บริเวณชายแดนเหนือสุดขอบสยามเป็นสถานที่ที่พระอริยสงฆ์เจ้า หลายต่อหลายรูปได้เดินทางจาริกแสวงหาสัจธรรม เป็นแหล่งที่ครั้งหนึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญสูงสุดของอารยธรรม และเป็นดินแดนที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการธุดงวัตร ซึ่งเป็นภาคสำคัญของพระสงฆ์สายปฏิบัติหรือที่หมู่สาธุชนให้ชื่อว่าพระป่า ซึ่งในช่วงการอยู่ใต้ร่มกาสวพัตช่วงหนึ่งจะทำการเพื่อหลีกเร้นปลีกวิเวกมาอยู่ท่ามกลางป่าเขาธรรมชาติ แมกไม้ ลำธาร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสายน้ำต่าง ๆ มีแนวเขาสลับซับซ้อน หมู่ถ้ำ ภูเขาน้อยใหญ่ มีทุ่งลานหินและป่าโปร่งทั้งป่าดิบสลับกันไปเหมาะแ ก่การแสวงหาสถานที่ในการบำเพ็ญตน ถือศีลปฏิบัติธรรมสำหรับผุ้มีศีลหรือคณะสงฆ์สายปฏิบัติหรือพระป่า รวมทั้งเหล่าฆราวาส ทายาทธรรมทั้งหลายเป็นอย่างมากและเป็นดินแดนที่ถูกกล่าวถึงในสมัยพุทธกาลไว้ว่าพุทธสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จออกเผยแพร่ประกาศพระศาสนามาทางปัจจันต์ประเทศ (ประเทศแถบสยามในยุคสมัยทวาราวดี) และทรงกล่าวเป็นพุทธทำนายไว้เป็นหลักฐานทางพระไตรปิฎกไว้ว่า ในกาลล่วงสองพันห้าร้อยปีขึ้นพุทธศานาจัก เจริญยิ่งในดินแดนปัจจันต์ประเทศแห่งนี้ และยังทรงประทับรอยพระบาทไว้ เพื่อเป็นหลักบานแห่งความเจริญซึ่งจุดศูนย์กลางแห่งนี้ในกาลข้างหน้า ณ เทือกเขา เวภาพบรรพต ที่ได้ชื่อว่า พระพุทธบาทสี่รอย ในปัจจุบัน บริเวณแห่งนี้เองที่จะเป็นศูนย์กลางแห่งดินแดนของพระศรีอาริยเมตไตย์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาลข้างหน้า
ข้าพเจ้าก็ได้หลีกเร้นมาถือศีลปฏิบัติธรรมดินแดนที่กล่าวถึงข้างต้นนานนับเกินเดือนและเลยปีผ่านไป ได้พบครูบาอาจารย์ โดยบังเอิญท่ามกลางภูเขาและป่าไม้ห่างไกลจากความเจริญยิ่งนัก และทำให้ข้าพเจ้าเกิดติดกับธรรมชาติ ไม่อยากหวนคืนสู่สังคมมนุษย์ที่เป็นคนเมือง แต่เป็นเพราะกรรมและวาระผูกพัน ทำให้ข้าพเจ้าต้องไป ๆ มา ๆ และได้เก็บความรู้ประสบการณ์เขียนบันทึกเรื่องราวไว้มากมาย หลายเรื่อง ดังจะยกมาให้อ่านเป็นตอน ๆ ไป เมืองลับแล...
ข้าพเจ้ากำหนดจิตทำสมาธิภาวนาคาถาตามที่ครูบาอาจารย์ได้อบรมสั่งสอนมาเพื่อสำรวมจิตให้เป็นหนึ่ง เมื่อจิตดิ่งเข้าสู่สมาธิ ข้าพเจ้าก็ได้ตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อที่จะได้เข้าสู่แดนที่จะไป เป็นการกำหนดจิตเพื่อดูให้รู้ว่า บริเวณแห่งใดเป็นแดนที่ใกล้ประตูเข้าออกของแดนที่เรียกว่า เมืองลับแล
เพียงครู่เดียวข้าพเจ้าก็เข้าสู่มิติอีกมิติหนึ่งซึ่งเป็นมิติที่ทับซ้อนกับโลกมนุษย์เราหรืออีกนัยหนึ่งตามหลักพุทธศาสนาเรียกว่าการทับซ้อนของภพภูมิ และนี่ก็เป็นอีกภพภูมิหนึ่งซึ่งมีความผิดแผกต่างจากโลกมนุษย์ แต่ก็หาสิ้นเชิงไม่ เป็นดินแดนที่หลายต่อหลายคนกล่าวถึง และก็มีมากมายหลายคนที่ได้สัมผัส กล่าวขานกันไปต่าง ๆ นา ๆ แต่ก็ยากนักที่ผู้ใดจะอรรถาธิบาย ให้ข้าพเจ้าฟังและเข้าใจได้ดีพอจนทำให้ข้าพเจ้าสนใจที่จะทำการศึกษาค้นคว้าให้เกิดความข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งด้วยตนเอง ซึ่งต้องมีผู้กำหนดเส้นทางชี้นำ การประพฤติปฏิบัติแนวทางวิธีการอย่างเป็นขั้นตอนซึ่งต้องใช้เวลา และความบริสุทธิ์แห่งการรักษาศีล ถือเนกขัมมะ ประพฤติพรหมจรรย์ปฏิบัติแต่สิ่งที่ชอบ ทั้งทางกาย วาจาใจ และการที่จะผ่านแดนลี้ลับต่าง ๆ ขั้นต้นต้องมีพื้นฐานด้านการรักษาศีลก่อนทั้งสิ้น
