ชาวฮินดูจำนวนหนึ่ง เริ่มเชื่อว่าสามมหาเทพ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ มนุษย์ธรรมดาเข้าถึงได้แสนยาก ถ้าหวังจะให้สำเร็จสมปรารถนา ต้องบูชาศักติ คือชายาของพระองค์<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
ท่านเจ้าคุณพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธัมมสโร) อธิบายไว้ในหนังสือ สากลศาสนา ว่า ลัทธิศักติ คงเกิดขึ้นภายหลังพวกฮินดูเข้าไปเป็นใหญ่ ในบริเวณแคว้นเบงกอล เนปาล และอัสสัม แคว้นเหล่านี้ เป็นที่อยู่ของคนหลายชาติ เช่น ทิเบต พม่า มอญ เขมร และชาติไทยบางสาขา เช่น ไทยอาหม<o:p></o:p>
การนับถือเทวดาผู้หญิง อย่างลัทธิศักติ แม้ในลัทธิอื่นที่ไม่ใช่ฮินดู ก็มีมาแต่กาลก่อน เช่น ลัทธิคริสตัง นับถือมาดอนนาหรือแม่พระ จีนในลัทธิมหายานนับถือพระกวนอิม<o:p></o:p>
ลัทธิศักติได้รับความนิยมอยู่ในอินเดียไม่นานนัก ปัจจุบัน ยังมีการนับถือเทวดาผู้หญิงอยู่บ้าง แต่ ไม่ใช่ชายามหาเทพเหมือนเดิม เปลี่ยนมาเป็นเทวดาผู้หญิงชื่อ ศีตุลา หรือ มารีอันมัน นับถือกันว่าเป็นเทวีประจำไข้ทรพิษ ต้องประจบบูชาเอาใจไว้ เพื่อจะได้ไม่โกรธเคือง<o:p></o:p>
การทำพิธีบูชาเทวดาผู้หญิง มักออกไปในทางอนาจาร เช่น ใช้หญิงเปลือยกายจับระบำ สังเวยด้วยโลหิตมนุษย์ และสัตว์<o:p></o:p>
หมู่ชนที่นับถือลัทธิศักติ เรียกรวมว่านิกายศักติ แบ่งเป็นสองพวก พวกขวา เรียกว่า ทักษิณาจารี พวกซ้าย เรียกว่า วามาจารี พวกขวา มีการทำพิธีเปิดเผยและสุภาพ ขณะที่พวกซ้ายทำพิธีในที่ลับมีการลามกมาก<o:p></o:p>
นิกายศักติ ต่างจากนิกายอื่นในลัทธิฮินดูด้วยกัน ไม่มีศาสดาผู้เป็นต้นลัทธิในนิกาย เป็นแต่อ้างเอาว่าพระเป็นเจ้าทรงบันดาลด้วยพระองค์เองให้มนุษย์เห็นแจ้ง แตกสาขาออกเป็นหลายนิกาย เรียกชื่อนิกายตามสาขาที่นับถือ <o:p></o:p>
พวกที่นับถือพระศิวะ เรียกนิกายไศวะ ยกพระอุมาขึ้นเป็นศักติ พวกนับถือพระวิษณุ เรียกนิกายไวษณพ ยกพระลักษมีหรือนางราธา เป็นศักติ พวกนับถือพระพรหม เรียกนิกายพรหมา ยกพระสวัสวดีขึ้นเป็นศักติ<o:p></o:p>
แต่โดยปกติ คำว่า ศักติ เล็งเอาเฉพาะพระอุมา ชายาพระศิวะเท่านั้น<o:p></o:p>
พระอุมา มีนามอื่นอีกมากมาย ตามพระศิวะผู้สามี ที่อวตารลงมาเป็นปางต่างๆ จึงมีการบูชาพระอุมาในนามต่างๆ เช่น มหาวิทยา มหามาตา นายิกา โยคินี ฑากินี ฯลฯ<o:p></o:p>
พระอุมา มีทั้งภาคดีภาคร้าย เฉพาะภาคร้าย มีนามว่า กาลี หรือศยามา (ดำ) ทุรคา (เข้าถึงยาก) จัณฑี จัณฑิกา (ดุร้าย) ไภรวี (น่ากลัวพิลึก) ฯลฯ<o:p></o:p>
