วิชชาดวงธรรมบรรลุ

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย guawn, 24 ธันวาคม 2008.

  1. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    อย่ามัวหลงติดในฤทธิ์ทางใจหรือพลังจิตตานุภาพ รู้แค่ฤทธิ์เป็นอย่างไรแล้ววาง แล้วมุ่งสู่นิพพาน


    ทางตรงสู่นิพพานอยู่ที่สติปัฏฐาน 4

    เป็นหลักธรรมที่อยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นข้อปฏิบัติเพื่อรู้แจ้ง คือเข้าใจตามเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงโดยไม่ถูกกิเลสครอบงำ สติปัฏฐานมี 4 ระดับ คือ กาย เวทนา จิต และ ธรรม
     
  2. ขอพ้นทุกข์

    ขอพ้นทุกข์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +402





    ผมเห็นด้วยกับความคิดของคุณเพราะผมเป็นคนอีสานและเป็นเด็กบ้านนอกขนานแท้และสัมผัสและรู้จักกับคนเรียน ธรรมบรรลุ ธรรมบันดาล ธรรมปิติ หรือธรรมอะไรก็ช่าง ผมเข้าใจว่าคำว่าเรียนธรรมของคนอีสาน ไม่ได้หมายถึงธรรมมะของพระพุทธเจ้า ธรรมมะของพระพุทธเจ้า ต้องยึดมั่นในไตรสรณคมฆ์ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ธรรมมะของพระพุทธเจ้าไม่มีพิษภัยต่อผู้ปฏิบัติ และมีอนิสงฆ์ จนถึงขั้นโลกุตรธรรม หากผิดในศิล ก็ไม่เป็นปอบฏิบัติไปแล้วเลิกก็ไม่เป็น เป็นบ้า หรือเสียสติ ไม่ได้ถูกเจ้าของครูลงโทษ ไม่ได้ตกอยู่การครอบงำของอำนาจลึกลับใดๆๆอื่นใด ไม่มีองค์ครู ไม่มีเจ้าพ่อมาบันดลบันดาลให้เกิดฤทธิ์เดช ธรรมมะของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมมะที่ใสสะอาด บริสุทธ มุ่งเน้นการชำระจิตใจให้บริสุทธ์ผ่องใส จนถึงความหลุดพ้น ไม่ใช่เพื่อการเบียดเบียน(ไล่ปอบ ไล่ผี) หรือ ฝึกจิตเพื่อกระทำคุณไสย ใส่ใคร หากสวดบทคาถาของพระพุทธเจ้าก็จะเน้นการป้องกันและเมตตา ไม่มีลักษณะการเบียดเบียน ดังนั้น ท่านทั้งหลายไปคิดให้ดีว่าที่ท่านเถึยงกันในนี้ คำว่า ธรรม ของพวกท่านแต่ละคน เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า หรือ ธรรมของใคร

    ฝากบอกคนที่ยืนยัน ว่าวิชาธรรมต่างๆๆว่าเป็นธรรมมะอันเดียวกับธรรมมะของพระพุทธเจ้านั้น ให้ท่านไปอ่าน ประวัติ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
    พระอริยสงฆ์ แห่งอุดรธานีหลวงปู่มั่นท่านกล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างไร และประว้ติ หลวงปู่บัว สิริปุณโณ ท่านจะรู้คำตอบ หากใครจะตอบความเห็นของผม ให้
    pmมาคุยได้เลยครับ
     
  3. คงหมิง

    คงหมิง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +59
    อ่อ พอดีสายธรรมของผมไม่มีเรื่องปอบเข้ามาเกี่ยวข้องครับ ถ้าปฏิบัติได้ก็ได้ แต่ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็เสื่อมจากธรรมที่ตัวเองได้ การผิดครูไม่ได้เป็นปอบหรือวิกลจริตแต่อย่างใด เพราะสายผมไม่มีข้อห้าม ครูผมสอนแค่ว่าธรรมจริงๆต้องไม่ก่อเภทภัยให้เจ้าของ ปราศจากสิ่งที่จะมาทำลาย แต่เมื่อไหร่ที่จิตเราคลายการปฏิบัติ สิ่งที่เราได้เสื่อมหายไปจากเรา เราโทษใครไม่ได้ แค่นั้นเองครับ โดยข้อปฏิบัติใหญ่ๆก็คือ อย่าทำในสิ่งที่ตัวเองรู้ทั้งรู้ว่ามันผิด เคารพใน 5 สถาน คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ไม่หลงไปกับการกราบไหว้อื่นใด และในเมื่อพิธีกรรมบางอย่างเป็นไสย์ จึงมีข้อห้ามโดยให้ใช้พิธีเหล่านั้นเพื่ออนุเคราะห์ผู้คนห้ามใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ผมเรียนมา แต่หมอธรรมสายอื่นเป็นแบบไหน ผมไม่ทราบได้ ขอบคุณครับ
     