การที่จะเข้าไปสัมผัสถึงภพภูมิต่าง ๆ นั้นจะต้องผ่านขั้นตาอนการฝึกความอดทนสร้างเสริมบารมี ทั้งทางกายและทางจิต เช่นเดียวกับการบวชทีเดียว หรืออีกนัยหนึ่งคือการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ คือฝึกหรือสร้างบารมี 10 ทัศ เมื่อผ่านการฝึกฝนโดยมีครูอาจารย์เป็นผู้กำกับแล้ว ยังต้องอาศัยบุญหรือกรรมเป็นด่านสุดท้าย ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอต่อโพธิสัตว์ซึ่งบารมีสูง โปรดจงช่วยรวมบุญบารมีของข้าพเจ้าทั้งหมดทั้งมวลแผ่ไปให้กับภพภูมิต่าง ๆ และข้อตั้งสัจจะอธิษฐานขอนำเรื่องราวต่าง ๆ มาเปิดเผย เพื่อเป็นแรงศรัทธา เครื่องชี้นำให้สำหรับผุ้อื่น ผู้ไฝ่รู้เร่งขวนขวาย ในการรักษาศีลปฏิบัติธรรม เพียรทำบุญกุศลเพื่อกาลข้างหน้าเพื่อมุ่งสู่ภพภูมิที่สูงยิ่งขึ้น ในการเวียนว่ายตายเกิด ขอความรู้ที่เกิดจากการอ่านเรื่องราวเหล่านี้จงเป็นพื้นฐาน สำหรับการดำเนินชีวิตสู่ ความสุข สงบ ถึงนิพพานในการต่อไป ก่อนที่โลกของเรา จะล่มสลายด้วยการแก่งแย่งอำนาจ รบราฆ่าฟันกันจนกลายเป็นสงครามล้างเผ่าพันธุ์ หรือสงครมล้างโลกและสงครามศาสนาที่กำลังอุบัติขึ้นในกาลปัจจุบัน
เมื่อข้าพเจ้าได้เข้าสู่เมืองลับแล หรือมิติมหัศจรรย์ที่หลายคนกล่าวถึง ในครั้งแรกก็เกิดความ มึนงงสงสัย ไม่รู้ว่ามันคือสถานที่ใดกันแน่จึงถอนตัวกลับออกมาอยู่บ่อย ๆ จนจิตเคยชินกับความรู้สึก แปลก ๆ แล้วจึงได้มีความตั้งใจอย่างเด็ดขาดเพื่อให้เกิดความรู้ในสิ่งที่เราสัมผัสได้ การได้สัมผัสในครั้งต่อ ๆ มา ก็ยังความรู้สึกที่แปลกไปอยู่ดี ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอต่าง ๆ ที่เข้ามาปะทะโสทประสาทของข้าพเจ้า
มันช่างเป็นสัมผัสอะไรกับสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนจากที่ใด ๆ ทั้งสิ้น และสามารถอธิบายของความบริสุทธิ์ สะอาด ความเยบสงบ ความอบอุ่น ความสบาย ความเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก ไร้สิ่งที่เป็นมลพิษทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ อย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกรับรู้ได้ถึงว่านี่คือเมือง เมืองหนึ่ง และสถานที่นี้คือหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีบ้านคนมีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มียวดยานพาหนะใด ๆ ไม่มีถนนที่สร้างเป็นอน่างถาวร ไม่วัตถุใด ๆ แอบแฝงหรือปะปนท้องฟ้าดูรู้สึกเย็นตา ดูท้องฟ้าอยู่ไม่ไกลนัก เมฆลอยต่ำจนเกือบน่าจะสัมฟัสได้ถึงไอน้ำเลยเชียวแต่ก็ไม่ต่ำนัก ทำให้รู้สึกว่าเหมือนหมู่บ้านชาวเขาที่อยุ่ยอดดอยที่ใดที่หนึ่งปานนั้น แต่ดูพื้นที่ก็เป็นที่ราบ มีภูเขาบ้างก็เท่านั้น มีป่าไม้ชายเขา แต่ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่บ่งบอกถึงความเจริญในยุคนี้เลย แม้ตัวข้าพเจ้าเองก็อาศัยขุนเขาและป่าไม้เป็นปกติอยู่ แต่สถานที่แห่งนี้เป็นอีกชั้นบรรยากาศหนึ่งหนึ่งหรืออย่างไร และมความรู้สึกว่าดินแดนแห่งนี้มิใช่ดินแดนแห่งความสับสนวุ่นวาย ไร้การแก่งแย่งชิงดี แย่งกันกินแย่งกันอยู่ สิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่พักอาศัย เป็นการปลูกสร้างโดยหลักธรรมชาติล้วน ๆ หรือที่เราเรียกว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านโดยล้วน ไม่มีวัตถุปรุงแต่งแม้แต่ชิ้นเดียว ดูความเรียบร้อยของการปลูกสร้างบ้านแต่ละหลังคงไว้ซึ่งความใหม่และความสะอาด ฝุ่นละอองแม้เพียงนิด ก็ไม่มี ความสกปรกของขยะมูลฝอย สักชิ้นก็หามีไม่ บ้านเรือนแต่ละหลังคงสภาพเหมือนกันหมดไม่มีความเหลื่อมล้ำทางอายุการใช้งาน เหมือนการปลูกสร้างในเวลาเดียวกันและนี่เองที่ควรเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นสิ่งเนตมิต พื้นดินที่มีการเหยียบย่างของุ้คน เป็นพื้นดินที่ราบเรียบละเอียดอ่อน เมื่อเดินผ่านไปแล้วก็ไม่มีรอยใด ๆ เกิดขึ้น