วันนี้ในอดีต หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ทิ้งขันธ์ 5

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย montrik, 30 ตุลาคม 2019.

  1. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,121
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ★★ วันนี้ ในอดีต ★★
    ร่วมสร้างกรรมดี เพื่อเทอดทูนบูชาบารมีหลวงพ่อ
    49754b84-bbe5-4dfb-b991-7af8638346ff.jpg
    เหตุการณ์ในวันที่หลวงพ่อทิ้งขันธ์ ๕ โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
    (ผมเขียนจากประสบการณ์ ที่เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู และสัมผัสด้วยมือของตนเอง แล้วจึงนำมาเขียน มิได้เขียนจากคำบอกเล่าหรือเขาว่า ซึ่งขัดต่อหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า)

    ผมขอเล่าแต่เฉพาะตอนสำคัญๆ หลวงพ่อทิ้งหรือละขันธ์ ๕ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น. ผมไปเยี่ยมท่านตามปกติ แต่มิได้เข้าไปในห้องซีซียู ทั้ง ๆ ที่ผมมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปได้ทุกเวลา เพราะอุปาทานในจิตผมมันบอกว่า ยังไม่ถึงวาระที่ท่านจะจากไป บวกกับผมพบเหตุการณ์หนัก ๆ ในขณะที่ท่านป่วยมาก ๆ มาหลายครั้ง ทั้งที่เมืองไทยและในต่างประเทศ หลวงพ่อท่านก็ไม่เป็นอะไรทุกครั้ง นี่คือความประมาท (ความเลว) ของผม

    พอเวลา ๑๕.๐๐ น.เศษ ผมจึงขับรถกลับบ้าน ถึงบ้านยังไม่ทันดับเครื่องยนต์รถ ก็มีโทรศัพท์สายด่วนให้ผมรีบกลับไปโรงพยาบาลศิริราช ผมรีบขับมาประมาณ ๒๐ นาที ก็ตรงไปห้องซีซียู พบ คุณสุมิตร มหันตคุณ รออยู่ พูดว่า ลุงหมอ รีบเข้าไปพบหมอวัฒนะด่วน หมอวัฒนะสั่งให้เจ้าหน้าที่แผนกนิติเวชของโรงพยาบาลศิริราช มาฉีดยากันเน่าให้หลวงพ่อ ผมก็รีบเข้าไปพบท่านและพูดว่า คุณหมอไม่จำเป็นต้องฉีดยาหรอก เพราะ หลวงพ่อท่านเคยพูดกับผมว่า "ร่างกายของท่านจะไม่เน่าเปื่อย เหมือนกับหลวงพ่อสด ซึ่งนั่งตายมากว่า ๑๐ ปีแล้ว ท่านนั่งตายเฝ้าวัดของท่าน และท่านก็สามารถเลี้ยงวัดของท่านได้มาจนทุกวันนี้ แต่อาตมาไม่เอาอย่างท่าน เพราะการนั่งมันเมื่อย ขอนอนตายดีกว่า" แล้วท่านก็หัวเราะชอบใจ

    ธรรมที่หลวงพ่อกล่าวนี้ หลวงพ่อมิได้พูดกับผมเท่านั้น ท่านพูดกับศิษย์คนอื่นอีกหลายคน ขอให้คุณหมอมั่นใจเถิด คุณหมอวัฒนะฟังผมพูดหนักแน่นเช่นนั้น ท่านก็เบาใจ พูดว่า ผมเชื่ออาจารย์ เหตุการณ์นี้ มีหมอเป็นพยานทั้งหมด ๕ คน คือ ผม หมอวัฒนะ หมอจรูญ หมอแสงโสม และหมอชนะ ว่าขันธ์ ๕ ที่หลวงพ่ออาศัยอยู่ มิได้ฉีดยากันเน่าแต่ประการใด จากนั้นหมอวัฒนะก็เปิดผ้าคลุมร่างกายบริเวณหน้าท้องของหลวงพ่อให้ผมดู พูดว่าอาจารย์ดูผิวหนังหน้าท้องหลวงพ่อสิ (ขณะนั้นผิวหนังหน้าท้องของท่านมีจุดแดงเป็นหย่อม ๆ หลายแห่ง) ผมเห็นแล้ววิตกว่าร่างกายท่านจะเน่าเปื่อย ผมฟังแล้วก็พูดยืนยันว่า ผมขอรับรองว่าร่างกายของท่านจะไม่เน่าเปื่อยอย่างแน่นอน คุณหมอวัฒนะจึงหยุดพูด จากนั้นผมให้คุณหมอวัฒนะโทรศัพท์ต่อหน้าผม สั่งแผนกนิติเวชว่าไม่ต้องมาแล้ว นี่คือความจริงเรื่องร่างกายหลวงพ่อมิได้ฉีดยากันเน่า

