขาถือว่าเป็นคนโง่ นี่แหละลูกรักทั้งหลาย
    ฟังแล้วก็จำไว้ ว่าค่ายบางระจัน กำนันจันพร้อมด้วยเพื่อน
    เมื่อเวลาที่พม่าตีค่ายแตก เป็นของธรรมดา
    ที่จะต้องเสียกำลังไปประมาณ ๑ ใน ๔ ของกำลังทั้งหมด
    แต่ว่า ในเมื่อสถานที่ที่ตั้งมั่นแตกยับเยิน คนอยู่ไม่ได้ ก็ต้องสลายตัว
    การสลายตัวครั้งนั้นก็ไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนามมาอีก เก็บเงียบ
    ปิดเป็นความลับ ฉะนั้น นักเขียนประวัติศาสตร์จึงให้นาม
    จึงได้ลงจารึกลงไปว่า ค่ายบางระจันแตกพร้อมด้วยคนทุกคนตาย
    ถ้าปล่อยอย่างงั้นก็ไม่ใช่กำนันจัน กำนันจันคุมกำลังส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่
    ถอยออกจากค่าย เห็นว่าจะทำการต่อสู้ ในเมื่อข้าศึกมีกำลังมากกว่า
    กำลังดีกว่า สู้ประจันหน้ากันไม่ได้ จึงได้แยกย้ายออกมาตั้งเป็นกองโจร
    ทำลายข้าศึกที่ออกหาเสบียง เห็นข้าศึกมีมามากกว่า
    ไม่สามารถจะประจันหน้าได้ ก็ใช้ธนูหน้าไม้เป็นเครื่องยิงตัดกำลัง
    ถ้าข้าศึกมาน้อยก็เข่นฆ่าเสียพินาศ

    เป็นอันว่า สมัยนั้นถึงแม้ว่ากรุงจะแตก
    แต่ว่ากำลังของบรรดาประชาชนที่อยู่ภายนอกกรุง
    ยังรวมกำลังกันอยู่เป็นจุดๆ แบบเสรีไทย ตั้งคนอยู่ตั้งแต่สิงห์บุรี
    ถึงจังหวัดสุพรรณบุรี มีกำลัง ๑๐ จุด แล้วต่อมา
    ก็ขยายกำลังไปถึงจังหวัดราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์
    ตั้งเป็นกำลังใหญ่เข้าไว้ ต่อมาเมื่อประเทศไทยหวังในการกู้ชาติ
    ก็ได้กำลังคนพวกนี้นี่แหละ เข้ามาเป็นกำลังใหญ่ช่วยในการกู้ชาติ
    เขาไม่ได้เป็นทหารของรัฐโดยตรง แต่ว่า เขาเป็นทหารของประเทศ
    เป็นการทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เมื่อเลิกศึกสงครามไปแล้วก็ฝึกปรือกัน
    สอนกัน คนรุ่นนี้ก็แก่ไป คนใหม่เกิดขึ้น สั่งสอนยุทธวิธีกันตั้งแต่
    ตั้งแต่เด็ก จึงมีความชิน จึงมีความชำนาญในยุทธวิธีในการรบ
    รบบนหลังช้าง รบบนหลังม้า รบบนหลังควาย รบบนทางเดินราบ
    เขาทำกันแล้วก็สร้างความสามัคคี ตั้งหมวดตั้งหมู่
    ตั้งหัวหน้ากองไว้ ที่เรียกกันว่ากำนัน ใครเป็นกำนันก็ชื่อว่าเป็นผู้บังคับกอง
    ใครเป็นผู้ใหญ่บ้านก็ชื่อว่าเป็นผู้บังคับหมวด
    ใครเป็นสารวัตรคนนั้นเป็นผู้บังคับหมู่ แล้วใครเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
    คนนั้นก็เป็นผู้บังคับหมู่ จัดกำลังกองทัพประชาชนกันไว้แบบเงียบๆ
    ฝึกยุทธวิธี สั่งสมเสบียงอาหาร การรบครั้งแรก การตั้งค่าย
    เป็นการพ่ายแพ้ข้าศึก มันก็เป็นการสอนตัวเอง
    ว่าถ้าข้าศึกเข้ามาแล้วรวมตัวกันอย่างนั้น มันก็เป็นจุดให้ข้าศึกรู้ว่า
    เราตั้งอยู่ที่นั่น เสียท่าภายหลังเมื่อกรุงศรีอยุธยา เราหวังจะกู้ชาติ
    กำลังท่านพวกนี้ก็เริ่มจะพยายามตัดกำลังข้าศึกนับตั้งแต่เดินทัพเข้ามา
    หน่วยไหนที่แหลมออกไปเพื่อจะหาอาหารและออกลาดตระเวน
    ชาวบ้านธรรมดาจะทำท่าเหมือนหากินแบบปกติ แต่อาวุธอยู่ไม่ไกลนัก
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาวุธที่มีความสำคัญก็คือ ธนูกับหน้าไม้ ใช้เป็นอาวุธยาว
    ติดยาง ไอ้ยางที่ ประเภทที่เรียกว่า ถ้าถูกแล้วก็ตาย ที่ปลายดอก ยิงข้าศึก
    ทำลายเอา ทำลายกำลังข้าศึกโดยการตัดอาหารการบริโภค เมื่อข้าศึกเข้ามา
    นอกจากเสบียงที่ติดเข้ามาแล้ว ยังกวาดต้อนจากชาวบ้าน ถ้าเขามาหมู่ใหญ่
    ก็ลิดรอนไปทีละคนสองคน เก้าคนสิบคน แอบตามสุมทุมพุ่มไม้เป็นแบบกองโจร
    ถ้าหากว่ามาเป็นกลุ่มน้อย ก็นั่นหมายถึงว่า ต้องตายทั้งหมด
    แล้วทุกคนก็หลบเข้าป่าทำท่าทางเหมือนว่าเป็นชาวไร่ชาวนาเป็นปกติ

    ก็เป็นอันว่า พระเจ้ามังรายมหาราช พระองค์เกิดมาเพื่อรักษาชาติ
    เพื่อทรงชาติไว้จริงๆ ฉะนั้น ขอบรรดาลูกรักทั้งชายและหญิง
    พ่อก็จะต้องจบเรื่องของพระเจ้ามังรายมหาราช ถ้าขืนจะเขียนกันเป็นประวัติ
    มันก็ยาวเหยียดแต่ละบุคคล เล่าให้ฟังว่า
    ไอ้การที่เราจะสั่งสมกิเลสให้มันทรงตัวอยู่แบบนี้
    มันก็จะมีวายการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร หาที่สุดมิได้
    ฉะนั้น ขอบรรดาลูกหญิงและลูกชายทั้งหลาย
    จงรักษาความดีที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไว้
    งานใดที่พ่อนำลูกทั้งหลายทำ งานทั้งหลายเหล่านั้น
    ขอลูกรักทั้งหมดจงรักษางานไว้ด้านนั้นไว้ได้ด้วยหัวใจของลูกเอง
    หมายความว่า ทุกคนจงพยายามรักษากำลังงานนี้ไว้ได้ด้วยชีวิต
    แล้วก็งานสาธารณประโยชน์ เป็นกิจอันหนึ่งให้คนไทยรวมตัวกัน
    มีความรักมีความสามัคคีซึ่งกันและกัน เมื่อมีความรัก
    มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน ทุกคนก็มีความสุข
    พ่อก็ยังรู้สึกขอบคุณ ขอบคุณสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง ๕
    ให้โอกาสพ่อ และสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง ๙ ที่ให้โอกาสพ่อ
    แต่ว่าความจริง การทำอย่างช่อง ๕ น่ะดีมาก
    เป็นประโยชน์มาก เราแจกกันทันควัน
    และบรรดาประชาชนพี่น้องทุกท่านทุกคน ก็ต่างคนต่างพากันสนับสนุนเต็มที่
    แต่จุดหนึ่งที่เราทำเงียบๆ นี้อีกจุดหนึ่ง ที่เป็นกำลังใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้
    พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ให้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ ขอลูกจงถือว่า
    นั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี่ พ่อไม่แน่ใจนัก
    ว่าจะมีอายุยืนยาวอยู่สักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ
    ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจของลูก ไม่เกินวิสัย ลูกจงทำ
    แล้วก็จงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติ
    รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้น ลูกจงภูมิใจ ว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา
    ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ทว่าใจของพ่อยังอยู่กับใจลูก
    ลูกจะไปที่ไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ

    เอาล่ะสำหรับวันนี้เหนื่อยมาก เหนื่อยมากเพราะต้องรีบทำ เวลาจำกัด
    เวลาก็หมดพอดี พ่อก็ขอจบเรื่องราวของพระเจ้ามังรายมหาราช
    ในชั่วระยะ ๒๕๐๐ ปีเศษ ท่านต้องเกิดถึง ๑๒ หรือ ๑๓ ครั้ง
    เวลานี้ไปเรี่ยราดอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ เป็นที่น่าเสียดาย
    ถ้ามาเกิดได้ในเวลานี้ ก็น่ากลัวหัวจะขาดไปหลายคน
    อ้าต่อไปนี้ ต่อนี้ไป ขอบรรดาลูกรักทุกคน จงมีแต่ความสุขความเจริญ
    ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานไว้
    ขอลูกรักของพ่อทุกคนจงทรงธรรมนั้นไว้จนกว่าจะเข้าพระนิพพานในชาตินี้ สวัสดี
     
  13. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    13.พระเจ้าพรหมมหาราช.mp3
    เอ้อ บรรดาลูกรักทั้งหลาย สำหรับวันนี้ พ่อก็ขอคุยเรื่องของพระเจ้าพรหมต่อไป
    แต่เรื่องราวของพระเจ้าพรหมมหาราชนี่ ถ้าบังเอิญจะพลาดพลั้งไปบ้าง
    ก็ขอลูกจงให้อภัยแก่พ่อ เพราะว่าพ่อเป็นคนแก่ จงอย่าลืมว่า
    เวลานี้เราพูดถึงอดีตของบรรดาบรรพบุรุษไทย แต่ทว่า
    ทั้งท่านทั้งหลายที่กล่าวนามมาแล้วข้างต้นทั้งหมด แล้วก็เบื้องหลังทั้งหมด
    เวลานี้ ชีวิตของท่านไม่มีอยู่แล้ว ในช่วงนี้
    เรามาคุยกันถึงเรื่องแดนของพระธาตุจอมกิตติ ซึ่งเป็นโยนกนครเก่า
    กำแพงเมืองยังมีอยู่ แต่ทว่า กำแพงก็ไม่เป็นกำแพง
    เมืองที่เต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม ก็ไม่มีอยู่แล้ว
    และในที่สุด คนทั้งหมดก็ตายไปหมด
    แต่พ่อก็ไม่แน่ใจนักว่าคนทั้งหมดที่ตายเวลานั้น มานั่งอยู่ที่วง
    ร่วมการคุยกับพวกเราด้วยหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

    รวมความแล้วบรรดาลูกรักทั้งหลายทั้งหมด จงอย่าเอาจิตไปติดในวัตถุ
    วัตถุที่มีความสำคัญที่สุดก็คือร่างกายของเรา ที่เราเห็นว่าร่างกายเป็นเรา
    เป็นของเรานั้น ความจริงมันไม่ใช่ พ่อมองดูหน้าลูกรักทุกคน
    ที่

    นั่งอยู่ในที่นี้ พ่อคิดว่าลูกทุกคนคงจะเกิดในสมัยนั้น
    และก็ปริวรรตเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย
    มีความสุขบ้าง มีความทุกข์บ้าง แล้วในที่สุดก็ตาย
    ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็มาเป็นคนสมัยนี้
    นี่เป็นความรู้สึกของพ่ออย่างเดียว พ่อไม่ยืนยัน
    แต่ว่าถ้าถึงยังไงก็ดี เราก็คงเกิดกันมาหลายวาระ แต่การเกิดแล้วตาย
    ตายแล้วก็เกิด เกิดแต่ละชาติก็มีความทุกข์ มีภาระในการปกครอง
    มีภาระในการบริหาร แต่การเกิดทุกครั้งเราก็หวังความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต
    แต่แล้วในที่สุด สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็หมดไป

    ฉะนั้น ขอบรรดาลูกรักทั้งหลายที่ได้อภิญญาสมาบัติและวิชชาสาม
    จงใช้อภิญญาสมาบัติและวิชชาสาม มุ่งพระนิพพานอย่างเดียว
    การที่จะท่องเที่ยวไปดูภพดูชาติต่างๆ เป็นของดี
    แต่ก็จงอย่าเอาจิตเข้าไปยุ่งกะโลกีย์วิสัย เป็นความโลภหรือความโกรธ
    คิดว่าชนชาตินั้นเคยเป็นศัตรูของเรา ชนชาตินี้เคยเป็นมิตรของเรา
    นั่นเป็นทรัพย์สินของเรา นี่เป็นทรัพย์สินของเรา อย่างกับพวกคนที่มีอุปาทานกิน
    บอกว่าคนนั้นชาตินั้นเคยเป็นภรรยาของฉัน ชาตินี้ฉันเคยเป็นพระราชา
    เธอเคยเป็นภรรยาของฉันมาก่อน เคยเป็นเธอเคยเป็นสามีของฉันมาก่อน
    เธอจะไปไหนไม่ได้ พ่อคิดว่านั่นเป็นอารมณ์ของความบ้ามากกว่า
    เรื่องของคนละชาติมันเป็นเรื่องของคนละชาติ จะมาบวกกับชาตินี้ไม่ได้
    ขอลูกจงอย่าติด อาการอย่างนั้นแสดงถึงอาการติดของอำนาจกิเลส
    คือตัณหาเป็นสำคัญ และมีอวิชชาเป็นเบื้องหน้า ควรจะคิดอย่างเดียวว่า
    เราทำยังไงถึงจะไม่เกิด วิธีการไม่เกิดพ่อสอนลูกอยู่แล้ว
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิชชาสามกะอภิญญาที่ลูกได้
    นี่แหละเป็นจุดหมายปลายทางที่ชี้แนวทางแห่งการไม่เกิด
    ควรศึกษาความไม่เกิดเข้าไว้ การไม่เกิดเราต้องเสียสละ
    อันดับแรกเราต้องเสียสละเวลา

    การงานที่มีประโยชน์ของเรา
    ทำงานเป็นส่วนสาธารณประโยชน์ เพื่อทอดทิ้งความอาลัยในความห่วงใยในชีวิต
    แต่ทว่า ก็เป็นบางจุดบางเวลา อย่าถึงเคร่งเครียดเกินไป
    ประการที่ ๒ สละทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ เห็นว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลาย
    ที่เรามีอยู่ในกาลก่อนมากกว่านี้ เราก็แบกไปไม่ได้
    เราสละทรัพย์สมบัติเป็นส่วนสาธารณประโยชน์บ้างตามสมควร
    เพื่อเป็นการตัดโลภะความโลภและเพื่อไม่เป็นการยึดเหนี่ยวชีวิตเกินไป
    ประการที่ ๓ ควรให้อภัยกับคนผิด จัดว่าเป็นอภัยทาน เป็นการตัดโทสะ
    ประการที่ ๔ เห็นว่าร่างกายนี้ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร
    เป็นปัจจัยของความทุกข์ เราไม่ยึดถือร่างกายต่อไป ไม่มีกายต่อไป
    ต้องการคือพระนิพพาน นี่เป็นอาการตัดโมหะคือความหลง เท่านี้พอแล้วลูกรัก
    ตั้งอารมณ์หยั่งไว้เฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์
    แต่การสอบสวนสืบสวนนรกสวรรค์ตามความเป็นจริง
    การใช้ปุพเพนิวาสานุสติญาณระลึกชาติได้ ถอยหลังเข้าไปหาความเบื่อ
    อันนี้เป็นของดี พ่อไม่ห้าม แต่ว่าไปอวดวิเศษ พ่อไม่เห็นชอบด้วย

    คุยกันต่อไปถึงเรื่องของพระเจ้าพรหมมหาราช
    อาศัยที่พระเจ้าพรหมมหาราชเคยเป็นเณร มีเมตตาบารมี
    และอาศัยฌานที่ตนได้นี้ไปเป็นพรหม กลับมาเกิดจากพรหม
    จากพรหมกลับมาเกิดเป็นลูกชายของพระเจ้าพังคราช
    ลูกจะเห็นอำนาจของทานบารมี คือพระเจ้าพรหมเป็นผู้ให้อภัยทาน
    เป็นผู้มีเมตตาจิต คิดเผื่อแผ่ ต้องการให้คนไทยทั้งชาติมีความสุขโดยธรรม
    และประการที่ ๒ เคยเป็นเณรมีศีลบริสุทธิ์ อดกลั้นความโกรธ
    เคยเป็นเณรได้ฌานสมาบัติ พ่อคิดว่าจะเป็นวิปัสสนาญาณด้วย
    ตอนนี้ก็มาดูอานิสงส์ข้อท้ายของศีล หรือว่าของทาน
    ท่านกล่าวว่า ทานัง สัคคโส ปาณัง ทานเป็นปัจจัยให้เกิดบนสวรรค์
    สีเลนะ สุคะติง ยันติ ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข สีเลนะ โภคะสัมปะทา
    ศีลเป็นปัจจัยให้มีโภคสมบัติมาก สีเลนะ นิพพุติง ยันติ
    ศีลเป็นปัจจัยให้ดับความทุกข์ เราจะมองเห็นอานิสงส์ของศีลของทานในตอนนี้
    ที่สามเณร ตอนนั้นไม่ใช่สามเณร พรหม สามเณรทำไว้แล้วดี
    คือมีศีลบริสุทธิ์ มีจิตเมตตาปรานี ทรงฌานสมาบัติ มีวิปัสสนาญาณ
    ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ นั่งสมาธิจนตาย
    ตายแล้วไปเป็นพรหม นี่เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข ลงมาพร้อมด้วยสหชาติ
    พอเข้าท้องแม่ก็ปรากฏว่าทรัพย์สินทั้งหลายปรากฏกับบรรดาประชาชนชาวไทยมาก
    ของที่เคยหายากก็หาได้ง่าย ของที่เคยหาได้น้อยก็หาได้มาก จิตใจของคนไทยทั้งชาติ
    กลายเป็นไทยนักสู้ รวมกำลังใจกัน นี่มันก็เป็นเรื่องของบุญบารมีที่สั่งสมไว้
    ใครเขาจะว่ายังไงก็ช่างเขาเถอะ เราเห็นผลของเราก็แล้วกัน
    ต่อมาเมื่ออาศัยที่มีจิตใจเผื่อแผ่เมตตาอารี
    ต้องการให้คนไทยในนี้ทั้งหมดเป็นคนมีความสามัคคี มีความรักกัน มีความสุข
    ฉะนั้น ตั้งแต่เริ่มอยู่ในครรภ์มารดา จึงปรากฏว่า
    คนไทยทุกคนมีความสมัครสมานสามัคคีกัน ความไม่สิ้นอาลัยในชีวิตที่คิดว่า
    ไทยทั้งชาติจะต้องตายเพราะถูกขอมทำลายก็หมดสิ้นไป แทนที่จะหมดกำลังใจ
    กลับเป็นคนไทยที่มีกำลังใจเพื่อสู้

    ตอนนี้ลูกรักของพ่อจะเห็นว่า คนไทยเราเมื่อถึงยามแพ้ก็เพราะอาศัยความประมาท
    คิดไม่ถึงว่าคนที่นับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกันจะพิฆาตเข่นฆ่ากัน
    และเขาก็คิดจะฆ่าไทยทั้งชาติ ทรมานเกือบจะไม่มีเวลาหากิน ต้องร่อนทองคำกัน
    แม้แต่พระเจ้าพังคราชเอง ก็ต้องทรงเสด็จไปร่อนทองคำเพื่อหาทองคำให้เขาให้ได้
    เวลาที่จะทำมาหากินของตนก็น้อยเกินไป ลูกรักของพ่อ
    คิดถึงชีวิตความเศร้าในเวลานั้นมันเศร้าจริงๆ ไม่ใช่เศร้าอย่างคนหมดอาลัยในชีวิต
    ไม่คิดจะต่อสู้ แต่ทางที่จะสู้มันไม่มี มาตอนนี้เมื่อพระเจ้าพรหมเข้าครรภ์มารดา
    อยากได้เครื่องกษัตริย์ อยากได้สรรพาวุธ อยากกินเลือดของขอมที่ติดอาวุธ
    แต่ว่าคนไทยมีนิสัยติดตามผู้นำ ถ้าผู้นำดี ไทยทั้งชาติก็สามารถจะเป็นเอกราชได้ดี
    ถ้าผู้นำชั่ว ไทยทั้งชาติก็จะมีแต่ความมัวหมอง เราจะเห็นประวัติศาสตร์ในอนาคต
    รึในอดีต อนาคตก็แล้วกัน ในอนาคตอันใกล้ ที่บางครั้งที่คนไทยมีผู้นำดี
    เราก็มีความสุขหน้าชื่นตาบาน บางครั้งที่มีผู้นำระยำ ก็หน้าเศร้าไปตามๆ กัน
    สิ่งที่จะไม่ควรเสียก็เสีย สิ่งที่ควรจะได้ก็ไม่ได้
    แล้วก็บางทีบุคคลประเภทนั้นเขาไม่เห็นตัวเขา ช่างเขาเถอะ

    มาคุยกันตอนนี้ว่าเมื่อพระเจ้าพรหมเกิดมาแล้ว เป็นเด็กที่น่ารัก สวยสดงดงามมาก
    บรรดาโหราธิบดีทั้งหลายได้พยากรณ์ไว้ว่า เด็กคนนี้มาจากพรหม
    และก็จะมาทำไทยให้เป็นไทย ไทยเป็นอิสรภาพ ไทยจะเป็นเอกราช
    จะชนะขอม กำลังใจของคนก็เข้ามารวมกัน
    นับตั้งแต่วันเกิดเป็นต้นมา ปรากฏว่าพืชพรรณธัญญาหารเกิดขึ้นมาก
    คนไทยทุกคนมีความสุข มุ่งหน้ามองอยู่เฉพาะอย่างเดียว คือเมื่อไรหนอ
    เด็กคนนี้จะโตมาพอสมควรที่จะเป็นผู้นำ พอที่จะเป็นผู้นำเกี่ยวกับการรบ
    หมายความว่านำแล้วก็รบกัน อะไรพวกนี้นะ เป็นอันว่า ในเมื่อต่อมาในไม่ช้า
    ที่ลูกทั้งหลายเห็นว่าพระเจ้าพังคราชทรงแต่งตัวเป็นแบบชาวบ้านธรรมดา
    เมื่อเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่พอ ก็อุ้มลูกคนหนึ่ง จูงลูกอีกคนหนึ่ง
    จูงลูกก็คือลูกคนใหญ่ ชื่อว่าทุกขิตตะ เอ้อ ทุพภิกกะ
    ทุกขิตตะก็แล้วกันนะ เกิดในยามทุกข์ ลูกชายอีกคนหนึ่งไว้จุกปักปิ่น
    เด็กสมัยนั้นเขานิยมการไว้จุก หรือไว้เปียไว้แกละกัน ปักปิ่นทองสวย
    มีเครื่องล้อมล้อมจุก นั่นคือลูกเด็กชายพรหม เป็นอันว่าเด็กไปที่ไหน
    พ่อไปที่ไหน ไปไหนพ่อก็อุ้มลูก จูงลูก ก็เป็นอันว่า คนทุกคนมีความหวัง
    ว่าเด็กคนที่ถูกอุ้มนี่คือ เด็กชายพรหมหรือพระเจ้าพรหม รึว่าพรหมกุมาร
    ที่จะมาทำให้คนไทยมีความสุข อารมณ์ใจของคนไทยก็ชื่นบาน
    นี่ไอ้ความสุขความทุกข์จริงๆ น่ะมันอยู่ที่ใจ
    จะไปที่ไหนก็มีแต่คนกราบคนไหว้คนบูชา เห็นมั้ยลูกรัก
    เห็นรึยัง ว่าค่าของความดี การมีศีลมีธรรมนั้นมีประโยชน์อย่างนี้