นามที่คนอินเดียนับถือมากที่สุด คือนางพระทุรคา หรือกาลี ในฤดูวสันต์มีพิธี ทุรคาบูชา ทำเป็นรูปพระทุรคาขึ้นบูชามีกำหนดเก้าวัน แล้วนำไปทิ้งน้ำ<o:p></o:p>
ที่เทวาลัยกาลีฆัต ในเมืองกัลกัตตา พวกฮินดูฆ่าแพะโดยตัดคอให้ขาดกระเด็นบูชาพระกาลี ด้วยสำคัญว่า พระอุมาอวตารลงมาเป็นปางพระกาลีเพื่อปราบมารร้าย ชอบให้บูชาด้วยโลหิต<o:p></o:p>
นอกจากนี้ ยังมีพิธี กินเนื้อสัตว์ ดื่มสุรา และประพฤติเมถุนกรรมกันในสถานทำพิธี (คล้ายลัทธิตันตระ) แต่ทำพิธีปกติแบบนิกายทั่วไปก็มีบ้าง<o:p></o:p>
หลักสำคัญในการบูชาพระแม่เจ้ากาลี มีสองวิธี วิธีแรก บูชาร้ายกาจ เอาคนหรือสัตว์ไปฆ่าบูชายัญ หรือผู้เลื่อมใสศรัทธา ทำร้ายร่างกายตนเอง เช่น เอาเบ็ดเกี่ยวหลัง และไกวไปมาจนเนื้อหลุดถวาย พิธีนี้เชื่อว่าพระแม่เจ้าโปรดเห็นโลหิตหรือคนตายสัตว์ตาย<o:p></o:p>
วิธีที่สอง วิธีลามก คือการเสพเมถุน จะทำให้พระเทวีเพลิดเพลินทอดพระเนตร จนลืมนึกถึงของชอบ คือการอยากเห็นเลือดและความเจ็บตาย<o:p></o:p>
การบูชาเหล่านี้ ไม่ใช่เชื่อว่า พระกาลีเป็นยักษ์ เป็นมารดุร้าย แต่บูชาเพื่อเป็นอนุสรณ์ว่า โลกนี้มีการความเกิดความตาย เป็นของคู่กัน สรรพภัยพิบัตินานาล้วนออกมาจากความกรุณาของพระองค์<o:p></o:p>
ที่ปรากฏให้เห็นว่าดุร้ายเพื่อข่มกายใจ ฉันเดียวกับแม่ตีลูก ลูกร้องว่าแม่จ๋า แต่ก็คงเกาะแม่แน่นไม่หนี.
<o:p></o:p>
ลัทธิศักติ
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 19 เมษายน 2009.
-
-
พระ แม่ทั้ง 7 องค์ เรียกว่า "สัปตะมาตริกา" ปรากฎอยู่ในนิกายศักติ ถือว่าเป็นบุรพเทวีที่ได้รับการเคารพบูชามาแต่โบราณ ผู้คนส่วนมากจะบูชาขอพรเพื่อการปกป้องและฝากลูกหลานไว้ให้พระองค์คอยดูแล
พระ แม่ทั้ง 7 องค์ถือเป็นพละกำลังฝ่ายสตรีที่ถือกำเนิดจากพระชายาแห่งเทพบุรุษ โดยบรรดาพระชายาเหล่านั้นได้รับพลังจากพระแม่ศักติหรือพระแม่ศรีมหาอุมาเทวี อีกที ได้แก่
1.พระแม่จามุนดี ( Chamundi ) หรือ จามุนเดศวรี
ถือ กำเนิดจากพลังของพระแม่ศักติ พระพักตร์ดุร้าย มี 3 พระเนตร 8 พระกร ถือตรีศูล กระบอง ลูกศร คันศร จักร สังข์ ปาศะ ( บ่วงบาศก์ ) และ โล่ห์ เป็นพระศาสตราวุธทรงกระบือเป็นพาหนะ พระบาทซ้ายวางบนศีรษะของมารผู้ศิโรราบและสวดมนตร์ถึงพระนาง
2.พระแม่มเหศวรี ( Maheshwari )
