วิถี แห่ง การปฏิบัติ วิถี แห่ง พระอาจารย์ "มั่น" วิถี แห่ง ปฏิจจสมุปบาท

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 15 กรกฎาคม 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,489






    [​IMG]

    ขณะที่สำนวนของ พระมหาบัว ญาณสัมปันโน ว่า

    "จวนจะถึงวันลงจากถ้ำ ตอนกลางคืน ราว 4.00 นาฬิกา คือ 10 ทุ่ม ท่านคิดถึงท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดบรมนิวาส"

    คิดถึงว่า "เวลานี้ท่านจะพิจารณาอะไรอยู่"

    สำนวนของ พระญาณวิริยาจารย์ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า "ก็ปรากฏว่าท่านเจ้าคุณอุบาลี กำลังนั่งสมาธิอยู่ที่ศาลาเหลือง บนธรรมาสน์"

    เป็นเวลาราว 23.00 น. นั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก

    แม้ว่าสำนวนของ พระญาณวิริยาจารย์ จะระบุว่า "อยู่มาวันหนึ่งท่านนั่งกำหนดพิจารณาความละเอียดอยู่ในถ้ำสิงโตนั้น ได้ระลึกไปถึงท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์) ณ วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ"

    ท่านกำหนดด้วยว่า เป็นวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 8

    แม้สถานที่จะแตกต่างกัน แม้กาละที่อ้างอิงจะแตกต่างกัน แต่เนื้อหาแล้วกลับตรงกันและสำนวน พระญาณวิริยาจารย์ ได้จดจารไว้อย่างค่อนข้างละเอียด

    โปรดอ่าน

    กำลังพิจารณาถึง ปฏิจจสมุปบาท ว่า

    อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร

    สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ

    วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป

    นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ

    ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา

    เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา

    ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิด อุปทาน

    อุปทาน เป็นปัจจัยให้เกิด ภพ

    ภพ เป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ

    เมื่อเป็น ชาติ ก็ต้องมี ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาสะ และการพลัดพรากจากของรักของชอบ ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็น ทุกข์ นี้เหตุมาจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย

    และเมื่อยังมีอวิชชาอยู่ตราบใด ก็จะต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ตราบนั้น

    ก็ได้คำนึงถึงพระพุทธเจ้าที่ทรงพิจารณาถึง ปฏิจจสมุปบาท ว่าพระองค์ท่านได้ทวนกระแสกลับดูตัว อวิชชา

    จึงได้เริ่มทวนกระแสว่า เพราะเหตุใดจึงต้องแก่ ตาย โศกเศร้าเสียใจ ร้องไห้รำพัน คับแค้นแน่นใจ เพราะความพลัดพรากจากของชอบใจ พลาดหวัง

    ได้พิจารณาสิ่งเหล่านี้เพราะได้เกิดมาเป็นอัตภาพแห่งมนุษย์จะต้องประสบความเป็นเช่นนี้ทุกคน

    อัตภาพก็มาจาก ภพ ซึ่งเป็นผลมาจาก อุปทาน คือความเข้าไปยึดมั่นถือมั่น

    ก็ได้ถอยกลับมาจากที่ว่าก่อน อุปทาน นี้มาจากอะไร คือมาจาก ตัณหา คือความทะเยอทะยาน

    ความทะเยอทะยานเหล่านี้ก็มาจาก เวทนา คือความเสวยทุกข์ เสวยสุข

    ความเสวยทุกข์ เสวยสุข นี้ก็เนื่องมาจากอายตนะ คือ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์

    เช่น มีตาไปเห็นรูปก็เกิดความสุข ทุกข์ หูได้ยินเสียง จมูกได้ดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัสใจกระทบอารมณ์เกิดความทุกข์ สุข

    ก็นับเนื่องมาจาก นามรูป

    พิจารณาถอยร่น ปฏิจจสมุปบาท มาจนถึงรูปนามนี้แล้วเกิดความสงสัยว่า ถอยจากรูปนามยังมีวิญญาณและสังขาร แล้วจึงขึ้นต้นด้วยอวิชชาและวิญญาณ สังขารนี้ก็มีแล้วในนามรูป เหตุไฉนจึงมามีสังขารและวิญญาณโดยเฉพาะของตัวมันอีก

    เมื่อท่านสงสัยแล้วก็ได้เลิกพิจารณาในวันนั้น

    ปมเงื่อนมิได้อยู่ที่สิ่งเหล่านี้คือเงาสะท้อนแห่ง เจโตปริยญาณ ประการเดียว หากที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ธรรมระหว่างกัน

    ก็ดังที่สำนวน พระมหาบัว ญาณสัมปันโน ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว

    กระนั้น รายละเอียดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ธรรมของ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์กับ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต กลับมีรายละเอียดมากยิ่งกว่านั้น

    โดยเฉพาะที่เห็นได้จากสำนวน พระญาณวิริยาจารย์



    คอลัมน์ วิถีแห่งพระอาจารย์ใหญ่

    โดย ดวงเดือน ประดับดาว






    ที่มา : [​IMG]

    * คลิ๊กที่ logo จะไปยังหน้าที่มาของบทความค่ะ*
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2006
  2. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    สาธุ...สาธุ...สาธุ...ปฏิปทาของท่านพระอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ...
    ผู้ที่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษยานุศิษย์ตลอดไป...
     

แชร์หน้านี้

Loading...