ต้นไม้ที่ปลูกใกล้กับบ้านคนก็ไม่มีใบที่ล่วงหล่นสักใบหรือเขาเก็บไปทิ้งหรืออย่างไร บ้านเรือนแต่ละหลังมีลักษณะบ้านไม้กิ่งไม้ไผ่ ส่วนใหญ่เป็นเรือนไทยแบบชาวบ้านปลูกอย่างง่ายมีนอกชานยื่นมาเล็กน้อย เรือนแต่ละหลังไม่ใหญ่มากนัก เหมาะสำหรับอยู่อาศัย 3-5 คนโดยประมาณพอดีใต้ถุนบ้านสะอาดตาไม่มีสิ่งใด ๆ ที่มอบงแล้วสะดุดตาหรือไม่มีสิ่งใด ๆ ที่ทำให้มองแล้วรกรุงรังสักชิ้น เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ หมู่บ้าน ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 6 โมงเช้า และเป็นวันพระ 15 ค่ำ พอดีโดยมิได้กะเกณฑ์ จะเป็นสาเหตุใดก็ไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมไม่มีใครใส่ใจข้าพเจ้าเลยทุกคนมุ่งที่จะทำกิจกรรมใด ๆ อยู่สักอย่าง จะมีก็เพียงกลิ่นไอ ความหอมกรุ่นของอาหารบางอย่าง ซึ่งก็มิใช่กลิ่นของอาหารในโลกมนุษย์เรา
---------------------------------------------
ข้าพเจ้าเข้าไปใกล้เขตของหมู่บ้านมากขึ้นทุกที และมิได้หันหลังมาดูทิศทางที่ข้าพเจ้ามาแต่มีความรู้สึกว่ามีป่าไม้และภูเขาอยู่เบื้องหลังก็เท่านั้นเพราะเวลานี้ข้าพเจ้าสนใจแต่ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า และสิ่งที่ข้าพเจ้าสัมผัสได้อยู่ในปัจจุบันเท่านั้น ข้าพเจ้าเพียงนึกถึงคนที่จะพูดคุยด้วยเท่านั้น ก็มีสิ่งปรากฏเป็นอัศจรรย์นัก คล้าย ๆ กับการมาปรากฏโดยฤทธิ์ คือการมาโดยไม่ทำให้เราตกใจจะเป็นไปในลักษณะของการปรากฏแสงเรือง ๆ และสว่างขึ้นพร้อมทั้งมีบุคคลปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงนั้นหายไป การปรากฏตัวของชาวเมืองลับแลกับคนแปลกหน้าเช่นข้าพเจ้าไปนำพาซึ่งความต้องการของเขาทั้งหลาย แต่ก็ยากนักเมื่อเราหลุดรอดเข้าไปแล้ว ก็ไม่สามารถ ปฏิเสธได้ครั้งแรก ๆ ข้าพเจ้าก็พบลัษณะแบบนี้ และเคยพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยคแล้วก็จบการพูดคุยกันไป แต่ครั้งนี้วัตถุประสงค์ข้าพเจ้าต้องการสำรวจต้องการรู้สิ่งที่ยังคลางแคลงใจอยู่อย่างมาก
ผู้ที่มาปรากฏและต้อนรับข้าพเจ้า เป็นหญิงอายุสัก 20-25 ปี โดยประมาณ เปิดรับไมตรีจากข้าพเจ้าเป็นอย่างดี มีความสงบเสงี่ยมด้วยคำพูด วาจา ใบหน้าที่อิ่มเอิบความจริงใจ ข้าพเจ้าสำรวจรูปพรรณสัณฐานการแต่งกายกริยามารยาทของหญิงชาวเมืองลับแลผู้นี้ เป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนชาวบ้านของมนุษย์ทั่วไป การแต่งกายด้วยเสื้อแบบโบราณลายลูกไม้กับผ้าซิ่น แลดูคล้าย ๆ กับการแต่งกาย ของลูกท่านหลานเธอในยุคโบราณของไทยเรา ผิวพรรณหน้าตาไม่จัดว่าขี้เหล่ ถ้าได้รับการแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าคงเข้าขั้นประกวดได้คนหนึ่ง ทรงผมไว้แบบธรรมชาติ ยาวพองามสีดำสลวย การแต่งเนื้อแต่งตัวตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าเป็นไปในลักษณะของธรรมชาติทั้งสิ้น แต่ดูสะอาดสะอ้านเกินชาวบ้าน เนื้อตัวไม่มีรอยตำนิเท่าแมวข่วนก็หามีไม่ สีผิวของผู้หญิงชาวเมืองลับแลดูแล้วสีคล้ายกันหมดคือค่อนข้างขาว และมีความสะอาดหมดจดเหมือนกัน เธอแจ้งเพียงว่าหัวหน้าหมู่บ้านให้มาต้อนรับ ตามความประสงค์ของข้าพเจ้าในการมาและทำการเชื้อเชิญให้ข้าพเจ้าเดินทางไปบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าพเจ้าตามหญิงผู้นั้นไป และสังเกตุสองข้างทางที่ผ่านไป ทุกครัวเรือนมีผู้คนอยู่ บางบ้านก็ให้ความสนใจกับข้าพเจ้าพอสมควร แต่ก็ไม่มีใครซักถามหรือพูดคุยกันให้ได้ยินบ้างเลย ขนาดของหมู่บ้านเป็นหมูบ้านตามชนบท มีบ้านเรือนสัก 20-30 หลังคา บ้านเรือนแต่ละหลังมีขนาดเท่า ๆ กันหมด ไม่พบสัตว์เลี้ยงใด ๆ ทั้งสิ้น ช่วงกลางทางข้าพเจ้าได้ไต่ถามชื่อของหญิงสาวผู้นำทางและเรื่องอื่น ๆ ตลอดทาง คือ เธอชื่อ มะลิ เป็นบุตรสาวของเจ้าบ้าน หรือหัวหน้าหมู่บ้าน วันนี้เป็นวันพระชาวบ้านเตรียมตัวกันไปวัด จึงไม่มีใครสนใจเรื่องอื่น ๆ ชั่วครู่เดียวก็มาถึงกลางหมู่บ้าน หญิงชื่อมะลิก็พาข้าพเจ้ามาสู่เรือนหลังหนึ่ง ซึ่งมีขนาดของการปลูกสร้างที่ใหญ่กว่าเรือนหลังอื่น ๆ สักหนึ่งเท่าตัว แต่ข้าพเจ้าไม่ได้รับอนุญาติเข้าไปข้างใน
