วันโลกธาตุหวั่นไหว:องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร วัดป่าห้วยริน ต.หัวนาคำ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Nana nora, 26 กันยายน 2018.

  1. Nana nora

    Nana nora สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    386
    กระทู้เรื่องเด่น:
    5
    ค่าพลัง:
    +68
    42319634_1065022457008808_1502574848008781824_n.jpg

    #เพ็ญ๑๕ค่ำเดือน๑๐วันโลกธาตุหวั่นไหว

    " การเกิดการตาย เวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด
    และก็ตายสนิทเมื่อเพ็ญ๑๕ค่ำเดือน๑๐ ปี พ.ศ.๒๕๔๕
    ลูกเอ๋ย.เพ็ญสิบห้าค่ำเดือนสิบปีพ.ศ.๒๕๔๕ ครบรอบวันนี้ #วันที่โลกธาตุหวั่นไหว
    วันที่พวกกายทิพย์เทวบุตรเทวดาในหมื่นโลกธาตุแสนโกฏิจักรวาล รับรู้
    แม้.วิญญาณตลอดไปถึงนรกทุกขุม ด้วยบารมีที่เราสร้างมาเต็มภูมิสมบูรณ์บริบูรณ์
    เราจึงเห็นการเปิดเผยแห่งภพทั้งสาม เวลาหลวงปู่นั่งบนศาลา
    วิญญาณสามารถผ่านร่างของนักปฏิบัติธรรมได้
    ทั้งนรก ทั้งพวกเปรตอสุรกาย วิญญาณเร่ร่อน วิญญาณสัตว์เดรัจฉาน เทวบุตรเทวดาตลอดพรหมโลก
    #นี่ความอัศจรรย์ของธรรม เรื่องราวเกิดเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีธรรมวินัยนั้นยังอยู่ มรรคผลพระนิพพานยังอยู่ ศีลสมบูรณ์บริบูรณ์ สมาธิก็ตั้งมั่น ปัญญาก็สว่างไสว
    นี่มันถึงกาลเวลาของมันเมื่อเพ็ญ๑๕ค่ำ เดือน๑๐ ปี พ.ศ.๒๕๔๕ ก็มาถึง วันที่หลวงปู่โค่นอวิชชาลง การเวียนว่ายตายเกิดหนึ่งอสงไขยแสนมหากัปในการสร้างบารมีก็ยุติ ที่กุฏิหลังนั้นบ้านหนองนาแซง วัดป่าวิเศษไชยาราม เทวบุตรเทวดาทราบ มนุษย์ไม่ทราบ เพราะแผ่นดินกระเทือนเลื่อนลั่นอยู่แสงแห่งอรรถแห่งธรรมทะลุไปในภพทั้งสาม ดังผู้ที่อยู่ด้วยเห็นจะจะ ไม่ใช่เฉพาะหลวงปู่เห็นองค์เดียว สักขีพยานที่รู้ที่เห็นด้วยกันที่วัดป่าไชยาราม มีมากถ้านับได้อุบาสกอุบาสิกาที่มาปฏิบัติธรรมในเพ็ญเดือน๑๐ รวมถึงเด็กด้วยประมาณ๘๐ สักขีพยานในการรู้การเห็นที่โลกธาตุหวั่นไหวผู้ที่อยู่บริเวณวัด ล้มกลิ้งเกลือกก็มี หัวเราะก็มี วิ่งก็มี ร้องให้ก็มี แล้วแต่อาการที่เป็นไปตามอุปนิสัยของอุบาสกอุบาสิกานั้นๆ