ถือ กำเนิดจากพลังของพระศิวะมหาเทพและพระแม่อุมา มี 3 พระเนตร ผิวพระวรกายขาวบริสุทธิ์ 4 พระกร ถือกลองดามารู ( บัณเฑาะว์ ) ลูกประคำภาวนา ตรีศูลด้ามยาว และธงเล็กด้ามยาวสัญลักษณ์รูปโค แต่พระศาสตรา 2 อย่างหลังทรงเหน็บไว้ในอ้อมพระกรหากทรงอยู่ในอิริยาบทประทานพร โดยหากทรงอยู่อิริยาบทนั้นจะทรงแบพระหัตถ์ขวาตั้งขึ้นเรียกว่า"อัภยัม มุทรา" และแบพระหัตถ์ซ้ายลงเรียกว่า"วระตะการัม มุทรา" ทรงโคอุสุภราชเป็นพาหนะ
3.พระแม่ไวษณวี ( Vishnavi )
ถือกำเนิดจากพลังของพระวิษณุ -นารายณ์และพระแม่ลักษมี มี 2 พระเนตรดุจดั่งดอกบัว ผิวพระวรกาย
ดั่งท้องฟ้าหรือเป็นสีฟ้าหม่น 4 พระกร ถือจักร สังข์ และกระทำมุทราทั้ง 2 อย่างข้างต้น ทรงพญาครุฑเป็นพาหนะ
4.พระแม่พรหมมี ( Brahmi ) หรือ พราหมณี
ถือ กำเนิดจากพลังของพระพรหมและพระแม่สรัสวตี มี 2 พระเนตรกลมโต ผิวพระวรกายเป็นสีนวลเจือทอง 4 พระกร ถือหม้อน้ำกมัณฑลุของพราหมณ์บรรจุน้ำพระคงคา ธงเล็กด้ามยาวสัญลักษณ์รูปหงส์ และกระทำมุทราทั้ง 2 อย่างข้างต้น ทรงพญาหงส์เป็นพาหนะ
5.พระแม่เกามารี ( Kowmari )
ถือกำเนิดจากพลังของพระขันธกุมารและพระชายาทั้งสองคือ เทวเสนา ( เทวญาณี,เกามารี ) และวัลลี -
มี 2 พระเนตร ผิวพระวรกายดั่งทาด้วยกุงกุมัม ( ผงเจิมหน้าสีแดง )หรือเป็นสีชาด 4 พระกร ถืออังกุศัม ( หอกสั้นของอินเดีย มียอดเป็นหอกแหลม ขนาบข้างด้วยเหล็กสับช้างและเหล็กโค้ง ) ธงเล็กด้ามยาวสัญลักษณ์รูปนกยูง และกระทำมุทราทั้ง 2 อย่างข้างต้น ทรงพญานกยูงเป็นพาหนะ
6.พระแม่อินทิราณี ( Indirani ) ,อินทราณี หรือไอณทรี
ถือ กำเนิดจากพลังของพระอินทร์และพระนางศจีอินทราณี มี 2 พระเนตร พระวรกายประดับด้วยเครื่องประดับและเครื่องทรง ( เช่น สร้อย แหวน กำไล ผ้าไหม สไบ ๆลๆ ) อันหรูหรางดงาม 4 พระกร ถือวัชระอุทุม ( แล่งสายฟ้า หรือ วชิราวุธ ) ธงเล็กด้ามยาวสัญลักษณ์รูปหม้อกุมภะ และกระทำมุทราทั้ง 2 อย่างข้างต้น ทรงพญาช้างเป็นพาหนะ
7.พระแม่วราหิ ( Varahi ) เกิดจากพลังของพระยมราช และ พระนางยมี หรือ ยมุนา
มี พระพักตร์เป็นหมูป่า ผิวพระวรกายเป็นสีมืดมัว - ประดับพระวรกายด้วยเครื่องประดับและเครื่องทรงสีนิลและสีดำ 4 พระกร ถือไม้โกร่งตำข้าว คันไถ และกระทำมุทราทั้ง 2 อย่างข้างต้น ทรงพระที่นั่งยมะบังลังค์เป็นพาหนะ อนึ่ง ในมุทรานั้นมีความหมายแสดงถึงพระกรุณาของพระแม่เจ้าคือ "อัภยัม มุทรา" หมายถึง "เราจะปกป้องเธอ จงอย่ากลัวสิ่งใด" "วระตะการัม มุทรา" หมายถึง "เราให้พรตามที่เธอขอมา"