    ตอนนี้ก็ขอคุยลัดตัดความ ต่อมาเมื่อเด็กชายพรหมเป็นอายุวิ่งเล่นได้ถนัด
    ก็สองสามปีนี่แหละ การเล่นของเด็กชายพรหมก็เต็มไปด้วยยุทธวิธี ชอบการรบ
    สหชาติ ๒๕๐ คนมาเล่นรวมกัน เอาไม้มาทำเป็นอาวุธบ้าง มาทำเป็นหน้าไม้บ้าง
    เอาไม้มาทำเป็นช้างขี่บ้าง สมมุติขึ้นเป็นม้าบ้าง
    เล่นกองทัพช้างกองทัพม้ากองทัพราบ การขนเสบียงอาหาร เล่นเกษตร
    เวลานั้นการเกษตรเป็นการสำคัญ ทำโรงงานสร้างอาวุธแบบเด็กๆ
    ก็สมมุติขึ้นว่านี่เป็นเหล็กนี่เป็นแร่นี่เป็นทองคำนี่เป็นเงิน นี่เป็นอะไรก็ตาม
    ก็ทำไปตามเรื่อง เล่นกันแบบนั้นบรรดาผู้ใหญ่เห็นก็มีความชื่นใจ
    ยุทธวิธีของเด็กก็เป็นเรื่องแปลกๆ ซึ่งคาดไม่ถึง อย่างยังมียุทธวิธีอันหนึ่ง
    ที่สมมุติว่าถ้าข้าศึกมีฝีมือดีกว่า หนังเหนียว เวลานั้นเขาจะพูดกันเรื่องหนังเหนียว
    ถ้าเราจะรบกับข้าศึกเราจะทำยังไง นั่นก็คือต้องฝึกการโดด โดดสูง
    แล้วฝึกกันจริงๆ ฝึกข้ามรั้ว โดดสูง สูงออกไปทีละน้อยๆ
    ก็สูงข้ามหัวคนได้แบบสบายๆ แล้วก็ฝึกตีข้าศึกด้านท้ายทอยด้วยสันดาบ
    เวลารบยั่วให้ข้าศึกจู่โจม เปิดจังหวะให้ข้าศึกฟัน เมื่อข้าศึกโถมเข้ามาฟัน
    ตอนนั้นหลบแล้วกระโดดขึ้นสูง ใช้สันดาบตีท้ายทอยข้าศึก นี่หมายถึงว่า
    ข้าศึกหนังเหนียวและมีฝีมือดี วิธีนี้เขาก็เล่นกัน แล้วต่อมาในเมื่อโตขึ้น
    อายุได้ประมาณ ๑๒ ปี สิบปีเศษๆ แต่ความจริงอาจจะไม่ถึงสิบปีดี
    ก็เริ่มใช้มันสมอง ติดตามสมเด็จพระราชบิดาไปที่ไหน
    ก็มักจะถามสมเด็จพระราชบิดาว่า นี่เขาทำอะไรกัน นั่นทำอะไรกัน
    และเมื่อพ่อก็บอกว่า เขาปลูกผักปลูกหญ้าในที่วงแคบๆ พื้นที่น้อยๆ
    นั่นก็ต้องปริวรรตเปลี่ยนแปลงกัน แต่ว่าเวลานี้รู้สึกว่ามีความอุ่นหนาฝาคั่ง
    พืชพรรณธัญญาหารก็ดี ทองก็ได้มาก เงินก็ได้มาก แร่ที่มีค่าก็ได้มาก
    จึงได้แนะนำวิธีแก่พระราชบิดา คือกราบทูลว่า การทำพืชพรรณธัญญาหาร
    ถ้าเราจะใช้แต่เฉพาะน้ำที่มาจากเทวดามันก็ไม่พอ
    ทางที่ดีให้มีความอุดมสมบูรณ์กว่านี้ ก็น่าจะขุดบ่อเป็นที่เก็บน้ำ
    แล้วก็เวลาฤดูแล้งจะได้ใช้น้ำในบ่อปลูกพืชพรรณธัญญาหารได้
    ควรจะขุดบ่อใหญ่ๆ เวลาที่พูดกับพ่อคือเด็กคนนี้ไปทางไหน
    เดี๋ยวคนก็มานั่งล้อม ทุกคนเห็นชอบด้วย อันนี้เป็นหลักประชาธิปไตยแท้ๆ
    ไม่ใช่คณาธิปไตย บรรดาประชาชนฟังแล้วก็เข้าใจ มีความเห็นด้วย
    ก็ส่งข่าวกันไปว่าพวกเรา ว่าเด็กชายพระเจ้าซึ่งมาเกิดจะโปรดพวกเราให้มีความสุข
    เวลานี้อยากจะให้พวกเราขุดบ่อเป็นจุดๆ เป็นบ่อใหญ่ๆ เก็บน้ำเข้าไว้
    ฤดูแล้งจะได้ไม่ขาดน้ำ วัวควายจะได้กิน
    คนจะกินปลูกผักปลูกหญ้าทำนาทำไร่กันได้ เป็นอันว่าคนทุกกลุ่ม
    ทุกหมู่บ้านก็แล้วกัน ทุกกลุ่มของหมู่บ้าน ต่างคนก็ต่างขุดสระ
    ขุดบ่อกันขึ้นเก็บน้ำ เวลาน้ำหลากมาหรือฝนมาก็ปรากฏว่าบ่อเต็มน้ำ
    เวลาที่ฝนหมดไปน้ำก็ยังมีอยู่ ใช้สะดวก ทำผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์กัน
    แหมนี่นึกถึงจอมพลแปลก เป็นอันว่าให้พืชพรรณธัญญาหารเป็นของดี
    เป็นการค้าออกไปภายนอกได้ดี ตอนนี้ก็เกิดความอุ่นหนาฝาคั่ง ตอนอายุ ๑๖ ปี
    มาตอนนี้เด็กชายพรหมเริ่มทำงานใหญ่ ปรึกษาพระราชบิดาว่า
    ไทยเราถ้าขืนว่าเป็นทาสของขอมต่อไป ความเป็นไทยก็ไม่มีเราก็ไม่มีความสุข
    เขาก็บีบเขาก็คั้น ทองหนัก ๒๐ ชั่งต่อหนึ่งปี นี่ให้มา ๑๐ ปีก็ปรากฏว่า ๒๐๐ ชั่ง
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราทำเป็นหยาดเหงื่อแรงงานก็ไม่น่าจะให้เขา
    ท่านพระราชบิดาก็กล่าวว่า เราเป็นผู้แพ้เขานี่ลูก ลูกชายพรหมจึงได้กราบทูลว่า
    ต่อไปนี้เราจะไม่เป็นผู้แพ้ ดินแดนของเราอยู่เพียงไหน เราจะขอยึดเอามาให้หมด
    และยิ่งไปกว่านั้น นอกจากนั้นเราจะยึดดินแดนให้มากกว่าที่มีอยู่ ไม่น้อยกว่า ๔ เท่า
    เวลาที่คุยกันก็ไม่ใช่เวลาเฝ้าเฉพาะ ไม่ใช่เวลาออกขุนนาง
    มันเป็นเวลาที่ไปนั่งคุยกันกับบรรดาประชาชนชาวบ้าน
    คือพระเจ้าพังคราชท่านเสด็จไปไหน ท่านก็นุ่งกางเกงดำขาสั้น
    ขาเลยเข่านิดหน่อย แล้วก็ใส่เสื้อดำมีผ้าขาวม้า
    ดีไม่ดีท่านก็แบกจอบแบกเสียม ท่านก็ทำทุกอย่างอย่างที่เขาทำกัน
    ไม่ใช่จะไปนั่งชี้นิ้วเป็นเจ้าเป็นนาย เวลาที่ไปไหนก็มีคนล้อม
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเสน่ห์ใหญ่คือเด็กชายพรหม หรือว่าพรหมกุมาร
    พรหมกุมารนี่คนไม่ค่อยเรียกกันนี่ เรียกเด็กชายพรหมก็แล้วกัน
    เด็กชายพรหมไปไหน ก็คนมีหมอบ มีคนหมอบราบคาบแก้ว
    ตัวเองก็ต้องวิ่งไปกราบเขา บอกคุณลุงคุณป้าอย่ากราบผมเลย
    ผมก็ลูกคนธรรมดาๆ ผมก็เป็นลูกพ่อ จะกราบผมทำไม
    แต่ทุกคนก็ไม่ยอม เพราะว่าเขาเชื่อโหร ว่าเด็กคนนี้จะกู้ชาติ
    เมื่อกราบทูลพระราชบิดาว่า เอายังงี้ก็แล้วกัน
    ข้าพระพุทธเจ้าขอยืนยัน ว่าต่อไปนี้คนไทยทุกคนควรจะเป็นนักรบ
    สมเด็จพระราชบิดาก็บอกว่า ตั้งแต่ลูกเข้ามาในครรภ์ของมารดา
    คนไทยทุกคนเป็นนักรบหมดแล้วลูก ฝึกปรืออาวุธกันแล้วเป็นอย่างดี
    ก็มีท่านผู้หญิงแก่ๆ ท่านหนึ่ง คุณยายอายุประมาณเกือบจะ ๘๐ ปี
    รุกเข้า ดึงขวานออกมาจากพุง บอกหลานเอ๋ย ยายถึงแม้ว่าจะแก่ ๘๐ ปี
    ก็ยังมีชีวิตชีวา ยังมีหัวใจ ถ้ายายจะต้องตายเพราะฆ่าขอมให้ตาย
    ยายพร้อมตายเพื่อความเป็นไทย แล้วยายก็แกว่งขวานให้ดู

    เป็นอันว่า บรรดาประชาชนเห็นว่า
    เด็กชายพรหมต้องการให้คนไทยทุกคนมีชีวิตเป็นทหาร
    เขาต้องการฟังอย่างเดียว ว่าคนนี้จะเอาอะไร เป็นอันว่าแม่ทัพนายกองเก่าๆ
    ก็ฝึกวิชาการรบกันทุกคน แล้วคนไทยก็ไม่ต้องเกณฑ์ เป็นแต่เพียงว่า
    พอได้ยินข่าวว่า เด็กชายพรหมหรือว่าพรหมกุมารต้องการฝึกวิชายุทธวิธี
    เขาพร้อมกันอยู่แล้วจึงร่วมกันฝึกทันที เป็นหย่อมๆ แต่ก็ต้องปิดบังขอม
    ยุทธวิธีก็แบ่งเป็นพลราบ พลม้า พลช้าง แล้วก็พลดาบ พลหอก แล้วก็พลธนู
    แยกย้ายกันออกไป เมื่อบรรดาประชาชนคนไทยพร้อมใจกันแบบนั้น
    ชนิดที่เรียกว่าไม่ต้องเกณฑ์ นี่เขามากันด้วยกำลังใจ
    เด็กชายพรหมจึงขอให้พระราชบิดา อาศัยว่าปรึกษาพระราชบิดาเวลาที่มีคนมากๆ
    ว่าถ้าเราจะรบกับเขานี่ ถ้าเขาเวลาฤดูแล้ง เขาปิดน้ำเราตาย
    ก็ควรจะขุดสระใหญ่ๆ ไว้ในบริเวณเขตซัก ๑๗ สระ ใช้สระให้ใหญ่ให้มาก
    สมมุติว่าถ้าเราถูกกักบริเวณ ๑ ปีก่อนน้ำจะหลาก น้ำของเราจะพอกินพอใช้
    พอแก่ทำการเกษตร ถ้าสมมุติว่าถูกข้าศึกปิดล้อม
    และประการที่ ๒ การเกษตรของเราต้องสะสมอาหารไว้ให้มาก
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีข้าวกะเนื้อสัตว์ที่ทำเค็ม เพราะว่าถ้าเกิดการรบกันขึ้นมานี่
    อาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี เราจะได้ไม่ขาดอาหาร
    เอ้า ชาวบ้านเมื่อได้ฟังลูกชายพูดกับพ่อก็เหมือนกับเป็นคำสั่ง
    ต่างคนต่างทำขุดสระตามจุดต่างๆ ๑๗ สระ ตามหมู่บ้านทุกๆ หมู่บ้าน
    ขยายสระให้โตขึ้น เชื่อมน้ำต่างๆ ติดต่อกันได้ทุกสระ เป็นลำรางเล็กๆ
    แล้วก็ทำลำรางจากแม่น้ำโขงเข้ามาเชื่อมสระใหญ่ เมื่อน้ำเต็มสระใหญ่
    ก็ระบายไปถึงสระเล็ก เป็นอันว่าบริเวณทั้งหมดเต็มไปด้วยน้ำ
    เมื่อพูดของกองทัพช้าง กองทัพม้าก็เป็นของไม่ยาก
    ต่อมาเมื่อคนทุกคนทำตามนั้น พรหมกุมารจึงได้กราบทูลพระราชบิดา
    ว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอสมเด็จพระราชบิดาไม่ต้องส่งส่วย
    เวลาพูดก็พูดกลางประชาชน พระราชบิดาท่านก็ตรัสว่า
    ถ้าไม่ส่งส่วยเขาก็รบซีลูก เขาถือว่าแข็งเมือง
    เด็กชายพรหมก็บอกว่า เราพร้อมรบ เราไม่พร้อมรับ แต่ว่าเราพร้อมรบ
    พระราชบิดาก็เตือนว่าลูกรัก กำลังพลของเขาน่ะ
    กำลังทหารของเขามันเท่ากับกำลังพลคนของเราทั้งหมดนะลูกนะ
    เด็กชายพรหมจึงได้กราบทูลพระราชบิดาว่า
    การแพ้การชนะนี่ไม่ใช่อยู่ที่กำลังคน ถ้ารบกันด้วยกำลังคนหรือว่ากำลังอาวุธ
    ก็ถือว่าเป็นการแพ้ชนะที่ไม่เด็ดขาด การรบจริงๆ ต้องใช้กำลังคนด้วย
    กำลังปัญญาด้วย กำลังความสามัคคีด้วย ความเด็ดเดี่ยว
    ลูกมั่นใจว่า การรบคราวนี้ถ้าจะพึงมีขึ้น
    เราต้องชนะ แต่เราไม่ใช่เป็นฝ่ายเข้าไปตีเขา ถ้าเขามาตีเรา เราก็ตีเขา
    ถ้าเขาไม่ตีเรา เราก็ยังไม่ตีเขา เราจะพร้อมรบเท่านั้น
    แต่ว่าต้องพร้อมรับแล้วก็พร้อมรบ

    เป็นอันว่าพระราชบิดาก็ตามใจ เชื่อโหร หันเข้าไปถามโหร
    ว่ายังไง ท่านพระยาโหราธิบดี ท่านพระยาโหราธิบดีท่านก็ยิ้ม
    ท่านก็บอกว่า เห็นชอบด้วยกับพรหมกุมารพระเจ้าค่ะ
    เพราะเวลานี้เป็นเวลาถึงเวลาแล้ว ที่ไทยควรจะเป็นอิสรภาพ
    แล้วโหรก็ลงเลขฉับๆ ว่าเรื่องการรบแพ้สงครามไม่มี
    อีตอนนี้เอง เขานั่งพูดกันกลางทุ่งกลางนา คนล้อมมากๆ
    ไปไหนก็คนเข้ามามุง คนไทยทุกคนก็กระจายข่าวกันไปว่า
    ไทยเตรียมรบ ไทยจะเป็นอิสรภาพ ไทยจะไม่เป็นทาสของขอม
    ไทยจะไม่ให้ทองคำแก่ขอม เราพร้อมรบ ถ้าเราแข็งเมืองเมื่อไร
    เขารบเมื่อไร เราพร้อมรบเมื่อนั้น
    เป็นอันว่าไทยทั้งชาติตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ ยิ้มแย้มแจ่มใส อาจหาญรื่นเริง
    คอยเวลามา ๑๖ ปีแล้ว คอยคำนี้มา ๑๖ ปี
    ว่าเมื่อไรจะลั่นกลองรบด้วยวาจาของพรหมกุมาร

    เอ้าลูกรักของพ่อ พรหมกุมารจะเก่งหรือไม่เก่ง
    จะดีหรือไม่ดี เทปหน้านี้ก็จะหมดเสียแล้วนี่ลูกรัก
    ถ้ายังงั้นก็ฟังกันด้านหน้าต่อไปนะ สำหรับหน้านี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
     
  14. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    14.พระเจ้าพรหมมหาราช (ต่อ)@20 กุมภาพันธ์ 2522.mp3
    เอ้อลูกรักของพ่อทุกคน ขณะที่ฟังเสียงพ่ออยู่นี่ ลูกอย่าฟังเพลินนะ
    เมื่อเวลาฟังก็ต้องใช้สมาธิจิต ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องครบ
    ใช้กำลังญาณตามที่ลูกมีอยู่ ใช้อตีตังสญาณถอยหลังชาติในอดีต
    ถ้าไม่มั่นใจก็จับจิตของตัวให้ผ่องใส
    ทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือว่าท่านปู่
    ขอดูภาพในอดีตว่าสภาพเป็นยังไง หลังจากนั้นมาปรากฏว่า
    พระเจ้าพังคราชก็ไม่ส่งส่วย แต่ว่าก่อนการนั้น เด็กชายพรหมหรือพรหมกุมาร
    ก็ส่งคนของตนเข้าไปเป็นทาสของขอม รับใช้ขอมด้วย
    คนที่ส่งเข้าไปเป็นคนที่มีความฉลาดและก็เป็นคนที่มีฝีมือดี
    พร้อมที่จะเป็นหน่วยหลังทำลายชีวิตขอม และพาหนะ
    หรือการเคลื่อนไหวของขอม ในด้านนี้ก็ปรากฏว่าเตรียมรบพร้อม
    เครื่องกษัตริย์ทั้งหมด กราบทูลขอพระราชบิดาว่า
    นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ควรจะแต่งพระองค์เป็นกษัตริย์
    ชาวบ้านพอได้ฟังก็ไชโยโห่ร้องพร้อมกัน ว่าควรแล้วพระเจ้าค่ะ
    จะได้ไปเป็นมิ่งขวัญของประชาชน อำมาตย์ข้าราชบริพาร
    คนทุกคนแต่งเครื่องแบบเป็นทหาร เป็นนายหมวดนายหมู่นายกอง
    เป็นแม่ทัพเป็นต้น เวลานี้ปรากฏว่าเขตของไทยมีความรุ่งเรือง
    สวยสดงดงาม แต่งตัวด้วยเครื่องยศฐาบรรดาศักดิ์
    ที่เป็นอย่างนี้เพื่อเป็นการปลุกกำลังใจ ว่าไม่ใช่รบกันแบบทาส
    หรือเอาขอทานเข้าไปตีกัน เครื่องแต่งตัวเป็นการข่มขวัญข้าศึก
    และเขตไทยทั้งหมดประกาศห้าม ห้ามขอมเข้ามาเด็ดขาด
    ถ้าขอมคนไหนแหยมเข้ามาในเขตไทย นั่นหมายถึงตาย

    ฝ่ายพระยาขอม เห็นว่าคนไทยไม่ส่งส่วย ๑ ปี ๒ ปี และก็ ๓ ปี
    จึงได้ส่งคนเข้ามาดูลาดเลาว่าไอ้เจ้าไทยนี้มันจะแข็งเมืองจริงๆ
    หรือยังไง แต่ปรากฏว่า คนของขอมที่เข้ามาดูลาดเลาก็เลยไม่เหลือแม้แต่เงา
    ชีวิตก็ไม่เหลือ นี่ถือว่า ขอมบุกไทย เราถือเป็นปฐมฤกษ์
    เอาชีวิตของขอมเป็นเดิมพัน ในเมื่อเราคาดโทษเขาก็โกรธ
    แต่เราก็ไม่ต้องการกลัวเขาโกรธ เราต้องการจะทำลายชีวิตเขาเป็นการข่มขวัญ
    ฉะนั้น คนที่เด็กชายพรหมมหาราช เมื่อถึงปีที่ ๓ พรหมอายุได้ ๑๙ ปี
    เมื่ออายุได้ ๑๙ ปีตอนนี้เอง ปรากฏว่าขอมเตรียมทัพ
    แต่ความจริงไทยเราเตรียมทัพมา ๓ ปี ตั้งหมวดตั้งหมู่ตั้งกองตั้งยุทธวิธี
    เดินดูยุทธวิธีการรบ ว่าถ้าเรารบเราจะรบที่ไหน
    เราอยู่แถวแม่สายเราก็มารบกันที่สันทราย เราจะตั้งทัพรับขอมที่นี่
    ทีนี้การรบก็จัดเป็นหมวดเป็นหมู่ เป็นทัพปีกซ้ายปีกขวา
    ทัพหน้าทัพหลังทัพหลวง ตามที่กำลังคนจะมีอยู่
    รวบรวมคนที่มีกำลังจริงๆ เวลานี้
    ก็ได้ประมาณ ๔๐,๐๐๐ คน
    และก็ตั้งกองหนุนไว้ คนที่แก่หน่อยเด็กนิดเอาไว้ช่วยกันทีหลัง
    ถ้ามีความจำเป็น นอกนั้นเป็นหน่วยการเกษตร ช่วยกันหาทุกสิ่งทุกอย่าง
    เป็นหน่วยเสบียง นี่เรื่องใหญ่ เตรียมพร้อม ตั้งกองรบ ตั้งกองเรี่ยราย
    ตั้งกองโจรไว้ทั้ง ๒ ข้างทาง ความจริงกองโจรนี่ไม่ตั้งเป็นหมู่ใหญ่
    นี่เขาใช้ทหารธนู หมู่ละ ๙ คน ๑๐ คน อยู่ตรงเขาบ้าง
    อยู่ตามพุ่มไม้บ้าง ล้ำเข้าไปด้านหลังจากแนวหน้า คือว่าเป็นหน่วยที่เรียกว่า
    เหมือนกะชาวนาน่ะ เขาทำแบบนี้นะ อาวุธวางเอาไว้ก็เลี้ยงวัวเลี้ยงควายกันบ้าง
    เป็นชาวไร่ไถนากันบ้าง ทำปลูกผักปลูกหญ้ากันบ้าง ทำให้ข้าศึกไม่รู้
    แต่ว่าหน่วยนี้ทั้งหมด พร้อมที่จะทำลายกำลังของข้าศึก โจมตีด้านข้าง
    ทำให้ข้าศึกพะวักพะวน คิดว่ามีคนมาก เอาลูกธนูมากๆ เป็นธนูเพลิงบ้าง
    ธนูทำลายติดยางน่องบ้าง

    เมื่อถึงปีที่ ๓ เราไม่ส่งส่วยไปแน่นอน ขอมก็เตรียมทัพ
    คนของเด็กชายพรหมหรือพรหมกุมารก็ส่งข่าวมาให้ทราบ เมื่อเขาเตรียมทัพ
    เราก็ยกทัพ ยกทัพไปตั้งรับที่สันทราย แต่ความจริงไม่ได้เตรียมรับ เตรียมรุก
    ลูกไปเชียงแสนลูกจะเห็นว่าเขาเขียนว่า ที่นี่สันทราย แถวนั้นนะลูกรักทั้งหลาย
    เป็นแนวที่เราตั้งรับ คนของเราอยู่ทั้งภาคพื้นดินข้างล่าง หรืออยู่บนยอดเขากลางเขา
    คนที่อยู่ที่สูงใช้ธนูเป็นสำคัญ มาตอนนี้พ่อก็ลืมพูดไป ว่าพออายุ ๑๒ ปีก็ปรากฏว่า
    คืนหนึ่งที่มีเทวดาเข้ามาเข้าฝัน ว่าวันพรุ่งนี้ให้ไปที่แม่น้ำโขง จะมีช้างเผือก ๓ เชือก
    พ่อพูดไปแล้วรึยัง จำไม่ได้นะ ถ้าเชือกหนึ่งจะปราบได้ทั่ว ทั้งเนี่ย
    ทั้งหมดทั้งทั่วทั้งชมพูทวีปมั้ง เอาแล้วปราบเป็นเจ้าโลก
    เชือกที่สองปราบชมพูทวีปได้ ...เชือกที่สามก็สามารถจะปราบขอมได้หมด
    เป็นอันว่าตามกำหนดที่เวลาที่ไปคอยช้าง ...ก็กราบทูลพระราชบิดาทราบ
    ว่าตอนกลางคืน เทวดามาบอกอย่างนั้น พระราชบิดาก็เชื่อมั่นในพระราชโอรส
    ว่าพระราชโอรสที่มาเกิดนี่มาจากพรหม เทวดาต้องประคับประคอง
    จึงอนุญาตให้ไปดัก... พอตอนสาย แทนที่จะเห็นช้างลอยมาในแม่น้ำโขง
    กลับกลายเป็นงูหงอน สีแดงขาวโพลน งูใหญ่มาก ท่านบอกว่า
    เชือกแรกถ้าคล้องมาได้ จะปราบไปทั้งทั่วทั้งไตรภพ ก็หมายถึงว่า เป็นเจ้าโลก
    แต่เด็กชายพรหมกับเพื่อนๆ มองดูต้องการช้างกลายเป็นงู ก็ปล่อยไป
    ตัวที่สองรองลงมาก็เป็นงูอีก ย่อมมานิดหนึ่ง เป็นหงอนสีแดง
    คราวนี้แปลกใจว่าเรามาคอยช้าง เทวดาบอกว่าจะมีช้างกลายเป็นงู
    นี่ปล่อยให้ผ่านไปสอง ถ้าสามงูก็งูล่ะ เอาแน่
    เป็นอันว่าตัวที่สามลอยมาก็เป็นงูตามเดิม เด็กชายพรหมจึงมีบัญชาให้สหชาติทั้งหมด
    ว่างูหรือช้างไม่สำคัญ เราต้องจับ ก็โผลงไปในน้ำ โดดกอดคองูทันที
    งูตัวนั้นก็กลายเป็นช้างเผือก เดินทวนน้ำ น้ำกำลังไหลหลาก
    ที่นั่นจึงมีนามว่าบ้านควาญทวน แต่ว่าจะขับจะไสยังไงให้ช้างขึ้นจากน้ำ
    ช้างก็ไม่ยอมขึ้น จึงได้ให้สหชาติไปกราบทูลพระราชบิดาให้ทรงทราบ
    พระราชบิดาก็เรียกโหรมา โหรก็บอกว่า ต้องใช้กระพังทอง
    เอากระพังทองไปตีล่อจึงจะขึ้น โหรเขาก็เก่ง แต่ความจริงกระพังทองนั้นมีอยู่แล้ว
    ไม่ใช่ทำวันนั้น ตามที่ประวัติศาสตร์ดูเหมือนจะเขียนทำวันนั้นน่ะ
    ทำไม่ทันหรอก ปัดโธ่เอ๊ย จะทำทันอะไร เขาเตรียมอยู่แล้ว
    เขาสั่งให้พระเจ้าแม่ทำไว้แล้ว พระเจ้าแม่ห่วงก็ทำไว้
    จึงได้ให้คนแต่งกายสวยสดงดงาม ถือดอกไม้ธูปเทียน เครื่องสักกาวรามิส
    จัดเป็นขบวนลงไป ไปถึงกราบไหว้ เชิญพระยาคชสารขึ้นช่วยคนไทย
    แล้วตีกระพังทอง ช้างก็เดินตามกระพังทอง ก็ม้าล่อนั้นเอง
    เดินตามมาแบบสบายๆ พอมาถึงบ้าน มาถึงที่อยู่ก็ทำขวัญช้าง
    มีบรรดาประชาชนทั้งหลาย ข่าวไม่ยาก ข่าวจากเสียงคนนี่ไปไกล
    ว่าเวลานี้พรหมกุมารได้ช้างประกายแก้ว เป็นช้างเผือกขาวโพลน
    แต่งตัวระยับคล้ายแก้วประดับตัว สวยสดงดงามมาก
    จึงได้ทำร่างแหใส่หน้าช้าง แล้วก็ทำอะไรต่ออะไรเยอะๆ
    ต่อมาเมื่อได้ช้างมาแล้ว ขณะที่ช้างตัวนี้ปล่อยเข้าในป่า
    ไม่มีการใส่ปลอก เป็นอิสรภาพ ใช้รางที่จะสำหรับจะกินหญ้า ก็รางทองคำ
    เข้าไปในป่าสัตว์ร้ายยอมราบคาบแก้ว กลัวช้างนี้ทั้งหมด แต่ในเมื่อกลัวช้างนี้ทั้งหมด
    แต่ปรากฏก็มีช้างอีกเป็นจำนวนมาก เข้ามาร่วมฝูงด้วย โดยไม่ต้องไปต่อช้าง
    ไม่ต้องไปดึงช้าง ช้างเข้ามาเป็นสหชาติ และเป็นเรียกว่าเป็นร่วม ขอให้ช้างตัวนี้เป็นหัวหน้า
    ตามเข้ามาในเวียง เป็นอันว่าทุกคนดีใจมาก มีช้างแล้วก็มีม้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ม้าอาชาไนยก็มีเยอะ การจะฝึกจะปรือช้างในการรบ ก็รู้สึกว่าทำง่ายๆ
    พูดภาษาคนพูดแบบไหนทำแบบนั้น แล้วก็มีความฉลาด ดีไม่ดีก็ฝึกคนเสียด้วย
    ช่วยให้คนมีความฉลาด

