ขุนแผนยอดขุนพล ลพ สวาทวัดโป่งจันทร์ล๊อคเก็ตและขุนแผนรุ่นแรกลพ.สม โพธิ์ทอง

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337
    วัตถุมงคลหลากหลายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศครับค่าจัดส่งต่อครั้ง 30 บาทระบบflash หรือ J&Tและ 50 บาทems ไปรษณีย์ไทย 08--1--70--4--72--64 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง line ตามเบอร์โทรศัพท์
    บัญชีธนาคาร กรุงไทย 125-00-89-239
    Supachai thu
    โอนแล้วแจ้งบอก ทางข้อความ พร้อมที่อยู่จัดส่ง ป้อง กัน การเอาข้อมูลจากมิจฉาชีพครับ
     
  2. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337
    พระรูปเหมือนหลวงปู่แก้ววัดไทรคำจังหวัดเลย รุ่นแรก ศิษย์ในสายหลวงปู่เทพโลกอุดร ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่ง30 บาทระบบflash หรือ J&Tและ 50 บาทems ไปรษณีย์ไทย(ปิดรายการ)

     
  3. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337
    พระอาจารย์เขาหงษ์ (หลวงปู่ พิชัย ฐิติลาโภ อายุ 108 ปี)
    พระเถระ 5 แผ่นดิน ผู้สืบทอดสุดยอดวิชาแห่งสำนักวัดมะขามเฒ่า ปรมาจารย์ผู้มีอาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวัดสุทัศน์ ศิษย์ในองค์พระสังฆราชแพ พระอาจารย์ในดง พระในตำนาน ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันมากในหมู่พระธุดงค์ ผู้สำเร็จวิชาเป่าทองในระดับสุดยอด เป่าคราวเดียวหายวับไปกับตา แต่ถ้าเข้าเครื่อง X-Ray ละก็เห็นหมดทุกแผ่น ทั้งหมดที่กล่าวขึ้นมา คือ องค์หลวงปู่ พิชัย ฐิติลาโภ ปรมาจารย์ผู้เฒ่าแห่งสำนักสงฆ์เขาหงษ์ อ.เมือง จ.ลพบุรี พระผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของลูกศิษย์มากมายในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญในสุดยอดวิชาการเป่าทอง ซึ่งทำเอานายแพทย์หลายท่านต้องประหลาดใจ เพราะเห็นแผ่นทองหลายแผ่นติดอยู่ที่ศีรษะลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่มารับการตรวจโดยการ X-Ray



    เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีหนังสือพิมพ์หลายฉบับ วารสาร รายการโทรทัศน์ ได้เผยแพร่เรื่องราวของหลวงปู่ในนามของ “หลวงตาฮาร์วาร์ด” ผู้ชำนาญในการใช้สมุนไพรโบราณและตัวยาในแผนปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่มาของฉายานี้ก็มาจากเมื่อครั้งก่อนบวชนั้นท่านได้สำเร็จการศึกษาสูงสุดในระดับปริญญาเอก หรือเป็นด๊อกเตอร์ที่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดนั่นเอง ซึ่งต่อมาได้อุปสมบท ณ อุโบสถวัดสุทัศน์เทพวราราม โดยมี สมเด็จพระสังฆราชแพ เป็นพระอุปัชฌาย์ นอกจากนั้นหลวงปู่ยังได้ศึกษาวิชาพุทธาคมในสายหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า โดยมีองศ์หลวงปู่ปลื้มผู้เป็นน้องร่วมสายโลหิตของหลวงปู่ศุขเป็นผู้ฝึกสอนให้โดยตรง และหลวงปู่ปลื้มผู้นี้เองที่เป็นผู้สร้างวัตถุมงคลพระเครื่องต่างๆ ให้แก่องค์หลวงปู่ศุขในขณะนั้น และเป็นสมภารเจ้าผู้ครองวัดมะขามเฒ่าในเวลาต่อมา


    ดงนั้นจึงกล่าวได้เต็มปากว่า หลวงปู่พิชัยท่านเป็นปรมาจารย์ผู้สำเร็จสุดยอดวิชาทั้งสำนักวัดมะขามเฒ่าและสายวัดสุทัศน์ หลวงปู่พิชัยจำพรรษาอยู่ที่วัดสุทัศน์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493-2511 ซึ่งในขณะนั้นท่านมีชื่อเสียงทางด้านการเทศนาธรรม เป็นปราชญ์แห่งธรรม และมีศักดิ์เป็นถึง ท่านเจ้าคุณพระสุนทรธรรมรส รองเจ้าคณะ 1 แห่งวัดสุทัศน์ ท่านได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกครั้งสำคัญๆ มากมายหลายพิธีในสมัยนั้น ก่อนออกธุดงค์ไปหลายปีจนมาถึงสำนักสงฆ์เขาหงษ์ในปัจจุบัน ซึ่งฉายาของหลวงปู่นั้นมีมากมายเนื่องจาก
    เหรียญรุ่น 2 หลวงปู่พิชัยบล็อกโรงกษาปณ์ให้บูชา500บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflash หรือ J&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย

     
  4. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337

    ปาฏิหารย์! หลวงพ่อวัดดังท่ามะปราง มรณภาพ ระหว่างนั่งทำสมาธิ เจ้าหน้าที่กู้ภัยข่าวภาพ หามลงกุฏิ ทั้งๆ ตัวยังแข็ง เผยมีเครื่องรางของขลัง ปลุกเสกไว้เพียบ ล่าสุด “หลวงพ่อขวัญดี” ยังร่วมปลุกเสก “นเรศวรอุ้มไก่” ช่วงมรณภาพยังคงปรากฏอยู่หน้าหลวงพ่อ

    วันนี้ (19 ก.ย.) ร.ต.ท.สุธรรม อ้นอินทร์ ร้อยเวร สภ.เมืองพิษณุโลก รับแจ้งเหตุ พระภิกษุมรณภาพ ภายในกุฏิที่วัดท่ามะปราง ต.ในเมือง หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยแพทย์เวรโรงพยาบาลนเรศวร และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยข่าวภาพ ที่เกิดเหตุเป็นกุฏิชั้นเดียว พบประชาชนจำนวนมากมามุงดูด้วยความสงสัยและตื่นเต้น ที่พระภิกษุนั่งเสียชีวิตในท่านั่ง แม้หลายคนอยู่ในอาการโศกเศร้า ที่พบหลวงพ่อขวัญดี ปิยสีโล อายุ 72 ปี มรณภาพหลังพิงอยู่กับประตูทางเข้า จากนั้นลูกศิษย์วัดหลายคนช่วยกันเคลื่อนย้ายศพหลวงพ่อ โดยอุ้มร่างหลวงพ่อในท่านั่งสมาธิออกจากกุฏิไปตั้งบำเพ็ญกุศลบนศาลาการเปรียญ

    พระอุดมศักดิ์ อุตมสักโก รองเจ้าอาวาสวัดท่ามะปราง (พระใกล้ชิดกับหลวงพ่อขวัญดี) บอกว่า หลวงพ่อได้มรณภาพในช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งทราบเพราะญาติโยมนำอาหารเช้ามาถวาย และพบว่าหลวงพ่อนั่งสมาธิอยู่ จึงไม่กล้าเรียก จากนั้นเดินไปบอกพระลูกวัด ว่า นำอาหารมาถวายแล้วนะ บอกให้ถวายให้หลวงพ่ออีกครั้งกระทั่งต่อมาพระลูกวัดนำอาหารชุดเดิมมาถวายอีกครั้ง กลับพบว่า หลวงพ่อยังคงนั่งในท่าสมาธิเหมือนเดิม มองไปก็รู้ว่า ผิดปกติ จึงรู้ว่า หลวงพ่อมรณภาพ จากนั้นได้มาบอกอาตมา ไปดู ซึ่งก็พบว่า หลวงพ่อมรณภาพแล้วจริงๆ จึงได้แจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมแพทย์มาทำการชันสูตรต่อไป

    พระอธิการจักรภพ พุทธยาโน เจ้าอาวาสวัดท่ามะปราง บอกว่า หลวงพ่อขวัญดี ปิยสีโล ปัจจุบันอายุ 72 ปี ชื่อเดิมคือ นายขวัญเมือง โพธิ์คง บวชมาแล้วจำนวน 38 พรรษา โดยบวชเมื่อวันที่ 14 ก.ค.2519 ที่วัดนางพญา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก หลังจากนั้น ก็ไปจำวัดอยู่บนยอดเขาสมอแคลง ที่วัดสระสองพี่น้อง จำนวน 2 พรรษา และออกเดินธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ จนกลับมาจำวัดอยู่ที่วัดท่ามะปรางตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2526 เรื่อยมา เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาโดยตลอด และยังเป็นพระเกจิของเมืองพิษณุโลก ที่มีลูกศิษย์จำนวนมาก ทั้งในจังหวัดพิษณุโลก และต่างจังหวัด

    พระอธิการจักรภพ ระบุว่า หลวงพ่อขวัญดีเป็นพระที่พูดน้อย ที่ผ่านมา ได้สร้างวัตถุมงคลหลายรุ่น โดยเฉพาะตะกรุดขุนพล ซึ่งเป็นตะกรุดที่โด่งดังในอดีต เซียนพระเครื่องต่างแสวงหามาสะสมกัน นอกจากนั้นมีการสร้างแหวนพระรอด ซึ่งถักด้วยผ้าสังฆาฏิเป็นแหวนที่หายาก และหลวงพ่อขวัญดียังได้สร้างพระรูปหล่อลอยองค์ รุ่น ฉลองกุฏิ ปี 50 ล่าสุดหลวงพ่อขวัญดียังร่วมปลุกเสก “นเรศวรอุ้มไก่” ซึ่งช่วงที่หลวงพ่อมรณภาพ ขณะทำสมาธิ พระเครื่องต่างๆและรูปหล่อนเรศวรอุ้มไก่ ยังคงวางอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อด้วย
    หลวงพ่อขวัญดี มีนามเดิมว่า ขวัญเมือง โพธิ์ทอง เกิดปีเถาะ พ.ศ.2482 ที่ ต.บ้านไร่ อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก ในวัยเด็กได้บวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัด ราชบูรณะ อ.เมืองพิษณุโลก ก่อนเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2519 ที่วัดนางพญา อ.เมือง จ.พิษณุโลก โดยมีพระครูศีลสัมปัน เจ้าอาวาสวัดสระแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์