พระ แม่ทั้ง 7 ได้รับการบูชาเป็นอันมากในนิกายศักติ มีตำนานกล่าวว่าคราวหนึ่งบรรดาอสูรมีอำนาจมากเพราะได้พรจากพระเป็นเจ้า เช่น มหิษาสูร ศุมภะ นิศุมภะ จันทร มุนดา ทูมรักษะ รัคตะบีชะ เป็นต้น ได้รวบรวมบรรดาอสูร มาร และ รากษส บุกรุกสวรรค์และขับไล่เทพยดาทั้งหมดออกไป เทพทั้งหมดมี พระวิษณุ พระพรหม พระอินทร์เป็นแกนนำ พากันไปเฝ้าพระศิวะที่เขาไกรลาศ พระแม่อุมาตอบรับคำขอเทพยดาจึงทรงบันดาลพระรูปเป็นพระแม่อาทิปาราศักติ 18 พระกร หรือ พระแม่ทุรคาเทวี โดยอาศัยกระแสพิโรธจากเทพเจ้าทุกองค์ แล้วทรงรับเทพศาสตราวุธจากบรรดาเทพ หลังจากนั้นทรงตรัสว่า"เทพทั้งหลาย ขอพวกท่านจงสร้างพลังของท่านเพื่อเป็นเทพสตรีในการปราบมารทั้งหลายให้สิ้นไป ด้วยเถิด" เทพทั้งหลายก็บันดาลพลังเป็นขุนพลเทพธิดาจำนวนมากมาย โดยมีสัปตะมาตริกาทั้ง 7 องค์ เป็นแกนนำทัพ รวมพลไปรบกับเหล่ามารจนประสบชัยชนะในที่สุด นอกจากนี้พระแม่กาลิกา ( พระแม่ภัทรกาลี ) และเจ้าแม่มหากาลียังประสูติในระหว่างการรบครั้งนี้ด้วยโดยถือกำเนิดจากพระ เนตรที่ 3 ของพระแม่ศักติ ทั้งนี้ในการบูชาทั้ง 7 พระแม่นั้นจะบูชาร่วมกับพระแม่ทุรคามหิษาสุรมรรทินี พระแม่กาลี รวมกันเรียกว่า"นวศักติ" นอกจากนี้ยังบูชาร่วมกับพระคเณศ และ พระขันธกุมารอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก
คุณ ศิวะกามสุนทรี
จากบอร์ดอารตีเก่า -
เค้าว่าไทยได้รับอิทธิพลเรื่อง นี้มาจากฮินดูครับ เพราะพระสัปตะมาตริกานี้มีไว้เพื่อการปกป้องฝากลูกฝากหลานเช่นเดียวกับที่ ไทยฝากลูกฝากหลานไว้กับแม่ซื้อครับ
แม่ซื้อของไทย มาลองเปรียบเทียบกันดู มี 7 องค์เหมือนกันครับ
- วันอาทิตย์ ชื่อว่า “วิจิตรมาวรรณ” มีหัวเป็นสิงห์ มีผิวกายสีแดง
- วันพฤหัสบดี ชื่อว่า “กาโลทุกข์” มีหัวเป็นกวาง มีผิวกายสีเหลืองอ่อน
ขอบคุณที่มาครับ
1. คณะทำงานวารสารข่ายงานห้องสมุดมหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาค - คณะทำงานวารสาร ข่ายงานห้องสมุดมห
2. สารานุกรมเสรี วิกิพิเดีย
ขอบคุณครับ -
หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี
*** ความจริง ****
พระพุทธเจ้า ได้ละทิ้ง ...ความเชื่อ ความเห็นที่เคยมีมาทั้งหมด
พระพุทธเจ้า จึงได้....พบ หลักสัจจะธรรม
คือ ...ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน
พบว่า การกระทำเป็นสิ่งยิ่งใหญ่
มนุษย์สามารถ หลุดพ้นทุกข์ ได้ .... อยู่ที่ การกระทำตัดลดนิสัยสันดาน
พระพุทธเจ้า จึงพิจารณาคำสอน...พบ สัจจะเป็นผู้นำ ในการตัดลดนิสัยสันดานตนเอง
เพราะ....ความเชื่อ ความเห็นที่ไม่ใช่ความจริง
จึงทำให้ต้องหลงติดอยู่กับโลก ต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จบสิ้น
- " หนุมาน ผู้นำสาร " -
เลิกเชื่ออย่างไม่มีวิจารณญาณ