  4. คงหมิง

    คงหมิง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +59
    และที่ผมกล่าวมาข้างต้น ถ้าอ่านดีๆจะเห็นว่า ผมเองก็บอกแล้วว่าวิชาธรรมหรือหมอธรรม ไม่ใช่ตัวธรรมมะที่จะให้บรรลุ แต่เป็นส่วนหนึ่งหรือแนวทางหนึ่งในกัมมัฏฐาน 40 วิธี ซึ่งกัมมัฏฐาน 40 วิธีนั้นก็มีบางกัมมัฎฐานที่ทำให้ผู้ฝึกแค่ได้ฤทธิ์ได้ฌาณ แต่ไม่สามารถบรรลุได้เช่นเดียวกัน ผมจึงอยากบอกแค่ว่าถ้าคนปราถนานิพพานเป็นที่ตั้งโดยใจไม่คลอนแคลน คุณเองมีสิทธิ์เลือก ว่าคุณสงสัยว่าจิตมีจริงมั้ย ผีมีจริงรึเปล่า หมอธรรมให้คำตอบตรงส่วนนี้ได้ เมื่อได้คำตอบแล้ว ในฐานะพุทธศาสนานิกชน คุณเลือกจะเอาฤทธิ์ตรงนี้ไปหากินสนองตอบตัวเองแล้วพึงพอใจในฤทธิ์โดยคิดว่า "ฉันเก่งแล้ว" หรือเอาฤทธิ์ตรงนี้เป็นบาทฐานศรัทธาเพื่อจะไปต่อในขั้นที่สูงกว่านี้ หลวงปู่สิงห์เคยสอนหลวงปู่แหวน ตอนหลวงปู่แหวนถามเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ ท่านก็บอกว่ามีไว้เพื่ออนุเคราะห์คน ในขณะที่ตัวเราก็อย่าทิ้งจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติเพื่อไปสู่ขั้นที่สูงกว่านี้ ในฐานะที่ผมก็เคยบวชในสายหนองป่าพง ผมจึงเรียนวิชานี้ด้วยจุดประสงค์อย่างหลัง คือเพื่อเข้ามารู้ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้มีจริงมั้ย หากมีจริงธรรมะที่สูงกว่านี้ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ก็ต้องมีจริง ยิ่งเป็นการเพิ่มศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า เป็นกำลังในการปฏิบัติมากขึ้นไปอีก ผมจึงขอย้ำอีกครั้งว่าผมไม่ได้ปฏิบัติวิชาธรรมไปด้วยความงมงายไม่รู้ว่าวิชานี้มีส่วนเจือของไสยศาสตร์ ผมรู้อยู่เต็มอกแต่ผมก็เรียนเพียงเพื่อใช้เป็นบาทฐานในการไปต่อ เพราะธรรมที่ผมเรียนจัดว่าใกล้เคียงความเป็นพุทธมากที่สุดแล้วตรงที่ว่า "ไม่มีข้อห้าม ไม่มีการผิดของ เรียนได้ด้วยตัวเอง ก็เสื่อมด้วยตัวเอง" ขอขอบคุณที่เปิดโอกาสให้ผมได้แสดงความคิดเห็นครับ สวัสดีครับ
     
  5. คงหมิง

    คงหมิง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +59
    กรรมฐาน 40 กองนั้น จัดเป็นสมถะ คือไม่ก่อปัญญาแต่สามารถเป็นพื้นฐานในการไปสู่ปัญญาได้ มี 36 กอง ส่วนกรรมฐานที่จัดเป็นวิปัสสนาแท้ มีเพียง 4 กองเท่านั้น คือสติปัฏฐาน 4 ซึ่งได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม หากแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ก็ได้แก่ กรรมฐานฝ่ายโลกียะ 36 กรรมฐาฝ่ายโลกุตตระ 4 ซึ่งแน่นอนว่ากรรมฐานฝ่ายโลกียะไม่สามารถทำให้ใครบรรลุธรรมได้ แต่ถ้าคนเข้าใจก็เป็นบันไดชั้นดีเพื่อไปสู่ธรรมขั้นสูงได้เหมือนกัน
    อย่างที่พระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านพูดกับหลวงปู่อ่อน ท่านก็ติที่ตัวผู้เรียนว่าเรียนไปเพื่อหลอกลวง และติที่ตัววิชาว่าไม่เป็นไปเพื่อความบรรลุ แต่จากการสนทนาระหว่างท่านอาจารย์อ่อนกับลุงของท่าน ท่านก็บอกชัดเจนว่าวิชาธรรมปีติของลุงท่านทำให้เกิดนิมิตได้ แต่ตัวของลุงท่านเองต่างหากที่เข้าใจผิดว่าตัวนิมิตนั้นคือ "ตัวรู้" หากเรียนธรรม ปั่นธรรม(ภาษาพระเรียกบริกรรมภาวนา)แล้วเห็นนิมิต มีความรู้ตัวว่าสิ่งนั้นเป็นนิมิต ไม่ผยองพองตนว่าเรารู้ เราบรรลุ แต่เข้าใจในสิ่งที่ตนเห็น แล้วนำไปเป็นตัวช่วยเพื่อในการพัฒนาปัญญาให้สูงขึ้น ก็จัดเป็นวิชาที่มีประโยชน์ไม่น้อย