    นี่เป็นอันว่า การยกทัพไปคราวนั้น ก็จะมีช้างพลายประกายแก้ว
    ซึ่งเด็กชายพรหมหรือพรหมกุมารเป็นคนประทับ ทรงเครื่องเป็นแม่ทัพใหญ่
    แต่งตัวสง่าผ่าเผย สำหรับพระราชบิดาประทับบนหลังช้างๆ หนึ่ง
    มีเศวตฉัตรกั้นเป็นจอมทัพ แล้วก็มีแม่ทัพนายกองแต่งตัวสวยๆ
    เรื่องสวยๆ นี่เป็นเรื่องของผู้หญิง นี่พรหมกุมารกราบทูลพระราชบิดาพระราชมารดาว่า
    นักรบทุกคนจะต้องแต่งตัวสวย ความแต่งตัวสวยเป็นการ
    เขาเรียกว่าตัดไม้ข่มนาม เป็นการข่มกำลังใจกันไปในตัวเสร็จ
    ไม่ใช่ว่าเขาแต่งตัวสวยของพวกเรากระจอกงอกง่อย มีเกราะเงินมีเกราะทองตามตำแหน่ง
    พลทหารทั้งหมดก็ใช้เกราะเงินแกมทอง ขลิบทอง นายทหารก็ใช้เกราะทอง
    แม่ทัพใช้เกราะทองประดับเพชร มันมีความสง่าผ่าเผยเรื่องการแต่งตัวสวยเนี่ย
    เป็นการให้ข้าศึกครั่นคร้าม เป็นจิตวิทยาอันหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีการรบ
    เราก็ยังพร้อมรับแล้วก็พร้อมรบ จึงแต่งตัวสวยชะโอดชะอง ก็พร้อมพอขอมยกทัพมา
    ตามธรรมดากองทัพเขาต้องตั้งค่ายประจันหน้ากัน
    เมื่อตั้งค่ายประจันหน้ากันแล้วจึงจะเจรจา คุยกันก่อนแล้วก็ตีกัน
    กำลังของข้าศึกที่ยกมาเวลานั้น กำลังมากกว่าประมาณ ๔ เท่า
    ดูกองทัพของทางเรากระจ้อยร่อยนิดเดียว แต่แม่ทัพยิ้ม
    แล้วก็พวกลูกน้องทัพ ๒๕๐ คนยิ้มนำกลุ่ม ชี้ให้ดูว่าพวกนี้ไม่มีชีวิต
    เขาเป็นการปลุกใจกัน บอกเจ้าพวกขอมพวกที่มานี่
    มันเป็นผีทั้งหมด มันจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้นี่ ดูซิว่าเครื่องแต่งกายมันก็สู้เราไม่ได้
    มันเป็นอสุรกายแท้ๆ แล้วมาอย่างต้องเกณฑ์กัน แต่ของเราไม่มีการเกณฑ์
    เรามาด้วยกำลังใจ การจะรบแพ้หรือชนะมันอยู่ที่กำลังใจเป็นสำคัญ
    แล้วก็เรามีความสามัคคีกัน มีความหวังดีกัน นี่แหละลูกหลานที่รัก
    การที่เราจะชนะกัน จะมีการอยู่ร่วมกันด้วยดี
    ก็ต้องอาศัยการชนะกำลังใจเป็นสำคัญ ถ้าหากว่าเราไม่สามารถชนะใจได้
    เราเอาชนะแต่แรงกาย มันไม่ชนะจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    พวกที่อยู่ด้วยกันนี่ลูกรัก ต้องมีความสามัคคีกัน เป็นอันว่าขบวนการของเรานี่
    จะเรียกว่าขบวนการหรือกลุ่มของเราก็ได้ เวลานี้เต็มไปด้วยอันตราย
    เขาใช้วิธีการหลายแบบ ที่จะให้ทำให้พวกเราแตกกันเขาก็ใช้อยู่
    และนอกจากนั้นเขาก็ใช้กำลัง คิดจะประหัตประหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพ่อ
    และประการที่ ๒ ก็ลูก บรรดาลูกทุกคนต้องระมัดระวัง เขาจะหาทางบ่อนกำลังใจ
    จะทำอันตรายกับพาหนะของเรา พาหนะของเราที่เคลื่อนไป
    ถ้าบังเอิญไปหกล่มจมคว่ำเป็นอันตรายสองสามคราว คนก็ไม่ไว้วางใจในพ่อ
    หาว่าคุ้มครองไม่ได้ เขาจะทำให้กลุ่มเราแตกกัน เมื่อความแตกสามัคคีเกิดขึ้น
    ความมั่นคงของชาติมันก็หมดไป

    อย่าคิดว่าคนกลุ่มเรามีไม่กี่คน มีความสำคัญยังไง อย่าลืมว่า
    คนทุกคนแต่ละกลุ่มละกลุ่ม กลุ่มเล็กๆ ถ้ารวมกันเข้าเป็นหลายๆ กลุ่ม
    มันก็เป็นกลุ่มใหญ่ ดูแต่ไม้เรียวหนามรึว่าไม้ขี้ตอก
    ถ้าแบ่งเป็นชิ้นๆ ทีละอันละอัน มันก็หักง่าย
    แต่รวมเข้ามาเป็นกลุ่ม ๙ อัน ๑๐ อันมันก็หักยาก
    แต่ไอ้ไม้เป็นกลุ่มๆ ๙ อัน ๑๐ อัน ถ้ามันมีหลายๆ กลุ่ม
    กำลังของชาติก็เต็มไปด้วยความสามัคคี เต็มไปด้วยความมั่นคง
    แล้วก็จงอย่าคิดว่า ชาติเนี่ย จะต้องใช้แต่เฉพาะกำลังทหาร
    คำว่าทหารก็คือคนไทยทุกคนเป็นทหาร แต่พ่ออยากจะให้คติเตือนใจ
    ว่าเวลานี้ ที่พ่อพูดนี่ มันเป็นวันที่ เอ้อ เป็นวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒
    เป็นเวลาที่เขาหาเสียง เลือกผู้ตั้ง เลือกตั้งผู้แทน ผู้แทนคนไหนดี
    คนไหนไม่ดี ดูไม่ยากหรอกลูก คนที่จะมาเป็นผู้นำของเรา
    เป็นตัวแทนของเราน่ะ ลูกจงมองดูตัวของลูกว่า
    ลูกต้องการให้คนอื่นเห็นว่าลูกเลวหรือว่าลูกดี ผู้แทนของเราถ้าเขาทำดี
    ก็หมายถึงว่าพวกเราดี เขาจะเห็นว่าพวกเราเนี่ยเป็นคนดี
    สามารถเลือกคนดีเข้าไปได้ ถ้าเราเป็นคนเลวเราก็จะเลือกคนเลวเข้าไปได้
    ดีหรือเลวเรามองดูกันตรงไหน ความดีหรือความเลวเนี่ยเขาดูกันที่จริยา คือ
    ๑ ทานการให้ จะไปที่ไหนก็ตามต้องดูสืบประวัติเสียก่อน
    ว่าคนจะเป็นผู้แทนของเราเนี่ย เคยมีจิตกว้างขวางโอบอ้อมอารี
    เมตตาปรานีกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันรึเปล่า เพื่อนคนไทยด้วยกันรึเปล่า
    เขามีมั้ย ยามปกติเราเคยเห็นหน้าเขาบ้างมั้ย
    รึว่าเขาทำงานส่วนใดเป็นสาธารณประโยชน์บ้าง
    แล้วหรือว่าก่อนที่จะมาเป็นผู้แทนไม่เคยเห็นหน้าเลย
    แต่พอก็เพิ่งจะมาดีเมื่อตอนเป็นผู้แทนเนี่ย เจอะหน้าใครก็ไหว้
    คนประเภทนี้อย่าเลือกเข้ามาเลยลูก ถ้าเลือกมาแสดงว่าเราทั้งพวกเลวทั้งหมด
    หรือว่าคนเป็นคนโง่ทั้งหมด เพราะเพียงเขาจะต้มง่ายๆ แบบนี้
    เราก็โอเคกับเขาแล้วนี่ แล้วเพียงแค่เขาโกหกเพียงเท่านี้ เราก็เชื่อว่าเขาดี
    ในเมื่อเขาไม่ดี เราไม่เคยเห็นหน้าเขา ขาดการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
    มันเป็นคนไม่ดี เราเลือกเขาเข้าไปก็แสดงว่า เราน่ะเป็นคนไม่ดี
    แล้วมาประการที่ ๒ ปิยวาจา เวลาจะเลือกคนที่เป็นผู้แทนเข้าไป เราจะต้องคิด
    วาจาที่เขากล่าวทุกถ้อยคำน่ะ เป็นวาจาของเรา ทีนี้เท่าที่สังเกตดู ก็ดูอย่างนี้
    เวลาเขาเลือกเขาพูดด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใส่ร้ายป้ายสีซึ่งกันและกัน
    ไม่ทำไม่ เรียกว่าไม่ให้ร้ายใคร ใครจะดีใครเขาจะชั่วเขาไม่พูดถึง
    เขาพูดถึงด้วยเหตุผลอย่างเดียวว่า ทำอะไรมันถึงจะดี
    นี่คนที่เป็นผู้แทนไม่ใช่ไปนั่งฟังด่า ถ้าคนชอบด่าล่ะก็อย่าเลือกเข้าไป
    เราเลือกคนชอบด่าเข้าไป เขาจะหาว่าเรานี่เป็นคนเลว
    คนใช้วาจาด่าเป็นวาจาที่ไม่ดี วาจาที่ไม่ดีก็ ๑ วาจาโกหกมดเท็จ
    ๒ วาจาหยาบ ๓ ส่อเสียด ยุยงส่งเสริมให้เขาแตกกัน
    ๕ พูดไร้สาระไร้ประโยชน์ เอ๊ย ๔ พูดสาระไร้ ๔ ไร้สาระไร้ประโยชน์
    ทีนี้คนที่เราจะเลือก เราให้เป็นเขาเป็นผู้แทน เราก็ต้องดู ดูว่าวาจาเขาไพเราะไหม
    พูดขึ้นมาเสียดสีใครบ้างรึเปล่า ด่าใครบ้าง ว่าใครบ้าง
    คนประเภทนี้อย่าเลือกเข้าไปเลย เพราะเป็นคนเลว มีวาจาเลวก็แสดงว่า
    ใจของเขาเป็นคนเลว เข้าไปก็เพราะการเลือกผู้แทนนี่
    ผู้แทนเราต้องการผู้แทนสร้างความสามัคคี ไม่ใช่ผู้แทนแตกความสามัคคี
    จะต้องเอาดีกันด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่เอาดีด้วยการด่ากัน
    คนไทยเรามักจะชอบฟังด่า แต่พ่อก็ไม่ได้ดูถูกคนทุกคน
    คนทุกคนเขามีปัญญา เราดูความสามารถ ดูใจโอบอ้อมอารี
    ไม่เห็นแก่ตัว ถ้าบุคคลที่เห็นแก่ตัว อย่าเลือกเข้าไปเลยลูก
    เขารวยกันมาเยอะแล้ว ถ้าเราไปฟังแล้วหาคนดีไม่ได้
    เราก็ต่างคนต่างไม่เลือกมันเสียเลย ถ้าเราจะเอาคนเลวเข้าไปเป็นผู้แทนของเรา
    อย่าเอาเข้าไป ถ้าถามว่าไม่เลือก ก็จะเป็นการนอนหลับทับสิทธิ์
    ความจริงเราไม่เลือกเสียเลยนั่นแหละดี ถ้าหากว่าเราไม่ได้คนดี
    เลือกเข้าไปได้คนเลว ๑ เงินของชาติที่เราเสียไป
    เงินของชาติก็ได้แก่หยาดเหงื่อแรงงานของเรา
    เราไปจ้างคนเลวให้เขาไปทำความเลวแทนเราในสภา
    นอกจากนั้นเขายังจะสร้างความเลว ถืออภิสิทธิ์ต่างๆ
    คนใดถ้าอยากเป็นรัฐมนตรี อย่าเลือกเข้าไปเลยลูก
    คนประเภทนี้แสดงว่า เขาไม่ได้ตั้งใจจะแทนเรา
    เราเคยเห็นมั้ย พวกรัฐมนตรีที่เป็นผู้แทนน่ะ
    เข้าไปสร้างความยุ่งยากให้เกิดในเวลานี้แหละ มีมั่งรึเปล่า แต่เราก็ไม่ได้ดูถูกว่า
    คนที่เป็นผู้แทนน่ะไม่ดีไปทุกคน หมายความ นี่พ่อหมายความว่า
    ให้เลือกคนดีเข้าไป และเมื่อเลือกคนดีเข้าไปแล้ว ก็สังเกตไว้
    ถ้าในอดีต ใครอยากเป็นรัฐมนตรี อย่าเลือกเข้าไปเลย
    รึว่าอยากเป็นนายกก็อย่าเลือกเข้าไป ถ้าอยู่ๆ เฉยๆ
    เขามาเชิญไปเป็นรัฐมนตรี เขาเชิญเป็นนายก อันนี้ควร
    และก็ดูการบริหารในอดีตของเขาด้วย ว่าเขาเคยทำดีหรือเคยทำชั่ว
    ใครเคยทำชาติให้บรรลัยมาบ้าง ใครเคยทำชาติให้ดีขึ้นมาบ้าง
    ในขณะที่ โดยมากเราก็จะเจอะผู้แทนหน้าเก่าๆ มันเป็นของไม่ยาก
    ถ้าบังเอิญจะเป็นผู้แทนหน้าใหม่ เราก็ต้องดูกำลังใจว่า
    เขาเคยมีความโอบอ้อมอารีไหม นี่การเลือกผู้แทนเป็นอย่างนี้แหละลูกนะ
    อย่าลืมว่าเลือกส่งเดชเขาถือว่าอย่านอนหลับทับสิทธิ์ แต่ถ้าเราเห็นว่าไม่ดี
    เราก็ไม่ควรจะให้เอาใช้สิทธิ์ของเรา ไปเอาคนไม่ดีมาเป็นผู้แทนเรา
    เขาจะเข้ามาเข่นฆ่าเรา ดีไม่ดีมีสมัยหนึ่ง เจอ นปข วิ่งกั้นแม่น้ำโขง
    สำรวจอาวุธที่ผ่านมา มีครั้งหนึ่ง พ่อไม่ทราบว่าเป็นคำสั่งของใคร
    ห้ามเรือ นปข วิ่ง ๗ วัน ปรากฏว่าเมื่อก่อนนี้ผู้ก่อการร้ายมีอาวุธน้อย
    คนหนึ่งหรือสองสามคนจะมีปืน ๑ กระบอก เมื่อเรือ นปข
    ไม่ตรวจลำแม่น้ำโขงเพียง ๗ วัน ผู้ก่อการร้ายมีอาวุธปืนคนละ ๓ กระบอก
    นี่เป็นการเปิดช่องทางให้เข้ามาทำลายชาติ
    ก็แสดงว่าเขารับจ้างจากใครมาคนใดคนหนึ่ง
    แล้วก็ประการที่ ๒ ความปั่นป่วนของชาติ ความไม่มีระเบียบวินัย
    ความไม่มีระเบียบวินัยในชาติเนี่ย มันเกิดจากใคร
    มันมีอยู่สองสามสมัย เด็กโตกว่าผู้ใหญ่ จะด่าใครก็ได้ ทำลายใครก็ได้
    เป็นอันว่าชาติที่เป็นมิตร จะคิดประทุษร้าย ทำลายเขาเสีย เยี่ยวรดธงเขาเสีย
    เรือฟรีเกตจะนำอาวุธให้มาเข้ามาประเทศไทย มีค่านับเป็นพันล้าน
    ซึ่งเราจะไม่ต้องจ่าย ไปเยี่ยวรดธงเขาเข้า
    ปรากฏว่าเขาเลยเบนหัวไปให้สิงคโปร์ ทีนี้เงินของเราก็จะไม่มีอยู่แล้ว
    ไปทำแบบนั้น มันเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าเราจะให้คนมาเป็นรัฐบาลนี่
    จะต้องเป็นคนที่มีความ มีมันสมองยาวๆ เห็นความดีของชาติ
    เห็นความดีของประชาชน แสดงความเป็นมิตรรอบๆ ประเทศ
    เราอย่าถือว่าเขาเป็นลัทธิต่างกับของเรา มันไม่สำคัญ
    เรื่องลัทธิน่ะมันเป็นตัวหนังสือ แต่ความดีไม่ดีมันอยู่ที่จิตใจของบุคคล
    นี่เป็นอันว่า เวลานี้เป็นเวลาที่ใกล้จะเลือกผู้แทนราษฎร
    แต่ว่าถามว่าจะเลือกใคร ก็ต้องบอกว่าดูก่อน ดูประวัติก่อน
    ถ้าหากว่าเห็นว่าไม่สมควรก็ไม่ไปเลือกเสียเลย ในเขตของเราก็ไม่ต้องมีผู้แทน
    ถ้ามีใครดี พูดดี เวลาที่เขาพูดไม่โจมตีใคร แสดงเหตุแสดงผล
    และก็มีประวัติดี คำว่าประวัติดีมีความโอบอ้อมอารีแก่บุคคลทั้งหลาย
    ก่อนที่จะมาเป็นผู้แทนนานแสนนาน ดูไว้ก่อน
    ถ้าบังเอิญเราไม่สามารถจะรู้ประวัติได้ก็ดูลีลาในการพูด
    พูดชี้แจงเหตุชี้แจงผล พูดเพื่อความสามัคคีเพื่อคงอยู่
    ใครจะด่าจะว่าก็ไม่กระทบกระเทือน ทำใจสบายๆ เขาถามว่าเขาด่าท่าน
    ท่านว่ายังไง เขาบอกว่า ตามใจเหอะ ผมห้ามคำด่าไม่ได้
    นัตถิ โลเก อะนินทิโต คนไม่ถูกด่าว่านินทาไม่มีในโลก
    ก็เป็นธรรมดา และผมเข้ามานี่
    ๑ ผมไม่ต้องการเป็นรัฐมนตรี
    ๒ ผมไม่ต้องการเป็นเลขานุการ ผมต้องการเป็นผู้แทนของประชาชนฝ่ายเดียว
    และก็ดูการลงทุนเขา ไม่เลี้ยงเหล้าเมายาใครต่อใคร
    พูดด้วยเหตุด้วยผล ถือว่าได้ก็ได้ ไม่ได้ก็แล้วไป เพราะคนที่เลี้ยงเหล้าเมายา
    คนที่ลงทุนมาก เขาต้องการกำไรลูกรัก คนเราถ้ายังมีกิเลสอยู่
    ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อว่าเขาดี ยิ่งมีกิเลสเดี๋ยวก็นำกิเลสมาใช้ในเวลาหาเสียง
    ก็ยิ่งเลวกันไปใหญ่ เอ้าเรื่องของพระเจ้าพรหมเลยไม่ไปถึงไหน
    ก็มาจอดกันอยู่แค่เรื่องของผู้แทนราษฎร แต่มันยังไม่จบ ละงวดข้างหน้า
    พ่อจะเล่าถึงผู้แทนที่ดีสักคนหนึ่งให้ลูกฟัง ทั้งนี้จะได้เป็นประโยชน์สำหรับลูก

    สำหรับหน้านี้ เทปก็หมดแล้ว ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้นะ ฟังงวดหน้าต่อไป
     
  15. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    15.ตัวอย่างผู้แทนที่ดี.mp3
    เอ้อ ลูกรักทั้งหลาย สำหรับตอนนี้ พ่อจะขอพักเรื่องของพระเจ้าพรหมสักครู่หนึ่ง
    จะมาเล่าประวัติผู้แทนตัวอย่าง คือผู้แทนที่ดีน่ะก็มีมาในกาลก่อน เวลานั้น
    รู้สึกว่าปริญญามีน้อย คนที่จะได้ปริญญาในประเทศไทย ปริญญาตรีก็มีน้อย
    แล้วการสำเร็จการจากต่างประเทศก็มีน้อย แต่ปรากฏว่าผู้แทนรุ่นแรกๆ
    เขาเป็นผู้แทนที่ดีมาก ใช้วาจาก็ไม่สามหาว ไม่สำราก ไม่ด่ากัน
    เวลาเลือกผู้แทน เขาก็ไม่โจมตีคนโน้น เขาไม่โจมตีคนนี้
    จึงได้คนดีเข้าไปมาก แล้วก็คนแต่ละคนที่เข้าไปเป็นผู้แทนราษฎร
    เวลานั้นมีบทเฉพาะกาลสำหรับรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ
    ว่าฝ่ายคณะราษฎร์จะต้องยึดอำนาจในการปกครองชั่วคราว ระยะ ๑๐ ปี
    เพราะว่าการศึกษาของบรรดาประชาชนยังไม่ดี ความจริงพ่อก็เห็นด้วย
    ถึงแม้ว่าเวลานี้ก็เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะมีปริญญากันเกลื่อน
    พ่อก็ยังคิดว่าการศึกษาของประชาชนยังไม่ดีเหมือนกัน
    เพราะการศึกษานี่ต้องใช้ ๓ อย่างควบกัน
    ๑ สัญญาความจำ จำจากตำรา
    ๒ มีปัญญา ในการใช้หลักวิชาความรู้ให้เหมาะสมกับภูมิประเทศและกาลสมัย
    ๓ ความสามารถแล้วก็การเข้าถึงประชาชน มีจิตใจเสียสละ
    น่าจะเป็น ๔ ควรจะเป็น ๔ ว่าการเข้ามาบริหารประเทศ จะเป็นผู้แทนราษฎรก็ดี
    จะเป็นรัฐบาลก็ดี จะเป็นข้าราชการก็ดี ทุกคนคนประเภทนี้ต้องทำงานเพื่อชาติ
    ไม่ใช่ทำงานเพื่อส่วนตน แล้วก็ไม่มีการใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไม่เกินพอดี

