ศาสนาเขา ศาสนาเรา

ศาสนาเขา ศาสนาเรา

โดย วสิษฐ เดชกุญชร



อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ 25 ธันวาคม วัน "คริสต์มาส" อันเป็นวันคล้าย วันประสูติของพระเยซูคริสต์ ที่คริสต์ศาสนิกชนทั่วโลกถือเป็นวันสำคัญยิ่ง ต้องเฉลิมฉลองกันอย่างเอิกเกริก

เมืองไทยมีผู้นับถือศาสนาคริสเตียนประมาณ 350,000 คน นับว่าไม่น้อย ผมเองแม้จะเป็นพุทธศาสนิก แต่ก็รู้จักศาสนาคริสต์ เพราะนอกจากจะมีเพื่อนที่นับถือศาสนานั้น และเคยตามเพื่อนเข้าไปในโบสถ์คริสต์หลายครั้งมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กแล้ว ยังเคยโดนผู้สอนศาสนาคริสเตียนบางนิกายพยายามหว่านล้อม ชักชวนให้นับถือศาสนานั้น ทำให้ผมได้เคยอ่านคัมภีร์ไบเบิล อันเป็นเหมือนหนึ่งพระไตรปิฎกของศาสนาคริสต์ด้วย

ศาสนาคริสต์ก็เหมือนกับศาสนาอื่นๆ คือมีหลายนิกาย แต่ละนิกายมีวิธีปฏิบัติที่ต่างกับนิกายอื่น ความแตกต่างระหว่างนิกายนั้น บางทีบางสมัยก็เป็นเหตุให้ชาวคริสต์ขัดแย้งกัน จนกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมือง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือความแตกต่างและขัดแย้งกันระหว่างนิกายโรมันคาทอลิก กับนิกายโปรเตสแตนต์

คนชาติอื่นที่นับถือศาสนาอื่นมักจะลืมไปว่าศาสนาคริสต์มีหลายนิกาย และมักจะเรียกฝรั่งอย่างรวมๆ ว่าคริสเตียน ทั้งๆ ที่ความจริงฝรั่งเป็นคริสเตียนต่างนิกายกัน บางนิกายอย่างมอร์มอนนั้น คริสเตียนด้วยกันออกจะดูแคลนและเห็นว่าเพี้ยน เพราะมีวิธีปฏิบัติที่เคร่งครัดเกินสมควร

เมื่อไม่นานมานี้ ผลการสำรวจและประชุมเรื่องศาสนาและชีวิตสาธารณะ ซึ่งศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) ในสหรัฐอเมริกาจัดให้มีขึ้น ปรากฏว่าคนอเมริกันที่เป็นคริสเตียนเป็นจำนวนมาก นับถือและปฏิบัติศาสนกิจแตกต่างกัน บางคนยอมรับว่าเข้าโบสถ์ต่างนิกาย แม้จะไม่ได้อยู่ในระหว่างการเดินทาง (ซึ่งทำให้เจาะจงโบสถ์นิกายของตนไม่ได้) หรือมิได้อยู่ในกรณีพิเศษ เช่น การแต่งงานหรืองานศพ

ที่น่าสนใจก็คือ ฝรั่งอเมริกันคริสเตียนหลายคน ผนวกเอาความเชื่อทางศาสนาของโลกซีกตะวันออก หรือลัทธิที่เรียกว่า "ยุคใหม่ (New Age)" เข้าไปด้วย เช่น เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด เชื่อหมอดูหรือโหราศาสตร์ หรือเชื่อเรื่องวิญญาณที่สิงในร่าง หรือในวัตถุ เช่น ภูเขา ต้นไม้ หรือแก้วผลึก และยังมีอยู่อีกไม่น้อยที่ยืนยันว่าเคยประสบเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ เช่น ติดต่อได้กับคนที่ตายไปแล้ว หรือกับผีปีศาจ

ที่เชื่อว่าคนด้วยกันมีตาผี (evil eye) หรือสามารถจะสาปแช่งให้อัปมงคล เกิดแก่ผู้อื่นได้ก็มีเหมือนกัน แม้จะเป็นส่วนน้อย

น่าสังเกตว่า แม้จะมีการพูดถึงความเชื่อทางศาสนาของโลกซีกตะวันออก แต่ในรายงานการประชุมที่ศูนย์วิจัยพิวจัดขึ้นนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการเจาะจงพูด ถึงศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู หรือศาสนาอื่นเลย ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในสหรัฐอเมริกาจำนวนผู้เลื่อมใสในศาสนาพุทธเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในปัจจุบันมีวัดพุทธอยู่ถึง 29 รัฐ ทั้งนี้ ยังไม่รวมสมาคมและสถานสอนศาสนาพุทธอื่นๆ ที่ ไม่ใช่วัดอีกเป็นจำนวนมาก

หันมาดูเมืองไทยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ ถ้าหากมีการสำรวจแบบเดียว กับที่ศูนย์วิจัยพิวจัดขึ้น ก็คงจะพบความจริงที่น่าสนใจหรือตื่นเต้นไม่น้อยกว่ากัน เช่น พบว่าชาวพุทธในเมืองไทยนับถืออะไรต่ออะไรมั่วไปหมดเหมือนกัน บ้านของชาวไทยพุทธแทบทุกหลังมีศาลพระภูมิ แสดงว่านอกจากพระแล้ว ยังนับถือเทวดา ( เจ้าที่) ด้วย นอกจากนี้ ชาวไทยพุทธยังเชื่อหมอดู คนทรง ผีสางนางไม้ เครื่องรางของขลัง ทั้งที่เป็นพระพุทธรูปและอื่นๆ ด้วย