    ภายหลังอุปสมบทได้ไปเรียนวิชากับหลวงพ่อม้วนและหลวงพ่อถนอม พร้อมกับออกธุดงค์ในป่าเรียนกัมมัฏฐาน ที่ยอดเขาสมอแคลง หลวงพ่อขวัญดีท่านได้สร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลจำนวนหลายรุ่น โดยเฉพาะ 'ตะกรุดขุนพล' ซึ่งเป็นตะกรุดที่โด่งดังในอดีต เซียนพระเครื่องทั้งหลายต่างให้ความนิยมเสาะแสวงหาสะสมกันเป็นอย่างมาก
    รูปหล่อรุ่นแรกหลวงพ่อขวัญดี ให้บูชา 1,500 บาทครับ
     
  5. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337
    พระสมเด็จ รุ่นบูรพาจารย์ หลังพญานาค ด้านหน้าโรยผงตะไบ ปี 48 สุดยอดพิธีเสก 74 รูป ลป.พิศดู, ลป.ท่อน,ลป.หงษ์ ร่วมเสก
    สุดยอดแห่งมหามงคลวัตถุมงคลังศักดิ์สิทธิ์แห่งยุค ตามรอยองค์ครูบูรพาจารย์ประมาณปี พุทธศักราช ๒๔๕๘ หลังจากที่ท่านพระอาจารย์เสาร์ และท่านพระอาจารย์มั่น ได้เดินธุดงค์กลับจากฝั่งลาว ท่านพระอาจารย์มั่น ตั้งใจจะกลับบ้านเกิดของท่าน เพื่อโปรดโยมมารดา ที่ บ้านคำบง ระหว่างที่พักอยู่ที่กุดเม็ก ท่านได้นำทองเก่าแก่หลายอย่างมาจากทางฝั่งลาว และฝั่งไทยมาหลอมรวมกันเพื่อเททองหล่อพระพุทธรูปขึ้น ๒ องค์ โดยท่านตั้งเตาหล่อพระ ด้วยตัวท่านเอง พระพุทธรูปสำริดองค์แรก ขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว เป็นฝีมือการหล่อของพระอาจารย์เสาร์ อีกองค์หนึ่งขนาดหน้าตัก ๗ นิ้ว เป็นฝีมือหล่อของท่านพระอาจารย์มั่น ได้นำมาประดิษฐานไว้ที่บ้านเกิดของ ท่านพระอาจารย์มั่น ณ บ้านตำบง ตราบจนถึงปัจจุบัน ยังมีพระพุทธรูปทองสำริดอีกจำนวนสามองค์ที่ท่านพระอาจารย์จันทร์ สิริจันโท ท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์มั่นได้ร่วมกันหล่อไว้เป็นอนุสรณ์ซึ่งพระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้มีพุทธศิลป์แบบพื้นบ้าน ประกอบด้วย พุทธลักษณะที่เรียบง่าย สมตามสมณะสารูปอันสมถะสัน โดษของพระป่าโดยแท้ หากแต่แฝงอนุภาพครบถ้วนบริบูรณ์ ด้วยเหตุแห่งเจตนาการสร้าง หล่อหลอมมาจากศรัทธาอันบริสุทธิ์ สำเร็จจากสายสัมพันธ์อันแนบแน่นทั้งในอาจารย์และศิษย์ และในฐานะสหธรรมมิก ผู้เป็นกัลยาณมิตร ชี้แนะซึ่งกันและกัน สามพระอริยะสงฆ์ผู้เป็นองค์บูรพาจารย์แห่งพระสุปฏิปันโนในสายพระธรรมยุต ทั้งหลายทั้งปวงผู้ละแล้วซึ่งวัตถุทั้งหลาย ร่วมกันสถาปนาองค์พระพุทธรูปขึ้นมานั้นนับว่าเป็นนิมิตหมายอันน่าอัศจรรย์อาจจะกล่าวได้ว่ายากที่จะหาพระพุทธรูปใดที่จะทรงไว้ซึ่งคุณค่า เสมอหนึ่งตัวแทนแห่งพระอริยะบูรพาจารย์ได้ครบถ้วน เสมอด้วยพระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้ที่มิมีอีกแล้วและด้วยวาระครบรอบ 201 ปีแห่งการสถาปนาคณะสงฆ์ ธรรมยุตนิกาย และครบรอบ๗๒ ปี ของวัดสำราญนิเวศพระอารามหลวง โดยพระเดชพระคุณท่านพระวิชัยมุนี ดำริเห็นควรเพื่อเจริญศรัทธา ตามรอยบูรพาจารย์ทั้งสามท่าน อันประกอบด้วย พระเถระผู้เป็นดั่งนายกองเสบียงผู้ส่งเสริมทุกวิถีทาง ทั้งทางพุทธจักรแบะอาณาจักร เพื่อยังความเจริญแก่คณะสงฆ์ทั้งมวลจนมั่นคงเป็นปึกแผ่นตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันนั้นนามว่า ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปการมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) อีกสองนามคือท่านพระอาจารย์เสาร์กันตสีโลและท่านพระอาจารย์มั่นภูริทัตโต สามพระอาจารย์ผู้เป็นดังแม่ทัพกองธรรม นำเหล่าศิษย์ยานุศิษย์ ย่างก้าวสู่ทุกแห่งบนแผ่นดินไทย ธุลีละอองจากการย้ำแสวงหาโมกข์ธรรม ตามรอยอริยะมรรคยังคงลอยละล่องตกต้องสู่เศียนเกล้าเหล่าศิษย์ให้ก้าวตามอยู่มิขาดสาย ด้วยเหตุที่ว่าพระพุทธรูปอันเนื่องในพระอาจารย์ใหญ่ทั้งสามท่านนี้ เป็นดั่งอนุสรณ์ เป็นประจักษ์พยานถึงความเป็นกัลยาณมิตรผู้ถึงพร้อมใจความเพียร เข้าถึงพระรัตนตรัยครบองค์ ๓ ด้วยเจตนาเพื่อเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าด้วยผู้สร้างเข้าถึงพระธรรม พบวิมมุติโดยแท้จริงด้วยผู้สร้างเป็นสงฆ์ผู้สะอาดบริสุทธิ์
    ด้วยเหตุสำคัญแห่งองค์พระอาจารย์ทั้งสามควรด้วยประการทั้งปวง ที่จะอัญเชิญสถิตในรูปองค์จำลองขนาดย่อส่วนเป็นพระพุทธชัยวัฒน์ สถาปนานามว่า พระพุทธชัยวัฒน์บูรพาจารย์ ซึ่งมีขนาดเล็กพอเหมาะที่ศิษยานุศิษย์ผู้ปรารถนาเจริญรอยตามได้พกพาไว้ติดกาย เพื่อการบูชาคุณองค์บูรพจารย์ทั้งสามจะถึงพร้อมด้วยอามิสบูชาและปฏิบัติบูชาโดยพร้อมมูลวัดสำราญนิเวศ ได้สถปานาพระพุทธบูรพาจารย์โดยประสานด้วยโลหะธาตุ อันเป็นสิริมงคล ส่วนใหญ่ได้มาจาก บรรดาผู้มีจิตศรัทธาถวายมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งใต้ฐานได้จารึก นาม ฉายาขององค์อาจารย์ใหญ่ทั้งสามคือสิริจันโท กันตสีโล ภูริทัตโต พร้อมบรรจุมวลสารอนเป็นมงคลมีความสื่อไปยังทิศทางธรรมปฏิบัติของพระอาจารย์อันมีดินจากภายในถ้ำภูหล่น สถานที่พระอาจารย์เสาร์และพระอาจารย์มั่นได้บำเพ็ญเพียรอยู่เป็นเวลานานถึง ๖ ปี เป็นมวลสารหลักสำคัญมวลสารมงคลอื่น ๆ ก็มีดินจากถ้ำ , พระโมคคัลลานะ สารีบุตร ประเทศอินเดีย ผงพุทธคุณ ๕ ประการ ผงพุทธคุณ ๔๐๐ อาจารย์ผงอังคารธาตุ ผงพระกัมมัฏฐาน และผงพระกรุเก่าที่หัดชำรุดเป็นจำนวนมากการปรากฏขึ้นอีกครั้งของพระยันต์โบราณ “อาสัพโตนาคพันธ์”
    พระนาคพันธ์ปริวัตร และพระนาคพันธ์พรหมวิหาร จากตำราขององค์บูรพาจารย์ใหญ่ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ จันทร์ สิริจันโท ผู้เป็นเจ้าของตำราโบราณอันศักดิ์สิทธิ์พิสดารนับแต่พระเศรษฐีนวโกฏิ พระปทุมเสมิง จนถึงสุดยอดมหาวัตถุมงคลอย่าง พระนาคพันธ์ปริวัตร และพระนาคพันธ์พรหมวิหารอันล้ำลึก พระนาคพันธ์ปริวัตร และพระนาคพันธ์พรหมวิหาร จากตำราท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ไม่เคยปรากฏรูปแบบพิมพ์ที่ชัดเจน พระนาคพันธ์ปริวัตร และพระนาคพันธ์พรหมวิหาร อันล้ำลึก ผู้ขนาบกายไปในสามโลกมีขนาดหางโอบเมืองนรก ลำตัวพาดผ่านเมืองมนุษย์ แผ่เศียรปกป้องสวรรค์ 16 ชั้นฟ้า พญานาคพันธ์ ของท่านเจ้าคุณุบาลีฯ เคยปรากฏมีแต่เฉพาะในรูปอักขระมหายันต์และผงวิเศษนาคพันธ์ แต่ยังมีแบบพิมพ์ที่เหมาะสมในการสถาปนาองค์พญานาสถาปนาองค์พญานาคพันธ์ขึ้นเป็นมหาวัตถุมงคล ประกอบกับรูปพระพุทธได้อย่างเหมาะควร โดยเหตุที่ว่าพญานาคพันธ์ผู้เป็นใหญ่แห่งลุ่มน้ำโขง อันมีตำนานเกี่ยวพันกับพระธาตุองค์สำคัญอย่างแนบแน่น เพราะมีเรื่องราวสอดคล้องจากคำบอกเล่าจากพระเถระฝ่ายวิปัสสนามาทุกทางสมัยต้นแบบพระพิมพ์นาคพันธ์ปริวัตร และนาคพันธ์ พรหมวิหาร มีมูลเหตุอันน่าอัศจรรย์ นับแต่ต้นแบบศิลปะพิมพ์พระที่พบโดยบังเอิญ บนซุ้มยอดพระธาตุอิงฮัง แขวงสวรรค์เขต ประเทศลาว ซึ่งมีพุทธลักษณะ อุดมคติสมตามอุปเท่ห์ตามพระตำราทุกประการแลที่สำคัญคือยากที่จะหาศิลปะใดในยุคปัจจุบันงดงามหมดจรดเสมอเหมือน