    เป็นอันว่าเวลานี้การศึกษา ถึงแม้ว่าจะมีปริญญามาก พ่อก็ว่ายังไม่ดี
    มันมีแต่เพียงว่า การศึกษาหาความรู้ใช้สัญญาจำเข้ามาเท่านั้น
    ปริญญาก็คือกระดาษแผ่นหนึ่ง ราคาไม่กี่สลึง แต่ว่าปัญญาซิลูกรัก
    ปัญญากับการเสียสละ ความสามารถของคนหายาก
    นี่เราต้องการเช่นนี้ แต่ความจริงเราจะเคยเห็น ถ้าหากว่าเคยเป็นครู
    จะมีครูหลายคนที่ไม่มีวุฒิสูงแต่ว่ามีความสามารถดี
    อันนี้อาศัยประสบการณ์ สำหรับผู้แทนราษฎรก็เหมือนกัน
    คนที่จะเป็นผู้แทนที่ดีเนี่ย เขาต้องเป็นผู้แทนบุคคลมาก่อน ก่อนที่จะเลือก
    คือ ๑ สนใจกับความเป็นสุขเป็นทุกข์ของบรรดาประชาชน
    ประการที่ ๒ มีความโอบอ้อมอารี
    ประการที่ ๓ เมื่อเพื่อนเป็นทุกข์ คนไทยทุกคนเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ด้วย
    หาทางจะช่วยก่อน ก่อนที่จะเป็นผู้แทน
    แล้วก็ประการที่ ๔ ไม่มีความทะเยอทะยาน อยากจะเป็นนักฝ่ายบริหาร
    อยากจะเป็นนายก อยากจะเป็นรัฐมนตรี อยากจะเป็นรัฐบาล
    คนไหนพูดว่าถ้าข้าพเจ้าได้เป็นรัฐบาล ข้าพเจ้าจะทำอย่างนั้น
    ข้าพเจ้าจะทำอย่างนี้ ก็ลองถามเขาดูว่า ถ้าเขาเป็นรัฐบาลแล้ว
    เขาจะต้องการเงินเดือนมากกว่าผู้แทนมั้ย ถ้าเขาไม่ต้องการเลยก็ดีอยู่นี้ดหนึ่ง
    แต่ระวัง เงินเดือนของรัฐบาลไม่มีความสำคัญ สำคัญเงินที่ไม่ใช่เงินเดือน
    คนที่เป็นรัฐบาลถ้าหากว่า เขาเห็นว่าเงินเดือนสำคัญก็ยังดี
    ถ้าเขาเห็นว่าเงินเดือนไม่สำคัญ เขามีเห็นความสำคัญเงินที่ไม่ใช่เงินเดือนนี่
    ประเทศชาติพัง
    และก็ประการต่อไป ก็ต้องมีมันสมองสูง เห็นทุกข์ของราษฎรเป็นทุกข์ของตน
    ไม่ใช่ราษฎรนอนหนาว ถูกรุกรานด้วยประการต่างๆ
    แต่คนที่เป็นรัฐบาลก็นอนเฉย สบาย เรียกว่าฉันทำทองไม่รู้ร้อน
    ใครจะรุกใครจะรานใครจะด่าใครจะว่า จะชุมนุมอะไรกันที่ไหน
    รัฐบาลก็ทำเฉย กฎหมายของบ้านเมืองรัฐบาลเห็นไม่มีความหมาย นี่เรียกว่า
    ทรัพย์สินของรัฐบาล ของรัฐ จะชิบหายวายวอดยังไงก็ช่าง
    ใครจะเผา ใครจะพัง ใครจะทำลาย ใครที่ไหนก็ช่าง
    คนที่เป็นรัฐบาลทำเฉย แต่ว่า พอใครเขาจะมาแตะรั้วข้างบ้าน โกรธ
    คนประเภทนี้ถ้าอดีตประวัติมี ก็อย่าเลือกเข้าไปเลย
    เลือกเข้าไปไม่ช้าประเทศชาติก็พัง ก็สลายตัว
    อีกประการหนึ่ง คนที่ดีแต่พูด ชอบด่าคนโน้นชอบว่าคนนี้
    ชอบกระแนะกระแหนคนนั้น ชอบกระแนะกระแหนคนนี้
    คนประเภทนี้ยังเป็นคนวาจาเสีย คือเป็นวาจาส่อเสียด
    แล้วก็ทำลายบุคคลอื่น คนประเภทนี้จงอย่าเลือกเข้าไปเป็นผู้แทนราษฎร
    เข้าไปก็ไปสร้างความวุ่นวายในสภา

    จะยกตัวอย่างบุคคลสักคนหนึ่งในจำนวนคนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ในสมัยนั้น
    เขาเป็นคนดี แต่หลวงพ่อจะเอานำมาพูดทุกคนมันไม่ไหว
    ตัวอย่างคนหนึ่งก็นั่นคือ นายสว่าง สนิทพันธ์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี
    คนนี้เป็นผู้แทนราษฎรเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อเป็นผู้แทนราษฎรแล้วมีอยู่ว่า
    สมัยนั้น ถ้าผู้แทนคนไหนดี เขาก็คัดเข้าไปเป็นคณะรัฐบาลเหมือนกัน
    ไม่ใช่ว่าคณะราษฎร์ หรือคณะผู้ก่อการ
    ล้มล้างรัฐบาลราชาธิปไตยมาเป็นประชาธิปไตย แต่ว่าถือว่า
    ที่เรียกกันว่า เป็นเผด็จการ จะต้องครองอำนาจอยู่ ๑๐ ปีตามบทเฉพาะกาล
    ไม่ใช่ว่าเขาจะเอาแต่เฉพาะพวกเขา เขาก็เลือกผู้แทนที่มีความสามารถ
    อย่างขุนคงฤทธิ์ศึกษากรนี่ เคยเป็นศึกษาอำเภอ เป็นข้าราชการชั้นจัตวา
    เขาก็เลือกเอาเข้าไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
    และคนนี้ทำงานได้ดีมาก เป็นรัฐมนตรีอยู่หลายสมัย
    อย่างกับขุนอะไรล่ะ พ่อก็นึกชื่อไม่ออก เป็นอันว่าคนนี้เป็นปลัดอำเภอ
    ก็เป็นปลัดอำเภอตรี หรือจะเป็นตรีจัตวาไม่ทราบ
    เอ้อ พ่อนึกถึงว่า ชื่อขุนราชวัตร ขุนสมาหารหิตะคดี
    ขุนสมาหารหิตะคดีคนนี้เป็นปลัดอำเภอชั้นจัตวาเหมือนกัน แต่ปรากฏว่า
    มีโอกาสเข้าไปเป็นรัฐมนตรีว่าการช่วยมหาดไทยอยู่หลายสมัย
    นี่ยกแต่เพียงตัวอย่างว่าคนสมัยนั้นเขาไม่ได้ปริญญา
    ถึงแม้ว่าเขาจะมีบทเฉพาะกาล ฝ่ายคณะราษฎร์
    หรือว่าผู้ก่อการลบล้างรัฐบาลราชาธิปไตยมาเป็นรัฐบาล ถ้ามีบทเฉพาะกาลว่า
    เขาจะต้องคุมการบริหารประเทศไป ๑๐ ปี แต่เขาก็ไม่ได้คุมโดยเฉพาะพวกเขา
    ถ้าพวกผู้แทนที่ดีเขาก็เอาเข้าไปเหมือนกัน แล้วก็ทำงานได้ดีด้วย
    การพูดการโจมตีซึ่งกันและกันในสภา ใช้วาจาสามหาวก็ไม่มี
    การพูดแต่ละคำที่ออกมา รู้สึกว่าเป็นวาจาที่มีประโยชน์
    พูดเพื่อชาติกันทุกคน สมัยนั้นไม่มีพรรค พรรคการเมือง
    ไอ้เรื่องพรรคการเมืองนี่พ่อไม่ทราบว่าดีหรือไม่ดี พ่อไม่ทราบ
    แต่เวลานั้นไม่มีพรรค ต่างคนต่างใช้ความคิดความเห็นเป็นอิสระ
    พ่อว่านั่นมันเป็นประชาธิปไตยแท้ ถ้าเข้าไปในรูปของพรรคการเมือง
    ก็จะต้องอยู่ในอาณัติของพรรค เคยมีผู้แทนหลายคน ออกมานั่งบ่นว่า
    ความคิดเห็นของเราเป็นอย่างนี้ จะแสดงออกก็ไม่ได้
    ต้องสุดแล้วแต่หัวหน้าพรรคเขาจะให้พูดแบบไหน จะเอาแบบไหน
    แล้วพ่อก็คิดว่า หัวหน้าพรรคนี่ไม่ใช่พระอรหันต์ ยังมีความรักในเพศ
    ยังมีความโลภ ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง ก็เห็นพรรคอยู่พรรคหนึ่ง
    สมัยที่พรรคประชาธิปัตย์ที่คุณควงเป็นนายกรัฐมนตรี
    หรือว่าหลวงโกวิทอภัยวงศ์ ตอนนั้นดี
    แต่ว่าตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็ชักจะปัดไปปัดมาเสียแล้ว
    มาตอนหลัง หลังจากที่คุณควงตายไปแล้ว แต่พ่อก็ไม่ได้ว่าเขาเลว
    แต่ว่าความมั่นคงไม่เหมือนสมัยนั้น สมัยนั้นคุณควง
    เวลาที่คนที่จะเข้าไปเป็นสมาชิกร่วมด้วย เป็นคณะในพรรค
    พ่อเคยได้ฟังคำแนะนำของแก เคยนั่งฟัง ก็ดูเหมือนว่าแกจะเทศน์นั่นเองแหละ
    ให้ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ละการเห็นแก่ตัวทั้งหมด ให้ทำความเพื่อชาติ
    นี่ หัวหน้าพรรคเขาเป็นยังงั้น

    เป็นอันว่า สำหรับนายสว่าง สนิทพันธ์ มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง
    เวลาที่แกหาเสียงแกใช้เงินไม่มาก เป็นอันว่าใช้คนสองสามคนเป็นเพื่อน
    เดินเข้าไปถึงประชาชนถึงบ้าน เดินหาเสียง
    แต่ความจริงใครก็ไม่รู้ว่าแกจะดีหรือไม่ดีเหมือนกัน
    แต่คนไทยเราก็มีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าเขายกมือไหว้และเขายิ้มเราก็ว่าดี
    แต่ว่านายสว่าง สนิทพันธ์คนนี้ เดินเข้าไปหาเสียง ไปขอร้อง
    ไปขอเสียงเองถึงบ้าน ตามปกติเป็นทนาย
    ทนายสมัยนั้นก็รู้สึกว่าใหญ่โตมาก มีคนกลัว ถือว่าเขารู้กฎหมาย
    แต่ว่าทนายเข้าไปถึงบ้าน ยกมือไหว้ดะไม่ว่าใคร
    ตอนนี้มันเป็นการชนะกำลังใจซึ่งกันและกัน
    และการหาเสียงก็ไม่โจมตีบุคคลอื่น แกบอกว่า
    ถ้าเห็นสมควรว่าผมดีก็เลือกผมนะครับ ถ้าหากว่ายังจะเห็นว่าคนอื่นดี
    จะเลือกคนอื่นก็ไม่เป็นไร ผมมานี่ผมมาขอร้องท่าน
    ว่าตั้งใจจะมาเป็นผู้แทนของท่าน การทำแบบนี้ใช้ทุนไม่มาก
    ขยายเสียงก็ไม่มี เดินหาเสียงกันจริงๆ ในที่สุด
    บรรดาประชาชนชาวจังหวัดสุพรรณบุรีก็ลองเสี่ยง คิดว่าเจ้าผู้แทนคนนี้
    หรือว่าเจ้าทนายคนนี้ทำตนเหมือนยาจก มาขอถึงบ้าน
    ก็ลองให้มันดู มันอุตส่าห์เดินไปเดินมาแบบนี้ก็ลองให้ดู มาดูแล้วก็มีผล
    เป็นอันว่าในสมัยนั้นถ้าใครพูดมาก เขาไม่ให้เป็นรัฐมนตรี หรือว่าใครพูดมาก
    เขาไม่ให้เป็นเลขานุการของรัฐมนตรี บรรดาลูกรักของพ่อทั้งหลายอย่าลืมว่า
    ตำแหน่งรัฐมนตรีก็ดี ตำแหน่งเลขานุการของรัฐมนตรีก็ดี
    เป็นตำแหน่งถ้าคิดจะโกงก็คือได้เงินมาก ทีนี้ต่อมา
    นายสว่างแกหาเสียงแบบนั้นเข้ามาแล้ว อะไรในเขตจังหวัดของแก
    ถ้ามันไม่ดี แกก็ตั้งกระทู้ถามรัฐบาล และแกก็เป็นคนเอาจริงเอาจัง
    พูดกันง่ายๆ ว่ารัฐบาลมักจะเกลียดปากนายสว่าง
    แต่ว่าเขาไม่ได้ด่าโวยๆ เขาไม่ได้โจมตีส่งเดช
    เขาพูดประกอบไปด้วยเหตุด้วยผล พูดแบบทนายพูด
    ใครคนราษฎรฟังนายสว่างพูดในสภาก็ชอบใจ นั่นจุดหนึ่ง
    แล้วมาเมื่อสมัยเมื่อเลือก จับได้เป็นผู้แทนราษฎรแล้ว
    นายสว่างก็ไม่ได้เงียบหายไป เดินทางไปเยี่ยมบรรดาประชาชนทั้งหลาย
    ที่เลือกเขาเข้าไป เขาก็ไปขอบคุณถึงบ้านอีกวาระหนึ่ง
    ไปทุกบ้านในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีทั้งหมด และก็ไปก็ไหว้
    ยกมือรกยกมอบราบหมอบราบกราบไหว้ตามเดิม
    บอกว่าถ้ามีธุระอะไรล่ะก็ไปหาผมที่จังหวัดนะขอรับ ผมตั้งสำนักงานไว้
    เวลาผมไม่อยู่ไม่เป็นไร มีน้องชายผมคือนายแสวง สนิทพันธ์ เป็นน้องชาย
    คอยต้อนรับอยู่ที่สำนักงานที่จังหวัด แล้วก็การที่จะเยี่ยมจะเยือนเนี่ย
    คนทั้งจังหวัด เวลาว่างจากการประชุม ผมขอมาเยี่ยมครั้งเดียวนะครับ
    ถ้ามีเรื่องอะไรไปหาผมที่สำนักงาน แล้วเวลาที่ราษฎรไปหาเขาที่สำนักงาน
    เขาอยู่หรือไม่อยู่ น้องชายอยู่ ก็รับรองดี เป็นกันเอง
    พ่อก็มานั่งคิดว่าเงินเดือนนายสว่าง สมัยนั้นเงินเดือน ๔๐๐ บาท
    คงไม่พอใช้แน่ แต่ค่าของเงินมันสูง แต่ก็อาศัยชีวิตทนาย
    นี่ถ้าบังเอิญราษฎรเขาพิจารณาแล้วถ้าถูกฟ้อง เห็นว่าคดีนี้มันไม่มีความผิด
    แกก็ว่าความฟรี การว่าความให้ราษฎรนั้นฟรีเสียจริงๆ
    แต่ต้องพิจารณาก่อนถ้าผิดหรือถูก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ถ้าคนจะเป็นถ้อยร้อยความกันในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี
    ถ้าแกรู้เข้ามักจะไปหาก่อน หาทางไกล่เกลี่ยให้ตกลงกันเอง
    ชี้เหตุชี้ผลว่าการเป็นความเป็นถ้อยร้อยความกันมันเสียหายมาก
    กว่าถั่วจะสุกก็งาไหม้ บางทีคนชนะก็หมดตัว นี่แกหย่าคดีเสียเยอะ
    ชี้เหตุชี้ผลเอาไปนอนที่บ้าน ไปนอนคุยกันทั้งโจทก์ทั้งจำเลย
    อย่างนี้ไม่ต้องว่าคดีเสียก็เยอะ

    มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งที่พ่อจะนำมาพูด คือเป็นเรื่องน่าคิด
    สมัยนั้นท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม หรือที่เรียกกันว่า
    หลวงพิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
    มีจุดอยู่จุดหนึ่งที่มันไม่ใช่กฎหมาย แต่ว่าสมัยนั้น
    เขาถือว่า เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย แต่ความจริง
    ท่านจอมพล ป. ท่านก็บอกว่าไอ้การให้ทำอย่างนั้นน่ะ
    เพื่อให้คนเอาใจมารวมจุดกัน อยู่ที่จุดๆ เดียว แต่ผู้นำก็ไม่ได้แสดงออก
    คือนายกเขาแปลว่าผู้นำ นายกก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นแต่ผู้เดียว
    ก็ต้องอาศัยการปรึกษาหารือคณะรัฐมนตรี อาศัยสภาเหมือนกัน
    แต่ว่าเป็นการสร้างจุดกำลังใจให้มารวมอยู่จุดเดียว
    มันสะดวกแก่การบริหารประเทศ และสะดวกแก่การก้าวหน้า
    สำหรับท่านจอมพล ป. นี่ก็น่าสรรเสริญ เป็นคนที่มีระเบียบวินัย
    แล้วก็แนะนำให้ทำสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ถ้าประเพณีนี้
    ถ้าของท่านไม่เลิกไม่ล้มไป มันจะทุ่นค่าใช้จ่ายไปเยอะ
    พริกครกหนึ่งเวลานี้ ๑ บาทเราก็กินไม่ได้ ราคามันมากกว่า
    ถ้าทุกบ้านมีสวนครัว คนเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงสัตว์เลี้ยงหมูบ้านละ ๒ ตัว
    เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ ไอ้เป็ดไอ้ไก่นี่ก็กินไข่ได้
    นี่พ่อพูดถึงเรื่องของบ้านเมืองและไม่ใช่พูดเรื่องของพระ
    แต่ว่าท่านจอมพล ป. ก็มีอะไรอยู่อย่างหนึ่งที่น่าคิด
    เวลาที่ท่านรับประทานอาหารกลางวัน ถ้ามีเพื่อนมาบอกว่า
    ราษฎรต้องการอย่างนั้น ราษฎรต้องการอย่างนี้ ท่านก็จด
    จดแล้วท่านก็นำไปพิจารณาว่ามันควรหรือไม่ควร ถ้าเห็นควร
    ไม่ช้าอาจจะเป็นพระราชกฤษฎีกาหรือพระราชบัญญัติออกมา
    ให้ผู้แทนราษฎรพิจารณาอีกทีหนึ่ง ถ้ามีการรีบด่วน ระหว่างนั้น
    เป็นระหว่างสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็มีจุดหนึ่งที่เรียกกันว่า
    รัฐนิยม คำว่ารัฐนิยมหมายความว่า รัฐนิยม
    ไอ้รัฐที่แปลว่าแว่นแคว้น ก็ไม่มีและไม่เป็นพระราชบัญญัติ
    ไม่มีไม่เป็นพระราชกฤษฎีกา รัฐนิยมนี้พ่อจำไม่ได้ว่ามี ๗ หรือ ๘ ข้อ
    อย่างใส่หมวก สวมรองเท้า ห้ามกินหมาก อะไรก็ไปตาม
    ตามเรื่องตามราว อันนี้ก็ทรมานๆ เหมือนกัน แต่ว่ามีข้อหนึ่ง
    ที่นายสว่างต้องเป็นปากเป็นเสียงแก่ราษฎรอย่างหนัก
    คือแพที่จอดในลำน้ำทั้งหมด เห็นว่าเป็นการเกะกะพื้นที่
    การสัญจรในลำน้ำไม่สะดวก ให้ทุกคนเจ้าของแพ
    ยกขึ้นไปบนบกภายในระยะกี่เดือนก็ไม่ทราบ
    อาจจะเป็นเดือนสองเดือนสามเดือนก็ไม่ทราบ ให้ยกขึ้นบกทั้งหมด
    ถ้าลูกของพ่อ ถ้าไม่ใช่เจ้าของแพก็คงจะไม่หนักใจ
    ถ้าลูกเป็นเจ้าของบ้านเจ้าของแพจะรู้สึกว่าหนักใจ ไอ้การยกแพขึ้นบ้านนี่
    ๑ ต้องหาสถานที่ที่จะปลูกบ้าน ถ้าหาไม่ได้เขาจะเอาราคาค่าเช่าแพงๆ
    มันก็ต้องให้เขา ต้องเสียเงินเสียทอง
    และประการที่ ๒ การรื้อถอนขึ้นไปไม่ใช่ของเล็ก เป็นของใหญ่
    ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณเวลานั้น มีนามว่าหลวงอรรถ
    อรรถอะไรก็ไม่ทราบ อรรถวิจิตรหรืออรรถอะไรก็ไม่ทราบ
    มีนามว่าหลวงอรรถก็ออกประกาศตามที่รัฐบาลสั่ง
    แต่ว่าท่านผู้นี้ก็เป็นคนดีมากเหมือนกัน แต่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผู้แทนราษฎร
    ในเรื่องของการงาน แต่เรื่องของส่วนตัวท่านก็ชอบกัน
    นี่เขาต้องทำอย่างนี้นะ คนอย่างนี้ถึงจะดี ถ้าเรื่องส่วนตัวนั้น
    กินเหล้าด้วยกันก็ได้ คุยกันอย่างเป็นปกติ แต่ว่าเรื่องของทางการนี่
    รู้สึกว่าสองคนนี้ไม่ถูกกัน ที่ไม่ถูกก็ไม่ถูกด้วยเหตุผล
    คุณหลวงอรรถออกหนังสือประกาศให้แพในลำน้ำทั้งหมดยกขึ้นบนบก
    ราษฎรก็เดือดร้อน สตางค์มันหายาก ลูกรัก จะกินเข้าไปเนี่ย
    สมัยสงคราม ผ้าผ่อนก็ไม่ค่อยจะมี ในเมื่อรัฐบาลมาเล่นแบบนี้เข้า
    มันก็พังกัน เวลานั้นเนี่ย ไอ้คนผ้านุ่งก็ไม่ค่อยจะมี
    บางทีนุ่งผ้าขาดหน้าขาดหลัง เวลาคุยกันไม่กล้าหันหน้าเข้าหากัน
    เพราะผ้ามันขาด นี่ตามบ้านนอก นี่ชีวิตของคนในสมัยสงครามน่ะ
    มันน่าลำเค็ญจริงๆ เป็นอันว่าราษฎรก็ไปหานายสว่าง
    ว่าทำยังไงท่าน ท่านผู้แทน ท่านผู้แทนต้องช่วยผมด้วยนะ
    ผมไม่มีเงิน จะกินเข้าไปมันก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว ไอ้ของก็แพง ข้าวก็ปัน
    ในกรุงเทพถึงกับปันส่วนข้าวกันกิน เวลานี้ผ้าผ่อนท่อนสไบมันก็ไม่มี
    แล้วท่านผู้แทนจะทำยังไง เขาจะให้ยกขึ้นแพขึ้น
    แล้วผมไม่มีเงิน ท่านผู้แทนก็ถามว่าเขาสั่งมากี่เดือน นี่พ่อก็จำไม่ได้
    อาจจะต้องยกภายใน ๑ เดือนรึ ๒ เดือนรึ ๓ เดือน
    ถ้าไม่งั้นจะต้องถูกปรับ และรึถูกจองถูกจำมันก็ว่ากันไปเถอะ
    เป็นรัฐนิยมหมายความว่า รัฐนิยมหมายความว่ารัฐบาลชอบ
    ใครขัดใจรัฐบาลไม่ได้ก็แล้วกัน เพราะเชื่อผู้นำชาติพ้นภัย
    มาตอนนี้ที่นายสว่างก็มาพิจารณารัฐนิยมที่เขาออกมา
    ก็เห็นว่ารัฐนิยมนี้ไม่ใช่พระราชบัญญัติ แล้วก็รัฐนิยมไม่ใช่พระราชกฤษฎีกา
    ไม่มีอำนาจบังคับ ศาลไม่สามารถจะลงโทษบุคคลผู้ฝ่าฝืนรัฐนิยมได้
    เพราะไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติ หรือพระราชกฤษฎีกา
    เอาเข้าแล้ว เป็นอันว่านายสว่าง สนิทพันธ์ก็จึงบอกกับราษฎร
    บอกว่าเอางี้ก็แล้วกัน ไอ้รัฐนิยมนี่ลงโทษคนไม่ได้
    แต่พวกพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายนี่ไปขอร้องกับผู้ว่าราชการจังหวัด
    ว่าขอยืดระยะเวลาต่อไปอีก ๘ เดือนจากกำหนดเดิม
    กำหนดเดิมเขาอาจจะให้ ๑ เดือนรึ ๒ เดือนรึ ๓ เดือนนี่พ่อไม่ทราบ
    แต่ว่าขอยืดเวลาให้ยาวออกไปจากเก่าอีก ๘ เดือน
    และถ้าถึงระยะ ๘ เดือน ถ้ามีเงินก็จะยกขึ้น ถ้ายังหาเงินไม่ได้
    ก็ยังยกไม่ได้ อาจจะต้องขอระยะให้ยาวต่อไปอีก ดู นี่เป็นวิธีการ
    นี่ผู้แทนแท้ๆ นะ ผู้แทนราษฎรจริงๆ ก็เป็นอันว่า
    ราษฎรทุกคนก็ไปแจ้งกับผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดก็บอก
    ไม่ได้ นี่เป็นคำสั่งของท่านราชการ นี่ท่านก็เป็นคนเคร่งครัดในระเบียบวินัย
    ดีไม่ใช่ราชการว่าอย่างงี้ กูก็ว่าไปอย่างโง้น อย่างไอ้เงินแห้งแล้ง
    ช่วยภาวะแห้งแล้ง ช่วยไปจังหวัดละสามสิบสี่สิบล้านบาท
    แต่ทำกันสองสามล้าน หายไปหมด ไอ้เงินน้ำท่วมก็เหมือนกัน
    รัฐบาลทุ่มเทมารัฐบาลห่วงประชาชน แต่ประชาชนไม่ได้
    ไอ้นี่ไม่ได้ว่าใคร ตัวอย่างมันมี ไอ้บางกรณีที่มันมี สมัยก่อนเขาลือว่า
    กินจอบกินเสียมกินหินกินทรายอะไรกันเนี่ย โกง มันโกงกัน