    ขอเล่าความสำคัญอีกจุดหนึ่ง คือ เวลาประมาณ ๑๖.๓๐ น. ผมมาอยู่ในห้องซีซียู เห็นร่างกายหลวงพ่อนอนหงาย มีผ้าคลุมจากคอลงมาถึงเท้า อยู่บนเตียงที่มีล้อเข็นไปมาได้ มีหมอ ๔ คนยืนอยู่ด้านหนึ่ง เมื่อผมเข้าไป สิ่งแรกที่ผมกระทำก็คือ คุกเข่าลงที่พื้นแล้วกราบที่เท้าของท่าน พร้อมขอขมาพระรัตนตรัย ขณะนั้นเองผมได้ยินเสียงของคุณหมอทั้ง ๔ คน พูดพร้อม ๆ กันด้วยเสียงดังฟังชัดว่า "หลวงพ่อยิ้มๆ ๆ" แต่ผมเองกลับได้ยินว่า "หลวงพ่อฟื้นๆ" จึงรีบลุกขึ้นมาพูดว่า หลวงพ่อฟื้นแล้วหรือ หมอทั้ง ๔ ท่าน ก็ชี้ให้ผมดูใบหน้าหลวงพ่อ ซึ่งท่านยิ้มอย่างมีความสุข จนมุมปากทั้งสองข้างยกสูงมาก แต่ไม่เห็นไรฟัน นี่คือการยิ้มครั้งแรกของท่านหลังจากละขันธ์ ๕

    อีกเรื่องหนึ่งที่ควรเล่า พยาบาลที่เป็นหัวหน้าห้องซีซียู มาขออนุญาตผมพูดว่า “อาจารย์ หนูขออนุญาตเอาแป้งไปผัดหน้าของหลวงพ่อได้ไหม หน้าท่านดำ” ผมก็อนุญาต เมื่อพยาบาลเอาแป้งเข้าไปจะผัดหน้าหลวงพ่อ (ขณะนั้นผมและคณะหมอคุยปรึกษากันอยู่นอกห้อง คือ อยู่ในห้องโถง ซึ่งมีผู้ป่วยอื่น ๆ อยู่หลายเตียง) สักครู่ผมได้ยินเสียงร้องวี๊ดของพยาบาล เธอออกมาแล้วพูดว่า “อาจารย์คะพอหนูจะเอาแป้งไปผัดหน้าท่าน หนูเห็นหน้าท่านขาว ขาวมาก เลยไม่ได้ผัดหน้าให้ท่าน” ผมและหมอทุกคนรีบเข้าไปดูหน้าท่าน ก็ขาวจริง ๆ ตามที่พยาบาลบอก ผมเปิดผ้าคลุมร่างกายของหลวงพ่อออก เพื่อดูผิวหนังบริเวณท้องซึ่งมีจุดแดง ๆ อยู่หลายจุด พบว่าจุดแดง ๆ เหล่านั้นได้หายไปหมดแล้วซ้ำผิวยังขาวเนียนเป็นปกติ จึงเรียกให้คุณหมอวัฒนะมาดูกับตา และผมให้หมอเอามือลูบคลำผิวหนังด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป แต่นี่เป็นของจริง คุณหมออุทานว่า “เอ๊ะมันเป็นไปได้อย่างไร ๆ” ผมถามว่า คุณหมอหายสงสัยแล้วหรือยังว่าร่างกายของท่านจะไม่เน่าเปื่อย หมอตอบว่า “ผมมั่นใจแล้วครับ”

    ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หลวงพ่อท่านแสดงฤทธิ์ให้ลูกศิษย์เห็นกับตาถึง ๓ อย่าง คือ
    ๑. ยิ้มให้เห็นอย่างชัดเจน
    ๒. ทำใบหน้าที่ดำให้ขาวได้ในพริบตา
    ๓. ทำผิวหนังซึ่งไม่น่าดู หมอเห็นแล้วมีความวิตกกังวล กลับมาเป็นปกติ

    ทั้งหมดนี้ คือ สังโฆอัปมาโณ ผมไม่ขออธิบาย เพราะพระธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นปัจจัตตัง หมายความว่า ผู้รู้ธรรมพึงรู้ได้ เห็นได้ เข้าใจได้ สัมผัสได้ด้วยจิตตนเอง เฉพาะตน จะพูด จะเขียน จะอธิบายอย่างไรก็ไม่หายสงสัย หากจิตของผู้นั้นยังปฏิบัติไม่ถึงธรรมข้อนั้นหรือจุดนั้น ถึงเมื่อไหร่ความสงสัยจึงจะหมดไปได้เอง ของใครก็ของมัน กรรมใครก็กรรมมัน ทำแทนกันก็ไม่ได้ เรื่องอิทธิฤทธิ์ของหลวงพ่อมีอยู่เป็นปกติใน ๑๐๐ วันที่ผมเฝ้าและติดตามท่านตลอดมา หากอยากจะทราบก็ขอให้ติดตามเรื่องนี้ต่อไป

    อีกจุดหนึ่งที่ควรเล่า มีคนสงสัยว่าขณะนั้นไม่มีพระวัดท่าซุงอยู่เลยหรือ คำตอบมีอยู่หนึ่งองค์ คือ ....... ผมขออนุญาตพูดตรง ๆ โดยมิได้มีเจตนาจะตำหนิท่าน (หากผมมาไม่ทันเวลา อะไรจะเกิดขึ้น ขอหยุดไว้เท่านี้) เพราะเรื่องนี้เป็นอดีต ๑๐ ปีผ่านมาแล้ว มันจึงไม่ใช่ของจริงในปัจจุบัน (ผมหมายถึงอารมณ์ของ.......) ผมเห็นท่านในตอนนั้นเหมือนคนใบ้ ไม่พูด ตลอดเวลา ท่านคงจะมีสภาพช็อคทางอารมณ์ จึงไม่สามารถจะรับสภาวธรรมที่หลวงพ่อท่านละขันธ์ ๕ ไปต่อหน้าต่อตา ผมเห็นใจท่านมาก ๆ เพราะหากเป็นองค์อื่นก็คงจะมีสภาวะคล้ายๆ กับท่าน

    อีกจุดหนึ่งที่ควรเล่า คุณสุมิตรให้ผมโทรศัพท์ (มือถือ) ถึงลูกศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่งซึ่งรักและเคารพหลวงพ่อมาก ใครจะมากระทบหลวงพ่อไม่ได้เลย ทั้งกาย วาจา ใจ ท่านจะต้องขวางทันที จึงขอปิดนามท่านไว้ด้วยความเคารพรัก และนับถือเป็นส่วนตัว ผมแจ้งให้ท่านทราบว่า ขณะนี้หลวงพ่อท่านจากเราไปแล้ว ผลก็คือ ท่านพูดด้วยเสียงดังมากๆ ว่า ผมไม่เชื่อ ๆ แล้วได้ยินเสียง....