    แม้ในสมัยพุทธกาล พระเทวทัตปฏิบัตสมถะกัมมัฏฐานจนบรรลุโลกิยะฌาน เหาะเหินเดินอากาศได้ จนหลงผิดสมคบกับพระเจ้าอชาตศัตรูเพื่อล้มพระศาสดา ในเหตุอันนี้เราจะตำหนิกรรมฐานที่พระเทวทัตฝึกว่าไม่ใช่พุทธได้หรือไม่ ? โดยที่แท้เราควรตำหนิพระเทวทัต หรือกรรมฐานที่พระเทวทัตฝึก ?
    ผมจึงบอกแต่ทีแรก ว่าตัววิชาหมอธรรมนั้น เป็นพุทธ ในส่วนของอนุสสติ 10 ซึ่งเป็นกรรมฐานฝ่ายโลกิยะ แต่การนำไปทำคุณไสย์ ปราบปอบ และคิดว่าเป็นสุดยอดวิชาอาไรทำนองนั้น เป็นความเข้าใจผิดของผู้เรียน ไปโทษที่ตัววิชาไม่ได้ เพราะสายผมก็เรียนเพื่อเข้าไปเรียนรู้จิต การปราบปอบ ทำคุณ ก็ทำได้ แต่ครูท่านให้เรียนเพื่อให้รู้ แต่ห้ามไม่ให้ทำ เพราะมันผิดวิสัยของ "ธรรม" ที่พระพุทธเจ้าสอน ใครไปทำ ต่อให้บอกว่าเรียนธรรม ก็ถือว่าคนผู้นั้นเป็นหมอไสย์ในคราบของหมอธรรมเท่านั้นเอง
    ฉนั้น หากถามว่าวิชาหมอธรรมเป็นโลกุตตรธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนมั้ย ? ผมก็ต้องตอบว่าไม่ ทำให้ใครบรรลุธรรมได้มั้ย ? ผมก็ต้องตอบว่าไม่อีกแหละ แต่ถ้าถามว่า มีความเป็นพุทธมั้ย ? ผมก็ต้องตอบว่า ถึงจะมีพิธีกรรมแนวไสย์ แต่หลักการและการประพฤติตัว พุทธแน่นอน แล้วถ้าถามต่อว่า อ้าว! ถ้าเป็นพุทธ ทำไมทำให้ใครบรรลุไม่ได้ล่ะ ? ผมก็ต้องขอเรียนว่า ก็เพราะมันเป็นแค่ขั้นโลกิยะไงครับ ไม่ทำให้ใครบรรลุ แต่เป็นพื้นฐานเพื่อให้บรรลุได้ อย่าลืมว่าสมถะกรรมฐานในพระพุทธศาสนา ส่วนมากขั้นสูงสุดทำให้ได้แค่อุปจารสมาธิเท่านั้นนะครับ และมีแค่ไม่กี่กองที่ขั้นสูงสุดทำให้ได้ฌาน 4 แต่ที่ทำให้บรรลุธรรมได้ มีแค่สติปัฏฐาน 4 เท่านั้น การบรรลุธรรมไม่มีในสมถะกรรมฐาน
    จากที่เขียนมาทั้งหมด จะเห็นว่าแม้แต่กรรมฐาน 36 กองบั้นต้นก็ยังเป็นดาบ 2 คมหากคนไม่เข้าใจ แต่ถึงกระนั้นพระพุทธองค์ก็ยังทรงเก็บไว้เป็นทางเลือกให้สาวกเพื่อปฏิบัติเป็นพื้นฐาน
    วิชาหมอธรรม หากคนปฏิบัติด้วยความเข้าใจ ก็เป็นอันจัดเป็นพุทธส่วนโลกิยะอย่างไม่ต้องสงสัย (เพราะเน้นการตามระลึกถึงคำบริกรรม) ส่วนคนเรียนสำเร็จจะเอาไปอวดเก่งหรือตั้งสำนักเป็นเกจิอาจารย์อย่างไรนั้น ผมไม่ขอวิจารณ์ เพราะสายผมไม่สนับสนุน ให้ทำมาหากินอย่างคนปกติ ช่วยคนเมื่อมีโอกาส แต่ถ้าถึงขั้นลงขันเป็นหมื่นเป็นแสนไล่ปอบอย่างรายการเรื่องจริงผ่านจอ อันนั้นแม้แต่ครูผมก็ยังบอกว่า รับไม่ได้เหมือนกัน *-*
    สุดท้ายนี้ หากวจีกรรมอันใดที่ผมได้พาดพิงทำให้เกิดความกระทบกระเทือนด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี ผมขอโอกาสให้ทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน โปรดอโหสิกรรมให้กับผม เพื่อจะได้ไม่เป็นเวรเป็นกรรมแก่กันต่อไป สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2012
  6. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    ถูกต้องครับคุณคงหมิง ถ้าศึกษามาจริงรู้จริงต้องเข้าใจอย่างท่องแท้ เรื่องอย่างนี้เป็นปัจจัตตัง เพียงอ่านหนังสืออย่างเดียวหรือฟังเค้าพูด คุณก็จะรู้แต่ไม่เข้าใจ เรื่องกลายเปนปอบสายวิชชานี้ไม่มีแน่นอนเพราะของดิบห้ามทาน ต้องถือศีล5 และยึดพระรัตนตรัยเปนสรณะ
     
