สงสัยเรื่องการบรรลุนิพพานของปุถุชนคนธรรมดา

ในห้อง 'ฝากคำถามถึงหลวงพ่อเล็ก' ตั้งกระทู้โดย ต่อ007, 18 กันยายน 2010.

  1. ต่อ007

    ต่อ007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +31
    กราบเรียนถามท่านผู้รู้นะครับ ว่าการบรรลุนิพพานของปุถุชนธรรมดานั้นเราต้องบรรลุเป็นขั้นตอนเหมือนพระสงฆ์เริ่มจากบรรลุ โสดาบัน และเป็นพระสกิทาคามี จนถึงอรหันต์ไหมครับ หรือว่าการปฏิบัติมโนมยิทธิเป็นทางลัดไปสู่นิพพานเลยโดยไม่ต้องบรรลุโสดาบันครับ มันแตกต่างกันอย่างไร
     
  2. วง

    วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    339
    ค่าพลัง:
    +437
    การบรรลุธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องบรรลุเป็นขั้นตอนก็ได้ครับ
     
  3. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ปุถุชน ในที่นี้คงหมายถึงฆารวาสนะครับ

    ศีลห้าบรรลุได้แค่ พระโสดาคามิมรรค/ผล และ พระสกิทาคามิมรรค/ผล

    จะบรรลุเป็นพระอนาคามี และ พระอรหันต์ ต้องอย่างน้อยคงศีล ๘ ขึ้นไป

    พระอริยะอนาคามีขึ้นไปท่านตัดสังโยชน์ โดยละกามราคะได้ขาด ดังนั้นศีลข้อ ๓ ต้องไม่ใช่แค่กาเมสุมิจฉา... แต่ต้องเป็น อพรัมมจริยา...

    สรุปก็คือปุถุชนที่ยังเสพเมถุนอยู่ไม่สามารถบรรลุเป็นพระอริยะเจ้าตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไปได้

    ปุถุชนที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ โดยปกติท่านจะเป็นพวกมีศีล ๘ เป็นปกติครับ แต่อาจอยู่บ้านบ้าง อยู่วัดบ้าง ผมเคยอ่านหนังสือเรื่องพระธาตุ เล่ม นึง มี สองท่านพี่น้อง แก่แล้ว เป็นพี่น้องกัน คนนึงเป็นคุณยาย คนนึงเป็นคุณตา อยู่บ้านเหมือนคนแก่ปกติทั่วไป ทำบุญ รักษาศีล สวดมนต์ ภาวนา เป็นปกติ พอท่านตายเอาไปเผา กระดูกเป็นธาตุ ทั้งคู่ ลูกหลานไม่รู้หรอก นึก ว่าเป็นคนแก่ปกติทั่วไป ที่ไหนได้มีพระอริยะเจ้าอยู่บ้านด้วย สององค์

    ส่วนการที่จะบันลุธรรมเป็นขั้นตอนไปหรือไม่ ก็มีได้ทั้งสองอย่าง คือ ไล่ไปเป็นขั้น กับ ถึงที่ขั้นปลายเลย แต่สมัยนี้ยากครับ ทั้งฆารวาสทั้งพระ มักจะบรรลุเป็นขั้น ๆ ไป ท่านที่บรรลุทีเดียวเป็นพระอรหันต์เลย ต้องบุญบารมีเต็มที่ แล้วฟังธรรมจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าโดยตรง ก็บรรลุผึ๋งเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2010
  4. ซาตานคลั่ง

    ซาตานคลั่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,449
    ทีละอย่างนะ
    1 คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นโยมหรือเป็นพระหรือแม่ชีภิกษุณีก็ตามแต่ เมื่อสามารถบรรลุพระโสดาบันได้แล้ว จะข้ามไปอารมณ์พระอรหันต์เลย ไม่ไปตามลำดับขั้นให้เสียเวลาเพราะก็คล้ายๆกัน แต่แตกต่างกันที่ การจะสำเร็จอรหันต์ได้ต้องถือศีล227ข้อ ส่วนฆราวาสที่มีศีล5หรือศีล8เมื่อละสังขารไปแล้ว จะไปพักที่สวรรค์ชันใดชั้นหนึ่งตามบุญกรรมที่สร้างไว้ ถึงตรงนี้แล้ว
    1.1 ถ้าเป็นสาวกภุมิ ก็สามารถที่จะฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าและบรรลุอรหันต์ได้เลย นิพพานสมบูรณ์แบบ
    1.2 ถ้าเป็นพุทธภูมิ จะไปพักที่ชั้นดุสิต รอตัดสินใจว่าจะลงมาเกิดอีกหรือไม่ ถ้าไม่ ก็คือต้องลาพุทธภูมิและเหมือนข้อ 1.1

