ศาสตร์เหนือศาสตร์..คือ.."วจนพุทธะ"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย yutkanlaya, 9 พฤษภาคม 2009.

  1. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    ศาสตร์เหนือศาสตร์คือ"วจนพุทธะ"

    By thaipost
    Created 8 May 2552 - 00:00

    วันนี้-ศุกร์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีฉลู เป็นวันเพ็ญ กลางเดือนหก เป็นวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพาน ตรงวันเดียวกัน ต่างเพียงปีเท่านั้น และนับแต่วันเสด็จดับขันธปรินิพพาน ถึง ณ วันนี้ กาลก็ล่วงมาแล้ว ๒๕๕๒ ปี และพุทธศาสนิกชนทั่วโลกปรารภเหตุมหัศจรรย์แห่งวันทั้ง ๓ นั้นขึ้นเป็น "วันวิสาขบูชา" บางแห่งก็เรียกว่า "วันพุทธชยันตี" หรือวันพระพุทธเจ้า

    ประเทศไทยเรานี้ เป็นพุทธเถรวาท เรียกวันเพ็ญกลางเดือนหกนี้ว่า "วันวิสาขบูชา" และคำว่าวิสาขบูชานี้ คำเต็มๆ ก็คือ "วิสาขปูรณมีบูชา" แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ เดือนวิสาขะเป็นเดือนที่สองตามปฏิทินอินเดีย แต่ไทยเราใช้ปฏิทินจันทรคติ แต่ไม่ต้องสงสัยอะไรหรอกครับ เพราะเดือนวิสาขะของอินเดีย ก็ตรงกับเพ็ญกลางเดือน ๖ ของไทยเรา

    วันเดียวกัน ต่างตรงชื่อเรียกเท่านั้น!

    ก็อยากอำนวยความสะดวกในการศึกษาถึงวันสำคัญทั้งสามนี้ไว้สักเล็กน้อย คือจำๆ ติดหัว-ติดตัวกันไว้บ้างก็ดีในฐานะเกิดเป็นคนไทย อยู่ในแผ่นดินใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา เผื่อเพื่อนต่างชาติ-ต่างศาสนาเขาถาม จะได้ตอบเขาถูก และไม่อายขายขี้หน้าเขา ผมค้นๆ ลอกๆ จากวิกิพีเดียมาให้ ดังนี้ครับ

    วันวิสาขบูชา เป็นเป็นวันที่ระลึกถึงวันที่เป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ตรงกันทั้ง 3 คราว คือ

    เช้าวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ ประสูติ ที่พระราชอุทยานลุมพินีวัน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ

    เช้ามืดวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี เจ้าชายสิทธัตถะได้ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนหลังจากออกผนวชได้ 6 ปี

    ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย หลังจากตรัสรู้แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงออกประกาศพระธรรมวินัย และโปรดเวไนยสัตว์เป็นเวลา 45 ปี จนเมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา ก็ เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมืองกุสีนคระ แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย)

    ครับ..ก็จบความเท่านี้ ถ้าถามกันต่อว่า "แล้วพระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร?" ตรงนี้ตอบง่ายมากครับ เพราะสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน ๒ อย่างเท่านั้น คือ

    ทรงสอน "เรื่องทุกข์"

    กับทรงสอน "เรื่องออกจากทุกข์"

    เนี่ยะ..๔๕ ปี ในจำนวน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น ทั้งหลาย-ทั้งปวง องค์พระสัพพัญญู พระผู้รู้แจ้งโลก ทรงสอนเวไนยสัตว์สรุปรวมอยู่ใน ๒ ประเด็นนี้เท่านั้น!

    และถ้าใครต้องการ "เข้าถึง" พระธรรมคำสอนทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น แต่หาทางเข้าถึงอย่างไร หลงทาง-เข้าไม่ถึงสักที พระบรมศาสดาเจ้าทรงมอบกุญแจไขพระธรรมไว้ให้ ๑ ดอกครับ กุญแจนั้นมีชื่อว่า

    กุญแจต้องถอน "อุปาทาน" คือถอนการยึดมั่น-ถือมั่น หรือที่หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ท่านเรียกว่า "ตัวกู-ของกู" นั่นแหละ!