    เป็นอันว่า ในเมื่อนายสว่าง สนิทพันธ์
    แนะนำให้บรรดาประชาชนไปหาผู้ว่าแบบนั้น ท่านผู้ว่าก็บอกไม่ได้ๆ
    นี่เป็นคำสั่งของรัฐบาล ถ้าคุณไม่ทำคุณต้องมีความผิด
    ปรับเท่านั้น ลงโทษเท่านี้ นี่เป็นทั้งแพ่งทั้งอาญา
    บรรดาประชาชนทั้งหลายก็วิ่งมาหาผู้แทน ว่าเขาว่าอย่างนี้
    ผู้แทนก็บอกว่าถ้าเขาว่าอย่างนั้นก็ไม่ต้องขึ้นเลย ไม่ต้องเอาขึ้นทั้งหมด
    จนกว่าผมจะบอกว่ายกขึ้น ถ้าเขามาจับพวกคุณเมื่อไร
    เขาจะมาปรับพวกคุณเมื่อไร คุณอย่าเพิ่งให้เขา
    รอผมก่อน ถ้าผมติดประชุม และคดีเรื่องนี้ต้องถึงศาล
    ผมจะว่าความเอง แล้วพวกพ่อแม่พี่น้องทั้งหมดเนี่ย
    ไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งหมดแม้แต่ค่ากิน ไปพักไปกินไปนอนที่บ้านผมนั่น
    เรื่องวิธีกรรมของศาล เรื่องค่าธรรมเนียมค่าอะไรทั้งหมด
    ไม่ต้องจ่าย จ่ายแต่เพียงค่ารถค่าเรือไปบ้านผมเท่านั้น
    พอไปถึงบ้านผมไปนั่งกินนอนกินอยู่นั่น ผมจะว่าคดีฟรี
    ถ้าทุกคนต้องถูกปรับ หรือทุกคนต้องติดคุกติดตะราง
    ค่าปรับ ผมจะเสียค่าปรับให้ หรือใครจะต้องติดคุกติดตะราง
    ผมจะติดแทน อีคราวนี้ก็เกิดเป็นไม้เบื่อไม้เมากันกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัด
    ท่านผู้ว่าท่านก็เคร่งครัดตามคำสั่งรัฐบาล
    ฝ่ายนายสว่างก็เคร่งครัดในฐานะที่เป็นผู้แทนราษฎร
    เพราะว่าราษฎรเลือกไปเป็นผู้แทน ก็ต้องเป็นผู้แทนที่ดี

    แต่ว่าผู้แทนกะผู้ว่าคนนี้จะว่ากันยังไง ลูกรักของพ่อ
    หน้านี้พูดต่อไปไม่ได้เสียแล้ว เพราะปรากฏว่าคาสเซ็ทจะสุด
    เอ้าฟังกันด้านหน้าต่อไปก็แล้วกันนะ สำหรับหน้านี้ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
     
  16. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    16.ตัวอย่างผู้แทนที่ดี, พระเจ้าพรหมมหาราช (ต่อ).mp3
    เอ้อ ตอนนี้ก็มาขอพูดกันถึงเรื่องผู้แทนต่อไป เป็นอันว่า
    ในเมื่อนายสว่าง สนิทพันธ์เป็นกระดูกสันหลัง
    หรือว่าเป็นตอม่อค้ำให้แก่บรรดาประชาชน
    ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดท่านก็เป็นคนเคร่งครัดในหน้าที่
    ผลที่สุด เมื่อถึงกำหนดที่ท่านสั่ง ราษฎรก็ไม่ยอมทำตาม
    ตอนนี้ทำยังไง เป็นอันว่าเรื่องมันก็จะต้องจับราษฎรกัน
    เพราะว่าขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่ว่า
    จะไปโทษท่านหลวงอรรถท่านก็ไม่ถูก ท่านเป็นคนน่าเคารพ
    มีระเบียบวินัยดี รัฐบาลสั่งแบบไหนทำแบบนั้น
    ถ้าสมัยนี้นะ สมัยนายกเกรียงศักดิ์นี่
    ถ้าหากว่ารัฐบาลสั่งแบบไหนทำแบบนั้นล่ะก็
    ราษฎรไม่มีอดไม่มีอยากหรอก อันนี้ไม่ได้โฆษณาให้
    เอากันแต่ตรงดีนะ ที่นายกเกรียงศักดิ์ ถ้าทำดีเราชมว่าดี
    ถ้าทำเลวเมื่อไรเราก็ควรอย่าควรชม อย่าสนับสนุน
    นี่เป็นอันว่า ภาวะแห้งแล้งเกิดขึ้น ท่านก็สั่งเงินช่วยทันที
    ๑,๖๐๐ ล้านบาท และน้ำท่วม ขนของให้ทันที น้ำแห้งไถนาทันที
    นี่เป็นอันว่ารัฐบาลเขาต้องทำอย่างนี้ ไม่ใช่มานั่งพูดกัน
    ไปนั่งพ่นน้ำลายท่วมสภาน่ะพ่อไม่ได้เห็นด้วย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    คนที่ก่อนจะเข้าไป ถ้าน้ำลายท่วมสนามหลวงก็ดี
    น้ำลายท่วมพื้นที่ๆ พูด ปาวๆๆๆๆ ไม่รู้กาลไม่รู้สมัย
    อย่างที่วัดหลวงพ่อนี่ แหมรู้สึกหนักใจ เวลาแกมาหาเสียง
    แกไม่ได้เกรงใจพระ คนพวกนี้ไม่ได้มีมรรยาท
    พ่อเคยคิดว่า ถ้าพวกนี้ได้เป็นผู้แทนราษฎร
    บ้านก็พัง คนดีเนี่ยเขาต้องมีมรรยาท
    จะไปที่ไหนต้องขออนุญาตก่อน อย่างที่วัดหลวงพ่อนี่
    มีการเจริญพระกรรมฐาน ต้องการเสียงสงัดทุกคืนทุกวัน
    แกก็มาร้อง ทั้งร้องเพลงร้องละครพูดกันปาวๆๆ
    เป็น เป็นอะไรล่ะ ไอ้เด็กเลี้ยงควาย
    คนอย่างนี้หรือว่าจะเป็นผู้แทนราษฎร แม้แต่ตัวเองทำดีทำชั่วยังไม่รู้
    แล้วจะรู้เรื่องบ้านเรื่องเมืองได้ยังไง

    มาคุยกันเรื่องนายสว่าง สนิทพันธ์ ผลที่สุดคดีนี้ขึ้นศาล
    เมื่อเขาจะไปจับคนทุกคน นายสว่างก็เป็นนายประกันทั้งหมด
    ขอประกันคนทุกคนที่เป็นเจ้าของแพ และก็ขอให้ฟ้องศาล
    จะมาจับปรับกันเฉยๆ เนี่ยไม่ได้ กฎหมายมันมี
    เนี่ยเล่นกะทนายเนี่ย ทนายชั้นดีเขาก็มีเหมือนกัน พอส่งขึ้นฟ้องศาล
    ปรากฏว่าทางราชการแพ้หงายหลัง เพราะว่ารัฐนิยมไม่ใช่
    ไม่ใช่พระราชบัญญัติ รัฐนิยมไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีอำนาจลงโทษ
    นี่เห็นมั้ยล่ะ ลูกรัก นี่ผู้แทนที่ดีนี่ เขาต้องทำอย่างนี้
    แล้วก็ต่อมาไม่ว่าเรื่องอะไรเกิดขึ้นน่ะ คนในสมัยนั้น
    คนจังหวัดสุพรรณบุรีถือผู้แทนเป็นสำคัญ อันนี้ถูกต้อง ถูก
    ต้องถือว่าผู้แทนเป็นสำคัญ ไม่ยังงั้นเราจะตั้งผู้แทนไว้ทำไม
    เมื่อไปหาผู้แทนแต่ว่าผู้แทนก็ไม่ใช่ว่าใครไปหาแล้วก็โอเคเสียทุกอย่าง
    ชี้เหตุชี้ผลรู้ผิดรู้ถูก ว่าไอ้ยังไงรัฐ ทางรัฐบาลเขาว่า
    เขาสั่งไปถ้ามันถูกมันต้อง ต้องทำ เรื่องภาษีอากรเรื่องระเบียบวินัย
    ไอ้นี่เขาอธิบายให้ฟังว่ากฎหมายมันมีแบบนี้ๆๆ ฝืนเขาไม่ได้ ต้องทำ
    และอย่างการทำสวนครัวปลูกผัก อย่าเห็นว่านายสว่างแกคิดว่า
    ค้านรัฐบาลทุกอย่าง ไม่ค้านนะอันนี้แกสนับสนุน
    ไปที่ไหนก็ตาม ไปเยี่ยมราษฎร ถามมีพันธุ์ผักมั้ยครับ มีพันธุ์สัตว์มั้ย
    ถ้าไม่มีต้องการอะไรบอกผม ผมจะหาราคาถูกๆ มาให้
    ถ้าพันธุ์ผัก พอดีผมขอแจกให้เลย เอาล่ะ ผมก็จน
    แต่ว่าแกอาศัยมีรายได้ทางการในการว่าคดี แต่ความจริง
    ถ้าจะหวังรวยกันจริงๆ ล่ะก็ ไม่เป็นผู้แทนดีกว่า
    แกว่าคดีเรื่องเดียวมันก็เกิน ๔๐๐ บาท แต่ว่าทำนั่นทำเพื่อประชาชน
    นี่ ตัวอย่างที่เป็นผู้แทนต้องเอาเป็นแบบนี้ แล้วต่อมาสมัยที่ ๒
    มาสมัยนั้นพ้นไปก็ปรากฏว่า เวลาที่เขาจะเลือก
    นายสว่างไม่ไปแล้วคราวนี้ พิมพ์หนังสือยาวประมาณ ๑ ฟุต
    กว้างประมาณสัก ๖ นิ้ว เขียนว่าข้าพเจ้านายสว่าง สนิทพันธ์
    ขอสมัครเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี หมายเลขเท่าไหร่ก็ว่าไป
    ให้ลูกน้องไปแปะเฉยๆ ไม่ออกหาเสียงเลย แต่ปรากฏว่าคะแนนท่วมท้น
    นี่เป็นอันว่า ถ้าลูกทุกคนของพ่อ ลูกทุกคนส่วนใหญ่ก็ได้ปริญญากันมา
    ต่างประเทศบ้างในประเทศบ้าง และเป็นคนที่มีความรู้
    ถ้าเราจะเลือกผู้แทนก็ต้องเลือกผู้แทนแบบนี้ หรือว่าถ้าเราจะเป็นผู้แทนบ้าง
    จำไว้ว่า ไอ้ประเทศชาติน่ะไม่ใช่ของใครคนเดียว มันเป็นของคนทุกคน
    ถ้าเราจะเป็นผู้แทนบ้าง จงถือแบบฉบับนายสว่าง สนิทพันธ์เป็นตัวอย่าง
    เพราะว่าชาติเราจะได้เจริญ

    ต่อนี้ไปก็มาคุยกันถึงเรื่องพระเจ้าพรหมมหาราชต่อ นี่ก็รบกันเหมือนกัน
    ผู้แทนเขาก็รบ พระเจ้าพรหมจะรบ พวกก็เลยมารบกันซะตอนนี้ก่อน
    เพราะทราบว่า เขาหาเสียงเขาสาดขี้เข้าหากันไม่ใช่สาดโคลน
    ต่างคนต่างเหวี่ยงขี้เข้าหากัน มึงชั่วอย่างงั้น มึงชั่วยังงี้
    คนนั้นชั่วคนนี้ชั่ว พวกที่สาดโคลนเข้าหากันนี่อย่าเลือกเข้าไปเลยนะ
    เพราะเรารู้จักหน้าเขาดีแล้วนี่ เขาไม่ได้ทำอะไรดีหรอก
    คนที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่อย่างนี้ อย่าเอาเข้าไป
    อย่างที่คุณควง อภัยวงศ์ แกอบรม มีบุคคลคนหนึ่ง
    ที่เขาจะเข้าเป็นสมาเขาจะรับเลือก จะขอรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
    แล้วก็แกก็ต้องการเข้าพรรคประชาธิปัตย์สมัยนั้น
    พรรคประชาธิปัตย์สมัยนั้นดี เวลานี้พ่อไม่รู้ มันเกี่ยวกับตัวบุคคล
    ชื่อพรรคไม่สำคัญ สำคัญที่ตัวบุคคล พอเข้าไปหาแก
    แกนั่งอบรมอยู่ ๒ ชั่วโมง ไอ้เรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลงให้ทิ้งไป
    ถือว่างานผู้แทนราษฎรไม่ใช่งานส่วนตัว เรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องส่วนตัว
    เวลาทำต้องทำเพื่อส่วนรวมโดยเฉพาะ คือหมายความว่าอย่าไปเห็นแก่พวกแก่พ้อง
    แก่พี่แก่น้องแก่ใครไม่ได้ ทั้งหมดต้องทำเพื่อชาติ ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
    นี่เขาอบรมกันอย่างนี้ แล้วก็การลงทุนมันก็ไม่มาก ถ้าลงทุนมากก็ต้องหวังหากำไร
    นี่ระวังๆ นะ มันเป็นของง่ายๆ มันเป็นของไม่ยาก ไอ้การหากำรงกำไรอะไรกันเนี่ย
    ก็เป็นอันว่า ต่อแต่นี้ไปก็ขอพูดเรื่องพระเจ้าพรหม เมื่อกำลังกองทัพขอมยกมา
    แต่ว่าพระเจ้าพรหมไปตั้งทัพรับไว้เรียบร้อยแล้ว ไปก่อนพร้อมรบแล้วก็พร้อมรับ
    คราวนี้ประกาศแก่บรรดาประชาชนทั้งหมดว่า ถ้าคนไทยเราจะพึงแพ้
    ก็ควรจะตายทั้งชาติ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ผืนแผ่นดินแห่งโยนกนครทั้งหมด
    ตั้งแต่เชียงแสนมาถึงพะเยา เป็นของเราเดิม แล้วก็เวลานี้เราถูกจำกัดเขต
    มาอยู่แดนในแดนทุรกันดาร คือมีเนื้อที่นิดหน่อย ประมาณแสนไร่เศษ
    คนของเรามีเท่าไหร่ แล้วก็ขอมดำไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ แต่กลับเข้ามาเป็นเจ้าของพื้นที่
    อิสรภาพของเราทั้งหมดนี้ไม่มี และนอกจากนั้นเราต้องส่งส่วยเขาปีละ ๒๐ ชั่ง
    เป็นน้ำหนักของทองคำ ปีละ ๒๐ ชั่ง แต่เงินปีละ ๒๐ ชั่งถ้าขายเป็นเงินเท่าไร
    เราจะเลี้ยงกันได้มีความสุข และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนของเราเกิดขึ้นมาทุกวัน
    เมื่อคนเกิดขึ้นมาทุกวันแบบนี้ แต่ว่าต่างคนต่างก็ เนื้อที่มันก็แคบลงทุกทีๆ
    เนื้อที่เท่าเดิมแต่คนมากขึ้น การหากินก็ลำบาก เราต้องไปหากินในแดนไกล
    ฉะนั้น การรบคราวนี้ เป็นการรบเพราะหวังประโยชน์ ๒ ประการ คือ
    ๑ เป็นการรบเพื่อหวังอิสรภาพ ไทยต้องเป็นไท
    ประการที่ ๒ เป็นการรบเพื่อขับขอม ให้ขอมออกไปหมดจากเขตของประเทศไทย
    แต่ว่าถ้าการรบคราวนี้ถ้าเพลี่ยงพล้ำลงไป เราจะต้องแพ้เขา
    ไทยทั้งชาติจงอย่ามีชีวิตอยู่เลย อีกประการหนึ่ง ถ้าเราจะตาย
    ก็ควรจะตายจากอาวุธของข้าศึก ไม่ใช่ตายด้วยการฆ่าตัวตาย
    เพราะการฆ่าตัวตายหนีภัยจากข้าศึก มันเป็นความขลาดของบุคคลที่ไม่ใช่คนไทย
    เราจะต้องต่อสู้กับข้าศึก เราจะต้องตายกันเป็นคนสุดท้าย
    ถ้าหากว่าเราขืนมีชีวิตอยู่ ขอมก็จะไม่ปรานีเรา เพราะอันดับแรก
    เขามายึดประเทศของเราได้ เขายึดประเทศ ไม่ใช่เป็นเมืองขึ้นอย่างเดียว
    เขายึดพื้นที่เสียด้วย การกักบริเวณพวกเรานี่
    เป็นการทรมานของพวกเขาที่ต้องการให้พวกเราหนีไปจากที่ จากที่นี่ไปที่อื่น
    หรือมิฉะนั้นก็ค่อยๆ ตาย เขายื่นโยนความตายให้แก่เราวันละน้อยๆ
    นี่คนทุกคนเคยมีบ้านสวยสดงดงามอยู่ในโยนกนคร เคยมีอิสรภาพ
    มีความเป็นอยู่เป็นสุข จะกินก็เป็นสุข จะนอนก็เป็นสุข มีพื้นเพที่มีความสบาย
    แต่ว่าหลังจากที่พวกขอมมายึดพื้นที่ได้ ไล่เรามาอยู่เวียงสีทอง
    และอยู่ในขอบเขตจำกัด มีความรู้สึกยังไงบ้าง
    ขอบรรดาพ่อแม่และพี่น้องทั้งหลายนึกถึงความหลัง
    ว่าเดิมทีเดียวเรามีที่อยู่ขนาดไหน มีบ้านโตหรือว่าบ้านเล็ก
    การอิสรภาพในการทำมาหากิน เราเป็นไปด้วยความสะดวกหรือลำบาก
    พระราชาของเราเคยกดขี่ข่มเหงบรรดาประชาชนชาวไทยเหมือนขอมข่มเหงหรือไม่
    ลูกเขาเมียใครที่มีเจ้าของอยู่ ขอมต้องการเมื่อไร เราต้องยื่นโยนให้เขา
    แต่ว่าสมัยที่ไทยเราปกครองกันเอง เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
    คนทุกคนมีความรู้สึกนึกถึงความหลัง ว่าเดิมทีเดียวเราเคยมีนาอยู่ร้อยไร่
    เรามีนาสองร้อยไร่ เราจะไปไหนก็ได้ เราจะกินเราจะนอนเมื่อไรก็ได้
    ไม่มีใครบังคับบัญชา ใครอยากค้าก็ค้า ใครอยากขายก็ขาย
    ทำไร่ทำนา ทำได้ทุกอย่าง มีอิสรภาพ บริเวณก็กว้างขวาง
    แต่เวลานี้เรามาอยู่แคว้นจำกัด คนยัดเยียดกัน
    เราเคยมีบ้านหนึ่งหลัง แต่คนอยู่สิบคนก็ไม่คับแคบ บ้านยังเหลือ
    แต่เวลานี้ต้องมาปลูกกระต๊อบอยู่โคนต้นไม้ ต้องขุดหัวเผือกหัวมันกินกัน
    ข้าวที่ทำขึ้นมาแต่ละปีก็ไม่พอจะกิน ในเมื่อมันไม่พอจะกินทำไง
    ก็ต้องใช้พืชผัก พืชพรรณธัญญาหารที่หาได้จากป่า เอามากินกัน บางที
    ข้าวปลานาเกลือไม่มี สี่ห้าวันไม่ได้กินข้าว กินแต่ผลหมากรากไม้ไปตามแกน
    มีชีวิตอยู่วันๆ หนึ่ง ร่างกายก็ทรุดโทรม แต่ความอุดมสมบูรณ์เพิ่งจะเกิดขึ้นมาได้
    เพราะพรหมกุมารเกิดขึ้นมาในตอนนี้ นี่คนโบราณเขาถือโชคถือลาง
    จะว่าเขาถือผิดก็ไม่ได้ เขาถือด้วยเหตุด้วยผล
    ว่านับตั้งแต่พรหมกุมารเกิดขึ้นมาแล้วก็รู้สึกว่า ทุกคนมีความสุข
    ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ดี มีความสุขมีความอุดมสมบูรณ์ขึ้น
    แต่ว่านี่มันเป็นพื้นที่แคบ ถ้าเรากลับยึดเอาโยนกนครกลับมาให้ได้หมด
    มีแคว้นตั้งแต่เชียงแสนถึงพะเยา มันมากกว่าที่อยู่ในปัจจุบันเนี่ยหลายร้อยเท่า
    หลายเท่า หลายสิบเท่า ถ้าเป็นอยางนี้ ชีวิตความสุขเดิมมันก็จะกลับเข้ามา
    แล้วก็จะมีความสุขไปยิ่งไปกว่านี้ คนทุกคนเห็นผล เมื่อคนทุกคนเห็นผลแล้ว
    ก็ท่านพระเจ้าพรหมมหาราชหรือว่าพรหมกุมารก็ประกาศต่อไป
    ว่าการรบคราวนี้ จงนึกถึงว่าการรบคราวก่อน ในเมื่อเราแพ้สงครามเขา
    เขาคือผู้รุกราน เราไม่ใช่ผู้รุกราน แพ้เขาเขาทำทุกอย่างตามอำนาจ
    ถ้าเวลาคราวหลังนี่ ถ้าเราแพ้ นั่นหมายถึงว่า
    คนทุกคนที่เป็นคนไทยจะต้องถูกตายแบบทรมานที่สุด เพราะว่า
    เขาโกรธเราในฐานะที่เราแข็งเมือง ฉะนั้น ขอคนทุกคนจงรบเพื่อชัยชนะ
    แต่ว่าอย่ามีความประมาท ข้อสำคัญที่สุดก็คือระเบียบวินัย
    ฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ถ้าผู้บังคับบัญชาสั่งยังไง
    ปฏิบัติตามนั้นให้เคร่งครัด เราจะชนะข้าศึก คราวนี้คำว่าแพ้จะไม่มีสำหรับคนไทย

    พอจบเสียงปรากฏว่า เสียงโห่ร้องสมัยนั้นยังไม่มีไชโย
    กึกก้องกันมาทั้งแผ่นดินสะเทือนไปหมด ปรากฏว่า
    เด็กชายพรหมมหาราช เด็กชายพรหมกุมาร
    แม่ทัพใหญ่แต่ว่าตัวเล็ก อายุ ๑๙ ปี พอประกาศจบ
    เสียงคนโห่ร้องกึกก้องกันมา ก็ปรากฏมีฝนตกลงมาเป็นฝอยๆ
    แสงแดดจ้ากลางวันเวลาเที่ยง แต่ฝนเป็นละอองตกมาจากในอากาศ
    เป็นการประกาศ เป็นการชี้ให้เห็นว่า
    บรรดาเทวดาหรือพรหมทั้งหลายให้พรแก่บรรดาประชาชนทั้งหลาย
    เพราะว่าความมหัศจรรย์เกิดขึ้นแบบนั้น กำลังใจของคนไทยทั้งหมดที่เป็นนักรบ
    ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ก็มีความฮึกเหิมว่าเทวดาช่วยเรา กองทัพช้างกองทัพม้า
    ปีกซ้ายปีกขวา ทัพหน้าทัพหลังทัพหลวงพร้อมเสร็จ
    ไปตั้งทัพคอยข้าศึกอยู่ห้าหกวัน ว่าเขาจะมา นี่มันเป็นการได้เปรียบ
    เพราะว่าระยะมันไม่ไกลกัน พอรู้ข่าวว่าเขาเตรียมระดมพล เราเคลื่อนทัพ
    มันก็ไม่ทันกันแล้ว นี่การรบมันต้องชิงไหวชิงพริบกันแบบนี้
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาตีประจันหน้ากัน
    ยุทธวิธีมันมี ๒ แบบ คือยุทธวิธีและกลยุทธ ไอ้ยุทธวิธีเนี่ยหมายความว่า
    รบตามแบบฉบับ กลยุทธนั่นมัน นั่นหมายถึงว่าการใช้ปัญญา
    การใช้กลลวงข้าศึก ว่าเราทำยังไง เราจึงจะชนะข้าศึกได้โดยง่าย
    การรบไม่ได้หมายความว่าการทุ่มเทกำลังว่า ตายเป็นตาย มีเท่าไรตายให้หมด
    อย่างนั้นไม่ต้องไปรบหรอก ถ้ามีความประสงค์อย่างนั้น
    ไม่ต้องไปรบ ก็นอนเชือดคอตายเสียทีบ้านก็หมดเรื่องหมดราว
    การรบจะต้องคิดว่า เราหนึ่งชีวิต ถ้าชีวิตของเราจะต้องปลิดต้องเสียไป
    อย่างน้อยที่สุด จะต้องแลกกันหนึ่งต่อหนึ่ง
    และไอ้การรบ ก็จะต้องมีจิตคิดว่า คำว่าท้อถอยในการเจ็บ
    การเสียดายชีวิตจะไม่มีในเรา เราจะสละชีพเพื่อชาติ
    ไม่ใช่สละชาติเพื่อชีพ นี่ เป็นยุทธวิธีเป็นกำลังที่มีความสำคัญเพราะอะไร
    เพราะว่าถ้าตัดสินใจแบบนี้แล้วก็กำลังใจมันดี กำลังใจมันจะเย็น
    การรบการทำสงคราม ถ้าใจสั่นใช้ไม่ได้ เสียท่าข้าศึก
    เวลาจะเคลื่อนกำลังออกไปโจมตีกับข้าศึกก็ต้องคิดว่า
    คราวนี้จะได้กลับหรือไม่ได้กลับไม่สำคัญ มันอาจจะต้องตาย
    หรือว่าอาจจะอยู่ก็ได้ แต่ถ้าจะเราจะตาย เราจะตาย ๑ อย่างน้อยที่สุด
    ข้าศึกจะต้องตาย ๑ นี่รบกันแบบไทยแท้ๆ