    - ยอดพระมหายันต์และมหาคาถาพญานำยูงทอง
    แต่เดิมครั้งสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ทรงปฏิเสธความศักดิ์สิทธ์ของ “คาถา” ทรงเคยตรัสกับพระสงฆ์ที่บวชใหม่เมื่อเวลาไปบำเพ็ญภาวนาในสถานที่อันสัปปายะและเก็บความหวาดกลัวต่อภูตผีต่างๆ ก็ให้ภาวนาคาถาบท “อิติปิโสภควา” และยังทรงกล่าวถึงพระคาถาอีกหลายๆ บทด้วยสำหรับพระคาถา”พญานกยูงทอง”ก็เป็นคาถาที่มาจากประวัติของพระโพธิสัตว์ที่ได้เสวยพระชาติเป็น “พญานกยูงทอง” ซึ่งได้มีการท่องคาถาพญานกยูงทองว่ามีความศักดิ์สิทธิ์สามารถดลบันดาลให้เกิดเมตตาโชคลาภ และความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้อีกโสตหนึ่งด้วย “นะโมวิมุต ตานัง นะโมวิมุตติยา”
    ความนอบน้อมของข้าฯ จงมีแต่ผู้วิมุตแล้วทั้งหลาย ความนอบน้อมของข้าฯ จงมีแต่ผู้วิมุตธรรม อนึ่งสำหรับคำว่า” วิมุต” ก็หมายถึง “ผู้หลุดพ้น” หรือ”พระอรหันต์” นั่นเองสำหรับพระวิปัสสนากรรมฐานในสายพระอาจารย์ใหญ่ เมื่อจัดสร้างวัตถุมงคลแล้วอัญเชิญพระคาถาพญานกยูงทองมาประทับไว้ก็มีพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงอยู่หลายท่านด้วยกัน อาทิ พระอาจารย์ฝั่น อาจาโร , หลวงปู่สาม วัดป่าไตรวิเวก, พระอาจารย์กว่า วัดบ้านกู่, พระอาจารย์กงมา วัดดอยธรรมเจดีย์,หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล,พระอาจารย์จวน วัดภูทอก,พระอาจารย์บัว วัดป่าหนองแซง,หลวงพ่อพุธ วัดป่าสามวัน, พระอาจารย์มหาโส วัดป่าคีรีวรรณอรัญเขต เป็นต้น จนอาจกล่าวได้ว่าวัตถุมงคลใดที่ประทับด้วยพระคาถา “พญานกยูงทอง” ล้วนแต่สร้างโดย พระกรรมฐานสายพระอาจารย์ใหญ่ทั้งนั้น และด้วยความศักดิ์สิทธิ์อันสำคัญยิ่งของพระคาถานี้ ทางคณะผู้จัดสร้างจึงได้อัญเชิญพระคาถา”พญานกยุงทอง” มาเป็นส่วนผสมและประทับลงบนองค์ วัตถุมงคล รุ่น “บูรพาจารย์”ทุกพิมพ์ทุกเนื้อ!! ตำนานแต่ครั้งอดีตกาลขององค์ครูบูรพาจารย์ กักับการสรรสร้างอันสุดล้ำลึก ประยุกต์ด้วยกรรมวิธีอันน่าอัศจรรย์ กับการอัญเชิญมวลสารศักดิ์สิทธิ์บูรพาจารย์ มาประดิษฐานไว้บนองค์พระในมหาวัตถุมงคล “บุรพาจารย์” ทุกเนื้อ!! ทุกพิมพ์!!

    - พระพุทธปทุมเสมิงบูรพาจารย์
    ตำราการสร้างอันเปี่ยมล้นด้วยศรัทธา วิริยะยอดยิ่ง อีกหนึ่งมรดกแห่ง องค์บูรพาจารย์ ท่านเจ้าคุณอุบาลี คุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) สูงส่งด้วยวัสดุมวลสาร ยากยิ่งด้วยกฎเกณฑ์ ฤกษ์ยามอันจำกัด ด้วยคาถาพรปทุมเสมิงนี้ โบราณจารย์ ตีค่าไว้ ๗๐๐๐ตำลึงทองตรึกตรองใคร่ครวญพึงทราบได้ว่า ตำราท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ แต่ละวิชา แต่ละประการล้วนแต่สูงส่งลึกซึ้งยากเกินพรรณนาตำราการสถาปนาพระปทุมเสมิงกกล่าวไว้ว่าเมื่อถึงวันขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๙ จงประชุมหมู่ปทุมชาติอันขาวสะอาดจากสระน้ำในพระอารามทั้งหลายไกลและใกล้มุ่งหมายให้ได้๙ พระอาราม ดอกบัวหลวงทั้ง ๙ สระ มากน้อยประการใดพึงเก็บมาเพียงสระละ ๙ ดอก คัดตั้งแต่เพียงละอองเกสรนั้น ประกอบเป็นมวงสารขึ้นเป็นองค์ พระพุทธพิมพ์ สำเร็จเป็นพระปทุมเสมิง แล้วบูชาไว้ในสถานที่อันควร อนึ่งบัวหลวงทั้ง ๙สระ จำนวน ๘๑ ดอกเก็บตามจำนวนพระชนม์มายุพระพุทธองค์ เพื่อเป็นพุทธบูชา ๘๐ ดอก เศษอีก ๑ ที่เกินเพิ่มไว้เป็นสิริมงคลแก่ผู้สักา๘๑ ดอก จากสระบัวหลวงต่างพระอารามที่ต้องทำให้ครบจำนวน เพื่อ สถาปนาเป็นรูปพระพุทธปทุมเสมิงให้เสร็จสิ้นภายในวันเดียว
    “โอมปะทุมะเสมิง นะสาระชะตะกะราเปิง พรหมะหิสสะ สัมพุทธะรูปะเปิง จตุเพิงสุมังคละ สะยาสะเนิง สัพพะเชิง ยังขะคะทาทีหิ ทุรักเขตตะ อะนาถบิณทิกะตุนนัง อานุภาเวนะพลวะ โลกัสสะมิง อะสีติ อะสีกะ คาถาระนะ พานิชชัง คุณะเสวิตัง ตันโปตี ฆาสะมัตตะ อะมะพะ อะกะกะ วิชัยยะ สัพพะ สิทธิ สวาหุมะ”
    พระมหาคาถาพระพุทธปทุมเสมิงนี้ โบราณจารย์ตีค่าไว้ ๗,๐๐๐ ตำลึงทอง ด้วยเหตุนี้การสร้างพระปทุมเสมิง อันเป็นสิ่งที่ยากยิ่งแล้ว การบูชาครอบครอง พระปทุมเสมิงจึงถือเป็นสิริมงคลอย่างที่ยากจะพานพบ นอกเหนือจากการบูชาพระรัตนกตรัยแล้ว การบูชามหาวัตถุมงคลรุ่นบูรพาจารย์ทั้งหลายนี้ ยังเท่ากับเป็นการสร้างศาสนาสถาน ๕ ประการ ดังแจ้งไว้ในหมายเหตุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น



    ให้บูชา 500 บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย

     
  6. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337

    รูปหล่อรุ่นแช่น้ำมนต์ หลวงปู่บุญศรี อินทวณฺโณ รุ่นนี้คณะศิษย์องค์การเภสัช สร้างถวาย โดยได้ขออนุญาติหลวงปู่ และได้นำต้นแบบรูปหล่อให้หลวงปู่ดู พอท่านเห็นท่านชอบเป็นอย่างมาก และก็ตกลงอนุญาติให้สร้าง โดยจ้างช่างแถวพยุหะหล่อและก็ได้จัดทำแบบเป็นช่อๆอีกด้วย... พอหล่อเสร็จก็ได้นำมาถวายหลวงปู่จำนวนไม่มาก ประมาณ ๓,๐๐๐ องค์ ขึ้นชื่อว่ารุ่นแช่น้ำมนต์ ก็ต้องนำมาแช่น้ำมนต์ให้สมชื่อ พอนำมาถวายหลวงปู่แล้ว หลวงปู่ท่านก็ให้เอาไปใส่โอ่ง เป็นโอ่งน้ำมนต์ที่หลวงปู่ได้เตรียมไว้ รูปหล่อรุ่นนี้แช่ในโอ่งน้ำมนต์นานถึง ๓ เดือน อธิษฐานจิตปลุกเสกทุกวันและเรื่อยมา จนครบ ๓ เดือน และที่สำคัญในวันสุดท้ายและในคืนสุดท้ายหลวงปู่ท่านได้อธิษฐานจิตปลุกเสกให้เต็มที่แบบว่ามีอะไรใส่ไปให้หมด (จากคำบอกเล่าจากศิษย์) ว่าหลวงปู่เสกรูปหล่อรุ่นนี้จนโอ่งน้ำมนต์ลอยท่วมหัวเลยทีเดียว ถือได้ว่ารูปหล่อรุ่นนี้มีเจตตนาการสร้างบริสุทธิ์ และหลวงปู่ท่านก็เมตตาเสกให้ยาวนาน “ศิษย์คณะนี้จัดสร้างไม่ต้องกลัวพุทธพาณิชย์” เขาจัดสร้างเพื่อบูชาพระคุณครูบาอาจารย์ จัดสร้างเพื่อถวายให้หลวงปู่แจกกับคนที่มาทำบุญ ถือได้ว่าดีทั้งนอกและทั้งใน ท่านใดเจอหรือพบเห็นรูปหล่อรุ่นนี้อย่าปล่อยให้หลุดมือน่ะครับ.... (ศิษย์สายนี้จัดสร้างเก็บได้ไม่ต้องคิดมาก) เป็นศิษย์ยุคแรก ตัวจริงเสียงจริง ผมนับถือมากๆ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงจากในเว็บพลังจิตนี้ครับ
    https://palungjit.org/threads/วัตถุ...ต์-พร้อมประวัติและหลักธรรมคำสอน.359228/page-7