  7. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    ในสมัยที่ศาสนาพุทธในอินเดียถดถอยถูกฮินดูกลืน คณะพระธรรมฑูตที่ส่วนใหญ่เป็นมหายาน ต้องนำพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ในที่ต่างๆ ในบางที่ที่ไปประชาชนนับถือภูติผีปิศาจเช่นทิเบต มหายาน สายวัชะยาน จะใช้วิธีการสร้างศรัทธาให้เกิดก็ได้มีการนำสายวิชชาเหล่านี้มาใช้เพื่อโปรดและสงเคราะห์แล้วจึงค่อยๆถ่ายทอดธรรมะแห่งการหลุดพ้นให้แก่ประชาชนเหล่านั้นค่อยซึมซับ

    ฤิทธิ์นั้นเป็นเพียงของเล่นหรือทางผ่านรู้แต่ไม่ยึด
     
  8. ขอพ้นทุกข์

    ขอพ้นทุกข์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +402
    ผมเคยเห็นและเคยรู้คนที่เรียนธรรม ตอนผมลาราชการไปบวช สามเดือนเจอหลวงพ่อที่เรียนธรรม เหมือนกัน แต่หลวงพ่อที่ผมไปบวชด้วยท่านก็เตือนว่าไม่ใช่เส้นทางนะ แต่หลวงพ่อท่านนั้นก็ไม่ทิ้ง ตอนเย็นท่านก็จะสวดธรรมของท่าน โดยท่านเชื่อว่าสามารถรักษาโรคให้ผู้ป่วยได้ ช่วงหลังท่านก็ออกจากวัดไปเขาลือกันว่าท่านเป็นปอบนะ แต่ผมไม่เห็นกับตามีแต่คนลือกันไป ผมไม่ได้เชียวชาญเรื่องเรียนธรรมแต่ผมพอรู้ว่าอะไรของจริงอะไรที่ควรเลือก ที่เขาว่าเรียนธรรม บางอย่างรักษาโรค บางอย่างไปรับขันธ์ แล้วนำมาท่องช่วงเช่นแถวจังหวัดเลย ที่ผมรับราชการอยู่ทางอีสาน สิบห้าปี ประกอบกับผมเป็นคนอีสานโดยกเนิดจึงพอรู้เรื่องบ้าง โดยเฉพาะวิชาอาคม แต่พอผมมาศึกษาสายหลวงปู่มั่น หลวงตาบ้านตาด ผมยิ่งมีความมั่นใจในศาสนามากขึ้นว่านี้คือพุทธแท้ๆๆ แต่อย่างไรก็ตามผมก็แค่แลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อเป็นความรู้ บางอย่างมันบอกกันไม่ได้ วาสนาแต่ละคนมันต่างกัน ดังนั้น หากท่านเห็นว่าสามารถแยกสิงใหนเป็นโลกียะ สิ่งใหนเป็นโลกุตรธรรมออกได้ ผมก็อนุโมทนาด้วยครับ
     