ส่วนการนับถือพระพุทธศาสนาของชาวพุทธเป็นอันมาก ก็หนักไปข้างสวดอ้อนวอน เพื่อให้พระ (ทั้งพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์) คุ้มครองป้องกันหรือบันดาลให้มีโชค หรือหมดเคราะห์ แต่หย่อนยานในการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า (คือพระธรรม) แม้แต่ศีล 5 ซึ่งถือว่าเป็นหลักเบื้องต้น ชาวพุทธก็ถือไม่ไหวหรือจงใจที่จะไม่ถือ

บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คำว่า "ศีล" แปลว่าอะไร

เวลานี้ ขณะที่นักการเมืองกำลังปรักปรำกันและกันว่าทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง และมีคดีตัวอย่างคดีใหญ่ๆ เกิดขึ้นแล้วหลายคดี แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่าทางด้านการพระพุทธศาสนา อันเป็นเกราะที่จะป้องกันทุจริตหรือความชั่ว มีใครกำลังจะฟื้นฟูหรือปรับปรุงอย่างจริงจังอย่างใดหรือไม่

ผู้มีหน้าที่แท้จริงในการฟื้นฟู ปรับปรุง และธำรงพระพุทธศาสนานั้น คือพุทธบริษัท ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ภิกษุณีในเมืองไทยนั้นถูกคุมกำเนิดอยู่ แต่อีก 3 ใน 4 ของบริษัทยังอยู่ ทั้งยังเติบโตแข็งแรง (และบ้างก็ร่ำรวยมั่งคั่ง) ด้วย น่าที่จะทำให้ศาสนาพุทธเป็นที่พึ่งแท้ของชาวพุทธได้

ความเพี้ยนและไม่เอาไหนของพุทธบริษัทนี่แหละ ที่จะทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมลงในเมืองไทย แต่ไปเจริญในต่างประเทศ ในขณะที่คนไทยมัวเมาอยู่กับการนับถือหมอดู ผี และกับการสวดอ้อนวอนให้พระช่วย แทนที่จะช่วยตัวเองตามคำสอนของพระพุทธเจ้า.

˹ѧ

 

ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปคงเกิดมีศาสนาใหม่ที่มีชื่อว่า "Keng Hho" เป็นแน่ 555

 

ต้องขอบคุณคุณ Vacharaphol อย่างมากครับ สำหรับข้อมูล
ขอเสริมครับ
ที่จริงการที่คนไทยเราไม่รู้เรื่องของคริสต์ว่ามีนิกายนั้นที่จริงไม่ได้เป็นเพราะอะไร ที่จริงเป็นเพราะคนไทยส่วนใหญ่แต่เดิมไม่ได้เกิดความรู้สึกแบ่งแยกอย่างมากมายว่า เราดีกว่าเขา หรือว่า เขาแย่กว่าเราแต่อย่างไร ทุกศาสนาสอนพื้นฐานการเป็นคนดีทั้งสิ้น แต่ต่างกันในแนวทางปฏิบัติบางอย่าง
ส่วนกรณีศาสนาคริสต์ที่ทะเลาะกันนั้น ก็เนื่องด้วยอัตตาที่มีอยู่เต็มล้นใจว่า นิกายฉันเท่านั้นที่ดี ของเธอไม่ดี ผิดจากคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า ต่างคนต่างก็เอาอัตตาเข้าห้ำหั่นเข้าหากัน ดังนั้นก็เลยลงรอยกันไม่ได้ จนกระทั่งปัจจุบัน องค์สันตะปาปาเองก็พยายามจะ Unite ทุกนิกายเข้าหากัน แต่ดูแล้วหากไม่ลดอัตตากัน ก็คงจะยากอยู่
ส่วนเรื่องของประเทศไทยเรานั้น ถือว่าเป็นเรื่องของคน และนิสัยของคนในนี้เป็นหลักด้วย
แต่ว่าในทางกลับกัน ก็อยากให้มองว่า ก็มีส่วนเล็กๆ อยู่หลายๆส่วนที่พยายามรักษาและปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ดังนั้นอย่าไปมองเฉพาะส่วนที่เสีย ในดีก็มีเสีย ในเสียก็มีดีครับ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ แล้วตัวเราล่ะ ณ ปัจจุบันนี้เข้าใจเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา
ไตรลักษณ์ถ่องแท้แล้วหรือยัง หากว่ายังก็ต้องรับปฏิบัติให้เห็นแจ้ง เพื่อเราจะได้เป็นอีกผู้หนึ่งที่สามารถเกื้อกูลสัตว์โลก และจรรโลงพระศาสนาได้
หาไม่ เราก็อาจจะเป็นอีกผู้หนึ่งที่เป็นผู้ทำลายพระศาสนาได้
สำหรับการนับถือพระภูมิเจ้าที่นั่น ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ ผู้ที่นับถือพุทธก็สามารถกระทำได้ พุทธองค์ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ว่าให้เรานับถือให้ถูกคือ ให้นับถือท่านในความที่ท่านมีคุณธรรมบางอย่างมากกว่าเรา การเป็นเทวดานั้นก็ต้องประกอบไปด้วย ธรรม 2 เป็นหลักคือ หิริ และ โอตัปปะ กล่าวคือ เป็นความกลัวและละอายต่อบาป หากเราเข้าใจและนับถือเทวดาแบบนี้ ทุกคนก็ได้ไปสวรรค์กันหมดครับ
สาธุ