"ละ" อันหนึ่ง อันหนึ่งงอกงาม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย CLUB CHAY, 6 กรกฎาคม 2012.

  1. CLUB CHAY

    CLUB CHAY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    507
    ค่าพลัง:
    +1,412
    [​IMG]

    เราเชื่อในหลักธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า เรื่องบาปเรื่องบุญ เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งแทงตลอดในสัจธรรมเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เป็นความจริงอยู่ตลอดกาล

    แต่จิตใจของเราเท่านั้นยังไม่ได้รับการอบรมให้ยอมรับความจริงอันนี้ จึงยังหลงอยู่ จำเป็นจะต้องอบรมต่อไปอีก จนกว่าจิตของเรายอมรับทำตามได้ รู้ตามได้ เห็นตามได้ ละตามได้ พ้นตามได้ จนกว่าจะพ้นจาก ทุกข์จริงๆ ในสิ่งที่เราไม่ต้องการ

    คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มีผู้นำมาใช้โดยศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใส ด้วยความตั้งใจ ความเสียสละใน สิ่งที่ควรเสียสละ ตัดในสิ่งที่ควรตัด เมื่อตัดบางสิ่งบางอย่างแล้ว บางสิ่งบางอย่างมันเกิดขึ้นได้ มันมีขึ้นได้ แต่ถ้าไม่ตัดบางอย่างที่เราต้องการ ความสงบก็ไม่บังเกิด

    เพราะฉะนั้นพอตัดอันหนึ่ง ทิ้งอันหนึ่งไปแล้ว ความสงบเกิดขึ้นแทน ความสุขเกิดขึ้นแทน เราควรเอาความสุข ควรเอาความสงบ ควรเอาการงานภาระของเราให้น้อยลง ให้เบาบางลง

    เพราะฉะนั้น คำว่า “ละ” ไม่ใช่ว่าละแล้วไม่ได้อะไร ถ้าละแล้วสูญเปล่า พระพุทธเจ้าก็ไม่สอนให้ละ แต่เราละอันหนึ่งแล้ว อันหนึ่งงอกงาม

    เราเห็นสิ่งหนึ่งไม่ดี แต่สิ่งหนึ่งมันดีผ่องใส เช่น เห็นกายในกาย ที่พระพุทธเจ้าท่านให้เห็นตามความเป็นจริง ก็เพื่อกำจัดสิ่งที่หลอกลวง สิ่งที่ไม่จริง ที่มีอยู่ในจิตใจ ที่เคยหลงมาก่อน เพราะความจริงเท่านั้น ทำให้เรายึดมั่นได้ เป็นที่พึ่งได้ กำจัดภัยได้ เพราะความรู้จริงเห็นจริงตามสภาวะธาตุสภาวะธรรม ที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ที่ทำให้เราและสัตว์ทั้งหลายเข้าใจผิด สำคัญผิด ยึดถือไปผิด เลยได้รับทุกข์จากความรู้ผิด เข้าใจผิด มาเป็นเวลายาวนาน ไม่ใช่เฉพาะปีนี้ หรือไม่ใช่เฉพาะแต่ชาตินี้ หลายชาติหลายภพมาแล้ว หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ แต่เมื่อเราไม่รู้จักแล้ว ก็นึกว่าไม่มีอะไร

    พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงรู้เห็นตลอดเวลา เพราะพระปัญญาของพระองค์ละเอียดอ่อน ของลึกลับขนาดไหน พระองค์ก็เห็นได้ จิตใจของเรา ฝึกฝนยังไม่พอ จึงรับยังไม่ได้ รู้ไม่ได้ แม้สิ่งเหล่านั้นมีอยู่ บาปมีอยู่ บุญมีอยู่ นรกมีอยู่ สวรรค์มีอยู่ แต่ก็ยังสงสัย เพราะไม่ประจักษ์ในใจของเราเอง

    เมื่อตราบใด เราพยายามทำใจของเราให้มีญาณเป็นเครื่องรู้เครื่องเห็นขึ้นมาแล้ว เราก็จะสิ้นสงสัยทันที เมื่อเราไม่สงสัยแล้ว กำลังใจในการปฏิบัติ ก็เพิ่มขึ้นทันที

    ความสงสัยเป็นตัวอุปสรรคอย่างสำคัญมาก เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตัดความสงสัยเสียได้ จึงเป็นผู้ที่เข้าเขตแดนอริยะ แก้ความสงสัยก็ด้วยการปฏิบัติจิตภาวนา สร้างสติสร้างปัญญาในสมาธิให้เกิดขึ้น ปรากฏในจิตใจของเรา เมื่อมันชัดในจิตใจแล้ว ความสงสัยก็เลิกไปเอง หมดไปเอง