รับรู้ด้วยจิตเพียงว่า ด้านในเรือนเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับมนุษย์ เรือนที่ข้าพเจ้าถูกเชิญขึ้นมาสู่นอกชาน ดูพอเหมาะในการต้อนรับแขกไปในตัว หญิงสาวขอตัวเข้าบ้าน โดยปรากฏชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่งผิวขาว ดูมีสง่าราศี ส่วนสูงประมาณ 170 ซ.ม. อายุประมาณ 50 เศษ ดูแข็งแรง ลักษณะใบหน้าได้รูปสมส่วนกับวัย แลดูเป็นผู้ใหญ่มีเมตตา แต่งกายดูภูมิฐานแบบคนชนบทอัธยาศัยไมตรี มีความเป็นกันเองเชื้อเชิญให้ข้าพเจ้าตามสบาย แนะนำตัวเองว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ และอธิบายสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากรู้มากมาย บางอย่างข้าพเจ้า เพียงนึกใจใจคำตอบก็ถูกป้อนออกมาจากหัวหน้าหมู่บ้านเกือบทั้งหมด
----------------------------------------------------
การเกิดของชาวเมืองลับแล เมืองลับแลเป็นดินแดนที่มีความเป็นอยู่คล้ายมนุษย์แต่ก็มีความเป็นอยู่และดำรงไว้ในลักษณะของเทวดา คือกึ่งมนุษย์กึ่งเทวดา อาหารสิ่งของเครื่องใช้บางอย่างก็ทำขึ้นเองบางอย่างก็ถูกเนรมิตขึ้นมา เป็นสถานที่อยู่ในลักษณะกึ่งทิพย์ มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ เพราะมีความคงอยู่ในสภาพของจิตหรือมีกายอยู่ในลักษณะกายละเอียดหรือกายทิพย์ ยังมีการกินการอยู่คล้ายมนุษย์ แต่ไม่เหมือนมนุษย์ไปเสียทั้งหมด การเกิดเมืองลับและเป็นลักษณะของหมู่บ้านมีทั่วไป ตามภูเขาและป่าไม้ เพราะต้องอาศัยสถานที่ ที่จะทำการซ้อนของภูมิอย่างสงบละเว้นจากความวุ่นวาย คือภูมิของเมืองลับแลต้องซ่อนอยู่กับป่าไม้และภูเขาเท่านั้นและมีกระจัดกระจายทั่วไปแต่ก็ไม่มากนัก ฉะนั้นในเมืองไทยก็มีเมืองลับแลทับซ้อนอยู่หลายแห่งแต่ละแห่งก็จะมีผู้ดูแล ตามแต่ละจุดคือหัวหน้าหมู่บ้าน สภาพความเป็นอยู่ก็คล้าย ๆ กัน ต่างกันก็มีบ้างเพียงเล็กน้อย หรือมากน้อยตามภูมิเดิมที่ก่อนจะมาเกิดเป็นคนเมืองลับแล เช่นถ้าเคยเกิดเป็นครุฑ นาค มนุษย์ ยักษ์ หรือสัตว์ต่าง ๆ ก็มักไม่รวมกันเป็นกลุ่มแต่จะแยกไปอยู่ตามสังคมของตนแต่ส่วนมากชาวเมืองลับแลเกิดจากภูมิของเทวดา เป็นเทวดาผู้มีบุญน้อย เทวดาเมื่อทำบุญมาน้อยจะทำให้จิตหรือใจถูกกระทบได้ง่ายการเป็นเทวดาแล้วมักหลงติดกับความสุขในการเสพอย่างเพลิดเพลินในสิ่งที่เป็นทิพย์เมื่อจิตใจไม่เข้มแข็งพอทำให้เกินเลยขอบเขตของเทวดาไม่ได้เช่นความต้องการต่างๆ จนผู้อื่นได้รับผลกระทบหรือกระทำอันใด ๆ ซึ่งมีผลกระทบกับผู้อื่นทำให้ผู้อื่นไม่รู้สึกยินดี หรือกลั่นแกล้งผู้อื่น จาบจ้วงผู้อื่น กระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมในลักษณะที่ไม่ใช่เทวดาทำ สาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้การเรียกว่าผิดกฏสวรรค์ มีอันทำให้เกิดการจุติหรือเกิด ตามความผิดที่พึงกระทำ การวินิฉัยเป็นไปโดยอัตโนมัติ ผลที่ได้รับอาจต้องตกนรกหรือไปเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หรืออย่างเบาได้ลดชั้นการเป็นเทวดาโดยให้ไปเกิดยังเมืองลับแล