    เป็นอันว่าเมื่อตั้งรับเสร็จ ตั้งกลยุทธกลลวงไว้เสร็จ
    ทัพขอมก็เคลื่อนมา แต่ว่าทัพขอมที่เคลื่อนมานี่
    เขามามาก ถ้าจะเทียบกำลังกันก็ ๑ ใน ๔ นั่นแหละ
    ของเรา ๑ ของเขา ๔ หรือว่าของเรา ๑ ของเขา ๑๐
    เพราะว่ากำลังพล เฉพาะพลรบของเขาจริงๆ
    มันก็ มันก็มากกว่ากำลังคนทั้งหมดของเราอยู่แล้ว ของเรา
    ๑ จะต้องตัดคนแก่อายุเกิน ๖๐ ออกไป คนแก่ตั้งแต่ ๖๐
    เข้ามานี่เป็นทหารหมด แล้วคนแก่ที่เกิน ๖๐ ออกไปแล้วนั่นก็ยังเป็นทหารอยู่
    ที่แข็งแรงก็แต่ว่าเป็นกองหนุน
    แล้วประการที่ ๒ ตัดอายุเด็กที่อายุต่ำกว่า ๑๖ ออกไป เอาไว้เป็นกำลังหนุน
    และเป็นกองเสบียงส่งอาหาร สำหรับคนแก่ที่เกิน ๖๐
    ที่มีความชำนาญในธนูหน้าไม้ เอาไว้เป็นกองโจรคอยรุกรานข้าศึก
    บั่นทอนกำลังข้าศึก พระเจ้าพรหมมหาราช
    หรือเด็กชายพรหมมหาราชนั่งคอช้างตระหง่านอยู่หน้ากองทัพ
    แม่ทัพไม่ได้อยู่หลังทัพ อยู่หน้าทัพ กั้นเศวตฉัตร ๗ ชั้น
    นี่เป็นการข่มขวัญกัน มีคนกั้นเศวตฉัตร ท่านแม่ทำซะสวยแจ๋ว ทำเป็นฉัตรแก้ว
    สำหรับท่านพ่อเป็นฉัตรแก้วด้ามสีทองขลิบทองระยับ เป็นจอมทัพ แต่ทว่า
    คำสั่งของแม่ทัพก็สั่งให้จอมทัพอยู่เฉยๆ ไม่ต้องรบ
    แต่แต่งตัวสง่า แม่ทัพนายกองแต่งตัวลดหลั่นไปตามลำดับ
    ช้างทุกเชือก ม้าทุกตัว ประดับเสียแพรวพราว ใช้อานทองคำ
    กูบทองคำ มาทำซะสวย ไม่รู้ว่าจะไปรบรึไปขายกันแน่

    ลูกรักของพ่อทุกคน ฟังพ่อพูดให้ฟังแล้วก็ลูกฟังไปด้วย
    ใช้อนาคตังสญาณ(อตีตังสญาณ)นะลูกนะ นึกดูถึงภาพในเวลานั้น
    ว่าแนวรบเราตั้งยาวเหยียดขนาดไหน แล้วก็หน่วยกองโจรที่ซุ่มอยู่ตามที่ต่างๆ
    เลี้ยงวัวบ้าง เลี้ยงควายบ้าง เป็นคนแก่เหลาเหย่ถึงข้าศึกคิดว่าไม่มีกำลัง
    อยู่ที่ไหนกันบ้าง เขาเตรียมการแบบไหนกันบ้าง นึกๆ ไว้ นึกในใจนะ
    เอาใจเข้าไปจับภาพให้มันชัด ถ้าไม่สามารถจะจับได้ ก็ใช้
    ก็ใช้ถามพระพุทธเจ้าก็ได้ ใช้ถามท่านปู่ก็ได้ ขอดูภาพ
    เพราะว่าท่านปู่ของลูกเวลานี้ ไม่ใช่ท่านปู่พังคราช
    หรือจะถามท่านปู่พังคราชก็ได้ ท่านปู่พระอินทร์ก็ได้ สองปู่
    ว่าขอดูภาพเวลานั้น ขอให้ภาพปรากฏกับใจของข้าพระพุทธเจ้า
    ของลูกหลานทั้งหลายให้ชัดเจนแจ่มใส จะเห็นว่า เวลานั้น
    การแต่งกายเป็นชายทั้งหมด แต่ทว่า เนื้อแท้จริงๆ
    เป็นผู้หญิงตั้งเยอะ จับดาบสองมือมีหอกซัดมีขอมีง้าวมีว่ากันเกลื่อน
    กองทัพขอมเขาก็มากันแบบรื่นเริง เขาก็โห่ร้อง
    ไอ้โห่แบบขอมมันคงเสียงไม่เหมือนไทย เขาก็คิดว่าคราวนี้
    ไทยต้องย่ำแย่ เขาตั้งใจมาเลยว่า คราวนี้
    ขึ้นชื่อว่าไทยทุกคนจะต้องไม่มีชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินไทย
    เพราะขืนให้มีชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินไทย มันก็ขบถแบบนี้อยู่ตลอดเวลา
    เห็นมั้ย เขาถือว่าเรากบฏ แต่ว่าเขาเป็นโจรมาปล้นทรัพย์สินของเรา
    เขาไม่ได้คิด นี่เป็นนัก มีเป็นกำลังจิตของคนมีใจอันธพาล
    จะว่ากันจริงๆ มันก็เป็นไอ้โจรร้ายนั่นเอง

    พอกองทัพขอมเข้ามาใกล้ ยับยั้ง ตั้งท่าจะตั้งค่าย
    ไม่มีความหมาย เข้ามาในขณะที่เขาเดินขบวน ทัพมันยังไม่
    ทัพมันยังไม่ตั้งท่า มันเดินขบวนมาแต่มันก็พร้อมรบ
    แต่พอได้สัญญาณล้ำเขตกองโจรเข้ามา พรหมกุมารก็ให้สัญญาณยิงธนูไฟ
    หน่วยกองโจรเลี้ยงควายขุดเผือกขุดมันทั้งหลายต่างก็ยิงธนูไฟมั่ง
    ยิงธนูสังหารมั่งสองข้างทาง กองทัพทั้งหมดก็บุกตะลุย
    คือพรหมกุมารก็ขับไสช้างพลายประกายแก้ว
    ช้างพลายประกายแก้วสีขาวผ่อง แต่เนื้อเป็นประกาย
    บรรดาสัตว์พาหนะทั้งหลายเห็นช้างพลายประกายแก้วเข้า ของข้าศึก
    กลัวช้างพลายประกายแก้ว วิ่งไม่ได้คิดชีวิต ไอ้คนมันอยู่บนคอช้างคอม้านี่
    คอช้างหลังม้า เมื่อช้างม้าวิ่งหนี คนมันจะอยู่สู้ได้ยังไง
    แม้แต่คนก็เช่นเดียวกัน กำลังใจเสียหมด เป็นอันว่า
    ฝ่ายกองทัพของไทยไล่ฆ่าฟาดฟันข้าศึก ไม่ได้ปรานี
    แต่ส่วนใหญ่คนทั้งหลายเหล่านี้ที่ตายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นกองทัพราบ
    ที่ตายเพราะเหยียบกันตายบ้าง ถูกช้างถูกม้าเหยียบตายเสียก็เยอะ
    ที่ไปไม่ไหวที่จริงก็ถูกคนไทยที่เป็นทั้งสตรีและบุรุษ
    แต่ว่าเวลานั้นแต่งตัวเป็นผู้ชายหมด ฟาดฟันตายเสียนับไม่ถ้วน
    ความจริงถ้าจะนับก็นับถ้วนแต่ไม่มีเวลานับ
    เป็นอันว่าข้าศึกวิ่งหนีไม่ได้ยับยั้งเข้าเมือง เข้าเมืองช้างพลายเขาปิดประตูเมือง
    ช้างพลายประกายแก้วใช้งาแทงประตูทีเดียวพัง
    ตอนนี้ก็บุกเข้าไปฟาดฟันกัน ข้าศึกเก็บของไม่ทันไล่ตีเขาออกหลังเมือง
    ตอนนี้ปรากฏว่า พรหมกุมาร เมื่ออายุ ๑๖ ปี พ่อให้แต่งงาน
    ไอ้ตอนนี้ภรรยาเข้าไปด้วย ปรากฏว่าเสียท่าข้าศึกตอนที่เข้าประตูเมือง
    ข้าศึกแอบอยู่ข้างประตูเมือง ใช้หอกแทงเข้ามาถูกภรรยาตาย
    อีตอนนี้ใครเป็นใครตาย เสียดายใครไม่ได้แล้ว
    เมื่อเห็นเมียตายก็ยิ่งโมโหร้ายใหญ่ ขับไสช้างพลายประกายแก้ว
    ขับพังพินาศสันตะโร บรรดาพวกขอมทั้งหลาย
    ที่ตั้งใจจะเข้าเมืองแล้วปิดประตูเมืองเพื่อเป็นการยับยั้งตั้งตัวไม่ติด
    ของสักนิดหนึ่งก็เก็บไปไม่ได้ เพราะขืนเก็บก็ถูกฆ่าฟันตาย
    ทำยังไงล่ะ เป็นอันว่าขอมทั้งหลายก็ออกจากเมือง
    ถูกขับไสไล่ส่ง กองทัพของพรหมมหาราชติดตามข้าศึกไม่ได้ละลด
    ตีทั้งกลางวันตีทั้งกลางคืนไม่ยับยั้ง ถ้าจะถามว่ากินข้าวที่ไหน ก็บอกว่า
    คนนักรบทุกคนมีข้าวตากที่คั่วแล้ว และข้าวตากที่ยังไม่คั่วติดตัวใส่ย่ามไปทุกคน
    มีกระติกน้ำ ไอ้ข้าวตากเขาก็คั่วผสมกับเกลือเค็มๆ หวานๆ กินประทังเข้าไป
    ก็ออกคำสั่งที่ได้รับท่านก็คือว่า ขอมอยู่ที่ไหนฆ่าให้หมด
    แม้แต่เด็กที่ออกในวันนั้น ก็อย่าให้เหลือเป็นเชื้อขอม
    ฉะนั้น ตีกันแค่ ๓ วัน ๓ วัน ๓ คืนกวดขอมไม่ยับยั้ง ขอมมันไม่ได้กินข้าวนี่ปัดโธ่
    มันก็เพลียไปไหนไม่ไหวก็เอ้า ช้าๆ ตาย วิ่งไปก็ไม่ได้แต่วิ่งหนีอย่างเดียว
    วันเพียงแค่ ๓ วัน ถ้าเราจะเดินกันเวลานี้ก็นาน
    แค่ ๓ วันกองทัพช้างกองทัพม้าก็มาถึงทุ่งยั้งทัพ
    ทุ่งยั้งทัพเนี่ยเขาเขียนว่าบ้านยั้งทัพนะ ๓ วัน ๓ คืนมายั้งกันอยู่ตรงนั้น
    พลราบเดินไม่ทัน เมื่อพลราบเดินไม่ทันก็มาแสดงว่า
    พลราบของข้าศึกน่ะตายมากกว่าอยู่ และที่สั่งให้ยั้งทัพเป็นการพักกำลัง
    แล้วก็เคลื่อนไปที่บ้านชุมพล ไปรวมกำลังพักกันอยู่ ๓ วัน

    เอาล่ะบรรดาลูกรักทั้งหลาย มองดูเวลาสำหรับเทปหน้านี้ก็หมดเสียแล้ว
    เลยไปหนึ่งนาที สำหรับการรบกันในที่นี้ยังไม่หยุดรบ แต่ว่าขอหยุดพักก่อน
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเทปมันจะหมด
    ขอบรรดาลูกรักทุกคนฟังเทปหน้าข้างหน้าต่อไป สำหรับหน้านี้ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
     
  17. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    17.พระเจ้าพรหมมหาราช (ต่อ).mp3
    ลูกหลานทั้งหลาย สำหรับในตอนนี้ ก็จะพูดต่อถึงเรื่องของพระเจ้าพรหมมหาราช
    และคณะบรรดาคนไทยทั้งหลายที่มีจำนวนน้อยกว่าข้าศึก
    ถ้าจะว่ากันโดยกำลังแล้วก็หนึ่ง และก็น้อยกว่าเท่ากับ ๑ ต่อ ๔
    แต่ทว่า กำลังข้าศึกต้องย่อยยับไป ทั้งนี้เพราะว่า
    อาศัยคนไทยตัดสินใจแน่นอน ว่าการรบคราวนี้
    ก็มีอยู่สองทาง ถ้าไม่ชนะก็หมายถึงว่าตายทั้งชาติ
    แล้วก็คำว่าตายทั้งชาติก็เพราะว่า ถ้าหากว่าเราไม่ชนะเขา
    เขาไม่เก็บแน่ เพราะเราแพ้เขาไปครั้งหนึ่งแล้ว
    แล้วก็เรากลับมาคิดขบถ ถ้าจะว่ากันอีกทีเขาก็หาว่ากบฏ
    แต่เนื้อแท้จริงๆ เรากู้ชาติของเรา
    แต่ฝ่ายที่เป็นศัตรูเขาจะไม่ถือว่าเป็นการกู้ชาติ
    จะคิดว่าเป็นการกบฏ คิดทรยศต่อเขา
    นี่เป็นอันว่าเราก็ต้องย่อยยับหมดความเป็นคน
    ฉะนั้นการรบ จะมีความสำคัญอยู่ก็คือ
    ๑ การตัดสินใจแน่นอน คำว่าไม่กลัวตายจะต้องมีอยู่ในใจ
    ถือว่าการรบเป็นของธรรมดา เรื่องความป่วยไข้ไม่สบาย
    การเจ็บการตายเป็นของธรรมดาของนักรบ
    แต่ว่าเราก็ต้องหวังผล ผลที่เราจะได้จากการรบ นั่นก็คือ หมายถึงว่า
    ๑ ได้รับอิสรภาพ
    ๒ ได้รับพื้นที่
    แล้วก็ ๓ คนเบื้องหลังมีความสุข
    และก็ ๔ ชีวิตของเราถือว่า เราสละชีวิตของเรา ๑
    แต่ว่ารักษาประโยชน์คือความสุขของบุคคลเบื้องหลังมากกว่าเราหลายเท่า
    อย่างนี้จึงจะเป็นนักรบได้ และการรบจริงๆ ไม่ใช่ถือว่ากำลังเป็นสำคัญ
    กำลังคน กำลังอาวุธมีความสำคัญ ถ้าไม่มีเราก็รบไม่ได้ แต่ว่าการรบจริงๆ
    ถ้ามีทั้งกำลังคนและกำลังอาวุธ แต่หากว่าขาดกำลังปัญญา
    ถ้าขาดกำลังปัญญาเสียอย่างเดียว เรามีกำลังเท่าไหร่ก็แพ้เขาเท่านั้น
    เป็นอันว่า กำลังคนก็ดี กำลังอาวุธก็ดี กำลังปัญญาก็ดี
    ทั้งสามประการนี้ต้องประสานกัน นอกจากนั้น
    กำลังส่วนสำคัญก็คือกำลังเศรษฐกิจ เศรษฐกิจถ้าหากว่า
    ชีวิตของเราจะต้องกิน เวลารบไม่มีอาหารจะกินก็รบไม่ไหว
    กำลังที่มีความสำคัญใหญ่ก่อนจะรบ นั่นก็คือ กำลังแห่งความสามัคคี
    ที่พ่อเคยบอกบรรดาลูกรักทั้งหลายว่า คนไทยทั้งชาติควรจะตั้งอยู่ในสังคหวัตถุ
    มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีศรัทธาเสมอกัน
    ศีลหมายความว่าต่างคนต่างรักความเป็นสุข ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
    มีจาคะเสมอกัน เกื้อกูลซึ่งกันและกัน สร้างความรัก สร้างความเป็นปึกแผ่นไว้
    มีศรัทธาเสมอกัน หาความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ
    มีปัญญาเสมอกัน ก่อนจะเชื่อใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อน
    ทุกคนถ้าอยู่ร่วมกันได้แบบนี้ ก็หมายถึงว่า เราทั้งชาติมีความสุข
    และก็ไม่มีใครสามารถจะมาทำอันตรายได้

    เป็นอันว่า เมื่อพระเจ้าพรหมมหาราชตีไปถึงบ้านทุ่งยั้ง
    แล้วก็ไปตั้งบ้านชุมพลรวมคน ต่อไปก็เก็บเล็กเก็บน้อย
    มาพักกำลังพลได้ ๓ วันแล้ว เห็นว่าทแกล้วทหารรวมตัวกันดี
    ฝ่ายราบตามมาทัน แล้วก็มีการพักผ่อนพอสมควร
    ต่อไปก็ขยายกำลังออกเป็นจุดเล็ก และก็ตอนนี้ขอมไม่อยู่เป็นจุดใหญ่แล้ว
    ใช้เป็นหน่วยย่อย เที่ยวเก็บเล็กเก็บน้อย เก็บขอมที่หมดแรง
    เจอะที่ไหนฆ่าที่นั่น เจอะที่ไหนฟันที่นั่น ขึ้นชื่อว่าขอมไม่มีความสุข
    ตอนนี้ต้องใช้เวลาถึง ๑ เดือน คือเก็บเล็กเก็บน้อย
    เก็บตามป่า กว่าจะถึงเมืองกำแพงเพชร
    ต่อมาตามตำนานท่านได้บอกว่า มีพระอินทร์มานิรมิตกำแพงเพชรกั้นไว้
    น่าเสียดายนะ ความจริงท่านเห็นว่า จะทำบาปมากเกินไป
    เลยให้วิษณุกรรมเทพบุตรมาทำให้ทหารทั้งหมดอ่อนกำลังใจ
    แม้แต่พระเจ้าพรหมมหาราช คิดว่าการเก็บหาขอมก็ยาก แค่นี้ก็พอ
    เป็นอันว่าขยายอาณาจักรของโยนกนครจากพะเยามาถึงกำแพงเพชร
    นี่ก็ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน หลังจากนั้นก็กลับไปเชิญพระราชบิดาขึ้นเสวยราชสมบัติ
    ให้พี่ชายขึ้นเป็นมหาอุปราช แทนที่ตัวจะขึ้น
    แล้วก็ต่อนี้ไปสำหรับเรื่องราวทั้งหมดก็รู้กันอยู่แล้ว

    จบกันแค่นี้ ตอนนี้เรียกว่าจบโดยเรื่อง แต่ยังไม่ได้จบโดยธรรม
    เท่าที่พ่อพูดนำเอาเรื่องของพระเจ้าพรหมมหาราชมาพูดก็ดี
    หรือนำเอาเรื่องของพระราชาองค์เก่าๆ
    ตั้งแต่พระราชบิดาของพระเจ้าอชุตราชมาพูดก็ดี แล้วก็มาพูดถึงการรบก็ดี
    ทั้งหมดนี้ ความมุ่งหมายก็มีว่า ต้องการให้ลูกรักของพ่อทุกคนรู้จักความจริง
    ความจริงที่เราหนีไม่ได้ที่เรียกว่าสัจธรรม สัจธรรมนี่เป็นภาษาบาลี
    พอบอกว่าใช้สัจธรรม ปวดหัวทนไม่ไหว ไม่เป็นเรื่อง
    แต่ว่าลูกรักทั้งหลาย พ่อเตือนไว้เสมอ ว่าขณะที่พ่อพูดไป
    ขอให้ลูกทุกคนตั้งใจไว้ในสมาธิ คือศีล สมาธิ ปัญญา
    ฟังไปด้วย ใช้ศีล สมาธิ ปัญญา รวมตัวกันเข้าไว้
    ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ถ้ารวมอยู่ในใจจุดเดียวกัน
    ใจก็จะใสสะอาด ศีลขัดเกลาภาคพื้นให้ดี
    สมาธิจับอารมณ์ใจให้นิ่ง ปัญญาชำระล้างความสกปรกของจิต
    จิตมีอารมณ์ผ่องใส เมื่อจิตมีอารมณ์ผ่องใสกำลังใจก็เป็นทิพย์
    เมื่อกำลังใจเป็นทิพย์ อยากจะรู้อะไรก็รู้ได้ทันทีทันใด
    ที่เราเรียกกันว่า ใช้ทิพจักขุญาณ แล้วก็จุตูปปาตญาณ
    เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ
    ปัจจุปปันนังสญาณ ยถากัมมุตาญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    บรรดาลูกรักของพ่อได้อภิญญาเล็กด้วยกันทุกคน
    อภิญญาเล็กนี่เขาเรียกกันว่า มโนมยิทธิ หมายถึงว่ามีฤทธิ์ทางใจ
    คำว่ามีฤทธิ์ทางใจหมายถึงว่าใจน่ะมีฤทธิ์ คำว่าฤทธิ์หมายถึงว่าเก่ง
    คือใจก็เก่งกว่าใจธรรมดา สามารถจะถอดจิตออกจากร่างไปสู่ภพต่างๆ ได้
    นี่สำหรับมโนมยิทธิ เราจะไปเที่ยวเมืองสวรรค์ก็ได้ จะไปเที่ยวพรหมโลกก็ได้
    จะไปเที่ยวนิพพานก็ได้ จะไปเที่ยวนรกก็ได้ เปรตก็ได้ อสุรกายก็ได้
    ไปสู่แดนสัตว์เดรัจฉานก็ได้ โลกมนุษย์นี้จะไปมุมไหนก็ได้ บ้านใครเขาหวง
    สำนักงานไหนที่เขาหวง เราไป เราเข้าไปได้ นี่ความจริงมีฤทธิ์ทางใจนี่เป็นของดี

    แต่ว่ามีบางท่านที่ตำหนิพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าไม่น่าจะสอนหลักวิชชาสาม
    อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณ เป็นแต่เพียงสอนขั้นสุกขวิปัสสโกอย่างเดียวก็พอ
    ตอนนี้พ่อพูดถ้าพ่อทิ้งลูกจะสงสัย คำว่าสุกขวิปัสสโกนี่หมายความว่า
    จิตสะอาดปราศจากกิเลส ไม่มีความรักในเพศ ไม่มีความโลภ
    ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง จิตมีอารมณ์เป็นสุข จิตมีความเยือกเย็น
    ไม่มีทุกข์มีอารมณ์สบาย คือความเป็นพระอรหันต์
    แต่สำหรับว่าเตวิชโชก็สามารถระลึกชาติได้ และก็สามารถทำทิพจักขุญาณให้ปรากฏ
    ฉฬภิญโญหมายถึงว่ามีอภิญญาหก สามารถเนรมิตอะไรต่ออะไรได้
    มีทิพย์มีหูเป็นทิพย์ มีทิพจักขุญาณ และก็มีเจโตปริยญาณ
    มีปุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วมีอิทธิฤทธิ มีฤทธิ์ทางใจเป็นต้น
    สำหรับปฏิสัมภิทาญาณนั้นหมายถึงว่า มีความรู้พิเศษ
    เอากันง่ายๆ สามารถจะอธิบาย รู้เรื่องธรรมะทุกอย่าง ทรงพระไตรปิฎก
    คำว่าไม่รู้ไม่มี และสามารถจะรู้ภาษาของสัตว์และภาษาของคนได้โดยไม่ต้องศึกษา
    แต่ว่าเนื้อแท้จริงๆ ก็คือความเป็นอรหันต์ นี่เป็นอันว่ามีบางท่านบอกว่า
    พระพุทธเจ้าไม่น่าจะสอนแบบนี้ เสี่ยงภัยเกินไป