    2 การปฏิบัติมโนมยิทธิ ไม่ใช่ทางลัดไปพระนิพพาน ตรงกันข้าม เคยมีประวัติผู้ที่มโนมยิทธิเต็มกำลัง สามารถมองเห็นพระนิพพานได้แจ่มใสชัดเจนเหมือนตอนกลางวัน แต่พอตายไปกลับไปลงโลกันต์มหานรก เพราะใช้ประโยชน์จากมโนมยิทธิผิดวัตถุประสงค์

    มโนมยิทธิ เป็นการใช้ฤทธิ์ทางจิตคือสามารถใช้จิตไปรับรู้ได้ตามต้องการ การที่หลวงพ่อท่านนำมโนมยิทธิมาเผยแพร่นั้น เพื่อให้ผู้ฝึกสามารถพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ อาทิ นรก สวรรค์ พรหมณ์ มีจริงไม่ใช่เรื่องหลอกเด็ก เว้นแต่ผู้ฝึกจะมีจิตหยาบหรือเรียกง่ายๆว่าเลวจนไม่สามารถฝึกสำเร็จได้ และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ สามารถพิสูจน์ได้ว่า นิพพานมีจริง ไม่ได้ศูนย์เปล่า และไม่ได้เป็นแค่สภาวะจิต
    การใช้ประโยชน์จากมโนมยิทธิที่น่าจะมีประโยชน์
    เช่น การย้อนกลับไปดูอดีตชาติว่าเราเคยลำบากแบบไหนมาบ้าง เคยเกิดในอบายภูมืบ้างหรือเปล่า และกรรมอะไรที่ทำให้เราไปเป็นแบบนั้น เมื่อรู้แล้ว อย่าทำกรรมอย่างนั้นอีก
    การย้อนกลับไปดูอดีตชาติว่าเราเคยสบายแบบไหนมาบ้าง เคยเกิดในสุคติบ้างหรือเปล่า กรรมอะไรที่ทำให้เราได้เป็นแบบนั้น ก็จงทำกรรมอย่างนั้นอีก

    ที่สำคัญ จะเกิดเป็นอะไรมาบ้างก็ชั่ง เลิกเกิดเถอะ หยุดเวียนว่ายตายเกิด
    จบ
    นั่นแหละ เหตุผลที่หลวงพ่อท่านนำมโนมยิทธิมาเผยแพร่
     
  5. รากแห่งธรรม

    รากแห่งธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    667
    ค่าพลัง:
    +3,173
    ข้อนี้ผิดไปนิดนะครับ ศีลไม่ใช่ตัวกำหนดการบรรลุว่า ศีลเท่านั้นจะบรรลุได้เท่านี้ แต่ที่ถูกคือ เมื่อบรรลุแล้ว ศีลในข้อๆนั้นจะไม่มีทางขาด กล่าวคือ อันนี้ย่อความ ตามคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยานเลยนะครับ "พระโสดาบัน เมื่อบรรลุแล้วก็หมายถึง ละสังโยชน์ได้สามข้อ ซึ่งในสามข้อนั้นมี สีสัพพปรามาส ซึ่งในนั้นของพระโสดาบัน ท่านยังมีกิเลสในกามอยู่ ท่านจึงมีศีลบริสุทธิ์ใน5ข้อแรกและสกิกทามีก็เช่นเดียวกันแต่ท่านจะมีจิตที่ละเอียดกว่า แต่สำหรับพระอนาคมีท่านละสังโยชน์ได้5ข้อในข้อนั้นมีกามฉันทะ คือความยินดีในกามด้วย ท่านจึงมียินดีในการประพฤติกรรมพรรหมจรรย์ และด้วยอานิสงฆ์นี้ ท่านจึงมีศีลบริสุทธิ์แปดข้อ เนื่องด้วยท่านไม่มีความยินดีในกาม จึงไม่นิยมประทินความงาม ไม่เสพกาม แต่ท่านยังมี อารมณ์ปรุงแต่งต่างๆหลงเหลืออยู่เหมือนกัน จนเมื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์เป็นพระอรหัตผลแล้ว ศีลต่างๆก็บริสุทธิ์บริบูรณ์สมบูรณ์พร้อมไม่มีทางขาด ท่านจึงไม่จำเป็นต้องระวังตัวแต่ไม่ใช่ท่านไม่รักษาศีลนะครับท่านรักษาแต่ท่านไม่ต้องระวังว่ามันจะขาด" ดังนั้นข้อความข้างต้นที่คุณ หาธรรม กล่าวมานั้นเป็นความเข้าใจผิดว่าศีลคือข้อกำหนดของการบรรล จริงๆแล้วการบรรลุหรือไม่ท่านยึดเอาสังโยชน์ ซึ่งแปลว่าเครื่องผูกรัด ครับ