    สิ่งใดที่ว่าละยากๆ ถ้าจิตมันเข้าไปถึง เข้าไปรู้ไปเห็น แล้ว เมื่อเราต้องการละ มันก็ละ ต้องการบำเพ็ญ มันก็บำเพ็ญให้เรา เพราะฉะนั้น เราต้องพยายามอบรมจิตของเรานี้แหละ ให้รู้เห็นธรรมะที่ละเอียดไปตามลำดับ ที่ไม่สามารถที่จะไปเห็นด้วยตาธรรมดา ไม่สามารถสัมผัสได้ในจิตธรรมดา แต่สัมผัสได้ในจิตที่ได้อบรมละเอียดในองค์สมาธิ จึงจะสัมผัสได้ จึงจะรู้ได้

    เพราะฉะนั้น พยายามรวบรวมจิตของเรา ให้มีอารมณ์อันเดียว มีจิตดวงเดียว มีธรรมอันเดียว ให้จิตเข้าสู่ความสงบความละเอียดไปตามลำดับ ตัดความวุ่นวาย ยุ่งเหยิงภาระภายนอก ไม่ให้มีอยู่ในจิตในใจ ปล่อยวาง ให้หมด สละให้หมด สละด้วยสติด้วยปัญญาอันชอบ สละด้วยความเห็นชอบ ไม่ต้องไปแก้ไขภายนอก คือสละใน จิตนั้นเอง ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องไปทำอะไรกับภายนอก เพราะวัตถุภายนอกนั้น เขาไม่เป็นมูลแห่งสุขและแห่ง ทุกข์ ส่วนมูลที่ให้เกิดสุขเกิดทุกข์ มันเป็นเรื่องของจิต

    เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นอะไรที่เราจะไปตัดสิ่งภายนอก จะไปแก้สิ่งภายนอก ด้วยกายด้วยวาจา แต่มาแก้จิตใจของเรา ด้วยสติปัญญาอันชอบ อันถูกต้อง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงพาปฏิบัติพากระทำ เดินตามพระองค์ เชื่อตามพระองค์ ส่วนไหนที่เรารู้แล้วว่าไม่ดี ที่พระพุทธเจ้าท่านให้ละ เราก็อบรมจิตใจของเราให้เห็นชอบตาม ให้ละได้ตาม ให้ปล่อยวางตาม

    สมาธิ...ควรทำจิตให้สงบ เราก็เห็นตามชอบตามสงบตาม

    ควรอยู่ในความวิเวก เราก็กำหนดจิตให้เกิดความวิเวก มีความปีติมีความสุขในธรรม เพราะอาศัยความวิเวก มีอารมณ์อันเดียว ที่ท่านยกย่องว่าผู้มีอารมณ์อันเดียว มีสติบริสุทธิ์ มีความสุข

    อันนี้เป็นเรื่องจิตกับความคิดดำริอันชอบภายในเท่านั้นเอง ไม่เกี่ยวกับสิ่งอื่นเลย โดยเฉพาะจิตเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เรื่องเฉพาะจิตอันนี้แหละ ถ้าสติเข้าไปรักษาให้เป็นปัจจุบัน รู้อันมั่นคง ไม่วอกแวก ไม่ริบหรี่ เหมือนกับไฟเทียนที่ไม่มีลมพัด มันก็เที่ยง ถ้ามีลมพัดมา วิบๆแวบๆ อ่านหนังสือก็ไม่ออก รู้อะไรก็ไม่ชัด จิตที่มัน ไม่เที่ยงนี้แหละ ที่ขึ้นๆ ลงๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ความรู้ที่เรารู้ ให้มันตั้ง เหมือนกับหลักหินที่มันตั้ง ลมพัดจากทิศต่างๆ ไม่กระเทือนไม่หวั่นไหว

    เราปฏิบัติจิตอบรมจิตให้มีสมาธิ ให้ตั้งอย่างนั้นแหละ อย่าให้มันหลวม อย่าให้มันโยกเยกๆ ให้มันตั้งมั่น โดยสติเป็นผู้ระลึกสัมปชัญญะเป็นผู้รู้ สติระลึกเตือนคำบริกรรม กำกับให้มันทำงาน ไม่ให้เผลอ ไม่ให้ปล่อยทอดธุระ ละไปเอาอันอื่นมาแทน เอาเฉพาะจำกัดที่เรา มอบงานให้ทำ แม้นานเท่าไรเราก็ทำ ยอมรับทำอยู่อันเดียว เพื่อให้เกิดฐานอันมั่นคงก่อน สำหรับผู้ที่ยังไม่มั่นคง ยังไม่รู้ไม่เห็นก็ตาม ให้เห็นความมั่นคงเกิดขึ้น ในจิตใจก่อน ให้เห็นอันนี้ก่อน เป็นประตูแรก เป็นขั้นแรก ของมรรคของการปฏิบัติ เพื่อออกจากทุกข์อย่างแท้จริง