    ที่ผมเขียนมานี้ล้วนเป็นสัทธรรมหรือสัจธรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านให้พวกเราพิจารณาเนืองๆ คือ ให้พวกเราเห็นทุกข์จากความปรารถนาอันไม่สมหวัง หลวงพ่อท่านได้แสดงธรรมครั้งสุดท้าย (สัทธรรม ๕ ซึ่งเป็นอริยสัจ เป็นธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้อย่างถาวร) ก่อนที่ท่านจากไป ท่านได้พูดสอนพวกเรานับเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เราจำได้ดี แต่ลืมนำเอาไปปฏิบัติให้เกิดผล ของจริงอยู่ที่ผล เมื่อได้เวลาอันควรตามกฎของกรรม ท่านก็ให้ข้อสอบกับศิษย์ของท่านทำ ผลที่ได้รับเป็นอย่างไร ผมขออนุญาตเขียนเองตอบเองว่า พวกเราต่างก็สอบตกกันเป็นธรรมดา (รวมทั้งตัวผมเองด้วย) หากบุคคลใด ไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป จิตย่อมหวั่นไหวไปกับแรงกระทบที่หลวงพ่อท่านแสดงธรรมครั้งสุดท้าย

    ที่ผมเขียนมานี้ล้วนเป็นสัทธรรมหรือสัจธรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านให้พวกเราพิจารณาเนืองๆ คือ ให้พวกเราเห็นทุกข์จากความปรารถนาอันไม่สมหวัง หลวงพ่อท่านได้แสดงธรรมครั้งสุดท้าย (สัทธรรม ๕ ซึ่งเป็นอริยสัจ เป็นธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้อย่างถาวร) ก่อนที่ท่านจากไป ท่านได้พูดสอนพวกเรานับเป็นร้อยเป็นพันครั้ง เราจำได้ดี แต่ลืมนำเอาไปปฏิบัติให้เกิดผล ของจริงอยู่ที่ผล เมื่อได้เวลาอันควรตามกฎของกรรม ท่านก็ให้ข้อสอบกับศิษย์ของท่านทำ ผลที่ได้รับเป็นอย่างไร ผมขออนุญาตเขียนเองตอบเองว่า พวกเราต่างก็สอบตกกันเป็นธรรมดา (รวมทั้งตัวผมเองด้วย) หากบุคคลใด ไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป จิตย่อมหวั่นไหวไปกับแรงกระทบที่หลวงพ่อท่านแสดงธรรมครั้งสุดท้าย

    การไหวของจิตเมื่อถูกกระทบแล้ว จึงเป็นของจริงที่ทุกคนจะต้องยอมรับ เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "ธรรมของตถาคตจะจริงหรือไม่จริง ต้องถูกกระทบก่อน" ทรงตรัสไว้อีกตอนหนึ่ง มีความว่า "จงอย่าสนใจเรื่องแผ่นดินไหว เพราะเป็นธรรมภายนอกป้องกันและแก้ไขอะไรไม่ได้ พวกเธอจงสนใจแต่เรื่องแผ่นดินไหวภายใน คือ อารมณ์จิตของเธอเอง เมื่อถูกกระทบด้วยอายตนะสัมผัสทั้งปวง...ธรรมของตถาคตจะจริงต่อเมื่อถูกกระทบก่อนเท่านั้น" ดังนั้นจงดูแต่จิตตน กายตนเอง เป็นหลักในการปฏิบัติ

    เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. พระครูปลัดอนันต์ฯ และคณะมาจากซอยสายลม และเข้าไปกราบหลวงพ่อ

    เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. รถของวัดมารับขันธ์ ๕ หลวงพ่อกลับวัดท่าซุง

    เหตุการณ์ที่กระทบผมอย่างแรงทั้งทางตาและหู ในขณะที่เข็นรถนำขันธ์ ๕ หลวงพ่อออกจากห้องซีซียู ไปขึ้นรถกลับวัดท่าซุง พอรถเข็นโผล่ออกจากห้องซีซียู บรรดาศิษย์ทั้งหลายลูกศิษย์ชายและหญิงของหลวงพ่อ มารอดูหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย มากมายจนหาที่ว่างไม่ได้ พระครูปลัดอนันต์ ฯ เป็นผู้นำให้รถเข็นเคลื่อนไปช้าๆ พอรถพ้นจากประตูซีซียู "ผมก็พบมโหรีวงใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา พร้อมใจกันบรรเลงและร้องเพลง เพลงเดียวกันหมดทุกคน คือ เพลงโฮๆ" ประกอบกับเสียงหมาหอนอย่างโหยหวน