    รูปหล่อแช่น้ำมนต์หลวงปู่บุญศรี ให้บูชา 1,500 บาทครับ






     
  7. shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,920
    ค่าพลัง:
    +6,837
    ขอจองครับ
     
  8. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337


    พระผงกลีบบัววัดถ้ำสระพงษ์ พิธีใหญ่ ลป.สรวง ลป.หมุน ลพ อุตตมะ ลป ชอบ ลป เจียม ลป หงษ์ ลป คำพันธ์ และเกจิอาจารย์ 108 องค์ สภาพสวยเดิมพร้อมกล่อง
    ให้บูชา 800 บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย
     
  9. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337
    รับทราบครับ ขอบคุณครับ
     
  10. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337
    เหรียญกรมหลวงชุมพรหลังหลวงปู่ศุข รุ่น "วิญญาณรักดอกประดู่" เนื้อทองแดง
    ข้อมูลของวัตถุมงคลนี้ เป็นที่ทราบในหมู่ศิษย์มานานแล้ว เดิมทีเหรียญรุ่นนี้ จัดสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. ๒๕๐๔ เพื่อแจกเป็นที่ระลึก แก่ผู้ร่วมบริจาคช่วยครอบครัวทหารเรือที่ขาดแคลน เหรียญส่วนหนึ่งแจกแก่ทหารเรือ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ปลุกเสกอธิษฐานโดยพระคณาจารย์ในสมัยนั้น เช่น หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง, หลวงพ่อสุด วัดกาหลง ฯลฯ เหรียญรุ่นนี้สร้างจำนวนมาก เมื่อทำการแจกจนเสร็จสิ้นแล้ว ยังคงมีเหรียญที่ตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก
    ต่อมา เมื่อมีการสร้างภาพยนต์เรื่อง #วิญญาณรักดอกประดู่ ผู้สร้างจึงมีความคิดเห็นว่า ควรนำเหรียญดังกล่าว มาแจกสมนาคุณแก่ผู้เข้าชมภาพยนต์ โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายตั๋ว มอบให้กองทัพเรือ สมัยนั้นศิษย์ของหลวงปู่เดินหน เป็นผู้อยู่ในแวดวงภาพยนตร์มีอยู่หลายท่าน เช่น คุณดอกดิน กัญญามาลย์, คุณมิตร ชัยบัญชา, คุณ ภาวนา ชนะจิต, คุณประเทือง ตรีเมฆ ฯลฯ
    ซึ่งคณะผู้สร้างภาพยนต์เรื่อง "วิญญาณรักดอกประดู่" ได้นำเหรียญที่ตกค้างทั้งหมด นำมาขอให้ "หลวงปู่เดินหน อิเกสาโร" ปลุกเสกอธิษฐานจิต ก่อนนำไปแจกแก่ผู้เข้าชมภาพยนตร์ เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งมอบแก่ทหารเรือ
    ภาพยนตร์เรื่อง "วิญญาณรักดอกประดู่" เข้าฉายที่โรงภาพยนตร์เฉลิมเขตร์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ โดยตั๋วชมภาพยนตร์หนึ่งใบ ขอรับเหรียญได้หนึ่งเหรียญ ผู้ฅนให้ความสนใจเข้าชมเป็นจำนวนมาก เหรียญส่วนหนึ่งทางคณะผู้สร้างได้ถวายหลวงปู่เดินหนไว้
    Cr : เพจคนขลัง คลังวิชา ขอบคุณครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย

     
  11. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337

    ประวัติของหลวงพ่อสำเนียงอยู่สถาพร
    พระครูสถาพรพุทธมนต์" หรือ หลวงพ่อสำเนียง อยู่สถาพร วัดเวฬุวนาราม อ.บางเลน จ.นครปฐม พระเกจิดังแห่งเมืองนครปฐม ท่านศึกษาวิชาสายหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อสำเนียง ประสูติเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2460 ตรงกับวันศุกร์ ปีมะเส็ง แรม 4 ค่ำ เป็นพระโอรสในพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ และหม่อมทองนุ่น
    เมื่อตั้งครรภ์ได้ 2 เดือน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ได้รับพระบรมราชโองการจากรัชกาลที่ 6 ให้ไปซื้อเรือพระร่วงที่ประเทศอังกฤษ จึงนำหม่อมทองนุ่น ไปฝากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
    ครั้นท่านประสูติ หลวงปู่ศุข จึงตั้งนามว่า "สำเนียง" แปลว่า "เสียง" เมื่อเสด็จพ่อทรงทราบจึงพระราชทานนามว่า "หม่อมเจ้าสถาพร อาภากร"
    ประสูติได้ 7 วัน หม่อมทองนุ่นเสียชีวิต จนมีพระชันษาได้ 6 ปี เสด็จพ่อก็สิ้น พระชนม์ ในวังเริ่มระส่ำระสาย นายเอมพระสหายของเสด็จพ่อนำไปฝากไว้กับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรองค์อรรคยุพา พระขนิษฐาของเสด็จพ่อ ส่งให้ไปศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก จบมัธยมปีที่ 8 ต่อมาศึกษาโรงเรียนนายร้อย จปร. เข้ารับราชการทหารที่กรมสื่อสารทหารบก ยศร้อยเอกดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองต่างประเทศในหน้าที่แปลข่าวสารต่างประเทศ และได้ร่วมรบในสงครามอินโดจีน สงครามมหาเอเชียบูรพา
    พอกลับจากศึกสงคราม ก็ถูกมรสุมร้ายทางการเมืองกระทำ ต้องถูกจองจำพร้อมกับจอมพลป.พิบูลสงคราม-หลวงเสรี-หลวงวิจิตรวาทการ และคนอื่นๆ ในข้อหาอาชญากรสงคราม เมื่อได้รับการปลดปล่อยหลวงเสรีได้ไปบวชที่วัดเบญจมบพิตร ส่วนหลวงพ่อสำเนียงท่านไปบวชอยู่ที่วัดกัลยาณมิตร ฝั่งธนบุรี
    ท่านตั้งใจบวชเพียง 15 วัน แต่พอบวชได้ 3 วัน มีเหตุการณ์การเมืองขึ้นมาอีก จึงทำให้ท่านเปลี่ยนความตั้งใจ เหตุการณ์บ้านเมืองกำลังยุ่งเหยิง จอมพลป.พิบูลสงคราม ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกวาระหนึ่ง แต่ต้องการให้หลวงพ่อสำเนียงกลับไปรับราชการอีก ทว่าท่านไม่ยอมสึก ทั้งได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่าจะขอยึดเอาผ้ากาสาวพัสตร์หุ้มห่อร่างกายจนกระทั่งตาย
    ดังนั้น จึงมุ่งสู่ชนบท ได้เห็นวัดแหลมชะอุย คือ "วัดเวฬุวนาราม" ในปัจจุบัน
    ชื่อเสียงของหลวงพ่อสำเนียงอีกด้าน คือ การรักษาโรคและยังเป็นพระนักพัฒนา ได้พัฒนาวัดเวฬุวนาราม และสร้างโรงเรียนสถาพรวิทยา ให้เด็กในชุมชนได้มีโรงเรียนศึกษา ตั้งมูลนิธิช่วยเหลือเด็กกำพร้า
    พ.ศ.2523 รับโล่ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติดีเด่นเป็นพิเศษ ของมูลนิธิสรรพวรรณิต จากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ปี 2527 รับโล่สดุดี "นักสังคมสงเคราะห์ดีเด่นประจำปี" จากมูลนิธิศาสตราจารย์ ปกรณ์ อังศุสิงห์
    พ.ศ.2528 สำนักนายกรัฐมนตรีประกาศสดุดีให้พระครูสถาพรพุทธมนต์ เป็นพระดีเด่นประจำชาติ และปูชนียบุคคลที่นั่งอยู่ในหัวใจคนทั้งชาติ
    วัตถุมงคลยอดนิยมของหลวงพ่อสำเนียง ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเหรียญ ซึ่งมีอยู่หลายรุ่น ส่วนประเภทเนื้อผง คือ "พระสมเด็จนะฤๅชา" ที่อัดแน่นด้วยมวล สารศักดิ์สิทธิ์ และผ่านการปลุกเสกถึง 2 ครั้ง โดยร่วมในพิธีพระเครื่อง 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ.2500 ที่มีสุดยอดคณาจารย์ 108 รูปอธิษฐานจิต
    ครั้งแรกได้ผ่านการอธิษฐานจิตปลุกเสกเมื่อตอนจัดสร้างเสร็จ โดยหลวงพ่อสำเนียง เป็นประธานในพิธี ครั้งที่ 2 หลวงพ่อสำเนียง นำไปร่วมปลุกเสกในพิธีพระเครื่อง 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ.2500 โดยมียอดพระเกจิอาจารย์แห่งยุคร่วมปลุกเสก อาทิ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ, หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม เป็นต้น รวมทั้งตัวหลวงพ่อสำเนียง
    พระพุทธฤาชา หลวงพ่อสำเนียงอยู่สถาพรวัดเวฬุวนารามนครปฐม
    • มหาพุทธาภิเษกพิธี 25 พุทธศตวรรษ ตอนกึ่งพุทธกาล ได้ชื่อว่าเป็นพิธีของพระเครื่องไทยที่ยิ่งใหญ่สุดขีด
    • หลวงพ่อหลวงปู่รูปใดมีชื่อว่าเฮี้ยนว่าขลังแม้อยู่ในป่าเขาก็ไปรับเอาตัวออกร่วมพิธีจนได้ทั้งหมด
    • ได้ยินว่าจะต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ก็ใช้ทันที
    • เพราะว่ารัฐบาลเป็นคนจัดแจงทุกอย่าง
    • พิธี 25 พุทธศตวรรษทำขึ้น 2 ครั้ง คือที่วัดสุทัศน์ฯ ครั้งหนึ่ง วัดพระแก้วอีกครั้งหนึ่ง มีคณาจารย์นับร้อยกว่ารูปเข้าร่วมสมโภช
    • สมัยโน้นอยู่กันครบถ้วน
    • หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ,หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี,หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก,หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา,หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม, หลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ,หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ,หลวงพ่อลี วัดอโศการาม,หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง,หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง,หลวงพ่อช่วง วัดบางแพรกใต้,หลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย,หลวงพ่อถิร วัดป่าเลย์ไลยก์,หลวงพ่อเงิน วัดดอ
    พระพุทธฤาชา ก็เป็นหนึ่งในบรรดาพระร่วมพิธี หรือจะเรียกว่าพระฝากพิธีก็ได้
    หลวงพ่อสำเนียง อยู่สถาพร วัดเวฬุวนาราม อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เป็นผู้สร้างพระพุทธฤาชา โดยสร้างขึ้น 2 พิมพ์ คือ พิมพ์สี่เหลี่ยม กับพิมพ์สามเหลี่ยมยอดมน ด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธเจ้าที่เป็นพุทธศิลป์อย่างเดียวกัน ด้านหลังประทับยันต์จมลึก ตัว ?นะฤาชา? เหมือนกันทุกองค์ ส่วนเนื้อมีลักษณะเป็นดินเผา มีทั้งสีดำ และแดง ถ้าจับแว่นขยายดูจะไม่เห็นว่ามีมวลสารอะไรน่าสนใจ แต่แท้จริงแล้วมวลสารในองค์พระทั้งหมดเป็นเลิศ พอเอามาเผาแล้วก็กลืนเป็นเนื้อเดียวกันหมด ลักษณะอันนี้ปรากฏในพระเครื่อง 25 พุทธศตวรรษ เนื้อดินเผาทุกองค์
    ศิษย์ของหลวงพ่อสำเนียงได้บันทึกรายละเอียดของมวลสารเอาไว้ตั้งแต่ ปี 2500 ว่ามีทั้งหมด 82 รายการ
    ลองไล่ ๆ ดู
    ผงใบลานจารึกอักษรสันสกฤต,ผงใบลานพระศรีมหาโพธิ,ผงอิทธิเจ, ผงปัทมัง,ผงพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ,ผงอิติปิโสตรึงไตรภพ,ผงรัตนมาลา,ผงมงกุฏพระพุทธเจ้า,ผงเกราะเพชร,ผงมหานิยมใหญ่,ผงพระฉิมพลี,ผงอิติปิโสแปดทิศ,ผงพระเจ้าเปิดโลก,ผงพระยาม้า, ผงเกสรดอกบัวหลวง,ผงเกสรดอกไม้ร้อยแปดชนิด,ผงยาอายุวัฒนะ,ผงผลไม้นานาชนิด,ผงผ้ากาสาวพัสตร์เนื้อบริสุทธิ์,ผงนิล,ผงพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต),ผงทำพระรอดเชียงใหม่,ผงพระเครื่องกรุพระแท่นดงรัง,ผงธูปในอุโบสถ วัดบ้านแหลม,ผงธูปพระร่วง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ(ปิดรายการ) 50บาทemsไปรษณีย์ไทย
     