เมืองลับแลจึงได้ชื่อว่า เป็นสวรรค์ชั้นโลกมนุษย์แยกกันอยู่เป็นเมือง เป็นหมู่บ้าน มีความเป็นอยู่แบบกึ่งทิพย์ บ้างก็มีความอยากที่จะทำนาเพาะปลูก มีความสุขกับการประกอบอาชีพเพาะปลูก เพราะว่าไม่รู้จะทำอะไรดี เรียกว่าเป็นงานอดิเรก หรือ การหาของป่า การปลูกพืชสมุนไพร การรักษาศีลเป็นหลักสำคัญ การดำเนินชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน คืออยู่ที่ความชอบแตกต่างกันหรือการติดจากอดีตชาติเคยเกิดเป็นมนุษย์แล้วชอบอย่างไรก็จะปฏิบัติตัวอย่างนั้น บางคนอาจมีครอบครัวหรือไม่มีครอบครัวก็ได้ แล้วแต่ความสมัครใจของทุกฝ่ายหรือจะอยู่รวมกันอย่างพี่น้องก็มี การกินอาหารก็เหมือนกันแล้วแต่ไม่จำกัด เพราะเป็นไปในลักษณะของการกินทิพย์ เพราะอาหารที่ทำขึ้นมักเป็นการทำในลักษณะโบราณคือ การกวนข้าวทิพย์ กินเพื่อความเป็นศิริมงคลหรือทำเพื่อการบูชา เทพ พรหม หรือบูชาพระ เพราะคนเมืองลับแลไม่ต้องกินข้าวก็อยู่ได้ หรือเก็บใบไม้มาเสกเป็นข้าวและกับข้าวก็ได้ เป็นกรณีไปแล้วแต่ใครชอบทำอย่างไร แต่ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของหมู่บ้านซึ่งมีเจ้าบ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ดูแล การลงมาของเทวดาที่จะมาเกิดยังเมืองลับแลจะลงมาในลักษณะของแดนสวรรค์ คือ เมื่อผิดกฎสวรรค์ก็ตกวืดลงมาเลยไม่ต้องสอบสวนคดีความ เป็นไปในลักษณะอัตโนมัติ เมื่อตกมายังหมู่บ้านใดก็ต้องเข้าไปรายงานตัวกับหัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านจะพิจารณาว่า บุคคลนี้มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับคนในหมู่บ้านนี้หรือไม่ก็จะส่งไปตามสถานะความผูกพันธ์กับคนที่อยู่ก่อนแล้ว เช่นอาจเป็นญาติกันมาก่อนก็ไปอยู่กับญาตินั้น ๆ ถ้าไม่มีญาติก็ไปอยู่เดี่ยว แต่ส่วนใหญ่จะถูกส่งไปตามพื้นเพเก่าตามกรรมที่เคยทำในสมัยที่เป็นมนุษย์ เช่นครั้งหนึ่งเคยเกิดมาเป็นมนุษย์แถวภาคกลางตายลงด้วยบุญที่ทำไปเกิดเป็นเทวดาแต่ทำผิดกฎสวรรค์ก็ตกสวรรค์ไปเกิดที่เมืองลับแลในสภาพของมนุษย์ ตอนที่ตาย จะเป็นหญิงหรือชายรูปพรรณสัณฐานเช่นไร ก็จะกลับไปเป็นแบบนั้น และจะลงมาอยู่เมืองลับแลแถวภาคกลางคือเป็นพื้นเพเดิม ส่วนเทวดาชั้นสูง ๆ ที่ตกลงมาสู่เมืองลับแลก็จะได้ยกเป็นเจ้าเมืองบ้างหรือหัวหน้าหมู่บ้านบ้างหรือเศรษฐีผู้มีบริวารบ้างแล้วแต่บุญเก่า ส่วนหัวหน้าหมู่บ้านที่ข้าพเจ้าได้พบได้ลงมาจากสวรรค์ชั้นที่ 3 คือชั้นยามา สาเหตุที่ลงมาเกิดเมืองลับแลเนื่องจากเกิดความวิตก เป็นห่วงกังวลถึงครอบครัวหาทางช่วยครอบครัวของท่านหาทางแก้แค้นต่อผู้ประสงค์ร้ายกับครอบครัวท่าน เป็นเหตุให้ต้องลงมาเกิดอยู่ที่เมืองลับแล เพราะเมื่อเป็นเทวดาก็ต้องอยู่ในกรอบของเทวดา คือการทรงไว้ซึ่งหิริโอตัปปะความเกรงกลัวต่อบาป หวังที่จะเอาบุญอย่างเดียว ไม่ยุ่งกับสรรพสัตว์ให้เป็นไปตามบุญหรือกรรม เพราะเหตุที่จะเกิดกับมนุษย์หรือสัตว์นั้นจะต้องมีสาเหตุจากการกระทำหรือเรียกว่าเหตุเกิดจากกรรม เทวดาไม่มีหน้าที่ไปแก้ไขเหตุการณ์มีแต่ช่วยสงเคราะห์บุญได้ให้เกิดบุญทำได้เทวดาส่วนใหญ่ที่ลงมาเกิดเมืองลับแล มักเป็นเทวดาที่อยู่ชั้นแรก ๆ ของสวรรค์คือทำบุญมาน้อยทำให้จิตไม่แข็งพอ มักผิดพลาดได้ง่าย สำหรับเรื่องของอายุของคนเมืองลับแลนั้นถูกกำหนดด้วยกรรมที่เกิดเป็นรายบุคคล ซึ่งมีอายุกรรมไม่เท่ากัน แล้วแต่เป็นกรณีไปขั้นต่ำสุดคือ 10 ปีมนุษย์ถึง 100 ปีและ 500 ปีก็มี โดยนับเวลาตามสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่ 1 ของภูมิเทวดา ฉะนั้นเวลาของเมืองลับแลต่างกับเวลาของในเมืองมนุษย์เทียบได้กับเวลา เว้นของเมืองลับแลเท่ากับ 50 วันของมนุษย์ ตัวอย่างการกระทำความผิดของเทวดา ผู้มีฤทธิ์ไปดลใจมนุษย์ให้มนุษย์ทำผิดศีล ก็โดนค่อนข้างหนักตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขั้นต่ำ 100 ปีมนุษย์ หรือเทวดาดลใจมนุษย์แล้วไปก่อเหตุร้ายแรงจะเจตนาหรือไม่ก็ตามถ้ามีความวุ่นวายเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์อาจโดน 300-500 ปีมนุษย์ ถ้ามีการตายเกิดขึ้นโดยสาเหตุจากเทวดาก็จะต้องลงไปเกิดทันที โดยลงโลกมนุษย์หรือไปตามกรรมชั่วเก่าที่ทำมาก่อนบุญนั้นเก็บไว้ก่อนหรือถ้าบุญมากก็ไปเกิดเป็นมารหรือยักษ์ พญานาค ในป่าหิมพานต์