    แต่พ่อก็ขอเตือนลูก ถ้ามีใครเขาถามว่า
    ทำไมจะต้องเรียนอภิญญาสมาบัติ ทำไมจะต้องมีทิพจักขุญาณ
    คือเห็นผีเห็นเทวดาเห็นนรกเห็นสวรรค์ได้ ทำไมจะต้องยกจิตไปท่องเที่ยวไปสู่ภพต่างๆ ได้
    และก็จุตูปปาตญาณการรู้การสัตว์ที่ หมายความว่า รู้ว่าคนและสัตว์ที่มาเกิดนี้
    ก่อนจะเกิดมาจากไหน และก็ตายแล้วไปเกิดที่ไหน
    เจโตปริยญาณ รู้จักวาระน้ำจิตของบุคคลทั้งหลาย
    คนและสัตว์ ว่ามันชอบอะไร มันต้องการอะไร
    มันคิดดีหรือคิดชั่ว และมีกิเลสตัวไหนบ้าง
    ปุพเพนิวาสานุสติญาณ สามารถระลึกชาติต่างๆ ได้
    ถอยหลังว่าเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ เคยเป็นอะไรมาบ้าง เรารู้ได้
    อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีต อนาคตังสญาณ
    ถอยหลังรู้เรื่องการณ์ในอนาคตที่ล่วงมาแล้ว ปัจจุปปันนังสญาณ
    รู้ว่าเวลานี้ใครอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่ ยถากัมมุตาญาณ
    รู้ว่าเขามีสุขมีทุกข์ และเพราะผลอะไรเป็นสำคัญ
    ความจริงความรู้แบบนี้ ถึงแม้ว่าเรายังไม่เป็นอรหันต์เราก็หาได้
    ถ้าใครเขาถามว่าศึกษาทำไม ก็ควรจะตอบว่าศึกษาเพื่อกันความสงสัย
    จะได้ไม่สงสัยคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และมีความไม่ประมาทในชีวิต ถ้ามีคนเขาถามว่า
    ดูอย่างพระเทวทัต เพราะอาศัยได้อภิญญาสมาบัติจึงลงอเวจีมหานรก
    อย่างนี้ก็ต้องย้อนถามเขาลงไปว่า คนที่ได้อภิญญาสมาบัติ
    ในสมัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชีวิตอยู่
    หรือว่าทรงนิพพานไปแล้วก็ตาม คนที่ได้อภิญญาสมาบัติลงนรกกี่คน
    หรือว่าคนที่ได้อภิญญาสมาบัติไปนิพพานเท่าไหร่
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างพระเทวทัต ถ้าไม่ได้อภิญญาสมาบัติ
    ความยับยั้งก็ไม่มี จะต้องลงอเวจีตามกฎของกรรม
    ทั้งนี้พระเทวทัตลงอเวจีเพียงแค่ระยะเวลาวันหนึ่งหรือสองวัน
    ไม่ถึงหนึ่งวันของอเวจี เพราะผลความดีที่มีความรู้ด้านอภิญญา
    มีการยับยั้ง เหมือนกับคนตาดี เดินไปในกลุ่มหนาม
    เดินไปในลานแก้วที่แตกๆ แล้ว ถึงแม้จะวางเท้าลงไปก็ต้องค่อยๆ วาง
    เพราะมองเห็นแก้วมองเห็นหนาม เกรงว่ามันจะบาดเท้า
    เกรงจะตำเท้า จะถูกเจ็บบ้างก็เล็กน้อย ไม่เหมือนกับคนตาไม่ดี
    ไม่รู้ว่าที่นั้นมีอันตราย เดินสวบๆ เข้าไป
    ผลที่สุดทั้งแก้วทั้งหนามก็ตำเอาเต็มเอากำลัง ข้อนี้ฉันใด
    แม้คนที่ได้อภิญญาสมาบัติหรือวิชชาสามก็เช่นเดียวกัน
    ถึงแม้ว่ากฎของกรรมบางอย่างจะบีบคั้น ก็ยังมีการยับยั้งรู้ผิดรู้ชอบ
    เหมือนกับคนที่รู้กฎหมายกับคนที่ไม่รู้กฎหมาย
    คนที่รู้กฎหมายเขาผิดกฎหมายก็จริงแหล่ แต่ทว่าเขารู้ทางออก
    จะรับโทษก็รับโทษไม่มาก ไม่เหมือนกับคนที่ไม่รู้กฏหมาย
    อยากจะทำอะไรก็ทำตามชอบใจ ดีไม่ดีติดคุกติดตะราง เล็กๆ น้อยๆ
    คิดว่าของมันเล็กน้อยแต่ที่ไหนได้ ของมันใหญ่
    ก็อย่างคิดอยากจะฆ่าควายก็เกรงว่าแหมควายตัวใหญ่ มันจะมีโทษมาก
    นี่เราฆ่าคนดีกว่า คนตัวเล็ก โทษจะน้อยกว่าควาย ถ้าไปฆ่าเข้าจริงๆ
    ฆ่าควายมีโทษนิดหน่อย ฆ่าคนมีโทษมากกว่า ดีไม่ดีไอ้การฆ่าเขา
    รู้สึกว่ามันมีโทษมาก ด่าเสียดีกว่า แอบไปด่าพระมหากษัตริย์เข้าให้
    เจ๊งไปเลย ถูกลงโทษฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไปกันใหญ่
    ด่าชาวบ้านธรรมดาเสีย ๕๐ บาท เสีย ๑๐๐ บาท
    แต่ว่าด่าพระมหากษัตริย์หรือด่าศาล คำว่าด่าศาล แต่ไม่ได้ด่าคนบนศาล
    ถ้าด่าชื่อคนที่นั่งอยู่บนศาลตัดสิน ออกชื่อไม่ออกศาลนี่ลำบาก ก็มันไม่มีโทษมาก
    ถ้าด่าศาลนี่ หาว่าศาลไม่ยุติธรรม ศาลไม่เที่ยงตรง ศาลมีอคติ ศาลคดศาลโกง
    อันนี้ถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีโทษหนัก เป็นอันว่าคนที่มีความฉลาด
    มีความรู้ ถึงแม้จะมีโทษก็มีการยับยั้งในการกระทำความผิด
    ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่ไม่รู้อะไรเลย คนที่ไม่รู้อะไรเลยนี่ไม่เป็นเรื่องแล้ว
    ทำก็ทำลงไปเต็มอัตราศึก ไม่ได้นึกถึงบาปบุญคุณโทษ
    ประโยชน์ไม่ใช่ประโยชน์ ไม่รู้กฎของกรรม

    นี่เป็นอันว่า ที่พ่อให้ลูกศึกษาวิชาความรู้ประเภทนี้
    แต่ก็ต้องระมัดระวัง รักษาไว้ด้วยดี อย่าไปอวดเขา รักษาไว้ชำระจิตใจของเรา
    ให้จิตใจของเราเป็นสุข ที่พ่อพูดมาตั้งแต่ต้นจนจบ ความจริงเรื่องมันยังไม่จบ
    เพราะเขาจบกันส่ง ทั้งนี้ก็เพราะว่า ในสมัยปัจจุบัน มีคนเขากลัวสงครามกัน
    หรือเกรงว่าสงครามจะเข้ามาถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลัวญวน
    ถามว่าทำไมจึงกลัว ก็เพราะว่าญวนอเมริกาทิ้งอาวุธไว้มาก
    แล้วก็ญวนก็มีอาวุธได้รับจากรัสเซียด้วย ในกาลก่อนก็รับจากจีนแดง
    มีอยู่มากมาย ประการที่สอง ญวนมีลูกพี่
    แต่คนประเภทนี้พ่อตำหนิลูกรัก เขายังไม่ทันจะตีก็เจ็บ เขายังไม่ทันจะฆ่าก็ตาย
    ทำไมจึงจะต้องกลัว ความกลัวทำไมจึงจะต้องมีในชีวิตของพวกเราคนไทย
    พ่อก็อยากจึงได้นำเอาเรื่องราวต่างๆ ของพระเจ้าพรหมมหาราช มาเล่าสู่กันฟัง
    ว่าสมัยที่เราแพ้สงคราม เราแพ้เพราะอะไร สมัยพระเจ้าพรหมมหาราชโน่น
    แต่ไม่ใช่แต่ว่าสมัยพระเจ้าพังคราชที่แพ้สงคราม เรายังไม่มีคนขายชาติ
    แต่ว่าเรามีความประมาท ประมาทเพราะว่าเราไม่ได้คิดว่าใครเขาจะมารบ
    ใครเขาจะมาตีรันฟันแทง มาฆ่าเรา เราคิดว่าเราดีแต่ว่าคิดว่าแล้วก็คิดว่าเขาดีด้วย
    ต่างคนต่างก็นับถือพระพุทธศาสนาด้วยกัน ไม่น่าจะมาฆ่ามาฟันกัน
    แต่ว่าในที่สุด เขาก็จัดการกะเราจนได้ นี่รวมความว่า ถ้าเราดีเกินไป
    เราดีเกินไปมันก็พลาดพลั้งได้ อย่างที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
    ปะมาโท มัจจุโน ปะทัง ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย
    ทีนี้จะถือว่าเราประมาทก็ถือได้ หรือจะถือว่าประเพณีของเรา
    ไม่รบกันมาตั้ง ๒๖ รัชกาล ไม่มีสงครามภายใน
    แล้วก็ไม่มีสงครามภายนอก นี่ก็เป็นการเป็นเหตุอันหนึ่ง
    ที่เป็นปัจจัยให้เราทั้งหลายไม่เตรียมการสงคราม จะถือว่าประมาทก็ประมาท
    จะถือว่าในเมื่อเรื่องมันไม่มีจะเกณฑ์ทหารไปทำไม
    ที่ตรงกันข้ามกับคนจังไรคือเจ้าขอมดำ มีมันมีใจอำมหิตคิดมิชอบ เรียกกันว่า
    ไม่ยอมปฏิบัติในด้านความดี เห็นได้ทีมันก็ซ้ำมันก็ซ้ำเติม มันก็ยึดอำนาจ
    เป็นอันว่าครั้งแรกเราพลาดเพราะเราประมาท พอมาครั้งหลังนี่เราไม่พลาดแล้ว
    เรามีคนน้อยกว่าเขา เราไม่มีอิสรภาพในความคิดในความอ่าน ทุกสิ่งทุกอย่าง
    ทำอะไรทุกอย่างต้องปิดบังกันหมด แต่ว่าสิ่งที่สำคัญ เป็นอาวุธสำคัญก็คือ
    ๑ กำลังใจ พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ศรัทธาความเชื่อมีความสำคัญ ทีนี้เชื่ออะไรกันล่ะ
    อันดับแรกที่เชื่อก็เชื่อว่าลูกชายของพระเจ้าพังคราชองค์ที่สอง
    จะเป็นพระเจ้าขี่ม้าขาวมากู้คนไทย โหรพยากรณ์บอกว่า เด็กคนนี้เกิดมา
    ไทยต้องเป็นอิสรภาพ ขอมจะพินาศด้วยกำลังของเด็ก
    เรื่องนี้แพร่สะพัดไป คนไทยที่มีความทุกข์อยู่แล้ว เหมือนกับคนที่ลอยเรืออยู่ในลำน้ำ
    ถ้าใครเขาส่งอะไรให้ก็เกาะ เมื่อท่านทั้งหลายเหล่านั้น เกาะด้วยอาการแห่งความเชื่อมั่น
    การรวมกำลังใจกันก็ไปอยู่ที่เด็ก ความจริงตอนนั้นเพิ่งจะเข้าครรภ์ ยังไม่เป็นตัว
    ความเชื่อมั่นเกิดขึ้น ความดีใจเกิดขึ้น อารมณ์ใจก็มีความสุข การรวมตัวเกิดขึ้น
    คราวนี้คิดว่าเราต้องชนะล่ะ เราต้องเป็นอิสรภาพ เราจะไม่เป็นทาสของขอมต่อไป
    เราจะขยายอาณาเขตออกไปให้กว้าง เราจะมีดินแดนไกลแสนไกล เราจะมีความสุขใจ
    คือความมีความอุดมสมบูรณ์ ทีนี้ตัวความเชื่อในตัวแรกนี่มีความสำคัญ
    จุดรวมใจ อย่างประเทศเรา ไทยเราในปัจจุบัน จุดรวมใจก็มีอยู่ ๓ สถาบัน
    ๑ พระมหากษัตริย์
    ๒ พระศาสนา
    ๓ รัฐบาล แต่ว่ารัฐบาลนี่ บางทีก็รัดซะกิ่วเกินไป บางทีก็บานมากเกินไป

    ฉะนั้น พ่ออยากจะขอร้องบรรดาลูกรักของพ่อทั้งหมด สำหรับพระศาสนาคงตัว
    แต่คนที่อยู่ในเครื่องแบบของพระศาสนานี่ก็มีความสำคัญ ดีไม่ดีก็เลวเกินไปเหมือนกัน
    ที่ชั่วก็มีที่ดีก็มาก เราก็ต้องเลือก พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เนื้อพระพุทธศาสนา
    ปุญญักเขตตัง พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก เราก็ต้องเลือกเนื้อนาบุญเหมือนกัน
    จะบูชากันทั้งทีก็ต้องดูความดี ไม่ใช่มองว่าบูชาส่งเดช เป็นอันว่ารวมความว่า
    พระพุทธศาสนาน่ะดี แต่ให้เลือกคนในพระพุทธศาสนา สำหรับพระมหากษัตริย์
    รัชกาลที่ ๙ กับพระ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ
    กับพระเจ้าลูกเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ ก็รู้สึกว่าดี
    แต่ว่าคำว่าดีนี้ลูกรัก เราก็จะต้องรู้กัน ว่าคนทุกคนน่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นพระอรหันต์
    ก็ย่อมทำอะไรไม่เป็นที่ถูกใจของบุคคลบางคนบางกรณี นี่เป็นของธรรมดา
    เราต้องถือเหตุใหญ่เป็นสำคัญ สำหรับคณะรัฐบาลนี่ก็เช่นเดียวกัน
    รัฐบาลไม่ใช่คนๆ เดียว และก็รัฐบาลก็ไม่ใช่ว่าเป็นพระอรหันต์
    เราก็ต้องให้อภัยกัน สำหรับเรื่องที่มีความไม่สำคัญ
    อันไหนมีความสำคัญ เขาทำดีเราก็สรรเสริญ แต่ว่ารัฐบาลจะดีหรือไม่ดี
    ก็อยู่(ที่)คนอีกพวกหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าผู้แทน ที่พ่อพูดมาแล้ว
    สำหรับคนที่เข้าเป็นผู้แทนราษฎรนี่ คนประเภทนี้สำคัญ
    ถ้าลงไม่ดีแล้ว บ้านเมืองพังกันแน่ พ่ออยากจะฝันไว้เสมอ
    ว่าคิดว่าผู้แทนไม่ควรจะเป็นรัฐบาล ถ้าลงเป็นรัฐบาลเสียเองแล้วพูดไม่ออก
    เข้าไปคนเดียวไม่พอ มีเพื่อนมีฝูง มีพวกมีพ้อง มีพี่มีน้องทำความชั่ว
    คนที่ไปเป็นรัฐบาลก็จะไม่กล้าจะทำอันตรายมาก
    เพราะเกรงว่าไอ้ความชั่วทั้งหลายเหล่านั้นมันจะสะท้อนมาถึงตัว
    แต่ว่าถ้าตนเองทำความชั่วเสียแล้ว ไอ้เจตนาที่จะทำนุบำรุงบ้านเมืองมันก็ไม่มี
    นี่พ่อกลัวเท่านี้นะ ไอ้ที่เขาบอกว่าราษฎร ผู้แทนราษฎรต้อง
    ถ้าประชาธิปไตยรัฐบาลต้องมาจากผู้แทนราษฎร พ่อคิดว่า
    ถ้าเป็นประชาธิปไตย ควรไม่มีพรรคการเมือง ให้ทุกคนมีอิสระในความคิด
    และก็ราษฎรทุกคนมีอำนาจจะถอดถอนผู้แทนของเขาได้
    ถ้าผู้แทนเขาไม่ดี เขาจะโหวตกันบอกผู้แทนคนนี้ไม่ดีเอาออกไป
    ไม่ใช่มารอ ๔ ปี ๕ ปีอย่างที่ปฏิบัติกัน และประการที่สอง
    ผู้แทนราษฎรทั้งหมดอยู่ในฐานะผู้แทน ไม่ร่วมงานกับรัฐบาล
    รวมความว่า คอยจับผิดรัฐบาล และก็คอยสนับสนุนรัฐบาล
    ถ้ารัฐบาลทำผิด ก็จับผิดลงโทษ ลงโทษในฐานะที่มีอำนาจตามที่ตนมีอยู่
    ถ้ารัฐบาลทำดีก็สนับสนุน แล้วก็หาเวลาออกมาเยี่ยมเยียนราษฎรในยามปกติ
    เว้นจากเวลาประชุม เมื่อเว้นจากสมัยประชุมก็มาเยี่ยมบรรดาประชาชนทั้งหลาย
    อย่างนี้จะมีความสุขดี

    นี่รวมความว่า ที่พ่อพูดมานี้ ก็เพราะอาศัย ๑ คนกลัวสงคราม
    ความจริงไม่มีอะไรน่ากลัว เมื่อจะแพ้ก็แพ้ ชนะก็ชนะ
    แต่ว่าก่อนจะแพ้รึก่อนจะชนะ ต้องสู้กันเสียให้เต็มที่ก่อน
    แล้วผลที่สุดก็ดูตัวอย่างสมัยพระเจ้าพรหมมหาราช
    โน่น

    เราไม่มีทางจะสู้เขาได้ เราก็สู้ได้

    เพราะอาศัยการที่รวมใจกัน
    ความจริงลูกรักของพ่อทั้งหมด เวลานี้ลูกรบกับสงครามสำคัญคือกิเลส
    สงครามภายนอกน่ะลูกมันเรื่องเล็กๆ สงครามกิเลสมีความสำคัญ
    แต่ว่าเทปหน้านี้มันหมดเสียแล้วนี่ เอาไว้ฟังกันหน้าใหม่ต่อไปก็แล้วกัน
    สำหรับหน้านี้ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
     
  18. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    18.สรุปธรรมะ.mp3
    เอ้อลูกรักของพ่อทั้งหลาย สำหรับต่อนี้ไป
    พ่อก็จะขอนำเอาธรรมะที่เป็นคติเตือนใจของลูกทั้งหลายมากล่าวในที่นี้
    เพราะว่าก่อนจะจบ เจตนาของพ่อก็มีอยู่ว่าความเกิดมันเป็นทุกข์
    อย่างลูกทุกคนเวลานี้ ต่างคนต่างก็มีทุกข์กันหมด
    แต่ว่าทุกข์มีจริงให้ทุกข์มันมีแต่ขันธ์ ๕ ใจเราจึงอย่าเป็นทุกข์
    บรรดาลูกรักของพ่อทุกคน ต่างคนต่างมีศีล ต่างคนต่างมีสมาธิ
    ต่างคนต่างมีปัญญา พ่อดีใจ เวลาฟังพ่อพูด
    พยายามใช้สมาธิให้คล่องตัว สำหรับอภิญญาสมาบัติ
    อิทธิฤทธิ สามารถยกจิตไปในที่ต่างๆ ได้ ทำให้คล่อง
    ทิพจักขุญาณ ทำอารมณ์ใจให้แจ่มใสคือศีล สมาธิดีแล้ว
    เราก็เห็นชัดเจน จุตูปปาตญาณ ถ้าอยากจะรู้การตายการเกิดของสัตว์
    มองหน้าคนมองหน้าสัตว์ ก็จงใช้ญาณนี้จะรู้ได้ทันทีว่า
    ก่อนที่เขามาเกิดเป็นคนหรือสัตว์เขามาจากไหน ตายแล้วไปไหน
    เจโตปริยญาณ ถ้าอยากจะรู้วาระน้ำจิตของบุคคลอื่น
    ให้พยายามรู้ใจของตนไว้ก่อนเสมอ ดูกระแสจิตของตน เรารู้ได้ไม่ยาก
    คนที่มีจิตมีกิเลสหนามีความชั่ว ใจจะมีสีแดงบ้างสีดำบ้างสีขาวบ้าง
    แต่ก็เป็นสีเนื้อ ถ้าใจของคนดีปานกลางก็จะมีสีเป็นแก้ว
    ถ้าคนที่ดีจริงๆ ก็เป็นประกาย เป็นดาวทั้งดวงเป็นประกายทั้งหมด
    นี่ไม่ยาก ถ้ารู้แล้วก็นิ่งเสีย ปุพเพนิวาสานุสติญาณฝึกให้คล่อง
    ถอดถึงชาตินึกถึงชาติถอยหลัง ว่าเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ
    แต่อย่าไปไล่มันทุกชาติเลย ถ้าพบอะไรขึ้นมาก็เราก็นึก
    ว่าเราเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมั้ย เห็นสัตว์เข้า
    เกิดมาแล้วกี่วาระ ภาพนั้นมันก็จะปรากฏ มันเห็นชัด มันถอยหลังได้