    ส่วนที่ท่านเจ้าของกระทู้ กล่าวถามมาดังข้างต้นนั้น เข้าใจว่านิยามของคำว่าปุถุชนคือ ฆาราวาส ขอบังอาจตอบไปว่า การบรรลุธรรมไม่จำเป็นต้องบรรลุเป็นขั้นๆครับ มีดังสมัยพุทธกาลที่สมเด็จพระผู้มีภาคเจ้าหรือพระสาวกขีณาสพเจ้า แสดงธรรมแล้วมีการสำเร็จพระอรหัตผลในเฉียบพลันก็มี หรือสำเร็จเป็นขั้นๆไปก็มี ขึ้นอยู่กับบารมีธรรมแก่กล้าเพียงใด อินทรีย์ห้าพร้อมบริบูรณ์แล้วหรือยัง หรือมีความเข้าใจ ตริตรองงพิจจารณาลึกซึ้งในข้อธรรมนั้นเท่าใด ส่วนอีกข้อคือที่ถามว่า มโนยิทธิคือทางลัดใช่หรือไม่ ตอบว่าใช่ครับ แต่มันก็ยังขึ้นอยู่กับกำลังใจเราเหมือนกัน ถ้าเราขึ้นไปทุกวันจิตเกาะพระนิพพาน เกาะพระพุทธเจ้า ไม่พอใจในเทวสมบัติ พรหมสมบัติ มนุษย์สมสมบัติ พอใจแต่ความสงบจากกิเลสในพระนิพพาน จิตเรามั่นคงเป็นเอกคตา ในพระนิพพาน เมื่อเวลาตายในจิตไร้ความเศร้าหมองมั่นคงแต่พระนิพพานนึกถึงพระผู้มีพระภาคเป้นอารมณ์ก่อนตาย นึกถึงบุญคุณความดีที่ทำให้ถึงพร้อมแล้วขณะมีชีวิต จิตใจมั่นคงไม่ไหวดังนี้จึงเรียกได้ว่า มโนยิทธิเป็นทางลัดโดยแท้จริง แตปัจจุบันเราใช้มโนยิทธิเพื่อ อวดรู้กันเสียมาก เอมาอวดนั่นโน่นนี่ ชาตินั้นชาตินี้ กันเสียมากเป็นการหลงทางที่หลวงพ่อท่านวางไว้ เพระระเริงในอำนาจฤทธิ์ที่ได้มา ซึ่งถือเป็นฌานโลกีย์ ยังไม่ฝใช้ตัวโลกุตร ซึ่งยังมีวันเสื่อมถอยและเกิดอุปปาทานได้