    เพ็ญ๑๕ค่ำ เดือน๑๐ ก่อนออกพรรษาหนึ่งเดือน จิตที่พ้นโลกพ้นสงสารแล้วจิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว เป็นจิตที่เหลือวิสัยของสัตว์โลกที่อยู่ในโลกิยะ แต่ไม่เหลือวิสัยของผู้ที่อยู่ในโลกุตระ ผู้ที่อยู่ในโลกุตระจะทราบเรื่องจิตที่บริสุทธิผุดผ่อง เมื่อโค่นอวิชชาลง ภพชาติสิ้น สิ้นแบบไหนรู้ รู้ได้เฉพาะตนเพราะเป็นปัจจัตตัง แล้วจะไปบอกกล่าวใครให้ทราบไม่มีนอกจากผู้นั้นจะรู้แจ้งแทงตลอดเฉกเช่นเดียวกัน จะกล้าพูดหรือไม่มันก็เป็นความบริสุทธิ์และเป็นของแท้อยู่อย่างนั้น ถ้าหลวงปู่ไม่กล้าพูดมรรคผลพระนิพพานก็ค่อยเสื่อมไปๆ เพราะเราบวชมาเพื่อสิ่งเดียวเราไม่ได้บวชมาเพื่อสิ่งอื่น หากแม้นว่าเราไม่สามารถอยู่องค์เดียวได้ตามที่เราเจตนาหากเราได้ออกมาเป็นครูเป็นบาของสัตว์โลกมันก็ต้องอาจต้องหาญเพื่อนำพาสัตว์โลกเข้าสู่สถานะที่ดี

    ผู้นำ การเป็นผู้นำจะต้องแจ้งไปหมดเฉลียวฉลาดหลักแหลมจึงจะนำพาลูกเต้าเข้าสู่สถานที่ดีได้ นี่มันเป็นเรื่องอัศจรรย์ในอรรถในธรรมเรื่องที่ไม่เคยรู้ก็รู้เรื่องที่ไม่เคยพบเคยเห็นมันก็ได้เกิดขึ้นแล้วกับบุคคลนั้นๆ ถ้าประพฤติปฏิบัติตามธรรมตามวินัย เมื่อศีลสมบูรณ์บริบูรณ์ สมาธิสมบูรณ์บริบูรณ์ ปัญญาสมบูรณ์บริบูรณ์ มันก็เป็นมัชฌิมารวมกันเป็นหนึ่ง ทุกสิ่งอย่างที่ถูกกลบมาสองพันห้าร้อยกว่าปีก็เปิดเผย นรกเป็นแบบไหน สวรรค์เป็นแบบไหน พรหมโลกเป็นแบบไหน เมืองพระนิพพานเป็นไหน วิญญาณที่ตายเก่าตายใหม่อยู่แบบไหนทราบ แล้วก็เปิดเผยออกมาเป็นรูปเป็นร่างที่เรียกว่ารูปนิมิตจนถึงปัจจุบัน รูปนิมิตการรู้เห็นเฉพาะตนท่านเรียกว่านามนิมิตเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปแห่งการรู้เห็นไม่มีใครทราบ แม้บอกคนอื่นก็ไม่ทราบ แต่ถ้าเป็นรูปนิมิตนี้รู้เห็นร่วมกัน รูปนิมิตเกิดเมื่อครั้งพุทธกาลเป็นเทวบุตรเทวดามากราบมาไหว้มาอุปถัมภ์อุปัฏฐากปรนนิบัติพระพุทธเจ้าและสงฆ์สาวกทั้งหลาย วิญญาณที่ตายเก่าตายใหม่มารับกองบุญกองกุศล สัตว์นรกขึ้นมาร้องโอดโอยโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมาน ที่เป็นรูปเป็นร่างเรียกว่ารูปนิมิตตามธรรมตามวินัย

    ลูกเต้าเอ้ย. เพ็ญ๑๕ค่ำเดือน๑๐ หลวงปู่จึงได้รู้เห็นสิ่งที่ไม่เคยรู้ เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ละในสิ่งที่ไม่เคยละ วางในสิ่งที่ไม่เคยวาง ทุกสิ่งทุกอย่างจบเกมเมื่อ เพ็ญ๑๕ค่ำ เดือน๑๐ การปิดสวิตช์ภพชาติที่กุฏิหลังนั้นเรากล้าพูดเต็มเม็ดเต็มหน่วยเพื่อโลกเพื่อสงสารเราไม่ได้พูดเพื่อเรา เราไม่ได้เอาอะไรกะใครแม้เม็ดหินเม็ดทราย เราจึงกล้าท้าในไตรโลกธาตุที่เป็นสัมมาทิฏฐินี่คือธรรมคือวินัยที่เราแสดงแล้วทั้งเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุดด้วยใจเราที่บริสุทธิ์มานานแล้วด้วย