    เป็นอันว่า ธรรมส่วนนี้มีความสำคัญ พ่อให้ลูกไว้
    ก็เพื่อชำระจิตของลูกให้บริสุทธิ์ ถอยหลังไปหาความทุกข์
    ว่าเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่ละชาติดูบรรดากษัตริย์ทั้งหลายที่พูดถึงมา
    แล้วคนทั้งหลายเหล่านั้นต่างคนต่างตายไปหมด ผืนแผ่นดินไทยที่เราเดินอยู่ที่นี่
    ถ้าเราจะใช้อตีตังสญาณ ญาณในอดีต ก็จะมีความรู้สึกว่า
    เราเดินอยู่บนร่างกายและเลือดเนื้อของบรรดาบรรพบุรุษของเรา
    ฉะนั้น ถ้าหากว่าใครเขาจะมาเชือดเฉือนเอาเนื้อ เอาร่างกายบรรพบุรุษของเราไป
    เราก็ไม่ควรยอม นี้พูดกันอย่างทางโลก เรียกว่าโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย
    ตอนนี้สำหรับกิเลสที่เราจะชนะได้ ถ้าเรื่องของการรักชาติ
    เรื่องของความสามัคคี สามัคคีจะเกิดขึ้นมาได้จากสังคหวัตถุ ๔ ประการ
    ๑ ทานการให้ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน
    ๒ ปิยวาจา พูดวาจาไพเราะ
    ๓ อัตถจริยา ทำตนให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ช่วยการงาน
    ๔ สมานัตตตา ไม่ถือตน ที่เพียงแค่ ๔ ประการนี้
    ถ้าเราทำกันไม่ได้ มันก็มีความสุขไม่ได้ ฉะนั้น ชาติเราจะมีความสุข
    คนของเราจะมีความสามัคคี อย่างสมัยที่เขาเลือกผู้แทนกันนี้
    ถ้าผู้แทนที่ดีก็ดูหลัก ๔ ประการ เขาทำมาก่อนหรือเปล่า
    ถ้าเขาไม่ทำมาก่อนก็อย่าไปเลือกมันเลย เขาบอกว่านอนหลับทับสิทธิ์ไม่ดี
    ถ้าคนไม่ดีแล้วก็เราก็ไม่ควรจะไปใช้สิทธิ์ เราเลือกคนไม่ดีเข้าไป
    ก็แสดงว่าเราเป็นคนไม่ดี จะเลือกคนไม่ดีเข้าไป
    ก็ไม่ให้เสียเลยเขาก็เป็นผู้แทนไม่ได้ เขาถามว่าทำไมจึงไม่ไปเลือก
    ก็บอกว่า คนที่สมัคร คนไม่ดี ในเมื่อเขาจะมาเป็นเอาคนไม่ดีมาเป็นผู้แทน
    ฉันไม่ต้องการ ฉันไม่มีดีกว่า ก็หมดเรื่องกันไป
    อย่าเอาวาพาโวยกับเขา แล้วนี่เรื่องที่พ่อพูดนี่
    ๑ ต้องการให้ละกิเลสหยาบ ในฐานะที่มีร่างกายอยู่แล้วมีความสุข
    ไอ้คำว่าสุขในที่นี้ อย่าไปเอาสุขกายนะ เอาสุขใจก็แล้วกัน
    ทางกายต้องนึกว่า ๑ ชาติปิทุกขา ความเกิดมันเป็นทุกข์
    ชะราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มะระณัมปิทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
    เป็นอันว่าขันธ์ ๕ มันทุกข์ แต่ใจของเราอย่าทุกข์
    ใจของเราจะไม่ทุกข์เราจะทำไง รักษาอารมณ์ใจไว้ ๑๐ อย่าง
    คือ ๑ ทานการให้ คิดไว้เสมอว่า เราจะมีจิตเมตตา
    สงเคราะห์บุคคลอื่นให้มีความสุขด้วยการให้ ให้ของให้ความคิดให้กำลังกาย
    ให้ของหมายความว่าถ้าเขาขาดของ เรามีของ เราก็ให้
    ถ้าของไม่มีก็ใช้ปัญญาแนะนำว่า โน่นคนโน้นอาจจะให้
    คนนี้อาจจะให้ รึทำอย่างงี้จะไม่อดตาย
    และก็ให้กำลังกายคือช่วยกิจการงานเขา อันนี้เป็นเสน่ห์ใหญ่อันหนึ่ง
    ที่ทำให้เรามีใจเป็นสุข ผู้ให้ย่อมได้เป็นที่รักของผู้รับ
    ๒ ศีลแปลว่าปกติ อารมณ์ของเราจะทรงความดี ๕ ประการไว้เสมอ
    คือ ๑ ไม่คิดและไม่ประทุษร้ายใคร ไม่ทำร้ายไม่กลั่นแกล้ง ไม่ฆ่าเขา ไม่ทำร้ายเขา
    ๒ ไม่ลักไม่ขโมยไม่ยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น
    ๓ ไม่ยื้อแย่งความรักของบุคคลอื่น ๔ ไม่พูดโกหกมดเท็จ ๕ ไม่ดื่มสุราเมรัย
    และก็ข้อที่ ๓ เนกขัมมะ ตอนนี้เนกขัมมะเขาแปลว่าการถือบวช
    คือบวชใจ คำว่าบวชนี่ไม่จำเป็นต้องโกนหัว คนโกนหัวแล้วถ้าหากว่า
    ถ้าจิตใจไม่ดีก็ไม่ถือว่าเป็นนักบวช เราบวชใจก็คือ ๑ ไม่มัวเมาอยู่ในกามคุณ ๕
    ไม่หลงอยู่ในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
    และไม่ยึดถือความโกรธความพยาบาทมาเป็นบรรทัดฐาน มีใจให้อภัยอยู่เสมอ
    สำหรับกามคุณ ๕ เนี่ยมีความรู้สึกว่า ไอ้รูปสวยน่ะมันสวยไม่จริงเดี๋ยวมันก็พัง
    เสียงเพราะผ่านหูแล้วก็หายไป กลิ่นหอมผ่านจมูกก็หายไป
    รสกระทบลิ้นแล้วก็หายไป สัมผัสระหว่างเพศ จับแล้วก็
    พอปล่อยจับก็หมดความรู้สึก แล้วก็เป็นปัจจัยนำมาซึ่งความทุกข์
    รักมากทุกข์มาก รักน้อยทุกข์น้อย ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย
    ไอ้เรื่องความโกรธความพยาบาทก็เหมือนกัน ตัดกำลังใจเสีย
    ว่าเราให้อภัยกับคนที่ทำความผิด ขึ้นชื่อว่าคนที่เกิดมาในโลกนี้
    ไม่ทำความผิดเลยไม่มี ก็น่าเห็นใจ เพราะว่าความพลั้งพลาดของงาน ช่างเขา
    เขาจะด่าเขาจะว่าก็ช่างเขา เดี๋ยวต่างคนต่างก็ตาย
    แล้วก็กันความง่วงเหงาหาวนอนที่เวลาที่เข้ามา ก็เราจิตใจจะทำความดี
    พยายามตัดอารมณ์ข่มใจตั้งไว้ในอารมณ์ที่เป็นปกติ
    คือเรานึกถึงความดีจุดใดจุดหนึ่งอยู่ เราจะไม่ยอมอารมณ์ให้อารมณ์อื่นเข้ามาแทรก
    และเราจะไม่สงสัยในธรรมปฏิบัติ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน
    อย่างนี้เรียกว่าเนกขัมมะถือบวช คือไม่ต้อง คนที่บวชห่มผ้าเหลืองน่ะ
    ถ้าระงับเหตุ ๕ ประการอย่างนี้ไม่ได้ เขาไม่เรียกว่าสมมุติสงฆ์หรอก
    เขาเรียกว่าเถนะ หรือว่าเถน น.หนูสะกด สระเอ ถ.ถุง น.หนู
    เรียกว่าหัวขโมย ลักเอาเพศของสมณะมานุ่ง ไอ้นักบวชจริงๆ
    อันดับแรกจะต้องตัดนิวรณ์ ๕ ประการ คือระงับนิวรณ์ ๕ ประการตามที่พูดมาแล้วได้
    ขอลูกทุกคนพยายามระงับใจ เป็นธรรมดาผู้ครองเรือน
    อย่าถือว่าทำอย่างพ่อว่าต้องหย่ากัน นั่นไม่จำเป็น
    เรื่องที่มันมีอยู่แล้วก็แล้วกันไป แต่พิจารณาหาความจริงว่า
    นี่มันเป็นปัจจัยของความสุขรึเป็นปัจจัยของความทุกข์ ถ้ามันเป็นปัจจัยของความทุกข์
    และงานในหน้าที่มีเท่าไรทำให้ครบ แต่ว่าถือว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะทำ
    ชาติต่อไปไม่มีสำหรับเราอีก ไอ้แบบนี้ เลิกกัน เราขอไปนิพพาน ถ้าสงสัยนิพพาน
    ก็ใช้วิปัสสนาญาณให้เข้มข้น ใช้มโนมยิทธิ แป๊บเดียวก็ถึงนิพพาน จับนิพพานได้
    ว่านิพพานจะมีความสุขขนาดไหน
    นี่ข้อที่ ๔ ท่านบอกปัญญา ปัญญามีความรอบรู้ หลีกเลี่ยงในสิ่งที่จะเป็นโทษ
    ทำแต่สิ่งที่เป็นคุณ แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาหาความเป็นจริง
    ว่าเกิดแก่เจ็บตายจริงมั้ย ถ้าเรายังเกิดยังแก่ยังเจ็บยังตายอย่างนี้
    เราก็ไม่หมดทุกข์ ความสุขก็คือไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย
    ได้แก่รักษาธรรม ๑๐ ประการนี้ไว้ให้ครบถ้วน
    วิริยะ อุปสรรคในการงานทุกอย่าง ทั้งฝ่ายโลกฝ่ายธรรมมันย่อมมี
    เราจะต้องอดทนทุกอย่าง ต่อสู้เพื่อให้รักษาความดีให้คงอยู่
    เรียกว่าเพียร พังให้มันทะลุเข้าไป
    ขันติความอดใจ อดกลั้น อดทนต่อความเหนื่อย อดทนต่อความร้อน
    อดทนต่อความหนาว อดทนต่อความขัดข้องใจ
    สัจจะ แปลว่าความจริงใจ ความจริงหมายถึงตั้งใจแบบไหนแล้วก็ทรงแบบนั้น
    คือว่าตั้งใจไว้ว่า เราจะรักษาศีล เราก็รักษาศีล ใครมาชวนด่าเราก็ไม่ด่า
    เราจะมีเมตตา ใครมาชวนให้โกรธ เราก็ไม่โกรธ
    อธิษฐาน ตั้งใจไว้ว่า การทำอย่างนี้เพื่อทรงคุณอะไร
    จะไปไหนเมตตามีใจสบายอยู่เสมอ มีความรักคนและสัตว์เสมอ
    คิดว่าเหมือนเพื่อนของเรา
    อุเบกขาวางเฉยในอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นที่ไม่ถูกใจเรา หมายความว่าอะไรก็ตาม
    ถ้าเป็นที่ไม่ถูกใจเรา เราก็เฉยๆ เขาจะด่าเขาจะว่าเขาจะนินทาอะไรก็ช่าง
    ก็ถือว่าเดี๋ยวก็ตาย จะไปยุ่งอะไรกัน

    ทั้งนี้เพื่อความสบายใจของลูก พ่อก็จะขอนำเอาธรรมะย่อๆ
    ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะกระจุ๋มกระจิ๋มของชาวบ้าน
    มาแนะนำลูกเข้าไว้ เพื่อเป็นนิทัศนะ ทั้งนี้อะไร เพื่อประพฤติปฏิบัติ
    เพื่อความอยู่เป็นสุข ท่านบอกว่าอบายมุข คือเหตุแห่งความชิบหายมี ๔ อย่าง
    คำว่าชิบหายนี่ภาษาบาลีถือว่าเป็นเรื่องธรรมดานะ
    อะไรก็ตามที่ต้องสลายตัวไป ท่านเรียกว่าชิบหายทั้งหมด อบายมุข ๔ อย่างนี้
    จะต้องหลีกเลี่ยงนะลูกนะ คือว่าอย่าเข้าไปยุ่งกะมัน ถ้าเข้าไปยุ่งกะมันก็มันก็ยุ่ง
    ๑ ความเป็นนักเลงหญิง ถ้าผู้ชายนะ ชอบเจ้าชู้หรือว่าหญิงเป็นนักเลงชาย
    ชอบเจ้าชู้นี่ไม่เป็นเรื่อง พัง
    ๒ การเป็นนักเลงสุรา นักดื่มสุรายาเมายาฝิ่นกินกัญชาเฮโรอินอะไรพวกเนี้ย
    ไม่เป็นเรื่อง
    ๓ การเป็นนักเลงการพนัน
    ๔ การคบคนชั่วเป็นมิตร นี่ไอ้คบคนชั่วเป็นมิตรเนี่ย
    ก็เหมือนกะคบบุคคลที่เป็นผู้แทนราษฎรเนี่ยะ เป็นคนเลวๆ เข้ามาเราก็พัง
    เป็นอันว่าเหตุ ๔ ประการเนี่ย สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
    ถ้าใครปฏิบัติตามนี้ล่ะก็ ไม่มีความสุข มันมีแต่ความทุกข์ ทรัพย์สินมีเท่าไร
    ก็บรรลัยบรรทุนหมด หาความสุข จะหาสุขจริงๆ ไม่ได้
    อันนี้ต่อไปท่านบรรยายว่ายังไง อ๋อท่านไม่บอก
    สัมปรายิกัตถประโยชน์ พ่อไม่ยังไม่พูดถึง

    เอ้อ ตอนนี้ก็จะขอผ่านไปเลยนะ อย่าลืมว่าอบายมุข ๔ อย่างนั้นไม่ดีนะ
    จำไว้ด้วย จำได้ไหม ท่านมาพูดตอนนี้อีกทีหนึ่ง พ่อขอข้ามมาเลย
    ว่ามิตรปฏิรูป คือคนเทียมมิตร แหมเรื่องการคบมิตรเนี่ยสำคัญมาก
    ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อะเสวะนาจะพาลานัง ปัณฑิตานัญจะเสวะนา
    ปูชาจะปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ก็หมายความว่า
    อย่าคบคนชั่ว จงคบและจงบูชาแต่บุคคลที่ควรบูชา
    ...เป็นอุดมมงคล เป็นอันว่าดูถึงมิตรปฏิรูปท่านว่ายังไงนะ
    คือคนที่เทียมมิตรมีอยู่ ๔ จำพวก คือ
    ๑ คนปอกลอก ไอ้คนปอกลอกนี่ดีแต่ใช้ของเรา กินเอา แต่เสียไม่จ่าย
    นี่คนปอกลอกประเภทนี้ก็จำไว้ ว่าไม่ใช่มิตรแท้ไม่ควรจะคบ
    ๒ คนดีแต่พูด เวลาคนอื่นเขาทำก็ติโน่นตินี่ เหน็บโน่นแนมนี่
    เวลาตัวเองทำระยำอัปรีย์ไม่พูดหรอก พูดแต่เที่ยวชอบด่าเขา
    เหตุไอ้คนจะด่าคนมันเหตุผลมันง่ายๆ เหมือนกะคนชกมวย
    ไอ้คนดูทำบอกว่าทำไมไม่ศอกไม่เข่า แต่คนนั้นมันงงเต็มที
    นี่คนดีแต่พูดแต่ทำไม่ดีนี้อย่าคบ
    (๓)คนหัวประจบสอพลอ นี่คนช่างประจบอะไรดีก็ตามชั่วก็ตาม
    ดีซะเรื่อย อันนี้ก็ไม่ควรคบ
    (๔)คนชักชวนไปในทางชิบหาย เห็นมั้ย ชักชวนไปในทางชิบหายนี่
    มันก็ไม่ควรคบ ท่านบอกไอ้คนประเภทนี้มันไม่ใช่มิตรแท้
    มันเป็นศัตรู คือต้องถือว่าเป็นศัตรูร้ายที่คอยทำลายความสุข
    ถ้าฐานะของเราทรงตัวอยู่ไม่ช้าเราก็พัง ถ้าเราขืนคบคนประเภทนี้นะ
    ทีนี้ดูบาลีของท่านต่อไป ท่านขยายความว่าลักษณะของคนที่...
    คนชอบปอกลอก มิตรแบบปอกลอก
    ท่านมีบอกลักษณะมันเป็นยังงี้นะ คน ๔ เหล่าเนี้ยะท่านบอกให้ดูลักษณะ
    ท่านว่าคนปอกลอกมีลักษณะ ๔ คือ
    ๑ คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว อะไรก็ตามเถอะ ขอให้มันเป็นประโยชน์แก่เขา
    เขาชอบ ถ้าเราจะหยิบยืมเขาบ้างจะขอเขาบ้าง เขาไม่ให้
    คนประเภทนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า อย่าคบ นี่จำให้ดีนะ
    พระพุทธเจ้าไม่ใช่บอกว่า คบคนทุกอย่าง ให้เลือกคบ
    ๒ เสียเขาละเขาเสียให้เราน้อยแต่ได้มาก เขาเอา
    คนประเภทนี้อย่า อย่าคบ ถ้าขืนคบก็มีแต่ความหายนะ
    ๓ เมื่อมีภัยแก่ตัวก็รีบทำกิจ เอ้อ รีบทำกิจของเพื่อน หมายความว่า
    ถ้าอันตรายจะพึงเกิดแก่ตัวเขาเนี่ย เขาต้องการให้เราช่วยเหลือ
    แหม ขยันทุกอย่าง ทำโน่นทำนี่ให้ แต่ว่าถึงเวลาสบายนี่
    พวกไม่มองดูเพื่อนหรอก นี่ ยังงี้นี่เขาเรียกว่าคนปอกลอก
    แล้วก็ ๔ คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
    นี่ก็หมายความว่าเขามองดูเพื่อนที่เขาจะคบเรานี่ ว่าประโยชน์มันมีแก่เขาไหม
    ถ้าประโยชน์มีแก่เขาเขาจึงจะคบ ถ้าเขาไม่ได้ประโยชน์ เขาเสียเปรียบเขาไม่คบ
    นี่เป็นยังงี้นะ นี่เรียกว่าคนปอกลอก
    ทีนี้คนดีแต่พูดท่านบอกว่ามีลักษณะ ๔ เหมือนกัน ลูกจำให้ดีนะ
    เพราะลูกจะต้องมีชีวิตต่อไป แล้วก็บอกลูกบอกหลานบอกเหลน
    บอกกันต่อๆ ไปว่า คนประเภทนี้อย่าไปคบ คนที่ไม่ควรคบ
    ท่านบอกว่าคนดีแต่พูดก็มีลักษณะ ๔ อย่างเหมือนกัน คือ
    ๑ เก็บเอาของที่ล่วงมาแล้วมาปราศรัย เอ๊ะอย่างพ่อนี่ล่ะมั้ง
    ของมันล่วงไปแล้วก็มาพูดนี่ หมายความว่ายกย่องในความดีนะ
    ที่เราทำดีไว้ที่ไหน ที่ไหนๆ ก็จะบอกว่าจำได้
    ดีไม่ดีเขาก็เสริมให้ดียิ่งกว่าเก่า ถ้าเราเป็นคนบ้ายอก็พังกันไปเลย
    ๒ อ้างเอาสิ่งที่ยังไม่มาถึง อ้างเอาสิ่งที่ยังไม่มีมาพูด
    หมายความว่าไอ้ก่อนที่เราทำดีไว้ยังไงเนี่ย แกมาพูดให้ฟัง
    แล้วก็ส่งเสริม แล้วก็ต่อไปคาดการณ์ข้างหน้าว่า ข้างหน้าจะต้องดีกว่านั้น
    นี่ แล้วก็ ๓ สงเคราะห์ด้วยสิ่งที่หาประโยชน์ไม่ได้
    ก็หมายความว่าสิ่งที่จะนำมาให้เราอาจเป็นของไม่มีค่าแต่ว่า
    แหม บอกว่าคิดถึง พยายามหาของดียิ่งกว่านี้
    แต่มันหาไม่ได้ หาได้แค่เนี้ย ตั้งใจเอามาให้
    แล้วก็ ๔ ออกปากเวลาเราต้องการจะพึ่ง แกบอกไม่ไหวหรอก
    บอกพึ่งอะไรกันเล่า ไม่ไหวไม่มี หมด ทั้งๆ ที่เห็นว่ามีแกก็บอกไม่มี
    นี่พ่อเคยพบนะ เคยพบพระ พวกห่มผ้าเหลืองเนี่ยะ แหม ไม่อยากจะพูด
    มีจริยาท่าทางแบบนี้ เดี๋ยวนี้พ่อก็เลยไม่คบ
    ทีนี้ต่อไปคนประเภทที่ ๓ ท่านบอกคนหัวประจบ มีลักษณะ ๔ เหมือนกัน
    จำให้ดีนะ ท่านบอกว่า
    ๑ จะทำชั่วก็บอกดีๆๆๆ แล้วก็คล้อยตามมา ทำชั่วก็คล้อยตาม
    ดี ทำอะไรก็ดี หัวประจบนี่ ดีทุกอย่าง
    ๒ จะทำดีก็คล้อยตาม ถ้าเขาจะทำดี ดีครับดีครับดีครับ
    ท่านทำดีแน่ ทำชั่วก็ดีครับดีครับดีครับ ไม่ยอมขัดคอ
    ๓ ต่อหน้าสรรเสริญ แหม ยกมือไหว้หมอบราบคาบแก้ว ด้วยเหตุนานาประการ
    แล้วก็ ๔ ลับหลังนินทา ลูกเคยเจอะไหมล่ะ เจอะมาแล้วเยอะๆๆ แล้วใช่มั้ย
    สบายใจมั้ยล่ะ คนประเภทนี้น่ะ จำไว้ให้ดีนะ คนอย่างนี้แต่ว่า
    ไอ้การที่คำว่าไม่คบเนี่ยไม่ได้หมายความว่าเห็นหน้าแล้วก็หน้าบึ้ง
    เห็นหน้าเราก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ว่าอย่าเข้าใกล้มากเกินไป
    เวลาออกปากขออะไรเราก็บอกว่า ยังไม่พร้อม เราก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
    เจอะหน้าเขาถ้าแก่กว่าเราก็ไหว้ เราก็ยิ้มให้ ก้มหัวให้
    แต่ว่าเราจะ เขาจะชวนไปทำอะไรร่วมอย่าไปร่วมด้วย
    นี่ลักษณะคนที่ ๔ คือชักชวนไปในทางชิบหายมีลักษณะ ๔ คือ
    ๑ ชวนให้ดื่มน้ำเมา ไอ้น้ำเมานี่ก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ดีนะ
    พ่อไม่ต้องอธิบาย รู้อยู่แล้ว
    ๒ ชักชวนให้เที่ยวกลางคืน บ้านเรามีนอนนี่ จะไปทำมั้ย
    ๓ ชักชวนให้มัวเมาในการเล่นการพนัน เห็นแก่การละเล่น
    หมายความว่ามัวเมาการละเล่น หมายถึงว่า การดูมหรสพ
    ๔ ชักชวนให้เล่นการพนัน นี่คนมิตรประเภทนี้ชวนไปหาความชิบหาย
    ไม่มีความเจริญ หมด รวมความว่ามิตร ๔ ประเภทเนี่ยต้องวาง
    โยนทิ้งไปซะนะลูกนะ เพื่อความสุขของลูก

    อันนี้มามิตรแท้ที่ควร ท่านบอกมี ๔ จำพวกเหมือนกัน
    ท่านบอกมิตรแท้เนี่ย
    ๑ มิตรที่มีอุปการะ
    ๒ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์
    ๓ มิตรแนะนำประโยชน์
    แหม ยังงี้ใช้ได้
    แจ๋วแหววเลยนะ
    แล้วก็ ๔ มิตรมีแต่ความรักใคร่ นี่พ่อจะขอรวบรัด
    เพราะเวลาเหลืออีก ๔ นาที ท่านบอกว่ามิตรที่มีอุปการะมาก มีลักษณะ ๔ คือ
    ๑ ป้องกันเพื่อนฝูงผู้ประมาทแล้ว
    ๒ ป้องกันทรัพย์สินของเพื่อนฝูงผู้ประมาทแล้ว
    ๓ เมื่อมีภัย เป็นที่พึ่งที่พำนักได้
    ๔ เมื่อมีธุระ ช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก
    นี่จำให้ดีนะ จำให้ดีนะ ทวนได้เพราะเป็น เป็นเทปบันทึกเสียง
    แล้วก็มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มีลักษณะ ๔ คือ
    ๑ ขยายความลับของตนแก่เพื่อน
    ๒ ปิดความลับของเพื่อนไม่ให้แพร่งพราย
    ๓ ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ
    ๔ แม้แต่ชีวิตก็อาจสละแทนเพื่อนได้ นี่มิตรดีที่ควรจะคบ
    และก็ ๓ ท่านบอกว่า มิตรที่แนะนำประโยชน์ มีลักษณะ ๔ คือ
    ๑ ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว
    ๒ ให้แนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี
    ๓ ให้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟัง หมายความว่าทางดี
    ๔ บอกทางสวรรค์ให้
    นี่เป็นอันว่ามิตรทั้ง ๓ ประเภทนี่ดี ควรคบ นี่มีมีมิตรที่ ๔ ที่ดีที่ควรจะคบ
    แหม น่ารัก ท่านบอกว่า มิตรที่ เอ้อ มิตรที่มีความรักใคร่ มีลักษณะ ๔ คือ
    ๑ เวลาเราทุกข์ เขาพร้อมทุกข์ร่วมกับเรา ไม่ใช่มานั่งทุกข์เฉยๆ นะ
    ช่วยกันทุกอย่าง อะไรมันจะเกิดขึ้น ถึงแม้ชีวิตจะหาไม่ก็พร้อม
    ๒ เวลาสุขก็สุขด้วย
    ๓ โต้เถียงคนที่พูดติเตียนเพื่อน
    ๔ รับรองการที่พูด ๔ รับรองคนที่พูดสรรเสริญเพื่อน
    หมายความว่าเขายกย่องเพื่อนก็รับรอง ใช่ๆ เขาติค้าน
    ต่อไปเป็นความสุขที่เราจะพึงหาได้จากความเป็นคฤหัสถ์ ก็ได้แก่สังคหวัตถุ
    เพราะเวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง จงทำไว้เป็นปกติเราจะมีความสุข ที่พูดมานี้
    ที่ละควรละนะลูกนะ ที่ปฏิบัติควรปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า
    ไม่ อย่าทำเลยก็อย่าทำนะ ถ้าขืนทำมีทุกข์ ท่านเรียกว่าสังคหวัตถุ
    การเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ก็ได้แก่
    ๑ ทานการให้สิ่งของแก่ผู้อื่น เพราะผู้ให้เป็นปัจจัยของบุคคลผู้รับ
    ๒ ปิยวาจา ให้วาจาอ่อนหวาน พูดแต่วาจาที่ชาวบ้านชอบ
    ๓ อัตถจริยา ประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ คือช่วยเกื้อกูล
    ให้เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น
    ๔ สมานัตตตา ความเป็นมิตรเสมอ ทำตนเป็นมิตร เสมอกับ
    เอ้อ เสมอกับคนอื่น ไม่ถือตัว

    รวมความว่า พ่อก็ขอนำธรรมะมาต่อท้าย เพราะที่พูดมานี่ก็เป็นการแก้ว่า
    ทำไมจึงได้กลัวสงครามกันนัก กลัวตายกันมากนักรึ อะไร
    เพียงแค่ญวนไม่ทันจะรบก็กลัวตายแล้ว สงครามกับเรากับญวนจะได้รบกันเรอะเปล่า
    พ่อคิดว่าเรากับญวนคงไม่ได้รบกันจริงจัง ถ้าบังเอิญจะรบกันมั่งก็คงจะเป็นรบเล่นๆ
    พ่อขอยืนยันว่าประเทศไทยจะเป็นเอกราชต่อไป ประเทศไทยจะมีภัยอยู่บ้างก็ไม่มากนัก
    แต่ว่าบางขณะมันก็ทำท่าจะริบหรี่ๆ น่าดูอยู่เหมือนกัน แต่ว่าหายระยะเวลาริบหรี่ไปแล้ว
    ความผ่องใสจะปรากฏ อารมณ์ของคนจะมีผ่องใสคล้ายแก้วที่ขัดดีแล้ว มีความใส
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า เพราะความดีของบรรดาบุคคลทั้งหลาย
    ที่ทรงความดีในประเทศไทยมีมาก แต่ก็จงอย่าลืมนะว่า
    เจ้าคนที่หน้าเก่าๆ ที่เข้ามาเป็นเจ้าเป็นนายเราน่ะวางไว้ซะมั่ง
    เลือกคนใหม่เสียบ้างนะ คน..อยุธยาไม่สิ้นคนดีฉันใด แม้ประเทศไทยก็ยังไม่สิ้นคนดีฉันนั้น

    เอาล่ะบรรดาลูกรักของพ่อทุกคน เรื่องราวแห่งโยนกนครถ้าจะพูดกันไป
    มันยาวกว่านี้มาก แต่พ่อเห็นว่าเสียเวลาเปล่า ไม่เกิดประโยชน์
    นี่เข้ามาจนถึง ๙ เทปแล้ว คิดจะทำซักสองสามเทป
    ต่อไปก็จะเอาเรื่องของคนๆ หนึ่ง ท่านผู้หนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญ
    ที่กู้ชาติไทยขึ้นมาได้มือเปล่าเหมือนกัน นั่นก็คือพระเจ้าตากสินมหาราช
    ซึ่งมีพระสหายสำคัญอยู่ ๒ ท่าน ก็ได้แก่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
    กะสมเด็จพระราชวังบวร เอาล่ะจบตอนตอนนี้ก็จบกันเสียทีนะ
    จำให้ดีนะ ว่าท่านที่เราพูดถึงท่านตายไปหมดแล้ว
    เราก็ต้องตาย แต่ความดีของท่านทั้งหลายที่สร้างประเทศไทยให้เราอยู่
    เราจะลืมไม่ได้ อย่าทำตนจะได้ยินได้ว่าอย่าตายก่อนรบ ถ้าจะตายก็ต้องรบกันตาย
    ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ไปยอมตายเฉยๆ อย่างนี้ไม่เป็นประโยชน์ มันเป็นที่น่าตำหนิกันมาก

    เอาล่ะบรรดาลูกรัก เวลาเลยไปแล้ว พ่อก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ลูกทุกคน
    ขึ้นชื่อว่าความชนะทั้งทางโลกและทางธรรมจงมีแก่จิตใจของลูกทุกขณะเวลา
    จนกว่าจะสิ้นชีพตักษัย สวัสดี
     
  19. suekong

    suekong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +638
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...