สถาณะสภาพของชาวเมืองลับแล ดังได้กล่าวแล้วว่าเมื่อจะมาเกิดยังเมืองลับแลจะกลับสภาพร่างกายตอนเป็นมนุษย์ ก่อนเป็นเทวดา ดังนั้นถ้าตายตอนวัยไหน อายุเท่าไร เมื่อมาเป็นคนเมืองลับแลก็จะกลับไปสู่วัยนั้น และจะคงอยู่อย่างนั้นตลอดอายุของการอยู่ในเมืองลับแล ถ้าตายตอนเด็กก็เกิดเป็นเด็ก ตายตอนแก่ก็เกิดมาเป็นคนแก่ ตอนทารกไม่มีเพราะการเกิดเป็นทารก ยังไม่ได้ทำกรรมอะไรเลยฉะนั้นไม่มีทารกในเมืองลับแล
ความเป็นคนเมืองลับแล คล้ายกับการอยู่กรรมของพระหรือการอยู่กรรมของผู้ปฏิบัติธรรมแต่ยังดีที่ความเป็นอยู่นั้นอยู่อย่างเป็นทิพย์ มีกายเป็นทิพย์จึงไม่ต้องเปลี่ยนสภาพร่างกาย บางคนไม่ต้องกินก็ได้ ไม่ต้องอาบน้ำก็ได้ แต่จะมีความรู้สึกคล้ายมนุษย์ ชอบสังคม ชอบมีการดำรงชีวิต ชอบทำอย่างมนุษย์ แต่ก็มีธรรมเนียมหรือกฎของเมืองลับแลอยู่ ซึ่งชาวเมืองลับแลจะรู้ได้โดยอัตโนมัติ คือรู้ได้ด้วยจิตถึงสิ่งที่พึงห้ามกระทำ คือ
1. การรักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัด
2. ห้ามออกนอกเขตเมืองลับแลโดยมิได้รับอนุญาติ
3. ห้ามประพฤติปฏิบัติตัวเลินเล่อต่อสาธารณชน
4. ห้ามเสพเยี่ยงมนุษย์
----------------------------------------------------
กฎระเบียบทั้งหมดจะควบคุมโดยอัตโนมัติ หากใครทำผิดกฎจะถูกต้องโทษโดยการขยายเวลาอายุกรรมในเมืองลัลแลต่อไปอีกแล้วแต่กรณี ถ้ามีความผิดร้ายแรงจะต้องไปเกิดโดยทันทีดังนั้นการอยู่ในเมืองลับแล เป็นการได้แก้ตัวให้ประพฤติชอบ อยู่ในกรอบของศีลธรรมอยู่ในสภาวะของกายทิพย์ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่บริสุทธิ์ อยู่ในพื้นที่ที่จำกัด และมีโอกาสสร้างบุญบารมีเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีโอกาสผิดพลาดได้เพราะเมืองลับแลอยู่ใกล้กับโลกมนุษย์ แต่ใครล่ะจะชอบความลำบากยากเข็นในเมืองมนุษย์ ฉะนั้นชาวเมืองลับแลจึงไม่ค่อยจะเข้าใกล้มนุษย์สักเท่าไร เพราะมนุษย์จะมีความไม่ดีติดตัวมาเยอะมาก อาจทำให้ชาวเมืองลับแลพลอยเสื่อมถอยจากศีลธรรมได้ง่าย แต่เมื่อคราวถึงวันพระชาวเมืองลับแลจะมีโอกาสได้เข้าวัด ทำบุญ ฟังเทศน์ ถือศีล สวดมนต์ภาวนา คนเมืองลับแลจึงมักชอบพระมาก โอกาสสัมผัสเมืองลับแลกับพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจึงเกิดขึ้นบ่อย ยิ่งเมื่อถึงวันพระ จิตใจของมนุษย์ หรือกิจกรรมในเมืองมนุษย์จักอบอวลไปด้วยบุญทานที่เกิดขึ้นทำให้จิตมนุษย์กับจิตคนเมืองลับแลสื่อกันได้ง่าย เพราะมนุษย์ก็มักรักษาศีลอุโบสถกันทุก ๆ วันพระ นี่ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่การสื่อสารของข้าพเจ้ราและชาวเมืองลับแลดูติดต่อกันได้ง่ายในวันพระเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าก็มิได้ตั้งใจไว้ก่อนพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในวันพระของชาวเมืองลับแลนั้น เป็นเพราะว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงค์ได้เปิดให้ชาวเมืองลับแลได้ขึ้นไปทำบุญประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การเวียนเทียนในวันสำคัญทางศาสนา เพราะสวรรค์บนชั้นดาวดึงค์นั้นมีวัดอยู่ และทางเบื้องบนยังเล็งเห็นว่าชาวเมืองลับแลนั้นยังมีสถานะความเป็นเทวดาอยู่จึงสมควรได้รับความอนุเคราะห์ตรงส่วนนี้ เพราะในเมืองลับแลนั้นไม่มีวัดไม่มีพระ การขึ้นไปสู่วัดนั้นข้าพเจ้าได้ตามดูเห็นชาวเมืองเดินกันไปสู่ภูเขาลูกหนึ่งที่เชิงเขามีบันไดเวียนไปทางขวาเพื่อขึ้นเขา