-
ใครเป็นคนปล่อย เจ้าของกระทู้ออกจากโรงพยาบาล อย่าให้รู้ตัวเชียวนะ จับได้ว่าเป็นใคร จะให้เฝ้าเวร รอบดึกทุกคืน เลยนะแก
-
น่าสนใจดีความรู้ใหม่
-
ลมหายใจสุดท้าย เป็นที่รู้จักกันดี
แปลกดี ครับ
-
ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ ความคิดเห็นที่แปลกและแตกต่าง ของความเชื่อที่ต่างศาสนาและลัทธิ ส่วนใครจะคิดอย่างไร เชื่ออย่างไร "โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม เด็กอายุต่ำกว่า13ปีควรมีผู้ใหญ่แนะนำ"
-
สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม โปรดใช้สติในการอ่านครับ อย่าเอาความโง่เขลามาคุมสติและโจมตีคนอื่น -
-
-
และแยกแยะได้ สิ่งที่มัวเมายิ่งกว่านี้ก็มี หรือแยกแยะไม่เป็น แปลกดีเนอะ -
ประการแรกผมต้องกล่าวขออภัยที่คำตอบของผมอาจทำให้บางท่านไม่พอใจ ก็ต้องขออภับมา ณ ที่นี้ด้วยครับ เพราะคำตอบและข้อวินิจฉับของผมเป็นการแสดงควมคิดเห็นและผสมกับที่ผมได้ทำการศึกษามาเท่านั้นครับไม่มีเจตณาเป็นอื่นใด
ประการแรก เลย ผมขอกกล่าว เรื่องของ ศาสนา ฮินดู ก็คือ ศาสนานี้ ตำนานต่างๆเกือบ 100% นั้นเป็นเพียงเรื่อที่แต่งขึ้น แต่ก็ยังคงความจริงอยู่บางเรื่องแต่เราไม่สามารถทราบได้เลยหากไม่ได้ทำการศึกษาทางโบราณคดีอย่างจริงจัง เพราะที่จริงแล้วศาสนานี้เพิ่งมีรากฐานจริงจังมาเมื่อหลังสมัยพุทธกาล เพราะศาสนาเริ่มเสื่อมจึงมีการรวมคัมภีร์กันขึ้นใหม่มีการอวตารต่างๆมากมาย ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะเทพเจ้าแต่ละองค์ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ไม่ว่าจะเป็นสามี ภรรยา เป็นลูก หรือ อวตาร แต่เพื่อให้เกิดความมั่นคงจึงได้นำเทพเจ้าของลัืทธิต่างๆมารวมกัน เพื่อให้เกิดความยิ่งใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะ เหล่า เจ้าแม่ต่างๆ ซึ่งแท้จริงแล้ว บางพระองค์ ท่านมีทิพยภาวะเป็นเพียงผีพื้นเมือง บางพระองค์เป็นผีชั้นสูง บ้างก็เป็นอสูร บ้างก็เป็นเทพปีศาจ ซึ่งจะมีวิธีการบูชาแตกต่างกันไปตามทิพยภาวะของแต่ละพระองค์ แต่บางพระองค์ก็เป็นเทพเจ้าจริงๆ เราจึงสังเกตุได้ว่าเทพบางพระองค์มีวิธีการบูชาที่รุนแรง โหดร้าย แต่บางพระองค์ เป็นวิธีการบูชานั้นนุ่มนวล