  9. ขอพ้นทุกข์

    ขอพ้นทุกข์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +402

    งั้นคุณลองเล่าให้ผมฟังสิว่า ธรรมที่คุณเรียนเป็นยังไง มีพิธีกรรมยังไง และการเจริญ สมถะของคุณเป็นยังไง พอดีผมอาจเรียนไม่ถึงก็ได้ เพิ่งรู้ว่า คนเรียนธรรมแบบคุณเป็นสมถะได้ด้วย พอดีผมก็ไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์ผมแนะนำให้ไปเรียน มีแต่บอกว่า อย่าแวะข้างทางบ่อยนักมันจะหลงทาง
     
  10. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    คุณคงหมิงไม่ต้องเล่าแล้วครับ ผมว่าคุณคงหมิงเค้าก็อธิบายดีนะครับ ถ้าคุณคนตรงไม่เข้าใจก็อย่ามาแวะข้างทางเลยครับ ไปที่ชอบที่ชอบนะครับถ้าอ่านแล้วไม่ถูกใจ ทำตามที่ครูบาอาจารย์คุณบอกเถอะครับ
     
  11. คงหมิง

    คงหมิง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +59
    ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันแล้วกันนะครับ ในส่วนพิธีกรรมส่วนย่อยอาไรก็แล้วแต่ คงไม่ยกมากล่าวไว้ในที่นี้ เพราะถึงจะยกยังไงในส่วนพิธีกรรมก็คงไม่สร้างความเข้าใจอะไรเท่าไหร่ แต่ขอยกเหตุการณ์หรือคำสอนที่ผมได้รับจากครูบาอาจารย์มาเล่าสู่กันฟังก็แล้วกันนะครับ ครูอาจารย์สายผมท่านเล่าให้ฟังว่า ต้นเค้าวิชาของสายหมอธรรมส่วนมากกำเนิดในป่า เมื่อกำเนิดในป่าจะสอนให้คนนำไปใช้ทำมาหากินหรือ? ถ้าจะสอนให้เอาไปทำมาหากินทำไมไม่สร้างสำนักใเมืองซะเลย ไปอยู่ในป่าทำไมให้คนตามหายาก ? ตรงนี้น่าคิดนะครับ หลังจากพูดคุยตรงส่วนนี้ ท่านเลยเล่าให้ฟังว่าธรรมที่เป็นสายพุทธจริงๆ ครูบาอาจารย์ต้องถือเหมือนพระพุทธเจ้าคือไม่เข้าไปบังคับ ไม่เข้าไปขู่เข็ญผู้ที่ไม่ทำตามคำสั่งตัวเอง แต่ยังไงขึ้นชื่อว่าหมอธรรมมันก็ต้องมีพิธีกรรมบ้างกล่าวคือ เมื่อเริ่มเรียน ยกครู รับคำบริกรรม ก็นำไปบริกรรมเหมือนหมอธรรมสายอื่นๆ แต่ต่างตรงที่
    เมื่อเรียนไปแล้วเอาไปบริกรรมปฏิบัติก็ให้พิจารณาจิต อย่าหลงเชื่อง่ายๆ และให้รู้ไว้เลยว่าเราปฏิบัติบริกรรมผลที่ได้ก็ได้แก่เรา หากเราไม่ทำนั่นก็เป็นสิทธิ์ของเรา ครูอาจารย์ไม่บังคับ ไม่ลงโทษ เพราะครูอาจารย์สายผมท่านบอกว่า ครูเค้า (ครูที่เป็นวิญญาณ)มีหน้าที่คอยสอดส่องการประพฤติปฏิบัติ คอยแนะนำถ้าเรากำลังหลงทางไปจากแนวพุทธ แต่ถ้าเราปฏิบัติถูกทาง หรืออยู่ตัว ครูบาอาจารย์จะถือว่าเราผ่านขั้นเด็กหัดเดินไปแล้ว จะไม่มายุ่งไม่มาวุ่นวายกับเราอีก เพราะถือว่าเราเดินได้แล้ว ภูมิธรรมเรามีแล้ว ตรงส่วนนี้ครูอาจารย์จะไม่มาขวางการปฏิบัติของเราอีกต่อไป แต่จะคอยปกป้องในส่วนที่อาจจะโดนบุคคลอื่นกลั่นแกล้งหรือเล่นงานในรูปแบบไสยศาสตร์เท่านั้น กล่าวคือ ใครยังปฏิบัติก็ยังช่วยแนะนำ คุ้มครองเพื่อไม่ให้มีสิ่งขัดขวางการปฏิบัติธรรมของเรา แต่ถ้าใครไม่ทำ ท่านก็ถือแค่ว่าเรื่องของเอ็ง กรรมใครกรรมมันไม่มีการลงโทษใดๆทั้งสิ้น เพราะครูเค้าสายผมถือว่า ท่านมีหน้าที่ช่วยเหลือสนับสนุนการปฏิบัติของเรา แต่ไม่ได้เข้ามาบงการ เพราะยึดหลักพระพุทธเจ้าที่ว่า เมื่อเข้าไปสอนใคร ต้อง "อนูปวาโท อนูปฆาโต" ไม่เข้าไปว่าร้าย ไม่เข้าไปทำร้าย ใครอยากเรียนอุปนิสัยได้ก็อนุเคราะห์สอนๆเค้าไป แต่ถ้าเค้าคลายความเพียรไม่เอา ก็ต้องปล่อยเค้าไป ไม่ไปทำร้าย หรือฉุดรั้ง
    ส่วนครูปลาย (ครูที่ยังมีชีวิต)ก็มีหน้าที่สั่งสอน ในด้านจริยะ(ความประพฤติ) และให้คำแนะนำแก้ไขเมื่อกรรมฐานที่เราฝึกมันไปต่อไม่ได้ โดยหลักใหญ่ๆที่ครูท่านว่าควรทำก็คือ
    1.ไม่เคารพกราบไหว้สิ่งอื่นใด นอกจาก 1)พระพุทธเจ้า เหตุผลเพราะว่า ท่านคือลูกผู้ชายที่สละความสุขมาทำตัวเป็นแบบอย่างให้พวกเราเห็ว่าศักยภาพของมนุษย์สามารถหลุดพ้นได้ด้วยตัวเองหากปฏิบัติถูกทาง 2)พระธรรม เหตุผลเพราะว่า ใครก็ตามถ้าทำตามธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไม่มีทางตกไปสูี่ทางที่ต่ำ 3)พระสงฆ์ เหตุผลเพราะว่า พระพุทธเจ้าจะเก่งแค่ไหนก็มีอายุแค่ 80 ปี ถ้าไม่มีพระสงฆ์สืบทอดพระธรรมต่อมา เราคงไม่ได้รู้จักกับพระศาสนา 4)พ่อแม่ เหตุผลเพราะว่าเราได้ชีวิตจากอสุจิของพ่อ เลือดเนื้อจากไข่ของแม่ หากไม่มีท่านทั้ง 2 ก็คงไม่มีเรา 5)ครูอาจารย์ เหตุผลเพราะว่า พ่อแม่ต้องทำงานตลอดเพื่อเพื่อเลี้ยงดูเรา ไม่มีเวลาสั่งสอน ความรู้ทั้งหลายล้วนได้จากครู 6.ธรณี (องค์คุณของธรรมชาติ) เหตุผลเพราะว่า อาหาร เสื้อผ้า แม้แต่การเดินเหิน ล้วนต้องอาศัยแผ่นดิน ปราศจากแผ่นดินแล้ว 5 ฐานะที่กล่าวมาล้วนไม่สามารถเกิดขึ้นหรือดำรงอยู่ได้
    ส่วนอย่างอื่น เช่นภูตผีเทวดา ถ้าเราสัมผัสได้ก็แค่ให้เคารพในการมีอยู่ของเค้า แต่ไม่ต้องถึงขนาดกราบไหว้บูชา ให้ถือแค่ว่าเค้าคือผู้เกิดร่วมวัฏฏสงสารเดียวกันกับเรา อยู่ภายใต้ร่มเงา 6 ฐานะข้างต้นเหมือนพวกเรา จึงป่วยการที่จะไปกราบไหว้