    ลูกเอ้ย จากกาลเวลาแม้เนิ่นนานเกือบ๒๐ปีแต่ความรู้สึกนึกคิดหลวงปู่เหมือนขณะจิตเดียว เพราะมันไม่มีสิ่งอื่นเข้าไปแอบแฝงอีกถ้าพูดตามภาษาทางธรรมท่านก็เรียกว่ากายเดียวจิตเดียว ความรักความชังความคิดโน่นคิดนี่ไม่มีในจุดนั้น ความทะเยอทะยานอยากการแสวงหายุติทั้งหมดเมื่อ เพ็ญ๑๕ค่ำเดือน๑๐ ปีพ.ศ.๒๕๔๕ ความทะเยอทะยานอยากจะเป็นพระอรหันต์ก็ยุติ ความทะเยอทะยานอยากจะไปเมืองพระนิพพานก็ยุติ ความใฝ่ฝันต่างๆนานา ยุติพร้อมกันเมื่อสวิตช์มันปิดอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ ธรรมนี้ไม่มีใครเทศน์เรื่องการปิดสวิตช์ภพชาตินอกจากองค์หลวงปู่ มันเป็นอย่างนั้นจริง วัฏจักรที่มันหยุดหมุน วัฏฏะวนเวียนหมุนรอบกันอยู่มันหยุดหมุนนี่เหมือนกับเราปิดสวิตช์หยุดกึกกัก วัฏฏะรู้การเวียนว่ายตายเกิดของตัวเอง รู้การทะเยอทะยานอยากของตัวเอง รู้การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก รู้การทะเยอทะยานอยากของสัตว์โลก หมุนอยู่อย่างนั้นเป็นวัฏฏะ

    ความอัศจรรย์ของธรรมที่มันเกิดขึ้นแล้วมันลืมไม่ลงนะใครว่าเป็นของยากก็ไม่ยากใครว่าเป็นของง่ายก็ไม่ใช่ เมื่อวัฏฏะมันหมุนนี่เหมือนกับเราเปิดจอทีวีดู การปรุงแต่งไม่มีเหลือแต่ที่เรียกว่าอิงสมาธิ ตามภาษาธรรมท่านเรียกว่าภาวนามยปัญญา ความปรุงแต่งทางโลกทุกสิ่งทุกอย่างดับพร้อมกันหมด เห็นภายในที่จ้องกันอยู่เห็นกันอยู่อย่างชัดแจ้งที่เรียกว่าวัฏฏะวน ในการจุติเคลื่อนย้ายของตัวเอง ในการจุติเคลื่อนย้ายการเกิดการตายของสัตว์โลกหมุนรอบกันอยู่อย่างนั้นไม่มีที่สิ้นสุด จากการเกิดเป็นคนก็กลับไปเป็นสัตว์นรกเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปเป็นเปรตเป็นอสุรกาย ขึ้นไปเป็นเทวบุตรเทดา ไล่ขึ้นไปเป็นพรหมโลก ไล่ขึ้นไปเป็นอรูปพรหม หมดบุญจากอรูปพรหมก็ตกนรก จากนรกขึ้นมาเป็นเปรตเป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นมนุษย์หมุนกันไม่มีที่สิ้นสุด