ประการที่สอง คือ ตามที่พระพุทธเจ้า บอกกับสาวกว่า พระเจ้านั้นไม่ได้สร้างโลกนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะตามหลักฐานทางโบราณคดีได้มีการยืนยันว่าไม่มีพระเจ้าสร้างโลก แต่โลกนั้นเกิดขึ้นและวิวัฒนาการเองตามธรรมชาติ ซึ่งบางคนอาจสงสัยว่าแล้วเทพเจ้านั้นมีจริงหรือไม่ คำตอบก็คือ หลายพระองค์มีตัวตนจริง ที่ใช้คำว่าหลายพระองค์ก็เพราะว่าเทพเจ้าบางพระองค์นั้น มีการปรุงแต่งขึ้น ซึ่งก็คือไม่มีตัวตนนั้นเอง หากท่านใดมีข้อสงสัยสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Modaka
สุดท้ายนี้ผมก็ขอให้ทุกท่านมองศาสนาเป็นภาพรวมคือมองให้เป็นสากลเพราะศาสนานั้นเป็นสิ่งเกิดจากการสั่งสมปัญญาของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่า และก็ศึกษาหาข้อมูลของเรื่องต่างๆอยู่เสมอและเปิดใจรับความรู้ใหม่ๆ ขอบคุณทุกท่านที่อ่านข้อความครับ -
ตอบได้ถูกใจเรามากเลยคะ่ คุณบาส เป็นไปได้ บางครั้งศาสนาอาจมีเอี่ยวทางการเมือง
เพราะใชในการควบคุมพลเมืองได้...อย่างยุโรปในยุคกลางเป็นต้น -
พูดน้อยเสียน้อย พูดมากเสียมาก ไม่พูดไม่เสีย นิ่งเสียโพธิสัตว์
-
ความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองนะครับ สำหรับผมแล้วศาสนาคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นเหมือนที่พึ่ง เป็นความเชื่อและศรัทธาของแต่ละบุคคล เพราะศาสนาต่างกัน ศาสดาต่างกัน วิธีปฏิบัติก็ต่างกัน ฉะนั้นมันก็เป็นวิจารณญาณของแต่ละบุคคลที่จะเลือกเชื่อ ศรัทธาและปฏิบัติตามศาสนาไหน
อย่างตัวผมเองผมเป็นพุทธศาสนิกชน แต่อีกนัยหนึ่งผมก็เป็นผู้บูชา เป็นสาวกของพระเป็นเจ้าในศาสนาฮินดู คนทั่ว ๆ ไปอาจจะเรียกคนอย่างพวกผมว่า " ร่างทรง " แต่ผมบอกได้แค่ว่า " ผมคือสาวกผู้บูชา " นี่คือคำจำกัดความของตัวผมเอง
ผมไม่เคยเจอพระพุทธองค์องค์เป็น ๆ
ผมไม่เคยเจอพระศิวะองค์เป็น ๆ
ใครบอกผมได้บ้างว่าทั้งสองพระองค์หน้าตาจริง ๆ แล้วเป็นยังไง เป็นอย่างในประวัติที่แต่ละที่เรียงร้อยออกมาหรือไม่? ในเมื่อเราไม่เคยเจอ ไม่เคยสัมผัสตันตนที่แท้จริง แต่
ทำไมถึงมีพุทธศาสนิกชนมากมายในโลก?
ทำไมมีศรัทธาในศาสนาฮินดูบูชาเทพอย่างล้นหลาม?
คุณจะเชื่อได้อย่างไรว่าพระธรรมที่เราศึกษาเป็นของพระพุทธองค์จริง ๆ ไม่ใช่เพียงเรื่องแต่งเป็นตำนานของคนรุ่นเก่า ๆ ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มันมองได้หลายมุมแล้วแต่คนจะมอง ลองถามตัวเองกันดีกว่ามั้ยครับ ว่าทุกวันนี้เรามีศาสนาเพื่ออะไร? แล้วเราเชื่อหรือศรัทธาอะไรในศาสนาถึงได้เป็นผู้นับถือในศาสนานั้น ๆ
ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนทำดี แต่วิธีการ พิธีกรรม ของแต่ละศาสนาย่อมต่างกัน เพราะแค่จุดกำเนิดก็ต่างกันแล้ว แต่สุดท้ายความต้องการของศาสนาก็เพื่อให้คนเป็นคนดีไม่ใช่หรือ?