  12. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337



    ลป.ทอง วัดสามปลื้ม
    พระมหาทองนั่นน่ะเก่ง
    เรื่องนี้ มีผู้บันทึกลงเผยแผ่ไว้ในนิตยาสารนะโมนานมาแล้ว ผู้โพส ได้สืบถึงเรื่องราวนี้ ตามเนื้อเรื่องที่จะเล่านี้ จากหลายๆท่าน ที่อยู่ในพิธี ไหว้ครูวัดสุทัศน์ คณะ๗ เมื่อปี๒๕๔๔ ซึ่งเป็นงานไหว้ครูของหลวงปู่หมุน สืบจนแน่ชัด ก่อนจะเผยเเผ่ ให้ได้ซึ่งข้อมูลแท้จริง มิใช่การเเต่งเติม โยงใย หรือ เอาชื่อเสียงครูบาอาจารย์ มาส่งเสริมกัน เพื่อเรียกศรัทธาแต่อย่างใด หลวงปู่ทองท่านเองเป็นดั่งทองแท้ที่งดงามอยู่แล้ว ผู้โพสเห็นว่าเป็นเรื่องราวดีๆที่สมควรแก่การบันทึกไว้ เพื่อการเผยแผ่กิตติคุณครูบาอาจารย์ ความสัมพันธ์ของท่านทั้งสอง ที่เป็นสหธรรมมิกกันทางธรรมในอดีต จะต่างกันก็เพียงอายุและพรรษา
    หลวงปู่มหาทอง วัดสามปลื้ม เดิมทีนั้น ท่านมีชื่อเสียงอยู่ในแวดวงพระคณาจารย์มาช้านาน นับแต่ปีพ.ศ. ๒๕๓๐เป็นต้นมา นามหลวงปู่ทอง วัดสามปลื้ม มีปรากฏอยู่ในงานพิธีสำคัญต่างๆ มานานแล้ว เป็นที่รู้จักในแวดวงพระคณาจารย์ ยุคสมัยนั้น ก่อนที่หลวงปู่หมุนจะมีชื่อเสียง จะเป็นที่รู้จักโดยกว้างขวางในภายหลัง
    ในพิธีไหว้ครูวัดสุทัศน์ หลวงปู่มหาทองท่านได้รับการอราธนา ให้เป็นหนึ่งในครูบาอาจารย์แผ่เมตตาบารมีสู่มณฑณพิธี งานไหว้ครู และพุทธาภิเษก วัตถุมงคล ในครั้งนี้อีกท่านหนึ่ง เมื่อพิธีดำเนินการเสร็จสิ้น หลวงปู่หมุนได้เอ่ยชมพระเก่งรูปหนึ่ง ที่นิมนต์ท่านมาร่วมงาน ให้ศิษย์ฟัง ผู้รับฟังมา จึงนำเรื่องราวนั้นเรียบเรียงลงนิตยาสารนะโม
    พระที่หลวงปู่หมุนชมว่าเก่งนั้น คือหลวงปู่ทอง เเนะนำให้ศิษย์เข้ามากราบหลวงปู่ทอง ทั้งกล่าวชมว่า พระมหาทองนั่นน่ะเก่ง หลวงปู่หมุนได้เล่าถึงหลวงปู่ทองให้ศิษย์ฟังว่า
    หลวงปู่หมุนได้เดินทางมาศึกษาพระปริยัติธรรมบาลี ก็ได้พบกับพระมหาทอง มีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี พระมหาทองมีบารมีสัมพันธ์กับพระฤาษีมาก หลวงปู่หมุนร่ำเรียนพระปริยัติธรรมบาลีกับสมเด็จพระสังฆราชแพ อยู่ในพระนครจนมีอายุได้๓๕ปี หลวงปู่จึงจาริกลาพระนครไปสู่วิถีทางอันสงบของท่านต่อไป หลังจากนั้นก็มิได้พบกับพระมหาทองอีกเลย จวบจนกระทั่งงานไหว้ครูนี้ คณะ๗ วัดสุทัศน์ครั้งนี้ จึงได้พบกันอีก
    (ปี๒๕๔๔ขณะนั้นหลวงปู่ทองอายุ๙๖ปี )
    ทั้งหลวงปู่มหาทอง และ หลวงปู่หมุน เป็นศิษย์สมเด็จพระสังฆราชแพ
    ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย(ปิดรายการ)

     
  13. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337
    เหรียญเมตตา หลวงปู่ม่น
    พระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่สุด เป็นอันดับหนึ่ง ของภาคตะวันออก วัตถุมงคลของ หลวงพ่อม่น วัดเนินตามากนี้ ชาวเมืองชล โดยเฉพาะ ชาวตังเก ต่างประจักษ์ชัดในอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งท่านได้ประสิทธิประสาทวิชาอาคมไว้ เป็นอย่างดี
    ด้วยเหตุนี้เอง วัตถุมงคลของท่าน จึงเป็นที่นิยมและต้องการ ของบรรดาลูกศิษย์ลูกหา ที่มีความเคารพศรัทธาเลื่อมใสใน หลวงพ่อม่น ถึงแม้ว่าทาง วัดเนินตามาก จะจัดสร้างวัตถุมงคลในวาระต่างๆเสมอมา ก็ไม่เคยพอเพียงแก่ความต้องการ ยิ่ง รุ่นเก่าๆด้วยแล้วล่ะก็ ชาวเมืองชนหวงแหนกันมาก และเล่นหากันอย่างกว้างขวางทีเดียว โดยเฉพาะ เหรียญหลวงพ่อม่น รุ่นแรก ของแท้ที่วัดสร้างอย่างเป็นทางการที่สร้างเมื่อปี 2529 เนื่องในวาระโอกาสฉลองสมณศักดิ์เป็น พระครูสุจิณธรรมวิมล เป็นเหรียญที่มีศิลปะรูปแบบสวยงามยิ่งนัก รายละเอียด คมลึกชัดเจน และที่สำคัญ หลวงพ่อม่น ปลุกเสกเดี่ยวอย่างเข้มขลังนานถึง ๓ เดือน
    เหรียญหลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก จ.ชลบุรี รุ่นเมตตา จัดสร้างในปี พ.ศ.2537 ทางวัดเนินตามากได้จัดสร้าง รุ่น ''เมตตา'' เพื่อหารายได้สร้างตึกโรงพยาบาลพนัสนิคม และได้มีการจัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้นที่วัดเนินตามาก โดยนิมนต์เกจิที่มีชื่อเสียงมาร่วมปลุกเสกอีก 9 รูป คือ
    1. หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จ.นครปฐม
    2. หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ จ.สมุทรสงคราม
    3. หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า จ.ระยอง
    4. หลวงพ่อสวัสดิ์ วัดซากนิมิตร จ.ชลบุรี
    5. หลวงปู่เริ่ม วัดจุกกะเฌอ จ.ชลบุรี
    6. หลวงปู่แร่ วัดเชิดสำราญ จ.ชลบุรี
    7. หลวงปู่เหล็ง วัดโคกเพลาะ จ.ชลบุรี
    8. หลวงพ่อมหานิล วัดหนองไทร จ.ชลบุรี
    9. หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ จ.ระยอง
    มีการจัดสร้าง ๔ เนื้อ คือ ทองคำ,เงิน,นวโลหะและทองแดง
    เหรียญเมตตาหลวงปู่ม่นวัดเนินตามากชลบุรี
    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337