    ลูกเต้าเอ้ย. ทราบแจ้งชัดเข้าไปในจิตในใจนั่น น้ำตาร่วงก่อนที่จะถึงกาลอวสานแห่งภพชาติ โห.นี่มันความอัศจรรย์ของธรรมที่ลึกลับซับซ้อนเกินวิสัยผู้ที่สร้างบารมีมา ถ้าสร้างบารมีมายังไม่เต็มภูมิสมบูรณ์บริบูรณ์ก็ไม่สามารถรู้แจ้งในจุดนั้น แต่หลวงปู่ทราบการสร้างบารมีของตัวเองถอยการสร้างบารมีของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์บริบูรณ์เต็มภูมิแห่งการสร้างบารมี จนทราบถึงอสงไขยทราบถึงมหากัปแห่งการสร้างบารมีของตนเองในการเวียนว่ายตายเกิดจนถึงปิดสวิตช์ภพชาติอย่างสิ้นเชิง ถ้าหลวงปู่ไม่พูดมรรคผลนิพพาน มันจะมีผู้กระตือรือร้นหรือลูก เราก็ทำบุญตามประสีประสาตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แต่เราก็ทราบอยู่เรื่องบุญเรื่องบาปเราทราบอยู่ว่ามีตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แต่เราก็ไม่ทราบว่าวิญญาณที่ตายเก่าตายใหม่ไปแบบไหน ทำบุญแล้วก็ว่าไปเกิดซะเด้อไปสวรรค์ซะเด้อ ไม่รู้ว่าเขาได้ไปหรือไม่ แต่เรื่องหลักธรรมหลักวินัยเป็นสิ่งที่ตายตัวไปหรือไม่ไปทราบแจ้งชัดลงไป ธรรมที่เกิดขึ้นจากใจที่บริสุทธิ์นี่ กระแสคลื่นแห่งใจที่บริสุทธิ์ที่ครอบสามแดนโลกธาตุอยู่เมื่อมันปิดสวิตช์ภพชาติลงแล้วมันไม่มีจุดไม่มีต่อมอีก แม้ความบริสุทธิ์ก็มีอยู่อย่างนั้น สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ก็อยู่ย่างนั้น ก็เป็นธาตุอยู่อย่างนั้น ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเข้าไปก้าวก่ายกันระหว่างความบริสุทธิ์กับความไม่บริสุทธิ์ หลวงปู่แยกขันธ์ห้าและจิตที่บริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์นอกเหนือขันธ์ห้าแล้วความคิดปรุงแต่งที่ไม่บริสุทธิ์มันก็อยู่อย่างเก้อเขินไม่สามารถเข้ากันได้น้ำกับน้ำมัน