    ถ้าไม่ยึดมั่น-ถือมั่น คือไม่ยึดมั่น-ถือมั่นในสรรพสิ่งอันเป็นแค่การรวมตัวกันของขันธ์ทั้ง ๕ ประกอบเข้าด้วยกัน กาย เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นตัวกู-ของกูเสียแล้ว ปล่อยวางหมดด้วยเข้าใจถึงความจริงแท้ว่า สรรพสิ่ง ไม่เที่ยง ไม่คงที่ รวมตัวกันเกิดขึ้นมา ดำรงสภาพอยู่สักพัก แล้วก็แปรเปลี่ยน และดับสลายไป

    ถ้าหลงยึดจะเป็นทุกข์ เพราะทั้งหลาย-ทั้งปวงนั้น มันไม่มีตัวตนอะไรเลย เพียง ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ดำรงรวมกันอยู่ในสภาพหนึ่งๆ เท่านั้น ถึงวันหนึ่งก็แยกย้ายสลายสภาพกันไป น้ำสู่น้ำ ดินสู่ดิน ลมสู่ลม และไฟสู่ไฟ ไม่มีอะไรที่เรียกว่ารูป หรือกายอยู่ให้ปรากฏอีก!

    ที่เห็นเป็นโน่น-เป็นนี่ เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นภูเขา ก็เพราะอุปาทาน เข้าไปยึด เข้าไปทึกทักเอาเองตะหาก แท้จริงแล้ว มันเป็นอย่างที่เป็นอยู่ แต่เราไปทึกทักให้เป็นโน่น-เป็นนี่เอง โง่เอง เซ่อเอง แล้วจะไปโทษใคร

    เขกหัวตัวเองซักป๊อกซิ ตัวอุปาทานจะได้สะดุ้งไงล่ะ!

    จบ...!!

    ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์แห่งคำสอนพระบรมศาสดาเจ้า สรุปลงเท่านี้แหละ.....

    โจทย์ คือ ทุกข์ กับไม่ทุกข์

    กุญแจไขโจทย์ คือ อุปาทาน

    ใครจะไปสวรรค์ ไปนรก หรือไปนิพพาน แค่รู้พระธรรมจากคำสอนเฉยๆ พระพุทธองค์ก็ทรงช่วยให้ใครไปไม่ได้ จนกว่า "ทุกคน" จะนำสิ่งที่รู้นั้นไปปฏิบัติเคร่งครัดจน "เห็นจริงแท้" ด้วยตัวเองนั่นแหละ จะไปแค่สวรรค์ หรือทะลุถึงโลกุตระ "พ้นโลก" ไปเลย ก็เชิญตามสบาย

    พระพุทธศาสนาเป็น "ศาสนาของคนมีปัญญา" ก็เพราะอย่างนี้ แค่นั่งเพ่งหิน เพ่งพระจันทร์ เพ่งพระอาทิตย์ จนตัวลอย เหาะเหินได้ นั่นก็ยังโง่อยู่ ตายแล้วยังอาจตกนรก การเหาะเหินได้ไม่ช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้ เพราะการทำอย่างนั้น ไม่ได้ใช้ปัญญา ใช้แค่ความเพียร ใช้แค่สมาธิ "อันไม่ประกอบด้วยปัญญา" เท่านั้นเอง

    ถ้าแค่มีความเพียร มีสมาธิแล้ว "พ้นทุกข์" ได้ ไปสวรรค์ได้ พวกโจร-ขโมย มันก็คงได้ขึ้นสวรรค์กันหมด เพราะการจะปล้น หรือการจะขโมย มันต้องมีสมาธิงัดประตูบ้าน มีสมาธิเล็งปืนยิง เป้ง..เป้ง และมีความเพียรเวียนมาดูลาดเลาจนทะลุปรุโปร่งในเส้นทาง แต่โจรมันไปสวรรค์ไม่ได้ ต้องไปนรก ไปเข้าคุกแทน นั่นก็เพราะ

    มีสมาธิ มีความเพียร แต่....ไม่มีปัญญานั่นเอง!

    คนที่เข้าถึงพุทธแท้ไม่ใช่โง่ เพราะคนโง่แท้ย่อมเข้าไม่ถึงพุทธ การเข้าถึงพุทธได้ต้องใช้ปัญญาตรองหาเหตุและผลในทุกสิ่งจนลงตัวด้วยเหตุและผลของมัน ในขั้นที่เรียกว่าปรมัตถสัจจะนั่นแหละ...จึงเชื่อ

    นิวตัน ก็ดี อคิเมดิส ก็ดี กาลิเลโอ ก็ดี อริสโตเติล ก็ดี กระทั่ง ไอน์สไตน์ หรือ สตีเฟน ฮอว์คิง ณ วันนี้ ก็ดี แค่มีปัญญารู้เท่านั้น แต่ไม่มีปัญญารู้จริง และรู้แจ้ง ฉะนั้น นักวิทยาศาสตร์แต่ละคนสามารถรู้เท่าที่ตัวเองมีปัญญารู้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น อย่างอริสโตเติล บอกว่าโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล มีพระอาทิตย์ พระจันทร์หมุนรอบ