ศาสนาพุทธอยากให้คนไปนิพพาน
ฮินดูก็อาตมัน ปรมาตมัน
เส้นทางแห่งจุดสูงสุดของศาสนาอาจต่างกัน แต่ก็ไม่มีศาสนาไหนสอนให้ฆ่าคนเยอะ ๆ โขมยเยอะ ๆ แล้วจะไปอยู่กับพระเป็นเจ้านี่ครับ
อะไรที่มันพิสูจณ์ออกมาเป็นรูปธรรมให้เห็นไม่ได้ ก็ยากที่จะทำให้ใคร ๆ เชื่อได้ แต่ถ้าเราเชื่อและศรัทธา อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ครับ -
ข้อแสดงความเห็นส่วนตัว
ทุกวันนี้กระแสของคติศาสนาทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะศรัทธาจนขาดปัญญาพิจารณาว่า แท้ิจริงแล้ว แก่นศาสนาคืออะไร เรามัวมักจะถกปัญหาและเปรียบเทียบศาสนากันในแง่จิตนิยม กล่าวคือ มักเห็นว่าของตนดีกว่าประเสริฐกว่า เพราะความยึดมั่นถือมั่นกลับกลายเป็นหลงอยู่ในวังวน กลับกลายเป็นอวิชชา
หากมองที่ตัวศาสนาเอง จะเห็นได้ว่าศาสนาหนึ่งๆ ก็มีลัทธิและนิกายแฝงอีกมากมาย เพราะอะไรหรือ เพราะความเชื่อ ความศรัทธา ความขัดแย้งของปัจเจกบุคคล บ้างก็หวังในลาภสักการะ บ้างก็หวังในศรัทธา บ้างก็เป็นเครื่องมือให้กับชนชั้นปกครองในการกล่อมเกลาจิตใจไม่ให้หึกเหิมหรือลบบล้างอำนาจตน
วิวัฒนาการศาสนาอันมีรากฐานมานานแสนนานมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นศาสนาอียิปต์ ศาสนาโรมัน ศาสนาเปอร์เซีย ศาสนาฮินดู ศาสนาเชน ศาสนาพุทธ ศาสนาเต๋า จวบจนปัจจุบันโลกใบนี้มีศาสนามากถึง 12 ศาสนาหลักๆ แต่ก่อนที่จะเป็นศาสนา ซึ่งมีมูลฐานมาจากการรวมลัทธิและนิกายต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นสำคัญ
แต่จากกระทู้ที่ถกปัญหา มักจะกล่าวอ้างว่าพระคัมภีร์ของศาสนาตนนั้นแท้จริง ไม่ใช่เรื่องแต่ง หรือไม่ใช่เรื่องนิยาย แต่โดยแท้จริงแล้ว พระคำภีร์ก็ดี ชาดกก็ดี เทพปกรณัมก็ดี เป็นไปเพื่อการสร้างสรรค์และจูงใจให้คนเกิดศรัทธาและเชื่อในคุณงามความดี และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าุไม่มีการปรุงแต่งใดๆ เลย
แต่เท่าที่ศึกษามาเกี่ยวกับหลักปรัชญาศาสนาของพราหมณ์เป็นรากฐานให้แก่ศาสนาเชน และศาสนาพุทธ เป็นสำคัญ แต่เรามักจะลืมรากเหง้าตัวเอง และมักจะกลับดูถูกเหยียดหยาม เหมือนหมิ่นแคลนปู่ ย่า ตา ยาย ของตน แล้วเราจะสรรเสริญคนเหล่านี้ได้อย่างไร ในเมื่อใจนั้นยังสกปรกอยู่เลย
หากพิจารณาแล้วว่า ของเราดีจริง ประเสริฐสุดจริงๆ ทำไมศาสนาเรานั้นจึงไม่เป็นหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ละ เพราะมันเป็นไม่ได้ไม่ใช่หรือ? เมื่อมันเป็นไปไม่ได้ ก้ไม่ต้องไปยึด หาตัวตนแท้จริงให้เจอ หาหลักปฏิบัติที่ถูกจริตตนให้เจอแล้วปฏิบัติให้ถึงแก่น อย่าเพียรเพื่อแค่อยากรู้ แค่บอกใครๆ ว่าของฉันดีแล้ว ประเสริฐแล้ว อย่าพูดแต่ปาก ทำให้รู้แจ้งได้ก่อนแล้วค่อยมาพูด
จริงเท็จเพียงใด ก็ขอให้ปัญญาพิจารณา
กระทบกระทั่งจิตไปบ้าง ก็ขออโหสิกรรมไว้ ณ ที่นี้