    อันนี้ในข้อ 1.2 เข้าใจว่าเป็นคติตามหลักฝ่ายมหายานที่ยืนยันว่า พระอริยเจ้าสามารถหวนกลับงมาโปรดสัตว์ได้ต่อ แต่ถ้าเป็นทางเถรวาท จะถือว่าเมื่อบรรลุเป็นพระโสดาปัตติผลแล้วไม่มีทางหวนกลับ กล่าวคือเมื่อพระโสดาบันละสังขารจะไปอุบัติที่ ดุสิตสวรรค์แต่จะบำเพ็ญต่อเพื่อบรรลุบนสววรค์หรือ จะลงมาที่มนุษย์โลกย่อมได้ อันนี้ต้องพูดไปถึงว่า พระโสดาบันมีสามขั้น 1เอกพิชี ขั้นนี้ท่านจะเหลือชาติเกิดอีกเพียงชาติเดียว 2สัตขัตตุง ประเภทนี้ต้องลงมาอีกสามชาติ 3โกลังโกล ประเภทนี้ท่านจะลงมาเกิดอีก7ชาติ และในแต่ละชาติของพระโสดาบันที่ลงมาเกิดจะไม่มีคำว่าเสื่อมถอย ลงอบายภูมิได้อีก เพราะไม่มีทางถอยกลับแล้วปิดประตูอบายภูมิเลย และในฝ่ายเถรวาทถือว่า ไม่ว่าจะปราถนาแบบใดมาก่อนถ้าจะบำเพ็ญให้ถึงขั้นมรรคผลปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นขั้นใดๆก็ตามจะต้อง ถอนเสียซึ่งความปราถนาในภูมิต่างนั้น ไม่ว่าจะเป็น ปัจเจกพทุธภูมิ หรือพระพุทธภูมิ ย่อมต้องถอนลงมาดังมีตัวอย่างที่ พ่อแม่ครูอาจารย์จอมทัพธรรม หลายต่อหลายองค์ปรากฎอยู่ ถ้าหากไม่ถอนความปราถนาจะสามารถไปได้ถึงขั้น โคตรภูญาณ ซึ่งเป็นญาณหนึ่งในวิปัสสนาญาณทั้งเก้า ซึ่งมีผลคล้ายบรรลุแต่ไม่บรรลุ ประหนึ่งเหยียบเรือสองลำระหว่างโลกีย และโลกุตตร ซึ่งยังำม่ถือเป็นอริยบุคคลยังมีการเสื่อมถอยลงได้ถ้า ภาวะของจิตไม่คงสภาพนั้นๆไว้ได้ อันนี้กล่าวถึงในแง่ของฝ่ายเถรวาท
    ต่อไปจะกล่าวถึงในแง่ของมหายาน กล่าวคือฝ่ายมหายาน กล่าวว่า พระอริยเจ้า แม้จะบรรลุพระอรหัตผลไปแล้วถ้ายังมีความยินดีอยู่ในการโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายย่อมสามารถถอยลงมาเพื่อโปรดสรรพสัตว์ดำเนินพุทธกิจโดยการตั้งความปราถนาเป็นพทุธภูมิได้อีก ซึ่งมาจากแนวคิดของความเมตตาและกรุณาต่อสรรพทั้งหลายในคติฝ่ายมหายาน ซึ่งผมเองก็ไม่เชี่ยวชาญในด้านฝ่ายนี้เท่าใดจึงไม่สามารถอธิบายให้ละเอียดได้มากกว่านี้ เพราะก็รู้มาเพียงคร่าวๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2010
  6. จักรราศี

    จักรราศี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +1,086
    หลวงพ่อฤาษีเคยบอกไว้เลยว่า หากฆราวาสบรรลุพระอรหันต์ จะอยู่ได้ไม่เกิน 1 วัน ถ้าบรรลุตอนพระอาทิตย์ขึ้นจะไม่เห็นพระอาทิตย์ตก ถ้าบรรลุตอนพระอาทิตย์ตก จะไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น (จากคำกล่าวนี้ ความเห็นส่วนตัวคิดว่า 1 วันน่าจะหมายถึง เช้าไปค่ำ หรือ ค่ำไปเช้า ไม่ใช่ 24 ชั่วโมงเป๊ะๆ)
    ถ้าต้องการจะอยู่ต่อเพื่อสงเคราะห์สรรพสัตว์ ก็จะต้องบวชเป็นพระเท่านั้้น ถึงจะเป็นเพศที่รองรับความบริสุทธิ์ของพระอรหันต์ได้

    ดังนั้น ตา ยาย อาจจะไม่ได้ถึงขั้นอรหันต์(อาจจะอนาคามีลงไป)ในระหว่างดำรงชีวิต แต่อาจจะบรรลุอรหันต์ได้ตอนก่อนตายหรือใกล้ออกจากร่างก็เป็นได้ เพราะไม่อย่างนั้นจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 วัน