    พระปิดตาหลวงพ่อแย้มวัดตะเคียนไตรมาสปี 38
    หลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ (พระครูปิยนนทคุณ) เจ้าอาวาสวัดตะเคียน ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย วัดตะเคียน จ.นนทบุรี ปัจจุบัน อายุ ๙๑ ปี เจ้าของตำนาน ตะกรุดคอหมา อันโด่งดัง ได้สร้างชื่อประดับวงการพระเกจิเมืองไทย
    ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทั่วแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะเป็นคนยากจน หรือมหาเศรษฐี ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักการเมือง ผู้ที่ทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ต่างก็เดินทางมาหาท่าน เพื่อขอพรขอบารมีจากท่านกันมิได้ขาดสายทุกวัน วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ที่ท่านได้จัดสร้างขึ้นมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่างถูกสั่งจองและเช่าซื้อหากัน จนทำให้ราคาพุ่งขึ้นๆ ทุกวัน
    ส่วนที่มาของตำนาน ตะกรุดคอหมา นั้น มาจากครั้งเมื่อท่านได้ทำตะกรุดคล้องคอให้หมาในวัดของท่านทุกตัว เพื่อป้องกันภัยให้หมาของท่าน แต่แล้วคนก็มาแย่งหมาไปบูชากันเองจนหมดสิ้น
    อันว่าตะกรุดที่ท่านได้ดำริริเริ่มสร้างผูกคอหมา ก็เนื่องมาจากว่า หลวงปู่แย้มท่านเป็นคนที่มีเมตตาต่อสรรพสัตว์สูง ท่านได้เลี้ยงหมาไว้หลายตัว บางครั้งหมาที่ท่านเลี้ยงไว้อาจไปทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านใกล้ๆ วัดบ้าง ทำให้หมาของท่านถูกทำร้ายด้วยการปาก้อนหิน หรือรุนแรงจนถึงขั้นใช้ปืน ใช้มีดดาบทำร้าย ทำให้หมาบางตัวได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก
    ครั้นหลวงปู่จะไปห้ามโยมไม่ให้ตีหมา ทำร้ายหมา ก็คงไม่เป็นผลอะไร คิดดังนั้นแล้ว จึงจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำตะกรุด ด้วยพิธีกรรมที่ไม่เหมือนใคร คือ ท่านจารตะกรุดในน้ำ ด้วยสมาธิจิตอันแน่วแน่ของท่าน เมื่อทำเสร็จแล้วจึงนำไปผูกคอหมาที่ท่านเลี้ยงไว้จนครบทุกตัว
    หลังจากนั้น หมาของท่านก็ไม่เคยได้รับความรุนแรงใดๆ อีกเลย ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นเกิดความสงสัย ก็สอบถามกันไปสอบถามกันมาได้ความว่า หลวงปู่แย้มได้ผูกตะกรุดวิเศษไว้ที่คอหมาทุกตัว ตะกรุดคอหมาก็เลยทำให้บรรดานักเลงแถวนั้นเกิดอยากลองของ ว่าจะแน่สักแค่ไหน ก็นำปืนมาลองยิงหมาดู
    ปรากฏว่าปืนแตก ! เป็นเหตุให้เกิดความฮือฮาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คนที่ต้องการตะกรุดแบบเร็วๆ ก็แย่งเอาที่คอหมา คนที่มีศีลธรรมดีหน่อยก็ไปบอกกล่าวขอจากหลวงปู่เอง กิตติศัพท์ของหลวงปู่ก็กระฉ่อนแต่นั้นมา จนชาวบ้านเรียกขานท่านว่า "ปู่แย้ม ตะกรุดคอหมา"
    https://palungjit.org/threads/หลวงพ่อแย้ม-วัดตะเคียน-นนทบุรี.268242/
    พระปิดตาไตรมาสหลวงพ่อแย้มปี 2538

    ให้บูชา 150 บาทปิดรายการระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย(ปิดรายการ)

     
  15. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337


    ขอขอบคุณ /เครดิตและที่มาจาก เพจ คุณ ศิษย์กวง
    เมื่อ ท่านหลวงพ่อตี๋ วัดบางคนทีใน พูดถึงหลวงพ่อ หลา อดีตเจ้าอาวาส ...
    จะเป็นเช่นไร ติดตามศึกษากันได้ครับ อีกรูปที่เป็นพระดี แต่ไม่จำเป็นต้องดัง


    เรื่องที่ หลวงพ่อตี๋พูดถึงหลวงพ่อหลา มีดังนี้ครับ (ขออนุญาตคัดลอก)
    หลวงปู่หลา สุขวโร หรือ พระครูพิศาลสมุทรคุณ เจ้าอาวาสองค์เก่าซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงอาของท่าน ก่อนที่เราจะออกไปต่อยอดความรู้และสัมผัสเรื่องราวของหลวงปู่หลาจากชาวบ้านในพื้นที่ด้วยตัวของพวกเราเอง

    หลวงพ่อค่อยๆ เล่าถึงเรื่องราวแต่หนหลังของหลวงปู่หลาทั้งในเรื่องปกติและเรื่องที่ถือว่ามหัศจรรย์ ซึ่งในประเด็นส่วนหลังท่านบอกว่าไม่ค่อยอยากเผยแพร่ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง เนื่องจากว่าไม่มีหลักฐานยืนยัน เช่นเรื่องที่หลวงปู่หลามรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานขนาดไหนก็ตามสังขารของท่านก็คงอยู่ในสภาพเดิม แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องทำพิธีพระราชทานเพลิงศพตามความประสงค์ของหลวงปู่ที่เคยบอกไว้ก่อนละสังขาร ดังนั้นเมื่อไม่มีสังขารให้เห็นเป็นหลักฐานแล้วจะเอาอะไรมายืนยันว่าเรื่องนี้เป็นความจริง

    จริงอยู่ครับถึงเรื่องแบบนี้หลวงพ่อจะไม่ต้องการความคิดเห็นตอบ แต่พวกเราก็ได้แสดงความคิดเห็นร่วมว่า ถึงแม้ไม่มีสังขารของหลวงปู่เป็นหลักฐาน แต่ความมหัศจรรย์ในเรื่องแบบนี้ย่อมต้องถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของคนที่นี่ เพราะคุณธรรมและความมีเมตตาของหลวงปู่หลา มันได้ฝังเป็นความงดงามเล็กๆ ลงในจิตใจของชาวบ้านแถบบางคนทีแห่งนี้แน่นอน

    อีกประการหนึ่งประวัติศาสตร์ของความจริงควรปรากฏและคนทั่วไปจะได้รับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์อันนี้ เรื่องดีๆ ก็บอกไปเถอะ โดยเฉพาะเรื่องพระที่หลวงปู่หลาท่านได้สร้างไว้ นั่นแหละท่านถึงยอมแบบประชาธิปไตยคือตามเสียงส่วนใหญ่

    หลวงพ่อเล่าว่า...
    “รอยยิ้ม” คือตัวแทนของหลวงปู่ และญาติโยมรอบๆ วัด หลวงปู่ท่านก็รักเหมือนลูกหลานทุกคน สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันมักจะมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านเสมอๆ บ้างก็มาขอพระ บ้างก็มาขอเงิน ซึ่งหลวงปู่ไม่เคยขัดหากสิ่งนั้นเป็นส่วนของท่านที่ไม่ใช่สมบัติของวัด

    หลวงปู่เคยให้เงินที่ได้รับจากการเทศน์แก่คนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างไปทั้งซอง(ประมาณ ๕๐๐ บาท) เพียงเพราะเขาขับรถมาส่งท่านที่วัด ถ้ามีใครถามท่านถึงเรื่องของการให้แบบนี้ ท่านก็จะตอบด้วยเหตุผลข้อเดียวคือ

    “เก็บไว้ก็เป็นทุกข์”

    หลวงปู่หลาท่านเป็นลูกศิษย์ที่ขึ้นกรรมฐานกับ”ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ แห่งวัดบัณฑูรสิงห์” ตำบลบางโทรัด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครครับ

    ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ถือว่าเป็นฆราวาสผู้ทรงธรรมและได้รับการยกย่องให้เป็น “ปราชญ์ชุมชนแห่งบางโทรัด” จะว่าไปแล้วชื่อเสียงของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ถึงจะไม่ค่อยแพร่หลายออกไปยังวงกว้าง แต่ถ้าใครเคยศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับกรรมฐานหรือเรื่องของวัตถุมงคลมาบ้าง ก็จะรู้ว่าท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ท่านศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน

    ซึ่งประวัติและเรื่องราวของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์เป็นเรื่องที่น่าศึกษาครับ เพราะไม่ง่ายนักที่ชีวิตของคนๆ หนึ่งจะได้รับการยกย่องให้อยู่ในหน้าของประวัติศาตร์แห่งความดีงามและจิตใจของผู้คนตั้งแต่อดีตมาจนถึงทุกวันนี้

    ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ เดิมชื่อ “พ่อเจิม คุณาบุตร” เกิดเมื่อ ๒๘ เมษายน ๒๔๓๔ ณ บางโทรัด สมุทรสาคร บิดามารดาของท่านชื่อ “ปู่แพ-ย่านุ่ม คุณาบุตร” มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๖ คน ท่านพ่อเป็นบุตรคนที่สองครับ

    สมัยเด็กๆ ท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสงบเสงี่ยมและสามารถอดกลั้นอารมณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ต่อมาท่านได้บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ ๑๕ ปี ณ วัดใหญ่บ้านบ่อ จังหวัดสมุทรสาคร และอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ณ วัดบางพลีใหญ่ ตำบลบางโทรัด จังหวัดสมุทรสาคร