    2. ไม่ต้มตุ๋นหลอกลวง ไม่ประกาศตัว ไม่อาสาในการช่วยเหลือใคร ช่วยคนที่เขาขอร้องให้ช่วยเท่านั้น เพื่อเป็นการไม่เข้าไปยุ่งเวรกรรมของบุคคลอื่นโดยไม่จำเป็น
    3.ไม่กินของในงานศพ เพราะงานศพมีทั้งอบายมุขและการรวมตัวกันของผู้ไม่รู้ที่มา จึงห้ามเพื่อป้องกันการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
    4.ห้ามกินของเหลือเดนใคร เพื่อให้ระวังในการบริโภค และส่งเสริมการทำตัวให้เป็นคนอยู่แบบเอกา (คือถือสันโดษ)
    5.นอกจากค่าครู ห้ามเรียกร้องค่าตอบแทนอื่นใด หากจะเรียกร้องให้บอกตามตรงว่าขอ อย่าเอาครูมาอ้าง และถ้ามีการครหาว่าเอาค่าครูเป็นค่าจ้าง หลังจากเสร็จพิธีช่วยให้คืนค่าครูแก่เจ้าของทั้งหมด
    6.และเพราะหมอธรรมเป็นฆราวาส ไม่จำเป็นต้องถือศีลเคร่งอย่างสงฆ์ จึงมีคำแนะนำกว้างๆว่า สิ่งที่สังคมมองว่ามันผิดศีลธรรม อย่าทำ อย่าส่งเสริม อย่าเข้าไปคลุกคลี
    ทั้งหมดนี้ ใช้คำว่าควรทำ ไม่ใช้คำว่าต้องทำ ก็เพราะไม่ได้บังคับเด็ดขาด เพียงแต่แนะนำว่าถ้าทำได้ก็เป็นผลดีต่อการปฏิบัติ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็จะได้ชื่อว่าเป็นเด็กดื้อ ถึงครูอาจารย์ไม่ลงโทษ แต่ท่านก็มีสิทธิ์ปล่อยไม่เอาใจใส่ในฐานะไม่เชื่อฟังก็ว่าอะไรอาจารย์ไม่ได้ เมื่อทำผิดคำสั่งครูไปแล้วเกิดเรื่อง ครูอาจารย์มีสิทธิ์เมินเฉยไม่ให้ความช่วยเหลือ เพราะถือว่า บอกแล้ว สอนแล้ว ไม่เอาตามเอง ดื้อ ก็ต้องแก้เอง
    และเมื่อบางอย่างมีความเป็นไสย์ปะปน ครูอาจารย์จะไม่สอน จนกว่าจะเรียนธรรมะจนเข้าใจแนวทางที่พระพุทธเจ้าวางไว้ เพื่อไม่ให้นำสิ่งนั้นไปใช้ด้วยความเป็นกรรมเป็นเวร
    ฉนั้นเพื่อให้แตกต่างจากไสยศาสตร์ทั่วไป ท่านจึงสอนว่า ถึงแม้เรียนไสย์แต่อย่าละทิ้งหรือห่างจากธรรมของพระพุทธเจ้า ขออนุญาตยกตัวอย่างประวัติหลวงปู่อ่อนอีกครั้ง หากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านว่าวิชาหมอธรรมไม่ดีจริง ทำไมตอนอาจารย์อ่อนกับลุงสนทนากันแล้วถามถึงหลัก "วัตร6 กก5" ทำไมพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นถึงได้เสียเวลาอธิบายสอนอาจารย์อ่อนว่าวัตร 6 กก 5 ของวิชาธรรมคืออะไร? ในเหตุนี้ครูของผมสอนว่าธรรมสมัยก่อนเน้นธรรมจริงๆ แต่ต่อมาผู้เรียนนำวิชานี้เข้าเมืองเจอลาภสักการะ เลยลืมไปว่าการบริกรรมวิชาธรรมนั้นสามารถส่งผลให้ถึงองค์ฌาน 4 ได้ แต่ผู้ฝึกจะเลือกการใช้องค์ฌาน 4 เพื่อเป็นฐานเข้าสู่วิปัสสนา หรือว่ายึดองค์ฌาน 4 เพื่อสร้างฤทธิ์แล้วพอใจอยู่แค่นั้นเพราะเห็นแก่ลาภสักการะ บังเอิญว่ากิเลสคนมักแพ้ลาภสักการระ เลยทำให้ผู้เรียนธรรมบางท่านได้ปฏิรูปคำสอนพร้อมตั้งตั้งกฏแปลกๆเพื่อรักษาลาภสักการระและเป็นการหน่วงเหนี่ยวลูกศิษย์ไว้ เช่น ปั่นธรรมขึ้นแล้วให้คล้อยตามแทนที่จะให้พิจารณาวาระจิต ใครออกเป็นปอบ ใครไม่นับถือ ตาย เป็นต้น แล้วพอสอนกันต่อๆมา ธรรมเลยผิดเพี้ยนจากของเดิมไปทุกที จนโดนคนเอาไปก่นด่า พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านจึงต้องแนะนำส่วนที่ดีของวิชาธรรมให้อาจารย์อ่อนเข้าใจ เช่นเอาส่วนของการบริกรรมมาใช้ และตัดส่วนที่เป็นเนื้อร้ายทิ้ง เช่น การยึดมั่นกับขันธ์และแรงครูให้มีความเป็นพุทธอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าหากคนฝึกวิชาธรรมด้วยความเข้าใจไม่ใช่งมงาย พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านก็ไม่ห้าม ยกตัวอย่างเช่น ท่านพ่อลีวัดอโศการาม และหลวงพ่อฟัก จ.จันทบุรี พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเวลาอยู่เป็นกันเอง ก็ยังออกปากเรียก 2 ท่านนี้ว่าธรรมลี ธรรมฟัก แต่ถ้าใครฝึกแล้วเอาไปในแนวนั่งหวย ทำเสน่ห์ ทำคุณ ท่านจะติเตียนพวกนั้นอย่างแรง เพราะทำตัวผิดจากวิถีพุทธพจน์ เพราะป้องกันหมอธรรมเพี้ยนเป็นไสย์โดยไม่รู้ตัว ครูผมเลยบอกสั้นๆ " ทำตามที่พระพุทธเจ้าอนุญาต อย่าหักล้างสิ่งที่พระพุทธเจ้าห้าม" การมีครูแล้วไหว้ครูด้วยความเคารพพระพุทธองค์ก็ทรงสรรเสริญ แต่ถ้าบวงสรวงในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลอะไรต่อมิอะไร พระพุทธองค์ก็คงไม่ทรงยินดีด้วยแน่ๆ ผมหวังว่าแนวกว้างๆที่ผมเล่าสู่กันฟังนี้ คงจะเป็นข้อมูลแลกเปลี่ยนที่สร้างความเข้าใจในสิ่งที่ผมจะสื่อพอสมควร และก็ขอขอบคุณและยินดีนะครับ ที่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน แต่หากสิ่งที่ผมสื่อไปกระทบกระเทือนผู้ถือธรรมท่านอื่นโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ผมก็ขอโทษขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ผมหวังว่าเวปบอร์ดนี้คงจะเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสำหรับผู้ที่มีความเห็นแบบเดียวกันและผู้มีความเห็นต่างด้วยมุ่งประสงค์ความเข้าใจมากกว่าความขัดแย้ง ขอบคุณครับ *-*
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2012
  12. ขอพ้นทุกข์