บันไดนั้นเป็นบันไดแก้วเลื่อมพรายระยับตา ดังสวรรค์เนรมิตความกว้าง ยาว ของขั้นบันไดเดินขึ้นได้พอดี ความสูงประมาณตามขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อย การเดินเวียนขวาไปเรื่อย ๆ ข้าพเจ้าต้องขออนุญาติเทพพรหมทั้งหลายเพื่อขอให้วัตถุประสงค์ของข้าพเจ้าสำเร็จตามที่ได้อธิษฐานไว้แต่ต้นให้สำเร็จลุล่วง เพราะกลัวว่าการข้ามเขตเลย จากที่ขอไว้แต่ต้นของเมืองลับแลตอนนี้จะก้าวล่วงถึงสวรรค์จะเป็นการล่วงที่สูง แต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ สาเหตุที่ขึ้นไปได้นั้นข้าพเจ้ารู้ดีแต่ขอละไว้ที่นี่ เพื่อสานเรื่องเมืองลับแลให้จบ บันไดที่ใช้ขึ้นสู่วัดแห่งนี้ช่างวิจิตรตระการตายิ่ง เป็นลักษณะแก้วผลึกใส สีรุ้งเจิดจรัส เงาระยับเช่นเดียวกับประกายของเลื่อมเพชรประดับฉันนั้น เมื่อขึ้นสู่ยอดเขามีก้อนเมฆขาวลอยวน บางส่วนก็กระจายเกลื่อนบนพื้นที่เดินอยู่ ชาวเมืองลับแลแต่งกายงามล้ำกว่าปกติทุกวัน นุ่งใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ สีสันงดงามตาเครื่องประดับก็พอมีบ้างพองดงามตามวิสันชาวบ้าน บริเวณวัดสุดเจริญหูเจริญตา ไม่มีที่ใดเหมือน โบสถ์หรือวิหารสุดตระการตา องค์พระปฏิมาเป็นทองคำทั้งองค์ ซุ้มประตูต่าง ๆ ประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดาต่างๆ หรือที่เรียกว่า แก้วนพรัตน์ ยากที่จะมีสิ่งใดเปรียบเทียบได้ คนเมืองลับแลต่างมีสิ่งของมาสักการะเป็นดอกไม้และอาหารทิพย์เพียงเล็กน้อย ไม่มีข้าวของรุงรังเหมือนเมืองมนุษย์เรา แต่ทุกคนมีความสุขเต็มเปี่ยม มีความยิ้มแย้มแจ่มใสดี และกลับมีความงามดั่งนางฟ้ารวมทั้งผู้ชายก็ดูมีสง่าราศีดังเทพบุตรหรือเขาเหล่านั้นเปลี่ยนสภาพจิตเป็นเทวดาในวันพระหรือกระไร
การดับของชาวเมืองลับแล ก็เป็นเช่นเดียวกับการเกิด คือ จิตเปลี่ยนสถานเฉย ๆ ด้วยบุญ การมาก็มาด้วยบุญ การกลับก็กลับด้วยบุญ เมื่อถึงวาระแห่งการหมดกรรมจะรู้ได้ด้วยตนเอง คือปิติจะเกิดกับผู้ที่หมดกรรมหรือหมดวาระจากเมืองลับแล และเขาเหล่านั้นจะได้สู่ภพภูมิที่ตัวเองมาคือไปเป็นเทวดาเพื่อเสวยบุญต่อ ณ จุดที่ลงมา คือลงมาจากจุดไหนก็ขึ้นไปสู่จุดนั้นในเรื่องของทรัพย์สมบัติของชาวเมืองลับแลนั้นเป็นด้วยฤทธิ์ที่ติดตัวไปจากการเป็นเทวดาจะเกิดด้วยการเนรมิตอย่างหนึ่ง จะเกิดด้วยการรู้ที่ซ่อนขุมสมบัติอย่างหนึ่ง เพียงสองอย่างนี้ถ้ารู้ว่าควรให้ใครได้ก็สามารถให้ได้ เมื่อรู้ว่ามีทรัพย์อยู่ เช่น โจรได้ปล้นเศรษฐีนำทรัพย์สมบัติไปซ่อนไว้ในถ้ำ ชาวเมืองลับแลรู้ที่ซ่อน เมื่อเศรษฐีนั้นเกิดที่ใด ทรัพย์สมบัตินั้นก็ยังเป็นสิทธิ์ของเศรษฐีคนเดิมได้อย่างสุจริต เทวดาใด ๆ ก็สามารถมอบสมบัตินั้นคือเจ้าของหรือชาวเมืองลับแล ย้ายไปไม่ให้คนชั่วหรือคนทั่วไปพบก็มีสิทธิ์ทำได้ แต่การที่จะทำอะไรสักอย่าง ต้องมีเหตุให้พึงกระทำตามความเหมาะสม หรือทำให้เกิดความสมเหตุสมผลมิใช่การเบียดบังทรัพย์เพื่อตน อาจทำได้เพื่อเกิดประโยชน์ส่วนรวม แต่ยังไม่พบเหตุการณ์ที่ต้องกระทำเช่นนั้น แต่ทรัพย์สมบัติของชาวเมืองลับแล มีแน่นอน
แต่การมีไว้ซึ่ง เพื่อเอาไว้บูชาพระถวายเป็นของส่วนรวม เก็บไว้เมื่อถึงคราวจำเป็นในการช่วยสร้างชาติ สร้างศาสนา ให้เกิดความสงบร่มเย็น แต่ต้องรอวาระเวลาที่ภพภูมิ เปิดติดต่อไปมาหาสู่กัน โดยมีผู้บริสุทธิ์ เช่นพระสงฆ์ผู้มีญาณสมาธิแก่กล้า หรือพระธุดงค์ผู้มีฌานสมาบัติสูง หรือผู้มีจิตบริสุทธิ์เยี่ยงพระอรหันต์ หรือจะเป็นผู้มีบุญฤทธิ์ และโพธิสัตว์ผู้มีบารมีเปี่ยมล้นสามารถผ่านเข้าไปสู่ดินแดนแห่งนี้ได้ โดยที่จะไปถูกบดบังด้วยประการทั้งปวงอันตัวข้าพเจ้าตั้งสัจจะไว้เพียงขอนำข้อมูล แห่งความจริง