    สมัยที่พ่อท่านบัณฑูรสิงห์ยังบวชอยู่ ท่านได้ไปขอเรียนกรรมฐานและร่วมเดินธุดงค์กับ”หลวงพ่อหรุ่น วัดช้างเผือก” อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม สำหรับชื่อเสียงและชื่อชั้นของหลวงพ่อหรุ่นองค์นี้ คงไม่ต้องพูดกันมากครับ เอาเป็นว่าท่านเป็นพระที่ทั้งดีและเก่งอันดับต้นๆ ของเมืองไทยละกัน ยุคสมัยนั้นหากพระองค์ไหนจะเดินธุดงค์จะต้องผ่านการเข้าปริวาสกรรมเสียก่อน

    เล่ากันว่าท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ได้บรรลุธรรมในขณะอยู่ปริวาสนั่นแหละครับ ซึ่งเรื่องนี้ได้มีผู้บันทึกจากคำบอกเล่าของท่านพ่อไว้ว่า

    “ได้เห็นร่างกายโปร่งชัดเจนเหมือนกระจกแก้วไปทั้งร่าง ครั้งแรกแปลกใจ แต่เก็บความรู้สึกไว้ สอบสวนอยู่ทุกคืน และโอกาสที่ได้นั่งกรรมฐาน จนแน่ชัดแล้วจึงคิดว่า

    เมื่อเราเห็นในตัวชัดแจ้งอย่างนี้แล้ว ในดินตรงหน้านี้มีอะไรบ้าง ก็เห็นในพื้นดินแจ้งไปทั้งหมด สงสัยตรงไหนตรงนั้นก็เห็น ไม่มีสิ่งใดบังกั้นเลยเป็นเวลานาน”

    ในประเด็นเรื่องของการที่ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ได้บรรลุธรรมครั้งนี้ หลวงพ่อหรุ่นผู้เป็นอาจารย์ท่านได้กล่าวคำรับรองการบรรลุธรรมนี้ต่อหมู่คณะสงฆ์ว่า

    “คุณเจิม รู้ธรรมแล้ว”

    นอกจากเรื่องของการบรรลุธรรมแล้ว ยังมี”ความเชื่อ”อีกมากมายครับที่เกี่ยวกับท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่านที่ได้วางรากฐานไว้ ซึ่งการปฏิบัติธรรมดังกล่าวได้ถูกกระทำสืบทอดมาจนเป็นวัฒนธรรมและประเพณีของท้องถิ่นเลยทีเดียวครับ

    นอกจากนี้ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีประชาชนมาทำบุญที่วัดกันมากเป็นพิเศษ เพราะท่าศาสนาจะอยู่ได้ก็ต้องอาศัยพระมหากษัตริย์ เป็นองค์อุปถัมภ์ ทั้งสามสถาบันจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้ คือชาติ ศาสนา และองค์พระมหากษัตริย์ เปรียบเสมือนกับไตรสิกขา ซึ่งได้แก่ ศีล สมาธิและปัญญา”

    ครับ เรื่องราวของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์สอดคล้องกับเรื่องเล่าของหลวงพ่อตี๋ ตรงที่ว่า ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์เป็นผู้ทรงคุณธรรมและชำนาญในเรื่องของพระกรรมฐาน โดยเฉพาะการนั่งทางในที่สามารถบอกกล่าวเรื่องราวต่างๆ ได้ชัดเจนและแม่นยำ พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในเขตจังหวัดสมุทรสาครและสมุทรสงครามจำนวนไม่น้อยที่ได้ขอเข้าศึกษากรรมฐานกับท่าน

    ซึ่งโดยส่วนตัวของหลวงปู่หลาแล้วท่านให้ความเคารพท่านพ่อบัณฑูรสิงห์มาก และในช่วงที่หลวงปู่หลาศึกษากรรมฐานอยู่กับท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ ท่านพ่อได้มอบภาพถ่ายของท่านไว้เป็นที่ระลึก(ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ภายในกุฏิของหลวงปู่) และมอบดินศักดิ์สิทธิ์ให้หลวงปู่หลาไว้ทำประโยชน์ในภายหน้า
    ดินศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้มีลักษณะเป็นดินละเอียดสีเหลืองคล้ายทอง ซึ่งท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ได้นั่งทางในและพบว่าใต้พื้นดินของวัดบัณฑูรสิงห์มีดินศักดิ์สิทธิ์ที่มีลักษณะดังว่า ท่านจึงสั่งให้คนช่วยกันขุดขึ้นมาตรงบริเวณที่ท่านนั่งทางในเห็น หลังจากที่ลูกศิษย์ได้ช่วยกันขุดลงไปลึกพอสมควรก็พบว่ามีดินลักษณะตรงตามที่ท่านพ่อบอกไว้จริงๆ

    ในประเด็นเรื่องดินศักดิ์สิทธิ์นี้ หลวงพ่อตี๋ท่านบอกว่า ใครจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ เพราะเรื่องของความเชื่อไม่มีใครบังคับกันได้ แต่ที่แน่ๆ หลวงปู่หลาท่านให้ความสำคัญกับดินศักดิ์สิทธิ์นี้มาก เพราะในการสร้างพระของหลวงปู่หลาทุกครั้งท่านจะต้องนำดินศักดิ์สิทธิ์นี้มาเป็นมวลสารหลักเสมอ

    หลวงพ่อตี๋เล่าว่า ในชีวิตของหลวงปู่หลา ท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้พอสมควร เช่นลูกอมเทียนกรรมฐาน พระสมเด็จเนื้อไม้แก่นมะขาม พระผงพิมพ์กลีบบัว พระผงพิมพ์หยดน้ำ พระขุนแผนเนื้อขนมเทียน ขนมเข่ง พระปิดตาเนื้อผงแบบหลังเรียบและหลังนูน พระรูปเหมือนหลวงปู่หลาเนื้อผง เบี้ยจั่น ฯลฯโดยรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างพระของหลวงปู่หลาในแต่ละแบบ เท่าที่ฟังจากหลวงพ่อตี๋ ต้องบอกว่าน่าสนใจครับ การใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านแบบง่ายๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะคิดได้ทุกคน ทำให้พระที่หลวงปู่หลาสร้างขึ้น มีความดิบๆ อันเป็นเสน่ห์และอัตลักษณ์เฉพาะตัวครับ
    ซึ่งประเด็นดิบๆ แบบนี้แหละที่พวกเราเห็นตรงกันว่า มีคุณค่าไม่ด้อยไปกว่าพระที่สร้างออกมาแบบสมัยใหม่ที่เน้นความสวยงามเลยเชียว ถ้าจะเทียบกันแบบหมัดต่อหมัด ผมว่าพระของหลวงปู่หลากินขาด โดยเฉพาะพระเนื้อผงพิมพ์รูปเหมือนหลวงปู่หลา ซึ่งหลวงพ่อตี๋บอกว่าหลวงปู่หลานำดินศักดิ์สิทธิ์มาผสมในอัตราหนึ่งถ้วยน้ำชาต่อหนึ่งครกตำเลยทีเดียว
    สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจจะทำบุญบูชาพระพิมพ์นี้ ต้องสังเกตุตรงที่ว่าถ้าเป็นเนื้อออกสีน้ำตาล ซึ่งมีแก่นไม้มะขามผสม จะเป็นการกดพิมพ์โดยหลวงปู่หลา แต่ถ้าเป็นแบบเนื้อสีขาวๆ นวลๆ ทั้งมีตะกรุดและไม่มีตะกรุด จะเป็นส่วนที่หลวงพ่อตี๋ได้ช่วยหลวงปู่หลากดพิมพ์ครับ พระทั้งสองเนื้อนี้ถูกจัดสร้างมาเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งหลวงปู่หลาได้นำพระทั้งสองแบบนี้เข้าไปปลุกเสกแบบบินเดี่ยวภายในกุฏิของท่านจนท่านมรณภาพลงเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗

    ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า เพราะอะไรพระที่หลวงปู่หลาสร้างขึ้นก็มีประสบการณ์มากมาย แต่ทำไมบางพิมพ์ถึงยังเหลือตกค้างอยู่ที่วัด

    แต่ ณ ปัจจุบันนี้ ปี 2557 ไม่มีวัตถุมงคลของท่านตกค้างอยู่แล้วนะครับ
    http://www.oknation.net/blog/sitthi/2010/05/05/entry-1
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่หลาฝังตะกรุด

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย(ปิดรายการ)
     
  16. shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,920
    ค่าพลัง:
    +6,837
    ขอจองรายการนี้ครับ
     
  17. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337

    ประวัติ โดยย่อ หลวงพ่อทองบุญ ธมฺมทินฺโน
    เจ้าอาวาสวัดทองธรรมิการาม ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร
    ท่านพระครูสาครธรรมทัต ฉายา ธมฺมทินฺโน เดิมชื่อ “ ทองบุญ คะมะ ” มีชาติภูมิ
    เป็นชาวรามัญ หรือ มอญ เกิดในวันเสาร์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ปี มะเส็ง ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๐
    เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ณ หมู่ ๔ ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร

    โยมบิดา ชื่อ คุณพ่อกรุ้ย คะมะ โยมมารดา ชื่อ คุณแม่ลี คะมะ โดยมีพี่น้องร่วมบิดา
    มารดาเดียวกัน ทั้งสิ้น ๔ คน คือ
    ๑ . นางหม่อง คะมะ
    ๒ . ท่านพระครูสาครธรรมทัต ธมฺมทินฺโน ( นามเดิม ทองบุญ คะมะ )
    ๓ . นางพันธ์ทอง คะมะ ( ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “ สุรินทร์ ” )
    ๔ . นางทองไปล่ คะมะ ( ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “ เกาะเต้น ” )