    ขอพ้นทุกข์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +402
    ขอบคุณคุณคงหมิงเป็นอย่างสูง ที่อุตส่าห์เล่าความเป็นมาและแนวปฏิบัติ และทำให้เข้าใจความรู้สึกหรือความเห็นของคุณได้พอสมควร เอาหละครับ ผมจะไม่พูดว่าถูกหรือผิด เพราะผมเองเป็นเพียงผู้ศึกษาและผ่านมา เท่าที่ฟังเห็นว่าท่านเป็นผู้มีความรู้เรื่องนี้ดีคนหนึ่ง และรู้จักเส้นแบ่งความดี และความไม่ดีอยู่ และผมก็ไม่ขออกความเห็นใดๆๆอีก ผมเองไม่ได้เรียนวิชาพวกนี้ แต่ก็แค่ศึกษาคาถา ของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ท่านแนะำนำเท่านั้นก็คงพอ ท่านว่า คาถาจะสำเร็จได้ด้วย ศิล และจิตเป็นสมาธิ คือเป็นหนึ่งเดียว ส่วนเรื่องเรียนธรรมที่ผมถามเพราะผมพึ่งเคยเจอคนที่เรียนและอธิบายว่าธรรมที่เราโต้เถึยงกันนี้ ไม่ใช่เรื่องนอกศาสนา ผมก็เลยยกประวัติ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริมาเป็นบท อ้างอิง ว่าหลวงปู่มั่นท่านว่าอย่างไร แต่ผมค้านท่านนิดหนึ่ง ที่ท่านบอกว่าหลวงปู่มั่น ท่านเรียกท่านพ่อลี ว่าธรรมลี กับหลวงปู่ฟัก ว่าท่านฟัก นั้นท่านให้ความเห็นว่า สองท่านเรียนธรรม แต่ตามความเข้าใจผม ผมเข้าใจว่าที่ท่านเอ็นดูเรียกหลวงปู่ทั้งสองและเรียกอย่างนั้น ผมเข้าใจว่าท่านหมายถึงผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว เหมือนหลวงปู่บ้านตาดเรียกธรรมลี(หลวงปู่ลี ถ้ำผาแดง) หรือเศรษฐีธรรม ผมเคยเข้าใจเหมือนท่านนะครั้งแรกที่ผมได้ยิน แต่มาฟังเทศน์หลวงตาบ่อยครั้งเข้า ประกอบกับผมเคยอุปฐากอาจารย์รูปหนึ่งที่ท่านเคยบวชและธุดงกับ หลวงปู่ลีสมัยแรกๆๆท่านเล่าให้ฟังว่าตอนที่ท่านอยู่วัดบ้านตาดหลวงตาท่านจะเตือนพระเณรเสมอว่าทำนองให้ระวัง กายวาจาใจ เมื่ออยู่กับหลวงปู่ลี เพราะท่านบริสุทธิ์แล้ว พ้นทุกข์แล้ว ผมจึงเห็นว่าการที่หลวงตาท่านเรียกธรรมลี เพราะท่านหมายถึงหลวงปู่ลี ผู้ที่เห็นธรรมแล้ว ต่างหาก ผิดพลาดล่วงเกินใดๆๆขออโหสิกรรมด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กรกฎาคม 2012
  13. คงหมิง