    ตลอดเวลาที่รถเข็นเคลื่อนผ่านไป เสียงหมาหอนประสานกับเพลง "โฮ ๆ ๆ ๆ..." เข้าหูผมตลอดเวลา ทำให้จิตผมหวั่นไหวไปตามเสียงเหล่านั้น จนอยากจะร่วมบรรเลงเพลงไปกับเขาด้วย จึงรีบตั้งสติให้มั่นคง เพื่อหยุดอารมณ์จิตของตนให้ได้ก่อนจึงจะเห็นธรรมได้ตามความเป็นจริง สนใจแต่อารมณ์จิตของเราเองอย่าให้หวั่นไหว ไม่สนใจธรรมภายนอกที่มากระทบทั้งทางตาและทางหู เพราะธรรมภายนอกแก้ไขอะไรไม่ได้ เมื่อเชื่อพระและปฏิบัติตามพระ ก็โชคดีรอดตัวไปที่ไม่ต้องไปร่วมวงมโหรีกับเขาด้วย

    เมื่อรถพาขันธ์ ๕ หลวงพ่อกลับวัดเคลื่อนออกมาจากโรงพยาบาลศิริราชแล้ว ผมรีบหวนกลับมาที่ห้องซีซียูถามพยาบาลว่าโรงพยาบาลศิริราชเลี้ยงหมาไว้เยอะหรือเมื่อกี้นี้ผมได้ยินเสียงมันหอนกันระงมหมด กะดูคงเป็นร้อย พยาบาลฟังผมพูดแล้วงง ตอบผมว่าโรงพยาบาลศิริราชไม่มีหมาเลยสักตัวเดียว ผมจึงกำหนดจิตถามพระ จึงรู้ว่าเสียงหมาหอนนั้น คือ เสียงของเทวดาที่ท่านมาร่วมวงมโหรีด้วย ผมหันไปถามคณะศิษย์ของหลวงพ่อที่ติดตามผมมาว่า พวกคุณได้ยินเสียงหมาหอนไหม ทุกท่านตอบเหมือนกันว่า ได้ยินชัด และมีความสงสัยเหมือนกับผมเช่นกัน

    คัดย่อจาก ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๑ โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

    ขอขอบคุณ เพจ สมบัติพ่อให้
    FB_IMG_1572414578991.jpg
     
  2. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,121
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ภาพเก่า เล่าใหม่

    พระราชพรหมยาน
    (วีระ ถาวโร)
    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

    เกิด 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2459
    มรณภาพ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2535
    อายุ 76
    อุปสมบท 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2479
    พรรษา 56
    วัด วัดจันทาราม (ท่าซุง)
    ท้องที่ อุทัยธานี
    สังกัด มหานิกาย
    วุฒิการศึกษา เปรียญธรรม 4 ประโยค
    นักธรรมชั้นเอก
    ตำแหน่ง
    ทางคณะสงฆ์ เจ้าอาวาสวัดจันทาราม (ท่าซุง)

    พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เป็นพระภิกษุนิกายเถรวาทฝ่ายมหานิกาย เจ้าอาวาสวัดจันทาราม (ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี มีชื่อเสียงในด้านการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานจนได้วิชามโนมยิทธิ (ฤทธิ์ทางใจ)

    หลังการมรณภาพ สังขารร่างกายของท่านมิได้เน่าเปื่อยอย่างศพของคนทั่วไป และได้มีการเก็บรักษาไว้ที่วัดท่าซุงจนถึงปัจจุบันนี้
    FB_IMG_1572434213812.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...