    เริ่มต้นเข้ารับการศึกษา ในระดับประถมวัย ที่โรงเรียนวัดบางปลา ตำบลบ้านเกาะ
    อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร จนสำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๔ เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี ก็ได้
    เข้าบรรพชา เป็นสามเณรที่วัดบางปลา โดยมี หลวงปู่แขก อุตฺตโม เป็นพระอุปัชฌาย์ และ ได้เข้ารับ
    การศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมชั้นตรี ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ และ สอบได้นักธรรมชั้นโท
    ในปีพ.ศ. ๒๔๙๐ หลังจากนั้นท่านได้เดินทางไป ศึกษาบาลี ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
    โดยมี พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำ) เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญในขณะนั้น
    ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งท่านมีอายุครบ ๒๐ ปี จึงได้เข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
    ที่วัดบางปลา โดยมี ท่านพระครูสมุทรวุฒาจารย์ (หลวงปู่แขก อุตฺตโม) เจ้าอาวาสวัดบางปลาในขณะนั้น
    เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยมี พระครูสาครกิจโกศล (พระอธิการจ้อน จารุวัณฺโณ) เจ้าอาวาสวัดเจ็ดริ้ว
    ในขณะนั้น เป็น พระกรรมวาจาจารย์ และมี พระรามัญมุนี (พระมหาสมัย กมโล) เจ้าอาวาสวัดป้อม
    วิเชียรโชติการามในขณะนั้น เป็น พระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า “ ธมฺมทินฺโน ”
    ด้วยรักและศรัทธา
    ลุงวิน จริงใจ
    ขอคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงครับ
    รูปเหมือนผงรุ่นแรก หลวงพ่อทองบุญ องค์นี้ เห็นเกษา ชัดเจน สภาพสวยเดิม
    ให้บูชา 300บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย
     
  18. shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,920
    ค่าพลัง:
    +6,837
    ขอจองรายการนี้ครับ
     
  19. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337
    รับทราบครับ ขอบคุณครับ
     
  20. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,715
    ค่าพลัง:
    +21,337

    หากเอ่ยถึง “วัดเก่าแก่” และ “อาคมขลัง” เข้าขั้นเอกอุอีกแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกก็ต้องนึกถึงวัดเนินสุทธาวาส ต.บางปลาสร้อย อ.เมือง จ.ชลบุรี

    วัดเนินสุทธาวาสแห่งนี้ นับได้ว่าเป็นศูนย์รวมใจพุทธศาสนิกชนมาช้านาน ด้วยความขลังแห่งสรรพวิชาอาคมแต่ครั้งอดีตกาล อันเป็นตำนานกล่าวขานถึงอดีตเกจิอาจารย์หลายรูป ตั้งแต่หลวงพ่อทอง และหลวงพ่อโต หรือพระอธิการโต ซึ่งวัตถุมงคลของท่านได้รับความนิยมจากแวดวงนักนิยมพระไม่เป็นรองสำนักไหนใน ชลบุรี

    รายนามอดีตพระเกจิแห่งเมืองชลบุรีที่โดดเด่นมีหลายรูป ได้แก่ หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ หลวงปู่ภู่ วัดนอก หลวงปู่เจียม วัดกำแพง หลวงพ่อครีพ วัดอุทยานนที (วัดสมถะ) หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกะเฌอ หลวงพ่อโต วัดเนินสุทธาวาส (วัดเนิน) หลวงปู่ศรี วัดอ่างศิลา เป็นต้น

    ตามประวัติวัดเนินสุทธาวาส (วัดเนิน) เป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองชลบุรีมาช้านานตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ตั้งอยู่บนเนินสูง จึงเป็นเหตุให้เดิมเรียกว่า “วัดเนิน” ตั้งแต่นั้นมา

    จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ระบุว่า คราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงรวบรวมไพร่พลฝ่าวงล้อมของข้าศึกไปตั้งฐานที่มั่นที่เมืองจันทบุรีนั้น ระหว่างทางทรงแวะประทับแรมที่วัดอินทาราม จ.ชลบุรี ซึ่งต่อมาเรียกว่า “วัดใหญ่อินทาราม” ทรงนิมนต์หลวงพ่อทองเจ้าอาวาสวัดเนิน (ชื่อวัดเดิมขณะนั้น) ร่วมไปในกองทัพด้วย โดยหลวงพ่อทองนั้นเลื่องลือเรื่องวิชาอาคมแก่กล้า เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในภาคตะวันออก

    เรื่องเล่าข้างต้นสอดคล้องกับหลักฐานทางโบราณคดี ที่ปรากฏเป็นหลักฐานภายในวัดคือ พระอุโบสถหลังเก่า ที่มีลักษณะแอ่นโค้ง แบบท้องสำเภา ซึ่งเป็นรูปแบบนิยมแพร่หลายในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย สันนิษฐานว่า “วัดเนิน” น่าจะสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมา ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ทางการเพิ่มคำว่า “สุทธาวาส” ต่อท้ายชื่อเดิม จนกลายเป็นชื่อ “วัดเนินสุทธาวาส” จนปัจจุบัน

    ใน พ.ศ. ๒๔๓๖ พระอธิการโต อดีตเจ้า อาวาส พระเกจิอาจารย์ชื่อดังได้ก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่และเปลี่ยนจากผนังไม้ เป็นก่ออิฐถือปูน ก่อนจะบูรณะอีกครั้งใน พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยท่านพระครู พิศิษฐชโลปการ (หลวงปู่เกลี้ยง) เจ้าอาวาสปัจจุบัน ผู้สืบสานวิชาจากหลวงพ่อโต อดีตเกจิชื่อดัง

    ในฐานะผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ จากพระอาจารย์ ทำให้ชื่อเสียงของ พระครูพิศิษฐชโลปการ (หลวงปู่เกลี้ยง) เป็นที่รู้จักคุ้นเคยของผู้ศรัทธาในภาคตะวันออกเช่นเดียวกัน

    หลวงปู่เกลี้ยง เดิมชื่อ เกลี้ยง นามสกุล สุทธิพงศ์ บิดาชื่อ นายเปล่ง มารดาชื่อ นาง เนียม เกิดเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๑ ที่บ้านหมู่ ๑๐ ต.หนองข้างคอก อ.เมือง จ.ชลบุรี มีพี่น้องร่วมอุทร ๓ คน ท่านเป็นคนที่ ๒ในวัยเยาว์ท่านไปอาศัยอยู่กับคุณตาคุณยายที่บ้านหนองข้างคอกจนอายุได้ ๘ ขวบ ก็ย้ายไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าที่บ้านหัวฝาด ต.บ้านสวน พ.ศ. ๒๔๗๐ ก็เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาลวัดเนิน เรียนอยู่ประมาณ ๒ ปี ก็ย้ายกลับไปอยู่กับคุณตาคุณยาย และเรียนหนังสือที่วัดผาสุการามขณะท่านอายุได้เพียง ๑๔ ปี มารดาก็เสียชีวิตลง จึงบรรพชาเป็นสามเณรหรือบวชหน้าศพอุทิศผลบุญให้บุพการีเป็นเวลา ๗ วัน เมื่อครบกำหนดก็ลาสิกขาไปช่วยบิดาทำนาและเรียนหนังสือต่อ จนอายุ ๑๕ ปี ขณะอยู่ชั้นประถมปีที่ ๓ อายุได้ ๑๗ ปี ก็ออกและย้ายไปอยู่ใน ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี

    ครั้นอายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ หลังไปเกณฑ์ทหารแล้วโยมบิดาก็ให้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดเนินสุทธาวาส (วัดเนิน) ต.บางปลาสร้อย อ.เมือง จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๔๘๒ โดยมีพระครูศรีสัตยาภิวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดต้นสน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการสัน ธัมฺมสโร เจ้าอาวาสวัดเนินสุทธาวาส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูสรวุฒิสมาจารย์ เป็นอนุสาวนาจารย์ แล้วจำพรรษาอยู่วัดแห่งนี้ ได้รับฉายาว่า “มนุญโญ”

    อุปสมบทได้ ๕ พรรษา พระอธิการสัน ลาสิกขา คณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้ พระเกลี้ยง (หลวงปู่เกลี้ยง) เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเนินสุทธาวาสนาน ๑ ปี จนกระทั่งวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเนินสุทธาวาสจนปัจจุบัน
    ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ขณะหลวงปู่ เกลี้ยงเดินธุดงค์เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานที่เขา พงพราน ต.หนองข้างคอก อ.เมือง จ.ชลบุรี นั่งสมาธิ นิมิตเห็น เทพยดามาบอกท่านว่า “สถานที่แห่งนี้ภายภาคหน้าจะเป็นที่สำคัญของประเทศชาติและพระพุทธศาสนา” โดยมอบหมายให้ท่านดำเนินการก่อสร้าง จึงสร้างสำนักปฏิบัติธรรมขึ้นมา ชื่อว่า “สวนป่านันทวันอาศรม” และสร้างมหาธาตุเจดีย์ขนาดใหญ่ดุจดั่งเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย ประดิษฐานไว้เป็นอนุสติ น้อมรำลึกถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย



    ตลอดชีวิตตั้งแต่วัยหนุ่มจนสิริอายุ ๙๓ ปี หลวงปู่เกลี้ยง ทุ่มเทและพัฒนาสร้างความเจริญ รุ่งเรืองให้วัดเนินสุทธาวาสและศาสนสถานอื่น ๆ อันเป็นที่สืบสานพระพุทธศาสนาเรื่อยมาโดยไม่เคยบ่นหรือแสดงความท้อถอย เป็นสาเหตุสำคัญให้ญาติโยมศรัทธาและเคารพนับถือท่านเป็นจำนวนมาก



    หลวงปู่เกลี้ยง เคยสร้างวัตถุมงคล รายได้ ทั้งหมดนำไปพัฒนาท้องถิ่น สร้างความเจริญให้แก่วัดเนินสุทธาวาส ได้รับความนิยมมาก ๆ คือหนุมาน พระปิดตา เหรียญ โดยท่านสร้างตามตำรับ หลวงพ่อโต อดีตเกจิดังและอดีตเจ้าอาวาส อีกทั้งท่านมีศักดิ์เป็นเหลน ของหลวงพ่อโตด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ความศรัทธาเพิ่มพูนทวีคูณ
    ขอขอบคุณขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    https://palungjit.org/threads/ประสบการณ์-หนุมาน-อาจารย์เกลี้ยง-วัดเนินสุทธาวาส-ชลบุรี.461559/
    เหรียญหลวงปู่เกลี้ยงวัดเนินสุทธาวาส ชลบุรีให้บูชา 120บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย
     

แชร์หน้านี้