    คงหมิง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +59
    ยินดีน้อมรับครับผม หวังว่าคงได้มีโอกาสสนทนาธรรมเรื่องอื่นๆกันในโอกาสต่อไป การไม่เชื่ออะไรง่ายๆพร้อมคุยพร้อมพิสูจน์ นี่แหละที่เป็นคุณสมบัติพิเศษของชาวพุทธ ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  14. wit_nu

    wit_nu Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +90
    น่าสนใจครับ อยากเรียนอย่างท่าน คงหมิง บ้างต้องทำยังไงครับ เรียนได้ที่ไหน
     
  15. คงหมิง

    คงหมิง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +59
    สายผมเรียนมาจาก จ.ศรีสะเกษครับ แต่ผมว่าก่อนที่จะเรียนรู้ควรผ่านการพูดคุยให้เข้าใจกันก่อนจะดีกว่า เพราะหลายอย่างก็ค่อนข้างแตกต่างจากที่ชาวโลกเค้าเชื่อหรือเข้าใจกัน อาทิเช่น หลายคนเรียนวิชาธรรม พอผ่านมาจากรุ่นสู่รุ่น ก็มีการใช้วิชาธรรมไปในทางที่ผิด เช่นเล่นเป็นคุณไสย์ แล้วก็กล่าวอ้างว่าเป็นหมอธรรม (ก็แน่ละ ชื่อที่ผ่านมาจากรุ่นสู่รุ่นก็คือวิชาธรรม แต่ตัวคนสืบต่อมันกลายไปเป็นแบบหมอไสย์ตั้งแต่รุ่นไหนไม่รู้ ตัวคนเปลี่ยน แต่ิชื่อวิชาไม่ได้เปลี่ยน) ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีคนที่พูดได้เต็มความภาคภูมิใจว่าเป็นหมอธรรมเยอะแยะไปหมดเพราะอ้างได้ว่าเรียนวิชาธรรมต่อๆกันมา แต่การปฏิบัติตัวเป็นธรรมด้วยหรือไม่ อันนี้แทบมะค่อยเหลือ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องวิบากกรรมหมอธรรมในรายการคนอวดผี เป็นต้น ที่บอกว่าตาเป็นหมอธรรม แต่พฤติกรรมต่างๆ เช่น แต่งงานกับผีฟ้า หรือตั้งหิ้งผีฟ้าคู่กับหิ้งหมอธรรม หรือมีกระโหลกสัตว์ในการทำพิธี ผิดวิสัยหมอธรรมล้วนๆ ทำให้คนส่วนมากเข้าใจหมอธรรมผิดไปอย่างสิ้นเชิง ผมจึงถือว่าเป็นหมอธรรมแต่ในนาม แต่พฤติกรรมไม่ใช่ บางสิ่งที่ผมจะพูดจึงอาจจะขัดหูหรือขัดใจผู้เรียนธรรมหลายๆท่านด้วยซ้ำ เช่น
    1. สายผมถือว่าไม่มีใครมาบันดาลให้เราบรรลุธรรมได้ ฉนั้น ครูบาอาจารย์บันดาลได้ในด้านฤทธิ์เพื่อใช้ในการรักษา ส่วนในด้านธรรมครูบาอาจารย์จะคอยมาสื่อเพื่อสอน เราต้องน้อมรับเพื่อเอามาทำความเข้าใจ ทำได้ไม่ได้อยู่ที่เรา
    2. ฤทธิ์กับธรรม อยู่คนละส่วน แต่สำหรับหมอธรรม 2 ส่วนนี้ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน โดยถ้ามีใจเข้าใจธรรมจะใช้ฤทธิ์สอดคล้องกับผลประโยชน์โดยไม่ตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์ แต่ถ้าเรียนโดยมุ่งหวังใช้ฤทธิ์โดยไม่สนใจพัฒนาธรรม เราก็จะตกอยู่ภายใต้การครอบงำของฤทธิ์ หลงระเริงไปกับมัน และทำให้การพัฒนาของธรรมถูกขวางกั้นโดยปริยาย สายผมจึงมุ่งธรรมก่อนเพื่อจิตตน และผสานกับฤทธิ์เพื่อผลในการรักษาผู้อื่นเท่านั้น
    3. การที่ฤทธิ์จะใช้ได้ผลแค่ไหน อยู่ที่ระดับภูมิธรรมของผู้เรียน เพราะต้องเข้าใจว่าวิชาธรรมใช้ธรรมในการรักษาไม่ใช่ใช้คาถาอาคมเป็นหลัก ฉนั้นวิธีการรักษาจะสูงต่ำยากง่าย ขึ้นอยู่กับระดับภูมิธรรมของผู้เรียน ครูอาจารย์สายผมเวลาเชิญมาท่านจะบอกเสมอว่าท่านจะแนะนำวิธีการรักษาได้เท่าที่ภูมิธรรมเรามี เช่น บางคนเรียนธรรมมา ไปรักษากี่ครั้งก็ปราบๆหรือไล่อย่างเดียวนั่นเพราะว่า ภูมิจิตเต็มไปด้วยโทสะจริต ไม่ผ่องใส องค์ธรรมชาติที่รับได้จึงเป็นแนวโทสะที่เหมาะสมกับจิต ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีของภูมิธรรมชั้นสูงได้เพราะระดับตัวเองไม่ถึง หรือบางคนปั่นธรรมตั้งนาน ธรรมจับแต่ไม่รู้ว่าจะตัวเองรู้อะไร ก็เพราะองค์ความรู้มันมี แต่ภูมิธรรมต่ำเกินกว่าจะเข้าใจ ดังนี้เป็นต้น สายผมจึงถือว่านอกจากเรียนวิชาแล้ว ต้องเฝ้าดูจิตเพื่อยกระดับให้สูง ในบางกรณีเมื่อเจอแบบยากๆ เกินกว่าที่จะแก้ได้ด้วยภูมิธรรมระดับล่าง เราก็จะได้พร้อมในการรับมือ เช่นบางคนบอกว่าเรียนธรรม แต่เค้าไม่ต้องปั่นธรรมเลย แค่ไปเจอหน้า เค้าตอบเราโป้งๆๆโดยไม่ต้องถาม พอถามเค้าว่าคุณไม่ต้องเชิญครูหรือปั่นธรรมหรือ เค้าบอกแค่ว่าเมื่อจิตสูงก็จะสัมผัสได้ตลอดเวลา เข้าใจได้ง่ายในทันที โดยไม่ต้องปั่น ไม่ต้องเสียเวลาเข้า หรือบางท่าน พอยกขันตั้งนะโมยังไม่จบดี เค้าก็บอกว่าพอแล้ว เข้าใจแล้ว จิตที่เร็วย่อมสื่อได้เร็ว
    4. ฤทธิ์กับธรรมค่อนข้างขัดแย้ง เมื่อพิจารณาธรรม จิตต้องปล่อยวาง ทำหน้าที่เป็นแค่ตัวเฝ้ามอง ไม่บงการ ไม่เข้าไปจับจด เข้าใจและยอมรับแค่ว่าทุกอย่างมันเป็นอย่างที่มันเป็น แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องใช้ฤทธิ์ จิตต้องเชื่อ ต้องมีการยึดมั่น ไม่งั้นฤทธิ์ไม่เกิด ฉนั้นเมื่อเข้าใจธรรมก่อนใช้ฤทธิ์ เราจะเข้าใจว่าตอนไหนเราควรใช้ ตอนไหนเราควรยึดมั่น เมื่อเสร็จธุระเราก็จะได้รู้ว่าถึงเวลาที่เราต้องวาง เหมือนพระอภิญญาในครั้งพุทธกาล ก็มีบันทึกไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่า เมื่อท่านต้องใช้ฤทธิ์ ท่านเข้าไปถึงฌาน 2 อธิษฐานยึดมั่นด้วยใจที่แน่วแน่ แล้วไปดึงพลังที่ยิ่งใหญ่จากฌา่น 4 (เหตุที่ไม่มาอธิษฐานที่ฌาน 4 เพราะว่าฌาน 4 มีความนิ่งจนปราศจากการคิด) พอถอยกลับมาฌาน 2 สิ่งที่อธิษฐานไว้ก็จะเกิดตามที่ท่านยึดไว้ แต่พอเสร็จธุระท่านก็ปล่อยวางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    ถ้าเท่าที่พูดมา รับได้ เข้าใจ หรือเห็นข้อขัดแย้งตรงไหนที่ผิดกับพุทธพจน์หรือความเชื่อแล้วเอามาคุยกันได้ ค่อยว่ากันครับ สวัสดีครับ
     
  16. ARUNNO

    ARUNNO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    820
    ค่าพลัง:
    +3,358
    กระทู้นี้ดีนะครับ ได้เปิดหูเปิดตากับความรู้ใหม่ที่อยู่ในโลกหนึ่งที่อยู่รายรอบตัวเราแต่เราไม่รู้หรือไม่ใส่ใจ เจ้าของกระทู้ไม่มาต่อความรู้อีกหรือครับ เงียบไปนานมากเลย
     
  17. ธรรมไก่

    ธรรมไก่ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2015
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    สวัสดีคะ ดิฉันเป็นสมาชิกใหม่ สนใจอยากรู้เรื่องวิชาธรรมบรรลุให้มากกว่านี้ มีใครช่วยให้ความกระจ่างได้ใหมคะ
     
  18. พญายา

    พญายา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,265
    ค่าพลัง:
    +8,171
    ในโลกนี้ยังมีวิชาอีกมาก ที่ถูกผู้มีอำนาจสูบคืนไปก็มี มีอาจารย์ที่นุ่งขาวห่มขาว ปลุกเสกเหรียญได้ขลัง ข้าพเจ้าได้สอบถามดู ลูกศิษย์บอกว่าที่ขลังเพราะ วิชาดวงธรรม แต่อาจจะเป็นคนละตัวกันกับของเจ้าของกระทู้ ลูกศิษย์บางคนที่ไปเรียนคิดล้างครูก็มีเพราะความโลภ บางคนมาเอาวัตถุมงคลด้วยความศรัทธา บางคนก็ตามมาดูด้วยความลบหลู่ สิ่งเหล่านี้เป็นของที่มองไม่เห็น ขอบคุณ
     

แชร์หน้านี้

Loading...