    ส่วนศีลไม่ได้เป็นตัววัดความเป็นอริยะเจ้า ไม่เช่นนั้นใครถือได้ก็เป็นกันหมด แต่อริยเจ้าทำไปโดยธรรมชาติ ไม่มีการฝืนหรือต้องห้ามปราบตนเองให้อยู่ในศีล เช่น อานาคามี ท่านละสังโยชน์ 3 และโกรธ กับ กาม ได้แล้ว สิ่งที่เหนือกว่า พระโสดา และ พระสิกิทา ตรงโกรธ และ กาม (แต่สังโยชน์3เบาบางกว่ามาก)
    ดังนั้นเมื่อละกามได้แล้ว เห็นร่างกายเป็นของสกปรกเน่าเหม็น(พระอรหันต์จะเห็นร่างกายเป็นเพียงธาตุ 4) แล้วจะไปละเมิดผิดศีลเรื่องเพศจึงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถือศีล เพราะท่านไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องผิดศีลอีก จึงอยู่ในศีลโดยปริยาย ไม่จำเป็นต้องถือให้หนัก

    สรุป ศีลเป็นข้อห้ามไม่ให้ทำผิด เมื่อท่านไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำผิดอยู่แล้ว ท่านจึงไม่ผิดศีลโดยปริยาย ไม่จำเป็นต้อถือ ต่างกับคนที่ไม่บรรลุ แต่มาถือศีลเท่าท่าน ถึงจะห้ามการกระทำได้ แต่ในใจยังคิดอยู่ ยังอยากอยู่ ยังต้องระวังอยู่ นี่มันต่างกันตรงนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2010
  7. จักรราศี

    จักรราศี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +1,086
    ส่วนเรื่องมโนมยิทธิ เป็นทางลัดสู่นิพพานใช่ไหม ตอบว่าใช่

    ความเห็นส่วนตัวนะคือว่า ;

    concept ของศาสนาพุทธคือ จิตสุดท้าย ก่อนตาย สำคัญที่สุด ถ้าก่อนตายคิดถึงเรื่องไหน กังวลอะไรอยู่ก็จะไปอย่างนั้น ดังนั้นการใช้มโน เกาะนิพพานไว้ ก่อนตายไปนิพพานแน่นอน นี่แหละที่เรียกว่าทางลัด

    ((((( นั่นคือทำไมคนมีกิเลสอยู่ทั้งชีวิตถึงเข้านิพพานได้ เพราะมาตัดตอนตายไง มาพิจารณาตัด พรหม เทวดา โลกมนุยษ์ ทรัพย์สมบัติ ร่างกาย ไม่เอาแล้ว เอาพระนิพพานอยางเดียว จึงเข้าพระนิพพานได้ ....แต่ พระอรหันต์นั้น ท่านตัดได้หมดตั้งแต่มีชีวิตแล้ว ไม่ได้ไปตัดตอนตาย ดังนั้น % การเข้านิพพานของท่านคือ 100% แต่คนที่มาตัดตอนตายนั้น มันมี % ไม่เต็ม 100 นะ ขึ้นอยู่กับบุญบารมีเก่าที่ทำมาด้วย เพราะอาจจะมีอกุศลกรรมเข้าแทรกช่วงนั้น หรือ ทุกเวทนา ก่อนตายมาเบียดเบียน ทำให้ไม่มีสติพิจารณาตัด ก็เป็นได้ )))))

    แต่!!!มันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะถ้าไม่ทำเป็นปกติจะรอมาทำตอนตายอย่างเดียว คงจะยากเพราะจิตไม่คุ้นเคยกับนิพพาน ดังนั้นจึงต้องทำไว้สม่ำเสมอ ทุกลมหายใจเลยก็ว่าได้(ถ้าสามารถทำได้) เพราะอะไร เพราะใครจะรู้ว่าเราจะป่วยแล้วมีเวลามาเกาะนิพพานก่อนตาย เราอาจจะโดนรถแก๊ซระเบิด วูบเดียหายไปเลย หรืออุบัติเหตุตายกระทันหัน ถ้าไม่ทำไว้ตลอดเวลา จะทำยังไง จะเอาเวลาไหนไปเกาะนิพพาน ถ้าไม่ทำไว้สม่ำเสมอ

    เมื่อเกาะพระพุทธเจ้าและนิพพานไว้ ในระหว่างที่เกาะ เราจะไม่สามารถทำความชั่วได้เลย เพราะนิวรณ์ 5 ถูกกดไว้ชั่วคราว จึงไม่ผิดศีลโดยปริยายเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2010
  8. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325
    เห็นด้วยกับทุกๆ คน -*- แค่นี้....