    โห...ตื่นตะลึงตึงตึงกันไปทั้งโลก และก็เชื่อกันอย่างนั้นต่อๆ มาเป็นร้อยเป็นพันปี จนกระทั่งโคเพอร์นิคัส นักดาราศาสตร์รุ่นต่อๆ มา นั่งๆ นอนๆ แล้วใช้ปัญญารู้ทำการบ้านก็บอก เฮ้ย..ไม่ใช่ อริสโตเติลไม่รู้จริง บอกไว้ผิดๆ พระอาทิตย์ตะหากเป็นศูนย์กลางสุริยจักรวาล ส่วนโลกนั่นหมุนรอบพระอาทิตย์และรอบตัวเอง

    เอ้า...เฮโลมาเชื่อกันใหม่อีก ที่เชื่อกันมาแต่เดิมไม่ใช่แล้ว ค้นพบใหม่แล้ว นี่แหละที่เรียกว่าปัญญารู้ คือรู้ชั่วแขนง-ชั่วขณะ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เรายอมรับกันว่าเป็นมนุษย์เยี่ยมยอดปัญญา แต่เราก็เคยได้ยินข่าวอยู่มิใช่หรือว่า "นักวิทยาศาสตร์ฆ่าตัวตาย"!?

    รู้โลก รู้ศาสตร์ รู้จักรวาล สารพัดรู้ แต่ไม่รู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตตัวเอง ปัญญาอย่างนี้เขาเรียกว่า "ปัญญาท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด!"

    มีอยู่ศาสตร์เดียวเท่านั้นในโลก หรือจะพูดว่าในเอกภพ หรือในจักรวาลนี้ก็ได้ คือ "พุทธศาสตร์" ที่สามารถพูดได้-บอกได้ว่า ทุกคำจากโอษฐ์พระพุทธองค์ตรัสไว้เมื่อ ๒๕๕๒ ปีผ่านมา ไม่มีสักคำเดียวที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ณ วันนั้น จะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงในวันนี้ หรือจะมีใครสามารถพิสูจน์พบใหม่ นำมายืนยันขอแก้ไขว่า ไม่จริง..ไม่ใช่ และที่จริง ที่ใช่เป็นอย่างนี้...อย่างนี้!

    ตรงกันข้ามกับศาสตร์อื่นๆ ทั่วไป โดยเฉพาะที่เรียกว่า "วิทยาศาสตร์" มีการค้นพบใหม่ มีการเปลี่ยนแปลง-แก้ไขสิ่งที่บอกว่า..ใช่ ในยุคหนึ่ง-สมัยหนึ่ง ซึ่งมาถึงอีกยุคหนึ่ง-สมัยหนึ่งก็บอกว่าไม่ใช่เสียแล้ว

    และผมก็เชื่อว่า การค้นพบทางศาสตร์ต่างๆ ในเวลานี้ที่เชื่อถือ-ยึดถือกันอยู่ ต่อไปในอนาคต ก็จะมีคนค้นพบใหม่ และขอเปลี่ยนแปลง-แก้ไขสิ่งที่ยึดถือว่าใช่ในวันนี้ไปเป็นอย่างอื่นอีก

    ยกเว้น "พุทธศาสตร์" ต่อให้พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป "พระศรีอาริยเมตไตรย" คืนมนุษย์โลกใหม่ในอีก ๒,๕๐๐ ปีข้างหน้า พระธรรมที่พระศรีอาริยเมตไตรยตรัสรู้ ก็คือพระธรรมอันเป็น "ความจริงแท้" ตามธรรมชาติดังที่ "เจ้าชายสิทธัตถะ" ตรัสรู้ และตรัสไว้ตาม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี่แหละ!

    ฉะนั้น ต่อไปนี้ ใครก็อย่าพูดว่า "คำสอนพระพุทธเจ้าเป็นวิทยาศาสตร์" เป็นอันขาด!

    วิทยาศาสตร์ "ต่ำชั้น" กว่าพุทธศาสตร์ชนิดเทียบกันไม่ได้เลย!!