ลืมนึกถึงสมบัติทรัพย์ทั้งหลายเลยได้แต่เพียงรู้ แม้นถ้าใครผ่านแดนลี้ลับแห่งนี้ได้ ก็จะได้รับการต้อนรับอย่างดีและมีไมตรีจิตจากชาวเมืองลับแล เพราะบุคคลที่ถูกปล่อยให้ล่วงล้ำเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามนี้นั้น เป็นบุคคลผู้ผ่านการกลั่นกรอง ทางกายและทางใจแล้วทั้งสิ้น บุคคลดังกล่าวเมื่อผ่านดินแดนแห่งนี้แล้ว จะไม่ทำให้แดนลับแลแปดเปื้อนมีมลทิลแต่ประการใดและดินแดนแห่งนี้มิใช่มีแต่สถานที่แห่งหนึ่งแห่งใดในประเทศไทย แดนแห่งเมืองลับแลนี้ มีทับซ้อนซ่อนอยู่ทั่วไปในดินแดนที่สงบสงัด ปราศจากความว้าวุ่นแห่งโลกของโลกียะ กิเลสที่พอกหนาของมนุษย์ ข้าพเจ้าใคร่ขอวิงวอนแด่องค์พระศรีสยามเทวาธิราชเจ้าทุก ๆ พระองค์ ด้วยบารมีแห่งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ราชาเจ้าทุก ๆ พระองค์ บุญกุศลใด ๆ ที่เกิดจากข้อเขียนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลให้กับชาวเมืองลับแลทั้งหลายขอกุศลบุญที่เกิดจงบันดาลให้ท่านทั้งหลายได้สู่ภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเทอญ สาธุ
ที่มา: หนังสือนะโภคทรัพย์ โดย กบจำศีล
ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ท่องเมืองลับแล
ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 4 มีนาคม 2009.
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
อนุโมทนาสาธุครับ
เรื่องนี้ผมเคยได้พบคนเขียนมาแล้วครับ ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงครับ เพราะพี่เขาเป็นนักปฎิบัติตัวยงเลยครับ -
อยากได้พระเหนือพรหมของหลวงปู่ดู่ทันหลวงปู่สร้างนะครับแต่ดูไม่เป็นนะครับทำไงดี
-
-
ขอบคุณครับ
-
อนุโมทนาสาธุกับบุญกุศลเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ด้วยครับ ขอให้พระพุทธศาสนาดำรงมั่นอยู่ตราบสิ้นกาลนาน
อานิสงส์บุญกุศลใดจักพึงบังเกิด ขออุทิศให้แก่มารดาบิดา ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โลก ผู้มีพระคุณ ญาติมิตร มนตรีบริวาร ในทุกภพทุกชาติ ตลอดจนถึงเทวดา เปรต สัตว์ในอบายทุคติ เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอจงได้รับรู้และอนุโมทนาโดยทั่วหน้ากัน ท่านที่มีทุกข์ ขอให้พ้นทุกข์ ท่านที่มีสุข ขอให้สุขยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยเทอญฯ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ปัจจโย โหตุ
<!--emo&:02:--><!--endemo--> <!--emo&:09:--><!--endemo--> <!--emo&:09:--><!--endemo--> <!--emo&:09:--><!--endemo-->
"พุทโธ โพเธยยัง มุตโต โมเจยยัง ติณโณ ตาเรยยัง"
"เมื่อรู้แล้ว จักช่วยผู้อื่นรู้ด้วย เมื่อพ้นทุกข์แล้ว จักช่วยผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วย เมื่อข้ามโอฆะแล้ว จักช่วยผู้อื่นข้ามโอฆะด้วย"
"พระสัมมาสัมโพธิญาณ ปัจจโย โหตุ"
"เมื่อได้พุทธภูมิ อภิเษกพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จักช่วยให้ผู้อื่นได้พุทธภูมิ อภิเษกพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วย"
<!--emo&:09:--><!--endemo--> <!--emo&:09:--><!--endemo--> <!--emo&:09:-->
<!--endemo-->
<!--emo&:16:--><!--endemo--> <!--emo&:12:--><!--endemo--> <!--emo&:10:-->
<!--emo&:09:--><!--endemo--> <!--emo&:09:--><!--endemo--> <!--emo&:09:-->
<!--endemo-->
;aa10<!-- / message --><!-- sig --> -
สังคมเศรษฐกิจแบบพอเพียงก็จะมีความสงบร่มเย็นแบบชาวลับแล
เพราะไม่มีการขนขวยสะสมอย่างไม่สิ้นสุดแบบสังคมทุนนิยมในเมืองมนุษย์ -
อนุโมทนาครับ
-
Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน
ขอบคุณผู้นำมาเผยแผ่ค่ะ