    กระผมหลาน(ในอดีตชาติ)หลวงพ่อ ขอรายงานตัว อิอิ
     
  9. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    สีเลนะ นิพพุติง ยันติ

    ศีลเป็นเบื้องต้น เป็นบาทฐาน ต้องไล่ตั้งแต่ศีลบริสุทธิ์ขึ้นไปก่อน ประกอบกับ สมาธิ และ ปัญญา จึงจะบรรลุธรรมเป็นพระอริยะระดับต่าง ๆ ได้ (มรรคสมังคี คือ มรรคมีองค์ ๘ ประสานสานมัคคคีทั้งหมด)

    แนวทางปฏิบัติพระพุทธเจ้าท่านสอน รวมทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านสอน ท่านก็สอนให้ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ตามความเป็นจริงในทางปฏิบัติ ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ สมาธิจะไม่ได้ผล และ ที่ตามมาคือไม่มีทางมีปัญญาที่จะรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงได้

    คุณรากแห่งธรรม บอกว่า ถ้าบรรลุธรรมระดับนั้น ๆ แล้วศีลไม่ขาด นั่นหมายความว่าบรรลุธรรมก่อนแล้วสศีลจึงบริสุทธิ์ ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องคือศีลต้องบริสุทธ์ก่อนจึงจะบรรลุธรรม จากนั้นสติของพระอริยะเจ้าท่านสมบูรณ์ ไม่มีทางที่จะผิดศีลอีกต่อไป

    ส่วนการที่จะบรรลุธรรมระดับใด ก็ดูที่การละสังโยชน์ ๓ ข้อ ๕ ข้อ หรือ ๑๐ ข้อ ส่วนข้อเขียนของผมข้างบน ไม่ได้ตั้งใจที่จะไปเทียบกับระดับของศีล เพียงแต่ ต้องการจะชี้ถึงว่า ศีลข้อ ๓ ที่เป็นกาเมสุมิจฉาจาราเวรมณี กับข้อ ๓ ที่เป็นอพรัมมจริยา นั้นสัมพันธ์ กับระดับของการเป็นพระอริยะ

    ส่วนการศีลบริสุทธิ์อย่างเดียวไม่ว่าจะเป็น ๕ ข้อ ๘ ข้อ หรือ ๒๒๗ ข้อ บริสุทธิ์ นั้นใช่ว่าจะบรรลุธรรมได้เลย อันนี้ใคร ๆ ก็รู้ มันต้องมีปัจจัยอื่น ๆ อีก (ศึกษาคมภีร์วิสุทธิมรรค) ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติก็รู้กันอยู่ ดังนั้นอ่านข้อเขียนแล้วไปสรุปเลยว่า ศีลนั้น ๆ เป็นตัวกำหนดระดับของการบรรลุธรรมระดับนั้น ๆ ผมว่าไม่ถูก ผมไม่ไม่หมายความแค่นั้น แต่โดยนัยที่มันเป็นจริงตามนั้นก็ คือ บุคคลที่ยังไม่ละกามราคะ (ศีลข้อ ๓ รักษาไว้อยู่) แสดงว่าสังโยชน์ข้อกามราคะก็ยังไม่ได้ละ แสดงว่าจะขึ้นสู่พระอนาคามีไม่ได้ ที่สูงกว่านั้นก็ไม่ได้ แต่ถ้าองค์ประกอบอื่น ๆ ครบ และละสังโยชน์ ๓ ข้อ ก็เป็นพระอริยเจ้าขั้นต้นได้

    แต่ที่แน่นอนที่สุด คือ ศีลนี่แหละเป็นบาทฐานของการบรรลุธรรมในทุกระดับ คนที่จะบรรลุธรรมโดยไม่มีศีลนั้นไม่มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2010
  10. รากแห่งธรรม

    รากแห่งธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    667
    ค่าพลัง:
    +3,173
    อาขอบคุณครับที่ชี้แนะ ที่ผมต้องการจะกล่าวคือประมาณข้อความดังนี้อ่ะครับ "แต่อริยเจ้าทำไปโดยธรรมชาติ ไม่มีการฝืนหรือต้องห้ามปราบตนเองให้อยู่ในศีล (ข้อความจากคุณจักรราศี)"ประมาณนี้อ่ะครับผมไม่ได้หมายถึงว่าต้องบรรลุก่อนแล้วศีลจึงบริสุทธิ์ อาจจะด้วยว่าผมพูดไม่ชัดเจนเลยนำมาซึ่งความเข้าใจผิด ซึ่งคุณจักรราศีก็ได้อธิบายไปแล้ว ขออนุโมทนากับทุกๆๆท่านนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2010
  11. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ถ้าเป็นฝ่ายพุทธภูมิการบรรลุนิพพานนั้นเราต้องบรรลุเป็นขั้นตอน
    การเจริญมรรค
    (๑) พระโสดาปัตติมรรคบุคคล
    (๒) พระสกทาคามิมรรคบุคคล
    (๓) พระอนาคามิมรรคบุคคล
    (๔) พระอรหัตตมรรคบุคคล