    เพราะคำสอนพระพุทธเจ้าเป็น "ความจริงแท้" ของสรรพสิ่ง ในสรรพจักรวาล กี่ร้อย กี่ล้าน กี่โกฏปี คำที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ก็จะเป็นจริงแท้ตามนั้น จะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เป็นคำสอนให้ผู้ปฏิบัติตามอยู่เหนือโลก-เหนือจักรวาลได้จริง

    ส่วนคำสอนทางวิทยาศาสตร์ แค่วัน-แค่ชั่วโมง บางทีก็แปรเปลี่ยน ขอแก้ไขเป็นอย่างอื่นไปแล้ว เพราะไม่ใช่ความจริงแท้ ไปได้ไกลขนาดไหน ก็วนเวียนอยู่ในโลก ในจักรวาลนี้เท่านั้นแหละ!

    ก็ขอให้ "วิสาขปูรณมีบูชา" นี้ กระจ่างจ้า ทรงกลด อยู่หว่างใจ ไทย-พุทธบุตรไปตลอดกาล.

     
  2. ฟิล์มจ้า

    ฟิล์มจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +116
    สวัสดีค่า ขอบคุณนะคะที่โพส ฟิล์มฟังแล้วยิ้มออกเลยค่ะ อิอิ เหมือนเกิดปัญญาไม่ต้องไปวุ่นวายอะไรอื่นๆ แค่รู้ทุกข์กะหาทางดับทุกข์ จบ พูดเหมือนง่าย แต่ทำยากยิ่งกว่าอะไรอีก ใครทำได้ฟิล์มว่าจบเลยค่ะ สุดๆแล้ว ไม่ยึดมั่งถือมั่น ว่างเปล่า ไม่ยึดติด ใช้ปัญญา คนมากมายยังยึดติด ฟิล์มก็ด้วย โดยเฉพาะทางความคิด หลายคนคิดไม่ตรงกัน อันนั้นฉันถูก อันนี้ฉันก็ถูก เถียงกันไปเถียงกันมา บางคนถึงขนาดกลั้นไม่อยู่ ควบคุมสติไม่ได้และปัญญาก็หาย ฆ่ากันตายเพราความคิดทั้งนั้น บางทีถูกไม่ถูก ดีไม่ดีไม่รู้ ตูไม่ฟัง แต่ตูเชื่ออย่างเนี้ย ตูว่าตูถูก แล้วใครจะทามใม ก็เป็นกันซะอย่างนั้น ฟิล์มมีเพื่อนอยู่คนนึงเคานิสัยดีค่ะแต่เรียนวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ได้ผิดอะไร คุยกันได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียวเค้าจะพยายามหลีกเมื่อฟิล์มเริ่มเปิดประเด็ด ไม่ขอเอ่ยว่าเรื่องอันใดนะคะ บอกได้แต่ว่า ฮิตมากกกกฆ่ากันตายก็เพราะเรื่องนี้หละค่ะ พอเริ่มพูดเพื่อนจะเลี่ยงและก็บอกว่า อย่าพูดเลยเดี๋ยวผิดใจกันป่าวๆ ฟิล์มรับฟังได้หมดก็เลยเปิดโอกาสให้เพื่อนปล่อยออกมาว่าคิดอย่างไรบ้าง แรกๆไม่ยอมหลังๆ ปล่อยออกมาหมด ฟิล์มได้แต่นั้งเงียบค่ะ ขืนพูดไรไปเดี๋ยวเป็นอย่างมานว่า อิอิ ไม่หลอกค่ะฟิล์มจะแค่ฟัง แล้วก็คิดแค่นั้น คำสุดท้ายเพื่อนบอกว่า ไม่รู้อ่ะคนเราเมื่อมันเชื่อมั่นอะไรอย่างนึงแล้วมันก็ยากที่จะเปลี่ยน เหอๆๆ ฟิล์มก็คิดในใจก็ไปยึดซะอย่างนั้นและก็เลยเป็นแบบนี้ ถูกหรือไม่ไม่สนตูจะเชื่อ ฟิล์มก็เงียบๆไปเลยค่ะ จะเริ่มคุยกะเพื่อนอีกทีไม่รู้จะเริ่มเข้าหาอย่างไร ก็เพราะเราเห็นในอีกด้านที่เพื่อนมานไม่เคยโชว์ให้เห็นในความคิดที่อัดแน่นไปด้วยความเครียดแค้นที่ มานก็ไม่ได้รู้จริงว่าถูกผิดคืออะไร มานปิดสมองอีกด้านที่จะรับฟังเลยค่ะ ฟิล์มก็มาคิดในใจเชื่อมานแต่ทีแรกซะก็ดี 555++จะได้มองหน้ากันติด อิอิ

    ขออนุโมทนานะคะ ขอบคุณที่มาให้ความกระจ่างค่าอันนี้ฟังด้วยหูแล้วก็เกิดปัญญา ว่าจริงตามพระพุทธองค์ตรัสทุกประการ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...