    เมื่อเพ็ญ๑๕ค่ำเดือน๑๐ ปีพ.ศ.๒๕๔๕ สมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว เราก็ไม่สงสัยอะไรอีก การที่จะแสวงหาเพื่อตนเองอีกมันจึงไม่มี และการที่จะแสวงหาเพื่อคนนั้นคนนี้มันก็ไม่มีอีก การสิ้นสงสัยมันไม่ได้สิ้นสงสัยในตำรับตำรามันเป็นการสิ้นสงสัยในตัวรู้คือใจดวงนั้น นั่นแหละจึงคิดว่ามันเหลือวิสัยของสัตว์โลก วัฏฏะวนในการเวียนว่ายตายเกิดเวลามันหยุดนี่ เหมือนกับรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงสุดมีวัสดุหนึ่งเข้าไปกั้น อย่างปัจจุบันทันด่วนรถคันนั้นก็ต้องพลิกคว่ำ ความรุนแรงเมื่อถูกอรรถถูกธรรมของพุทธเจ้าปะทะกับพวกเปรตพวกผีพวกมารเป็นลักษณนั้นพรึ่บพลับพร้อมกันหมดในไตรโลกธาตุ ความรุนแรงแห่งธรรมของพุทธเจ้าจึงสามารถชนะมารได้ การสั่นสะเทือนมันก็ต้องเกิด การสร้างบารมีก็เป็นแบบนัันในการเวียนว่ายตายเกิดของพวกเรา การสร้างบารมี มันก็มีทั้งดีและไม่ดีคู่กันมาเรื่อยๆ เมื่อมันดีสุดแล้วมันก็ทิ้งไม่ดี ธรรมวินัยบอกชัดแจ้งการละบาปบำเพ็ญบุญคือการสร้างบารมีในพุทธศาสนา แต่จะละบาปบำเพ็ญบุญได้แค่ไหน ขึ้นอยู่ที่สติกำลังปัญญาของพวกเรา...
    หลวงปู่เล่าย้อนเมื่อเพ็ญ๑๕ค่ำเดือน๑๐ปีพ.ศ.๒๕๔๕ ให้พวกเราทราบ จิตนั้นอัศจรรย์เลิศการยึดจุดยึดต่อมติดบริสุทธิ์มันติดมานานตั้งแต่เข้าพรรษาสว่างไสวเต็มที่จนมองไม่เห็นเหตุ ว่าตัวเองยังมีภพมีชาติอยู่ สว่างไสวเสียจนไม่เห็นจุด ถ้าเป็นแสงนีออนก็สว่างไสวเสียจนไม่เห็นแสงนีออน ถ้าดวงอาทิตย์มองไปก็เห็นแต่แสงไม่เห็นพระอาทิตย์ลักษณะนั้นแหละ คือความสว่างไสวของจิตที่โดดเด่นเต็มที่เต็มฐาน มองไปที่ไหนมันก็บริสุทธิ์ไปหมด ยืนเดินนั่งนอนพูดคิดดื่มทำมันก็บริสุทธิ์หมด สว่างไปหมดหายใจเฉยๆก็สว่างไปหมด สะอาดไปหมด บริสุทธิ์ไปหมดแล้วจะไม่ให้สัตว์โลกติดได้ไง...
    จุดแห่งความสว่างไสวที่เรายึดมั่นถือมั่นนั่นแลคือจุดต่อมแห่งภพชาติ ก็ไม่ทราบยังงั้นพระอนาคามี คงไม่ไปอยู่สุทธาวาสห้าชั้น ด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่องคิดว่าตัวเองสิ้นอาสวะแล้ว ในสมัยพุทธกาลหรือพุทธกาลไหนก็ตาม พระอนาคามีก็ต้องมี พระสกิทาคามีก็ต้องมี พระโสดาบันก็ต้องมี...
    พระอรหันต์ก็ต้องมี ก็ต้องติดยึดภพอยู่ในนั้นอยู่ในจุดในต่อม โสดาบันก็ติดอยู่ในจุดในต่อมพระโสดา สกิทาคามีก็ติดอยู่ในจุดในต่อมพระสกิทาคามี พระอนาคามีก็ติดอยู่ในจุดในต่อมแห่งความบริสุทธิ์พระอนาคามี เว้นไว้แต่พระอรหันต์ผู้ที่ไม่มีภพมีไม่มีชาติไม่มีการยึดในจุดในต่อมอีกแล้ว ความสว่างไสวมันจะเต็มที่มากที่สุดนะจิตที่มันสว่างไสวแล้วไม่มีใครเข้าไปต้องติ แม้แต่ตัวเองูก็ไม่มีความคิดอย่างอื่นนอกจากความบริสุทธิ์ โห..ความอัศจรรย์ของธรรมแล้วใครจะเห็นง่ายๆล่ะ ถ้าสร้างบารมีไม่ถึง แม้พระผู้ที่สิ้นอาสวะก็ไม่ได้ผ่านความบริสุทธิ์ไม่เห็น ผู้ที่สร้างบารมีเต็มภูมิสมบูรณ์บริบูรณ์จริงๆจึงจะเห็นความบริสุทธิ์ก่อนที่จะโค่นอวิชชาลง ก่อนที่จะโค่นภพชาติลง ...
    เราจึงกล้าท้าในไตรโลกธาตุมาดูนี่สิ่งที่อัศจรรย์ในธรรมในวินัยนี่ในพุทธศาสนา เมื่อเพ็ญ๑๕ค่ำเดือน๑๐ปีพ.ศ.๒๕๔๕ จิตเราจึงสว่างไสวครอบโลกครอบจักรวาล มองไปที่ไหนมันไม่มืดไม่มีต้นไม้ไม่มีภูเขา ไม่มีเมฆไม่มีหมอก ไม่มีอาทิตย์ไม่มีดวงจันทร์ไม่มีดวงดาว ไม่มีหญิงไม่มีชาย ไม่มีวัตถุที่บอกว่าเป็นโน่นเป็นนี่อีก มีวัตถุเดียวก็คือความบริสุทธิ์ นี่เมื่อจิตบริสุทธิ์เต็มที่เต็มฐานจะเป็นอย่างนั้น สว่างไสวไปหมด ยืนเดินนั่งนอนพูดคิดดื่มทำหายใจเข้าหายใจออกสว่างโล่งไปหมดด้วยความบริสุทธิ์ นี่คือความอัศจรรย์ในธรรมในวินัย..."

    พระธรรมเทศนา : องค์หลวงปู่น้อย ญาณวโร
    ๘ กันยายน ๒๕๕๗
    วัดป่าห้วยริน.
    .
    — ที่ วัดป่าห้วยริน บ้านหัวนาคำ ตำบลหัวนาคำ อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น
     

แชร์หน้านี้

Loading...