    ได้ยินได้ฟังแล้ว ตั้งใจปฏิบัติ อธิบายย่อๆ เท่านี้แหละ

    fly_pig
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    "ลดบางอย่าง เพื่อ เพิ่มบางสิ่ง"
    *หากลดบางอย่างให้น้อยลง คุณจะได้บางสิ่งมากขึ้น*
    *ลดพูดสิ่งไร้สาระให้น้อยลง คุณจะได้พบสิ่งที่มีสาระเพิ่มขึ้น
    *ลดความอิจฉาผู้อื่น คุณจะได้ความสงบมากขึ้น
    *ลดความโกรธให้น้อยลง คุณจะได้สติกลับมามากขึ้น
    *ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นให้น้อยลง คุณจะได้รายรับที่จำเป็นมากขึ้น
    *ลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวให้น้อยลง คุณจะได้เงินเก็บในครอบครัวมากขึ้น
    *ลดความคิดที่จะหาคนที่ทำถูกให้น้อยลง คุณจะได้คำตอบสำหรับทำเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้น
    *ลดการพูดให้น้อยลง คุณจะได้รับการฟังได้มากขึ้น
    *ลดรักตัวเองให้น้อยลง คนอื่นจะรักคุณมากขึ้น
    *ลดการพูดให้ร้ายคนอื่นให้น้อยลง มีคนพูดถึงคุณในแง่ดีมากขึ้น
    *ลดการแสดงความฉลาดให้น้อยลง คุณได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น
    *ลดการออกสังคมนอกบ้านให้น้อยลง คุณได้ความอบอุ่นในครอบครัวมากขึ้น
    *ลดการนอนให้น้อยลง คุณทำอะไรหลายอย่างได้มากขึ้น
    *ลดการคิดเรื่องเครียดให้น้อยลง คุณจะยิ้มได้มากขึ้น
    *ลดความอายให้น้อยลง คุณได้ความกล้ามากขึ้น
    *ลดดูละครให้น้อยลง คุณอ่านหนังสือได้มากขึ้น
    *ลดวิ่งเร็วให้ช้าลง คุณมองเห็นคนข้างหลังมากขึ้น
    *ลดเชื่อให้น้อยลง คุณมองเห็นอะไรได้มากขึ้น
    *ลดทิฐิมานะให้น้อยลง คุณรู้จักอภัยมากขึ้น
    *ลดกระโดดให้น้อยลง คุณเดินได้มั่นคงมากขึ้น
    *ลดก้มหน้าให้น้อยลง คุณมองเห็นได้ไกลขึ้น
    *ลดเห็นแก่ตัวให้น้อยลง มีคนรอดชีวิตมากขึ้น
    *ลดแบกของหนักให้น้อยลง ชีวิตคุณเบามากขึ้น
    *ลดทะเลาะกับเด็กให้น้อยลง คุณโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
    *ลดทะเลาะกับผู้ใหญ่ให้น้อยลง คุณได้รับการเอ็นดูมากขึ้น
    *ลดแอบฟังให้น้อยลง คุณได้ยินอะไรมากขึ้น
    *ลดความโง่ให้น้อยลง ความฉลาดจะเพิ่มขึ้น
    *ลดการนินทาผู้อื่นให้น้อยลง คุณจะได้เพื่อนบ้านเพิ่มมากขึ้น
    *ลดการขี้เกียจให้น้อยลง คุณจะได้การงานที่เพิ่มขึ้น
    *ลดการเกลียดชัง คุณจะได้ความน่ารักเพิ่มขึ้น
    *ลดการกินให้น้อยลง คุณจะได้ความเบาของร่างกายเพิ่มขึ้น

    หากลดจะได้เพิ่ม - ธรรมะเสวนา - ปัญญาญาณ - Powered by Discuz!
     
  3. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    คุณลุงหมานคะ
    การ"ลดบางอย่าง เพื่อ ลดบางสิ่ง"มีหรือเปล่าคะ กรุณายกตัวอย่าง....
     
  4. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    นึกถึงช่างแกะสลัก
    ต้องแกะส่วนที่ไม่ใช่ทิ้งไปเพื่อความงดงามที่เป็นผลสำเร็จออกมา
     
  5. ละโลก

    ละโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +654
    ลดทุกอย่าง ละทุกสิ่งที่ดึงลงต่ำ(ใจต่ำ)
     
  6. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    เพิ่มมั้งได้มั๊ยค่ะ.....เพิ่มความตั้งใจ......
    อนุโมธนา สาธุ
     
  7. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ช่างศิล(ป)มีสิบอย่างครับ

    ปั้นเพิ่ม
    แกะออก
    หล่อ
    ใครเป็นช่วยผมที

    บางท่านมากไปไม่ดีเกิน
    บางท่านดีเกินไปไม่ดี

    กลางดีไหมครับ
    ถุกดาวดึงหลายๆดวงคืออะไร
    ไม่ใช่เราดึงดาวหรือไม่

    ขอท่านเจริญในธัมยิ่งครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...