    การเข้าถึงผลตามฐานของจิตที่ทำได้เป็นผลแล้ว
    (๕) พระโสดาปัตติผลบุคคล
    (๖) พระสกาทาคามิผลบุคคล
    (๗) พระอนาคามิผลบุคคล
    (๘) พระอรหัตตผลบุคคล

    นี่เอง คือที่ว่า ๔ คู่ ๘ บุรุษ
    ฝ่ายพุทธภูมิต้องบรรลุทั้งหมด เพื่อเป็นแนวทางปรกโปรดพุทธบริษัท ๔

    ส่วนพุทธบริษัท ๔ ที่มากด้วยวาสนาบารมี
    ก็จะบรรลุธรรมตามวาสนาที่ตนได้สั่งสมอบรมมา

    ไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับคู่บรุษ เพราะท่านเป็นผู้ที่บรรลุธรรมเบื้องต้นๆมาก่อน จึงมาปฏิบัติสานต่อไปได้เลยคือละสังโยชน์เบื้องสูงไปเลย

    อุปมาอุปมัยได้กับ แบตรี่ที่ชาตร์ไฟไวจวนจะเต็มแล้ว

    พอได้ชาตร์ไฟเข้าไปอีกที ก็เต็ม

    การสำเร็จเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงก็ฉันนั้น



    มโนมยิทธิ เป็นการใช้ฤทธิ์ทางใจ โดยบริกรรมท่อง นะ มะ พะ ทะ เป็นคาถารวมธาตุ
    ฝึกแรกใหม่ ต้องอาศัยการจุงจิต จากครูฝึก
    เมื่อทำบ่อย ๆ ขึ้น มาก ๆ ขึ้นจิตจะไปรู้เห็นความเป็นทิพย์ได้ เอง แต่ต้องนั่งทนจนตัดขันธ์ห้าให้ขาดได้ชั่วขณะหนึ่ง หูทิพย์ ตาทิพย์ ใจทิพย์ก็ยังจัดเป็นของชาวโลกีย์ ยังเสื่อมได้ถ้าประครองรักษาจิตสติไม่ได้ เรียกว่าตกฌาน

    ทางที่ถูก เมื่อเห็นของอันเป็นทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ ให้ศึกษาระบบศีลธรรมจากภายในฝ่ายโลกวิญาณ ต่อเมื่อออกจากฌาน ก็ให้พิจารณา สภาวะของทิพย์ ที่เราเข้าไปสัมผัสเกี่ยวข้อง รวมลงที่ปัจจุบัน คือ อนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์ อนัตตาไม่มีตัวตน ทำอย่างนี้เสมอ ภูมิวิปัสสนาญาณจะเกิด บางคนสำวิชชาแปด เพราะมีวิชชาอาสวขยะญาณเป็นข้อที่แปด ถ้าไม่มีข้อ ที่แปด ก็เป็นโลกิยะส่วนข้อ ๘ เป็นโลกุตตระอย่างเดียว เพราะ<WBR>เกิดมีแก่พระอริยเท่านั้น

    เพราะที่พระพาไปเที่ยวแดนสวรรค์ต่างๆ
    ตอบ แดนนี้มีจริงเพราะเป็นแดนมายา และ หลงว่าเป็นของจริงเพราะความเชื่อเลยเกิดมีขึ้นมีขึ้น และปู่ย่าตายายสอนว่า

    สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ เพราะอยู่ในจิตว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ จะหลงกับมันหรือไม่ คุณต้องไม่มีดีไม่มีชั่ว ทำดีอย่างเดียวโดยไม่หวังสิ่งใด นรกสวรรค์จะไม่มีเพราะ<WBR>เกิดมีแก่พระอรหันต์เท่านั้นไม่มีดีไม่มีชั่ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...